หัวสมองของซือเจ๋อเยว่มีภาพที่ไม่เหมาะกับเด็กเกิดขึ้น เมื่อคืนนี้นางกับเยียนเซียวหรานคงไม่ได้...การคาดเดานี้ทำให้นางกระเด้งตัวลุกขึ้นมาจากเตียง แต่ก็ถูกนางปฏิเสธอย่างรวดเร็วเนื่องจากร่างกายของนางไม่มีความผิดปกติใด ๆนางนั่งลงไปอีกครั้ง คิดว่าอย่างไรเสียเมื่อคืนนี้ก็ต้องเกิดเรื่องอะไรบางอย่างที่นางไม่รู้อย่างแน่นอนในเวลานี้ ประตูห้องของนางถูกเคาะ นางรีบไปเปิดประตู เป็นพระชายาเยียนอ๋องพระชายาเยียนอ๋องเห็นว่านางยังไม่ล้างหน้าแต่งตัว ผมเผ้ายุ่งเหยิงราวกับรังนก ก็ยิ้มบาง ๆ “ข้ามารบกวนการพักผ่อนขององค์หญิงอย่างนั้นหรือ?”ซือเจ๋อเยว่รีบกล่าว “เปล่าเจ้าค่ะ ข้าตื่นแล้ว”พระชายาเยียนอ๋องจึงกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็ดี วันนี้ที่ข้ามาหาองค์หญิงตั้งแต่เช้าตรู่ เป็นเพราะมีเรื่องอยากจะหารือกับองค์หญิง”“เสด็จแม่มีอะไรเชิญตรัสมาเพคะ” ซือเจ๋อเยว่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “คนครอบครัวเดียวกัน ไม่ต้องเกรงใจเพคะ”พระชายาเยียนอ๋องกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย “วันนี้จวนตระกูลจ้าวส่งเทียบเชิญมาตั้งแต่เช้าตรู่ อยากจะนัดข้าไปไหว้พระที่วัดเป้ากั๋วด้วยกัน”“ท่านอ๋องจากไปนานแล้ว สุสานอ๋องก็ได้ปิดซ่อมแซมเสร็จเร
เขามาหานางเพื่อหารือรายละเอียดของการ ‘เชิญป้าย’ ทุกอิริยาบถล้วนจะต้องถูกต้องตามขนบประเพณี จะผิดแผกไม่ได้แม้แต่นิดเดียวหลังจากพวกเขาคุยธุระเสร็จ ซือเจ๋อเยว่ก็ทนไม่ไหว ถามเยียนเซียวหราน “หลังจากที่เมื่อคืนนี้ข้าทำลายป้ายหยกแล้ว ท่านมีความรู้สึกอย่างไรบ้าง?”เยียนเซียวหรานมองนางแวบหนึ่ง ย้อนถามด้วยสีหน้าปกติ “องค์หญิงคิดว่าข้าควรมีความรู้สึกอะไร?”ซือเจ๋อเยว่ “...”นางจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาจะมีความรู้สึกอะไร?หรือว่าเขาไม่เข้าใจ ตอนที่นางถามคำถามประโยคเมื่อครู่นี้ ครึ่งประโยคแรกก็เป็นเพียงแค่การบังหน้าเท่านั้น?เพียงแต่เมื่อนางเผชิญกับใบหน้าที่ไร้อารมณ์ของเขา ครู่หนึ่งก็มีความไม่แน่ใจอยู่เล็กน้อยว่าเขาคิดอะไรอยู่กันแน่นางเกิดความหงุดหงิดใจต่อใบหน้าของเขาอย่างประหลาด ‘หน้าตาก็หล่อดีอยู่หรอก แต่วัน ๆ เอาแต่ปั้นหน้า เดาอารมณ์บนใบหน้าของเขาไม่ออกเลยสักนิด’ในเวลาแบบนี้ ต่อให้นางมาเพื่อสืบข่าว ก็ไม่ควรปล่อยไก่ต่อหน้าของเขานางจึงปั้นหน้าบ้าง กล่าวด้วยท่าทางสบาย ๆ “ป้ายหยกชิ้นนั้นผิดปกติมาก”“เจ้าก็รู้ว่าสุขภาพของข้าอันที่จริงไม่ค่อยสู้ดีนัก หลังจากที่กำจัดวิญญาณร้ายที่สิงสู่อยู่ในป้
