ตอนที่ 3
คำทำนาย ความฝัน
ยามนี้เฉินจินฮวาก้าวขึ้นรถม้าอย่างไม่ค่อยจะเข้าใจนัก หากถามว่าเหตุใดนางจึงเป็นเช่นนี้น่ะหรือ ก็คงจะต้องย้อนความไปเมื่อครึ่งเค่อก่อนหน้านี้ ที่จู่ ๆ ท่านนักพรตหญิงผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นและเดินผ่านฝูงชนจำนวนมากที่ลานหน้าอารามมาหยุดอยู่เบื้องหน้านาง พร้อมกับยื่นถุงผ้าสีเหลืองไร้ลวดลายใบหนึ่งให้นาง พร้อมกับกล่าวว่า ถุงผ้าใบนี้ เป็นนักพรตลู่อวี้มอบให้นาง
นางยังจำได้ดีว่าในขณะนั้นที่ลานของอารามที่เคยมีเสียงพูดคุยดังอยู่เล็กน้อยนั้นเงียบสนิทลงทันที ทุกสายตาจากทั่วทั้งสารทิศต่างจับจ้องมาที่นางเป็นตาเดียว
เวลานั้นเหมือนว่าผู้ที่มีสติที่สุดคงจะหนีไม่พ้นพี่รองของนาง เขาจัดการสักให้ผู้ติดตามรีบมายืนบังนางเอาไว้และรีบพานางและท่านแม่ลงมาจากอารามทันทีโดยที่แม้แต่มารดาของนางก็ยังไม่ได้มีโอกาสเอ่ยลาท่านป้าฟางดี ๆ เลยด้วยซ้ำ
พี่รองของนางคงกลัวว่าจะเกิดการจลาจลขึ้น จึงรีบพาพวกนางออกจากอาราม ซึ่งจากสายตาที่ผู้อื่นมองมายังนางในเวลานั้นก็เป็นไปได้ว่าอาจจะเกิดจลาจลขึ้นได้จริง ๆ
“ท่านแม่ ผู้คนรออยู่ตั้งมากมาย คำทำนายให้เพียงแค่คนคนเดียวจริงหรือขอรับ” ฟูหมิงเอ่ยถามมารดาตนทันที เมื่อรถม้าเริ่มเคลื่อนตัวตรงเข้าเมืองแล้ว
“ใช่แล้ว และคำทำนายอันล้ำค่านี้ก็เป็นน้องสาวเจ้าที่ได้ไป” นางเอ่ยตอบบุตรชาย สายตาก็จับจ้องไปยังบุตรสาวคนเล็กของตนที่ยามนี้นั่งนิ่งเหมือนกำลังงุนงงกับอะไรบางอย่าง ซึ่งนางรู้ดีว่าคือสิ่งใด
“จินเอ๋อร์ ลูกเป็นผู้ที่โชคดีที่สุดนะรู้หรือไม่” เฉินฮูหยินเอ่ยขึ้นพลางยิ้ม
นางไม่รู้หรอกว่าในถุงสีเหลืองที่นักพรตลู่อวี้มอบให้บุตรสาวนั้นคือสิ่งใด แต่นางมั่นใจว่าจะต้องเป็นของที่จะทำให้เฉินจินฮวาบุตรสาวของจากร้ายกลายเป็นดี จากดีอยู่แล้วยิ่งดีมากยิ่งขึ้นเป็นแน่
นอกจากถุงสีเหลืองแล้ว ยังมีกระดาษแผ่นหนึ่งที่ถูกยื่นมาให้พร้อมกันด้วย นักพรตหญิงกล่าวว่าให้นางทำตามที่เขียนเอาไว้ในกระดาษก่อนที่จะเปิดถุงสีเหลืองออกดูสิ่งที่อยู่ด้านใน
หลังจากที่อาหลัวช่วยนางเปลี่ยนชุดเสร็จแล้วนางจึงบอกให้อาหลัวกลับไปพักผ่อนที่ห้องพักของนาง ไม่ต้องอยู่ค่อยปรนนิบัตินางในคืนนี้
“คุณหนูรีบพักผ่อนนะเจ้าคะ พรุ่งนี้บ่าวจะรีบมารอรับใช้คุณหนูแต่เช้าเจ้าค่ะ” อาหลัวกล่าวกับคุณหนูของนาง
“พรุ่งนี้ข้าว่าจะตื่นสายสักหน่อย เจ้าไม่ต้องรีบมานัก หรอก นอนเพิ่มอีกสักหน่อยก็ได้”
“เจ้าค่ะคุณหนู เช่นนั้นบ่าวไปก่อนนะเจ้าคะ”
“เจ้าไปเถอะ”
เฉินจินฮวานั่งลงบนเตียงหลังจากที่อาหลัวสาวใช้คน สนิทของนางเดินออกไปจากห้องนอนแล้ว นางหยิบแผ่นกระดาษใบเล็กที่ถูกผับวางทับอยู่ใต้ถุงสีเหลืองที่ได้รับมา จากอารามในวันนี้ขึ้นมาเปิดอ่าน
ในกระดาษเขียนเอาไว้สองประโยค
อีกสองวันจึงค่อยเปิดถุงออกดูสิ่งที่อยู่ด้านใน
จงเก็บถุงสีเหลืองนี้ไว้ใต้หมอนของเจ้า
เฉินจินฮวาทำตามที่เขียนเอาไว้ในแผ่นกระดาษคือเก็บถุง สีเหลืองเอาไว้ใต้หมอนของนาง เพื่อรอที่จะเปิดดูภายในถุงในอีกสองวันข้างหน้า
สองวันข้างหน้างั้นหรือ เช่นนั้นก็เป็นวันเดียวกับวันที่พี่ใหญ่ของนางกลับมาเยี่ยมบ้านหลังจากแต่งงานพอดี เช่นนั้นใน วันนั้นนางก็จะได้ชวนท่านแม่และพี่ใหญ่ให้มาเปิดดูสิ่งที่อยู่ในถุงพร้อมกันกับนาง
รุ่งขึ้นช่วงสายของวันท่านป้าฟางกับฟางอันอันได้มาเยี่ยม เยียนที่จวนสกุลเฉินเรา
