‘คน’ คนนั้นใบหน้าซีดเซียว มุมปากมีเขี้ยวยื่นออกมา ดวงตาทั้งสองข้างแดงก่ำบนร่างกายของมันถูกรัดด้วยสายสีแดงเส้นหนึ่ง ไม่รู้ว่าสายนั้นมีไว้ทำอะไร มัดมันเอาไว้แน่นมันกล่าวด้วยความเกลียดชัง “ซือเจ๋อเยว่ ข้าจะฆ่าเจ้า!”เล็บของมันทั้งดำทั้งยาวทั้งแหลม พุ่งเข้าไปหาซือเจ๋อเยว่ด้วยความดุร้าย แต่ยังไม่ทันได้เข้าใกล้นาง ก็ถูกสายสีแดงมัดเอาไว้ เข้าใกล้ตัวนางไม่ได้ซือเจ๋อเยว่กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ใต้เท้าเหวยไม่ต้องกลัว นี่เป็นวิญญาณร้ายที่ข้าจับได้ก่อนหน้านี้”“ในมือของมันมีดวงชะตาคนอยู่สิบดวง ค่อนข้างดุร้าย ตอนนั้นไม่ได้ฆ่ามันทันที เป็นเพราะคิดว่าการฆ่ามันเลยจะเป็นการดูถูกมันเกินไป”สีหน้าของเหวยอิ้งหวนซีดขาวเล็กน้อย “ดังนั้นบนโลกใบนี้มีผีจริงๆ?”ซือเจ๋อเยว่พยักหน้า “ถือว่ามี ปกติใต้เท้าสืบคดี น่าจะได้พบเจอเรื่องราวแปลกประหลาดและไม่สามารถอธิบายได้อยู่บ้าง”“วันนี้ข้าปล่อยของสิ่งนี้ออกมา เพียงแค่อยากจะให้ใต้เท้ามีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งมากขึ้นเกี่ยวกับเรื่องที่ฟ้าผ่าคนตายบนโลกใบนี้”เหวยอิ้งหวนสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ทีหนึ่ง สายตาที่จ้องมองซือเจ๋อเยว่ค่อนข้างซับซ้อนวิญญาณร้ายดวงนั้นกล่า
ซือเจ๋อเยว่พยักหน้า “ไม่ใช่ข้าใช้ยันต์ห้าอัสนีบาตรสังหารจ้าวซือหว่าน แต่จ้าวซือหว่านคิดจะสังหารพวกข้า พวกข้าจึงจำใจต้องตอบโต้”“ข้าไม่ได้มีเจตนาร้ายต่อจ้าวซือหว่าน แต่การกำจัดปีศาจและจับวิญญาณชั่วร้ายถือเป็นหน้าที่รับผิดชอบของสำนักเต๋า ใต้เท้าได้โปรดอภัย”เหวยอิ้งหวนจ้องมองนางอยู่นาน อดกลั้นอยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็พ่นประโยคหนึ่งออกมา “ให้อภัยกับผีนะสิพ่ะย่ะค่ะ!”เขาพูดจบก็สะบัดแขนเสื้อ แล้วสาวเท้าเดินออกไปซือเจ๋อเยว่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ข้าไปส่งใต้เท้า!”เหวยอิ้งหวนรีบกล่าว “องค์หญิงหยุดก่อนพ่ะย่ะค่ะ หากเป็นไปได้ ต่อไปองค์หญิงอยู่ห่างจากข้าสักหน่อยเถิด ต่อไปข้าไม่อยากจะพบองค์หญิงอีก”ซือเจ๋อเยว่ที่อยู่ด้านหลังเขากล่าว “ใต้เท้าเหวยช่างพูดเสียจริง คดีของจวนเยียนอ๋องยังไม่จบสิ้น วันข้างหน้าพวกเรายังมีโอกาสจะต้องได้เจอกันหน้ากันอีก”“ใต้เท้ามีความเชี่ยวชาญในการสืบคดี ข้านับถือจริง ๆ ยังคิดอยู่ว่าต่อไปหากมีเวลาว่างจะไปขอคำชี้แนะจากใต้เท้า”เหวยอิ้งหวนยิ่งเดินเร็วขึ้นกว่าเดิม ไม่อยากจะได้ยินคำพูดของนางเลยสักนิดเดียวซือเจ๋อเยว่เห็นท่าทางของเขา ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเหวยอิ้งหวนได้ยิน
