‘คน’ คนนั้นใบหน้าซีดเซียว มุมปากมีเขี้ยวยื่นออกมา ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำบนร่างกายของมันถูกรัดด้วยสายสีแดงเส้นหนึ่ง ไม่รู้ว่าสายนั้นมีไว้ทำอะไร มัดมันเอาไว้แน่นมันกล่าวด้วยความเกลียดชัง “ซือเจ๋อเยว่ ข้าจะฆ่าเจ้า!”เล็บของมันทั้งดำทั้งยาวทั้งแหลม พุ่งเข้าไปหาซือเจ๋อเยว่ด้วยความดุร้าย แต่ยังไม่ทันได้เข้าใกล้นาง ก็ถูกสายสีแดงมัดเอาไว้ เข้าใกล้ตัวนางไม่ได้ซือเจ๋อเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ใต้เท้าเหวยไม่ต้องกลัว นี่เป็นวิญญาณร้ายที่ข้าจับได้ก่อนหน้านี้”“ในมือของมันมีดวงชะตาคนอยู่สิบดวง ค่อนข้างดุร้าย ตอนนั้นไม่ได้ฆ่ามันทันที เป็นเพราะคิดว่าการฆ่ามันเลยจะเป็นการดูถูกมันเกินไป”สีหน้าของเหวยอิ้งหวนซีดขาวเล็กน้อย “ดังนั้นบนโลกใบนี้มีผีจริงๆ?”ซือเจ๋อเยว่พยักหน้า “ถือว่ามี ปกติใต้เท้าสืบคดี น่าจะได้พบเจอเรื่องราวแปลกประหลาดและไม่สามารถอธิบายได้อยู่บ้าง”“วันนี้ข้าปล่อยของสิ่งนี้ออกมา เพียงแค่อยากจะให้ใต้เท้ามีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งมากขึ้นเกี่ยวกับเรื่องที่ฟ้าผ่าคนตายบนโลกใบนี้”เหวยอิ้งหวนสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ทีหนึ่ง สายตาที่จ้องมองซือเจ๋อเยว่ค่อนข้างซับซ้อนวิญญาณร้ายดวงนั้นกล่า
ซือเจ๋อเยว่พยักหน้า “ไม่ใช่ข้าใช้ยันต์ห้าอัสนีบาตรสังหารจ้าวซือหว่าน แต่จ้าวซือหว่านคิดจะสังหารพวกข้า พวกข้าจึงจำใจต้องตอบโต้”“ข้าไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อจ้าวซือหว่าน แต่การกำจัดปีศาจและจับวิญญาณชั่วร้ายถือเป็นหน้าที่รับผิดชอบของสำนักเต๋า ใต้เท้าได้โปรดอภัย”เหวยอิ้งหวนจ้องมองนางอยู่นาน อดกลั้นอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็พ่นประโยคหนึ่งออกมา “ให้อภัยกับผีนะสิพ่ะย่ะค่ะ!”เขาพูดจบก็สะบัดแขนเสื้อ แล้วสาวเท้าเดินออกไปซือเจ๋อเยว่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ข้าไปส่งใต้เท้า!”เหวยอิ้งหวนรีบกล่าว “องค์หญิงหยุดก่อนพ่ะย่ะค่ะ หากเป็นไปได้ ต่อไปองค์หญิงอยู่ห่างจากข้าสักหน่อยเถิด ต่อไปข้าไม่อยากจะพบองค์หญิงอีก”ซือเจ๋อเยว่ที่อยู่ด้านหลังเขากล่าว “ใต้เท้าเหวยช่างพูดเสียจริง คดีของจวนเยียนอ๋องยังไม่จบสิ้น วันข้างหน้าพวกเรายังมีโอกาสจะต้องได้เจอกันหน้ากันอีก”“ใต้เท้ามีความเชี่ยวชาญในการสืบคดี ข้านับถือจริง ๆ ยังคิดอยู่ว่าต่อไปหากมีเวลาว่างจะไปขอคำชี้แนะจากใต้เท้า”เหวยอิ้งหวนยิ่งเดินเร็วขึ้นกว่าเดิม ไม่อยากจะได้ยินคำพูดของนางเลยสักนิดเดียวซือเจ๋อเยว่เห็นท่าทางของเขา ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเหวยอิ้งหวนได้ยิน