แน่นอนว่ามารดาของนางให้ความต้อนรับท่านป้าฟาง เป็นอย่างดี ยามนี้ท่านแม่ของนางและท่านป้าฟางนั่งสนทนากัน อยู่ที่ศาลาท้ายสวน โดยมีนางและอันอันร่วมฟังอยู่ด้วย
“สิบกว่าปีแล้วกระมังที่ข้าไม่ได้มาเยือนจวนของเจ้าเลย จวนสกุลเฉินแห่งนี้ช่างงดงามไม่เปลี่ยนแปลงเลยจริง ๆ “ ฟางฮูหยินเอ่ยชื่นชมออกมา นางมองทิวทัศน์รอบ ๆ อย่างหลงใหล
“จวนสกุลเฉินงดงามเพราะฮูหยินอย่างข้าดูแลได้เป็นอย่างดี เจ้าบ้านใส่ใจจวนย่อมงดงามเพิ่มขึ้นไม่แปรเปลี่ยน” เฉินฮูหยินเอ่ยอย่างภาคภูมิ นางกล่าวไปก็นั่งตัวตรงใบหน้าเชิดขึ้นเล็กน้อย
“เฉินฮูหยินไม่คิดจะถ่อมตนเลยอย่างนั้นหรือ” ฟางฮูหยินเอ่ยเย้าสหายเก่า
“ข้าจะมัวถ่อมตนได้อย่างไร คำชื่นชมน่ะเป็นคำที่ข้าค่อนข้างจะชื่นชอบเป็นอย่างมากเชี่ยวล่ะ”
“เสี่ยวจินเอ๋อร์เจ้าอย่าได้เอาแบบอย่างมารดาเจ้าเล่า เป็นสตรีไม่ควรแสดงออกรับคำชื่นชมมากมายเช่นที่นางทำ อันเอ๋อร์เจ้าก็ด้วยอย่าได้เรียนแบบท่านน้าของเจ้า” ฟางฮูหยินหันมาเอ่ยกับบุตรสาวของสหายสนิทและบุตรสาวของนางด้วยรอยยิ้ม
นั่งจิบชากันอยู่พักหนึ่งท่านแม่ของนางก็ให้นางพาอันอันไปเดินชมจวน เฉินจินฮวายิ้มอย่างยินดีและสองหญิงงามก็จับจูงกันเดินออกจากศาลารับลมไป
เมื่อเด็ก ๆ เดินออกไปไกลพอสมควรแล้ว ฟางฮูหยินจึงได้เอ่ยถามเรื่องที่นางรู้ว่ายามนี้เฉินฮูหยินสหายของนางก็แอบกังวลอยู่เล็กน้อยเช่นกันแต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากเล่า
“เจ้าเห็นคำทำนายที่เสี่ยวจินเอ๋อร์ได้รับมาแล้วหรือยัง”
“ข้ายังไม่เห็น จินเอ๋อร์นางบอกข้าว่าท่านนักพรตยังไม่ให้เปิดออกดู”
“ต้องรอเวลาเปิดด้วยหรือ?”
“ใช่แล้ว วันพรุ่งนี้จึงจะเปิดออกมาดูได้”
“พรุ่งนี้บุตรสาวคนโตของเจ้าก็จะกลับมาเยี่ยมบ้านมิใช่หรือ พรุ่งนี้นับเป็นวันดีเชื่อข้าสิ”
“ข้าก็หวังให้มีแต่เรื่องดี ๆ เรื่องมงคลในวันพรุ่งนี้เช่นกัน” เฉินฮูหยินกล่าวเสียงเบา สายตาของนางทอดมองไปยังบุตรสาวที่อยู่ไกลออกไปด้านนอกศาลารับลมด้วยใจที่ไม่ค่อยสงบนัก
เป็นอีกคืนหนึ่งที่เฉินจินฮวาไล่ให้อาหลัวกลับไปพักผ่อนตั้งแต่หัวค่ำ
นางเอื้อมมือไปหยิบถุงใบเรียบสีเหลืองที่ถูกสอดเอาไว้ใต้หมอนออกมา ก่อนจะทอดมองไปที่เจ้าถุงในมือนิ่ง ๆ
ที่นางนิ่งเฉยจดจ้องของในมือตนเช่นนี้เพราะไม่รู้ว่าเป็นเพราะเจ้าสิ่งนี้หรือไม่ที่ทำให้นางฝันประหลาดในเมื่อคืนนี้
ตลอดทั้งวันตั้งแต่รุ่งสางจวบจนกระทั่งฟ้ามืดนางเลือกที่จะไม่คิดเอาความฝันเมื่อคืนของตนเก็บมาคิดให้กังวลใจ
แต่ยิ่งพยายามไม่คิดก็ยิ่งนึกถึง นางทำตัวปกติไม่ได้เอ่ยเล่าเรื่องในความฝันให้ใครได้ฟัง แม้แต่ท่านแม่หรืออาหลัวนางก็ไม่ได้เอ่ยออกไป
เฉินจินฮวานั้นไม่อยากให้ผู้ใดกังวลไปกลับนาง จึงคิดอยากพิสูจน์ให้แน่ชัดว่าหากคืนนี้นางหนุนหมอนที่มีถุงใบนี้อยู่ใต้หมอนอีกคืนแล้วนางจะฝันร้ายอีกหรือไม่
นางสอดถุงใบนั้นเอาไว้ใต้หมอนเช่นเดิมก่อนที่นางจะเอนตัวลงนอนหนุนหมอนใบนี้อีกครั้ง ผ่านไปไม่นานตัวนางจึงได้ล่วงเข้าสู่นิทราอีกครั้ง
นี่นางกำลังฝันอีกแล้วอย่างนั้นหรือ...
ทุกอย่างตรงหน้านางล้วนแล้วแต่เป็นภาพขุ่นมัวไปหมดไม่ว่าจะมองสำรวจไปทางใดก็พบเพียงกลุ่มควันปกคลุมไปทั่วจนทำให้มองเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ไม่ชัดเจน ทว่านางก็รับรู้ได้ว่าข้าวของและห้องที่นางเห็นอยู่ในขณะนี้คือห้องที่นางในชีวิตจริงไม่เคยพบเห็นมาก่อน
แต่มีสิ่งหนึ่งที่นางมั่นใจนัก ก็คือสตรีที่กำลังกรีดร้องอยู่บนพื้นที่เต็มไปด้วยเลือดคือตัวนางแน่ ๆ
“ช่วยด้วย ข้าอยู่นี่ ช่วยข้าด้วย...”