ซือเจ๋อเยว่กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ลำบากน้องสามแล้ว”นางพูดจบก็ถามอีกว่า “หลังจากที่เมื่อคืนนี้ข้าสูญเสียสติสัมปชัญญะไป ไม่ได้ทำเรื่องอะไรที่เหมาะสมใช่หรือไม่?”สายตาของเยียนเซียวหรานเจือจาง ดวงตาเย็นชาคู่นั้นดูเหมือนจะมองนางออก สุดท้ายแล้วก็กล่าวเพียง “ไม่มี”เรื่องที่นางเป็นกังวล เขาก็ยิ่งเป็นกังวลถึงว่าเมื่อคืนนี้จะเป็นนางที่เป็นฝ่ายจูบเขาก่อน แต่สุดท้ายคนที่สูญเสียการควบคุมกลับกลายเป็นเขาในเรื่องนี้ พวกเขามีสัญญาลับที่ถือว่ารู้กันแค่พวกเขานั่นเป็นเรื่องที่ไม่ควรพูดเปิดเผยออกมา แม้ว่าจะเกิดขึ้นจริงก็ตาม แต่กลับไม่สามารถพูดเปิดเผยออกมาได้ทั้งในเรื่องนี้ เยียนเซียวหรานมีความร้อนตัวของเขาอยู่เมื่อซือเจ๋อเยว่ได้ยินคำพูดสองคำนี้ของเขา ก็นับว่าเข้าใจความหมายของเขาแล้วไม่ว่าจะพูดจากมุมใดมุมหนึ่ง ในเรื่องนี้พวกเขาต่างใช้วิธีการจัดการที่เหมือนกันซือเจ๋อเยว่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ไม่มีก็ดี”เยียนเซียวหรานเห็นสีหน้าที่แสดงออกถึงความผ่อนคลายของนาง ราวกับว่าได้ยกหินก้อนยักษ์ในใจของนางได้ถูกยกออกไปแล้วเขาจึงรู้ว่าคำพูดประโยคนั้นที่นางพูดว่าสูญเสียสติสัมปชัญญะเมื่อครู่นี้ เป็นเรื่อ
“แต่ยังมีอีกหนึ่งค่ายกลที่ขโมยดวงชะตาของเจ้าโดยเฉพาะยังไม่ถูกทำลายไป ต่อให้ไม่มีพลังชั่วร้ายเหล่านั้น และเจ้าก็ไม่ได้ตายเร็วปานนั้นแล้ว ทว่ากลับมีผลกระทบรุนแรงมากอยู่ดี” เยียนเซียวหรานถาม “ผลกระทบที่ว่าคืออะไร?” ซือเจ๋อเยว่มองเขาพลางพูด “เมื่อดวงชะตาของคนผู้หนึ่งถูกขโมยไปแล้ว คนผู้นั้นจะดวงซวยขึ้นเรื่อย ๆ ตามกาลเวลาที่ล่วงเลยผ่านพ้นไป” “จนสุดท้ายเจ้าอาจถึงแก่กรรมด้วยเพราะข้าวติดคอ เดินล้มหัวฟาดหรือสำลักน้ำตาย รูปแบบการตายอันน่าประหลาดพิศวงมีสารพัด ที่คนทั่วไปไม่กล้าแม้แต่จะคาดคิด” เยียนเซียวหราน “…” สิ่งเหล่านี้แค่ได้ฟังก็ปวดหัวแล้ว เขาถามซือเจ๋อเยว่ “ตอนนี้สถานการณ์ข้าเป็นเช่นไร?” ซือเจ๋อเยว่กล่าวตอบ“ดวงชะตาของเจ้าถูกคนขโมยมาเป็นเวลานานมากแล้ว แม้ยังไม่เข้าสู่ช่วงระยะสุดท้าย แต่ยังมีค่ายกลพลังชั่วร้ายที่ดูดพลังดวงชะตาเจ้าอยู่โดยเฉพาะ” “ดังนั้นชะตาของเจ้ามีแต่จะย่ำแย่เสียยิ่งกว่าผู้ที่ขโมยดวงชะตาของเจ้าไปมาก หากไม่ได้ข้าที่ก่อนหน้านี้ช่วยเจ้าสลายพลังชั่วร้ายไว้ถึงสองครา ไม่แน่เจ้าอาจจะตายไปแล้ว” เมื่อครั้งนางได้พบเขาในคราแรก ก็รู้สึกว่าเขาช่างประหลาดเสียนี่กระไร ทั้งท
ในใจซือเจ๋อเยว่พลันเกิดความรู้สึกกระวนกระวายใจเล็กน้อย แม้เมื่อคืนนางต่อเวลาชีวิตได้ไม่น้อยในเวลาอันสั้น แต่ระยะนี้เส้นสีแดงมีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วขึ้นมาก เส้นชีวิตอันน้อยนิดเพียงเท่านี้แทบจะไม่พอใช้เสียแล้วสิ นางก็ยังไม่รู้ด้วยว่าครั้งหน้าจะต้องใช้วิธีการเช่นไร จึงจะต่อเวลาชีวิตอีกสักระยะหนึ่งจากเขาได้ นางลอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ก่อนจะเดินออกไปด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อน มีชีวิตอยู่ช่างยากเย็นเสียจริง! แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังไม่อยากตาย! เยียนเซียวหรานเหลือบมองนางแวบหนึ่ง มิได้เอ่ยอันใด เพียงแค่เดินตามนางออกไป บัดนี้พระชายาเยียนอ๋องกำลังจัดเตรียมข้าวของสำหรับไปอารามพุทธในวันพรุ่งนี้ เมื่อเห็นว่าพวกเขาเข้ามา จึงเรียกให้มาช่วยกันคนละไม้คนละมือ เยียนเซียวหรานช่วยไปพลางเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงไร้เจตนาแอบแฝง “เสด็จแม่ หยกแขวนชิ้นนั้นที่เสด็จแม่ให้ลูกมาสอดไว้ใต้หมอนก่อนหน้านี้ได้มาจากที่ใดหรือ?” พระชายาเยียนอ๋องได้ฟังเขาถามเช่นนี้ พลันถามกลับด้วยความฉงนเล็กน้อย “เหตุใดจู่ ๆ ถึงถามเรื่องนี้เล่า?” เยียนเซียวหรานเอ่ยตอบ “ครานี้ลูกประสบเคราะห์ภัยจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด สามารถเปลี่ยนเคราะห์ร้
พระชายาเยียนอ๋องผงกศีรษะ “ใช่แล้ว ซือหว่านมีความรู้และเข้าใจกฎเกณฑ์ แยกแยะผิดถูกได้อย่างชัดเจน ทั้งยังมีความรู้สึกพิเศษต่อเซียวเอ๋อร์” “หากนางแต่งเข้าจวนอ๋อง ต้องเป็นสะใภ้ที่ดีเหมือนกันกับองค์หญิงแน่นอน” ซือเจ๋อเยว่ “...” นางไม่อยากถูกเอาไปเปรียบเทียบกับจ้าวซือหว่านเท่าไรนัก ทว่าเรื่องราวในตอนนี้ยังไม่กระจ่างชัด นางคิดว่าไม่มีความจำเป็นต้องพูดอย่างโจ่งแจ้งต่อหน้าพระพักตร์พระชายาเยียนอ๋อง จึงทำเพียงแค่ยิ้มเท่านั้น เยียนเซียวหรานถามพระชายาเยียนอ๋อง “พรุ่งนี้แม่นางจ้าวก็ไปอารามพุทธหรือขอรับ?” พระชายาเยียนอ๋องพยักหน้า “นางจะไปด้วย หากไม่ใช่เพราะนางเตือนสติว่าวัดเป้ากั๋วทำแผ่นป้ายวิญญาณดีที่สุด ข้าก็จะไปเชิญป้ายที่วัดซีซานแล้ว” ซือเจ๋อเยว่ยิ้มพลางพูด “แม่นางจ้าวช่างเป็นคนใส่ใจที่คิดการอันใดรอบคอบจริง ๆ เจ้าค่ะ” พระชายาเยียนอ๋องอมยิ้มพลางเอ่ย “ใช่ นางเป็นสตรีที่ดีโดยแท้” นางเอ่ยจบก็กล่าวชื่นชมจ้าวซือหว่านยกใหญ่ไปอีกรอบหนึ่ง ซือเจ๋อเยว่นั่งฟังด้วยความใจเย็น ไม่แสดงความคิดเห็นอันใดทั้งสิ้น นางกำลังคิดเรื่องหนึ่งในใจ ด้านนี้เพิ่งทำลายหยกแขวนได้ จ้าวซือหว่านก็เชิญพวกเขาไปที
เรื่องการเขียนยันต์ สำหรับคนสำนักเต๋าแล้ว ที่จริงมีความยากสูงมาก มีเพียงผู้ที่เข้าถึงแก่นของวิชาเต๋าอย่างถ่องแท้ทั้งยังฝึกการเขียนยันต์ด้วย จึงสามารถเขียนออกมาได้ และอัตราความสำเร็จก็ยังไม่นับว่าสูงมากนัก แต่สำหรับซือเจ๋อเยว่ผู้เป็นอัจฉริยะแห่งลัทธิเต๋า การเขียนยันต์จึงแสนจะง่ายดายราวกับกินข้าวดื่มน้ำก็ไม่ปาน ถึงขั้นที่ในเวลาปกติตอนนางเกียจคร้าน ไม่อยากเขียนยันต์ แค่ใช้มือร่ายคาถาของลัทธิเต๋าก็ได้ผลลัพธ์ที่ไม่เลวเช่นกัน