ตอนที่ 6
เตรียมตัวเข้าสู่ตำหนักบูรพา
“ทูลองค์ไท่จื่อ ฝ่าบาทมีราชโองการแต่งตั้ง เช่อเฟยให้พระองค์อีกผู้หนึ่งแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ฝูกงกง ผู้ดูแลรับใช้ใกล้ชิดมาตั้งแต่ยังเยาว์เอ่ยรายงาน
“คราวนี้เป็นสตรีจากสกุลใด” เจ้าของเสียงทรงอำนาจตรัสถามขึ้น ใบหน้าหล่อเหลายังคงนิ่งเรียบเฉยไม่แสดงสีหน้าใด ๆ
“สตรีจากสกุลเฉิน หลานสาวคนเล็กของท่านเฉินไท่เว่ยพ่ะย่ะค่ะ”
“คิดเอาไว้ไม่ผิด ว่าต้องเป็นสตรีจากสกุลเฉิน” โม่หลงอวี้ตรัส
เสด็จพ่อของพระองค์ตั้งใจแต่งตั้งเช่อเฟยเข้ามาทีละคน ๆ จากสามสกุลใหญ่ที่ทรงอำนาจในราชสำนัก
เช่อเฟยคนแรกที่ทรงแต่งตั้งให้ เมื่อต้นปีคือคนจากสกุลหมิง เช่อเฟยคนที่สองก็มาจากสกุลสวี เพราะฉะนั้น เช่อเฟยคนที่สามนี้ย่อมต้องมาจากสกุลเฉินอย่างแน่นอน
ฝ่าบาททรงตั้งพระทัยแต่แรกแล้วว่าจะส่งพวกนางเข้ามาในตำหนักบูรพาแห่งนี้ เพื่อเริ่มการคานอำนาจกันและกันของพวกนางในภายหน้าและดูท่าทีของแต่ละสกุลด้วย
แต่งตั้งหมิงเช่อเฟยเป็นคนแรก เพราะต้องการตรึงอำนาจขุนนางในราชสำนัก ต่อมาแต่งตั้งสวีเช่อเฟยเพราะต้องการตรึงอำนาจเหล่าบัณฑิต คราวนี้ตั้งเฉินเช่อเฟยเพราะต้องการตรึงอำนาจทหารจากจวนแม่ทัพใหญ่
ในวังมีสนมกุ้ยผิน จากสกุลเฉิน พระองค์จำได้ดีว่าเมื่อยังเล็กเคยพบกุ้ยผินอยู่บ่อยครั้ง พระสนมของพระบิดาผู้นี้นั้นมักจะแย้มยิ้มอย่างใจดีอยู่เสมอ เสด็จพ่อนั้นโปรดปรานนางเป็นอย่างมาก
หากกุ้ยผินผู้นี้ให้กำเนิดโอรสแก่เสด็จพ่อสักคน ผู้ที่นั่งอยู่ในตำแหน่งไท่จื่อยามนี้อาจจะไม่ใช่เขาก็เป็นได้ หากมีเสด็จพ่อค่อยให้ท้ายเพราะเป็นโอรสที่เกิดจากสนมรัก และมีอำนาจคอยหนุนจากสกุลเฉิน อย่างไรก็คงมีสิทธิมากกว่าโอรสที่เกิดจากอดีตฮองเฮาที่สวรรคตไปกว่ายี่สิบปีแล้วอย่างพระองค์ ที่ไม่มีแม้แต่ญาติฝั่งพระมารดาที่ค่อยให้การสนับสนุน
พระองค์มีพี่น้องร่วมบิดาทั้งหมดสี่คน ตัวเขาก่อนจะได้รับการแต่งตั้งก็คือองค์ชายใหญ่แห่งราชวงศ์ องค์ชายรองและองค์ชายสามต่างเกิดจากสนมขั้นเฟย และอี้ผิน อายุพวกเราสามคนต่างกันไม่มากนัก กับน้องรองห่างกับเขาเพียงหนึ่งปี น้องสามนั้นก็ห่างสองปี
นอกจากพี่น้องร่วมสายเลือดที่เป็นโอรสทั้งสองแล้วยังมีหงส์คู่แห่งราชวงศ์ถือกำเนิดอีกสองคน คือน้องสี่และน้องห้า พวกนางล้วนแล้วแต่เป็นพระธิดาที่ถือกำเนิดจากฉุนหวงกุ้ยเฟยผู้ที่กุมอำนาจสูงสุดในวังหลังในเวลานี้หลังต่อจากพระมารดาแท้ ๆ ของเขาสวรรคต