เหวยอิ้งหวน “...”เขาเป็นผู้ควบคุมดูแลการลงโทษ มีวิธีการตายแบบไหนที่ไม่เคยเห็นบ้าง แต่การตายของ ‘คน’ คนนี้นับว่าค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์‘คน’ คนนั้นบ่นพึมพำต่อไป “สิ่งที่น่าโมโหที่สุดคือข้าตกลงมาตายไปในบ้านของตนเอง พวกเขาไม่ชดใช้เงินให้ข้าแม้แต่แดงเดียว”“หลายปีมานี้ข้าก่อความวุ่นวายในบ้านของเขา ทำให้ทุกคนในครอบครัวของเข้าตกใจจนย้ายนี้ไป แต่ว่าจนถึงตอนนี้ข้าก็ยังไม่ได้กินสาลี่เลยสักลูก”“ใต้เท้า ท่านช่วยบอกกับลูกชายของข้าที ว่าอย่าเอาอาหารที่เย็นชืดมาเป็นของเซ่นไหว้บ่อย ๆ ได้หรือไม่? ข้าอยากจะชิมรสชาติของสาลี่ดูบ้าง”เหวยอิ้งหวน “...”เขารู้สึกเหมือนกำลังจะป่วยเป็นโรคจากการทำงานเจ้าหมอนี่ไปขโมยสาลี่ของชาวบ้านแต่ขโมยไม่ได้ จากนั้นตกลงมาตาย ไม่คิดเลยว่าที่ยังวนเวียนอยู่ในโลกมนุษย์ไม่ยอมไปเกิดใหม่ ก็เพื่อกินสาลี่!เขาคิดว่าตนไม่เข้าใจ ‘คน’ คนนั้นก็ช่างแล้ว ไม่คิดเลยว่าเจ้าหมอนั่นจะเดินมาที่ตรงหน้าแล้วจะโกนว่า “อาฮวา อาจู อาหนิว รีบมาเร็วเข้า!”“ใต้เท้าท่านนี้มองเห็นข้า แล้วก็ได้ยินสิ่งที่ข้าพูดอีกด้วย พวกเขามีเรื่องคับข้องใจอะไรก็รีบมาร้องทุกข์ขอความเป็นธรรม”เหวยอิ้งหวน “...”‘ค
เขารู้ว่าสถานการณ์แบบเขาในตอนนี้ เป็นไปได้สูงที่เป็นเพราะถูกซือเจ๋อเยว่เบิกตาทิพย์เขาเคยได้ยินคนพูดว่า การเบิกตาทิพย์เป็นเรื่องที่ยากมากเรื่องหนึ่ง พอเป็นนาง เพียงแค่โบกมือก็ทำให้เรื่องราวสำเร็จได้ทุกอย่างที่ได้ยินและได้เห็นในคืนนี้ ได้ทำลายสามมุมมองและความรู้ของเขาจนพังทลายคืนนี้ซือเจ๋อเยว่เบิกตาทิพย์ให้เขาแบบนี้ เพียงเพราะแค่อยากจะบอกเขาว่าจ้าวซือหว่านเกี่ยวพันธ์กับสิ่งชั่วร้ายจริง ๆ ถึงได้ถูกฟ้าผ่าตายเพียงแต่สายฟ้านี้อยู่ในยันต์ของซือเจ๋อเยว่ นางกำลังขจัดความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านเดิมทีเหวยอิ้งหวนก็กำลังคาดเดาว่าซือเจ๋อเยว่เป็นผู้สังหารจ้าวซือหว่าน ครั้งนี้นับว่ามั่นใจอย่างสมบูรณ์แล้วเพียงแต่วิธีการสังหารคนของซือเจ๋อเยว่ อยู่เหนือที่เขาได้คาดการณ์เอาไว้เรื่องราวในค่ำคืนนี้ส่งผลกระทบต่อเขาเป็นอย่างมากจริง ๆ เขาอดทนไม่ไหวแล้วจริง ๆเขาไม่ได้พาคนมาด้วย ไปที่จวนเยียนอ๋องเพียงลำพังตอนที่เขามาถึง ประตูห้องก็ได้นำเขาตรงไปยังแท่นดาราของจวนอ๋องแท่นดาราเป็นลานกว้างขนาดประมาณสองตารางเมตร ที่นั่นสามารถมองเห็นทั่วทั้งจวนอ๋องตรงกลางของแท่นดาราในเวลานี้มีโต๊ะหนึ่งตัววางอยู่ บน
