เหวยอิ้งหวนส่งเสียงหึเบา ๆ "ก่อนหน้านี้ข้าก็ไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ นี่ไม่ใช่เพราะถูกพวกนางลากลงน้ำหรือ?""ตั้งแต่เจอองค์หญิงซือเจ๋อเยว่ ข้าก็รู้สึกว่าโลกนี้มันแปลก ๆ ""ประเดี๋ยวข้าจะไปหาพระในวัดเป้ากั๋วเพื่อขอยันต์กันสิ่งชั่วร้าย อยู่ห่างจากพวกเจ้าเสียหน่อย"เยียนเซียวหรานมองเขาด้วยความเห็นอกเห็นใจ เขาจึงถามขึ้น "เจ้ามองข้าเช่นนี้ด้วยเหตุใด?"เยียนเซียวหรานเอ่ยเสียงเรียบ "คดีของจวนเยียนอ๋องยังไม่จบสมบูรณ์ เราน่าจะมีโอกาสเจอใต้เท้าเหวยอีกหลายครั้ง"เหวยอิ้งหวน "..."เขาเสียงหึเบา ๆ ไม่เอ่ยอันใดเดิมเขาไม่ค่อยเข้าใจความหมายของสายตาเยียนเซียวหรานนัก แต่เมื่อเขาเห็นศพของจ้าวซือหว่าน เขาก็เริ่มเข้าใจศพนั้นถูกเผาจนไหม้ดำไปทั้งตัว ดูแล้วไม่ธรรมดาเหวยอิ้งหวนตรวจสอบสักพักแล้วเอ่ยถาม "นางถูกสายฟ้าฟาดตาย?"เยียนเซียวหรานพยักหน้า "ใช่ ข้าเห็นกับตา"เหวยอิ้งหวนขมวดคิ้ว "วันนี้อากาศแจ่มใส หมื่นลี้นี้ไม่มีเมฆฝน สายฟ้ามาจากที่ใด?"เยียนเซียวหรานตอบ "ข้าได้ยินมาว่าที่ใดมีปีศาจปรากฏ เทพสวรรค์จะส่งสายฟ้าลง จงใจขจัดปีศาจ เพื่อช่วยเหลือชาวบ้านให้ปลอดภัย"เหวยอิ้งหวนมองเขา "หากข้าจำไม่ผิดแล้วล
เจ้าอาวาสมองไปรอบ ๆ ตาเปี่ยมไปด้วยความตกใจ "นี่คือค่ายกลรวมพลังชั่วร้าย สามารถรวบรวมพลังที่ชั่วร้ายได้ นับว่าชั่วร้ายอย่างยิ่ง!"เหวยอิ้งหวนถามต่อ "ค่ายกลรวมพลังชั่วร้ายเป็นค่ายกลของพุทธหรือลัทธิเต๋า?"เจ้าอาวาสลังเลเล็กน้อยแต่ก็ตอบ "เป็นของพุทธ""แต่เป็นเพราะค่ายกลนี้ชั่วร้ายเกินไป จัดว่าเป็นค่ายกลต้องห้ามของพุทธ""ปัจจุบันในวัดเป้ากั๋ว ไม่มีผู้ใดใช้ค่ายกลนี้ได้""แม้แต่ข้าเอง ก็แค่บังเอิญเห็นในตำราเท่านั้น"เหวยอิ้งหวนขมวดคิ้วเข้มกว่าเดิมทว่าในตาของเยียนเซียวหรานกลับมีความคิดบางอย่าง จ้าวซือหว่านเป็นแค่เป็นหญิงสาวในห้องหอ จะไปร่ำเรียนค่ายกลชั่วร้ายเช่นนี้มาจากที่ใด?อีกอย่าง เหตุใดจ้าวซือหว่านต้องสังหารเขา? แล้วนางจะเอาโชคของเขาไปให้ผู้ใด?เหตุใดจ้าวซือหว่านต้องมุ่งร้ายต่อจวนเยียนอ๋องเพียงนี้? เรื่องของจวนเยียนอ๋องครั้งนี้ เกี่ยวข้องกับนางอย่างไร?ที่นี่มีปริศนามากมาย แต่เพราะยันต์ห้าอัสนีบาตของเยียนเหนียนเหนียนทำให้จ้าวซือหว่านถูกสายฟ้าผ่าตาย ทุกอย่างจึงกลายเป็นปริศนาทางนั้นซือเจ๋อเยว่กลับเสวนาเรื่องไร้สาระกับฮูหยินเหวยในห้องฌานนิสัยของซือเจ๋อเยว่เดิมทีก็เป็นคนที่สนุก