ความจริงแล้วหลายปีก่อนพระองค์ก็คิดว่าหากครบกำหนดการไว้ทุกข์แก่พระมารดาของพระองค์แล้วฉุนหวงกุ้ยเฟยก็คงจะได้รับการแต่งตั้งเป็นฮองเฮาองค์ต่อไป
แต่หลายปีผ่านไป ฉุนหวงกุ้ยเฟยก็ยังคงอยู่ตำแหน่งเดิม ตำแหน่งฮองเฮาก็ยังคงว่างเว้นเอาไว้ไม่เปลี่ยน
มีครั้งหนึ่ง พระองค์เคยกราบทูลถามเสด็จพ่อ ก็ได้คำตอบกลับมาว่า
'ตำแหน่งฮองเฮาของข้า มีเพียงพระมารดาของเจ้าเท่านั้นที่คู่ควร'
ไท่จื่อหนุ่มจำได้ว่ายามนั้นมีอยู่วูบหนึ่งที่พระองค์สามารถมองเห็นความสั่นไหวบางอย่างที่แฝงเอาไว้ในสายพระเนตรของเสด็จพ่อตนได้ แต่ก็เพียงวูบเดียวเท่านั้นก็หายไป
หากจะตรัสว่ารักเสด็จแม่มาก รอบตัวเสด็จพ่อกับไม่เคยขาดสตรีข้างกาย เช่นนี้แล้วความรักนี้ของเสด็จพ่อคงเป็นพระองค์เองที่ไม่อาจเข้าใจได้
เดิมโม่หลงอวี้นั้นไม่เคยคิดจะแต่งชายาหรืออนุสนมมากมายเช่นนี้ ซ้ำยังเคยตั้งใจเอาไว้ว่าชาตินี้จะมีชายาเพียงผู้เดียว และนางก็จะต้องเป็นคนที่พระองค์รู้สึกรักใคร่อย่างแท้จริง
ทว่าทุกสิ่งต้องมาพังทลายลง เมื่อเสด็จพ่อจับสนมชายาเหล่านั้นยัดเข้ามาในตำหนักบูรพาคนแล้วคนเล่า
เขาเคยเข้าเฝ้าด้วยเรื่องนี้หลายครั้งในเรื่องนี้ แต่ทุกครั้งเสด็จพ่อก็ไม่เคยรับฟังเรื่องที่เขาต้องการทูลอย่างจริง ๆ จัง ๆ
ทรงกล่าวแค่เพียงว่าที่ทรงทำทุกอย่างก็เพื่อให้ตำแหน่งไท่จื่อของเขามั่นคง
ในเมื่อไม่อาจขัดรับสั่งของเสด็จพ่อได้ พระองค์จึงทำได้เพียงยืนกรานหนักแน่นต่อหน้าพระพักตร์ว่าตำแหน่งไท่จื่อเฟย ตัวของพระองค์จะเป็นคนแต่งตั้งด้วยตัวเอง เสด็จพ่อไม่อาจเข้ามายุ่งเกี่ยวได้ และโอสรของเขาก็จะต้องเกิดจากสตรีที่เขารักเท่านั้น
แน่นอนว่าเรื่องไท่จื่อเฟยที่เขายืนกรานหนักแน่นนั้นย่อมเป็นไปได้ เพียงแต่เรื่องโอรสของพระองค์เสด็จพ่อกับไม่ย่อมง่าย ๆ และนี้ก็คงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เสด็จพ่อ โยนสนมชายาเข้ามาในตำหนักบูรพาของเขามากมาย คงหมายจะให้เขาถูกตาต้องใจสตรีสักนางหนึ่งที่เสด็จพ่อทรงยัดเยียดเข้ามา
ยัดเยียดสตรีมากมายเข้ามาก็เท่านั้น หากเขาไม่ยินยอมให้พวกนางตั้งครรภ์ ย่อมไม่มีผู้ใดสามารถตั้งครรภ์ได้ นี้คือเหตุผลว่าทำไมหนึ่งปีมานี้ตำหนักบูรพามีเหล่าสนมชายามากมายดูคึกคักแต่ทว่าไม่เคยมีข่าวดีจากตำหนักใหญ่แห่งนี้เลย