ซือเจ๋อเยว่พูดจบกำลังจะลงมืออีกครั้ง เหวยอิ้งหวนรีบกล่าว “ไม่ต้องพ่ะย่ะค่ะ!”ซือเจ๋อเยว่หันหน้าไปหาเขา เขารู้สึกว่าปฏิกิริยาของตนมากเกินไปหน่อยจริง ๆ รีบสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ทีหนึ่ง เพื่อให้ตนสงบสติขึ้นเล็กน้อยเขากระแอมเสียงเบาแล้วกล่าว “ความหมายของข้าคือไม่ต้องยุ่งยากเช่นนี้ ข้าเชื่อคำพูดขององค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ”ซือเจ๋อเยว่ยิ้มตาหยี “ขอบคุณในความเชื่อมั่นของใต้เท้า”“ข้าขออธิบายเรื่องหยกแขวนชิ้นนี้กับใต้เท้าเสียหน่อย รอยดำด้านบนคิดว่าใต้เท้าน่าจะมองเห็น”“ตอนนี้ใต้เท้าไม่มีตาทิพย์ มองเห็นอะไรได้ไม่มากนัก แต่ข้ารู้ว่าใต้เท้าสามารถสัมผัสได้”เหวยอิ้งหวนสัมผัสได้จริง ๆ หยกแขวนชิ้นนั้นทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยสบาย แสดงออกถึงความชั่วร้ายเขากล่าวเสียงขรึม “หลังจากที่องค์หญิงทำลายค่ายกลของหยกแขวนชิ้นนี้ คำเชิญของจ้าวซือหว่านครั้งนี้อันที่จริงคือการลองหยั่งเชิง และองค์หญิงวางแผนซ้อนแผน?”ซือเจ๋อเยว่พยักหน้า “ไม่ผิด แต่ข้าก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าจ้าวซือหว่านจะลงมือวันนี้”“นางคิดจะสังหารน้องสาม ข้าผู้เป็นพี่สะใภ้คนโตไม่สามารถทนยืนดูอยู่เฉย ๆ ได้ ดังนั้นจึงลงมือ”“แต่ข้าก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่านา
เยียนเซียวหรานเหลือบมองเขาแวบหนึ่งก่อนจะกล่าว “บิดาและพี่ชายตายอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม ในฐานะที่ข้าเป็นบุรุษเพียงคนเดียวที่หลงเหลืออยู่ในจวนเยียนอ๋อง ย่อมมีหน้าที่ของตนที่ต้องรับผิดชอบ”“ข้ารู้ว่าใต้เท้าเหวยเจตนาดี ทว่าเรื่องนี้ข้ามิอาจทำตามที่ใต้เท้าเหวยบอกได้”“ข้าสามารถสืบคดีกับใต้เท้าเหวย แม้บิดาและพี่ข้าจะตายไปแล้ว ทว่าจวนเยียนอ๋องก็ยังมีข้าอยู่!”เขากล่าวจบก็ชี้นิ้วไปทางลานสวนด้านหน้าพลางพูด “ท่านย่าชราภาพแล้ว ท่านแม่ร่างกายมิสู้ดีนัก พี่สะใภ้รองก็ตั้งครรภ์”“ข้าเป็นบุรุษในจวนเยียนอ๋อง ก็ต้องแบกรับจวนเยียนอ๋องไว้”เหวยอิ้งหวนทอดถอนลมหายใจเสียงยาวออกมาแล้วเอ่ย “หากคุณชายสามดึงดันจะสืบให้จงได้ ข้าก็จะไม่ขัดขวาง”“เพียงแค่อยากขอให้คุณชายสามโปรดระวังตัวด้วย เมื่อประสบกับเรื่องยุ่งยาก ก็มาหาข้าได้เลย”คนทั้งสองประสานมือคารวะซึ่งกันและกัน จากนั้นเหวยอิ้งหวนตั้งท่าเดินจากไปขณะถึงปากทางบันไดเขาพลันหันกลับมาเอ่ยต่อซือเจ๋อเยว่ “องค์หญิง กระหม่อมหวังว่าต่อไปจะไม่ได้เห็นของพวกนั้นอีก”ซือเจ๋อเยว่เอ่ยอย่างเชื่อฟัง “ได้”เหวยอิ้งหวนเอามือไพล่หลังข้างหนึ่ง แล้วสาวเท้ายาวเดินจากไป
เยียนเซียวหรานไม่มีทีท่าว่าจะสนใจนาง เคลื่อนไหวฝีเท้าเดินหน้าอย่างไม่มีหยุดพัก เสื้อคลุมพลิ้วไหวในยามราตรี แผ่รังสีสง่างามและสุขุมซือเจ๋อเยว่เอามือกอดอก บึนปากเล็กน้อยนางรีบถกแขนเสื้อขึ้นดูเส้นสีแดงบนข้อมือ เป็นดังที่นางคาดไว้ เส้นสีแดงยาวขึ้นอีกนิดแล้วนางหัวเราะอย่างมีความสุข ที่แท้เข้าใกล้เขาในระยะประชิดแบบนี้ ก็ต่อชีวิตของนางได้เช่นนั้นต่อไปนางแค่หาโอกาสเข้าใกล้เขา ก็ไม่ต้องลำบากลำบนหาหนทางหลับนอนกับเขาอีกแล้วนี่เป็นเรื่องน่ายินดีอย่างมากสำหรับนาง!