เหวยอิ้งหวน “...”เขาเป็นผู้ควบคุมดูแลการลงโทษ มีวิธีการตายแบบไหนที่ไม่เคยเห็นบ้าง แต่การตายของ ‘คน’ คนนี้นับว่าค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์‘คน’ คนนั้นบ่นพึมพำต่อไป “สิ่งที่น่าโมโหที่สุดคือข้าตกลงมาตายไปในบ้านของตนเอง พวกเขาไม่ชดใช้เงินให้ข้าแม้แต่แดงเดียว”“หลายปีมานี้ข้าก่อความวุ่นวายในบ้านของเขา ทำให้ทุกคนในครอบครัวของเข้าตกใจจนย้ายนี้ไป แต่ว่าจนถึงตอนนี้ข้าก็ยังไม่ได้กินสาลี่เลยสักลูก”“ใต้เท้า ท่านช่วยบอกกับลูกชายของข้าที ว่าอย่าเอาอาหารที่เย็นชืดมาเป็นของเซ่นไหว้บ่อย ๆ ได้หรือไม่? ข้าอยากจะชิมรสชาติของสาลี่ดูบ้าง”เหวยอิ้งหวน “...”เขารู้สึกเหมือนกำลังจะป่วยเป็นโรคจากการทำงานเจ้าหมอนี่ไปขโมยสาลี่ของชาวบ้านแต่ขโมยไม่ได้ จากนั้นตกลงมาตาย ไม่คิดเลยว่าที่ยังวนเวียนอยู่ในโลกมนุษย์ไม่ยอมไปเกิดใหม่ ก็เพื่อกินสาลี่!เขาคิดว่าตนไม่เข้าใจ ‘คน’ คนนั้นก็ช่างแล้ว ไม่คิดเลยว่าเจ้าหมอนั่นจะเดินมาที่ตรงหน้าแล้วจะโกนว่า “อาฮวา อาจู อาหนิว รีบมาเร็วเข้า!”“ใต้เท้าท่านนี้มองเห็นข้า แล้วก็ได้ยินสิ่งที่ข้าพูดอีกด้วย พวกเขามีเรื่องคับข้องใจอะไรก็รีบมาร้องทุกข์ขอความเป็นธรรม”เหวยอิ้งหวน “...”‘ค
เขารู้ว่าสถานการณ์แบบเขาในตอนนี้ เป็นไปได้สูงที่เป็นเพราะถูกซือเจ๋อเยว่เบิกตาทิพย์เขาเคยได้ยินคนพูดว่า การเบิกตาทิพย์เป็นเรื่องที่ยากมากเรื่องหนึ่ง พอเป็นนาง เพียงแค่โบกมือก็ทำให้เรื่องราวสำเร็จได้ทุกอย่างที่ได้ยินและได้เห็นในคืนนี้ ได้ทำลายสามมุมมองและความรู้ของเขาจนพังทลายคืนนี้ซือเจ๋อเยว่เบิกตาทิพย์ให้เขาแบบนี้ เพียงเพราะแค่อยากจะบอกเขาว่าจ้าวซือหว่านเกี่ยวพันธ์กับสิ่งชั่วร้ายจริง ๆ ถึงได้ถูกฟ้าผ่าตายเพียงแต่สายฟ้านี้อยู่ในยันต์ของซือเจ๋อเยว่ นางกำลังขจัดความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านเดิมทีเหวยอิ้งหวนก็กำลังคาดเดาว่าซือเจ๋อเยว่เป็นผู้สังหารจ้าวซือหว่าน ครั้งนี้นับว่ามั่นใจอย่างสมบูรณ์แล้วเพียงแต่วิธีการสังหารคนของซือเจ๋อเยว่ อยู่เหนือที่เขาได้คาดการณ์เอาไว้เรื่องราวในค่ำคืนนี้ส่งผลกระทบต่อเขาเป็นอย่างมากจริง ๆ เขาอดทนไม่ไหวแล้วจริง ๆเขาไม่ได้พาคนมาด้วย ไปที่จวนเยียนอ๋องเพียงลำพังตอนที่เขามาถึง ประตูห้องก็ได้นำเขาตรงไปยังแท่นดาราของจวนอ๋องแท่นดาราเป็นลานกว้างขนาดประมาณสองตารางเมตร ที่นั่นสามารถมองเห็นทั่วทั้งจวนอ๋องตรงกลางของแท่นดาราในเวลานี้มีโต๊ะหนึ่งตัววางอยู่ บน
ซือเจ๋อเยว่พูดจบกำลังจะลงมืออีกครั้ง เหวยอิ้งหวนรีบกล่าว “ไม่ต้องพ่ะย่ะค่ะ!”