เสียงร้องอย่างเจ็บปวดนั้นดังออกมาจากปากของนางอีกคนอย่างยากลำบาก เฉินจินฮวามองร่างของนางที่ค่อย ๆ หมดลมหายใจลงต่อหน้าอย่างสลดใจ นางพยายามจะเข้าไปประคองร่างของตนแต่ก็ทำไม่ได้ เพราะไม่อาจสัมผัสสิ่งใดได้เลย
ร่างของนางในฝันยามนี้หมดสติไปแล้ว อาจเป็นเพราะเสียเลือดไปมาก ลมหายใจที่มีเหลือในตอนนี้คงไม่อาจจะเพียงพอต่อการมีชีวิตรอดไปได้อีกแล้ว เพียงไม่กี่อึดใจนางคงจะสิ้นใจตายลงอย่างแน่นอน
จบชีวิตด้วยความทรมานเช่นนี้คงจะยังไม่สาแก่ใจผู้ที่ทำร้ายนางกระมัง จึงได้ตั้งใจจุดไฟเผาห้องที่นางอยู่ด้วย
เฉินจินฮวาได้แต่มองภาพฝันเบื้องหน้าด้วยใจหวาดกลัวแค้นเคืองและเจ็บปวด
ผู้ใดกัน ผู้ใดที่ทำร้ายนางจนสิ้นลม ซ้ำเมื่อสิ้นลมแล้วแม้แต่ศพที่สมบูรณ์ยังไม่ย่อมให้นางได้มี
เวลานี้นางตื่นขึ้นมาจากฝันร้ายอันน่าเจ็บปวดแล้ว ร่างบางยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียงกว้างไม่ได้ขยับไปไหน เพียงปล่อยให้น้ำตารินไหลออกมาอย่างเงียบ ๆ
ในฝันนั้นนางสิ้นลมอย่างเจ็บปวด ความเจ็บปวดนั้นเหมือน มิใช่เพียงความฝัน นางรับรู้ความรู้สึกเคียดแค้นใจของตนก่อนสิ้นใจ ได้เป็นอย่างดี
นางรับรู้ได้ว่าความฝันนี้อาจจะเป็นสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นกับ นางในอนาคต อาจเป็นเพราะอะไรบางอย่างที่ทำให้นางฝันเห็น เหตุการณ์ก่อนหน้า
อาจจะเป็นสิ่งใดบางอย่างที่ทำให้นางรู้ว่าต้องระแวดระวัง
ความฝันนี้คือสิ่งที่กำลังเตือนนาง ให้ระวังและให้หยุดยั้งความตายที่น่าจะมารออยู่ไม่ไกลนักให้ได้
แสงแรกของวันสว่างลอดเข้ามาภายในห้องนอนของนางแล้ว
เฉินจินฮวาลุกขึ้นนั่งตัวตรงบนเตียงนอน ก่อนจะสอดมือเข้าไปหยิบถุงสีเหลืองออกมาถือเอาไว้ในมือ
นางมองถุงในมือนิ่ง ๆ ก่อนจะเปิดมันออก โดยล้มเลิกความตั้งใจที่จะเปิดออกดูพร้อมกันกับท่านแม่และพี่ใหญ่ของนางในวันนี้
เพราะกลัวสิ่งที่อยู่ในถุงนี้จะทำให้ท่านแม่และคนอื่น ๆ เป็นกังวลและเป็นทุกข์ไปด้วยกันกับนาง ไม่สู้นางรับรู้เพียงคนเดียวก็พอแล้ว
เช่นนั้นย่อมไม่ทำให้ผู้อื่นต้องเป็นกังวลไปกับนางด้วย คิดได้ เช่นนั้น นางจึงลงมือเปิดถุงใบเล็กออกมาดูในทันที
กระดาษ เป็นกระดาษใบเล็กอีกใบหนึ่งที่ถูกม้วนและมัดปม เอาไว้ด้วยด้ายสีแดง
นางค่อย ๆ ดึงด้ายแดงออกแล้วจึงคลี่กระดาษแผ่นเล็กออกมาดูสิ่งที่เขียนเอาไว้บนนั้น
'ฝันร้ายกลายเป็นจริง มีภัยถึงชีวิต'
ตอนที่ 4ความกังวลใจนางคิดถูกแล้วที่ไม่รอเปิดถุงคำทำนายพร้อมกับท่านแม่และพี่ใหญ่ หลังจากเก็บกระดาษทำนายใส่ถุงตามเดิมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ประจวบเหมาะกับที่อาหลัวมาถึงพอดี“คุณหนู ตื่นหรือยังเจ้าคะ บ่าวขอเข้าไปนะเจ้าคะ” เสียงของอาหลัวดังขึ้นอยู่ที่ห้องด้านหน้าก่อนที่เจ้าตัวจะค่อย ๆ เดินเข้ามาในห้องด้านในซึ่งก็คือส่วนของห้องนอนของนาง“ข้าตื่นแล้ว อาหลัวเจ้าเข้ามาเถอะ” นางเอ่ยตอบสาวใช้คนสนิท ก่อนจะปรับสีหน้าจากเดิมที่เคยเคร่งเครียด เป็นสีหน้าสบาย ๆ แทนอาหลัวช่วยนางจัดการล้างหน้าผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า วันนี้เป็นวันสำคัญที่พี่ใหญ่ของนางจะกลับมาเยี่ยมบ้านหลังจากแต่งงาน นางจึงต้องแต่งตัวให้มีสีสันเสียหน่อยเพื่อที่จะได้เป็นมงคลต่อพี่ใหญ่ของนางอาหลัวช่วยนางเลือกชุดสีสีส้มคลุมทับด้วยเสื้อปักลายดอกไม้ด้วยด้ายสีขาวผูกทับด้วยผ้าคาดเอวสีผ้าอ่อน ส่วนผมของนางนั้นด้านหน้าถูกรวบขึ้นสูงม้วนขึ้นขดเป็นเกลียวนูนอย่างประณีต ผมด้านหลังถูกหวีอย่างเป็นระเบียบปล่อยปลายผมยาวตรงถึงเอวเล็กปิ่นระย้าชิ้นหนึ่งซึ่งเป็นปิ่นดอกไม้เช่นเดียวกันกับลายบนชุดของนางถูกเลือกขึ้นมาใช้ปักประดับผมของนางพร้อมกับต่างหูที่เข้าคู่กัน