เพราะเข้าใกล้เขาง่าย ร่วมเรียงเคียงหมอนกับเขานั้นยากแสนยากนักแววตาที่นางมองเขาพลันเป็นกระกายลุกวาวในพริบตาเดียวเขาก็คืออุปกรณ์ต่อชีวิตเคลื่อนที่ของนางดี ๆ นี่เอง!จากนี้นางต้องหาโอกาสเข้าใกล้เขาให้มาก ๆ จะได้สะสมเวลาชีวิตไว้เยอะ ๆเยียนเซียวหรานสัมผัสได้ถึงแววตาร้อนแรงของนาง เขาพลันเกิดความรู้สึกสับสนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หรือว่านางชอบเขา?หลังจากความคิดนี้แล่นปราดเข้ามาในหัว เพลิงราคะราวกับถูกจุดขึ้นให้ลุกโชนเขาสูดลมหายใจเข้าลึกติดต่อกันหลายที พร่ำบอกตนเองว่าเรื่องนี้ไม่มีทางเป็นไปได้ นางคงแค่เย้าแหย่เขาอยู่เท่านั้
เยียนเซียวหรานกล่าวพึมพำ “เมื่อสองปีก่อน เวลาช่างประจวบเหมาะเหลือเกิน”สองปีที่แล้วก็คือช่วงเวลาที่เขาถูกสตรีลึกลับทำเรื่องอย่างว่าที่ตำบลนั้นสัญชาตญาณบอกเขาว่าเรื่องนั้นอาจมีความเกี่ยวข้องอยู่บ้างกับการที่จู่ ๆ อารามเต๋าก็ประกอบพิธิสะเดาะเคราะห์ยิ่งใหญ่แต่เขาก็มิอาจล่วงรู้ได้ว่าเกี่ยวข้องกันอย่างไรฉางซานกล่าวต่อ “ส่วนลายปักดอกกล้วยไม้บนผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น ก็เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในตำบลนั้นขอรับ”“ร้านเย็บปักในตำบลต่างเย็บลวดลายนี้เป็นกันทั้งนั้น”“ข้าน้อยได้สอบถามโดยละเอียดแล้ว ต้นแบบแรกเริ่มของลายปักดอกกล้วยไม้นั้นมาจากองค์หญิงขอรับ”อารามเต๋าแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ ๆ ประเภทแรกคืออารามสำหรับให้บุรุษฝึกฝนวิชา ส่วนอีกประเภทก็คือสำหรับสตรีซือเจ๋อเยว่กลับเติบโตมาในอารามเต๋าซึ่งเป็นสถานที่ฝึกฝนวิชาสำหรับบุรุษ ทั้งยังไม่ใช่นักพรตหญิงอย่างเต็มตัว เดิมทีนี่ก็ถือว่าแปลกมากอยู่แล้วชาวบ้านแถวนั้นไม่รู้ฐานะองค์หญิงของนาง กลับรู้ว่านางเป็นสตรีเพียงคนเดียวในอารามเต๋า นางรู้จักมักคุ้นกับคนแถวนั้นและเป็นที่ชื่นชอบของชาวบ้านเยียนเซียวหรานได้ยินเช่นนี้ พลันนึกถึงคำพูดที่นางได้เอ่ย
ก่อนหน้านี้อวิ๋นเยว่หยางคิดว่าวิธีการของนักพรตจื่อหยางโหดเหี้ยมและร้ายกาจมาก คาถาของสำนักเต๋าจะทำให้คนยากที่จะป้องกันแต่ในเวลานี้เขาเพิ่งได้รู้ว่า ความสามารถของนักพรตจื่อหยางเมื่อเทียบกับคนตรงหน้าแล้ว ช่างไม่เอาไหนเลยจริง ๆคนคนนี้กระหายเลือดอย่างขีดสุด พูดว่าจะฆ่าเขาก็หมายความว่าจะฆ่าเขาจริงๆ!เขารู้อยู่แก่ใจ หากในเวลานี้เขาไม่ยอมจำนน ก็มีเพียงความตายเท่านั้นเขาถูกรัดด้วยผ้าต่วนจนหายใจไม่ออก กล่าวอย่างยากลำบาก “ข้ายอมบูชาท่าน!”