เยียนเซียวหรานถามนาง “เรื่องนี้อีกนานแค่ไหนถึงจะแก้ไขได้?” ซือเจ๋อเยว่ผายมือ “ไม่รู้ หากตามหาผู้ที่ลงมือพบ ก็จะแก้ไขได้เร็วขึ้น” เยียนเซียวหรานมองนางแวบหนึ่ง พลันคิ้วขมวดมุ่น พระชายาเยียนอ๋องเห็นพวกเขากำลังพูดคุยสนทนากันใกล้ชิด คิ้วค่อย ๆ ขมวดเข้าหากัน แม้นางยังไม่ถึงขั้นคิดไปในทางที่ไม่ดีว่าทั้งสองคนจะมีความสัมพันธ์ต่อกัน แต่พวกเขาก็ดูใกล้ชิดสนิทสนมกันจนเกินความพอดีไปเล็กน้อย ดีที่หลังจากซือเจ๋อเยว่พูดกับเยียนเซียวหรานเพียงไม่กี่คำ ก็ขึ้นรถม้าไปสนทนากับเยียนเหนียนเหนียนแล้ว พระชายาเยียนอ๋องขบคิด ก่อนเดินไปลากเยียนเซียวหรานพลางเอ่ย “เซียวเอ๋อร์ แม้องค์หญิงมีบุญคุณใหญ่หลวงต่อจวนอ๋อง แต่อย่างไรเสียนางก็เป็นพี่สะใภ้เจ้า” “เจ้าเป็นลูกชายข้า ข้าย่อมเชื่อใจเจ้าอยู่แล้ว และเชื่อในศีลธรรมขององค์หญิงด้วย” “เพียงแต่ว่าเดิมทีความคาดหวังของสังคมที่มีต่อสตรีก็มากกว่าบุรุษ หากใครเอาเรื่องนี้ไปพูดข้างนอก ผู้ที่เสียหายก็เป็นฝ่ายหญิงอยู่วันยันค่ำ” เยียนเซียวหรานแววตาลุ่มลึกขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ไม่วายพยักหน้าเบา ๆ หนึ่งที “เสด็จแม่วางใจได้ ข้ามีแต่ความเคารพนับถือให้แก่องค์หญิง หามีความคิด
นางยิ้มพลางถามจ้าวซือหว่าน “แม่นางจ้าว เมื่อคืนนี้นอนไม่พอหรือ?” จ้าวซือหว่านเอ่ยด้วยท่าทางขัดเขินเล็กน้อย “เมื่อคืนพับกระดาษเงินกระดาษทองจนถึงกลางดึก นอนไม่ค่อยพอจริง ๆ เพคะ” ซือเจ๋อเยว่เห็นสาวใช้จวนตระกูลจ้าวยกตะกร้าใหญ่ใบหนึ่งอยู่ ในนั้นใส่กระดาษเงินกระดาษทองที่พับด้วยมือไว้จนเต็ม ซือเจ๋อเยว่ถาม “ทั้งหมดนี้แม่นางจ้าวพับเองหมดเลยหรือ?” จ้าวซือหว่านเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ใช่เพคะ ได้ยินมาว่าต้องลงมือพับเองถึงมีความจริงใจ” นางว่าแล้วก็ตั้งใจเผยนิ้วมือที่มีเศษสีทองติดอยู่เล็กน้อยให้ปรากฏตรงหน้าซือเจ๋อเยว่ ซือเจ๋อเยว่ยิ้มออกมา “แม่นางจ้าวใส่ใจนัก” ในใจนางกลับวาดเครื่องหมายกากบาทตัวโต ๆ ให้กับจ้าวซือหว่าน ในตะกร้ากระดาษเงินกระดาษทองใบนั้นมีรูปแบบการพับด้วยมือห้าหกแบบเป็นอย่างต่ำ เห็นชัดว่าเกิดจากการพับของคนหลายคน สิ่งนี้คนอื่นมองไม่ออก ทว่าซือเจ๋อเยว่ที่เติบโตมาในสำนักเต๋าตั้งแต่ยังเล็ก เห็นกระดาษเงินกระดาษทองที่ผู้คนพับมามากมายกลับมองปราดเดียวก็ดูออกทันควัน ประจวบเหมาะกับยามนี้เยียนเซียวหรานมองมาพอดี นางพยักหน้าเบา ๆ เขาก็เข้าใจความหมายของนางทันที จ้าวซือหว่านมีปัญ