“ไท่จื่อพระองค์จะให้เฉินเช่อเฟยเข้าประทับที่ใดดีขอรับ” ฝูกงกงเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“ตำหนักทิศประจิมก็แล้วกัน ที่นั่นเพิ่งต่อเติมใหม่เสร็จมิใช่หรือ” เจ้าของเสียงทรงอำนาจตรัสขึ้น ยามนี้มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา
ดูเหมือนว่าพระองค์จะต้องใช้ประโยชน์จากชายารองคนใหม่นี้สักหน่อยแล้ว ไม่เช่นนั้นตำหนักบูรพานี้คงจะเงียบสงบเกินไป
ด้านเช่อเฟยคนใหม่ที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งนั้นยามนี้กำลังนั่งอยู่ท่ามกลางมารดาและพี่สาวของตน ภายในเรือนพักที่นางอาศัยอยู่มาตั้งแต่เกิดจนเติบใหญ่
เฉินจินฮวาว่ามองสตรีทั้งสองที่รักนางและนางก็รักมาก ด้วยรอยยิ้ม นางไม่แสดงท่าทีใด ๆ ที่จะทำให้คนทั้งคู่ต้องกังวลใจไปกับนาง
“ท่านแม่ พี่ใหญ่ เหตุใดพวกท่านจึงทำสีหน้าเช่นนั้นเล่าเจ้าคะ”
“เพราะพวกเราเป็นห่วงเจ้าน่ะสิ” ท่านแม่ของนางกล่าว
“เหตุใดเจ้าจึงดูไม่ทุกข์ร้อนเลยเล่า”
“ข้าไม่รู้ว่าจะทุกข์ใจไปทำไมเจ้าค่ะ อย่างไรราชโองการแต่งตั้งก็ประกาศออกมาแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่แก้ไขได้แล้ว”
“หรือว่าให้แม่เข้าวังไปเข้าเฝ้าพระสนมกุ้ยผิน บางทีพระนางอาจจะช่วยเราได้”
“ท่านแม่ลูกจะเข้าวังเป็นเพื่อนท่านเองเจ้าค่ะ”
ทั้งท่านแม่และพี่สาวนางตั้งท่าจะรีบลุกขึ้น เตรียมตัวไปเข้าพบพระสนมเฉินกุ้ยผินจริง ๆ พวกนางคงจะวิ่งออกไปจากเรือนนางด้วยความรีบร้อนด้วยซ้ำ หากมิใช่ว่านางร้องห้ามคนทั้งสองเอาไว้ก่อน
“พวกท่านว่าเข้าพบพระสนมตอนนี้จะช่วยอะไร ๆ ได้อีกหรือเจ้าคะ ท่านย่าเล็กเป็นพระสนมที่ฮ่องเต้โปรดปรานเพียงใด ในแคว้นเรามีผู้ใดบ้างจะไม่รู้ ราชโองการแต่งตั้งนี้เกรงว่าพระสนมกุ้ยผินคงทราบอยู่ก่อนแล้ว”
เมื่อได้ยินบุตรสาวเอ่ยเช่นนี้ เฉินฮูหยินจึงได้นั่งลงบนเก้าอี้ตามเดิมอย่างหมดแรง
“จินเอ๋อร์ตำหนักบูรพานั้นอยู่ไม่ง่ายเลยนะ” มารดานางกล่าวต่อ ทั้งน้ำเสียงและแววตาต่างก็เต็มไปด้วยความเป็นห่วง
“ข้าทราบเจ้าค่ะ แต่ข้าก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว” นางกล่าวกับมารดาพร้อมรอยยิ้ม
ในความฝันภายหน้าอย่างไรนางก็ต้องตาย นางจะต้องพยายามเปลี่ยนแปลงสิ่งที่จะเกิดขึ้นให้ได้แล้วมีชีวิตอยู่ต่อไป โดยไม่ทำให้ทุกคนในสกุลเฉินต้องเดือดร้อน
ก่อนหน้าที่นางจะกลับเรือนมานั้นก็ได้ ไปพูดคุยกับท่านปู่และท่านพ่อรวมทั้งพี่ชายอย่างชัดเจนแล้ว
คราแรกท่านปู่และท่านพ่อเองก็เตรียมจะเข้าวังไปขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท เพื่อให้พระองค์เรียกคืนราชโองการแต่นางก็ได้เอ่ยห้ามออกไปเสียก่อน
