วินาทีที่อัสนีสายนั้นผ่าฟาดลงมา เยียนเหนียนเหนียนพลันรู้สึกได้อย่างแท้จริงว่านางเกือบจะถูกคร่าชีวิตไปแล้ว! นางมองจ้องซือเจ๋อเยว่ด้วยใบหน้าประจบประแจงพลางเอ่ย “องค์หญิง ต่อไปท่านก็คือบุคคลตัวอย่างของข้า ไม่ว่าอะไรข้าจะฟังท่านทุกอย่าง!” ซือเจ๋อเยว่มองนางพลางหัวเราะ “จากนี้ไประวังหน่อย อย่าเห็นอะไรก็แปะบนร่างตัวเองอีก!” เยียนเหนียนเหนียนย่อมพยักหน้าหงึก ๆ เรื่องในวันนี้ได้เปิดโลกทัศน์ของนางแล้วจริง ๆ แล้วนางไหนเลยยังกล้าแตะต้องของแบบนั้นอีก? นางดึงแขนเสื้อของซือเจ๋อเยว่แล้วถาม “ยันต์นี้สุดยอดมาก ขายให้ข้าสักหลายแผ่นได้หรือไม่?” ซือเจ๋อเยว่ถามนาง “เจ้าจะเอายันต์ห้าอัสนีบาตไปทำอันใด?” เยียนเหนียนเหนียนกล่าวตอบ “ก่อนนี้ข้าไม่เชื่อว่าบนโลกจะมีสิ่งเช่นนี้อยู่ ทว่าตอนนี้ดูแล้วเกรงว่าคงมีอยู่จริง” “ข้ารู้สึกว่าพี่สามดวงชะตาไม่ค่อยสู้ดีนัก กลัวก็แต่ว่าบนร่างจะมีสิ่งอัปมงคลเช่นนี้อยู่ ข้าอยากซื้อสักหน่อยเพื่อเอาไปแปะบนร่างเขา จะได้ช่วยปัดเป่าพลังชั่วร้ายออกไปได้บ้าง” ซือเจ๋อเยว่ “…” นางคิดว่ายังไม่ทันปัดเป่าพลังชั่วร้ายออกไปจากร่างเยียนเซียวหรานจนหมด กลับถูกยันต์ห้าอัสนีบาตผ่าตาย
ซือเจ๋อเยว่เอ่ยถึงตรงนี้พลันชะงักไปครู่หนึ่ง “และหลังจากคนตายไป นอกจากว่าในใจยังยึดติดอยู่เท่านั้นจึงจะรั้งอยู่ต่อที่โลกวิญญาณ ส่วนวิญญาณทั่วไปล้วนกลายเป็นดวงวิญญาณหวนกลับสู่ยมโลก” “ดังนั้น นอกจากช่วงเทศกาลจงหยวนที่ประตูยมโลกเปิดอ้า ข้าก็ไม่ค่อยได้พบเห็นวิญญาณบ่อยนัก” เยียนเหนียนเหนียนฟังจนคล้ายเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ “องค์หญิง คราวหน้าเมื่อเจ้ามองเห็นวิญญาณ จะให้ข้าเห็นบ้างได้หรือไม่?” ซือเจ๋อเยว่ “…” ก่อนนี้นางก็รู้แล้วว่าเยียนเหนียนเหนียนใจกล้ามาก แต่ผู้ที่เป็นฝ่ายขอ ‘เจอผี’ เองเช่นนี้ก็ดูจะใจกล้าเกินไปหน่อย และยัยหนูคนนี้นิสัยค่อนข้างใจกล้าบ้าบิ่น ไม่รู้ว่าสิ่งใดคือความกลัว หาโอกาสให้นางได้เจอสักหน่อย บางทีอาจทำให้นางสงบเสงี่ยมขึ้นบ้าง ซือเจ๋อเยว่พยักหน้าพลางพูด “ได้ ถ้ามีโอกาสข้าจะให้เจ้าได้เจอ” เยียนเหนียนเหนียนถามนางอีก “องค์หญิง เสด็จพ่อกับเสด็จพี่พวกเขาต่างไปที่ยมโลกกันแล้วหรือ?” ซือเจ๋อเยว่ส่ายหน้า “นอกจากซื่อจื่อแล้ว ที่เหลือล้วนไปกันหมดแล้วละ” ขณะความคิดนี้ผุดขึ้นในใจนาง ก็เหลือบไปเห็นเยียนอ๋องซื่อจื่อที่ไม่รู้มานั่งอยู่บนขอบหน้าต่างตั้งแต่เมื่อไร นางอึ้งไป