จ้าวซือหว่านมองท่าทางมีเลศนัยของนาง ความสงสัยที่มีต่อนางพลันลดลงเล็กน้อย เพราะมิมีนักพรตเต๋าจอมขมังเวทคนใดที่จะเป็นเหมือนซือเจ๋อเยว่เช่นนี้ ที่ดู ๆ แล้วก็เหมือนเป็นคนหลอกลวงผู้หนึ่งเท่านั้น นางเผยรอยยิ้มออกมา “องค์หญิงช่างเป็นคนที่น่าสนใจจริงเชียว” ซือเจ๋อเยว่ยิ้มตาหยี “ข้าก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน” จ้าวซือหว่าน “…” คำพูดนี้ทำเอานางไม่รู้จะตอบอย่างไรเลย เรื่องการ ‘เชิญป้าย’ เป็นพิธีกรรมที่วัดเป้ากั๋วทำเป็นประจำ ระเบียบพิธีทั้งหมดไม่นับว่าซับซ้อนแต่อย่างใด ซึ่งก็ไม่พ้นฟังพระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์ อัญเชิญไม้ทำป้ายวิญญาณ สวดมนต์ เชิญป้าย และแกะสลักตัวอักษร สี่ขั้นตอนแรกนับว่าค่อนข้างเรียบง่าย ทว่าขั้นตอนการแกะสลักตัวอักษรนั้นกลับต้องใช้เวลาอยู่บ้าง พระชายาเยียนอ๋องเดิมทีก็รู้สึกไม่ค่อยดีเพราะเรื่องของเยียนอ๋องซื่อจื่อ หลังจากสี่ขั้นตอนแรกของพิธีเสร็จสิ้นลงแล้ว พอตกบ่าย นางถึงค่อย ๆ มีสีหน้าเบิกบานขึ้น ทั้งศาสนาพุทธและลัทธิเต๋าล้วนมีผู้เลื่อมใสศรัทธาไม่น้อยในราชวงศ์ยุคนี้ เมื่อดูในภาพรวม ก็มีจำนวนผู้นับถือที่ใกล้เคียงกันทีเดียว เพียงแต่คนในจวนเยียนอ๋องเชื่อในพระพุทธศาสนากันอ
พระชายาเยียนอ๋องถูกกำหนดให้ต้องพินาศ เยียนเซียวหรานก็ไม่สามารถให้ชีวิตอันสูงส่งกับนางได้ เขาย่อมไม่คู่ควรกับนางตลอดทางสายนี้นางได้วางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว ตราบใดที่เยียนเซียวหรานตามนางไป นางก็จะสามารถดึงพลังดวงชะตาของเขาออกไปจนหมด และตายอยู่ที่นี่นางต้องการเหยียบกระดูกของเยียนเซียวหราน เพื่อใช้ชีวิตที่ดีที่สุด นางเอ่ยเสียงเบา "คุณชายสาม พวกเราออกเดินทางกันเถอะ!"แม้ว่าเยียนเซียวหรานจะไม่ค่อยได้ติดต่อกับสตรีนางนี้ จึงไม่รู้ว่ามีอันใดน่าแปลกใจ ทว่าจากท่าทางของนางในยามนี้เขาก็รู้สึกได้ถึงบรรยากาศที่แตกต่างไปโดยสิ้นเชิงเขานึกถึงการคาดเดาของซือเจ๋อเยว่ จึงพยักหน้าแล้วเอ่ยขึ้น "วันนี้ลำบากแม่นางจ้าวแล้ว"จ้าวซือหว่านยิ้มเล็กน้อย "ไม่ลำบากเจ้าค่ะ ซือหว่านแค่ทำหน้าที่ของตนเองเท่านั้น" เสียงของนางอ่อนโยน เพียงแค่ฟังเสียงของนาง ก็จะทำให้รู้สึกว่านางเป็นสตรีที่อ่อนโยนอย่างยิ่ง ขณะที่ทั้งสองคนถือถังเดินไป ส่วนซือเจ๋อเยว่ก็ยืนมองอยู่ข้างๆเพียงแค่ดูท่าทางของทั้งสองคน นางรู้สึกว่าพวกเขาเหมาะสมกันปานกิ่งทองใบหยก หากจ้าวซือหว่านไม่ใช่คนที่มีจิตใจไม่ดีแล้วละก็ พวกเขาน่าจะเป็นคู่ที่เหมาะสมกั
