เมื่อแขนขาด เลือดก็พุ่งกระจายเมื่อจ้าวซือหว่านเห็นภาพนี้ พลันตัดสินใจเด็ดขาด ใช้เลือดวาดค่ายกลเลือดทมิฬขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นว่าค่ายกลเลือดทมิฬกำลังจะสำเร็จ หากค่ายกลนี้สำเร็จ ก็จะสามารถดึงดูดวิญญาณร้ายโดยรอบมาได้ทั้งหมด แล้วฉีกร่างของพวกเขาเสียดวงตาของนางเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น แต่เมื่อค่ายกลเลือดทมิฬยังขาดอีกเพียงเส้นเดียว ก็มีมือขาวซีดมาจับมือของนางเอาไว้นางเงยหน้าขึ้น ก็พลันเห็นดวงตาสีดำสนิทแต่กลับส่องประกายของซือเจ๋อเยว่ซือเจ๋อเยว่เอ่ยด้วยเสียงที่อ่อนโยน "คุณหนูจ้าว คู่ต่อสู้ของเจ้าคือข้า"เมื่อซือเจ๋อเยว่จับมือของจ้าวซือหว่านเอาไว้ นางก็รู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งตัวเหมือนมีอันใดบางอย่างครอบคลุมนางเอาไว้ ความเย็นพลันเกิดตั้งแต่เท้าขึ้นมา ทำให้นางรู้สึกสั่นสะท้านแม้อากาศไม่หนาวนางรู้ดีว่าความรู้สึกที่ยังยะเยือกนี้ไม่ธรรมดา ก่อนหน้านี้นางใช้ค่ายกลในการรวบรวมพลังที่ชั่วร้าย เมื่อพลังแห่งความชั่วเข้ามาสู่ร่างกายก็ทำให้รู้สึกอึดอัดทรมานเป็นอย่างยิ่ง ทว่าสิ่งที่น่ากลัวที่สุด ก็คือการที่ฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ใช้ค่ายกล แต่เพียงแค่ยื่นมือมาจับมือนางเอาไว้ ก็สามารถดึงพลังชั่วร้ายเข้
ในยามนี้นางรู้สึกเสียใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะก่อนหน้านี้นางได้จัดวางค่ายกลกันเสียงเอาไว้ที่นี่เพื่อสังหารเยียนเซียวหราน จึงทำให้ไม่มีผู้ใดในบริเวณนี้ได้ยินเสียงกรีดร้องของนางซือเจ๋อเยว่คลี่ยิ้ม "คุณหนูจ้าวเอ่ยเช่นนี้ทำให้ข้ารู้สึกไม่ดีเลย ข้าเป็นคนที่จิตใจดีเพียงนี้ จะทำเรื่องโหดร้ายอย่างการสังหารคนได้อย่างไรเล่า? ""เอ่ยตามตรง ข้าไม่กล้าสังหารไก่ด้วยซ้ำ แล้วจะไปกล้าสังหารคนได้อย่างไร?"จ้าวซือหว่าน "..."วาจาของซือเจ๋อเยว่นั้นนางไม่เชื่อแม้แต่คำเดียว!ถึงยามนี้นางรู้แล้วว่ากวนมามาและหนิวกงกงล้วนแต่ถูกซือเจ๋อเยว่สังหารด้วยค่ายกลทั้งสิ้นบัดนี้เยียนเซียวหรานและเยียนเหนียนเหนียนได้จัดการกับคนชุดดำทั้งหมดแล้วเยียนเหนียนเหนียนเห็นวิธีที่ซือเจ๋อเยว่ใช้ในการทรมานจ้าวซือหว่าน ทำให้นางรู้สึกว่าได้เปิดโลกทัศน์เรื่องที่น่าสนุกเช่นนี้ นางก็อยากมีส่วนร่วมด้วยเช่นกันนางเห็นร่างกายของจ้าวซือหว่านที่ถูกลมพัดเริ่มลดระดับลงต่ำ ก็คิดถึงยันต์ซือเจ๋อเยว่มอบให้นางเมื่อคืนนางรีบหยิบยันต์ออกมาแผ่นหนึ่ง แล้วติดเข้าที่หน้าผากของจ้าวซือหว่านโดยตรงเยียนเซียวหรานกลับเอ่ยขึ้น "นางรู้ว่าพี่ใหญ่ตายอย่า