ซือเจ๋อเยว่หันหน้าไปหาเขา เขารู้สึกว่าปฏิกิริยาของตนมากเกินไปหน่อยจริง ๆ รีบสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ทีหนึ่ง เพื่อให้ตนสงบสติขึ้นเล็กน้อยเขากระแอมเสียงเบาแล้วกล่าว “ความหมายของข้าคือไม่ต้องยุ่งยากเช่นนี้ ข้าเชื่อคำพูดขององค์หญิงพ่ะย่ะค่ะ”ซือเจ๋อเยว่ยิ้มตาหยี “ขอบคุณในความเชื่อมั่นของใต้เท้า”“ข้าขออธิบายเรื่องหยกแขวนชิ้นนี้กับใต้เท้าเสียหน่อย รอยดำด้านบนคิดว่าใต้เท้าน่าจะมองเห็น”“ตอนนี้ใต้เท้าไม่มีตาทิพย์ มองเห็นอะไรได้ไม่มากนัก แต่ข้ารู้ว่าใต้เท้าสามารถสัมผัสได้”เหวยอิ้งหวนสัมผัสได้จริง ๆ หยกแขวนชิ้นนั้นทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยสบาย แสดงออกถึงความชั่วร้ายเขากล่าวเสียงขรึม “หลังจากที่องค์หญิงทำลายค่ายกลของหยกแขวนชิ้นนี้ คำเชิญของจ้าวซือหว่านครั้งนี้อันที่จริงคือการลองหยั่งเชิง และองค์หญิงวางแผนซ้อนแผน?”ซือเจ๋อเยว่พยักหน้า “ไม่ผิด แต่ข้าก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าจ้าวซือหว่านจะลงมือวันนี้”“นางคิดจะสังหารน้องสาม ข้าผู้เป็นพี่สะใภ้คนโตไม่สามารถทนยืนดูอยู่เฉย ๆ ได้ ดังนั้นจึงลงมือ”“แต่ข้าก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่านา
เยียนเซียวหรานเหลือบมองเขาแวบหนึ่งก่อนจะกล่าว “บิดาและพี่ชายตายอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม ในฐานะที่ข้าเป็นบุรุษเพียงคนเดียวที่หลงเหลืออยู่ในจวนเยียนอ๋อง ย่อมมีหน้าที่ของตนที่ต้องรับผิดชอบ”“ข้ารู้ว่าใต้เท้าเหวยเจตนาดี ทว่าเรื่องนี้ข้ามิอาจทำตามที่ใต้เท้าเหวยบอกได้”“ข้าสามารถสืบคดีกับใต้เท้าเหวย แม้บิดาและพี่ข้าจะตายไปแล้ว ทว่าจวนเยียนอ๋องก็ยังมีข้าอยู่!”เขากล่าวจบก็ชี้นิ้วไปทางลานสวนด้านหน้าพลางพูด “ท่านย่าชราภาพแล้ว ท่านแม่ร่างกายมิสู้ดีนัก พี่สะใภ้รองก็ตั้งครรภ์”“ข้าเป็นบุรุษในจวนเยียนอ๋อง ก็ต้องแบกรับจวนเยียนอ๋องไว้”เหวยอิ้งหวนทอดถอนลมหายใจเสียงยาวออกมาแล้วเอ่ย “หากคุณชายสามดึงดันจะสืบให้จงได้ ข้าก็จะไม่ขัดขวาง”“เพียงแค่อยากขอให้คุณชายสามโปรดระวังตัวด้วย เมื่อประสบกับเรื่องยุ่งยาก ก็มาหาข้าได้เลย”คนทั้งสองประสานมือคารวะซึ่งกันและกัน จากนั้นเหวยอิ้งหวนตั้งท่าเดินจากไปขณะถึงปากทางบันไดเขาพลันหันกลับมาเอ่ยต่อซือเจ๋อเยว่ “องค์หญิง กระหม่อมหวังว่าต่อไปจะไม่ได้เห็นของพวกนั้นอีก”ซือเจ๋อเยว่เอ่ยอย่างเชื่อฟัง “ได้”เหวยอิ้งหวนเอามือไพล่หลังข้างหนึ่ง แล้วสาวเท้ายาวเดินจากไป
เยียนเซียวหรานไม่มีทีท่าว่าจะสนใจนาง เคลื่อนไหวฝีเท้าเดินหน้าอย่างไม่มีหยุดพัก เสื้อคลุมพลิ้วไหวในยามราตรี แผ่รังสีสง่างามและสุขุมซือเจ๋อเยว่เอามือกอดอก บึนปากเล็กน้อยนางรีบถกแขนเสื้อขึ้นดูเส้นสีแดงบนข้อมือ เป็นดังที่นางคาดไว้ เส้นสีแดงยาวขึ้นอีกนิดแล้วนางหัวเราะอย่างมีความสุข ที่แท้เข้าใกล้เขาในระยะประชิดแบบนี้ ก็ต่อชีวิตของนางได้เช่นนั้นต่อไปนางแค่หาโอกาสเข้าใกล้เขา ก็ไม่ต้องลำบากลำบนหาหนทางหลับนอนกับเขาอีกแล้วนี่เป็นเรื่องน่ายินดีอย่างมากสำหรับนาง!