เพราะรู้ว่าราชโองการนั้นย่อมไม่ง่ายที่จะเรียกคือ ฮ่องเต้ตรัสแล้วย่อมไม่คืนคำ ราชโองการของพระองค์ก็เช่นกัน นางกลัวว่าหากยังดึงดันไม่เลิก ซึ่งนางรู้ดีว่าท่านปู่และท่านพ่อของนางจะต้องทำอย่างนั้นแน่
และหากเป็นเช่นนั้นจริง สกุลเฉินทั้งตระกูลอาจมีโทษ นางไม่อาจเห็นสกุลเฉินต้องเผชิญวิบากกรรมเช่นนี้เพราะนางได้
เฉินจินฮวาจึงเลือกที่จะก้าวเข้าตำหนักบูรพาทั้ง ๆ ที่รู้ว่ามีความตายรออยู่ตรงหน้า และนางมีเพียงโอกาสเดียวที่จะรอดชีวิต
นางจึงขอให้ท่านปู่และท่านพ่อเปลี่ยนมาช่วยทำบางอย่างให้นางแทนนั้นคือ ขอให้ท่านเตรียมหมอที่มีฝีมือสักหน่อยให้นางโดยให้ปลอมเป็นบ่าวรับใช้ติดตามนางไปที่ตำหนักบูรพา และให้เริ่มซื้อสาวใช้นางกำนัลในตำหนักบูรพาเอาไว้เป็นหูเป็นตาให้นางบ้าง
เฉินจินฮวาพอจะรู้อยู่บ้างว่าคนในตำหนักบูรพานั้นมีหลากหลาย มีคนของหลายฝ่ายแฝงตัวอยู่ที่นั่นอย่างแน่นอน เพราะเหล่าขุนนางต่าง ๆ ก็อยากจะรู้ความเคลื่อนไหวของไท่จื่ออยู่แล้ว หากท่านปูหรือท่านพ่อตอบกลับมาว่าแท้จริงแล้วที่ภายในตำหนักบูรพานั้นก็มีคนของพวกท่านแฝงอยู่แล้วนั้นนางย่อมเข้าใจได้
ใครจะคิดเล่าว่าท่านพ่อกลับกล่าวออกมาว่า คนของพวกเราแม้สักคนก็ไม่มีแอบแฝงตัวอยู่เลย...
อ่า พวกท่านล้วนแล้วเป็นทหารกล้าเจนสนามรบ เรื่องในราชสำนักจึงไม่คิดจะสนใจเท่าไหร่นักนางก็เข้าใจได้ เพราะสกุลเฉินและกองทัพสกุลเฉินทั้งสามแสนนายต่างก็จงรักภักดีต่อราชวงศ์ สู้รบเพื่อรักษาแคว้นรักษาแผ่นดินและความสงบสุขให้กับราษฎร
คืนนี้ก่อนจะนอนนางได้ปลอมลายมือ และเขียนลงในกระดาษแผ่นหนึ่งว่า
'เป็นสุขชั่วชีวิต'
ก่อนจะม้วนกระดาษแผ่นนี้เก็บเข้าใส่ในถุงที่ได้มาจากอารามเมื่อหลายวันก่อน สับเปลี่ยนกับกระดาษคำทำนายที่นางได้รับมา
“อาหลัว เจ้านำถุงคำทำนายนี้ไปมอบให้ท่านแม่ของข้าที บอกว่านี่คือคำทำนายที่ข้าได้มาจากนักพรตลู่อวี้”
“เจ้าค่ะคุณหนู”
ในฐานะบุตรย่อมไม่อาจทนเห็นมารดาหนักใจเป็นทุกข์ได้ จึงได้เขียนปลอมคำทำนายขึ้น และให้คนส่งไปให้มารดาของนางที่ตั้งแต่ช่วงเย็นจนถึงเวลานี้ยังไม่ยอมออกมาจากศาลบรรพชน
เฉินจินฮวาเดาได้ไม่ยากว่าท่านแม่ของนางคงจะกำลังวิงวอนให้บรรพชนช่วยคุ้มครองนาง
นางหวังว่าคำทำนายที่ตนปลอมขึ้นนั้นจะช่วยให้ท่านแม่สบายใจและเบาใจยิ่งขึ้น