ซือเจ๋อเยว่ดูเขามีลักษณะคล้ายจะกลับมาคลุ้มคลั่งอีกครั้ง จึงใช้มือร่ายคาถาลงบนศีรษะของเขา เขากลับมาเป็นปกติเหมือนเมื่อครู่นี้ ปากก็ยังพึมพำว่า “จี้กุญแจหยก... บทกวีหวนคืน... อ่าวจันทร์กระจ่าง…” เยียนเหนียนเหนียนพุ่งตัวเข้ามายังเบื้องหน้าของเขาพลางเอ่ย “พี่ใหญ่ ข้าเหนียนเหนียนอย่างไรเล่า ท่านยังจำข้าได้หรือไม่?” เยียนอ๋องซื่อจื่อกลับไม่มองนางด้วยซ้ำ พึมพำคำนามสามคำนั้นซ้ำ ๆ ต่อไป ก่อนที่ร่างวิญญาณจะค่อย ๆ เลือนรางจางลงแล้วหายวับไป ซือเจ๋อเยว่เห็นเขากลายเป็นเช่นนั้น คิ้วพลันขมวดเข้าหากัน แววตาดูไม่ค่อยเข้าใจนัก เยียนเหนียนเหนียนถามซือเจ๋อเยว่ “องค์หญิง เมื่อครู่เกิดอันใดขึ้น? ไยพี่ใหญ่จึงหายไปแล้ว?” ซือเจ๋อเยว่กล่าวตอบ “ลักษณะเมื่อครู่นี้ของเขา น่าจะเป็นเหตุการณ์ก่อนเขาตาย” เยียนเหนียนเหนียนพลันน้ำตาไหลพรากในทันที “เป็นไปได้อย่างไร… ทั้งที่เขายังมีลมหายใจ กลับถูกคนเลาะเนื้อหนัง… เช่นนั้นต้องเจ็บปวดถึงเพียงใดกัน!” ซือเจ๋อเยว่เข้าร่วมกับสำนักเต๋ามาแรมปี เคยเจอวิญญาณนับไม่ถ้วน และเห็นการตายมาหลากหลายรูปแบบ แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ได้เห็นการตายอย่างอนาถเช่นเยียนอ๋องซื่อจื่อนี้
เยียนเซียวหรานถามนาง “เรื่องนี้อีกนานแค่ไหนถึงจะแก้ไขได้?” ซือเจ๋อเยว่ผายมือ “ไม่รู้ หากตามหาผู้ที่ลงมือพบ ก็จะแก้ไขได้เร็วขึ้น” เยียนเซียวหรานมองนางแวบหนึ่ง พลันคิ้วขมวดมุ่น พระชายาเยียนอ๋องเห็นพวกเขากำลังพูดคุยสนทนากันใกล้ชิด คิ้วค่อย ๆ ขมวดเข้าหากัน แม้นางยังไม่ถึงขั้นคิดไปในทางที่ไม่ดีว่าทั้งสองคนจะมีความสัมพันธ์ต่อกัน แต่พวกเขาก็ดูใกล้ชิดสนิทสนมกันจนเกินความพอดีไปเล็กน้อย ดีที่หลังจากซือเจ๋อเยว่พูดกับเยียนเซียวหรานเพียงไม่กี่คำ ก็ขึ้นรถม้าไปสนทนากับเยียนเหนียนเหนียนแล้ว พระชายาเยียนอ๋องขบคิด ก่อนเดินไปลากเยียนเซียวหรานพลางเอ่ย “เซียวเอ๋อร์ แม้องค์หญิงมีบุญคุณใหญ่หลวงต่อจวนอ๋อง แต่อย่างไรเสียนางก็เป็นพี่สะใภ้เจ้า” “เจ้าเป็นลูกชายข้า ข้าย่อมเชื่อใจเจ้าอยู่แล้ว และเชื่อในศีลธรรมขององค์หญิงด้วย” “เพียงแต่ว่าเดิมทีความคาดหวังของสังคมที่มีต่อสตรีก็มากกว่าบุรุษ หากใครเอาเรื่องนี้ไปพูดข้างนอก ผู้ที่เสียหายก็เป็นฝ่ายหญิงอยู่วันยันค่ำ” เยียนเซียวหรานแววตาลุ่มลึกขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ไม่วายพยักหน้าเบา ๆ หนึ่งที “เสด็จแม่วางใจได้ ข้ามีแต่ความเคารพนับถือให้แก่องค์หญิง หามีความคิด
นางยิ้มพลางถามจ้าวซือหว่าน “แม่นางจ้าว เมื่อคืนนี้นอนไม่พอหรือ?” จ้าวซือหว่านเอ่ยด้วยท่าทางขัดเขินเล็กน้อย “เมื่อคืนพับกระดาษเงินกระดาษทองจนถึงกลางดึก นอนไม่ค่อยพอจริง ๆ เพคะ” ซือเจ๋อเยว่เห็นสาวใช้จวนตระกูลจ้าวยกตะกร้าใหญ่ใบหนึ่งอยู่ ในนั้นใส่กระดาษเงินกระดาษทองที่พับด้วยมือไว้จนเต็ม ซือเจ๋อเยว่ถาม “ทั้งหมดนี้แม่นางจ้าวพับเองหมดเลยหรือ?” จ้าวซือหว่านเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ใช่เพคะ ได้ยินมาว่าต้องลงมือพับเองถึงมีความจริงใจ” นางว่าแล้วก็ตั้งใจเผยนิ้วมือที่มีเศษสีทองติดอยู่เล็กน้อยให้ปรากฏตรงหน้าซือเจ๋อเยว่ ซือเจ๋อเยว่ยิ้มออกมา “แม่นางจ้าวใส่ใจนัก” ในใจนางกลับวาดเครื่องหมายกากบาทตัวโต ๆ ให้กับจ้าวซือหว่าน ในตะกร้ากระดาษเงินกระดาษทองใบนั้นมีรูปแบบการพับด้วยมือห้าหกแบบเป็นอย่างต่ำ เห็นชัดว่าเกิดจากการพับของคนหลายคน สิ่งนี้คนอื่นมองไม่ออก ทว่าซือเจ๋อเยว่ที่เติบโตมาในสำนักเต๋าตั้งแต่ยังเล็ก เห็นกระดาษเงินกระดาษทองที่ผู้คนพับมามากมายกลับมองปราดเดียวก็ดูออกทันควัน ประจวบเหมาะกับยามนี้เยียนเซียวหรานมองมาพอดี นางพยักหน้าเบา ๆ เขาก็เข้าใจความหมายของนางทันที จ้าวซือหว่านมีปัญ
จ้าวซือหว่านมองท่าทางมีเลศนัยของนาง ความสงสัยที่มีต่อนางพลันลดลงเล็กน้อย เพราะมิมีนักพรตเต๋าจอมขมังเวทคนใดที่จะเป็นเหมือนซือเจ๋อเยว่เช่นนี้ ที่ดู ๆ แล้วก็เหมือนเป็นคนหลอกลวงผู้หนึ่งเท่านั้น นางเผยรอยยิ้มออกมา “องค์หญิงช่างเป็นคนที่น่าสนใจจริงเชียว” ซือเจ๋อเยว่ยิ้มตาหยี “ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน” จ้าวซือหว่าน “…” คำพูดนี้ทำเอานางไม่รู้จะตอบอย่างไรเลย เรื่องการ ‘เชิญป้าย’ เป็นพิธีกรรมที่วัดเป้ากั๋วทำเป็นประจำ ระเบียบพิธีทั้งหมดไม่นับว่าซับซ้อนแต่อย่างใด ซึ่งก็ไม่พ้นฟังพระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์ อัญเชิญไม้ทำป้ายวิญญาณ สวดมนต์ เชิญป้าย และแกะสลักตัวอักษร สี่ขั้นตอนแรกนับว่าค่อนข้างเรียบง่าย ทว่าขั้นตอนการแกะสลักตัวอักษรนั้นกลับต้องใช้เวลาอยู่บ้าง พระชายาเยียนอ๋องเดิมทีก็รู้สึกไม่ค่อยดีเพราะเรื่องของเยียนอ๋องซื่อจื่อ หลังจากสี่ขั้นตอนแรกของพิธีเสร็จสิ้นลงแล้ว พอตกบ่าย นางถึงค่อย ๆ มีสีหน้าเบิกบานขึ้น ทั้งศาสนาพุทธและลัทธิเต๋าล้วนมีผู้เลื่อมใสศรัทธาไม่น้อยในราชวงศ์ยุคนี้ เมื่อดูในภาพรวม ก็มีจำนวนผู้นับถือที่ใกล้เคียงกันทีเดียว เพียงแต่คนในจวนเยียนอ๋องเชื่อในพระพุทธศาสนากันอ
พระชายาเยียนอ๋องถูกกำหนดให้ต้องพินาศ เยียนเซียวหรานก็ไม่สามารถให้ชีวิตอันสูงส่งกับนางได้ เขาย่อมไม่คู่ควรกับนางตลอดทางสายนี้นางได้วางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว ตราบใดที่เยียนเซียวหรานตามนางไป นางก็จะสามารถดึงพลังดวงชะตาของเขาออกไปจนหมด และตายอยู่ที่นี่นางต้องการเหยียบกระดูกของเยียนเซียวหราน เพื่อใช้ชีวิตที่ดีที่สุด นางเอ่ยเสียงเบา "คุณชายสาม พวกเราออกเดินทางกันเถอะ!"