เยียนเหนียนเหนียนพยักหน้า "พกมาแล้ว"ซือเจ๋อเยว่จึงเอ่ยขึ้น "เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ!"ถนนไปที่ลำธารมีสองทาง ถนนสายหนึ่งค่อนข้างกว้างและปูด้วยหิน อีกทางเป็นทางเดินเส้นเล็กที่คดเคี้ยว แต่ระยะทางจะใกล้กว่าเล็กน้อยถนนที่เยียนเซียวหรานและจ้าวซือหว่านไปคือเส้นทางที่เดินง่าย แต่ซือเจ๋อเยว่กลับพาเยียนเหนียนเหนียนเดินทางเส้นเล็กเยียนเซียวหรานไม่ได้คิดจะเอ่ยอันใดกับจ้าวซือหว่าน แต่จ้าวซือหว่านกลับคิดจะหยั่งเชิงอีกฝ่ายนางอยากรู้ว่าหยกแขวนนั้นถูกทำลายได้อย่างไร และผู้ใดเป็นคนทำลายหลังจากที่พวกเขาลับจากสายตาของคนอื่นๆ จ้าวซือหว่านก็เริ่มเอ่ยขึ้นปานโยนหินถามทาง "กระต่ายคู่ที่คุณชายสามส่งมาปีก่อนน่ารักมาก ข้าชอบมันมาก"เยียนเซียวหรานเอ่ยเสียงเรียบ "นั่นคือของที่หกน้องเลือก"จ้าวซือหว่านเอ่ยเสียงเบา "ข้าเคยได้ยินคนอื่นบอกว่าเหล่าพี่น้องในจวนเยียนอ๋องมีความสัมพันธ์ที่ดีมาก"เยียนเซียวหรานไม่ตอบอันใด จ้าวซือหว่านจึงเอ่ยต่อ "ข้าเคยขอให้พระสงฆ์ในวัดเบิกเนตรให้กับหยก""ข้าขอให้พระชายาส่งหยกแขวนให้คุณชายสาม ไม่รู้ว่าคุณชายสามได้รับหรือไม่? "เยียนเซียวหรานพยักหน้าแล้วบอกไป "รับมาแล้ว"จ้าวซือหว
เขาพบว่าเวลาเพียงชั่วพริบตาผืนป่าก็มืดครึ้มไปมากท้องฟ้าข้างนอกแจ่มใส แต่ข้างในกลับมองเห็นเพียงเทียนสีขาวไม่กี่เล่มเปลวเพลิงบนแท่งเล่นสีขาววาบไหว แสงที่ริบหรี่เป็นสีเขียว ดูแปลกประหลาดอย่างยิ่งในแววตาของจ้าวซือหว่านมีความชอบใจปรากฏ "ใช่แล้ว! หากเจ้าไม่ทำลายหยกแขวนชิ้นนั้น เจ้าก็อาจจะมีชีวิตอยู่ได้นานกว่านี้อีกหลายวัน""ผู้ใดใช้ให้เจ้าไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ทำลายหยกแขวนที่ข้ามอบให้ไป เจ้ามันรนหาที่ตายเอง"เยียนเซียวหรานเอ่ยถามนาง "วันที่เคลื่อนย้ายศพเสด็จพ่อข้า จ้าวอวี่ชุนมาทำเรื่องยกเลิกการหมั้น นั่นก็เป็นความคิดของเจ้า?"จ้าวซือหว่านส่ายหน้า "แน่นอนว่าไม่ใช่ เขาคิดเองทำเอง คิดว่าหากไม่ยกเลิกการหมั้นครั้งนั้น ข้าแต่งงานกับเจ้าแล้วจะต้องลำบาก""เขามีจิตใจของผู้เป็นพ่อที่เมตตา แต่เกือบจะทำลายแผนการของข้า"ดวงตาของเยียนเซียวหรานเยือกเย็นมากกว่าเดิม "ข้าไม่มีความแค้นใดกับเจ้า เหตุใดเจ้าต้องทำร้ายข้า? "จ้าวซือหว่านหัวเราะขึ้นมา "ข้าบอกไปก่อนหน้านี้แล้ว ว่าไม่ใช่ข้าที่จะทำร้ายเจ้า แต่เพราะดวงชะตาของเจ้าดีเกินไป""ข้าเพียงแค่อยากอยู่กับคนที่ข้ารักและมีชีวิตที่ดีเท่านั้น ขอคุณช
ในขณะเดียวกัน จ้าวซือหว่านก็ขยับไปด้านข้างหลายก้าว รักษาระยะห่างกับเขานางเอ่ยขึ้นด้วยความโกรธ "คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะพกอาวุธติดตัว ทั้งยังคิดจะทำร้ายข้า!""วันนี้ข้าจะทำให้วิญญาณของเจ้าสูญสิ้นเหมือนพี่ใหญ่ของเจ้า ไม่ได้กลับชาติมาเกิดอีก!"เมื่อเยียนเซียวหรานได้ยินเช่นนั้นจึงถามขึ้น "พี่ใหญ่ของข้าถูกพวกเจ้าสังหารหรือ?”จ้าวซือหว่านกระตุกยิ้ม "หากใช่แล้วมีอันใดหรือ? เป็นเพราะเขาไม่ดูตาม้าตาเรือ รนหาที่ตายเอง!"