ไป๋จื้อเซียนเหลือบตาเล็กน้อย การกระทำที่เดิมทีดูยั่วยวนชวนหลงใหลนี้ เมื่อเขาทำขึ้นมา แม้จะสามารถสะกดจิตใจคนได้ แต่ก็แฝงไว้ด้วยความอันตรายถึงขีดสุดไป๋จื้อเซียนดึงผ้าต่วนสีแดงกลับมา มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย อวิ๋นเยว่หยางนั่งอยู่บนพื้นไอออกมาอย่างรุนแรงไป๋จื้อเซียนค่อย ๆ ลอยไปที่ตรงหน้าของอวิ๋นเยว่หยาง กล่าวว่า “เจ้ายอมแบบนี้เสียตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่องแล้วไม่ใช่หรือ? เหตุใดจะต้องทำให้ยุ่งยากด้วย?”อวิ๋นเยว่หยางรีบกล่าว “ท่านชี้แนะได้ถูกต้อง”ไป๋จื้อเซียนกล่าวเสียงราบเรียบ “ในเมื่อเจ้าจะบูชาข้า ถ้าอย่างนั้นก็ต้องแสดงความจริงใจออกมา”อวิ๋นเยว่หยางรีบก
"น้องสาม เจ้าอย่ามาว่าข้าเลย ตั้งแต่มาถึงเมืองหลวงเจ้าเองก็เอาแต่มาหลบอยู่ที่นี่ ไม่กล้าไปพบหน้านางใช่หรือไม่?" น้องสามที่เขาเอ่ยถึงไม่ใช่ผู้ใดอื่น แต่เป็นอาจารย์สามของซือเจ๋อเยว่ อาจารย์สามตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย "ผู้ใดบอกว่าข้ากลัวจนไม่กล้าไปพบนาง? ข้าว่ายามนี้นางคงมองเห็นคุณค่าของข้าแล้วล่ะ" "เมื่อคราวนั้นนางเกือบเอาชีวิตไม่รอด หากไม่ใช่เพราะข้าจัดการส่งเยียนเซียวหรานคนนั้นไปต่อหน้านาง ป่านนี้นางคงไม่มีชีวิตอยู่แล้ว" "ข้ามีบุญคุณช่วยชีวิตนาง นางคงขอบคุณข้าอยู่ในใจเป็นแน่" ราชครูหัวเราะเย็นชา "ในเมื่อเจ้าคิดเช่นนั้น แล้วเหตุใดจึงไม่ไปพบนางเล่า?" อาจารย์สามนอนเอกเขนกบนเก้าอี้พลางจิบชา "ศิษย์เติบโตแล้ว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับปัญหา ก็ต้องเรียนรู้ที่จะแก้ไขเอง" "หากพวกเราเอาแต่เฝ้าอยู่ข้าง ๆ นาง แล้วนางจะมีความก้าวหน้าได้อย่างไร?" ราชครูมองเขาด้วยสายตาไม่พอใจ "เจ้าก็เอ่ยวาจาเหลวไหล หากไม่กล้าก็เอ่ยมาตรง ๆ อย่าได้หาข้ออ้าง" อาจารย์สามหาวเสียงเบา แล้วตอบอย่างเกียจคร้าน "ในเมื่อเจ้าเอ่ยเช่นนี้ ประเดี๋ยวข้าจะไปพบนาง แล้วถือโอกาสบอกความลับเรื่องตัวตนของเจ้าด้วยเลย"
"ไม่มีคำว่าแต่อันใดทั้งนั้น" นักพรตเต๋าน้อยชุดสีเขียวเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดัน "หากท่านไม่รีบออกไป อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!" ซือเจ๋อเยว่ "…" เมื่อคืนที่ผ่านมานางได้ยินเยียนเซียวหรานบอกว่าราชครูไม่ชอบยุ่งเรื่องของผู้อื่น และไม่ชอบพบเจอคนแปลกหน้า นางคิดว่าเขาไม่น่าจะเป็นคนเช่นนั้น อย่างน้อยก็การที่เขาเร่งเดินทางไกลกลับมาเพื่อใช้กระบี่ฟันไป๋จื้อเซียนครั้งนั้น ก็หมายความว่าเขาหาใช่คนที่เพิกเฉยต่อปัญหาของผู้คนโดยสิ้นเชิง นางยังคิดว่าเขาเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูงมากเสียด้วยซ้ำ แต่วันนี้ เมื่อเขาเดาเจตนาของนางได้ เขากลับส่งนักพรตเต๋าน้อยชุดสีเขียวที่ดุดันมาไล่นางออกไป หากเรื่องนี้เกิดขึ้นที่อื่น