แต่วิญญาณร้ายเมื่อคืนนี้ทำให้นางฉุกคิดได้ว่าศัตรูที่อยู่เบื้องหลังนั้นหาใช่ธรรมดาไม่ แค่อาศัยการร่ายคาถาด้วยมือยังยากนักที่จะจัดการมันให้สิ้นซากได้ นางมิอาจเอาเลือดของตนเองมาใช้จัดการได้อีกแล้ว แค่ด้วยสถานการณ์ร่างกายของนางตอนนี้ ก็ทานทนต่อสิ่งหนักหน่วงกว่านี้ไม่ไหวแล้วจริง ๆ ฉะนั้นการตระเตรียมยันต์ที่มีอานุภาพสูงไว้หลายแผ่น จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง นางเพิ่งเขียนยันต์เสร็จ เยียนเหนียนเหนียนก็มาเที่ยวเล่นหานาง เห็นนางเขียนยันต์อยู่ รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยจึงถาม “องค์หญิง นี่คือยันต์หรือ?” ซือเจ๋อเยว่พยักหน้า “ยันต์ห้าอัสนีบาตพวกนี้ขับไล่ภูตผีวิญญาณร้า
วินาทีที่อัสนีสายนั้นผ่าฟาดลงมา เยียนเหนียนเหนียนพลันรู้สึกได้อย่างแท้จริงว่านางเกือบจะถูกคร่าชีวิตไปแล้ว! นางมองจ้องซือเจ๋อเยว่ด้วยใบหน้าประจบประแจงพลางเอ่ย “องค์หญิง ต่อไปท่านก็คือบุคคลตัวอย่างของข้า ไม่ว่าอะไรข้าจะฟังท่านทุกอย่าง!” ซือเจ๋อเยว่มองนางพลางหัวเราะ “จากนี้ไประวังหน่อย อย่าเห็นอะไรก็แปะบนร่างตัวเองอีก!” เยียนเหนียนเหนียนย่อมพยักหน้าหงึก ๆ เรื่องในวันนี้ได้เปิดโลกทัศน์ของนางแล้วจริง ๆ แล้วนางไหนเลยยังกล้าแตะต้องของแบบนั้นอีก? นางดึงแขนเสื้อของซือเจ๋อเยว่แล้วถาม “ยันต์นี้สุดยอดมาก ขายให้ข้าสักหลายแผ่นได้หรือไม่?” ซือเจ๋อเยว่ถามนาง “เจ้าจะเอายันต์ห้าอัสนีบาตไปทำอันใด?” เยียนเหนียนเหนียนกล่าวตอบ “ก่อนนี้ข้าไม่เชื่อว่าบนโลกจะมีสิ่งเช่นนี้อยู่ ทว่าตอนนี้ดูแล้วเกรงว่าคงมีอยู่จริง” “ข้ารู้สึกว่าพี่สามดวงชะตาไม่ค่อยสู้ดีนัก กลัวก็แต่ว่าบนร่างจะมีสิ่งอัปมงคลเช่นนี้อยู่ ข้าอยากซื้อสักหน่อยเพื่อเอาไปแปะบนร่างเขา จะได้ช่วยปัดเป่าพลังชั่วร้ายออกไปได้บ้าง” ซือเจ๋อเยว่ “…” นางคิดว่ายังไม่ทันปัดเป่าพลังชั่วร้ายออกไปจากร่างเยียนเซียวหรานจนหมด กลับถูกยันต์ห้าอัสนีบาตผ่าตาย
เขาจ้องมองนางด้วยสายตาเย็นชา "เป็นข้าที่ไร้เดียงสาเกินไป คิดว่าเรื่องราวระหว่างเราจะต่างออกไป" "แต่ข้ากลับลืมไปว่า เจ้าเป็นคนของสำนักเต๋า เราสองคนก็อยู่กันคนละฝ่ายตั้งแต่แรกเริ่ม" "ซือเจ๋อเยว่ ตั้งแต่นี้ไปข้าขอตัดขาดจากเจ้า หากพบกันอีก ข้าจะฆ่าเจ้าแน่นอน!" เมื่อเอ่ยจบเขาก็หยิบของสิ่งหนึ่งจากร่างกายแล้วขว้างออกไป สิ่งนั้นทำหน้าที่รับแรงโจมตีจากค่ายกลแทนเขา ก่อนที่ตัวเขาจะพุ่งออกจากค่ายกลราวกับดาวตกก็ไม่ปาน ซือเจ๋อเยว่รีบไล่ตามออกไป แต่ภายนอกกลับไร้เงาของไป๋จื้อเซียน นางรู้สึกเป็นกังวลอย่างยิ่ง วันนี้เขาเข้าใจนางผิด แล้วจากไปเช่นนี้ ภายภาคหน้าก็ไม่อาจล่วงรู้เลยว่าจะเกิดอันใดขึ้นอีก