ตอนที่ 7อิสระสุดท้ายตั้งแต่วันที่ได้รับพระราชโองการแต่งตั้งเป็นเช่อเฟย ชายารองในองค์ไท่จื่อ จวนเฉินไท่เว่ยนั้นมีผู้คนเข้าออกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นคนจากวังหลวงหรือว่าเป็นคนจากตำหนักบูรพาผู้คนเหล่านี้ล้วนเข้ามาหานางเพื่อจัดการเรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นชุดมงคลที่นางจะต้องสวมใส่ในวันที่เข้าสู่ตำหนักบูรพา และชุดที่ต้องตัดใหม่เพื่อสวมใส่ให้สมกับตำแหน่งเช่อเฟยมีนางกำนัลอาวุโสและนางกำนัลรับใช้รวมแล้วหกคนถูกพระสนมฉุนหวงกุ้ยเฟยรับสั่งให้มาสอนมารยาทและข้อควรรู้บางอย่างเกี่ยวกับราชวงศ์แก่นางเพิ่มเติม ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เฉินจินฮวาจะต้องเรียนรู้เพิ่มเติมจริง ๆเพราะว่าถึงสกุลเฉินจะมีหน้ามีตา เป็นสกุลขุนนางใหญ่มีชื่อเสียงแต่ก็ไม่ใช่ราชวงศ์ ซึ่งแน่นอนว่าย่อมมีการปฏิบัติที่ต่างกันและละเอียดอ่อนในบางเรื่อง การเรียนรู้ข้อควรระวังและปฏิบัติเอาไว้ก่อนเป็นการดีต่อนางเองด้วยหลังจากช่วงเช้าที่นางเรียนกับเชามามานางกำนัลอาวุโส (มามา คือ คำเรียกนางกำนัลอาวุโส) เสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงได้ชวนพี่รองของนางแอบออกไปเดินเที่ยวที่ตลาดในช่วงเย็นของวันที่ว่าแอบออกมาก็คือแอบออกมาจริง ๆ นางกับผู้เป็นพี่ชายนั้นพากันโดดข้
ตอนที่ 8นักฆ่าสาวชุดขาว คือข้า?ยามนี้เจ้าของใบหน้างามที่มีผ้าคาดปกปิดใบหน้าอยู่นั้น กำลังก้มลงพยายามเลือกหยิบของที่พี่ชายของนางได้โยนทิ้ง เอาไว้ก่อนขึ้นมาถือให้ได้มากที่สุด อ่า ทั้ง ๆ ที่เมื่อครู่พี่รองของนางสามารถหอบหิ้วมาได้ อย่างสบายแท้ ๆ แต่นางกลับทำไม่ได้ จากของทั้งหมดเต็มนางหอบหิ้วเต็มที่ด้วยความสามารถของตนก็ได้เพียงแค่หนึ่งในสาม ส่วนเท่านั้น ทำเช่นไรดีเล่าหรือว่าจะต้องเลือกทิ้งของเช่นนั้นหรือ น่า เสียดายแย่เลยหากต้องทำเช่นนี้ เมื่อครู่พี่ชายให้นางล่วงหน้ากลับไปก่อนเห็นทีจะไม่อาจ ทำตามได้แล้ว ในเมื่อความเสียดายของเกินกว่าจะตัดใจ ทำให้หญิงสาวตัดสิ้นใจจะยืนคอยพี่ชายนางอยู่ที่จุดเดิมแทนเฉินจินฮวานั้นเปิดห่อขนมแป้งปั้นขึ้นมาหยิบทานเพื่อฆ่าเวลาไม่นานพี่รองของนางก็เดินกลับมาพร้อมกับประคองแม่นางผู้หนึ่งที่ดูคุ้นตานางกลับมาด้วย“เจ้า คือแม่นางที่ร้านน้ำชาไม่ใช่หรือ เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า กัน” นางเอ่ยถามพลางเดินไปประคองแม่นางแทนพี่รองของตนสภาพของนางไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ผมเผ้าหลุดลุ่ย เสื้อผ้า ที่นางสวมใส่อาจจะมีสภาพไม่ต่างกันนักเพราะว่ามันถูกปกปิดเอาไว้ด้วยเสื้อคลุมสีดำตัวยาม