“ดวงชะตาขององค์หญิง ข้าได้ฟังมาบ้างแล้วเช่นกัน ค่อนข้างคู่ควรกับหวนเอ๋อร์เพคะ”นางพูดมาถึงตรงนี้ก็จ้องมองซือเจ๋อเยว่ด้วยดวงตาที่เปล่งประกายระยิบระยับทั้งสองข้าง “หากองค์หญิงทรงมีความคิดเรื่องแต่งงานใหม่ ทรงพิจารณาหวนเอ๋อร์ดูนะเพคะ”ซือเจ๋อเยว่ “...”คำพูดประโยคนี้ของฮูหยินเหวยค่อนข้างตรงไปตรงมา ถึงแม้ว่าซือเจ๋อเยว่จะไม่รู้สึกไม่พอใจ แต่ก็ยังรู้สึกแปลก ๆตัวตนของนาง ในราชสำนักเดิมทีก็มีความน่าอึดอัดอยู่บ้าง เมื่อทอดสายตามองในราชสำนัก มีเพียงไม่กี่คนที่กล้าแต่งงานกับนางนางขมวดคิ้วเล็กน้อย เสียงของพระชายาเยียนอ๋องดงลอยมา “องค์หญิง ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่!”ฮูหยินเหวยเห็นพระชายาเยียนอ๋องที่ยืนอยู่บริเวณไม่ไกล นางรู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย เกรงว่าพระชายาเยียนอ๋อง จะได้ยินบทสนทนาของพวกนางเมื่อครู่นี้เข้าความรู้สึกของการถูกจับได้คาหนังคาเขาว่าแย่งลูกสะใภ้ของคนอื่นแบบนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ทำให้คนรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้างนางรีบทำความเคารพ จากนั้นกล่าว “ข้าขอไปแก้บนที่พระอุโบสถก่อน ขอทูลลาเพคะ”พระชายาเยียนอ๋องพยักหน้าเล็กน้อยทีหนึ่ง “เชิญฮูหยินเฒ่า”ฮูหยินเหวยเดินออกไปอย่างรวดเร็วทันทีท
ซือเจ๋อเยว่ปลอบโยนนาง “เสด็จแม่อย่าได้ร้อนใจ เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าจะไม่มีหนทางแก้ไขเลย”“วันนี้จ้าวซือหว่านล้มเหลว ผู้ที่อยู่เบื้องหลังนางจะต้องร้อนใจแน่”“พวกเราสามารถอาศัยความคิดนี้ของคนคนนั้น ตามรอยไปสืบดู ตามหาตัวคนผู้นั้นออกมา จากนั้นหาหนทางทำลายค่ายกลนั่น”พระชายาเยียนอ๋องไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้เลยแม้แต่น้อย ถึงแม้ว่าในเวลานี้ซือเจ๋อเยว่จะอธิบายเรื่องราวอย่างชัดเจนแล้วก็ตาม ในใจของนางยังคงร้อนรนเช่นเดิมซือเจ๋อเยว่ไม่ได้กล่าวโน้มน้าวพระชายาเยียนอ๋องอีกตลอดหลายปีที่ผ่านมา พระชายาเยียนอ๋องถูกเหล่าไท่จวินปกป้องเอาไว้ดีเกินไป จนแบกรับปัญหาไม่ไหวจวนเยียนอ๋องในเวลานี้ แตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง พระชายาเยียนอ๋องไม่สามารถเป็นคนที่แบกรับปัญหาไม่ได้เหมือนดังเช่นเมื่อก่อนอีกแล้วนางเพียงกล่าวเสียงเบา “วิธีการทำลายคนบนโลกไปนี้มากมายนัก บางวิธีก็โหดเหี้ยมและอำมหิต”“ครั้งนี้จ้าวซือหว่านยืมมือเสด็จแม่ เกือบจะสังหารน้องสาม ต่อไปเสด็จแม่จะทำอะไรก็จะต้องระวังให้มากขึ้นอีกหน่อย อย่าเปิดโอกาสให้คนอื่นอีก”พระชายาเยียนอ๋องกำหมัดแน่นกล่าว “ต่อไปข้าทำอะไรจะระวังให้มาก ไม่มีทางเชื่อใจผู้ใดง