เยียนเซียวหรานมีสีหน้าคิดหนักซือเจ๋อเยว่เอ่ยขึ้นอีก "นางยังมีวิญญาณอยู่ ประเดี๋ยวค่อยเรียกวิญญาณนางมาถาม"เยียนเซียวหรานปรายตามองนาง พยักหน้าเบา ๆ มันก็นับว่าเป็นวิธีอีกอย่างหนึ่งเช่นกันดังนั้นพวกเขาจึงยืนดูยันต์ห้าอัสนีบาตฟาดลงมาเช่นนั้นต่อไปเมื่อยันต์ห้าอัสนีบาตหยุดลง เยียนเหนียนเหนียนเดินไปตรวจดูที่จมูกของจ้าวซือหว่าน พบว่าไม่มีลมหายใจแล้วซือเจ๋อเยว่หาได้รู้สึกแปลกใจไม่ เอ่ยเสียงเรียบ "เจ้าไม่ต้องเศร้าไป จ้าวซือหว่านได้รับสิ่งที่สมควรแล้ว"จ้าวซือหว่านได้วางค่ายกลใหญ่เอาไว้ที่นี่ ค่ายกลดังกล่าวนี้ชั่วร้ายอย่างยิ่ง คนธรรมดาหากเผลอเข้ามา อย่างน้อยก็จะต้องป่วยหนักซือเจ๋อเยว่หยิบยันต์ไฟออกมา เผาวิญญาณร้ายภายในค่ายกลทั้งหมด แล้วใช้ยันต์กระดาษขจัดพลังชั่วร้ายภายในออกให้หมดสิ้นสุดท้ายนางทำลายค่ายกลลง ยามนี้พลังชั่วร้ายที่เหลืออยู่โดยรอบไม่มีพลังที่แรงกล้าแล้ว ไม่สามารถทำร้ายผู้ใดได้อีกเมื่อค่ายกลถูกทำลาย บริเวณรอบ ๆ ก็กลับมาเป็นปกติ แสงแดดที่ริบหรี่ส่องลงมาจากยอดไม้ข้างในมีศพของคนชุดดำอยู่เป็นกอง รวมถึงศพของจ้าวซือหว่านที่ถูกสายฟ้าฟาดจนไหม้เกรียมเยียนเหนียนเหนียนดึงแขนเ
เขาเจอคดีฆาตกรรมก็ยังพอทำใจได้ แต่กลับต้องมาเจอซือเจ๋อเยว่และเยียนเซียวหราน พวกเขาเป็นคนที่เขาไม่อยากเจอที่สุดช่วงก่อนยามที่เขาตรวจสอบคดีของจวนเยียนอ๋อง เฝ้าภาวนาว่าหากคดีจบไป เขาก็จะไม่ต้องมาเจอคนพวกนี้อีกแต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือคดีของจวนเยียนอ๋องยังไม่จบ ก็ต้องมาเจอกับพวกเขาอีกเขาเอ่ยเสียงต่ำ "จ้าวซือหว่านถูกสังหาร?"ซือเจ๋อเยว่พยักหน้า "ฆาตกรโหดร้ายมาก ใช้สายฟ้าผ่านางจนดำเป็นถ่าน!"จิตใต้สำนึกของเยียนเหนียนเหนียนสั่งให้มองไปที่นาง ต่อมากลับพยายามอดกลั้นเอาไว้ เพราะนางรู้ว่าความรู้สึกของเหวยอิ้งหวนว่องไวอย่างยิ่งเหวยอิ้งหวนขมวดคิ้วเล็กน้อย พยักหน้ารับเบา ๆ ต่อจากนั้นถามต่อ "องค์หญิง ท่านไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านลัทธิเต๋าหรือ? เหตุใดถึงมาที่วัดพุทธ?"ซือเจ๋อเยว่ตอบ "แม้ว่าข้าจะเป็นคนของลัทธิเต๋า แต่ผู้ใดกำหนดว่าผู้ที่เป็นคนของลัทธิเต๋าจะเข้าวัดพุทธไม่ได้?""อีกอย่าง ข้าก็นับว่าเป็นเพียงแค่ศิษย์ชั้นนอกของลัทธิเต๋าเท่านั้น ไม่มีพิธีรีตองใดนัก""วันนี้พระมารดาบอกว่าจะมาขอพร แน่นอนว่าข้าจึงมาด้วย"เหวยอิ้งหวนปรายตามองนางชั่วครู่ ใบหน้าของนางยังคงซีดดังเดิมเดิม รูปร่างก็ยังคงผอมเช่
เหวยอิ้งหวนส่งเสียงหึเบา ๆ "ก่อนหน้านี้ข้าก็ไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ นี่ไม่ใช่เพราะถูกพวกนางลากลงน้ำหรือ?""ตั้งแต่เจอองค์หญิงซือเจ๋อเยว่ ข้าก็รู้สึกว่าโลกนี้มันแปลก ๆ ""ประเดี๋ยวข้าจะไปหาพระในวัดเป้ากั๋วเพื่อขอยันต์กันสิ่งชั่วร้าย อยู่ห่างจากพวกเจ้าเสียหน่อย"เยียนเซียวหรานมองเขาด้วยความเห็นอกเห็นใจ เขาจึงถามขึ้น "เจ้ามองข้าเช่นนี้ด้วยเหตุใด?"เยียนเซียวหรานเอ่ยเสียงเรียบ "คดีของจวนเยียนอ๋องยังไม่จบสมบูรณ์ เราน่าจะมีโอกาสเจอใต้เท้าเหวยอีกหลายครั้ง"เหวยอิ้งหวน "..."เขาเสียงหึเบา ๆ ไม่เอ่ยอันใดเดิมเขาไม่ค่อยเข้าใจความหมายของสายตาเยียนเซียวหรานนัก แต่เมื่อเขาเห็นศพของจ้าวซือหว่าน เขาก็เริ่มเข้าใจศพนั้นถูกเผาจนไหม้ดำไปทั้งตัว ดูแล้วไม่ธรรมดาเหวยอิ้งหวนตรวจสอบสักพักแล้วเอ่ยถาม "นางถูกสายฟ้าฟาดตาย?"เยียนเซียวหรานพยักหน้า "ใช่ ข้าเห็นกับตา"เหวยอิ้งหวนขมวดคิ้ว "วันนี้อากาศแจ่มใส หมื่นลี้นี้ไม่มีเมฆฝน สายฟ้ามาจากที่ใด?"เยียนเซียวหรานตอบ "ข้าได้ยินมาว่าที่ใดมีปีศาจปรากฏ เทพสวรรค์จะส่งสายฟ้าลง จงใจขจัดปีศาจ เพื่อช่วยเหลือชาวบ้านให้ปลอดภัย"เหวยอิ้งหวนมองเขา "หากข้าจำไม่ผิดแล้วล
เจ้าอาวาสมองไปรอบ ๆ ตาเปี่ยมไปด้วยความตกใจ "นี่คือค่ายกลรวมพลังชั่วร้าย สามารถรวบรวมพลังที่ชั่วร้ายได้ นับว่าชั่วร้ายอย่างยิ่ง!"เหวยอิ้งหวนถามต่อ "ค่ายกลรวมพลังชั่วร้ายเป็นค่ายกลของพุทธหรือลัทธิเต๋า?"เจ้าอาวาสลังเลเล็กน้อยแต่ก็ตอบ "เป็นของพุทธ""แต่เป็นเพราะค่ายกลนี้ชั่วร้ายเกินไป จัดว่าเป็นค่ายกลต้องห้ามของพุทธ""ปัจจุบันในวัดเป้ากั๋ว ไม่มีผู้ใดใช้ค่ายกลนี้ได้""แม้แต่ข้าเอง ก็แค่บังเอิญเห็นในตำราเท่านั้น"เหวยอิ้งหวนขมวดคิ้วเข้มกว่าเดิมทว่าในตาของเยียนเซียวหรานกลับมีความคิดบางอย่าง จ้าวซือหว่านเป็นแค่เป็นหญิงสาวในห้องหอ จะไปร่ำเรียนค่ายกลชั่วร้ายเช่นนี้มาจากที่ใด?อีกอย่าง เหตุใดจ้าวซือหว่านต้องสังหารเขา? แล้วนางจะเอาโชคของเขาไปให้ผู้ใด?เหตุใดจ้าวซือหว่านต้องมุ่งร้ายต่อจวนเยียนอ๋องเพียงนี้? เรื่องของจวนเยียนอ๋องครั้งนี้ เกี่ยวข้องกับนางอย่างไร?ที่นี่มีปริศนามากมาย แต่เพราะยันต์ห้าอัสนีบาตของเยียนเหนียนเหนียนทำให้จ้าวซือหว่านถูกสายฟ้าผ่าตาย ทุกอย่างจึงกลายเป็นปริศนาทางนั้นซือเจ๋อเยว่กลับเสวนาเรื่องไร้สาระกับฮูหยินเหวยในห้องฌานนิสัยของซือเจ๋อเยว่เดิมทีก็เป็นคนที่สนุก
“ดวงชะตาขององค์หญิง ข้าได้ฟังมาบ้างแล้วเช่นกัน ค่อนข้างคู่ควรกับหวนเอ๋อร์เพคะ”นางพูดมาถึงตรงนี้ก็จ้องมองซือเจ๋อเยว่ด้วยดวงตาที่เปล่งประกายระยิบระยับทั้งสองข้าง “หากองค์หญิงทรงมีความคิดเรื่องแต่งงานใหม่ ทรงพิจารณาหวนเอ๋อร์ดูนะเพคะ”ซือเจ๋อเยว่ “...”คำพูดประโยคนี้ของฮูหยินเหวยค่อนข้างตรงไปตรงมา ถึงแม้ว่าซือเจ๋อเยว่จะไม่รู้สึกไม่พอใจ แต่ก็ยังรู้สึกแปลก ๆตัวตนของนาง ในราชสำนักเดิมทีก็มีความน่าอึดอัดอยู่บ้าง เมื่อทอดสายตามองในราชสำนัก มีเพียงไม่กี่คนที่กล้าแต่งงานกับนางนางขมวดคิ้วเล็กน้อย เสียงของพระชายาเยียนอ๋องดงลอยมา “องค์หญิง ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่!”