ตอนที่ 5ราชโองการที่ไม่คาดคิด“ท่านปู่ ท่านพ่อ ขนมกับน้ำชาเจ้าค่ะ” เฉินจินฮวาเอ่ยขึ้น ก่อนที่นางจะรินน้ำชาด้วยตัวเองแล้วจึงยื่นไปให้ท่านปู่และท่านพ่อของตน“ชาดี ดื่มแล้วสดชื่นนัก” ท่านพ่อเอ่ยชม“ลูกชายเจ้ากล่าวผิดแล้ว ชาดีดื่มแล้วสดชื่นกว่าทุกครั้งเป็นเพราะหลานสาวคนเล็กของข้า จินเอ๋อร์เป็นผู้รินให้ด้วยตัวเองต่างหาก” เฉินไท่เว่ยกล่าวขึ้น“ท่านปู่เอ่ยเช่นนี้ หากข้าเป็นคนรินให้ท่าน ชาก็จะพิเศษเช่นกันใช่หรือไม่เจ้าคะ” พี่ใหญ่ของนางเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ข้างกายนาง“หลานสาวสองคนใครรินให้ก็รสชาติดีกว่าเดิมแน่อยู่แล้วล่ะ” ผู้เป็นปู่ผู้รักหลานสาวมากล่าวอย่างเอ็นดู “แล้วถ้าหากข้าเป็นคนรินให้เล่าขอรับท่านปู่” คราวนี้เป็นพี่รองนางที่เอ่ยขึ้นบาง เขาไม่เพียงเอ่ยยังเอื้อมมือมาหยิบกาน้ำชามาเติมให้ท่านปู่และท่านพ่อเพิ่มอีก“ชาดี กลายเป็นชาขมอย่างไม่ต้องสงสัย” ผู้เฒ่าเฉินพูดก่อนจะเทชาในถ้วยที่ถูกรินให้โดยหลานชายทิ้งในทันที“เสียบรรยากาศจริง ฟูหมิงเจ้าฝึกดาบฝึกกระบี่ก็ดีอยู่แล้วอย่ามาทำลายอารมณ์สุนทรีย์ของข้ากับปู่เจ้าเลย”หลานชายสายหลักเพียงคนเดียวถูกไล่อย่างไม่ไว้หน้าเลยทีเดียวเฉินฮูหยินเมื่อ
ตอนที่ 6เตรียมตัวเข้าสู่ตำหนักบูรพา“ทูลองค์ไท่จื่อ ฝ่าบาทมีราชโองการแต่งตั้ง เช่อเฟยให้พระองค์อีกผู้หนึ่งแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ฝูกงกง ผู้ดูแลรับใช้ใกล้ชิดมาตั้งแต่ยังเยาว์เอ่ยรายงาน“คราวนี้เป็นสตรีจากสกุลใด” เจ้าของเสียงทรงอำนาจตรัสถามขึ้น ใบหน้าหล่อเหลายังคงนิ่งเรียบเฉยไม่แสดงสีหน้าใด ๆ “สตรีจากสกุลเฉิน หลานสาวคนเล็กของท่านเฉินไท่เว่ยพ่ะย่ะค่ะ”“คิดเอาไว้ไม่ผิด ว่าต้องเป็นสตรีจากสกุลเฉิน” โม่หลงอวี้ตรัส เสด็จพ่อของพระองค์ตั้งใจแต่งตั้งเช่อเฟยเข้ามาทีละคน ๆ จากสามสกุลใหญ่ที่ทรงอำนาจในราชสำนัก เช่อเฟยคนแรกที่ทรงแต่งตั้งให้ เมื่อต้นปีคือคนจากสกุลหมิง เช่อเฟยคนที่สองก็มาจากสกุลสวี เพราะฉะนั้น เช่อเฟยคนที่สามนี้ย่อมต้องมาจากสกุลเฉินอย่างแน่นอน ฝ่าบาททรงตั้งพระทัยแต่แรกแล้วว่าจะส่งพวกนางเข้ามาในตำหนักบูรพาแห่งนี้ เพื่อเริ่มการคานอำนาจกันและกันของพวกนางในภายหน้าและดูท่าทีของแต่ละสกุลด้วยแต่งตั้งหมิงเช่อเฟยเป็นคนแรก เพราะต้องการตรึงอำนาจขุนนางในราชสำนัก ต่อมาแต่งตั้งสวีเช่อเฟยเพราะต้องการตรึงอำนาจเหล่าบัณฑิต คราวนี้ตั้งเฉินเช่อเฟยเพราะต้องการตรึงอำนาจทหารจากจวนแม่ทัพใหญ่ในวังมีสนมกุ้ยผิน จ
ตอนที่ 7อิสระสุดท้ายตั้งแต่วันที่ได้รับพระราชโองการแต่งตั้งเป็นเช่อเฟย ชายารองในองค์ไท่จื่อ จวนเฉินไท่เว่ยนั้นมีผู้คนเข้าออกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นคนจากวังหลวงหรือว่าเป็นคนจากตำหนักบูรพาผู้คนเหล่านี้ล้วนเข้ามาหานางเพื่อจัดการเรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นชุดมงคลที่นางจะต้องสวมใส่ในวันที่เข้าสู่ตำหนักบูรพา และชุดที่ต้องตัดใหม่เพื่อสวมใส่ให้สมกับตำแหน่งเช่อเฟยมีนางกำนัลอาวุโสและนางกำนัลรับใช้รวมแล้วหกคนถูกพระสนมฉุนหวงกุ้ยเฟยรับสั่งให้มาสอนมารยาทและข้อควรรู้บางอย่างเกี่ยวกับราชวงศ์แก่นางเพิ่มเติม ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เฉินจินฮวาจะต้องเรียนรู้เพิ่มเติมจริง ๆเพราะว่าถึงสกุลเฉินจะมีหน้ามีตา เป็นสกุลขุนนางใหญ่มีชื่อเสียงแต่ก็ไม่ใช่ราชวงศ์ ซึ่งแน่นอนว่าย่อมมีการปฏิบัติที่ต่างกันและละเอียดอ่อนในบางเรื่อง การเรียนรู้ข้อควรระวังและปฏิบัติเอาไว้ก่อนเป็นการดีต่อนางเองด้วยหลังจากช่วงเช้าที่นางเรียนกับเชามามานางกำนัลอาวุโส (มามา คือ คำเรียกนางกำนัลอาวุโส) เสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงได้ชวนพี่รองของนางแอบออกไปเดินเที่ยวที่ตลาดในช่วงเย็นของวันที่ว่าแอบออกมาก็คือแอบออกมาจริง ๆ นางกับผู้เป็นพี่ชายนั้นพากันโดดข้