แม้ว่าเยียนเซียวหรานจะไม่ค่อยได้ติดต่อกับสตรีนางนี้ จึงไม่รู้ว่ามีอันใดน่าแปลกใจ ทว่าจากท่าทางของนางในยามนี้เขาก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่แตกต่างไปโดยสิ้นเชิงเขานึกถึงการคาดเดาของซือเจ๋อเยว่ จึงพยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้น "วันนี้ลำบากแม่นางจ้าวแล้ว"จ้าวซือหว่านยิ้มเล็กน้อย "ไม่ลำบากเจ้าค่ะ ซือหว่านแค่ทำหน้าที่ของตนเองเท่านั้น" เสียงของนางอ่อนโยน เพียงแค่ฟังเสียงของนาง ก็จะทำให้รู้สึกว่านางเป็นสตรีที่อ่อนโยนอย่างยิ่ง ขณะที่ทั้งสองคนถือถังเดินไป ส่วนซือเจ๋อเยว่ก็ยืนมองอยู่ข้างๆเพียงแค่ดูท่าทางของทั้งสองคน นางรู้สึกว่าพวกเขาเหมาะสมกันปานกิ่งทองใบหยก หากจ้าวซือหว่านไม่ใช่คนที่มีจิตใจไม่ดีแล้วละก็ พวกเขาน่าจะเป็นคู่ที่เหมาะสมกั
เยียนเหนียนเหนียนพยักหน้า "พกมาแล้ว"ซือเจ๋อเยว่จึงเอ่ยขึ้น "เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ!"ถนนไปที่ลำธารมีสองทาง ถนนสายหนึ่งค่อนข้างกว้างและปูด้วยหิน อีกทางเป็นทางเดินเส้นเล็กที่คดเคี้ยว แต่ระยะทางจะใกล้กว่าเล็กน้อยถนนที่เยียนเซียวหรานและจ้าวซือหว่านไปคือเส้นทางที่เดินง่าย แต่ซือเจ๋อเยว่กลับพาเยียนเหนียนเหนียนเดินทางเส้นเล็กเยียนเซียวหรานไม่ได้คิดจะเอ่ยอันใดกับจ้าวซือหว่าน แต่จ้าวซือหว่านกลับคิดจะหยั่งเชิงอีกฝ่ายนางอยากรู้ว่าหยกแขวนนั้นถูกทำลายได้อย่างไร และผู้ใดเป็นคนทำลายหลังจากที่พวกเขาลับจากสายตาของคนอื่นๆ จ้าวซือหว่านก็เริ่มเอ่ยขึ้นปานโยนหินถามทาง "กระต่ายคู่ที่คุณชายสามส่งมาปีก่อนน่ารักมาก ข้าชอบมันมาก"เยียนเซียวหรานเอ่ยเสียงเรียบ "นั่นคือของที่หกน้องเลือก"จ้าวซือหว่านเอ่ยเสียงเบา "ข้าเคยได้ยินคนอื่นบอกว่าเหล่าพี่น้องในจวนเยียนอ๋องมีความสัมพันธ์ที่ดีมาก"เยียนเซียวหรานไม่ตอบอันใด จ้าวซือหว่านจึงเอ่ยต่อ "ข้าเคยขอให้พระสงฆ์ในวัดเบิกเนตรให้กับหยก""ข้าขอให้พระชายาส่งหยกแขวนให้คุณชายสาม ไม่รู้ว่าคุณชายสามได้รับหรือไม่? "เยียนเซียวหรานพยักหน้าแล้วบอกไป "รับมาแล้ว"จ้าวซือหว
เขาจ้องมองนางด้วยสายตาเย็นชา "เป็นข้าที่ไร้เดียงสาเกินไป คิดว่าเรื่องราวระหว่างเราจะต่างออกไป" "แต่ข้ากลับลืมไปว่า เจ้าเป็นคนของสำนักเต๋า เราสองคนก็อยู่กันคนละฝ่ายตั้งแต่แรกเริ่ม" "ซือเจ๋อเยว่ ตั้งแต่นี้ไปข้าขอตัดขาดจากเจ้า หากพบกันอีก ข้าจะฆ่าเจ้าแน่นอน!" เมื่อเอ่ยจบเขาก็หยิบของสิ่งหนึ่งจากร่างกายแล้วขว้างออกไป สิ่งนั้นทำหน้าที่รับแรงโจมตีจากค่ายกลแทนเขา ก่อนที่ตัวเขาจะพุ่งออกจากค่ายกลราวกับดาวตกก็ไม่ปาน ซือเจ๋อเยว่รีบไล่ตามออกไป แต่ภายนอกกลับไร้เงาของไป๋จื้อเซียน นางรู้สึกเป็นกังวลอย่างยิ่ง วันนี้เขาเข้าใจนางผิด แล้วจากไปเช่นนี้ ภายภาคหน้าก็ไม่อาจล่วงรู้เลยว่าจะเกิดอันใดขึ้นอีก ยังดีที่เขาเคยสาบานต่อสวรรค์ ว่าจะไม่สังหารผู้บริสุทธิ์ อย่างน้อยสถานการณ์ก็ยังไม่เลวร้ายถึงระดับนั้น แต่เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาขาดสะบั้นในบัดนี้ ด้วยนิสัยของเขา ย่อมต้องหาหนทางสังหารนางให้ได้อย่างแน่นอน! นางคิดว่าตนเองยังคงประเมินไป๋จื้อเซียนต่ำเกินไป คิดไม่ถึงว่าเขาจะสามารถหลบหนีออกจากค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาได้ เยียนเซียวหรานถามขึ้น "เมื่อครู่นี้เกิดอันใดขึ้น?" ซือเจ๋อเยว่ถอนหายใจ "ตุ๊