ฮูหยินเหวยเห็นพระชายาเยียนอ๋องที่ยืนอยู่บริเวณไม่ไกล นางรู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย เกรงว่าพระชายาเยียนอ๋อง จะได้ยินบทสนทนาของพวกนางเมื่อครู่นี้เข้าความรู้สึกของการถูกจับได้คาหนังคาเขาว่าแย่งลูกสะใภ้ของคนอื่นแบบนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ทำให้คนรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้างนางรีบทำความเคารพ จากนั้นกล่าว “ข้าขอไปแก้บนที่พระอุโบสถก่อน ขอทูลลาเพคะ”พระชายาเยียนอ๋องพยักหน้าเล็กน้อยทีหนึ่ง “เชิญฮูหยินเฒ่า”ฮูหยินเหวยเดินออกไปอย่างรวดเร็วทันทีท
ซือเจ๋อเยว่ปลอบโยนนาง “เสด็จแม่อย่าได้ร้อนใจ เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าจะไม่มีหนทางแก้ไขเลย”“วันนี้จ้าวซือหว่านล้มเหลว ผู้ที่อยู่เบื้องหลังนางจะต้องร้อนใจแน่”“พวกเราสามารถอาศัยความคิดนี้ของคนคนนั้น ตามรอยไปสืบดู ตามหาตัวคนผู้นั้นออกมา จากนั้นหาหนทางทำลายค่ายกลนั่น”พระชายาเยียนอ๋องไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้เลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าในเวลานี้ซือเจ๋อเยว่จะอธิบายเรื่องราวอย่างชัดเจนแล้วก็ตาม ในใจของนางยังคงร้อนรนเช่นเดิมซือเจ๋อเยว่ไม่ได้กล่าวโน้มน้าวพระชายาเยียนอ๋องอีกตลอดหลายปีที่ผ่านมา พระชายาเยียนอ๋องถูกเหล่าไท่จวินปกป้องเอาไว้ดีเกินไป จนแบกรับปัญหาไม่ไหวจวนเยียนอ๋องในเวลานี้ แตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง พระชายาเยียนอ๋องไม่สามารถเป็นคนที่แบกรับปัญหาไม่ได้เหมือนดังเช่นเมื่อก่อนอีกแล้วนางเพียงกล่าวเสียงเบา “วิธีการทำลายคนบนโลกไปนี้มากมายนัก บางวิธีก็โหดเหี้ยมและอำมหิต”“ครั้งนี้จ้าวซือหว่านยืมมือเสด็จแม่ เกือบจะสังหารน้องสาม ต่อไปเสด็จแม่จะทำอะไรก็จะต้องระวังให้มากขึ้นอีกหน่อย อย่าเปิดโอกาสให้คนอื่นอีก”พระชายาเยียนอ๋องกำหมัดแน่นกล่าว “ต่อไปข้าทำอะไรจะระวังให้มาก ไม่มีทางเชื่อใจผู้ใดง
เขาจ้องมองนางด้วยสายตาเย็นชา "เป็นข้าที่ไร้เดียงสาเกินไป คิดว่าเรื่องราวระหว่างเราจะต่างออกไป" "แต่ข้ากลับลืมไปว่า เจ้าเป็นคนของสำนักเต๋า เราสองคนก็อยู่กันคนละฝ่ายตั้งแต่แรกเริ่ม" "ซือเจ๋อเยว่ ตั้งแต่นี้ไปข้าขอตัดขาดจากเจ้า หากพบกันอีก ข้าจะฆ่าเจ้าแน่นอน!" เมื่อเอ่ยจบเขาก็หยิบของสิ่งหนึ่งจากร่างกายแล้วขว้างออกไป สิ่งนั้นทำหน้าที่รับแรงโจมตีจากค่ายกลแทนเขา ก่อนที่ตัวเขาจะพุ่งออกจากค่ายกลราวกับดาวตกก็ไม่ปาน ซือเจ๋อเยว่รีบไล่ตามออกไป แต่ภายนอกกลับไร้เงาของไป๋จื้อเซียน นางรู้สึกเป็นกังวลอย่างยิ่ง วันนี้เขาเข้าใจนางผิด แล้วจากไปเช่นนี้ ภายภาคหน้าก็ไม่อาจล่วงรู้เลยว่าจะเกิดอันใดขึ้นอีก ยังดีที่เขาเคยสาบานต่อสวรรค์ ว่าจะไม่สังหารผู้บริสุทธิ์ อย่างน้อยสถานการณ์ก็ยังไม่เลวร้ายถึงระดับนั้น