เยียนเซียวหรานเหลือบมองเขาแวบหนึ่งก่อนจะกล่าว “บิดาและพี่ชายตายอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม ในฐานะที่ข้าเป็นบุรุษเพียงคนเดียวที่หลงเหลืออยู่ในจวนเยียนอ๋อง ย่อมมีหน้าที่ของตนที่ต้องรับผิดชอบ”“ข้ารู้ว่าใต้เท้าเหวยเจตนาดี ทว่าเรื่องนี้ข้ามิอาจทำตามที่ใต้เท้าเหวยบอกได้”“ข้าสามารถสืบคดีกับใต้เท้าเหวย แม้บิดาและพี่ข้าจะตายไปแล้ว ทว่าจวนเยียนอ๋องก็ยังมีข้าอยู่!”เขากล่าวจบก็ชี้นิ้วไปทางลานสวนด้านหน้าพลางพูด “ท่านย่าชราภาพแล้ว ท่านแม่ร่างกายมิสู้ดีนัก พี่สะใภ้รองก็ตั้งครรภ์”“ข้าเป็นบุรุษในจวนเยียนอ๋อง ก็ต้องแบกรับจวนเยียนอ๋องไว้”เหวยอิ้งหวนทอดถอนลมหายใจเสียงยาวออกมาแล้วเอ่ย “หากคุณชายสามดึงดันจะสืบให้จงได้ ข้าก็จะไม่ขัดขวาง”“เพียงแค่อยากขอให้คุณชายสามโปรดระวังตัวด้วย เมื่อประสบกับเรื่องยุ่งยาก ก็มาหาข้าได้เลย”คนทั้งสองประสานมือคารวะซึ่งกันและกัน จากนั้นเหวยอิ้งหวนตั้งท่าเดินจากไปขณะถึงปากทางบันไดเขาพลันหันกลับมาเอ่ยต่อซือเจ๋อเยว่ “องค์หญิง กระหม่อมหวังว่าต่อไปจะไม่ได้เห็นของพวกนั้นอีก”ซือเจ๋อเยว่เอ่ยอย่างเชื่อฟัง “ได้”เหวยอิ้งหวนเอามือไพล่หลังข้างหนึ่ง แล้วสาวเท้ายาวเดินจากไป
เยียนเซียวหรานไม่มีทีท่าว่าจะสนใจนาง เคลื่อนไหวฝีเท้าเดินหน้าอย่างไม่มีหยุดพัก เสื้อคลุมพลิ้วไหวในยามราตรี แผ่รังสีสง่างามและสุขุมซือเจ๋อเยว่เอามือกอดอก บึนปากเล็กน้อยนางรีบถกแขนเสื้อขึ้นดูเส้นสีแดงบนข้อมือ เป็นดังที่นางคาดไว้ เส้นสีแดงยาวขึ้นอีกนิดแล้วนางหัวเราะอย่างมีความสุข ที่แท้เข้าใกล้เขาในระยะประชิดแบบนี้ ก็ต่อชีวิตของนางได้เช่นนั้นต่อไปนางแค่หาโอกาสเข้าใกล้เขา ก็ไม่ต้องลำบากลำบนหาหนทางหลับนอนกับเขาอีกแล้วนี่เป็นเรื่องน่ายินดีอย่างมากสำหรับนาง!เพราะเข้าใกล้เขาง่าย ร่วมเรียงเคียงหมอนกับเขานั้นยากแสนยากนักแววตาที่นางมองเขาพลันเป็นกระกายลุกวาวในพริบตาเดียวเขาก็คืออุปกรณ์ต่อชีวิตเคลื่อนที่ของนางดี ๆ นี่เอง!จากนี้นางต้องหาโอกาสเข้าใกล้เขาให้มาก ๆ จะได้สะสมเวลาชีวิตไว้เยอะ ๆเยียนเซียวหรานสัมผัสได้ถึงแววตาร้อนแรงของนาง เขาพลันเกิดความรู้สึกสับสนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หรือว่านางชอบเขา?หลังจากความคิดนี้แล่นปราดเข้ามาในหัว เพลิงราคะราวกับถูกจุดขึ้นให้ลุกโชนเขาสูดลมหายใจเข้าลึกติดต่อกันหลายที พร่ำบอกตนเองว่าเรื่องนี้ไม่มีทางเป็นไปได้ นางคงแค่เย้าแหย่เขาอยู่เท่านั้