ดวงตาของเยียนเซียวหรานมีความโกรธมากกว่าเดิม เมื่อเขามีความโกรธมากขึ้น พลังปราณดำแห่งความอาฆาตก็ยิ่งแรงกล้ามากขึ้นกว่าเดิมเขาโจมตีจ้าวซือหว่านอีกครั้ง แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังคงหลบได้ก่อนหน้านี้เยียนเซียวหรานรู้ว่านางแปลกประหลาด แต่ยามนี้ก็เพิ่งรู้ว่านางร้ายกาจกว่าที่เขาคิดเห็นได้ชัดว่านางอยู่ตรงหน้าเขา แต่เขากลับแทงนางไม่โดนเขาหรี่ตาลงเล็กน้อย ดึงยันต์ที่ซือเจ๋อเยว่ให้เขาเมื่อยามเช้าออกมาอย่างเฉียบขาดหนึ่งใบ ตวัดมือโยนไปที่หน้าของจ้าวซือหว่านอย่างรวดเร็วยันต์นั้นไม่ได้ติดที่ตัวของจ้าวซือหว่าน หยุดอยู่ในระยะที่ห่างจากตัวนางไม่ถึงหนึ่งฉื่อยันต์ผืนนั้นลุกไหม้เอง กลายเป็นเปล
เมื่อแขนขาด เลือดก็พุ่งกระจายเมื่อจ้าวซือหว่านเห็นภาพนี้ พลันตัดสินใจเด็ดขาด ใช้เลือดวาดค่ายกลเลือดทมิฬขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นว่าค่ายกลเลือดทมิฬกำลังจะสำเร็จ หากค่ายกลนี้สำเร็จ ก็จะสามารถดึงดูดวิญญาณร้ายโดยรอบมาได้ทั้งหมด แล้วฉีกร่างของพวกเขาเสียดวงตาของนางเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น แต่เมื่อค่ายกลเลือดทมิฬยังขาดอีกเพียงเส้นเดียว ก็มีมือขาวซีดมาจับมือของนางเอาไว้นางเงยหน้าขึ้น ก็พลันเห็นดวงตาสีดำสนิทแต่กลับส่องประกายของซือเจ๋อเยว่ซือเจ๋อเยว่เอ่ยด้วยเสียงที่อ่อนโยน "คุณหนูจ้าว คู่ต่อสู้ของเจ้าคือข้า"เมื่อซือเจ๋อเยว่จับมือของจ้าวซือหว่านเอาไว้ นางก็รู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งตัวเหมือนมีอันใดบางอย่างครอบคลุมนางเอาไว้ ความเย็นพลันเกิดตั้งแต่เท้าขึ้นมา ทำให้นางรู้สึกสั่นสะท้านแม้อากาศไม่หนาวนางรู้ดีว่าความรู้สึกที่ยังยะเยือกนี้ไม่ธรรมดา ก่อนหน้านี้นางใช้ค่ายกลในการรวบรวมพลังที่ชั่วร้าย เมื่อพลังแห่งความชั่วเข้ามาสู่ร่างกายก็ทำให้รู้สึกอึดอัดทรมานเป็นอย่างยิ่ง ทว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุด ก็คือการที่ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เพียงแค่ยื่นมือมาจับมือนางเอาไว้ ก็สามารถดึงพลังชั่วร้ายเข้
นั่นเป็นเพราะหลังจากที่ตอนนั้นเขาเข้าไปในค่ายกลแล้ว ตกอยู่ในภาพลวงตา เหมือนเช่นเยียนเซียวหรานในตอนนี้ตัวประหลาดนั่นโหดเหี้ยมน่ากลัวเกินไป ภายในร่างกายกักขังเศษวิญญาณเอาไว้มากมายขนาดนั้นนางไม่จำเป็นต้องเดา เศษวิญญาณที่ตัวประหลาดกักขังเอาไว้ภายในร่างกายพวกนั้น เกรงว่าทั้งหมดจะเป็นองครักษ์ของเยียนอ๋องซื่อจื่อเมื่อนางนึกถึงเรื่องศพอันไม่สมบูรณ์ของเยียนอ๋องซื่อจื่อที่ถูกขนกลับมายังจวนเยียนอ๋อง เกรงว่าจะไม่ได้โดนสัตว์ป่ากัดเอา ทว่าถูกตัวประหลาดนี้ฉีกนางไม่สามารถจินตนาการได้ เยียนอ๋องซื่อจื่อและกลุ่มคนถูกขังอยู่ภายในค่ายกลนี้ ตอนที่ถูกตัวประหลาดฉีกกินทั้งเป็น จะน่าเวทนาและหมดหนทางมากขนาดไหน!