วัน ๆ เขาเอาแต่ทำหน้าเย็นชา ทั้งยังคบค้าสมาคมกับคนตายตลอดทั้งปี ท่าทางดูค่อนข้างเย็นชา จ้าวอวี่ชุนจึงรู้สึกหวาดกลัวเขาเล็กน้อยเขายื่นมือออกไปชี้เยียนเซียวหราน กล่าว “ซือหว่านตายเพราะจวนเยียนอ๋อง”“ไม่ว่าสาเหตุการตายที่แท้จริงของนางจะเป็นอะไร จวนเยียนอ๋องจะเป็นต้องชดใช้!”ในเวลานี้นับว่าเขาสงบสติอารมณ์ลงบ้างแล้ว จ้าวซือหว่านก็ตายไปแล้ว ในเวลาแบบนี้ เขาจำต้องต่อสู้เพื่อผลประโยชน์บางอย่างของตัวเองซือเจ๋อเยว่กล่าวพร้อมยิ้มร่า “หากแม่นางจ้าวตายเพราะจวนเยียนอ๋องจริง จวนเยียนอ๋องย่อมไม่มีทางนั่งดูอยู่เฉยๆ เป็นแน่”เหวยอิ้งหวนหันหน้าไปมองนางแวบหนึ่ง ฟังจากคำพูดของนางยังมีประโยคหลังอีก เพียงแต่ไม่ได้พูดออกมาเท่านั้นพระชายาเยียนอ๋องก้าวออกมาพูดเสริมอีกครึ่งประโยคหลังที่ซือเจ๋อเยว่ไม่ได้พูดออกมา “จวนเยียนอ๋องไม่เคยปฏิบัติต่อแม่นางจ้าวอย่างไม่ยุติธรรม”“หากนางตายเพราะมีเจตนาไม่ซื่อสัตย์ รนหาที่ตายเอง เช่นนั้นก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับจวนเยียนอ๋อง”จ้าวอวี่ชุนกล่าวด้วยความโมโห “หมายความว่าอย่างไรที่บอกว่าซือหว่านมีเจตนาไม่ซื่อสัตย์? พระชายาเยียนอ๋อง เหตุใดท่านจึงกล่าวอย่างไม่มีมโนธรรมเช่นนี้
พระชายาเยียนอ๋องหันหน้าไปมองเหล่าไท่จวินด้วยดวงตาแดงก่ำ เช็ดน้ำตาอีกครั้งเหล่าไท่จวินถอนหายใจทีหนึ่งแล้วกล่าว “บัดนี้เจ้าเป็นนายหญิงผู้ดูแลจวนอ๋อง มีเรื่องราวมากมายจำเป็นต้องให้เจ้าตัดสินใจ”“ข้าไม่ขอให้เจ้าสามารถประคับประคองจวนเยียนอ๋องได้ แต่เจ้าก็ไม่ควรกลายเป็นภาระของบรรดาลูกๆ”“ครั้งนี้ที่จ้าวซือหว่านมีโอกาสทำร้ายเซียวเอ๋อร์ สุดท้ายก็เป็นเพราะเจ้าตัดสินใจเอง”“ก่อนหน้านี้องค์หญิงก็เคยเตือนเจ้า บอกว่าจ้าวซือหว่านมีปัญหา แต่เจ้ากลับไม่เอามาใส่ใจเลยสักนิด”“หลังจากที่ท่านอ๋องจากไป เดิมทีเซียวเอ๋อร์ก็ต้องไว้ทุกข์เป็นเวลาสามปี สามปีนี้จวนอ๋องไม่ควรมีงานแต่งงาน”“เมื่อวานนี้ข้าก็เตือนเจ้าเช่นกัน จ้าวซือหว่านตามไปที่วัดเป้ากั๋วนั้นไม่เหมาะสม เจ้ากลับไม่ฟัง ยืนกรานที่จะให้เซียวเอ๋อร์กับจ้าวซือหว่านพัฒนาความสัมพันธ์กัน”“หากไม่ใช่เพราะองค์หญิงเตรียมการตั้งแต่เนิ่น ๆ วันนี้คนที่ตายคงไม่ใช่จ้าวซือหว่าน แต่คงเป็นเซียวเอ๋อร์!”เดิมทีพระชายาเยียนอ๋องก็รู้สึกเสียใจเพราะเรื่องหยกแขวนชิ้นนั้นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว การที่ถูกเหล่าไท่จวินหยิบเรื่องนี้ออกพูดเช่นนี้ ในใจของนางก็ยิ่งรู้สึกเสียใจบ
ซือเจ๋อเยว่พยักหน้า เตรียมที่จะไปพบเหวยอิ้งหวนเยียนเซียวหรานวางแผ่นป้ายวิญญาณในมือลง กล่าวเสียงเรียบ “ข้าจะไปพบเขาพร้อมกับองค์หญิง”ซือเจ๋อเยว่เลิกคิ้วเล็กน้อยกล่าว “เขามีธุระอยากจะถามข้าเป็นการส่วนตัว น้องสามไปด้วย เขาอาจจะคิดมากได้ ข้าไปคนเดียวก็พอ”นางพูดจบก็เห็นทุกคนในห้องหันหน้ามามองนาง นางตบหน้าผากเบา ๆ ทีหนึ่ง “ที่เขามาในวันนี้ มีความเป็นไปได้สูงที่จะถามเรื่องค่ายกล”“เรื่องนี้นอกจากข้าแล้ว ไม่มีผู้ใดสามารถอธิบายได้อย่างละเอียด”“ประตูโถงบุปผาเปิดอยู่ ด้านนอกมีคนรับใช้กับสาวใช้คอยเฝ้าอยู่ ทั้งยังอยู่ที่จวนอ๋อง ข้าไม่มีอันตรายหรอก”เหล่าไท่จวินรู้ว่าคำพูดประโยคนี้ของนางไม่เกี่ยวกับเรื่องอันตรายหรือไม่อันตรายเลยสักนิด แต่พูดเพื่อหลบเลี่ยงความสงสัยถึงอย่างไรการที่สตรีที่มีครอบครัวแล้วเจอผู้ชายที่ไม่ใช่คนในครอบครัวตามลำพัง ก็ไม่ถูกต้องตามกฎสักเท่าใดเหล่าไท่จวินกล่าวเสียงอ่อนโยน “ท่านไปเถอะ ข้าเชื่อท่าน”ซือเจ๋อเยว่พยักหน้าเล็กน้อยทีหนึ่ง แล้วจึงเดินไปยังโถงบุปผาเหล่าไท่จวินหันหน้ากลับมา เห็นว่าเยียนเซียวหรานกำลังมองซือเจ๋อเยว่ นางไม่ได้คิดมาก เพียงกล่าว “องค์หญิงเป็นคน
‘คน’ คนนั้นใบหน้าซีดเซียว มุมปากมีเขี้ยวยื่นออกมา ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำบนร่างกายของมันถูกรัดด้วยสายสีแดงเส้นหนึ่ง ไม่รู้ว่าสายนั้นมีไว้ทำอะไร มัดมันเอาไว้แน่นมันกล่าวด้วยความเกลียดชัง “ซือเจ๋อเยว่ ข้าจะฆ่าเจ้า!”เล็บของมันทั้งดำทั้งยาวทั้งแหลม พุ่งเข้าไปหาซือเจ๋อเยว่ด้วยความดุร้าย แต่ยังไม่ทันได้เข้าใกล้นาง ก็ถูกสายสีแดงมัดเอาไว้ เข้าใกล้ตัวนางไม่ได้ซือเจ๋อเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ใต้เท้าเหวยไม่ต้องกลัว นี่เป็นวิญญาณร้ายที่ข้าจับได้ก่อนหน้านี้”“ในมือของมันมีดวงชะตาคนอยู่สิบดวง ค่อนข้างดุร้าย ตอนนั้นไม่ได้ฆ่ามันทันที เป็นเพราะคิดว่าการฆ่ามันเลยจะเป็นการดูถูกมันเกินไป”สีหน้าของเหวยอิ้งหวนซีดขาวเล็กน้อย “ดังนั้นบนโลกใบนี้มีผีจริงๆ?”ซือเจ๋อเยว่พยักหน้า “ถือว่ามี ปกติใต้เท้าสืบคดี น่าจะได้พบเจอเรื่องราวแปลกประหลาดและไม่สามารถอธิบายได้อยู่บ้าง”“วันนี้ข้าปล่อยของสิ่งนี้ออกมา เพียงแค่อยากจะให้ใต้เท้ามีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งมากขึ้นเกี่ยวกับเรื่องที่ฟ้าผ่าคนตายบนโลกใบนี้”เหวยอิ้งหวนสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ทีหนึ่ง สายตาที่จ้องมองซือเจ๋อเยว่ค่อนข้างซับซ้อนวิญญาณร้ายดวงนั้นกล่า
นั่นเป็นเพราะหลังจากที่ตอนนั้นเขาเข้าไปในค่ายกลแล้ว ตกอยู่ในภาพลวงตา เหมือนเช่นเยียนเซียวหรานในตอนนี้ตัวประหลาดนั่นโหดเหี้ยมน่ากลัวเกินไป ภายในร่างกายกักขังเศษวิญญาณเอาไว้มากมายขนาดนั้นนางไม่จำเป็นต้องเดา เศษวิญญาณที่ตัวประหลาดกักขังเอาไว้ภายในร่างกายพวกนั้น เกรงว่าทั้งหมดจะเป็นองครักษ์ของเยียนอ๋องซื่อจื่อเมื่อนางนึกถึงเรื่องศพอันไม่สมบูรณ์ของเยียนอ๋องซื่อจื่อที่ถูกขนกลับมายังจวนเยียนอ๋อง เกรงว่าจะไม่ได้โดนสัตว์ป่ากัดเอา ทว่าถูกตัวประหลาดนี้ฉีกนางไม่สามารถจินตนาการได้ เยียนอ๋องซื่อจื่อและกลุ่มคนถูกขังอยู่ภายในค่ายกลนี้ ตอนที่ถูกตัวประหลาดฉีกกินทั้งเป็น จะน่าเวทนาและหมดหนทางมากขนาดไหน!