ซือเจ๋อเยว่ประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากตุ๊กตาดินเผาเหล่านี้นับหลังจากตั้งแต่ที่อาจารย์สามปั้นเสร็จแล้ววางไว้ที่นี่ ก็ไม่เคยมีความรู้สึกอะไรนางคิดมาตลอดว่าอาจารย์สามทำเช่นนี้เพราะจะหยอกนางเล่น ไม่คิดเลยว่าจนกระทั่งวันนี้จะมีความเคลื่อนไหวแล้วที่ประตูมีเสียงของไป๋จื้อเซียนดังลอยเข้ามา “เจ้าล่อลวงข้ามาที่นี่ ก็เพราะอยากจะฆ่าข้าใช่หรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่หันหน้ากลับไปมองก็เห็นไป๋จื้อเซียนยืนอยู่ที่หน้าประตู ตุ๊กตาดินเผาเหล่านั้นรวมตัวกันกลายเป็นค่ายกล จะจัดการกับเขาหลังจากที่วันนี้เขาเดินเข้ามาในสำนักเต๋า ความสามารถทุกด้านก็ถูกลดทอนลง ตุ๊กตาดินเผาเหล่านี้ยังเป็นตุ๊กตาที่อาจารย์สามปั้นขึ้นเองกับมืออีกด้วย ด้านในมีค่ายกลที่ร้ายแรงเป็นอย่างยิ่งซ่อนอยู่ไป๋จื้อเซียนในเวลานี้ถูกค่ายกลนี้ขังเอาไว้ ไม่สามารถดิ้นให้หลุดได้เขาเกิดความสงสัยมาก ประกอบกับก่อนหน้านี้ซือเจ๋อเยว่อยากจะจัดการเขามาตลอด เขาจึงคิดว่านางเป็นผู้ควบคุมให้ตุ๊กตาดินเผาเหล่านี้มาจัดการเขาก่อนหน้านี้ซือเจ๋อเยว่เคยคิดอยากจะจัดการเขาในสำนักเต๋าจริง ๆ แต่เป็นครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนางจริง ๆเป็นเพราะร่างกายที่พิเศษเ
ความทรุดโทรมนี้เริ่มปรากฏตั้งแต่ประตูเขาที่เก่าและทรุดโทรม ยาวไปตลอดทางจนถึงกระทั่งถึงโถงใหญ่ของสำนักเต๋าด้านในก็มีเพียงรูปหล่องทองคำปรมาจารย์เต๋าที่ยังมีสภาพดีอยู่เพียงเท่านั้น อาคารอื่น ๆ ของวัดก็สามารถใช้คำว่าชำรุดทรุดโทรมมาบรรยายได้เมื่อซือเจ๋อเยว่กลับมา นักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ที่เฝ้าภูเขาก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ท่านกลับมาแล้ว ไม่ไปไหนแล้วใช่หรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่ได้ยินก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ข้าอาศัยคืนเดียวก็จะไปแล้ว”ใบหน้าของนักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ก็มีสีหน้าผิดหวังปรากฏขึ้นมาทันที นางหยิบทองหนึ่งกำมือออกมาจากมิติคาถาเต๋าแล้วมอบให้เขา “ค่าอาหารของปีนี้”นักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ใช้สองมือรับทองคำ ใบหน้ามีรอยยิ้มขึ้นมาทันที “อย่างไรเสียศิษย์พี่หญิงใหญ่ก็เก่งกาจ!”สำนักเต๋าผ่านไปด้วยความยากลำบากมาก ทองคำเหล่านี้เมื่อแลกเป็นเงินก็ได้หลายพันตำลึง เพียงพอที่จะให้พวกเขามีกินได้ถึงสิ้นปีซือเจ๋อเยว่ถามเขา “พวกอาจารย์ออกจากสำนักเต๋าตั้งแต่เมื่อใด?”นักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ “ทันทีที่ศิษย์พี่หญิงใหญ่ออกไปจากสำนักเต๋า เจ้าสำนักพวกเขาก็ไปแล้ว”ซือเจ๋อเยว่ขมวดคิ้ว “พวกเขาได้บอกหรือไ