ยังดีที่เขาเคยสาบานต่อสวรรค์ ว่าจะไม่สังหารผู้บริสุทธิ์ อย่างน้อยสถานการณ์ก็ยังไม่เลวร้ายถึงระดับนั้น แต่เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาขาดสะบั้นในบัดนี้ ด้วยนิสัยของเขา ย่อมต้องหาหนทางสังหารนางให้ได้อย่างแน่นอน! นางคิดว่าตนเองยังคงประเมินไป๋จื้อเซียนต่ำเกินไป คิดไม่ถึงว่าเขาจะสามารถหลบหนีออกจากค่ายกลพิทักษ์ขุนเขาได้ เยียนเซียวหรานถามขึ้น "เมื่อครู่นี้เกิดอันใดขึ้น?" ซือเจ๋อเยว่ถอนหายใจ "ตุ๊
ซือเจ๋อเยว่ประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากตุ๊กตาดินเผาเหล่านี้นับหลังจากตั้งแต่ที่อาจารย์สามปั้นเสร็จแล้ววางไว้ที่นี่ ก็ไม่เคยมีความรู้สึกอะไรนางคิดมาตลอดว่าอาจารย์สามทำเช่นนี้เพราะจะหยอกนางเล่น ไม่คิดเลยว่าจนกระทั่งวันนี้จะมีความเคลื่อนไหวแล้วที่ประตูมีเสียงของไป๋จื้อเซียนดังลอยเข้ามา “เจ้าล่อลวงข้ามาที่นี่ ก็เพราะอยากจะฆ่าข้าใช่หรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่หันหน้ากลับไปมองก็เห็นไป๋จื้อเซียนยืนอยู่ที่หน้าประตู ตุ๊กตาดินเผาเหล่านั้นรวมตัวกันกลายเป็นค่ายกล จะจัดการกับเขาหลังจากที่วันนี้เขาเดินเข้ามาในสำนักเต๋า ความสามารถทุกด้านก็ถูกลดทอนลง ตุ๊กตาดินเผาเหล่านี้ยังเป็นตุ๊กตาที่อาจารย์สามปั้นขึ้นเองกับมืออีกด้วย ด้านในมีค่ายกลที่ร้ายแรงเป็นอย่างยิ่งซ่อนอยู่ไป๋จื้อเซียนในเวลานี้ถูกค่ายกลนี้ขังเอาไว้ ไม่สามารถดิ้นให้หลุดได้เขาเกิดความสงสัยมาก ประกอบกับก่อนหน้านี้ซือเจ๋อเยว่อยากจะจัดการเขามาตลอด เขาจึงคิดว่านางเป็นผู้ควบคุมให้ตุ๊กตาดินเผาเหล่านี้มาจัดการเขาก่อนหน้านี้ซือเจ๋อเยว่เคยคิดอยากจะจัดการเขาในสำนักเต๋าจริง ๆ แต่เป็นครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนางจริง ๆเป็นเพราะร่างกายที่พิเศษเ
ความทรุดโทรมนี้เริ่มปรากฏตั้งแต่ประตูเขาที่เก่าและทรุดโทรม ยาวไปตลอดทางจนถึงกระทั่งถึงโถงใหญ่ของสำนักเต๋าด้านในก็มีเพียงรูปหล่องทองคำปรมาจารย์เต๋าที่ยังมีสภาพดีอยู่เพียงเท่านั้น อาคารอื่น ๆ ของวัดก็สามารถใช้คำว่าชำรุดทรุดโทรมมาบรรยายได้เมื่อซือเจ๋อเยว่กลับมา นักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ที่เฝ้าภูเขาก็กระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ท่านกลับมาแล้ว ไม่ไปไหนแล้วใช่หรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่ได้ยินก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ข้าอาศัยคืนเดียวก็จะไปแล้ว”ใบหน้าของนักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ก็มีสีหน้าผิดหวังปรากฏขึ้นมาทันที นางหยิบทองหนึ่งกำมือออกมาจากมิติคาถาเต๋าแล้วมอบให้เขา “ค่าอาหารของปีนี้”นักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ใช้สองมือรับทองคำ ใบหน้ามีรอยยิ้มขึ้นมาทันที “อย่างไรเสียศิษย์พี่หญิงใหญ่ก็เก่งกาจ!”