เพราะเข้าใกล้เขาง่าย ร่วมเรียงเคียงหมอนกับเขานั้นยากแสนยากนักแววตาที่นางมองเขาพลันเป็นกระกายลุกวาวในพริบตาเดียวเขาก็คืออุปกรณ์ต่อชีวิตเคลื่อนที่ของนางดี ๆ นี่เอง!จากนี้นางต้องหาโอกาสเข้าใกล้เขาให้มาก ๆ จะได้สะสมเวลาชีวิตไว้เยอะ ๆเยียนเซียวหรานสัมผัสได้ถึงแววตาร้อนแรงของนาง เขาพลันเกิดความรู้สึกสับสนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หรือว่านางชอบเขา?หลังจากความคิดนี้แล่นปราดเข้ามาในหัว เพลิงราคะราวกับถูกจุดขึ้นให้ลุกโชนเขาสูดลมหายใจเข้าลึกติดต่อกันหลายที พร่ำบอกตนเองว่าเรื่องนี้ไม่มีทางเป็นไปได้ นางคงแค่เย้าแหย่เขาอยู่เท่านั้
เยียนเซียวหรานกล่าวพึมพำ “เมื่อสองปีก่อน เวลาช่างประจวบเหมาะเหลือเกิน”สองปีที่แล้วก็คือช่วงเวลาที่เขาถูกสตรีลึกลับทำเรื่องอย่างว่าที่ตำบลนั้นสัญชาตญาณบอกเขาว่าเรื่องนั้นอาจมีความเกี่ยวข้องอยู่บ้างกับการที่จู่ ๆ อารามเต๋าก็ประกอบพิธิสะเดาะเคราะห์ยิ่งใหญ่แต่เขาก็มิอาจล่วงรู้ได้ว่าเกี่ยวข้องกันอย่างไรฉางซานกล่าวต่อ “ส่วนลายปักดอกกล้วยไม้บนผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น ก็เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในตำบลนั้นขอรับ”“ร้านเย็บปักในตำบลต่างเย็บลวดลายนี้เป็นกันทั้งนั้น”“ข้าน้อยได้สอบถามโดยละเอียดแล้ว ต้นแบบแรกเริ่มของลายปักดอกกล้วยไม้นั้นมาจากองค์หญิงขอรับ”อารามเต๋าแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ ๆ ประเภทแรกคืออารามสำหรับให้บุรุษฝึกฝนวิชา ส่วนอีกประเภทก็คือสำหรับสตรีซือเจ๋อเยว่กลับเติบโตมาในอารามเต๋าซึ่งเป็นสถานที่ฝึกฝนวิชาสำหรับบุรุษ ทั้งยังไม่ใช่นักพรตหญิงอย่างเต็มตัว เดิมทีนี่ก็ถือว่าแปลกมากอยู่แล้วชาวบ้านแถวนั้นไม่รู้ฐานะองค์หญิงของนาง กลับรู้ว่านางเป็นสตรีเพียงคนเดียวในอารามเต๋า นางรู้จักมักคุ้นกับคนแถวนั้นและเป็นที่ชื่นชอบของชาวบ้านเยียนเซียวหรานได้ยินเช่นนี้ พลันนึกถึงคำพูดที่นางได้เอ่ย
เขาจ้องมองนางด้วยสายตาเย็นชา "เป็นข้าที่ไร้เดียงสาเกินไป คิดว่าเรื่องราวระหว่างเราจะต่างออกไป" "แต่ข้ากลับลืมไปว่า เจ้าเป็นคนของสำนักเต๋า เราสองคนก็อยู่กันคนละฝ่ายตั้งแต่แรกเริ่ม" "ซือเจ๋อเยว่ ตั้งแต่นี้ไปข้าขอตัดขาดจากเจ้า หากพบกันอีก ข้าจะฆ่าเจ้าแน่นอน!" เมื่อเอ่ยจบเขาก็หยิบของสิ่งหนึ่งจากร่างกายแล้วขว้างออกไป สิ่งนั้นทำหน้าที่รับแรงโจมตีจากค่ายกลแทนเขา ก่อนที่ตัวเขาจะพุ่งออกจากค่ายกลราวกับดาวตกก็ไม่ปาน ซือเจ๋อเยว่รีบไล่ตามออกไป แต่ภายนอกกลับไร้เงาของไป๋จื้อเซียน นางรู้สึกเป็นกังวลอย่างยิ่ง วันนี้เขาเข้าใจนางผิด แล้วจากไปเช่นนี้ ภายภาคหน้าก็ไม่อาจล่วงรู้เลยว่าจะเกิดอันใดขึ้นอีก ยังดีที่เขาเคยสาบานต่อสวรรค์ ว่าจะไม่สังหารผู้บริสุทธิ์ อย่างน้อยสถานการณ์ก็ยังไม่เลวร้ายถึงระดับนั้น แต่เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาขาดสะบั้นในบัดนี้ ด้วยนิสัยของเขา ย่อมต้องหาหนทางสังหารนางให้ได้อย่างแน่นอน! นางคิดว่าตนเองยังคงประเมินไป๋จื้อเซียนต่ำเกินไป คิดไม่ถึงว่าเขาจะสามารถหลบหนีออกจากค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาได้ เยียนเซียวหรานถามขึ้น "เมื่อครู่นี้เกิดอันใดขึ้น?" ซือเจ๋อเยว่ถอนหายใจ "ตุ๊
ซือเจ๋อเยว่ประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากตุ๊กตาดินเผาเหล่านี้นับหลังจากตั้งแต่ที่อาจารย์สามปั้นเสร็จแล้ววางไว้ที่นี่ ก็ไม่เคยมีความรู้สึกอะไรนางคิดมาตลอดว่าอาจารย์สามทำเช่นนี้เพราะจะหยอกนางเล่น ไม่คิดเลยว่าจนกระทั่งวันนี้จะมีความเคลื่อนไหวแล้วที่ประตูมีเสียงของไป๋จื้อเซียนดังลอยเข้ามา “เจ้าล่อลวงข้ามาที่นี่ ก็เพราะอยากจะฆ่าข้าใช่หรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่หันหน้ากลับไปมองก็เห็นไป๋จื้อเซียนยืนอยู่ที่หน้าประตู ตุ๊กตาดินเผาเหล่านั้นรวมตัวกันกลายเป็นค่ายกล จะจัดการกับเขาหลังจากที่วันนี้เขาเดินเข้ามาในสำนักเต๋า ความสามารถทุกด้านก็ถูกลดทอนลง ตุ๊กตาดินเผาเหล่านี้ยังเป็นตุ๊กตาที่อาจารย์สามปั้นขึ้นเองกับมืออีกด้วย ด้านในมีค่ายกลที่ร้ายแรงเป็นอย่างยิ่งซ่อนอยู่ไป๋จื้อเซียนในเวลานี้ถูกค่ายกลนี้ขังเอาไว้ ไม่สามารถดิ้นให้หลุดได้เขาเกิดความสงสัยมาก ประกอบกับก่อนหน้านี้ซือเจ๋อเยว่อยากจะจัดการเขามาตลอด เขาจึงคิดว่านางเป็นผู้ควบคุมให้ตุ๊กตาดินเผาเหล่านี้มาจัดการเขาก่อนหน้านี้ซือเจ๋อเยว่เคยคิดอยากจะจัดการเขาในสำนักเต๋าจริง ๆ แต่เป็นครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนางจริง ๆเป็นเพราะร่างกายที่พิเศษเ
ความทรุดโทรมนี้เริ่มปรากฏตั้งแต่ประตูเขาที่เก่าและทรุดโทรม ยาวไปตลอดทางจนถึงกระทั่งถึงโถงใหญ่ของสำนักเต๋าด้านในก็มีเพียงรูปหล่องทองคำปรมาจารย์เต๋าที่ยังมีสภาพดีอยู่เพียงเท่านั้น อาคารอื่น ๆ ของวัดก็สามารถใช้คำว่าชำรุดทรุดโทรมมาบรรยายได้เมื่อซือเจ๋อเยว่กลับมา นักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ที่เฝ้าภูเขาก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ท่านกลับมาแล้ว ไม่ไปไหนแล้วใช่หรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่ได้ยินก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ข้าอาศัยคืนเดียวก็จะไปแล้ว”ใบหน้าของนักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ก็มีสีหน้าผิดหวังปรากฏขึ้นมาทันที นางหยิบทองหนึ่งกำมือออกมาจากมิติคาถาเต๋าแล้วมอบให้เขา “ค่าอาหารของปีนี้”นักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ใช้สองมือรับทองคำ ใบหน้ามีรอยยิ้มขึ้นมาทันที “อย่างไรเสียศิษย์พี่หญิงใหญ่ก็เก่งกาจ!”