ทว่าเรื่องทั้งหมดนี้ ก็เป็นเพียงแค่ต้องการฆ่าปิดปากพวกเขา จากนั้นก็ทำเป็นตาค่ายกล ถูกกักขังระหว่างหยินกับหยางตลอดไป กลับชาติมาเกิดใหม่ไม่ได้ต่อให้วิญญาณที่ไม่สมบูรณ์จะหนีไปแล้วกลับชาติมาเกิดใหม่ หากไม่โง่ ปัญญาอ่อน ก็จะอายุสั้น เพราะดวงวิญญาณไม่สมบูรณ์ ได้รับความทุกข์ทรมานเพราะกลับชาติมาเกิดคนผู้นี้จิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต ทำให้รู้สึกโกรธมากจริง ๆ!พวกเขาวิ่งไปข้างหน้าอยู่ครู่หนึ่งถึงได้หยุดลงแล
ตัวประหลาดจับลูกธนูดอกนั้นไว้แล้วโยนใส่พวกเขาเยียนเซียวหรานหลบด้วยความรวดเร็ว ธนูดอกนั้นลอยเฉียดหัวของเขาไปซือเจ๋อเยว่ส่งเสียงร้องประหลาดใจออกมาเบา ๆ พลังสังหารของตัวประหลาดตัวนี้มากเสียจนน่าหวาดกลัวสีหน้าของเยียนเซียวหรานเองก็ค่อนข้างดูแย่เช่นกัน หากเป็นเช่นนี้ ต่อไปอยากจะยิงให้ถูกตัวประหลาดอีกก็คงกลายเป็นเรื่องที่ยากมากตอนที่ซือเจ๋อเยว่เห็นตัวประหลาดไล่ตามมา พลังชั่วร้ายสีดำที่แผ่ซ่านออกมาจากมือ นางจึงมีวิธีการแล้วนางหยิบลูกธนูดอกหนึ่งขึ้นมาแล้วติดยันต์ที่ด้านบน ให้เยียนเซียวหรานยิงอีกครั้งตัวประหลาดในเวลานี้อยู่ใกล้กับพวกเขามาก เยียนเซียวหรานทำได้เพียงหลบไปก่อน แล้วค่อยยิงธนูดอกนั้นออกไปตัวประหลาดตัวนั้นมองเห็นการเคลื่อนไหวนี้ของเขา ในดวงตาปรากฏความเหยียดหยามขึ้นมาแวบหนึ่ง ใช้วิธีการเดิมซ้ำอีกครั้งเพื่อจับธนูดอกนั้นเพียงแต่ครั้งนี้ตอนที่มันจับลูกธนูดอกนั้นเอาไว้ ทันใดนั้นยันต์ห้าอัสนีบาตรก็ทำงาน ภายในชั่วพริบตา เสียงฟ้าร้องคำรามลั่น ฟ้าผ่ามันจนไหม้เกรียมเยียนเซียวหรานแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก คิดว่าทำแบบนี้น่าจะผ่าจนตัวประหลาดตายแล้ว ทว่าครู่ต่อมา ตัวประหลาดก็ขยับอ
ตลอดทาง เขากลับทำให้ตัวประหลาดนั่นไม่ต้องครุ่นคิดอีก วิ่งไล่ตามชื่อปาเลี่ยไปทันทีในระหว่างที่ซือเจ๋อเยว่กำลังพูด ตัวประหลาดก็ได้โจมตีชื่อปาเลี่ยหลายรอบแล้วชื่อปาเลี่ยในเวลานี้ได้สติกลับคืนมาอย่างสมบูรณ์แล้ว กลัวว่าจะช่วยชีวิตเขาไม่ได้ เขาจำต้องคิดหาหนทางช่วยเหลือตัวเองศักยภาพของร่างกายเขาถูกกระตุ้นจนถึงขีดสุด ไม่นึกเลยว่าเขาจะหลบการโจมตีนับครั้งไม่ถ้วนของตัวประหลาดได้อย่างหวุดหวิดเขาในเวลานี้พลางร้องอย่างสิ้นหวัง พลางหลบอย่างบ้าคลั่ง กลายเป็นเจ้าอ้วนที่คล่องแคล่วที่สุดในใต้หล้านี้ได้สำเร็จเมื่อซือเจ๋อเยว่มองเห็นท่าทางที่ตกอยู่ในอันตรายของเขา ทั้งรู้สึกว่าเขาน่าสงสาร