สำนักเต๋าผ่านไปด้วยความยากลำบากมาก ทองคำเหล่านี้เมื่อแลกเป็นเงินก็ได้หลายพันตำลึง เพียงพอที่จะให้พวกเขามีกินได้ถึงสิ้นปีซือเจ๋อเยว่ถามเขา “พวกอาจารย์ออกจากสำนักเต๋าตั้งแต่เมื่อใด?”นักพรตเต๋ารุ่นเยาว์ “ทันทีที่ศิษย์พี่หญิงใหญ่ออกไปจากสำนักเต๋า เจ้าสำนักพวกเขาก็ไปแล้ว”ซือเจ๋อเยว่ขมวดคิ้ว “พวกเขาได้บอกหรือไ
ซือเจ๋อเยว่เผชิญหน้ากับสายตาที่แฝงไปด้วยความน้อยใจของไป๋จื้อเซียน นางมีความรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกด้วยท่าทางเช่นนี้ของเขา เกรงว่าคนที่ไม่รู้จะคิดว่าพวกเขากำลังสุมหัวกันกลั่นแกล้งเขาแต่เรื่องจริงคือเขาเกือบทำให้พวกเขาต้องติดกับดักจนตายในเวลานี้นางจำต้องกล่าว “ขอบคุณคุณชายไป๋มาก”ไป๋จื้อเซียนมองนางด้วยสีหน้าน่าสงสารพร้อมกล่าว “เมื่อครู่นี้เจ้าดุข้า”ซือเจ๋อเยว่ “...”นางสูดหายใจในใจทีหนึ่ง เจ้าหมอนี่แสดงละครเก่งมาก!นางยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ข้ามีนิสัยใจร้อน เวลามองอะไรก็มักจะมองแค่สถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า ไม่สู้คุณชายไป๋ที่มองการณ์ไกล”“คุณชายไป๋คาดการณ์เรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในตอนหลังได้ตั้งแต่แรกแล้ว ข้าชื่นชมตบะอันล้ำลึกทำให้ข้านับถือจากใจจริง”“ครั้งหน้าหากยังมีเรื่องแบบเดียวกันอีก คุณชายไป๋ได้โปรดแจ้งให้ทราบล่วงหน้าเสียหน่อย พวกเราจะได้ร่วมมือกันได้ดี”นางพูดจบก็ยิ้มให้เขาเล็กน้อย “คุณชายไป๋ช่วยพวกเราคำนวณดูหน่อยได้หรือไม่ พวกเรากลับเมืองหลวงครั้งนี้ จะล้มจวนหนิงกั๋วกงได้หรือไม่?”ไป๋จื้อเซียน “...”ถึงแม้เขาจะมีชีวิตอยู่มาหนึ่งพันปีแล้วก็ตาม เรียนรู้เพียงความสามารถฆ
“ถึงแม้วันนี้ข้ากับชื่อปาเลี่ยจะบุกฝ่าออกมาได้ แต่ก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด”“การล้อเล่นแบบนี้ อย่างไรคุณชายไป๋ช่วยลดลงหน่อยจะดีมาก”ไป๋จื้อเซียนจ้องมองเขาด้วยสายตาเย็นชา เขาหันหน้าไปมองไป๋จื้อเซียน โดยไม่ยอมอ่อนข้อเลยแม้แต่น้อยชื่อปาเลี่ยที่อยู่ข้าง ๆ พูดไกล่เกลี่ย “ครั้งนี้พวกข้าไม่เป็นอะไร อย่างไรก็ช่างเถอะ”ความโกรธที่ไป๋จื้อเซียนมีอยู่มากมายไม่มีที่ระบาย ยกมือขึ้นแล้วสะบัดทำให้ชื่อปาเลี่ยลอยกระเด็นออกไปชื่อปาเลี่ย “!!!!!”หากวันหลังเขายังกล้าสอดเรื่องของพวกเขาอีก เขาก็คือก็คือไอ้ลูกหมา!