ซือเจ๋อเยว่เผชิญหน้ากับสายตาที่แฝงไปด้วยความน้อยใจของไป๋จื้อเซียน นางมีความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกด้วยท่าทางเช่นนี้ของเขา เกรงว่าคนที่ไม่รู้จะคิดว่าพวกเขากำลังสุมหัวกันกลั่นแกล้งเขาแต่เรื่องจริงคือเขาเกือบทำให้พวกเขาต้องติดกับดักจนตายในเวลานี้นางจำต้องกล่าว “ขอบคุณคุณชายไป๋มาก”ไป๋จื้อเซียนมองนางด้วยสีหน้าน่าสงสารพร้อมกล่าว “เมื่อครู่นี้เจ้าดุข้า”ซือเจ๋อเยว่ “...”นางสูดหายใจในใจทีหนึ่ง เจ้าหมอนี่แสดงละครเก่งมาก!นางยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ข้ามีนิสัยใจร้อน เวลามองอะไรก็มักจะมองแค่สถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า ไม่สู้คุณชายไป๋ที่มองการณ์ไกล”“คุณชายไป๋คาดการณ์เรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในตอนหลังได้ตั้งแต่แรกแล้ว ข้าชื่นชมตบะอันล้ำลึกทำให้ข้านับถือจากใจจริง”“ครั้งหน้าหากยังมีเรื่องแบบเดียวกันอีก คุณชายไป๋ได้โปรดแจ้งให้ทราบล่วงหน้าเสียหน่อย พวกเราจะได้ร่วมมือกันได้ดี”นางพูดจบก็ยิ้มให้เขาเล็กน้อย “คุณชายไป๋ช่วยพวกเราคำนวณดูหน่อยได้หรือไม่ พวกเรากลับเมืองหลวงครั้งนี้ จะล้มจวนหนิงกั๋วกงได้หรือไม่?”ไป๋จื้อเซียน “...”ถึงแม้เขาจะมีชีวิตอยู่มาหนึ่งพันปีแล้วก็ตาม เรียนรู้เพียงความสามารถฆ
“ถึงแม้วันนี้ข้ากับชื่อปาเลี่ยจะบุกฝ่าออกมาได้ แต่ก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด”“การล้อเล่นแบบนี้ อย่างไรคุณชายไป๋ช่วยลดลงหน่อยจะดีมาก”ไป๋จื้อเซียนจ้องมองเขาด้วยสายตาเย็นชา เขาหันหน้าไปมองไป๋จื้อเซียน โดยไม่ยอมอ่อนข้อเลยแม้แต่น้อยชื่อปาเลี่ยที่อยู่ข้าง ๆ พูดไกล่เกลี่ย “ครั้งนี้พวกข้าไม่เป็นอะไร อย่างไรก็ช่างเถอะ”ความโกรธที่ไป๋จื้อเซียนมีอยู่มากมายไม่มีที่ระบาย ยกมือขึ้นแล้วสะบัดทำให้ชื่อปาเลี่ยลอยกระเด็นออกไปชื่อปาเลี่ย “!!!!!”หากวันหลังเขายังกล้าสอดเรื่องของพวกเขาอีก เขาก็คือก็คือไอ้ลูกหมา!เขากระแทกลงบนพื้นอย่างแรง ร้องโอ๊ยออกมาทีหนึ่งซือเจ๋อเยว่รีบยื่นมือออกไปประคองชื่อปาเลี่ย “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”ชื่อปาเลี่ยกุมหน้าอกกล่าว “ข้าเจ็บหน้าอกนิดหน่อย”ในระหว่างที่พูดเขารู้สึกผิดปกติบริเวณหน้าอก ยื่นมือออกไปแล้วล้วง ไม่คิดเลยว่าจะควักสมุดบันทึกเล็ก ๆ เล่มหนึ่งออกมาจากข้างใน “นี่มันอะไรกัน?”หลังจากซือเจ๋อเยว่รับมาก็เปิดสมุดบันทึกเล่มเล็ก พบว่าเป็นสำเนาคำสั่งเคลื่อนย้ายฉบับนั้นที่เยียนอ๋องซื่อจื่อกล่าวไว้นางทั้งตกใจทั้งดีใจ “นี่คือสำเนาคำสั่งเคลื่อนย้าย!”เยียนเซียวหรา