เยียนเซียวหรานกล่าวพึมพำ “เมื่อสองปีก่อน เวลาช่างประจวบเหมาะเหลือเกิน”สองปีที่แล้วก็คือช่วงเวลาที่เขาถูกสตรีลึกลับทำเรื่องอย่างว่าที่ตำบลนั้นสัญชาตญาณบอกเขาว่าเรื่องนั้นอาจมีความเกี่ยวข้องอยู่บ้างกับการที่จู่ ๆ อารามเต๋าก็ประกอบพิธิสะเดาะเคราะห์ยิ่งใหญ่แต่เขาก็มิอาจล่วงรู้ได้ว่าเกี่ยวข้องกันอย่างไรฉางซานกล่าวต่อ “ส่วนลายปักดอกกล้วยไม้บนผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น ก็เป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในตำบลนั้นขอรับ”“ร้านเย็บปักในตำบลต่างเย็บลวดลายนี้เป็นกันทั้งนั้น”“ข้าน้อยได้สอบถามโดยละเอียดแล้ว ต้นแบบแรกเริ่มของลายปักดอกกล้วยไม้นั้นมาจากองค์หญิงขอรับ”อารามเต๋าแบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ ๆ ประเภทแรกคืออารามสำหรับให้บุรุษฝึกฝนวิชา ส่วนอีกประเภทก็คือสำหรับสตรีซือเจ๋อเยว่กลับเติบโตมาในอารามเต๋าซึ่งเป็นสถานที่ฝึกฝนวิชาสำหรับบุรุษ ทั้งยังไม่ใช่นักพรตหญิงอย่างเต็มตัว เดิมทีนี่ก็ถือว่าแปลกมากอยู่แล้วชาวบ้านแถวนั้นไม่รู้ฐานะองค์หญิงของนาง กลับรู้ว่านางเป็นสตรีเพียงคนเดียวในอารามเต๋า นางรู้จักมักคุ้นกับคนแถวนั้นและเป็นที่ชื่นชอบของชาวบ้านเยียนเซียวหรานได้ยินเช่นนี้ พลันนึกถึงคำพูดที่นางได้เอ่ย
เยียนเซียวหรานไม่รู้ ยามนี้ก็ไร้ซึ่งหนทางที่จะจัดการด้วยวิธีที่ดีที่สุดเหมือนว่าเขาคงต้องแสร้งทำเป็นว่าไม่รู้เรื่องนี้ แล้วปฏิบัติต่อนางเหมือนเช่นที่ผ่านมาเพียงแต่เพิ่งมีความคิดนี้ผุดขึ้นมา เขาก็นึกถึงค่ำคืนอันแสนงดงามอย่างหาที่สุดมิได้นั้นอีกครั้งบัดนี้เขารู้แล้วว่าซือเจ๋อเยว่ก็คือสตรีผู้นั้น ภาพในค่ำคืนนั้นจึงซ้อนทับกับภาพเมื่อไม่กี่คืนก่อนอย่างสมบูรณ์เดิมทีเขาจำได้ไม่ชัดเจนนัก แต่กลับนึกขึ้นมาได้เพราะเรื่องนี้เยียนเซียวหรานสบถเสียงค่อย “คนลวงโลกที่หาความจริงจากปากไม่ได้เลย!”ซือเจ๋อเยว่ยามนี้กำลังจัดวางค่ายกลอยู่ที่ห้องของนาง เกิดจามดังลั่นอย่างกลั้นไม่อยู่ “ใครกันที่กำลังด่าข้า?”นางเอ่ยจบก็หัวเราะ “คงจะเป็นตาแก่นิสัยแย่ไร้มโนธรรมพวกนั้นแน่นอน”นางเติบโตขึ้นมาโดยมีอาจารย์ทั้งเก้าคอยเลี้ยงดู แม้พวกเขาล้วนไม่ใช่คนจริงจังอะไรมากนัก และดูไม่ค่อยเหมือนนักพรตที่น่าเคารพนับถือแต่ภายในใจของนาง แม้พวกเขาจะน่ารำคาญ ทว่าก็เป็นคนใกล้ชิดที่นางไว้เนื้อเชื่อใจมากที่สุดนางคิดถึงท่าทางไม่สนใจไยดีต่อสิ่งใดของพวกเขา เดาว่ายามนี้ก็คงกำลังหลอกลวงผู้คนอยู่ ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่งเป็นแน่ นา