แล้วก็อยากจะขำอีกด้วย เนื่องจากตอนที่เขาหลบ เรียกได้ว่าไม่ได้สนใจภาพลักษณ์เลยสักนิดนางกล่าวกับเยียนเซียวหราน “ถึงแม้ในหนังสือจะไม่ได้บอกวิธีการที่สามารถสังหารตัวประหลาดประเภทนี้เอาไว้ สิ่งของบนโลกใบนี้อยากจะให้หายไปก็มีเพียงสองวิธี”“หนึ่งคือการโจมตีทางกายภาพ อีกอย่างก็คือการโจมตีแบบลี้ลับ”“ในเมื่อการโจมตีทางกายเมื่อครู่นี้ไม่ได้ผล เช่นนั้นก็ต้องลองการโจมตีแบบลี้ลับดูเสียหน่อย”ครั้งก่อนนางวาดยันต์สำรองเอาไว
ตอนนี้สิ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้าของพวกเขา ก็คือสัตว์ยักษ์สีแดงที่สูงประมาณหนึ่งจั้งตัวหนึ่งสัตว์ยักษ์ตัวนั้นมีดวงตาสีดำที่คล้ายกับระฆัง ไม่มีคิ้ว ไม่มีขนตาจมูกมีเพียงรูจมูกสองรู ปากไม่มีริมฝีปาก ปรากฏให้เห็นฟันแหลมคมเต็มปาก ภายใต้ฟันอันแหลมคม เวลานี้ยังมีของเหลวสีเหลืองไหลย้อยออกมาเพียงแค่พวกนี้ก็พอทนแล้ว ร่างกายของเขายังมีตุ่มสีแดงเต็มตัวตุ่มพวกนั้นห้อยอยู่บนร่างกายของสัตว์ยักษ์ ปกคลุมร่างกายของมันที่เดิมทีเต็มไปด้วยขนสีดำ มองดูน่าสะอิดสะเอียนเป็นอย่างยิ่ง ซือเจ๋อเยว่ที่คิดว่าตัวเองเป็นคนมีความรู้กว้างขวางมาโดยตลอด กลับเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนขนาดนี้ชื่อปาเลี่ยร้องออกมาอย่างอดไม่ได้ “นี่มันตัวบ้าอะไรกันเนี่ย!”นี่เป็นคำถามที่เยี่ยมมากจริง ๆ ซือเจ๋อเยว่เองก็อยากรู้เช่นกันว่านี่มันคือตัวบ้าอะไรสัตว์ยักษ์ที่กำลังน้ำลายไหลตัวนั้นเดินมุ่งหน้าเข้ามาหาพวกเขา ทันทีที่มันเข้าใกล้ กลิ่นคาวกลุ่มนั้นก็รุนแรงขึ้นซือเจ๋อเยว่สะอิดสะเอียนจนอยากอ้วก!ตอนที่เยียนเซียวหรานมองเห็นสัตว์ยักษ์ตัวนั้น เสียงเตือนภายในใจของเขาก็ดังขึ้นอย่างบ้าคลั่งตอนที่สัตว์ยักษ์ตัวนั้นเดินเ
นางมีแววตาเปล่งประกายล้ำลึก “ช่างเป็นฝีมือที่สูงส่งยิ่งนัก!” เยียนเซียวหรานมองนาง นางจึงเอ่ยต่อ "ฟ้าคือหยาง ดินคือหยิน ยามหยินหยางกลับตาลปัตร สรรพสิ่งพลิกผัน กฎแห่งฟ้าดินถูกตัดขาด!" “แต่สิ่งใดที่หลอกลวงได้ชั่วคราว ย่อมไม่อาจปิดบังไปชั่วชีวิต!” “เหล่าดวงวิญญาณผู้ซื่อสัตย์แห่งสนามรบ ท่านทั้งหลายที่คืนสู่แผ่นดิน ณ ที่แห่งนี้ โปรดร่วมมือกับข้ากำจัดภาพลวงที่ปกคลุมโลกใบนี้ จงสลายม่านมายา! ทำลายมันเสีย!” นางฟาดฝ่ามือลงกับพื้นดิน สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งสี่ทิศ เสียงแตกร้าวดังมาจากรอบทิศ ทันทีที่เสียงนั้นดังขึ้น พื้นดินสีดำสนิทรอบตัวก็พลันหายไป อาการหายใจที่ยากลำบากบัดนี้กลับมาเป็นปกติ ต้นไม้ที่เคยหายไปปรากฏขึ้นอีกครั้ง ทว่ามันกลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายและความเสื่อมสลาย ขุนเขาเช่นนี้ หาได้มีภาพของทัศนียภาพอันงดงามเหนือจินตนาการอย่างที่ชื่อปาเลี่ยที่เคยบอกเอาไว้ไม่ แต่สิ่งที่อยู่เบื้องหน้ากลับเป็นดินแดนรกร้างที่ไร้ซึ่งชีวิต! เกรงว่าภาพที่เยียนอ๋องเห็นในอดีตก็คงจะเป็นเพียงภาพมายาเท่านั้น เพียงแค่นางยังไม่เข้าใจเหตุผล ผู้ที่วางค่ายกลนี้ เหตุใดจึงต้องสร้างภาพลวงเช่น