ซือเจ๋อเยว่รีบกล่าว “ข้าไม่เป็นอะไร”นางพูดจบก็กล่าวด้วยสีหน้าเป็นกังวล “เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือ?”เยียนเซียวหรานยิ้มเล็กน้อย “ข้าไม่เป็นอะไร”เขาพูดจบก็ประสานมือคำนับไป๋จื้อเซียนกล่าว “ขอบคุณคุณชายไป๋ที่พาองค์หญิงออกมาได้อย่างปลอดภัย ทำให้ข้าไม่ต้องเป็นพะวงที่จะบุกฝ่ากองทัพออกมา”สีหน้าของไป๋จื้อเซียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย เรื่องนี้เขาวางแผนทำร้ายเยียนเซียวหราน เยียนเซียวหรานขอบคุณเขาจึงทำให้เขารู้สึกไม่สบายเป็นอย่างมากยังมีท่าทีของซือเจ๋อเยว่อีก ในดวงตาของนางมีเพียงเยียนเซียวหรานเท่านั้น ไม่มีเขาเลยแม้แต่น้อยความรู้สึกแบบนี้ทำให้ไป๋จื้อเซียนไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งเขารู้สึกไม่พอใจ จึงอยากจะทำร้ายชื่อปาเลี่ยอีกครั้งดวงตาของเขากวาดมองไปยังชื่อปาเลี่ย ชื่อปาเลี่ยได้หลบไปอยู่ที่ด้านหลังของซือเจ๋อเยว่อย่างรวดเร็ว “คุณชายไป๋จะทำร้ายข้า องค์หญิงช่วยด้วย!”ซือเจ๋อเยว่รู้ว่าไป๋จื้อเซียนมีนิสัยขี้โมโห เขาติดตามอยู่ข้าง ๆ พวกเขา ก็ไม่ต่างอะไรกับระเบิดเวลา ไม่รู้ว่าจะเบิดขึ้นเมื่อไหร่เพียงแต่หากปล่อยเขาไป วันข้างหน้าก็ไม่รู้ว่าเขาจะก่อเหตุวุ่นวายอะไรขึ้นอีกนางคิดว่า อย่างไรเสียก็ต้องคิดหาว
เขายิ้มแย้มพร้อมกล่าวกับเยียนเซียวหราน “ข้าพาเจ๋อเยว่นำไปก่อน พวกเจ้าสู้ ๆ ล่ะ”ซือเจ๋อเยว่ “...”เยียนเซียวหราน “...”ซือเจ๋อเยว่กล่าวด้วยความร้อนใจ “นี่ เจ้าพาพวกเขาไปด้วยกันสิ!”ไป๋จื้อเซียนกล่าวด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “สถานการณ์แบบนี้ไม่ฆ่าคนก็พาพวกเขาออกไปไม่ได้”“ก่อนหน้านี้ข้าเคยสาบานต่อสวรรค์ไว้ว่า ไม่สามารถลงมือฆ่าคนได้โดยไม่มีสาเหตุ ดังนั้น...”ซือเจ๋อเยว่หันหน้ามองเขา ในดวงตาที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ทั้งสองข้างของเขาแฝงไปด้วยหยอกเย้า ท่าทางเหมือนกับกำลังดูละครด้วยความสุขนางรู้ดีว่า เรื่องในวันนี้เขานั้นเจตนา!นางรู้ดีว่า คนที่ชั่วร้ายเช่นไป๋จื้อเซียนจะยอมร่วมมือกับพวกเขาได้อย่างไร?นางกล่าวด้วยความร้อนใจ “ปล่อยข้าลง! ข้าจะไปช่วยพวกเขา!”ไป๋จื้อเซียนยิ้มด้วยความร่าเริงพร้อมกล่าว “ตอนนี้ด้านล่างมีแต่คน ทั้งเจ้ายังไม่เป็นวรยุทธ์ หากลงไปจริง ๆ ก็รังแต่จะยิ่งอันตราย”“อีกอย่าง ขอเพียงเจ้าสงบ เยียนเซียวหรานก็จะไม่เป็นพะวง ก็สามารถแสดงความสามารถของเขาได้อย่างเต็มที่”“ข้าเชื่อ ด้วยความสามารถของเขา ต้องสามารถฝ่าวงล้อมออกไปได้แน่ ปลอดภัยหายห่วง” ซือเจ๋อเยว่ค้อนเขา เขากะพริบตาใส