ตอนที่ 8นักฆ่าสาวชุดขาว คือข้า?ยามนี้เจ้าของใบหน้างามที่มีผ้าคาดปกปิดใบหน้าอยู่นั้น กำลังก้มลงพยายามเลือกหยิบของที่พี่ชายของนางได้โยนทิ้ง เอาไว้ก่อนขึ้นมาถือให้ได้มากที่สุด อ่า ทั้ง ๆ ที่เมื่อครู่พี่รองของนางสามารถหอบหิ้วมาได้ อย่างสบายแท้ ๆ แต่นางกลับทำไม่ได้ จากของทั้งหมดเต็มนางหอบหิ้วเต็มที่ด้วยความสามารถของตนก็ได้เพียงแค่หนึ่งในสาม ส่วนเท่านั้น ทำเช่นไรดีเล่าหรือว่าจะต้องเลือกทิ้งของเช่นนั้นหรือ น่า เสียดายแย่เลยหากต้องทำเช่นนี้ เมื่อครู่พี่ชายให้นางล่วงหน้ากลับไปก่อนเห็นทีจะไม่อาจ ทำตามได้แล้ว ในเมื่อความเสียดายของเกินกว่าจะตัดใจ ทำให้หญิงสาวตัดสิ้นใจจะยืนคอยพี่ชายนางอยู่ที่จุดเดิมแทนเฉินจินฮวานั้นเปิดห่อขนมแป้งปั้นขึ้นมาหยิบทานเพื่อฆ่าเวลาไม่นานพี่รองของนางก็เดินกลับมาพร้อมกับประคองแม่นางผู้หนึ่งที่ดูคุ้นตานางกลับมาด้วย“เจ้า คือแม่นางที่ร้านน้ำชาไม่ใช่หรือ เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า กัน” นางเอ่ยถามพลางเดินไปประคองแม่นางแทนพี่รองของตนสภาพของนางไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ผมเผ้าหลุดลุ่ย เสื้อผ้า ที่นางสวมใส่อาจจะมีสภาพไม่ต่างกันนักเพราะว่ามันถูกปกปิดเอาไว้ด้วยเสื้อคลุมสีดำตัวยาม
ตอนที่ 9ภรรยาที่ยังไม่ได้เข้าหอ“กระหม่อมเฉินฟูหมิงถวายพระพรองค์ไท่จื่อพ่ะย่ะค่ะ”“หม่อมฉันเฉินจินฮวาถวายพระพรองค์ไท่จื่อเพคะ” นางและพี่ชายทำความเคารพทันทีเมื่อรู้แล้วว่าบุรุษที่เปี่ยมไปด้วยท่าทางทรงอำนาจนั้นที่แท้ก็คือองค์ไท่จื่อ ผู้ที่ทั้งแคว้นนั้นนอกจากฝ่าบาทแล้วก็ไม่มีใครเหนือกว่าพระองค์อีก“รองแม่ทัพเฉินไม่ต้องมากพิธี เช่อเฟยของข้าเจ้าเองก็ไม่ต้องมากพิธีเช่นกันทำตัวสบาย ๆ เถิด” เจ้าของเสียงทรงอำนาจเอ่ยขึ้นอย่างใจดี ทว่าน้ำเสียงของพระองค์กับไม่ได้ผ่อนคลายเช่นนั้น ฟังแล้วคล้ายกับว่าเพียงแค่ตรัสเป็นพิธีเท่านั้น “ส่วนพวกเจ้ากำลังไล่ตามมือสังหารอยู่ก็จงไล่ตามไปต่อเถอะ” พระองค์รับสั่งโดยไม่ได้หันไปทอดพระเนตรทางกลุ่มชายชุดดำเลยทว่าเพียงพระองค์ทรงตรัส เหล่าชายชุดดำที่นางและพี่รองใช้เวลาอยู่นางในการเจรจาเกลี้ยกล่อม“หม่อมฉันกับพี่ชายไฉนเลยจะกล้าเสียมารยาทต่อพระองค์กันเพคะ” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ สายตาจับจ้องเพียงแค่ที่พื้นดินเบื้องหน้าที่องค์ไท่จื่อเท่านั้น นางไม่แม้แต่จะลอบมองดูพระพักตร์ของพระองค์แม้แต่หางตา“เจ้ากับข้าไม่ถือว่าเป็นคนอื่นคนใกล้ ภรรยาที่ยังไม่เข้า หอของข้าเจ้าไม่จำเ
ตอนที่ 10ตำหนักบูรพาวันนี้เป็นอีกวันที่ ณ จวนสกุลเฉินตกแต่งไปด้วยผ้าแดงและกระดาษมงคลทั่วทั้งจวน เกี้ยวรับเจ้าสาวขนาดแปดคนหามพร้อมด้วยขบวนรับเจ้าสาวนั้นก็รอท่าอยู่ที่หน้าจวนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะขาดก็แค่ผู้ที่ขบวนมารอนั้นยังไม่ได้ก้าวเท้าออกมาจากประตูจวนการที่มีราชโองการแต่งตั้งบุตรสาวคนเล็ก เฉินจินฮวา เป็นเฉินเช่อเฟยในรัชทายาทนั้นไม่มีผู้ใดในเมืองหลวงยังไม่ทราบ ขุนนางน้อยใหญ่ต่างส่งของขวัญแสดงความยินดีมาให้สกุลเฉินไม่ขาดสายที่ได้เกี่ยวดองกับเชื้อพระวงศ์แม้ราชโองการแต่งตั้งจะไม่ได้แต่งตั้งในตำแหน่งไท่จื่อเฟยทว่า ตำแหน่งชายารองในเวลานี้ถือว่าสูงนัก เพราะตำแหน่งไท่จื่อเฟยแห่งตำหนักบูรพานั้นยังเว้นว่างอยู่ และใคร ๆ ก็ต่างรู้ว่าเช่อเฟยที่ได้รับแต่งตั้งสองคนก่อนหน้านี้ไม่ค่อยเป็นที่พอพระทัยองค์ไท่จื่อนักผู้คนในเมืองไม่ว่าจะเป็นเหล่าขุนนางหรือชาวเมืองต่างก็พากันจับจ้องมาที่เช่อเฟยคนใหม่อย่างใส่ใจเป็นอย่างยิ่งถึงขั้นที่บ่อนการพนันในเมืองหลายแห่งก็ยังเปิดให้พนันกันว่าเฉินเช่อเฟยคนใหม่นี้จะเป็นที่โปรดปรานหรือไม่แน่นอนว่าเสียงพนันส่วนใหญ่ล้วนลงฝั่งที่จะไม่เป็นที่โปรดปรานไปมากกว่าครึ่ง“อง
ตอนที่ 11แสร้งปล่อยเพื่อจับ?ภายในห้องหอยามนี้มีเพียงแสงสว่างเล็กน้อยจากเทียนมงคลที่ตั้งอยู่ที่โต๊ะกลางห้องหอเพียงเท่านั้นม่านมุ้งแพรสีแดงมงคลหรูสำหรับใช้กั้นที่เตียงนอนถูกกลางออกจนทำให้ไม่สามารถมองเห็นทะลุผ่านเข้าไปด้านในเตียงได้ โม่หลงอวี้เอื้อมพระหัตถ์เลิกม่านกั้นมุ้งออกเล็กน้อย ถึงได้พบว่ายามนี้มีสตรีผู้หนึ่งกำลังนอนหลับสบายอยู่บนเตียง มิหนำซ้ำนางยังนอนทั้งที่มีผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวสีแดงสดคลุมอยู่ เสียด้วยทั่วแคว้นเป่ยซีคงจะมีเพียงเฉินจินฮวา ชายารองผู้นี้ของพระองค์เท่านั้นที่กล้าทำเช่นนี้ หากเป็นสตรีอื่นพระองค์มั่นใจ เป็นอย่างยิ่งว่าอย่างไรก็ไม่มีทางหลับลงในคืนเข้าหอเช่นนี้ที่เจ้าบ่าวยังทันทีจะเปิดผ้าคลุมหน้าให้แน่ยิ่งกว่านั้นผู้ที่นางแต่งด้วยคือเขาที่มีศักดิเป็นถึงไท่จื่อรัชทายาทที่ถูกแต่งตั้งอย่างถูกต้อง มากไปด้วยอำนาจวาสนาอันยิ่งใหญ่ คืนเขาหออันสำคัญเช่นนี้นางยังกล้านอนหลับได้ลงคอดูท่าแล้วเห็นทีว่าสตรีผู้นี้ก็ไม่ได้ยินดียินร้ายกับการที่ต้องเข้ามาเป็นชายารองของเขาเลยแม้แต่น้อย ครั้งที่ได้พบนางเมื่อหลายวันก่อนพระองค์ยังทรงคิดว่าอาจเป็นเพราะนางตั้งใจรักษากิริยาท่าทางเพื่อให้ดูดี