เขากระแทกลงบนพื้นอย่างแรง ร้องโอ๊ยออกมาทีหนึ่งซือเจ๋อเยว่รีบยื่นมือออกไปประคองชื่อปาเลี่ย “เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”ชื่อปาเลี่ยกุมหน้าอกกล่าว “ข้าเจ็บหน้าอกนิดหน่อย”ในระหว่างที่พูดเขารู้สึกผิดปกติบริเวณหน้าอก ยื่นมือออกไปแล้วล้วง ไม่คิดเลยว่าจะควักสมุดบันทึกเล็ก ๆ เล่มหนึ่งออกมาจากข้างใน “นี่มันอะไรกัน?”หลังจากซือเจ๋อเยว่รับมาก็เปิดสมุดบันทึกเล่มเล็ก พบว่าเป็นสำเนาคำสั่งเคลื่อนย้ายฉบับนั้นที่เยียนอ๋องซื่อจื่อกล่าวไว้นางทั้งตกใจทั้งดีใจ “นี่คือสำเนาคำสั่งเคลื่อนย้าย!”เยียนเซียวหรา
ซือเจ๋อเยว่รีบกล่าว “ข้าไม่เป็นอะไร”นางพูดจบก็กล่าวด้วยสีหน้าเป็นกังวล “เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือ?”เยียนเซียวหรานยิ้มเล็กน้อย “ข้าไม่เป็นอะไร”เขาพูดจบก็ประสานมือคำนับไป๋จื้อเซียนกล่าว “ขอบคุณคุณชายไป๋ที่พาองค์หญิงออกมาได้อย่างปลอดภัย ทำให้ข้าไม่ต้องเป็นพะวงที่จะบุกฝ่ากองทัพออกมา”สีหน้าของไป๋จื้อเซียนเปลี่ยนไปเล็กน้อย เรื่องนี้เขาวางแผนทำร้ายเยียนเซียวหราน เยียนเซียวหรานขอบคุณเขาจึงทำให้เขารู้สึกไม่สบายเป็นอย่างมากยังมีท่าทีของซือเจ๋อเยว่อีก ในดวงตาของนางมีเพียงเยียนเซียวหรานเท่านั้น ไม่มีเขาเลยแม้แต่น้อยความรู้สึกแบบนี้ทำให้ไป๋จื้อเซียนไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งเขารู้สึกไม่พอใจ จึงอยากจะทำร้ายชื่อปาเลี่ยอีกครั้งดวงตาของเขากวาดมองไปยังชื่อปาเลี่ย ชื่อปาเลี่ยได้หลบไปอยู่ที่ด้านหลังของซือเจ๋อเยว่อย่างรวดเร็ว “คุณชายไป๋จะทำร้ายข้า องค์หญิงช่วยด้วย!”ซือเจ๋อเยว่รู้ว่าไป๋จื้อเซียนมีนิสัยขี้โมโห เขาติดตามอยู่ข้าง ๆ พวกเขา ก็ไม่ต่างอะไรกับระเบิดเวลา ไม่รู้ว่าจะเบิดขึ้นเมื่อไหร่เพียงแต่หากปล่อยเขาไป วันข้างหน้าก็ไม่รู้ว่าเขาจะก่อเหตุวุ่นวายอะไรขึ้นอีกนางคิดว่า อย่างไรเสียก็ต้องคิดหาว
เขายิ้มแย้มพร้อมกล่าวกับเยียนเซียวหราน “ข้าพาเจ๋อเยว่นำไปก่อน พวกเจ้าสู้ ๆ ล่ะ”ซือเจ๋อเยว่ “...”เยียนเซียวหราน “...”ซือเจ๋อเยว่กล่าวด้วยความร้อนใจ “นี่ เจ้าพาพวกเขาไปด้วยกันสิ!”ไป๋จื้อเซียนกล่าวด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “สถานการณ์แบบนี้ไม่ฆ่าคนก็พาพวกเขาออกไปไม่ได้”“ก่อนหน้านี้ข้าเคยสาบานต่อสวรรค์ไว้ว่า ไม่สามารถลงมือฆ่าคนได้โดยไม่มีสาเหตุ ดังนั้น...”ซือเจ๋อเยว่หันหน้ามองเขา ในดวงตาที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ทั้งสองข้างของเขาแฝงไปด้วยหยอกเย้า ท่าทางเหมือนกับกำลังดูละครด้วยความสุขนางรู้ดีว่า เรื่องในวันนี้เขานั้นเจตนา!นางรู้ดีว่า คนที่ชั่วร้ายเช่นไป๋จื้อเซียนจะยอมร่วมมือกับพวกเขาได้อย่างไร?นางกล่าวด้วยความร้อนใจ “ปล่อยข้าลง! ข้าจะไปช่วยพวกเขา!”ไป๋จื้อเซียนยิ้มด้วยความร่าเริงพร้อมกล่าว “ตอนนี้ด้านล่างมีแต่คน ทั้งเจ้ายังไม่เป็นวรยุทธ์ หากลงไปจริง ๆ ก็รังแต่จะยิ่งอันตราย”“อีกอย่าง ขอเพียงเจ้าสงบ เยียนเซียวหรานก็จะไม่เป็นพะวง ก็สามารถแสดงความสามารถของเขาได้อย่างเต็มที่”“ข้าเชื่อ ด้วยความสามารถของเขา ต้องสามารถฝ่าวงล้อมออกไปได้แน่ ปลอดภัยหายห่วง” ซือเจ๋อเยว่ค้อนเขา เขากะพริบตาใส