เขาบันดาลโทสะ ยกเท้าถีบเข้ายอดอกของบ่าวรับใช้คนนั้นพร้อมพ่นคำสบถ “ไสหัวไป!”บ่าวรับใช้รีบจากไปด้วยท่าทางล้มลุกคลุกคลานอวิ๋นเยว่หยางถามนักพรตรูปนั้น “นักพรตจื่อหยาง เรื่องนี้ท่านมองว่าอย่างไร?”นักพรตจื่อหยางตอบ “ข้าไม่เห็นศพของแม่นางจ้าว จึงไม่รู้สถานการณ์ของนาง”“แต่ดูจากคำบอกเล่าเมื่อครู่นี้ น่าจะมีคนใช้ยันต์ห้าอัสนีบาตกับนางแล้ว”เขาคือนักพรตฝีมือเลิศล้ำที่อวิ๋นเยว่หยางทุ่มเงินมหาศาลเชิญตัวมาเขาเป็นหนึ่งในนักพรตผู้มีอาคมแก่กล้าที่สุดในสำนักเต๋าทั้งปวง แต่ถึงเขาแก่กล้าวิชา กระนั้นกลับมีจิตใจชั่วร้ายไม่ตรงไปตรงมาปีนั้นอาจารย์ของเขามีความประสงค์จะมอบตำแหน่งเจ้าอาวาสอารามเต๋าให้กับศิษย์น้องที่มีวิชาอาคมสู้เขาไม่ได้ เขาก็วางแผนฆ่าศิษย์น้องคนนั้นทันที แล้วกลายเป็นเจ้าอาวาสคนใหม่อารามเต๋าที่เขาอยู่เป็นหนึ่งในอารามที่ใหญ่ที่สุดในแคว้นต้าฉู่ และเขามองว่าตนเองเป็นนักพรตที่เก่งกาจที่สุดรองจากประมุขลัทธิเต๋าเท่านั้นส่วนประมุขลัทธิเต๋าไม่ปรากฏกายมาหลายปีแล้ว เขาจึงไม่ใส่ใจประมุขลัทธิเต๋าที่ว่านี้นัก“ยันต์ห้าอัสนีบาต?” อวิ๋นเยว่หยางถามด้วยความฉงน “มันคือสิ่งใดกัน?”นักพรตจื่อหยาง
สามวันต่อมา ทานด้านศาลต้าหลี่ได้สรุปสำนวนคดีการตายของจ้าวซือหว่านออกมาแล้ว ซึ่งสำนวนความสลับซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง ทว่าพอสรุปออกมาก็เป็นเพียงประโยคเดียวจ้าวซือหว่านถูกฆ่าตายโดยผู้ใช้คาถามนตร์ดำ ทางราชสำนักจะสืบสวนลัทธิชั่วร้ายนี้อย่างเข้มงวดซือเจ๋อเยว่ได้ยินคำสรุปสำนวนคดีนี้แล้ว มุมปากกระตุกเล็กน้อยก่อนนี้นางคิดว่าเหวยอิ้งหวนเป็นคนเที่ยงตรง ตอนนี้ดูแล้วเขาก็ไม่เห็นจะเที่ยงตรงอย่างที่คิดไว้นักนางรู้สึกว่าบางทีคืนนั้นนางคงเปิดเนตรวิเศษให้เขามากไปหน่อย มันกระตุ้นเขาเข้า จึงโยงไปถึงลัทธิชั่วร้ายอย่างนี้ทว่าเรื่องราวดำเนินมาถึงขั้นนี้ นับว่านางและเยียนเซียวหรานถูกลบออกจากสมการแล้ว นางคิดว่าแค่นี้ก็เพียงพอแล้วเพียงแต่เมื่อนางนึกถึงเยียนเซียวหราน ก็รู้สึกขึ้นมาว่าหลายวันนี้พอเจอนางเขามีท่าทางแปลก ๆ ชอบกลแต่นางก็บอกไม่ได้ว่าแปลกตรงไหน มันเป็นแค่สัญชาตญาณบอกเท่านั้นเหมือนกับตอนนี้ นางทำท่าจะเข้าไปพูดกับเขาใกล้ ๆ ทว่านางยังไม่ทันขยับตัว เขาก็ถอยหลังไปก้าวใหญ่เขาเอ่ยเสียงเรียบ “องค์หญิงมีเรื่องอันใดก็พูดดี ๆ เถิด”เมื่อครั้งอยู่ที่แท่นดาราคราวก่อนซือเจ๋อเยว่ค้นพบว่าแค่เข้าใกล้เขา
ซือเจ๋อเยว่ “…”เรื่องนี้เข้าใจยากอยู่บ้างนางจึงแต่งเรื่องขึ้น “ก็หมูตัวนั้นกระดูกหัก ด้านในเลยเป็นสีดำทั้งหมด พอแล่หนังออก ก็เป็นขาหมูสีขาวตัดสลับกับสีดำอย่างไรเล่า!”เยียนเหนียนเหนียนเอ่ยอย่างสงสัย “แล้วอยู่ดี ๆ พี่ชายข้ากลายไปเป็นหมูที่กระดูกหักได้อย่างไร?”