นางคงจะบุกขึ้นเขาไปถามเขาให้รู้เรื่อง แต่ที่นี่คือเมืองหลวง อีกทั้งกระบี่ของเขาคราวก่อนทรงพลังจนเกินคาด ราชครูผู้นี้คงเป็นยอดฝีมือที่นางไม่อยากขัดแย้งด้วย ดังนั้น นางจึงทำได้แค่พาเยียนเซียวหรานเดินออกจากค่ายกลไปอย่างเงียบ ๆ ทันทีที่พวกเขาก้าวออกจากค่ายกล นักพรตเต๋าน้อยชุดสีเขียวก็รีบปิดซุ้มประตูที่เชิงเขาทันที ซึ่งปกติแทบไม่เคยปิด เขาปิดประตูอย่างรุนแรงจนซือเจ๋อเยว่ที่เดินช้ากว
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ นางจึงไม่มีความจำเป็นต้องถามอีกต่อไป นางลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยขึ้น “ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าก็ต้องขอบคุณเจ้า” ครั้งนี้เยียนเซียวหรานไม่ได้หันกลับมามองนางอีก และนางก็ไม่ได้รั้งเขาไว้ นางหมุนตัวแล้วเดินจากไป เยียนเซียวหรานมองเปลวเทียนที่ลุกไหวอยู่ในศาลบรรพชน ก่อนจะถอนหายใจเสียงยาว เมื่อซือเจ๋อเยว่กลับมาที่ห้อง นางครุ่นคิดถึงการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของเยียนเซียวหรานในปีนี้ นางคิดหลายตลบก็ยังไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุใด ในสถานการณ์เช่นนี้ คำอธิบายเดียวที่ดูคล้ายจะสมเหตุสมผล คืออาจเป็นเพราะลุงเขยของเยียนเซียวหรานมาเยือน จึงทำให้เขาอารมณ์แปรปรวนเช่นนี้ นางยักไหล่เล็กน้อย ไม่ใส่ใจจะคิดต่อ และหันไปวางแผนว่าหากได้พบกับราชครูในวันรุ่งขึ้น นางจะเกลี้ยกล่อมให้เขาช่วยจัดการไป๋จื้อเซียนได้อย่างไร เช้าวันรุ่งขึ้น เยียนเซียวหรานมาตามที่นัดไว้ เขาพานางไปยังหอพยากรณ์ดวงดาวเพื่อพบกับราชครู แม้จะเรียกว่าหอ แต่ที่แท้แล้วคือกลุ่มอาคารขนาดใหญ่ เป็นสถานที่ที่อดีตฮ่องเต้สร้างขึ้นเพื่อราชครู ตั้งอยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดในเมืองหลวง ซึ่งที่แห่งนั้น ก็สามารถเฝ้าดูดวงดาวและทำนา
แท้จริงแล้วราชครูมีการไปมาหาสู่กับเยียนอ๋อง ในเมืองหลวงเขาแทบไม่มีสหายที่ใด เยียนอ๋องกลับเป็นข้อยกเว้นเพียงหนึ่งเดียว ครั้งล่าสุดก่อนที่เยียนอ๋องจะออกศึก ราชครูเคยมาพบเยียนอ๋องครั้งหนึ่ง ส่วนพวกเขาหารือเรื่องใดกันนั้น เยียนเซียวหรานไม่อาจรู้ได้ เพียงแค่ได้ยินเสียงทั้งสองทะเลาะกันในห้องหนังสือ หลังจากจวนเยียนอ๋องเกิดเรื่อง ราชครูก็ไม่เคยปรากฏตัวอีกเลย ในค่ำคืนนั้นเมื่อเยียนเซียวหรานพบราชครูที่เรือนพักในจวนหนิงกั๋วกง เขารู้สึกประหลาดใจไม่น้อย นี่เป็นครั้งแรกในความทรงจำของเยียนเซียวหราน ที่ราชครูยอมเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องหยุมหยิมเช่นนี้ ปกติเมื่อเขาอยู่ในเมืองหลวง ก็มักจะพำนักอยู่ในหอพยากรณ์ดวงดาว ไม่ว่าจะมีเรื่องใดที่ไม่สำคัญจริง เขาจะไม่มีทางออกมา