สำนักเต๋าผ่านไปด้วยความยากลำบากมาก ทองคำเหล่านี้เมื่อแลกเป็นเงินก็ได้หลายพันตำลึง เพียงพอที่จะให้พวกเขามีกินได้ถึงสิ้นปีซือเจ๋อเยว่ถามเขา “พวกอาจารย์ออกจากสำนักเต๋าตั้งแต่เมื่อใด?”นักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ “ทันทีที่ศิษย์พี่หญิงใหญ่ออกไปจากสำนักเต๋า เจ้าสำนักพวกเขาก็ไปแล้ว”ซือเจ๋อเยว่ขมวดคิ้ว “พวกเขาได้บอกหรือไ
ซือเจ๋อเยว่เผชิญหน้ากับสายตาที่แฝงไปด้วยความน้อยใจของไป๋จื้อเซียน นางมีความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกด้วยท่าทางเช่นนี้ของเขา เกรงว่าคนที่ไม่รู้จะคิดว่าพวกเขากำลังสุมหัวกันกลั่นแกล้งเขาแต่เรื่องจริงคือเขาเกือบทำให้พวกเขาต้องติดกับดักจนตายในเวลานี้นางจำต้องกล่าว “ขอบคุณคุณชายไป๋มาก”ไป๋จื้อเซียนมองนางด้วยสีหน้าน่าสงสารพร้อมกล่าว “เมื่อครู่นี้เจ้าดุข้า”ซือเจ๋อเยว่ “...”นางสูดหายใจในใจทีหนึ่ง เจ้าหมอนี่แสดงละครเก่งมาก!นางยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ข้ามีนิสัยใจร้อน เวลามองอะไรก็มักจะมองแค่สถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า ไม่สู้คุณชายไป๋ที่มองการณ์ไกล”“คุณชายไป๋คาดการณ์เรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในตอนหลังได้ตั้งแต่แรกแล้ว ข้าชื่นชมตบะอันล้ำลึกทำให้ข้านับถือจากใจจริง”“ครั้งหน้าหากยังมีเรื่องแบบเดียวกันอีก คุณชายไป๋ได้โปรดแจ้งให้ทราบล่วงหน้าเสียหน่อย พวกเราจะได้ร่วมมือกันได้ดี”นางพูดจบก็ยิ้มให้เขาเล็กน้อย “คุณชายไป๋ช่วยพวกเราคำนวณดูหน่อยได้หรือไม่ พวกเรากลับเมืองหลวงครั้งนี้ จะล้มจวนหนิงกั๋วกงได้หรือไม่?”ไป๋จื้อเซียน “...”ถึงแม้เขาจะมีชีวิตอยู่มาหนึ่งพันปีแล้วก็ตาม เรียนรู้เพียงความสามารถฆ
“ถึงแม้วันนี้ข้ากับชื่อปาเลี่ยจะบุกฝ่าออกมาได้ แต่ก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด”“การล้อเล่นแบบนี้ อย่างไรคุณชายไป๋ช่วยลดลงหน่อยจะดีมาก”ไป๋จื้อเซียนจ้องมองเขาด้วยสายตาเย็นชา เขาหันหน้าไปมองไป๋จื้อเซียน โดยไม่ยอมอ่อนข้อเลยแม้แต่น้อยชื่อปาเลี่ยที่อยู่ข้าง ๆ พูดไกล่เกลี่ย “ครั้งนี้พวกข้าไม่เป็นอะไร อย่างไรก็ช่างเถอะ”ความโกรธที่ไป๋จื้อเซียนมีอยู่มากมายไม่มีที่ระบาย ยกมือขึ้นแล้วสะบัดทำให้ชื่อปาเลี่ยลอยกระเด็นออกไปชื่อปาเลี่ย “!!!!!”หากวันหลังเขายังกล้าสอดเรื่องของพวกเขาอีก เขาก็คือก็คือไอ้ลูกหมา!เขากระแทกลงบนพื้นอย่างแรง ร้องโอ๊ยออกมาทีหนึ่งซือเจ๋อเยว่รีบยื่นมือออกไปประคองชื่อปาเลี่ย “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”ชื่อปาเลี่ยกุมหน้าอกกล่าว “ข้าเจ็บหน้าอกนิดหน่อย”ในระหว่างที่พูดเขารู้สึกผิดปกติบริเวณหน้าอก ยื่นมือออกไปแล้วล้วง ไม่คิดเลยว่าจะควักสมุดบันทึกเล็ก ๆ เล่มหนึ่งออกมาจากข้างใน “นี่มันอะไรกัน?”หลังจากซือเจ๋อเยว่รับมาก็เปิดสมุดบันทึกเล่มเล็ก พบว่าเป็นสำเนาคำสั่งเคลื่อนย้ายฉบับนั้นที่เยียนอ๋องซื่อจื่อกล่าวไว้นางทั้งตกใจทั้งดีใจ “นี่คือสำเนาคำสั่งเคลื่อนย้าย!”เยียนเซียวหรา