ซือเจ๋อเยว่ “…”อันนี้เหมือนว่าคงจะแถไม่ได้แล้วเยียนเหนียนเหนียนกลับคิดจนเข้าใจเอาเองแล้ว “วันนั้นเขาถูกจ้าวซือหว่านขังไว้ในค่ายกล หากมิใช่เพราะองค์หญิงลงมือ เกรงว่ากระดูกเขาคงไม่หักเพียงจุดเดียว”“เขาลงมือกับจ้าวซือหว่านโดยไม่รั้งรอจนกว่าพวกเราจะไปถึง นั่นจึงเป็นคนที่โง่เหมือนหมู องค์หญิง อธิบายเช่นนี้ถูกต้องหรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่ “…เหนียนเหนียนอธิบายได้ถูกต้อง!”นางว่าแล้วยกนิ้วหัวแม่มือให้เยียนเหนียนเหนียนเยียนเหนียนเหนียนยิ้มด้วยความเคอะเขิน “เมื่อก่อนพี่สามเอาแต่รังแกข้า ก่อนนี้ข้าเห็นองค์หญิงสนิทสนมกับเขา เลยไม่กล้าพูดถึงเขาในแง่ไม่ดีต่อหน้าองค์หญิง”“ข้าเพิ่งรู้ตอนนี้ ที่แท้องค์หญิงก็มองเขาแล้วไม่เจริญตามานานแล้วเช่นกัน! จากนี้ในที่สุดจวนอ๋องก็มีคนด่าเขาไปด้วยกันกับข้าแล้ว!”ซือเจ๋อเยว่ “…”คำพูดนี้ทำเอานางไ
เยียนเซียวหรานเอ่ยเสียงเรียบ “เรื่องนี้ง่ายนัก ขอเพียงข้าบอกเขาว่าข้ารู้ว่าจ้าวซือหว่านจัดวางค่ายกลชั่วร้ายเพื่อทำร้ายข้า และรู้ความลับของพวกเขาก็เพียงพอแล้ว”เยียนเหนียนเหนียนดวงตาลุกวาวเป็นประกาย “ดังนั้นพี่สามใช้กลอุบายหลอกล่อให้เขาติดกับสินะ?”ซือเจ๋อเยว่ทอดถอนใจพลางกล่าว “พี่สามเจ้ามิได้วางกลลวงเขาหรอก แต่กำลังหยั่งเชิงเขาต่างหาก อยากดูว่าเขารู้มากน้อยเพียงใด”นางเอ่ยถึงตรงนี้หันมองไปที่เยียนเซียวหรานก่อนกล่าว “หากข้าเดาไม่ผิด น้องสามส่งคนติดตามเขาไปแล้วสินะ?”เยียนเซียวหรานพยักหน้า “ถูกต้อง”เยียนเหนียนเหนียนมองซือเจ๋อเยว่สลับกับเยียนเซียวหราน แล้วทำปากยื่นพลางเอ่ย “องค์หญิง ทำไมท่านรู้ไปเสียหมดทุกอย่าง?”“ตอนนี้ข้าสงสัยว่าเจ้าต่างหากที่เป็นครอบครัวเดียวกับพี่สาม ส่วนข้าเป็นคนนอก”ตอนนี้เยียนเซียวหรานไม่อาจทนฟังคำพูดในเชิงนี้ที่กล่าวว่าเขาเป็นครอบครัวเดียวกับซือเจ๋อเยว่ได้ เขายื่นมือมาเขกหัวนางแล้วกล่าว “สมองเป็นสิ่งที่ดี เสียดายที่เจ้าไม่มี”“ไว้ข้าจะบอกในครัวให้ซื้อสมองหมูกลับมาตุ๋นให้เจ้ากินเยอะ ๆ เจ้าจะได้บำรุงสักหน่อย”เยียนเหนียนเหนียนกุมหัวพลางพูด “ท่านเขกหัวข้าอี
นางสวมรองเท้ามือเป็นระวิง เพียงแต่ยิ่งลนลาน ก็ยิ่งทำได้ไม่ดีเดิมทีรองเท้าที่สวมได้อย่างง่ายดายมากเป็นเพราะนางตกตะลึงสวมห้าหกครั้งก็ยังไม่เข้าเยียนเซียวหรานยื่นมือออกไปจับข้อเท้าของนางเอาไว้ นางหันหน้าไปมองเขา เขากลับไม่ได้มองนาง แต่ยกรองเท้าข้างหนึ่งขึ้นมา ค่อย ๆ สวมเข้าไปที่เท้าของนางซือเจ๋อเยว่ “...”นางรู้สึกว่าตนเองในเวลานี้โง่นิด ๆหลังจากเยียนเซียวหรานสวมรองเท้าในนางเสร็จข้างหนึ่งแล้ว ก็สวมอีกข้างอีกให้นางนางกระโดดลงจากเตียงอย่างว่องไว “ลำบากเจ้าแล้ว”นางพูดจบคิดจะหนี กลับถูกเยียนเซียวหรานจับข้อมือขาวเล็กเอาไว้นางมองเขาแล้วถาม “ยังมีธุระอะไรอีกหรือ?”เยียนเซียวหรานไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ยื่นมือออกไปแล้วช่วยติดจัดปกคอเสื้อให้นาง ช่วยนางปรับสายคาดเอวให้เรียบร้อย ซือเจ๋อเยว่ “!!!!!”นางหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันทีเยียนเซียวหรานหวีผมให้นางอีก กล่าวเสียงเรียบ “เสร็จแล้ว”ซือเจ๋อเยว่หันหน้าไปมองเขา ดวงตาของเขาล้ำลึกตามเดิม นางมองเห็นเงาสะท้อนของตนเองในดวงตาของเขาการเต้นของหัวใจนางเริ่มเต้นรัวขึ้นอีกครั้ง นางรู้ว่าขืนเป็นแบบนี้ต่อไปจะไม่เข้าท่า จึงรีบกระโดดหนีออกทางหน้าต่า
ตอนนี้สมองของซือเจ๋อเยว่ไม่พอใช้แล้ว เมื่อได้ยินเขาถามแบบนี้ นางตอบว่า‘อืม’ทีหนึ่ง ไม่ได้เข้าใจความหมายของเขาจริง ๆเยียนเซียวหรานจับมือของนาง ดึงแขนเสื้อของนางขึ้น เส้นแดงที่อยู่ภายในก็ปรากฏขึ้นเขาขมวดคิ้วเล็กน้อยกล่าว “ดูเหมือนจะยังไม่ค่อยชัดเท่าไหร่”ในที่สุดซือเจ๋อเยว่ก็เข้าใจความหมายของเขา นางอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เขากลับกล่าวขึ้น “อาจจะเป็นเพราะห่างกันไปหน่อย”ครู่ต่อมา มือของเขาประคองเอวนาง ทันทีที่ออกแรงเพียงเล็กน้อย ก็อุ้มนางขึ้นมาวางไว้บนต้นขาของเขาซือเจ๋อเยว่ “...”ซือเจ๋อเยว่ “!!!!!”อยู่ ๆ เขากลายเป็นคนที่เร่าร้อนจนเกินไป นางรับมือไม่ค่อยไหว!เยียนเซียวหรานสูงกว่านางมาก แล้วก็แข็งแรงกว่านางมาก ถูกเขากอดไว้ในอ้อมแขน ชุดนอนของเขาคลุมไว้แค่ครึ่งเดียว นางรู้สึกเหมือนกับถูกฝังอยู่ในอ้อมอกของเขาภายในหัวใจของซือเจ๋อเยว่มีความตื่นตระหนกเล็กน้อย แต่เขากลับไม่ได้พูดอะไร ทั้งยังจูบลงมาบนริมฝีปากนางนางใช้มือดันแผ่นออกของเขาอย่างไม่รู้ตัว เขาหันไปมองนาง ภายในดวงตาที่ดำขลับคู่นั้นสะท้อนให้เห็นถึงแววตาที่เขามองไม่ออกน้ำเสียงของเขาแหบแห้งเล็กน้อย “มีขั้นตอนไหนที่ข้าทำไม
ซือเจ๋อเยว่หันหน้ากลับมาเผชิญหน้ากับใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา ถาม “เจ้ามีธุระอะไรอีกอย่างนั้นหรือ?”มุมปากของเยียนเซียวหรานยกขึ้นเล็กน้อย “ไหน ๆ คืนนี้องค์หญิงก็มาแล้ว ไม่เติมอายุขัยสักหน่อยแล้วค่อยไปหรือ?”ซือเจ๋อเยว่ “...”นางร้อง‘หา’ทีหนึ่ง แล้วก็ไม่ได้สติอยู่ครู่หนึ่งเยียนเซียวหรานเหลือบตาขึ้น สายตาจดจ้องไปที่นางกล่าว “องค์หญิงอยากจะอายุยืนยาวร้อยปีไม่ใช่หรือ?”“ข้าเกรงว่าข้าไม่ให้ความร่วมมือ วันข้างหน้าองค์หญิงจะมาหาเรื่องข้า”ซือเจ๋อเยว่ “...”