ซือเจ๋อเยว่เอ่ยด้วยความกังวล “แต่ไป๋จื้อเซียนนั้นเป็นภัยใหญ่ ทั้งยังเติบโตอย่างรวดเร็วอีกด้วย” “เกรงว่าไม่นานเกินรอเขาจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นอีก ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นก็จะยิ่งจัดการยากขึ้น” “ไม่ว่าราชครูจะยินยอมพบข้าหรือไม่ ข้าคงต้องหาวิธีพบเขาให้ได้” เยียนเซียวหรานพยักหน้า “ก็ได้ พรุ่งนี้ข้าจะไปกับท่าน” ซือเจ๋อเยว
เขานึกถึงภาพในช่วงหลายวันที่ผ่านมายามนางนอนอยู่บนเตียงโดยไม่มีวี่แววของลมหายใจใด ๆ หัวใจเขาเจ็บปวดราวกับถูกบีบคั้นจนแทบทนไม่ได้ ถึงแม้เขาจะรู้อยู่เสมอว่าสภาพร่างกายของนางไม่แข็งแรง แต่ทุกครั้งที่เขาได้พบนาง นางกลับมีรอยยิ้มเปี่ยมล้นบนใบหน้า ร่างกายของนางดูเต็มไปด้วยชีวิตชีวา เขาไม่เคยคิดว่านางเป็นคนที่กำลังจะสิ้นลม และไม่เคยคิดว่าสภาพร่างกายของนางจะแย่ถึงเพียงนี้ แต่เหตุการณ์ครั้งนี้กลับเตือนเขา ว่านางบอบบางยิ่งกว่าที่เขาเคยคาดคิดไว้มากนัก เขาเอ่ยเสียงเบา “เรื่องนี้ข้าจัดการเองได้ องค์หญิงพักรักษาตัวอยู่ที่เรือนให้ดีเถอะ”ซือเจ๋อเยว่หัวเราะเสียงเบา “สภาพร่างกายของข้า ผู้อื่นอาจไม่รู้ แต่เจ้าจะไม่รู้ได้อย่างไร?” “เมื่อมีเจ้าอยู่ข้างกาย ข้าอาจอยู่ได้นานขึ้นอีกสักหน่อย แต่หากเจ้าไม่อยู่ ข้าก็จะตายเร็วขึ้นกว่าเดิม” เยียนเซียวหรานขมวดคิ้วแน่น บัดนี้เขาไม่อยากได้ยินคำว่า ‘ตาย’ อีกแล้ว ซือเจ๋อเยว่นั่งลงข้างเขา ใช้มือทั้งสองประคองคางของตนเองไว้พลางเอ่ยขึ้น “อีกอย่าง ไป๋จื้อเซียนนั่นเป็นข้าที่ปล่อยออกมาเอง” “เรื่องครั้งนี้จะไปโทษเจ้าไม่ได้หรอก หากจะโทษก็ต้องโทษข้า” “
เยียนเซียวหรานหลุบตาลง “ท่านย่าสั่งสอนได้ถูกต้อง ครั้งนี้เป็นข้าที่ปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ตอนนี้องค์หญิงฟื้นแล้ว ท่านย่าลงโทษข้าเถิดขอรับ”เหล่าไท่จวินพ่นลมหายใจออกมาเบา ๆซือเจ๋อเยว่รีบกล่าว “ท่านย่า เรื่องนี้โทษน้องสามไม่ได้จริง ๆ หากจะโทษก็ต้องโทษที่ตอนนั้นสถานการณ์พิเศษ”“ข้าเองก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าจะเจอเข้ากับไป๋จื้อเซียนที่นั่น หากไม่ใช่เพราะน้องสามปกป้องข้าจนสุดชีวิตละก็ ข้าก็คงตายไปแล้ว”“ดังนั้นท่านย่าอย่าได้ลงโทษน้องสามเลย เขาเองก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อยเช่นกัน”เหล่าไท่จวินถอนหายใจ “องค์หญิงไม่ต้องร้องขอความเมตตาแทนเขา เขาเป็นบุรุษ เดิมทีก็ควรปกป้องญาติผู้หญิงในครอบครัวอยู่แล้ว”ซือเจ๋อเยว่หันหน้าไปมองเยียนเซียวหราน เขายืนหน้านิ่งยืนอยู่ตรงนั้น เมื่อเห็นนางมองมา ก็สบตากับนางแวบหนึ่ง แล้วก็เก็บสายตาคืนกลับมาซือเจ๋อเยว่รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “วันนั้นข้าเห็นเหนียนเหนียนหมดสติไปเช่นกัน เหนียนเหนียนไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”เยียนเหนียนเหนียนโผล่หน้าออกมาจากทางด้านหลังของเหล่าไท่จวิน “ข้าไม่เป็นไร แค่หมดสติเป็นครู่เดียวเท่านั้น ในไม่ช้าก็หายดีแล้ว”“ร่างกายของข้าแข็งแรง องค์หญิ