ตอนพิเศษ วังหลวงอันสุขสงบในปีที่สามหลังจากฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ ทรงมีราชโองการให้ยกเลิกการคัดเลือกพระสนม โดยทรงให้เหตุผลต่อเหล่าขุนนางในราชสำนักว่าการคัดเลือกพระสนมและการมีพระสนมมากเกินไปจะเป็นการสิ้นเปลืองอีกทั้งพระองค์อยากตั้งใจบริหารบ้านเมืองมากกว่าสนใจเรื่องของสตรีมากมายในวังหลังแม้เหล่าขุนนางส่วนมากจะไม่ค่อยเห็นด้วยกับการที่ทรงต้องการยกเลิกการคัดเลือกพระสนมแต่ไม่สามารถขัดต่อฮ่องเต้ได้ เพราะเรื่องผู้สืบทอดสายเลือดมังกรยามนี้ก็ทรงมีองค์ชายถึงสองพระองค์ และองค์หญิงหนึ่งพระองค์ที่ประสูติจากพระครรภ์ของฮองเฮา ถือเป็นสายพระโลหิตสายตรงที่ล้ำค่าวังหลังยามนี้นอกจากพระสนมในฮ่องเต้องค์ก่อนที่อยู่ภายใต้การดูแลของฉุนหวงกุ้ยไท่เฟย แล้วนั้นสนมในฮ่องเต้โม่หลงอวี้ก็นับแล้วไม่เกินหกคนชิงอีจินฮองเฮา จากสกุลเฉินหมิงกุ้ยเฟย จากสกุลหมิง (หมิงเช่อเฟย)สวีผิน จากสกุลสวี (สวีเช่อเฟย)มู่กุ้ยเหริน ฉวีกุ้ยเหริน (หรูจื่อจากตำหนักบูรพา)หม่าฉางจ้าย อี้ฉางจ้าย (หรูจื่อจากตำหนักบูรพา)สตรีอื่นในวังแม้จะอยู่ในสถานะพระสนมของฝ่าบาทแต่ผู้ที่ได้รับใช้พระองค์จริง ๆ กลับมีเพียงเฉินฮองเฮาเท่านั
ตอนที่ 54 ทุกอย่างคลี่คลาย หนึ่งเดือนผ่านไปเรื่องราวทั้งหมดคลี่คลายแล้ว องค์ไท่จื่อเล่า เรื่องราวทั้งหมดให้นางฟังรวมไปถึงจุดจบของเฮ่อหลินจือและเฮ่อหลูเค่อ รวมไปถึงหัวหน้าเผ่าต้าเหอที่ท่านพ่อของนางเป็นคนไปจัดการ เผ่าต้าเหอตอนนี้กลายมาเป็นพื้นที่ครอบครองของแคว้นเป่ยซี เต็มตัวแล้ว ยามนี้รอแต่งตั้งอ๋องเพื่อไปปกครองเมื่อ ระหว่างรอฝ่าบาทพิจารณาผู้ที่เหมาะสมท่านพ่อของนางจะเป็นผู้ดูแลความสงบที่นั่นไปก่อนหมิงเช่อเฟยตั้งแต่องค์ไท่จื่อให้เสด็จออกไปยังที่ปลอดภัยก็ยัง แวะท่องเที่ยวไม่ยอมกลับมาเสียที อาจูที่ติดตามไปด้วยก็พลอยยังไม่ได้กลับมาด้วยกันส่วนสวีเช่อเฟยนั้นเคยเก็บตัวเงียบอยู่ในตำหนักอย่างไรก็เป็น เช่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลงส่วนตัวนางเองก็ได้เปิดใจกับองค์ไท่จื่อไปทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเรื่องความฝันบอกเหตุหรือคำทำนายที่ได้รับ และเหตุผลว่าทำไม นางถึงไม่อยากจะมีครรภ์กับพระองค์ในเวลานั้นพระองค์รับฟังนางทุกเรื่องอย่างไม่เร่งรัดสรุปตัดความ ทรง เปิดใจให้นางได้เปิดเผยทุกอย่างในใจมีเรื่องหนึ่งที่นางถึงขั้นอึ้งหนักไปเลยนั่นคือเรื่องของนักพรต ลู่อวี้แห่งอารามโต้เทียน“ดูเหมือนนักพรตลู่อวี้ที่ชายารักกล
ตอนที่ 53 เป็นไปตามแผนวันนี้คือวันที่ถูกกำหนดเอาไว้ให้ทำการใหญ่ องค์ไท่จื่อและเฮ่อหลูเค่อรวมไปถึงหน่วยกล้าตายมากฝีมือลอบเข้าวังหลวงได้อย่างง่ายดาย เป็นเพราะองค์ไท่จื่อได้ผลัดเปลี่ยนเวรยามภายในวังหลวงก่อนหน้านี้เรียบร้อยแล้วในที่สุดก็สามารถเข้ามาถึงห้องทรงอักษรของฮ่องเต้โม่หลงเซียวได้อย่างง่ายดาย ตามทางที่มีเหล่าขันทีและนางกำนัลเฝ้าอยู่ตอนนี้มีเพียงแค่ร่างที่ไม่รู้สึกตัวนอนหมดสติอยู่ตามพื้นเช่นเดียวกันกับเหล่าองครักษ์ประจำวังหลวง“องค์ไท่จื่อลงมือได้อย่างรวดเร็ว พวกเขาไม่ต้องเสียทั้งแรงและเวลาไปเปล่า ๆ” เฮ่อหลูเค่อเอ่ยขึ้นหลังจากถอดผ้าคลุมหน้าของตนออกเมื่อเข้ามาถึงห้องทรงพระอักษรด้านในแล้วหน่วยกล้าตายถูกสั่งให้เฝ้าอยู่ด้านนอกห้าคน และตามเขากับองค์ไท่จื่อเข้ามาอีกห้าคน“สิ่งที่ข้าลงมือทำด้วยตัวเองแน่นอนว่าย่อมต้องไร้ที่ติ” ไท่จื่อหนุ่มกล่าวก่อนจะเป็นผู้เปิดประตูบานสุดท้ายที่จะนำพาพระองค์ไปหาผู้เป็นเสด็จพ่อของพระองค์ที่ทรงประทับอยู่ห้องด้านในเมื่อประตูบานสุดท้ายเปิดออกก็พบกับผู้เป็นฮ่องเต้แห่งแคว้นเป่ยซีทรงประทับอยู่บนแท่นพระที่นั่งด้วยท่าทีทรงอำนาจ สายพระเนตรทอดมองเหล่าผู้มาใหม่ด้ว