แต่เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาขาดสะบั้นในบัดนี้ ด้วยนิสัยของเขา ย่อมต้องหาหนทางสังหารนางให้ได้อย่างแน่นอน! นางคิดว่าตนเองยังคงประเมินไป๋จื้อเซียนต่ำเกินไป คิดไม่ถึงว่าเขาจะสามารถหลบหนีออกจากค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาได้ เยียนเซียวหรานถามขึ้น "เมื่อครู่นี้เกิดอันใดขึ้น?" ซือเจ๋อเยว่ถอนหายใจ "ตุ๊
ซือเจ๋อเยว่ประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากตุ๊กตาดินเผาเหล่านี้นับหลังจากตั้งแต่ที่อาจารย์สามปั้นเสร็จแล้ววางไว้ที่นี่ ก็ไม่เคยมีความรู้สึกอะไรนางคิดมาตลอดว่าอาจารย์สามทำเช่นนี้เพราะจะหยอกนางเล่น ไม่คิดเลยว่าจนกระทั่งวันนี้จะมีความเคลื่อนไหวแล้วที่ประตูมีเสียงของไป๋จื้อเซียนดังลอยเข้ามา “เจ้าล่อลวงข้ามาที่นี่ ก็เพราะอยากจะฆ่าข้าใช่หรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่หันหน้ากลับไปมองก็เห็นไป๋จื้อเซียนยืนอยู่ที่หน้าประตู ตุ๊กตาดินเผาเหล่านั้นรวมตัวกันกลายเป็นค่ายกล จะจัดการกับเขาหลังจากที่วันนี้เขาเดินเข้ามาในสำนักเต๋า ความสามารถทุกด้านก็ถูกลดทอนลง ตุ๊กตาดินเผาเหล่านี้ยังเป็นตุ๊กตาที่อาจารย์สามปั้นขึ้นเองกับมืออีกด้วย ด้านในมีค่ายกลที่ร้ายแรงเป็นอย่างยิ่งซ่อนอยู่ไป๋จื้อเซียนในเวลานี้ถูกค่ายกลนี้ขังเอาไว้ ไม่สามารถดิ้นให้หลุดได้เขาเกิดความสงสัยมาก ประกอบกับก่อนหน้านี้ซือเจ๋อเยว่อยากจะจัดการเขามาตลอด เขาจึงคิดว่านางเป็นผู้ควบคุมให้ตุ๊กตาดินเผาเหล่านี้มาจัดการเขาก่อนหน้านี้ซือเจ๋อเยว่เคยคิดอยากจะจัดการเขาในสำนักเต๋าจริง ๆ แต่เป็นครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนางจริง ๆเป็นเพราะร่างกายที่พิเศษเ
ความทรุดโทรมนี้เริ่มปรากฏตั้งแต่ประตูเขาที่เก่าและทรุดโทรม ยาวไปตลอดทางจนถึงกระทั่งถึงโถงใหญ่ของสำนักเต๋าด้านในก็มีเพียงรูปหล่องทองคำปรมาจารย์เต๋าที่ยังมีสภาพดีอยู่เพียงเท่านั้น อาคารอื่น ๆ ของวัดก็สามารถใช้คำว่าชำรุดทรุดโทรมมาบรรยายได้เมื่อซือเจ๋อเยว่กลับมา นักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ที่เฝ้าภูเขาก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ท่านกลับมาแล้ว ไม่ไปไหนแล้วใช่หรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่ได้ยินก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ข้าอาศัยคืนเดียวก็จะไปแล้ว”ใบหน้าของนักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ก็มีสีหน้าผิดหวังปรากฏขึ้นมาทันที นางหยิบทองหนึ่งกำมือออกมาจากมิติคาถาเต๋าแล้วมอบให้เขา “ค่าอาหารของปีนี้”นักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ใช้สองมือรับทองคำ ใบหน้ามีรอยยิ้มขึ้นมาทันที “อย่างไรเสียศิษย์พี่หญิงใหญ่ก็เก่งกาจ!”