ตอนที่ 9ภรรยาที่ยังไม่ได้เข้าหอ“กระหม่อมเฉินฟูหมิงถวายพระพรองค์ไท่จื่อพ่ะย่ะค่ะ”“หม่อมฉันเฉินจินฮวาถวายพระพรองค์ไท่จื่อเพคะ” นางและพี่ชายทำความเคารพทันทีเมื่อรู้แล้วว่าบุรุษที่เปี่ยมไปด้วยท่าทางทรงอำนาจนั้นที่แท้ก็คือองค์ไท่จื่อ ผู้ที่ทั้งแคว้นนั้นนอกจากฝ่าบาทแล้วก็ไม่มีใครเหนือกว่าพระองค์อีก“รองแม่ทัพเฉินไม่ต้องมากพิธี เช่อเฟยของข้าเจ้าเองก็ไม่ต้องมากพิธีเช่นกันทำตัวสบาย ๆ เถิด” เจ้าของเสียงทรงอำนาจเอ่ยขึ้นอย่างใจดี ทว่าน้ำเสียงของพระองค์กับไม่ได้ผ่อนคลายเช่นนั้น ฟังแล้วคล้ายกับว่าเพียงแค่ตรัสเป็นพิธีเท่านั้น “ส่วนพวกเจ้ากำลังไล่ตามมือสังหารอยู่ก็จงไล่ตามไปต่อเถอะ” พระองค์รับสั่งโดยไม่ได้หันไปทอดพระเนตรทางกลุ่มชายชุดดำเลยทว่าเพียงพระองค์ทรงตรัส เหล่าชายชุดดำที่นางและพี่รองใช้เวลาอยู่นางในการเจรจาเกลี้ยกล่อม“หม่อมฉันกับพี่ชายไฉนเลยจะกล้าเสียมารยาทต่อพระองค์กันเพคะ” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ สายตาจับจ้องเพียงแค่ที่พื้นดินเบื้องหน้าที่องค์ไท่จื่อเท่านั้น นางไม่แม้แต่จะลอบมองดูพระพักตร์ของพระองค์แม้แต่หางตา“เจ้ากับข้าไม่ถือว่าเป็นคนอื่นคนใกล้ ภรรยาที่ยังไม่เข้า หอของข้าเจ้าไม่จำเ
ตอนที่ 10ตำหนักบูรพาวันนี้เป็นอีกวันที่ ณ จวนสกุลเฉินตกแต่งไปด้วยผ้าแดงและกระดาษมงคลทั่วทั้งจวน เกี้ยวรับเจ้าสาวขนาดแปดคนหามพร้อมด้วยขบวนรับเจ้าสาวนั้นก็รอท่าอยู่ที่หน้าจวนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะขาดก็แค่ผู้ที่ขบวนมารอนั้นยังไม่ได้ก้าวเท้าออกมาจากประตูจวนการที่มีราชโองการแต่งตั้งบุตรสาวคนเล็ก เฉินจินฮวา เป็นเฉินเช่อเฟยในรัชทายาทนั้นไม่มีผู้ใดในเมืองหลวงยังไม่ทราบ ขุนนางน้อยใหญ่ต่างส่งของขวัญแสดงความยินดีมาให้สกุลเฉินไม่ขาดสายที่ได้เกี่ยวดองกับเชื้อพระวงศ์แม้ราชโองการแต่งตั้งจะไม่ได้แต่งตั้งในตำแหน่งไท่จื่อเฟยทว่า ตำแหน่งชายารองในเวลานี้ถือว่าสูงนัก เพราะตำแหน่งไท่จื่อเฟยแห่งตำหนักบูรพานั้นยังเว้นว่างอยู่ และใคร ๆ ก็ต่างรู้ว่าเช่อเฟยที่ได้รับแต่งตั้งสองคนก่อนหน้านี้ไม่ค่อยเป็นที่พอพระทัยองค์ไท่จื่อนักผู้คนในเมืองไม่ว่าจะเป็นเหล่าขุนนางหรือชาวเมืองต่างก็พากันจับจ้องมาที่เช่อเฟยคนใหม่อย่างใส่ใจเป็นอย่างยิ่งถึงขั้นที่บ่อนการพนันในเมืองหลายแห่งก็ยังเปิดให้พนันกันว่าเฉินเช่อเฟยคนใหม่นี้จะเป็นที่โปรดปรานหรือไม่แน่นอนว่าเสียงพนันส่วนใหญ่ล้วนลงฝั่งที่จะไม่เป็นที่โปรดปรานไปมากกว่าครึ่ง“อง