ทว่าเรื่องทั้งหมดนี้ ก็เป็นเพียงแค่ต้องการฆ่าปิดปากพวกเขา จากนั้นก็ทำเป็นตาค่ายกล ถูกกักขังระหว่างหยินกับหยางตลอดไป กลับชาติมาเกิดใหม่ไม่ได้ต่อให้วิญญาณที่ไม่สมบูรณ์จะหนีไปแล้วกลับชาติมาเกิดใหม่ หากไม่โง่ ปัญญาอ่อน ก็จะอายุสั้น เพราะดวงวิญญาณไม่สมบูรณ์ ได้รับความทุกข์ทรมานเพราะกลับชาติมาเกิดคนผู้นี้จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต ทำให้รู้สึกโกรธมากจริง ๆ!พวกเขาวิ่งไปข้างหน้าอยู่ครู่หนึ่งถึงได้หยุดลงแล
ตัวประหลาดจับลูกธนูดอกนั้นไว้แล้วโยนใส่พวกเขาเยียนเซียวหรานหลบด้วยความรวดเร็ว ธนูดอกนั้นลอยเฉียดหัวของเขาไปซือเจ๋อเยว่ส่งเสียงร้องประหลาดใจออกมาเบา ๆ พลังสังหารของตัวประหลาดตัวนี้มากเสียจนน่าหวาดกลัวสีหน้าของเยียนเซียวหรานเองก็ค่อนข้างดูแย่เช่นกัน หากเป็นเช่นนี้ ต่อไปอยากจะยิงให้ถูกตัวประหลาดอีกก็คงกลายเป็นเรื่องที่ยากมากตอนที่ซือเจ๋อเยว่เห็นตัวประหลาดไล่ตามมา พลังชั่วร้ายสีดำที่แผ่ซ่านออกมาจากมือ นางจึงมีวิธีการแล้วนางหยิบลูกธนูดอกหนึ่งขึ้นมาแล้วติดยันต์ที่ด้านบน ให้เยียนเซียวหรานยิงอีกครั้งตัวประหลาดในเวลานี้อยู่ใกล้กับพวกเขามาก เยียนเซียวหรานทำได้เพียงหลบไปก่อน แล้วค่อยยิงธนูดอกนั้นออกไปตัวประหลาดตัวนั้นมองเห็นการเคลื่อนไหวนี้ของเขา ในดวงตาปรากฏความเหยียดหยามขึ้นมาแวบหนึ่ง ใช้วิธีการเดิมซ้ำอีกครั้งเพื่อจับธนูดอกนั้นเพียงแต่ครั้งนี้ตอนที่มันจับลูกธนูดอกนั้นเอาไว้ ทันใดนั้นยันต์ห้าอัสนีบาตรก็ทำงาน ภายในชั่วพริบตา เสียงฟ้าร้องคำรามลั่น ฟ้าผ่ามันจนไหม้เกรียมเยียนเซียวหรานแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก คิดว่าทำแบบนี้น่าจะผ่าจนตัวประหลาดตายแล้ว ทว่าครู่ต่อมา ตัวประหลาดก็ขยับอ
ตลอดทาง เขากลับทำให้ตัวประหลาดนั่นไม่ต้องครุ่นคิดอีก วิ่งไล่ตามชื่อปาเลี่ยไปทันทีในระหว่างที่ซือเจ๋อเยว่กำลังพูด ตัวประหลาดก็ได้โจมตีชื่อปาเลี่ยหลายรอบแล้วชื่อปาเลี่ยในเวลานี้ได้สติกลับคืนมาอย่างสมบูรณ์แล้ว กลัวว่าจะช่วยชีวิตเขาไม่ได้ เขาจำต้องคิดหาหนทางช่วยเหลือตัวเองศักยภาพของร่างกายเขาถูกกระตุ้นจนถึงขีดสุด ไม่นึกเลยว่าเขาจะหลบการโจมตีนับครั้งไม่ถ้วนของตัวประหลาดได้อย่างหวุดหวิดเขาในเวลานี้พลางร้องอย่างสิ้นหวัง พลางหลบอย่างบ้าคลั่ง กลายเป็นเจ้าอ้วนที่คล่องแคล่วที่สุดในใต้หล้านี้ได้สำเร็จเมื่อซือเจ๋อเยว่มองเห็นท่าทางที่ตกอยู่ในอันตรายของเขา ทั้งรู้สึกว่าเขาน่าสงสาร