ซือเจ๋อเยว่รีบกล่าว “ข้าไม่เป็นอะไร”นางพูดจบก็กล่าวด้วยสีหน้าเป็นกังวล “เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือ?”เยียนเซียวหรานยิ้มเล็กน้อย “ข้าไม่เป็นอะไร”เขาพูดจบก็ประสานมือคำนับไป๋จื้อเซียนกล่าว “ขอบคุณคุณชายไป๋ที่พาองค์หญิงออกมาได้อย่างปลอดภัย ทำให้ข้าไม่ต้องเป็นพะวงที่จะบุกฝ่ากองทัพออกมา”สีหน้าของไป๋จื้อเซียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย เรื่องนี้เขาวางแผนทำร้ายเยียนเซียวหราน เยียนเซียวหรานขอบคุณเขาจึงทำให้เขารู้สึกไม่สบายเป็นอย่างมากยังมีท่าทีของซือเจ๋อเยว่อีก ในดวงตาของนางมีเพียงเยียนเซียวหรานเท่านั้น ไม่มีเขาเลยแม้แต่น้อยความรู้สึกแบบนี้ทำให้ไป๋จื้อเซียนไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งเขารู้สึกไม่พอใจ จึงอยากจะทำร้ายชื่อปาเลี่ยอีกครั้งดวงตาของเขากวาดมองไปยังชื่อปาเลี่ย ชื่อปาเลี่ยได้หลบไปอยู่ที่ด้านหลังของซือเจ๋อเยว่อย่างรวดเร็ว “คุณชายไป๋จะทำร้ายข้า องค์หญิงช่วยด้วย!”ซือเจ๋อเยว่รู้ว่าไป๋จื้อเซียนมีนิสัยขี้โมโห เขาติดตามอยู่ข้าง ๆ พวกเขา ก็ไม่ต่างอะไรกับระเบิดเวลา ไม่รู้ว่าจะเบิดขึ้นเมื่อไหร่เพียงแต่หากปล่อยเขาไป วันข้างหน้าก็ไม่รู้ว่าเขาจะก่อเหตุวุ่นวายอะไรขึ้นอีกนางคิดว่า อย่างไรเสียก็ต้องคิดหาว
เขายิ้มแย้มพร้อมกล่าวกับเยียนเซียวหราน “ข้าพาเจ๋อเยว่นำไปก่อน พวกเจ้าสู้ ๆ ล่ะ”ซือเจ๋อเยว่ “...”เยียนเซียวหราน “...”ซือเจ๋อเยว่กล่าวด้วยความร้อนใจ “นี่ เจ้าพาพวกเขาไปด้วยกันสิ!”ไป๋จื้อเซียนกล่าวด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “สถานการณ์แบบนี้ไม่ฆ่าคนก็พาพวกเขาออกไปไม่ได้”“ก่อนหน้านี้ข้าเคยสาบานต่อสวรรค์ไว้ว่า ไม่สามารถลงมือฆ่าคนได้โดยไม่มีสาเหตุ ดังนั้น...”ซือเจ๋อเยว่หันหน้ามองเขา ในดวงตาที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ทั้งสองข้างของเขาแฝงไปด้วยหยอกเย้า ท่าทางเหมือนกับกำลังดูละครด้วยความสุขนางรู้ดีว่า เรื่องในวันนี้เขานั้นเจตนา!นางรู้ดีว่า คนที่ชั่วร้ายเช่นไป๋จื้อเซียนจะยอมร่วมมือกับพวกเขาได้อย่างไร?นางกล่าวด้วยความร้อนใจ “ปล่อยข้าลง! ข้าจะไปช่วยพวกเขา!”ไป๋จื้อเซียนยิ้มด้วยความร่าเริงพร้อมกล่าว “ตอนนี้ด้านล่างมีแต่คน ทั้งเจ้ายังไม่เป็นวรยุทธ์ หากลงไปจริง ๆ ก็รังแต่จะยิ่งอันตราย”“อีกอย่าง ขอเพียงเจ้าสงบ เยียนเซียวหรานก็จะไม่เป็นพะวง ก็สามารถแสดงความสามารถของเขาได้อย่างเต็มที่”“ข้าเชื่อ ด้วยความสามารถของเขา ต้องสามารถฝ่าวงล้อมออกไปได้แน่ ปลอดภัยหายห่วง” ซือเจ๋อเยว่ค้อนเขา เขากะพริบตาใส