สำนักเต๋าผ่านไปด้วยความยากลำบากมาก ทองคำเหล่านี้เมื่อแลกเป็นเงินก็ได้หลายพันตำลึง เพียงพอที่จะให้พวกเขามีกินได้ถึงสิ้นปีซือเจ๋อเยว่ถามเขา “พวกอาจารย์ออกจากสำนักเต๋าตั้งแต่เมื่อใด?”นักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ “ทันทีที่ศิษย์พี่หญิงใหญ่ออกไปจากสำนักเต๋า เจ้าสำนักพวกเขาก็ไปแล้ว”ซือเจ๋อเยว่ขมวดคิ้ว “พวกเขาได้บอกหรือไ
ซือเจ๋อเยว่เผชิญหน้ากับสายตาที่แฝงไปด้วยความน้อยใจของไป๋จื้อเซียน นางมีความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกด้วยท่าทางเช่นนี้ของเขา เกรงว่าคนที่ไม่รู้จะคิดว่าพวกเขากำลังสุมหัวกันกลั่นแกล้งเขาแต่เรื่องจริงคือเขาเกือบทำให้พวกเขาต้องติดกับดักจนตายในเวลานี้นางจำต้องกล่าว “ขอบคุณคุณชายไป๋มาก”ไป๋จื้อเซียนมองนางด้วยสีหน้าน่าสงสารพร้อมกล่าว “เมื่อครู่นี้เจ้าดุข้า”ซือเจ๋อเยว่ “...”นางสูดหายใจในใจทีหนึ่ง เจ้าหมอนี่แสดงละครเก่งมาก!นางยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ข้ามีนิสัยใจร้อน เวลามองอะไรก็มักจะมองแค่สถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า ไม่สู้คุณชายไป๋ที่มองการณ์ไกล”“คุณชายไป๋คาดการณ์เรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในตอนหลังได้ตั้งแต่แรกแล้ว ข้าชื่นชมตบะอันล้ำลึกทำให้ข้านับถือจากใจจริง”“ครั้งหน้าหากยังมีเรื่องแบบเดียวกันอีก คุณชายไป๋ได้โปรดแจ้งให้ทราบล่วงหน้าเสียหน่อย พวกเราจะได้ร่วมมือกันได้ดี”นางพูดจบก็ยิ้มให้เขาเล็กน้อย “คุณชายไป๋ช่วยพวกเราคำนวณดูหน่อยได้หรือไม่ พวกเรากลับเมืองหลวงครั้งนี้ จะล้มจวนหนิงกั๋วกงได้หรือไม่?”ไป๋จื้อเซียน “...”ถึงแม้เขาจะมีชีวิตอยู่มาหนึ่งพันปีแล้วก็ตาม เรียนรู้เพียงความสามารถฆ
“ถึงแม้วันนี้ข้ากับชื่อปาเลี่ยจะบุกฝ่าออกมาได้ แต่ก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด”“การล้อเล่นแบบนี้ อย่างไรคุณชายไป๋ช่วยลดลงหน่อยจะดีมาก”ไป๋จื้อเซียนจ้องมองเขาด้วยสายตาเย็นชา เขาหันหน้าไปมองไป๋จื้อเซียน โดยไม่ยอมอ่อนข้อเลยแม้แต่น้อยชื่อปาเลี่ยที่อยู่ข้าง ๆ พูดไกล่เกลี่ย “ครั้งนี้พวกข้าไม่เป็นอะไร อย่างไรก็ช่างเถอะ”ความโกรธที่ไป๋จื้อเซียนมีอยู่มากมายไม่มีที่ระบาย ยกมือขึ้นแล้วสะบัดทำให้ชื่อปาเลี่ยลอยกระเด็นออกไปชื่อปาเลี่ย “!!!!!”หากวันหลังเขายังกล้าสอดเรื่องของพวกเขาอีก เขาก็คือก็คือไอ้ลูกหมา!เขากระแทกลงบนพื้นอย่างแรง ร้องโอ๊ยออกมาทีหนึ่งซือเจ๋อเยว่รีบยื่นมือออกไปประคองชื่อปาเลี่ย “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”ชื่อปาเลี่ยกุมหน้าอกกล่าว “ข้าเจ็บหน้าอกนิดหน่อย”ในระหว่างที่พูดเขารู้สึกผิดปกติบริเวณหน้าอก ยื่นมือออกไปแล้วล้วง ไม่คิดเลยว่าจะควักสมุดบันทึกเล็ก ๆ เล่มหนึ่งออกมาจากข้างใน “นี่มันอะไรกัน?”หลังจากซือเจ๋อเยว่รับมาก็เปิดสมุดบันทึกเล่มเล็ก พบว่าเป็นสำเนาคำสั่งเคลื่อนย้ายฉบับนั้นที่เยียนอ๋องซื่อจื่อกล่าวไว้นางทั้งตกใจทั้งดีใจ “นี่คือสำเนาคำสั่งเคลื่อนย้าย!”เยียนเซียวหรา