แล้วก็อยากจะขำอีกด้วย เนื่องจากตอนที่เขาหลบ เรียกได้ว่าไม่ได้สนใจภาพลักษณ์เลยสักนิดนางกล่าวกับเยียนเซียวหราน “ถึงแม้ในหนังสือจะไม่ได้บอกวิธีการที่สามารถสังหารตัวประหลาดประเภทนี้เอาไว้ สิ่งของบนโลกใบนี้อยากจะให้หายไปก็มีเพียงสองวิธี”“หนึ่งคือการโจมตีทางกายภาพ อีกอย่างก็คือการโจมตีแบบลี้ลับ”“ในเมื่อการโจมตีทางกายเมื่อครู่นี้ไม่ได้ผล เช่นนั้นก็ต้องลองการโจมตีแบบลี้ลับดูเสียหน่อย”ครั้งก่อนนางวาดยันต์สำรองเอาไว
ตอนนี้สิ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าของพวกเขา ก็คือสัตว์ยักษ์สีแดงที่สูงประมาณหนึ่งจั้งตัวหนึ่งสัตว์ยักษ์ตัวนั้นมีดวงตาสีดำที่คล้ายกับระฆัง ไม่มีคิ้ว ไม่มีขนตาจมูกมีเพียงรูจมูกสองรู ปากไม่มีริมฝีปาก ปรากฏให้เห็นฟันแหลมคมเต็มปาก ภายใต้ฟันอันแหลมคม เวลานี้ยังมีของเหลวสีเหลืองไหลย้อยออกมาเพียงแค่พวกนี้ก็พอทนแล้ว ร่างกายของเขายังมีตุ่มสีแดงเต็มตัวตุ่มพวกนั้นห้อยอยู่บนร่างกายของสัตว์ยักษ์ ปกคลุมร่างกายของมันที่เดิมทีเต็มไปด้วยขนสีดำ มองดูน่าสะอิดสะเอียนเป็นอย่างยิ่ง ซือเจ๋อเยว่ที่คิดว่าตัวเองเป็นคนมีความรู้กว้างขวางมาโดยตลอด กลับเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนขนาดนี้ชื่อปาเลี่ยร้องออกมาอย่างอดไม่ได้ “นี่มันตัวบ้าอะไรกันเนี่ย!”นี่เป็นคำถามที่เยี่ยมมากจริง ๆ ซือเจ๋อเยว่เองก็อยากรู้เช่นกันว่านี่มันคือตัวบ้าอะไรสัตว์ยักษ์ที่กำลังน้ำลายไหลตัวนั้นเดินมุ่งหน้าเข้ามาหาพวกเขา ทันทีที่มันเข้าใกล้ กลิ่นคาวกลุ่มนั้นก็รุนแรงขึ้นซือเจ๋อเยว่สะอิดสะเอียนจนอยากอ้วก!ตอนที่เยียนเซียวหรานมองเห็นสัตว์ยักษ์ตัวนั้น เสียงเตือนภายในใจของเขาก็ดังขึ้นอย่างบ้าคลั่งตอนที่สัตว์ยักษ์ตัวนั้นเดินเ
นางมีแววตาเปล่งประกายล้ำลึก “ช่างเป็นฝีมือที่สูงส่งยิ่งนัก!” เยียนเซียวหรานมองนาง นางจึงเอ่ยต่อ "ฟ้าคือหยาง ดินคือหยิน ยามหยินหยางกลับตาลปัตร สรรพสิ่งพลิกผัน กฎแห่งฟ้าดินถูกตัดขาด!" “แต่สิ่งใดที่หลอกลวงได้ชั่วคราว ย่อมไม่อาจปิดบังไปชั่วชีวิต!” “เหล่าดวงวิญญาณผู้ซื่อสัตย์แห่งสนามรบ ท่านทั้งหลายที่คืนสู่แผ่นดิน ณ ที่แห่งนี้ โปรดร่วมมือกับข้ากำจัดภาพลวงที่ปกคลุมโลกใบนี้ จงสลายม่านมายา! ทำลายมันเสีย!” นางฟาดฝ่ามือลงกับพื้นดิน สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งสี่ทิศ เสียงแตกร้าวดังมาจากรอบทิศ ทันทีที่เสียงนั้นดังขึ้น พื้นดินสีดำสนิทรอบตัวก็พลันหายไป อาการหายใจที่ยากลำบากบัดนี้กลับมาเป็นปกติ ต้นไม้ที่เคยหายไปปรากฏขึ้นอีกครั้ง ทว่ามันกลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายและความเสื่อมสลาย ขุนเขาเช่นนี้ หาได้มีภาพของทัศนียภาพอันงดงามเหนือจินตนาการอย่างที่ชื่อปาเลี่ยที่เคยบอกเอาไว้ไม่ แต่สิ่งที่อยู่เบื้องหน้ากลับเป็นดินแดนรกร้างที่ไร้ซึ่งชีวิต! เกรงว่าภาพที่เยียนอ๋องเห็นในอดีตก็คงจะเป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น เพียงแค่นางยังไม่เข้าใจเหตุผล ผู้ที่วางค่ายกลนี้ เหตุใดจึงต้องสร้างภาพลวงเช่น