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใดที่อากาศโดยรอบเริ่มบางเบาจนผิดปกติ พวกเขาเพียงแค่เดินตามปกติ แต่กลับรู้สึกหายใจติดขัด ชื่อปาเลี่ยอ้าปากหอบหายใจ พลางเอ่ยด้วยความตระหนก “นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่ เหตุใดข้าหายใจไม่ออก?” ซือเจ๋อเยว่เอ่ยเสียงเบา “เราก้าวเข้าสู่ค่ายกลของผู้อื่นแล้ว” ชื่อปาเลี่ยเอ่ยด้วยความสงสัย “แต่เมื่อครู่ยามที่เข้ามา ท่านได้ทำลายค่ายกลไปแล้วไม่ใช่หรือ?” ซือเจ๋อเยว่ตอบไป “นี่คือค่ายกลซ้อนค่ายกล ผู้วางค่ายกลนี้ร้ายกาจอย่างยิ่ง ฝีมือในด้านค่ายกลไม่ได้ด้อยกว่าข้าเลย” “แม้แต่ยามที่ก้าวเข้ามาครั้งแรก ข้าเองก็ยังไม่พบสิ่งผิดปกติ” “ในเมื่อเราตกเข้ามาแล้ว ยามนี้สิ่งที่ต้องทำคือหาทางทำลายค่ายกลนี้” ชื่อปาเลี่ยรีบถาม “ทำอย่างไรจึงจะทำลายได้?” ซือเจ๋อเยว่กวาดตามองโดยรอบแล้วเอ่ยขึ้น “หากต้องการทำลายต้องหาแกนกลางค่ายกลให้พบ ขอเพียงหามันเจอ การทำลายค่ายกลนี้ก็จะเป็นเรื่องที่ง่ายดายอย่างยิ่ง” “ส่วนเรื่องที่ว่ามันอยู่ที่ใด ยามนี้ข้าเองก็ยังไม่แน่ชัด เราต้องหาต่อไป” ยิ่งพวกเขาก้าวไปข้างหน้าเท่าใด ก็ยิ่งรู้สึกว่าการหายใจยากลำบากเท่านั้น พื้นดินรอบตัวกลายเป็นสีดำไหม้ ฟ้า
ราชครูมองเห็นโชคชะตาของจวนหนิงกั๋วกงกระจัดกระจาย ก่อนที่มันจะรวมตัวขึ้นอีกครั้ง คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เขายกนิ้วขึ้นคำนวณบางสิ่ง แต่เมื่อได้ผลลัพธ์ เขากลับแย้มยกริมฝีปากแล้วเอ่ยด้วยความไม่พอใจ “นี่มันตัวอันใด!” เด็กรับใช้สำนักเต๋าชุดเขียวที่คอยรับใช้อยู่ข้างกายเอ่ยถาม “ท่านราชครู เป็นอันใดไปหรือขอรับ?” ทว่าราชครูกลับตอบไม่ตรงคำถาม “ทุกสิ่งในโลกนี้ ล้วนมีเหตุและผลของมัน” “มีบางเรื่องที่ข้าสามารถแทรกแซงได้ แต่บางเรื่องต้องปล่อยให้นางเป็นผู้จัดการเอง” “นางคนนั้นมีชะตาชีวิตที่แตกต่างจากผู้อื่น เมื่อยามทุกข์ก็ทุกข์อย่างแท้จริง” “แม้ข้าจะสงสารนางเพียงใด แต่เรื่องบางเรื่องก็มีแต่นางที่ต้องเผชิญด้วยตนเอง” เด็กรับใช้สำนักเต๋าชุดเขียวเอ่ยถาม “ท่านกำลังเอ่ยถึงชะตากรรมใดกัน? หรือว่าท่านกำลังเป็นห่วงศิษย์พี่หญิง?” ราชครูหยิบไม้ขนไก่ข้างตัวขึ้นมาแล้วหวดลงไปที่หลังของเด็กรับใช้สำนักเต๋าชุดเขียวทันที “ผู้ใดสนใจนางกัน?!” “ชะตาชีวิตของนางเป็นชะตาที่ต้องตาย แม้แต่มหาเทพเซียนมาเองก็ไม่อาจช่วยนางได้!” “ตลอดหลายปีมานี้ เป็นเพราะนาง ข้าแก่ขึ้นไปตั้งเท่าใด ข้าจะไปสนใจนางเ