ซือเจ๋อเยว่รีบกล่าว “ข้าไม่เป็นอะไร”นางพูดจบก็กล่าวด้วยสีหน้าเป็นกังวล “เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือ?”เยียนเซียวหรานยิ้มเล็กน้อย “ข้าไม่เป็นอะไร”เขาพูดจบก็ประสานมือคำนับไป๋จื้อเซียนกล่าว “ขอบคุณคุณชายไป๋ที่พาองค์หญิงออกมาได้อย่างปลอดภัย ทำให้ข้าไม่ต้องเป็นพะวงที่จะบุกฝ่ากองทัพออกมา”สีหน้าของไป๋จื้อเซียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย เรื่องนี้เขาวางแผนทำร้ายเยียนเซียวหราน เยียนเซียวหรานขอบคุณเขาจึงทำให้เขารู้สึกไม่สบายเป็นอย่างมากยังมีท่าทีของซือเจ๋อเยว่อีก ในดวงตาของนางมีเพียงเยียนเซียวหรานเท่านั้น ไม่มีเขาเลยแม้แต่น้อยความรู้สึกแบบนี้ทำให้ไป๋จื้อเซียนไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งเขารู้สึกไม่พอใจ จึงอยากจะทำร้ายชื่อปาเลี่ยอีกครั้งดวงตาของเขากวาดมองไปยังชื่อปาเลี่ย ชื่อปาเลี่ยได้หลบไปอยู่ที่ด้านหลังของซือเจ๋อเยว่อย่างรวดเร็ว “คุณชายไป๋จะทำร้ายข้า องค์หญิงช่วยด้วย!”ซือเจ๋อเยว่รู้ว่าไป๋จื้อเซียนมีนิสัยขี้โมโห เขาติดตามอยู่ข้าง ๆ พวกเขา ก็ไม่ต่างอะไรกับระเบิดเวลา ไม่รู้ว่าจะเบิดขึ้นเมื่อไหร่เพียงแต่หากปล่อยเขาไป วันข้างหน้าก็ไม่รู้ว่าเขาจะก่อเหตุวุ่นวายอะไรขึ้นอีกนางคิดว่า อย่างไรเสียก็ต้องคิดหาว
เขายิ้มแย้มพร้อมกล่าวกับเยียนเซียวหราน “ข้าพาเจ๋อเยว่นำไปก่อน พวกเจ้าสู้ ๆ ล่ะ”ซือเจ๋อเยว่ “...”เยียนเซียวหราน “...”ซือเจ๋อเยว่กล่าวด้วยความร้อนใจ “นี่ เจ้าพาพวกเขาไปด้วยกันสิ!”ไป๋จื้อเซียนกล่าวด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “สถานการณ์แบบนี้ไม่ฆ่าคนก็พาพวกเขาออกไปไม่ได้”“ก่อนหน้านี้ข้าเคยสาบานต่อสวรรค์ไว้ว่า ไม่สามารถลงมือฆ่าคนได้โดยไม่มีสาเหตุ ดังนั้น...”ซือเจ๋อเยว่หันหน้ามองเขา ในดวงตาที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ทั้งสองข้างของเขาแฝงไปด้วยหยอกเย้า ท่าทางเหมือนกับกำลังดูละครด้วยความสุขนางรู้ดีว่า เรื่องในวันนี้เขานั้นเจตนา!นางรู้ดีว่า คนที่ชั่วร้ายเช่นไป๋จื้อเซียนจะยอมร่วมมือกับพวกเขาได้อย่างไร?นางกล่าวด้วยความร้อนใจ “ปล่อยข้าลง! ข้าจะไปช่วยพวกเขา!”ไป๋จื้อเซียนยิ้มด้วยความร่าเริงพร้อมกล่าว “ตอนนี้ด้านล่างมีแต่คน ทั้งเจ้ายังไม่เป็นวรยุทธ์ หากลงไปจริง ๆ ก็รังแต่จะยิ่งอันตราย”“อีกอย่าง ขอเพียงเจ้าสงบ เยียนเซียวหรานก็จะไม่เป็นพะวง ก็สามารถแสดงความสามารถของเขาได้อย่างเต็มที่”“ข้าเชื่อ ด้วยความสามารถของเขา ต้องสามารถฝ่าวงล้อมออกไปได้แน่ ปลอดภัยหายห่วง” ซือเจ๋อเยว่ค้อนเขา เขากะพริบตาใส