เยียนเซียวหรานกวัดแกว่งกระบี่ในมืออย่างสุดแรง พยายามพาซือเจ๋อเยว่พุ่งตัวออกไปด้านนอกชื่อปาเลี่ยกลับด่าทออย่างบ้าคลั่งอยู่ตรงนั้น “ไอ้แม่งเอ๊ย ครั้งก่อนเกือบตายที่ด่านอวิ๋นหลิ่ง ครั้งนี้ยังจะมาอีก!”เขาพูดจบก็กล่าวกับซือเจ๋อเยว่อีก “องค์หญิง ค่ายกลนั่นของท่านเมื่อครั้งก่อน เอาออกมาใช้อีกครั้งได้หรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่กล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดี “เอามาใช้อีกครั้ง ข้าก็สามารถตายตรงนี้ต่อหน้าพวกเจ้าได้เลย!”ชื่อปาเลี่ย “...”เยียนเซียวหรานกล่าวเสียงขรึม “เลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว พุ่งไปข้างหน้าด้วยกันกับข้า”ซือเจ๋อเยว่ครุ่นคิด ครั้งนี้อยู่ภายในห้องปิดตาย จะอย่างไรก็ต้องพุ่งตัวเข้าไปหาก่อนดังนั้นนางจึงหยิบยันต์ออกมา ใช้คาถาเต๋าทำให้ระเบิด ภายในชั่วพริบตา ภายในห้องก็มีลมกระโชกแรงเกิดขึ้น พัดทหารยามพวกนั้นที่อยู่หน้าประตูลอยกระเด็นออกไปข้างนอกชื่อปาเลี่ยหลบไม่ทัน หัวจึงกระแทกพื้นเยียนเซียวหรานอยากจะจับเขาเอาไว้ แต่ลมแรงเกินไป จึงทำให้ไม่สามารถจับเขาได้เลยซือเจ๋อเยว่คว้าขาของชื่อปาเลี่ยเอาไว้แล้วกล่าว “รีบไป!”ชื่อปาเลี่ย “!!!!!!”เขาเองก็อยากจะหนีไปโดยเร็วเช่นกัน แต่ปัญหาคือลมทั้งรุนแ
สิ่งของที่อยู่ด้านในมองดูค่อนข้างสลับซับซ้อน กองกันเละเทะ ทันทีที่ดูก็รู้ว่าหลังจากถูกใครบางคนรื้อค้นจนเละเทะ ก็ไม่ได้จัดระเบียบใหม่ภายในห้องที่รกรุงรังแบบนี้ อยากจะตามหาสิ่งของที่พวกเขาอยากได้ เหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้หลังจากที่ซือเจ๋อเยว่กับเยียนเซียวหรานรื้อค้นรอบหนึ่ง ก็ไม่ได้อะไรแม้แต่อย่างเดียวทั้งสองคนสบตากันแวบหนึ่ง ก็เห็นความจนปัญญาจากดวงตาของอีกฝ่ายภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ราวกับว่าไม่มีความจำเป็นที่จะตามหาต่อไปแล้วในเวลานี้เอง เสียงของทหารยามก็ดังลอยมาจากหน้าประตู “ใครกัน?”ซือเจ๋อเยว่รีบเก็บไข่มุกราตรีลงไป ด้านในจึงกลับคืนสู่ความมืดอีกครั้งเนื่องจากเมื่อครู่นี้ทหารยามได้เห็น ‘การแสดง’ ของไป๋จื้อเซียน ภายในใจจึงหวาดกลัวเป็นอย่างมากแต่เพราะมีคำสั่งของนายพลที่เฝ้าด่าน เขาจึงไม่กล้าละทิ้งหน้าที่โดยพลการอีก จึงเรียกเพื่อนร่วมงาน ตั้งใจว่าจะจุดเทียนแล้วเข้าไปตรวจค้นด้านในตอนที่เขากำลังจะเปิดประตู ทหารยามคนนั้นก็หันหน้ากลับไปมอง ก็เห็นใบหน้าที่ชั่วร้ายของไป๋จื้อเซียน เสื้อผ้าสีแดงราวกับเลือดทหารยามไม่ได้รู้สึกตัวในทันที ยังถามว่า “เจ้าเป็นใคร?”ไป๋จื้อ