ดังที่ซือเจ๋อเยว่คาดการณ์ไว้ อดีตหนิงกั๋วกงพลันกระอักเลือดออกมา เขาเอ่ยขึ้นมาอย่างเคียดแค้น “ซือเจ๋อเยว่!” ตลอดหลายวันผ่านมานี้ เขาทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเพื่อรักษาโชคชะตาของจวนหนิงกั๋วกง สมบัติวิเศษล้ำค่าที่เขาเสาะหามานานหลายปีล้วนถูกใช้ไปจนหมดสิ้น จึงจะประคับประคองไว้ได้อย่างยากลำบาก ครั้งก่อนที่ไป๋จื้อเซียนบุกเข้าไปยังห้องลับ และกลืนกินดวงวิญญาณของบรรพบุรุษคนสุดท้ายที่ยังหลงเหลืออยู่ ก็ทำให้อดีตหนิงกั๋วกงเริ่มรู้สึกถึงความสั่นคลอนของพลัง แม้เวลานั้นสถานการณ์จะอันตราย แต่ค่ายกลใหญ่แห่งชายแดนยังไม่ถูกทำลายโดยสมบูรณ์ หากสามารถจัดการพลังที่หลงเหลือได้อย่างเหมาะสม ก็ยังสามารถต่อเวลาของโชคชะตาในจวนหนิงกั๋วกงออกไปได้อีกระยะหนึ่ง ด้วยเหตุนี้เมื่อรู้ว่าซือเจ๋อเยว่และเยียนเซียวหรานออกจากเมืองหลวง เขาจึงเร่งวางแผนเพื่อกำจัดพวกเขาให้สิ้นซาก เดิมทีเขาคิดว่าหากสามารถสกัดซือเจ๋อเยว่และเยียนเซียวหรานเอาไว้ที่ด่านอวิ๋นหลิ่งได้ ทุกอย่างก็จะไม่มีปัญหา ทว่าเมื่อครู่ เขาได้รับสารลับจากนกพิราบส่งข่าวจากด่านอวิ๋นหลิ่ง ข้อความในจดหมายบอกเอาไว้ว่าที่ด่านอวิ๋นหลิ่งนั้น เกิดหิมะตกหนัก
ดังนั้น เขาจึงเปลี่ยนจากบุรุษผู้ซื่อสัตย์ กลายเป็นคนหยาบกระด้างและไม่สนใจเหตุผลใด ๆ อีกต่อไป เขาชินเสียแล้วกับสายตาของผู้คนที่มองเขาปานสิ่งสกปรก เขาใช้ชีวิตอย่างเมามายไร้จุดหมายไปวัน ๆ แต่เมื่อวาน ยามที่ไป๋จื้อเซียนคิดจะสังหารเขา ซือเจ๋อเยว่กลับทุ่มเทสุดกำลังเพื่อช่วยชีวิตเขา ยิ่งไปกว่านั้นแววตาที่นางใช้มองเขา ก็หาได้แตกต่างไปจากการมองคนอื่นไม่ ไม่มีแม้เพียงเศษเสี้ยวของความดูแคลน เขาจึงรู้สึกว่าสตรีในโลกนี้ ใช่ว่าทุกคนจะเป็นเช่นมารดาหรือสตรีที่เขาเคยหมายปองในอดีต เขากระแอมเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “คุณชายสาม หลังจากเรื่องนี้จบแล้ว ท่านพอจะพาข้าไปเมืองหลวงได้หรือไม่?” เยียนเซียวหรานรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “เจ้าคิดจะไปเมืองหลวง?” ชื่อปาเลี่ยตอบไป “ใช่ขอรับ ข้าไม่อยากอยู่ที่ชายแดนอีกต่อไปแล้ว ที่นี่ทุกคนล้วนรู้เรื่องของข้า หากข้าไม่เลือกเป็นอันธพาลก็ต้องเป็นเพียงคนไร้ค่า” “แต่ข้าไม่อยากเป็นอันธพาลและไม่อยากเป็นคนไร้ค่า ข้าเพียงแค่อยากเป็นคนธรรมดา” “ข้าต้องการพึ่งพาความสามารถของตนเอง มีชีวิตที่ดี และแต่งงานกับสตรีดี ๆ สักคน เพื่อใช้ชีวิตอย่างปกติสุข” เยียนเซียวหรานเอ่ย