เยียนเซียวหรานกวัดแกว่งกระบี่ในมืออย่างสุดแรง พยายามพาซือเจ๋อเยว่พุ่งตัวออกไปด้านนอกชื่อปาเลี่ยกลับด่าทออย่างบ้าคลั่งอยู่ตรงนั้น “ไอ้แม่งเอ๊ย ครั้งก่อนเกือบตายที่ด่านอวิ๋นหลิ่ง ครั้งนี้ยังจะมาอีก!”เขาพูดจบก็กล่าวกับซือเจ๋อเยว่อีก “องค์หญิง ค่ายกลนั่นของท่านเมื่อครั้งก่อน เอาออกมาใช้อีกครั้งได้หรือไม่?”ซือเจ๋อเยว่กล่าวอย่างอารมณ์ไม่ดี “เอามาใช้อีกครั้ง ข้าก็สามารถตายตรงนี้ต่อหน้าพวกเจ้าได้เลย!”ชื่อปาเลี่ย “...”เยียนเซียวหรานกล่าวเสียงขรึม “เลิกพูดจาไร้สาระได้แล้ว พุ่งไปข้างหน้าด้วยกันกับข้า”ซือเจ๋อเยว่ครุ่นคิด ครั้งนี้อยู่ภายในห้องปิดตาย จะอย่างไรก็ต้องพุ่งตัวเข้าไปหาก่อนดังนั้นนางจึงหยิบยันต์ออกมา ใช้คาถาเต๋าทำให้ระเบิด ภายในชั่วพริบตา ภายในห้องก็มีลมกระโชกแรงเกิดขึ้น พัดทหารยามพวกนั้นที่อยู่หน้าประตูลอยกระเด็นออกไปข้างนอกชื่อปาเลี่ยหลบไม่ทัน หัวจึงกระแทกพื้นเยียนเซียวหรานอยากจะจับเขาเอาไว้ แต่ลมแรงเกินไป จึงทำให้ไม่สามารถจับเขาได้เลยซือเจ๋อเยว่คว้าขาของชื่อปาเลี่ยเอาไว้แล้วกล่าว “รีบไป!”ชื่อปาเลี่ย “!!!!!!”เขาเองก็อยากจะหนีไปโดยเร็วเช่นกัน แต่ปัญหาคือลมทั้งรุนแ
สิ่งของที่อยู่ด้านในมองดูค่อนข้างสลับซับซ้อน กองกันเละเทะ ทันทีที่ดูก็รู้ว่าหลังจากถูกใครบางคนรื้อค้นจนเละเทะ ก็ไม่ได้จัดระเบียบใหม่ภายในห้องที่รกรุงรังแบบนี้ อยากจะตามหาสิ่งของที่พวกเขาอยากได้ เหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้หลังจากที่ซือเจ๋อเยว่กับเยียนเซียวหรานรื้อค้นรอบหนึ่ง ก็ไม่ได้อะไรแม้แต่อย่างเดียวทั้งสองคนสบตากันแวบหนึ่ง ก็เห็นความจนปัญญาจากดวงตาของอีกฝ่ายภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ราวกับว่าไม่มีความจำเป็นที่จะตามหาต่อไปแล้วในเวลานี้เอง เสียงของทหารยามก็ดังลอยมาจากหน้าประตู “ใครกัน?”ซือเจ๋อเยว่รีบเก็บไข่มุกราตรีลงไป ด้านในจึงกลับคืนสู่ความมืดอีกครั้งเนื่องจากเมื่อครู่นี้ทหารยามได้เห็น ‘การแสดง’ ของไป๋จื้อเซียน ภายในใจจึงหวาดกลัวเป็นอย่างมากแต่เพราะมีคำสั่งของนายพลที่เฝ้าด่าน เขาจึงไม่กล้าละทิ้งหน้าที่โดยพลการอีก จึงเรียกเพื่อนร่วมงาน ตั้งใจว่าจะจุดเทียนแล้วเข้าไปตรวจค้นด้านในตอนที่เขากำลังจะเปิดประตู ทหารยามคนนั้นก็หันหน้ากลับไปมอง ก็เห็นใบหน้าที่ชั่วร้ายของไป๋จื้อเซียน เสื้อผ้าสีแดงราวกับเลือดทหารยามไม่ได้รู้สึกตัวในทันที ยังถามว่า “เจ้าเป็นใคร?”ไป๋จื้อ