นางคิดว่าเขาค่อนข้างผูกพยาบาทวันนั้นนางก็แค่พูดเล่นกับเขาต่อหน้าของเหล่าไท่จวินเท่านั้น เขากลับจำได้อย่างแม่นยำในเวลานี้นางรู้ว่านางมีตัวเลือกอยู่สองข้อ ข้อแรกคืออยู่ต่อเสียเลย ข้อสองคือรีบหนีไปอย่างแรกจะน่าอายเกินไปหน่อย อย่างหลังจะขี้ขลาดเกินไปหน่อยนางครุ่นคิดครู่หนึ่ง คิดว่าถึงอย่างไรก็เป็นแบบนี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ควรจะเริ่มจากทำอะไรเพื่อผลประโยชน์ระยะยาวของตัวเองหากทำตัวขี้ขลาดในเวลาแบบนี้ ต่อไปนางจะมาหาเขาได้อย่างไร? ต่อให้มาหาเขาด้วยอย่างหน้าด้านอีก คิดว่าก็อาจจะถูกเขาหัวเราะเยาะเอาได้ดังนั้นนางจึงถอดรองเท้า แล้วกระโ
ตอนที่นางได้ยินก็ไม่ได้ประหลาดใจมากเท่าใดนัก ดวงสมรสของลู่จิ่นเหนียง นั่นก็ทำได้เพียงเป็นอนุของคนอื่นเท่านั้นปกติการเป็นอนุ ขอเพียงแค่ฝั่งผู้ชายชอบนาง ทุกอย่างจะปรากฏขึ้นในดวงสมรสสิ่งเหล่านี้สามารถยืนยันได้ว่า อวิ๋นเยว่หยางรับลู่จิ่นเหนียงเป็นอนุเพราะมีจุดประสงค์อื่น เขาไม่ได้ชอบลู่จิ่นเหนียงเมื่อซือเจ๋อเยว่นึกถึงท่าทางที่หยิ่งผยองเกินความเป็นจริงของลู่จิ่นเหนียง รู้ว่าหากครั้งนี้ลู่จิ่นเหนียงไม่เอาชีวิตไปทิ้งที่จวนหนิงกั๋วกง ก็ต้องได้รับบาดเจ็บทางร่างกายหรือจิตใจเพียงแต่เรื่องนี้ตามที่เหล่าไท่จวินได้กล่าว ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับจวนอ๋องแล้ว นางก็คร้านจะช่วยเป็นธุระให้ลู่จิ่นเหนียงบัดนี้สิ่งที่นางเป็นกังวลยิ่งกว่าก็คือเรื่องที่อวิ๋นเยว่หยางขโมยดวงชะตาของเยียนเซียวหรานไปสองครั้งก่อนนางได้ตามหาค่ายกลนั่นแต่ก็จบลงด้วยความล้มเหลว แล้วก็ตามหาค่ายกลอันนั้นไม่เจออีก เกรงว่าดวงชะตาของเยียนเซียวหรานจะถูกขโมยไปจนหมดแล้วหลายวันมานี้ซือเจ๋อเยว่คิดอยู่หลายวิธี หลังจากตัดออกไปจำนวนหนึ่ง ก็รู้สึกว่าถ้ามีปัญหาแบบนี้หรือว่าแบบนั้น ความเสี่ยงก็มากทั้งนั้นนางคิดอยู่หลายตลบ คิดว่าบางทีอาจจะสาม
ซุ่ยซุ่ยของนางยังไม่ออกเรือน สถานการณ์ของจวนเยียนอ๋องเป็นแบบนี้ นางต้องปลุกใจให้ฮึกเหิมเสียหน่อย อย่างน้อยก็ไม่ควรเป็นภาระของพวกเขาเหล่าไท่จวินที่อยู่ข้าง ๆ กล่าว “แม้ว่าวันนี้เวินชิงจะรับปากองค์หญิง ต้องทำตามที่รับปาก”“ต่อไปเจ้ามีเวลาว่าง ก็มาอยู่เป็นเพื่อนคนแก่อย่างข้า”เบ้าตาของจู้อี๋เหนียงแดงเล็กน้อย คุกเข่าลงบนพื้นกล่าวเสียงเบา “ลูกอกตัญญู ทำให้เหล่าไท่จวินต้องเป็นห่วง”เหล่าไท่จวินยื่นมือออกไปประคองนางลุกขึ้น จับมือของนางแล้วตบเบา ๆ “เรื่องในอดีตก็ให้ผ่านไป พวกเราต้องมองไปข้างหน้า”จู้อี๋เหนียงเช็ดน้ำตากล่าว “ข้าเชื่อฟังเหล่าไท่จวิน”ซือเจ๋อเยว่ชอบบรรยากาศของจวนเยียนอ๋องที่สุด เหล่าไท่จวินเป็นคนชราที่เฉลียวฉลาด ถึงแม้คนในจวนจะมากมาย แต่นางกลับน่าเลื่อมใสเป็นอย่างยิ่งตอนที่จวนเยียนอ๋องเกิดเรื่อง คนที่ได้รับความกระทบกระเทือนมากที่สุดไม่ใช่เหล่าไท่จวิน แล้วก็ไม่ใช่พระชายาเยียนอ๋อง แต่ทว่าเป็นจู้อี๋เหนียงก่อนหน้านี้จู้อี๋เหนียงเป็นคนอมทุกข์มาตลอด ออกจากเรือนน้อยมากเหล่าไท่จวินไปปลอบใจจู้อี๋เหนียงเป็นประจำในจวนมีของของดีอะไร เหล่าไท่จวินก็จะคิดถึงนาง ไม่ใช่เพราะว่านางเป็