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่อากาศโดยรอบเริ่มบางเบาจนผิดปกติ พวกเขาเพียงแค่เดินตามปกติ แต่กลับรู้สึกหายใจติดขัด ชื่อปาเลี่ยอ้าปากหอบหายใจ พลางเอ่ยด้วยความตระหนก “นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่ เหตุใดข้าหายใจไม่ออก?” ซือเจ๋อเยว่เอ่ยเสียงเบา “เราก้าวเข้าสู่ค่ายกลของผู้อื่นแล้ว” ชื่อปาเลี่ยเอ่ยด้วยความสงสัย “แต่เมื่อครู่ยามที่เข้ามา ท่านได้ทำลายค่ายกลไปแล้วไม่ใช่หรือ?” ซือเจ๋อเยว่ตอบไป “นี่คือค่ายกลซ้อนค่ายกล ผู้วางค่ายกลนี้ร้ายกาจอย่างยิ่ง ฝีมือในด้านค่ายกลไม่ได้ด้อยกว่าข้าเลย” “แม้แต่ยามที่ก้าวเข้ามาครั้งแรก ข้าเองก็ยังไม่พบสิ่งผิดปกติ” “ในเมื่อเราตกเข้ามาแล้ว ยามนี้สิ่งที่ต้องทำคือหาทางทำลายค่ายกลนี้” ชื่อปาเลี่ยรีบถาม “ทำอย่างไรจึงจะทำลายได้?” ซือเจ๋อเยว่กวาดตามองโดยรอบแล้วเอ่ยขึ้น “หากต้องการทำลายต้องหาแกนกลางค่ายกลให้พบ ขอเพียงหามันเจอ การทำลายค่ายกลนี้ก็จะเป็นเรื่องที่ง่ายดายอย่างยิ่ง” “ส่วนเรื่องที่ว่ามันอยู่ที่ใด ยามนี้ข้าเองก็ยังไม่แน่ชัด เราต้องหาต่อไป” ยิ่งพวกเขาก้าวไปข้างหน้าเท่าใด ก็ยิ่งรู้สึกว่าการหายใจยากลำบากเท่านั้น พื้นดินรอบตัวกลายเป็นสีดำไหม้ ฟ้า
ราชครูมองเห็นโชคชะตาของจวนหนิงกั๋วกงกระจัดกระจาย ก่อนที่มันจะรวมตัวขึ้นอีกครั้ง คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เขายกนิ้วขึ้นคำนวณบางสิ่ง แต่เมื่อได้ผลลัพธ์ เขากลับแย้มยกริมฝีปากแล้วเอ่ยด้วยความไม่พอใจ “นี่มันตัวอันใด!” เด็กรับใช้สำนักเต๋าชุดเขียวที่คอยรับใช้อยู่ข้างกายเอ่ยถาม “ท่านราชครู เป็นอันใดไปหรือขอรับ?” ทว่าราชครูกลับตอบไม่ตรงคำถาม “ทุกสิ่งในโลกนี้ ล้วนมีเหตุและผลของมัน” “มีบางเรื่องที่ข้าสามารถแทรกแซงได้ แต่บางเรื่องต้องปล่อยให้นางเป็นผู้จัดการเอง” “นางคนนั้นมีชะตาชีวิตที่แตกต่างจากผู้อื่น เมื่อยามทุกข์ก็ทุกข์อย่างแท้จริง” “แม้ข้าจะสงสารนางเพียงใด แต่เรื่องบางเรื่องก็มีแต่นางที่ต้องเผชิญด้วยตนเอง” เด็กรับใช้สำนักเต๋าชุดเขียวเอ่ยถาม “ท่านกำลังเอ่ยถึงชะตากรรมใดกัน? หรือว่าท่านกำลังเป็นห่วงศิษย์พี่หญิง?” ราชครูหยิบไม้ขนไก่ข้างตัวขึ้นมาแล้วหวดลงไปที่หลังของเด็กรับใช้สำนักเต๋าชุดเขียวทันที “ผู้ใดสนใจนางกัน?!” “ชะตาชีวิตของนางเป็นชะตาที่ต้องตาย แม้แต่มหาเทพเซียนมาเองก็ไม่อาจช่วยนางได้!” “ตลอดหลายปีมานี้ เป็นเพราะนาง ข้าแก่ขึ้นไปตั้งเท่าใด ข้าจะไปสนใจนางเ