ตอนที่ไป๋จื้อเซียนมองเห็นยันต์พวกนั้นก็หรี่ตาลงทันที เมื่อตระหนักได้ว่าทรงพลัง ก็โยกหลบอย่างรวดเร็วซือเจ๋อเยว่ฉวยโอกาสยื่นนิ้วออกไป ยันต์พวกนั้นก็ไล่ตามไป๋จื้อเซียนไป ร่างกายของเขามียันต์ห้าอัสนีบาตแผ่นหนึ่งแปะอยู่เขาด่าทอด้วยคำหยาบคาย มองไปทางด้านนอกห้องแวบหนึ่ง รู้ว่าหากวันนี้ไม่หนีไป เกรงว่าจะต้องตายอยู่ที่นี่จริง ๆ จึงวิ่งออกไปด้วยความรวดเร็วตอนที่เขาวิ่งหนี เมฆฝนก่อตัวขึ้น ไล่ตามเขาภายในชั่วพริบตา ทั่วทั้งเรือนเต็มไปด้วยเสียงฟ้าร้อง ผู้ดูแลพาท่านหมอเดินเข้ามาพอดี ทันทีที่เห็นฉากนี้ ก็ตกใจจนลูกตาเกือบถลนออกมาถึงแม้เขาจะมองไม่เห็นไป๋จื้อเซียน แต่เขามองเห็นสายฟ้าบนท้องฟ้า เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นสายฟ้าหน้าตาแบบนี้ทันทีที่ไป๋จื้อเซียนวิ่งหนี ห้องก็กลับคืนสู่สภาพปกติ ตะเกียงน้ำมันที่มุมห้องยังคงสว่างอยู่ซือเจ๋อเยว่ล้มลงบนพื้น ทันทีที่หันหน้าไปมอง ก็เห็นว่าคนที่ฟันกระบี่ใส่ไป๋จื้อเซียนก็คือเยียนเหนียนเหนียนนางรู้สึกผิดปกติ ต่อให้นางแปะยันต์แผ่นหนึ่งบนกระบี่ของเยียนเหนียนเหนียน กระบี่เล่มนั้นของนางร้ายกาจกว่ากระบี่ทั่วไปเล็กน้อย ก็ไม่มีทางทำลายอาณาเขตที่ไป๋จื้อเซียนวางเอาเม
ครู่ต่อมา ซือเจ๋อเยว่หยิบอาวุธเวทย์อีกชิ้นหนึ่งออกมา เพียงแต่นางยังไม่ทันเข้าไปหา ก็ถูกเส้นผมสีดำของเขากวาดลอยกระเด็นออกไปเยียนเซียวหรานอยากจะเข้ามาช่วย แต่กลับถูกผ้าต่วนสีแดงรัดลำคอเอาไว้เขากล่าวอย่างยากลำบาก “องค์หญิง!”ซือเจ๋อเยว่ล้มลงบนพื้นกระอักเลือดออกมา ไป๋จื้อเซียนไม่ได้เขยิบเข้าไปใกล้ตรงหน้าของนางพอดีเลือดพ่นใส่มือของไป๋จื้อเซียน มือของเขาเป็นรูทันทีเขาค่อนข้างประหลาดใจ “นักพรตหญิงน้อย ร่างกายของเจ้ามีความพิเศษนี่นา!”ปากเขาพูดไป มือกลับบีบลำคอของนางเอาไว้ “กินตบะของเจ้า จะต้องบำรุงมากแน่!”ร่างกายของซือเจ๋อเยว่ เป็นวิญญาณมาหนึ่งพันปี เป็นครั้งแรกที่ได้เจอร่างกายอย่างนางเขาเคยเห็นในหนังสือเล่มหนึ่ง หากได้กินวิญญาณของนาง เท่ากับเป็นการบำเพ็ญตบะห้าร้อยปีถึงแม้ก่อนหน้านี้เขาจะเคยประมือกับนางมาก่อน แต่ครั้งก่อนนางไม่ถึงขั้นเลือดตกยางออก เขาไม่รู้ว่านางจะมีร่างกายที่พิเศษเช่นนี้บัดนี้ค้นพบแล้ว ดวงตาของเขาเปล่งประกายทันทีเพียงแต่คนที่มีร่างกายเช่นนาง เนื่องจากร่างกายพิเศษมากเกินไป ดังนั้นอยากจะกลืนกินนางก็ไม่ใช่เรื่องง่ายซือเจ๋อเยว่ใช้มือปาดเลือดที่มุมปาก ยื่นมื