“อย่างไรเสียจวนหนิงกั๋วกงก็ดีกว่าจวนเยียนอ๋อง สิ่งที่เรียกว่าชื่อเสียงของจวนเยียนอ๋อง ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยินดีช่วยพี่ชายของเจ้าให้เลื่อนตำแหน่ง”“ตามที่ข้ามอง จวนเยียนอ๋องที่ไม่มีน้ำใจ ไม่รู้จักปรับตัวเช่นนี้ก็สมควรล่มสลาย!”ลู่จิ่นเหนียงได้ฟังคำพูดพวกนี้ก็ไม่ได้รู้สึกมีตรงไหนผิดปกติ เดิมทีจวนเยียนอ๋องก็ยึดติดกับหลักการมากเกินไปต่อให้เยียนซื่อจะปฏิบัติต่อนางดีมากแค่ไหน ทันทีที่นางพูดเรื่องที่ให้เขาช่วยเหลือ เขาก็จะชักสีหน้าทันทีเมื่อเปรียบเทียบกัน จวนหนิงกั๋วกงมีความเปิดกว้างมากกว่า แล้วก็เต็มไปด้วยความจริงใจอย่างเห็นได้ชัดเมื่อมีเรื่องนี้ เมื่อนางมองเห็นเครื่องประดับและผ้าเหล่านี้ ก็ไม่รู้สึกว่าเป็นแบบเก่าอีกแล้วลู่ฮูหยินกล่าวอีกว่า “คุณชายรองให้ความสำคัญกับเจ้าเป็นอย่างมาก อยากจะให้เจ้ารีบเจ้าจวนเร็วหน่อย”“วันนี้ข้าได้ปรึกษากับท่านพ่อของเจ้าแล้ว พรุ่งนี้จะส่งตัวเจ้าเข้าจวนหนิงกั๋วกง ตามความต้องการของจวนกั๋วกง”ลู่จิ่นเหนียงตกตะลึงไปทันที “ไปจวนหนิงกั๋วกงวันพรุ่งนี้? นี่มันจะรีบเกินไปหน่อยหรือไม่?”ลู่ฮูหยินตอบ “รีบที่ไหนกัน นี่เห็นได้ชัดเจนว่าจวนหนิงกั๋วกงให้ความสำคัญกับ
นางพ่นลมหายใจกล่าว “องค์หญิงอย่างไรเสียก็จัดการเรื่องของตนเองให้ดีเถอะ เลิกริษยาคนอื่น ใจกว้าง บางทีอาจจะสามารถมีชีวิตได้ถึงสิบแปดปี!”เมื่อซือเจ๋อเยว่ได้ยินคำพูดถากถางของลู่จิ่นเหนียงไม่เพียงไม่โกรธ ทั้งยังรู้สึกน่าขันเล็กน้อยนางทำอะไรด้วยใจมาตลอด ในเวลานี้เตือนสติลู่จิ่นเหนียงก็เป็นเพราะเยียนซื่อแต่น่าเสียดายที่ผู้หญิงคนนี้ความคิดบิดเบี้ยวตั้งแต่ภายใน กระเสือกกระสนรนหาที่ตาย ต่อให้เทพต้าหลัวมาที่นี่ เกรงว่าก็คงจะช่วยชีวิตนางเอาไว้ไม่ได้นางพยักหน้ากล่าว “ข้าคิดว่าที่เจ้าพูดนั้นมีเหตุผลมาก คนที่จิตใจคับแคบ จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานจริง ๆ”นางพูดจบก็คร้านจะสนใจลู่จิ่นเหนียงอีก กล่าวกับเยียนเซียวหราน “น้องสาม พวกเราไปกันเถอะ!”ลู่จิ่นเหนียงยังอยากจะพูดอะไรบางอย่างอีก เยียนเซียวหรานมองนางด้วยสายตาเย็นยะเยือกแวบหนึ่งสายตานั้นเย็นยะเยือกเข้ากระดูก ความน่าสะพรึงกลัวเต็มเปี่ยม ลู่จิ่นเหนียงเห็นก็รู้สึกกลัวจนขนลุกขนพอง คำพูดที่กำลังจะพูดออกมาก็ตกตะลึงจนพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียวทันใดนั้นนางก็พบว่า เยียนเซียวหรานแตกต่างไปจากเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง บนร่างกายของเขามีพลังอำนาจอันแข็งแกร่ง ที่ไม