ตอนที่ 52กำจัดเสี้ยนหนามตอนนี้ไม่ว่าเรื่องใดที่เกิดขึ้นภายในตำหนักบูรพาก็ไม่มีสิ่งใดที่เฮ่อหลินจือไม่รู้ เรื่องที่อี้กงกงขันทีคนสนิทของฝ่าบาทมาทำไมที่ตำหนักบูรพาก็เช่นเดียวกันนางรู้สึกพอใจอยู่ลึก ๆ ที่สตรีแซ่เฉินผู้นั้นกำลังตกอยู่ในความมืดมิด เช่นนั้นหากนางจะเป็นผู้ช่วยปลดปล่อยสตรีแซ่เฉินผู้นั้นให้ได้พบเจอกับความสงบตลอดไปจะดีแค่ไหนกันนะ“น่าน่านักฆ่าที่เราเรียกใช้ได้ตอนนี้มีอยู่เท่าไร่หรือ”“ราว ๆ เกือบสามสิบคนเจ้าค่ะ”“จำนวนไม่น้อยเลยนี้ มากเพียงพอที่จะกำลังสตรีนางหนึ่ง ไม่สิมากเกินไปด้วยกระมัง” นางเอ่ยออกมาอย่างอารมณ์ดี“น่าน่ารับคำสั่งข้าเรียกให้นักฆ่าทั้งหมดที่เรามีตามไปกำลังสตรีแซ่เฉินผู้อวดดีให้ข้า” หญิงสาวเอ่ยสั่งออกมาเสียงเย็นรถม้าคันใหญ่เร่งมุ่งหน้าลงใต้ด้วยความเร็ว ยามนี้แม้รถม้าจะเร็วเพียงใดแต่จิตใจของคนในรถม้ากลับเร็วกว่าใจของพวกเขาลอยไปถึงหุบเขาทางใต้ที่ท่านพ่ออยู่นานแล้ว“ท่านแม่ ท่านพี่เป็นแม่ทัพกล้าเสมอมา กี่ร้อยสนามรบไม่ว่าเล็กใหญ่ล้วนผ่านมาได้ ครั้งนี้ท่านพ่อก็จะต้องรอดชีวิตได้อีกแน่” เฉินฟูหมิงเอ่ยบอกท่านแม่ที่อยู่ในอ้อมกอดของตนในยามนี้“แต่อี้กงกงกล่าวว่าพ่อเจ้
ตอนที่ 51เรื่องราวในอดีต ทั่วทั้งวังหลวงไม่มีผู้ใดไม่ได้ยินเรื่องที่ฝ่าบาททรงกริ้วองค์ไท่จื่อหนักถึงขั้นต่อว่าอย่างรุนแรงในระหว่างการประชุมราชการในช่วงเช้าที่ผ่านมาต่อหน้าขุนนางทั้งราชสำนักภายในวังหลวงมีผู้ใดไม่รู้บ้างว่าแท้จริงแล้วองค์ไท่จื่อกับฝ่าบาทต่างก็มีความเนินห่างกันอยู่ องค์ไท่จื่อโม่หลงอวี้ผู้นี้หัวรั้นจนเกินไปจนมักจะเกิดการโต้แย้งกันอยู่เสมอฟังจากที่เหล่าข้ารับใช้ในวังหลวงเล่าต่อกันมาว่าหากองค์ไท่จื่อไม่ได้เป็นพระโอรสองค์โตที่ประสูติแก่ฮองเฮาพระองค์ก่อนที่ด่วนสิ้นพระชนม์ไปฝ่าบาทก็คงไม่ทรงไว้หน้าไท่จื่อผู้นี้แล้วก็คงมีรับสั่งให้ปลดออกจากตำแหน่งหวงไท่จื่อนานแล้วภายในวังหลวงและเหล่าขุนนางต่างแอบพูดคุยกันถึงเรื่องนี้อยู่บางอย่างลับ ๆ ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีผู้ใดจะกล้าผู้ออกมาอย่างเปิดเผย แต่ถึงอย่างนั้นเหล่าขุนนางก็เริ่มคิดแผนการเอาไว้หลายทางมากขึ้นเผื่อว่าอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคตอันใกล้ พวกเขาอาจต้องเลือกระหว่างองค์ชายรองและองค์ชายสาม แน่นอนว่าองค์ชายรองซึ่งเกิดจากพระสนมชิงเฟยดูเหมือนจะเป็นตัวเลือกแรกที่ถูกนึกถึงแต่ถึงแม้หากจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงผู้ดำรงตำแหน่งหวงไท่จื่ออ
ตอนที่ 50ใจจริงของเจ้าสามวันสามคืนแล้วที่องค์ไท่จื่อไม่ได้เสด็จมาหานางที่ตำหนักทิศประจิม อีกทั้งไม่มีฝูกงกงหรือผู้ใดมาแจ้งเลยว่าเหตุใดถึงไม่ทรงเสด็จมาซึ่งผิดไปจากปกติเป็นอย่างมากเพราะพระองค์ไม่เคยไม่เสด็จมาหานางนานถึงเพียงนี้นางไม่ได้ให้อาจูไปสอบถามที่ตำหนักหลักตรงๆ เพราะกลัวที่จะเสียหน้าจึงได้สั่งให้อาจูไปแอบสืบจากองครักษ์เฝ้าประตูเงียบ ๆ ถึงได้ความมาว่าองค์ไท่จื่อเสด็จกลับมาที่ตำหนักบูรพาทุกวัน เพียงแต่เสด็จวังหลวงแต่เช้ากว่าเดิม และเสด็จกลับมาดึกด้วยทุกคืนช่วงนี้อาจจะทรง ทรงงานหนักมากจนไม่มีเวลา แต่อย่างไรเฉินจินฮวาก็มั่นใจว่าต่อให้จะดึกแค่ไหนหรือว่านางจะหลับไปแล้วอย่างไรพระองค์ก็จะเสด็จมาหานางอยู่ดี ต่อให้ไม่ได้เจอนางยามตื่นก็คงจะต้องแวะมาแกล้งนางยามหลับนางทำให้พระองค์โกรธเคืองหรือก็ไม่น่าเป็นไปได้ คืนก่อนที่แวะมาเสวยมื้อค่ำที่ตำหนักของนางก็ทรงไม่มีท่าทีแปลก ๆ หรือไม่สบ อารมณ์ใด ๆ เลย เพราะฉะนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะทรงโกรธเคืองนางฉะนั้นอาจจะเป็นเพราะทรงยุ่งเท่านั้นล่ะ จริง ๆ แล้วไม่ใช่ว่า พระองค์ไม่เสด็จมาหานางควรจะดีใจหรือเปล่า นางหวังให้เป็นเช่นนี้ มาตลอดมิใช่หรือแล้วเวลานี้ม