เยียนเซียวหรานกวัดแกว่งกระบี่ในมืออย่างสุดแรง พยายามพาซือเจ๋อเยว่พุ่งตัวออกไปด้านนอกชื่อปาเลี่ยกลับด่าทออย่างบ้าคลั่งอยู่ตรงนั้น “ไอ้แม่งเอ๊ย ครั้งก่อนเกือบตายที่ด่านอวิ๋นหลิ่ง ครั้งนี้ยังจะมาอีก!”เขาพูดจบก็กล่าวกับซือเจ๋อเยว่อีก “องค์หญิง ค่ายกลนั่นของท่านเมื่อครั้งก่อน เอาออกมาใช้อีกครั้งได้หรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่กล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดี “เอามาใช้อีกครั้ง ข้าก็สามารถตายตรงนี้ต่อหน้าพวกเจ้าได้เลย!”ชื่อปาเลี่ย “...”เยียนเซียวหรานกล่าวเสียงขรึม “เลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว พุ่งไปข้างหน้าด้วยกันกับข้า”ซือเจ๋อเยว่ครุ่นคิด ครั้งนี้อยู่ภายในห้องปิดตาย จะอย่างไรก็ต้องพุ่งตัวเข้าไปหาก่อนดังนั้นนางจึงหยิบยันต์ออกมา ใช้คาถาเต๋าทำให้ระเบิด ภายในชั่วพริบตา ภายในห้องก็มีลมกระโชกแรงเกิดขึ้น พัดทหารยามพวกนั้นที่อยู่หน้าประตูลอยกระเด็นออกไปข้างนอกชื่อปาเลี่ยหลบไม่ทัน หัวจึงกระแทกพื้นเยียนเซียวหรานอยากจะจับเขาเอาไว้ แต่ลมแรงเกินไป จึงทำให้ไม่สามารถจับเขาได้เลยซือเจ๋อเยว่คว้าขาของชื่อปาเลี่ยเอาไว้แล้วกล่าว “รีบไป!”ชื่อปาเลี่ย “!!!!!!”เขาเองก็อยากจะหนีไปโดยเร็วเช่นกัน แต่ปัญหาคือลมทั้งรุนแ
สิ่งของที่อยู่ด้านในมองดูค่อนข้างสลับซับซ้อน กองกันเละเทะ ทันทีที่ดูก็รู้ว่าหลังจากถูกใครบางคนรื้อค้นจนเละเทะ ก็ไม่ได้จัดระเบียบใหม่ภายในห้องที่รกรุงรังแบบนี้ อยากจะตามหาสิ่งของที่พวกเขาอยากได้ เหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้หลังจากที่ซือเจ๋อเยว่กับเยียนเซียวหรานรื้อค้นรอบหนึ่ง ก็ไม่ได้อะไรแม้แต่อย่างเดียวทั้งสองคนสบตากันแวบหนึ่ง ก็เห็นความจนปัญญาจากดวงตาของอีกฝ่ายภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ราวกับว่าไม่มีความจำเป็นที่จะตามหาต่อไปแล้วในเวลานี้เอง เสียงของทหารยามก็ดังลอยมาจากหน้าประตู “ใครกัน?”ซือเจ๋อเยว่รีบเก็บไข่มุกราตรีลงไป ด้านในจึงกลับคืนสู่ความมืดอีกครั้งเนื่องจากเมื่อครู่นี้ทหารยามได้เห็น ‘การแสดง’ ของไป๋จื้อเซียน ภายในใจจึงหวาดกลัวเป็นอย่างมากแต่เพราะมีคำสั่งของนายพลที่เฝ้าด่าน เขาจึงไม่กล้าละทิ้งหน้าที่โดยพลการอีก จึงเรียกเพื่อนร่วมงาน ตั้งใจว่าจะจุดเทียนแล้วเข้าไปตรวจค้นด้านในตอนที่เขากำลังจะเปิดประตู ทหารยามคนนั้นก็หันหน้ากลับไปมอง ก็เห็นใบหน้าที่ชั่วร้ายของไป๋จื้อเซียน เสื้อผ้าสีแดงราวกับเลือดทหารยามไม่ได้รู้สึกตัวในทันที ยังถามว่า “เจ้าเป็นใคร?”ไป๋จื้อ