ดังที่ซือเจ๋อเยว่คาดการณ์ไว้ อดีตหนิงกั๋วกงพลันกระอักเลือดออกมา เขาเอ่ยขึ้นมาอย่างเคียดแค้น “ซือเจ๋อเยว่!” ตลอดหลายวันผ่านมานี้ เขาทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อรักษาโชคชะตาของจวนหนิงกั๋วกง สมบัติวิเศษล้ำค่าที่เขาเสาะหามานานหลายปีล้วนถูกใช้ไปจนหมดสิ้น จึงจะประคับประคองไว้ได้อย่างยากลำบาก ครั้งก่อนที่ไป๋จื้อเซียนบุกเข้าไปยังห้องลับ และกลืนกินดวงวิญญาณของบรรพบุรุษคนสุดท้ายที่ยังหลงเหลืออยู่ ก็ทำให้อดีตหนิงกั๋วกงเริ่มรู้สึกถึงความสั่นคลอนของพลัง แม้เวลานั้นสถานการณ์จะอันตราย แต่ค่ายกลใหญ่แห่งชายแดนยังไม่ถูกทำลายโดยสมบูรณ์ หากสามารถจัดการพลังที่หลงเหลือได้อย่างเหมาะสม ก็ยังสามารถต่อเวลาของโชคชะตาในจวนหนิงกั๋วกงออกไปได้อีกระยะหนึ่ง ด้วยเหตุนี้เมื่อรู้ว่าซือเจ๋อเยว่และเยียนเซียวหรานออกจากเมืองหลวง เขาจึงเร่งวางแผนเพื่อกำจัดพวกเขาให้สิ้นซาก เดิมทีเขาคิดว่าหากสามารถสกัดซือเจ๋อเยว่และเยียนเซียวหรานเอาไว้ที่ด่านอวิ๋นหลิ่งได้ ทุกอย่างก็จะไม่มีปัญหา ทว่าเมื่อครู่ เขาได้รับสารลับจากนกพิราบส่งข่าวจากด่านอวิ๋นหลิ่ง ข้อความในจดหมายบอกเอาไว้ว่าที่ด่านอวิ๋นหลิ่งนั้น เกิดหิมะตกหนัก
ดังนั้น เขาจึงเปลี่ยนจากบุรุษผู้ซื่อสัตย์ กลายเป็นคนหยาบกระด้างและไม่สนใจเหตุผลใด ๆ อีกต่อไป เขาชินเสียแล้วกับสายตาของผู้คนที่มองเขาปานสิ่งสกปรก เขาใช้ชีวิตอย่างเมามายไร้จุดหมายไปวัน ๆ แต่เมื่อวาน ยามที่ไป๋จื้อเซียนคิดจะสังหารเขา ซือเจ๋อเยว่กลับทุ่มเทสุดกำลังเพื่อช่วยชีวิตเขา ยิ่งไปกว่านั้นแววตาที่นางใช้มองเขา ก็หาได้แตกต่างไปจากการมองคนอื่นไม่ ไม่มีแม้เพียงเศษเสี้ยวของความดูแคลน เขาจึงรู้สึกว่าสตรีในโลกนี้ ใช่ว่าทุกคนจะเป็นเช่นมารดาหรือสตรีที่เขาเคยหมายปองในอดีต เขากระแอมเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “คุณชายสาม หลังจากเรื่องนี้จบแล้ว ท่านพอจะพาข้าไปเมืองหลวงได้หรือไม่?” เยียนเซียวหรานรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “เจ้าคิดจะไปเมืองหลวง?” ชื่อปาเลี่ยตอบไป “ใช่ขอรับ ข้าไม่อยากอยู่ที่ชายแดนอีกต่อไปแล้ว ที่นี่ทุกคนล้วนรู้เรื่องของข้า หากข้าไม่เลือกเป็นอันธพาลก็ต้องเป็นเพียงคนไร้ค่า” “แต่ข้าไม่อยากเป็นอันธพาลและไม่อยากเป็นคนไร้ค่า ข้าเพียงแค่อยากเป็นคนธรรมดา” “ข้าต้องการพึ่งพาความสามารถของตนเอง มีชีวิตที่ดี และแต่งงานกับสตรีดี ๆ สักคน เพื่อใช้ชีวิตอย่างปกติสุข” เยียนเซียวหรานเอ่ย