เยียนเซียวหรานกวัดแกว่งกระบี่ในมืออย่างสุดแรง พยายามพาซือเจ๋อเยว่พุ่งตัวออกไปด้านนอกชื่อปาเลี่ยกลับด่าทออย่างบ้าคลั่งอยู่ตรงนั้น “ไอ้แม่งเอ๊ย ครั้งก่อนเกือบตายที่ด่านอวิ๋นหลิ่ง ครั้งนี้ยังจะมาอีก!”เขาพูดจบก็กล่าวกับซือเจ๋อเยว่อีก “องค์หญิง ค่ายกลนั่นของท่านเมื่อครั้งก่อน เอาออกมาใช้อีกครั้งได้หรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่กล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดี “เอามาใช้อีกครั้ง ข้าก็สามารถตายตรงนี้ต่อหน้าพวกเจ้าได้เลย!”ชื่อปาเลี่ย “...”เยียนเซียวหรานกล่าวเสียงขรึม “เลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว พุ่งไปข้างหน้าด้วยกันกับข้า”ซือเจ๋อเยว่ครุ่นคิด ครั้งนี้อยู่ภายในห้องปิดตาย จะอย่างไรก็ต้องพุ่งตัวเข้าไปหาก่อนดังนั้นนางจึงหยิบยันต์ออกมา ใช้คาถาเต๋าทำให้ระเบิด ภายในชั่วพริบตา ภายในห้องก็มีลมกระโชกแรงเกิดขึ้น พัดทหารยามพวกนั้นที่อยู่หน้าประตูลอยกระเด็นออกไปข้างนอกชื่อปาเลี่ยหลบไม่ทัน หัวจึงกระแทกพื้นเยียนเซียวหรานอยากจะจับเขาเอาไว้ แต่ลมแรงเกินไป จึงทำให้ไม่สามารถจับเขาได้เลยซือเจ๋อเยว่คว้าขาของชื่อปาเลี่ยเอาไว้แล้วกล่าว “รีบไป!”ชื่อปาเลี่ย “!!!!!!”เขาเองก็อยากจะหนีไปโดยเร็วเช่นกัน แต่ปัญหาคือลมทั้งรุนแ
สิ่งของที่อยู่ด้านในมองดูค่อนข้างสลับซับซ้อน กองกันเละเทะ ทันทีที่ดูก็รู้ว่าหลังจากถูกใครบางคนรื้อค้นจนเละเทะ ก็ไม่ได้จัดระเบียบใหม่ภายในห้องที่รกรุงรังแบบนี้ อยากจะตามหาสิ่งของที่พวกเขาอยากได้ เหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้หลังจากที่ซือเจ๋อเยว่กับเยียนเซียวหรานรื้อค้นรอบหนึ่ง ก็ไม่ได้อะไรแม้แต่อย่างเดียวทั้งสองคนสบตากันแวบหนึ่ง ก็เห็นความจนปัญญาจากดวงตาของอีกฝ่ายภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ราวกับว่าไม่มีความจำเป็นที่จะตามหาต่อไปแล้วในเวลานี้เอง เสียงของทหารยามก็ดังลอยมาจากหน้าประตู “ใครกัน?”ซือเจ๋อเยว่รีบเก็บไข่มุกราตรีลงไป ด้านในจึงกลับคืนสู่ความมืดอีกครั้งเนื่องจากเมื่อครู่นี้ทหารยามได้เห็น ‘การแสดง’ ของไป๋จื้อเซียน ภายในใจจึงหวาดกลัวเป็นอย่างมากแต่เพราะมีคำสั่งของนายพลที่เฝ้าด่าน เขาจึงไม่กล้าละทิ้งหน้าที่โดยพลการอีก จึงเรียกเพื่อนร่วมงาน ตั้งใจว่าจะจุดเทียนแล้วเข้าไปตรวจค้นด้านในตอนที่เขากำลังจะเปิดประตู ทหารยามคนนั้นก็หันหน้ากลับไปมอง ก็เห็นใบหน้าที่ชั่วร้ายของไป๋จื้อเซียน เสื้อผ้าสีแดงราวกับเลือดทหารยามไม่ได้รู้สึกตัวในทันที ยังถามว่า “เจ้าเป็นใคร?”ไป๋จื้อ