นางกับเยียนเซียวหรานตรงไปยังร้านขายเสื้อผ้าที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง ซึ่งด้านในร้านมีผ้าหลากหลายที่สุดเยียนเซียวหรานกลัวว่านางจะเกิดเรื่อง จึงเดินตามหลังนางตลอดทุกฝีก้าวซือเจ๋อเยว่เลือกผ้าให้แต่ละคน รวมกันทั้งหมดสิบกว่าพับ พวกเขาไม่สะดวกถือไปด้วย จึงให้เถ้าแก่มอบหมายให้คนส่งไปที่จวนเยียนอ๋องทันทีที่ซือเจ๋อเยว่จ่ายเงินเสร็จ ก็เห็นลู่จิ่นเหนียงพาสาวใช้เดินเข้ามาหา ทั้งสองคนพบกันโดยบังเอิญ จึงมีความประหลาดใจเล็กน้อยลู่จิ่นเหนียงเป็นเพราะครั้งก่อนซือเจ๋อเยว่เคยฉีกหน้านาง นางจึงไม่ชอบซือเจ๋อเยว่เป็นอย่างยิ่งในเวลานี้เมื่อเจอกัน นางยังคงกล่าวด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม “องค์หญิง ไม่เจอกันนานเลย”ซือเจ๋อเยว่คุ้นเคยกับการมองหน้านางแวบหนึ่ง ใต้ตาของนางดำคล้ำ คาดว่านางน่าจะเอาเด็กออกแล้ว ต่อไปก็คงจะไม่มีลูกของตัวเองอีกนอกจากนี้แล้ว ชีวิตในวังหลวงของนางมีเต็มความซับซ้อน เมื่อเห็นฉากนี้ ต่อไปลู่จิ่นเหนียงคงจะใช้ชีวิตอย่างค่อนข้างขรุขระสีหน้าของนางยังนับว่าพอถูไถไปได้ ใบหน้าเหมือนว่ายังพอมีความสุขอยู่บ้างในเมื่ออีกฝ่ายยอมรับผิดแล้วก็ย่อมให้อภัย ซือเจ๋อเยว่ยิ้มตอบ ตั้งใจที่จะออกไปพร้อมกั
ซือเจ๋อเยว่ลุกขึ้นยืนพร้อมกล่าว “อวิ๋นไท่เฟยหมดสติไปเพราะตื่นเต้นเกินไป พวกท่านส่งนางกลับไปเถอะ”คำพูดที่นางพูดกับอวิ๋นไท่เฟยเมื่อครู่นี้ บรรดาคนในวังหลวงที่อยู่ใกล้ต่างก็ได้ยินกันหมดพวกเขามองซือเจ๋อเยว่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว ในเวลานี้มีคนหลายคนร่วมแรงกันประคองอวิ๋นไท่เฟยขึ้นมา แล้วรีบวิ่งออกไปคนของวังหลวงที่ถูกวิญญาณรายล้อมคนนั้น ในเวลานี้วิญญาณปล่อยนางไปแล้ว ทันทีที่นางได้รับอิสระ ก็รีบวิ่งหนีอย่างโซซัดโซเซกลางวันแสก ๆ เลยนะ!พวกเขาเจอเรื่องแบบนี้ น่ากลัวมากเกินไปจริง ๆ!ฮองเฮามองไม่เห็นวิญญาณ เห็นเพียงซือเจ๋อเยว่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ทำให้อวิ๋นไท่เฟยตกใจจนหมดสติไปทันที จากนั้นกลุ่มคนก็วิ่งหนีกันฉี่ราดสารรูปเช่นนี้ของพวกเขา ตอนที่มาอวดดีมากขนาดไหน ตอนกลับไปก็ดูไม่จืดมากเท่านั้นฮองเฮากับอวิ๋นไท่เฟยประมือกันมาหลายครั้ง ถึงแม้นางจะชนะมากกว่าแพ้ แต่นั่นก็เป็นเพียงการสู้กันด้วยวาจา ไฉนเลยจะมีความสุขเท่าครั้งนี้?นางมองซือเจ๋อเยว่กล่าว “เมื่อครู่นี้เจ้าทำอะไรพวกเขา?”ซือเจ๋อเยว่ตอบ “หม่อมฉันก็อาศัยอยู่ในสำนักเต๋ามาเป็นเวลานาน ถึงอย่างไรก็ยังพอมีความสามารถเป็นของ