ตอนที่ 49สุมไฟโม่หลงอวี้กว่าจะกลับถึงตำหนักบูรพาฟ้าก็ใกล้จะมืดเต็มที่แล้ว พระองค์เสด็จไปยังตำหนักทรงอักษรส่วนพระองค์ทันทีที่กลับมาถึง เมื่อทรงเข้ามาในตำหนักทรงอักษรแล้วก็มีรับสั่งไม่ให้ผู้ใดรบกวน“ลู่เหยียน” สิ้นเสียงเรียกเพียงครั้งเดียวองครักษ์หนุ่มก็ออกมาจากเงามืดทันที เขามาหยุดอยู่เบื้องหน้าผู้เป็นนายเหนือหัวก่อนจะก้มลงคุกเข่า“องค์ไท่จื่อ”“เปิ่นไท่จื่อสั่งให้เจ้าคอยจับตาตำหนักหรดีเอาไว้ได้ความว่าอย่างไร”“ทูลองค์ไท่จื่อ หลังจากพระองค์เสด็จออกไปจากตำหนักบูรพาไม่นานเฮ่อเช่อเฟยก็ไปที่ตำหนักทิศประจิมพ่ะย่ะค่ะ”“หลังจากนั้นเล่า” ทรงตรัสถามต่อ“เช่อเฟยทั้งสองสนทนากันครู่หนึ่ง ก่อนที่ฮูหยินรองแม่ทัพมู่จะมาพบเฉินเช่อเฟย เฮ่อเช่อเฟยถึงได้แยกกลับตำหนักพ่ะย่ะค่ะ”“พวกนางเพียงพูดคุยกันเท่านั้นหรือ”“เริ่มแรกสนทนากันอย่างเป็นมิตรอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมลอบฟังได้เล็กน้อยก็รู้สึกเหมือนมีสิ่งใดผิดปกติจึงได้ตามไปดู การสนทนาหลังจากนั้นจึงไม่ทราบเลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมต้องขอประทานอภัยด้วย”“นอกจากตำหนักทิศประจิมแล้ว เฮ่อเช่อเฟยได้ไปอีกสองตำหนักอีกหรือไม่”“ไม่พ่ะย่ะค่ะ”“ลู่เหยียน จงรับคำสั่ง” ไ
ตอนที่ 48ตำหนักหรดีน้ำแกงผักตุ๋นกระดูกหมูอ่อนดูเหมือนวันนี้จะไม่ได้นำไปถวายองค์ไท่จื่อแล้ว เพราะเหตุใดน่ะหรือ ก็เพราะว่าคืนนี้องค์ไท่จื่อทรงจะยุ่งมากเป็นพิเศษทั้งคืน“อาหลัวเจ้านำน้ำแกงตุ๋นส่งไปที่ตำหนักพายัพแทนก็แล้วกัน” นางเอ่ยสั่งสาวใช้คนสนิทของตน“คุณหนูตั้งใจทำถวายองค์ไท่จื่อมิใช่หรือเจ้าคะ เหตุใดจริงให้นำไปส่งให้หมิงเช่อเฟยแทนเล่าเจ้าคะ” อาหลัวเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ น้ำนั่นแกงที่นางอุตส่าห์เคี่ยวอยู่กว่าสองชั่วยามเชี่ยวนะ“ฝ่าบาทเพิ่งมีราชโองการแต่งตั้งเช่อเฟยคนใหม่ เฮ่อเช่อเฟย เจ้าไม่ได้ยินที่เสี่ยวหม่ากงกงมาแจ้งข่าวเมื่อครู่หรือว่าฤกษ์ส่งตัวของนางก็คือคืนนี้”“ถึงจะเป็นเช่นนั้นแต่ข้าน้อยสามารถนำน้ำแกงตุ๋นของคุณหนูไปถวายให้แก่องค์ไท่จื่อที่ตำหนักหลักได้นะเจ้าคะ คุณหนูให้ข้าไปเถอะเจ้าค่ะ น้ำแกงนี่ท่านอุตส่าห์ตั้งใจทำถวายองค์ไท่จื่อ”“ทำเช่นเจ้าว่าได้ที่ไหนกันอาหลัว ผู้ใดรู้เข้าจะคิดว่าข้าคิดเรียกร้องความสนใจจากองค์ไท่จื่อขัดขวางพระองค์ไม่ให้เสด็จตำหนักหรดีของเช่อเฟยคนใหม่ เจ้าทำตามข้าบอกส่งน้ำแกงนั้นไปให้หมิงเช่อเฟยแทน”“เจ้าค่ะคุณหนู” อาหลัวจำต้องทำตามคำสั่งของผู้เป็นนายตน นำน
ตอนที่ 47องค์หญิงเฮ่อหลินจือณ วังหลวงแคว้นเป่ยซี ภายในห้องทรงพระอักษรของฮ่องเต้โม่หลงเซียว ยามนี้องค์ไท่จื่อโม่หลงอวี้กำลังเดินหมากอยู่กับเสด็จพ่ออีกทั้งพระองค์กำลังเป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่ด้วย “คณะทูตจากเผ่าต้าเหอจะอยู่ที่เมืองหลวงอีกหลายวัน เจ้ารองทำการดูแลคณะทูตได้ดีไม่มีสิ่งใดเกิดปัญญา”“หน้าที่ดูแลคณะทูตจากต่างแดนเหมาะสมกับน้องรองมาก หากมีทูตมาจากที่อื่นลูกก็เชื่อว่าเขาจะจัดการได้ดียิ่งขึ้นไปอีก” ไท่จื่อหนุ่มเอ่ยขึ้นสนับสนุนผู้เป็นน้องชายตน ถึงแม้ภายนอกน้องรองของพระองค์จะดูช่างพูดจนน่ารำคาญอยู่บ้างแต่ก็เหมาะกับตำแหน่งต้อนรับทูตดี อีกทั้งเวลาทำงานก็ตั้งใจดีไม่น้อย“พ่อก็คิดเช่นเดียวกับเจ้า ภายหน้าเจ้ารองกับเจ้าสามจะช่วยแบ่งเบางานเจ้าได้มาก”“พ่ะย่ะค่ะ”“ยังมีอีกเรื่องที่พ่อยังต้องบอกและปรึกษาเจ้า” ทรงตรัสขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง“เรื่องใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” พระองค์วางมือจากหมากในมือลง แล้วหันไปสนใจเสด็จพ่อของตนด้วยสีหน้าจริงจังไม่แพ้กัน“หัวหน้าเผ่าส่งสาส์นมาถึงจ้า ต้องการให้องค์หญิงบุญธรรมเฮ่อหลินจือแต่งกับเจ้า”“กระหม่อมของปฏิเสธพ่ะย่ะค่ะ” โม่หลงอวี้ตอกกลับออกมาทันทีโดยไม่ต้องคิด“เพร