บทนำสกุลเรืองอำนาจ วสันตฤดูมาเยือน ณ จวนเฉินไท่เว่ย (ต้าซือหม่า) หนึ่งในสามอำมาตย์ใหญ่แห่งแคว้นเป่ยซีนั้นเวลานี้กำลังเตรียมงานสมรสอันยิ่งใหญ่ให้กับบุตรสาวคนโตของแม่ทัพใหญ่เฉินกับรองแม่ทัพมู่ทหารกล้าผู้มีชื่อเสียง สกุลเฉินนั้นแต่เดิมก็เป็นสกุลใหญ่ผู้เรืองอำนาจในทางทหารยิ่ง น้องสาวเฉินไท่เว่ยเองก็เป็นหนึ่งในสนมขั้นผินที่ฮ่องเต้โปรดปรานเป็นอย่างมากถึงขั้นประทานนามว่า กุ้ย ให้เป็นพิเศษ ตำแหน่งผินของพระนางจึงไม่ได้ด้อยกว่าตำแหน่งเฟยเลย หากพระนางให้กำเนิดพระโอรสหรือพระธิดาสักพระองค์หนึ่งตำแหน่งเฟยก็คงอยู่เพียงเอื้อมเท่านั้น เสียดายที่วาสนาไม่เป็นใจ ครรภ์กุ้ยผินนั้นไร้ซึ่งความเคลื่อนไหวเสมอมา เกียรติยศและชื่อเสียงไม่มีสิ่งใดที่สกุลเฉินขาดเพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องปกติหากบุตรีและบุตรชายสกุลเฉินจะ ถูกจับจ้องจากตระกูลชั้นสูงทั่วทั้งแคว้นเป่ยซี หากสกุลเฉินมัวเมาอำนาจไม่รู้จบสิ้นลูกหลานสกุลเฉินก็คงต้องแต่งเพื่อเสริมอำนาจให้สกุล ดีที่สกุลเฉินไม่ได้หลงระเริงในอำนาจและไม่คิดให้มีการแต่งงานเพื่อเสริมอำนาจใด ๆ ลูกหลานสกุลเฉินหากแต่งงานจึงยึดตา
ตอนที่ 1คุณหนูสามสกุลเฉินเสียงนำขบวนรับเจ้าสาวดังมาแต่ไกล ในที่สุดขบวนรับตัวเจ้าสาวที่ขี่ม้านำมาด้วยเจ้าบ่าวที่เป็นถึงรองแม่ทัพก็มาถึง อาจเพราะเป็นเพราะแม่ทัพหนุ่มนั้นมีท่าทีองอาจยิ่ง ทำให้เมื่อสวมใส่อาภรณ์มงคลสีแดงสดแล้วนั้นจึงทำให้ดูสง่างามเป็นอย่างมากสามหนังสือหกพิธีการมาถึงขั้นสุดท้ายในที่สุด เจ้าสาวผู้สวมอาภรณ์มงคลสีแดงสวยซ้ำยังมีผ้าคลุมสีแดงปกปิดใบหน้าก้าวข้ามธรณีประตูจวนสกุลเฉินด้วยความช่วยเหลือจากผู้เป็นน้องชายผู้ซึ่งรับหน้าที่เป็นผู้ส่งตัวเจ้าสาวขึ้นเกี้ยวในวันนี้เฉินจินฮวาเองก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้เห็นพิธีการส่งเจ้าสาวขึ้นเกี้ยวอย่างใกล้ชิดมาตั้งแต่ต้นเช่นเดียวกันจึงรับรู้ได้เป็นอย่างดีว่าผู้เป็นพี่สาวที่กำลังจะก้าวขึ้นเกี้ยวไปนั้นรู้สึกอ่อนไหวเพียงใดเมื่อครู่ยามที่พี่สาวของนางไปเอ่ยลาท่านพ่อกับท่านแม่และท่านตานั้นทุกคนในครอบครัวเราล้วนแล้วแต่ไม่อาจกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ทั้ง ๆ ที่เป็นวันมงคลยิ่งแต่ก็ต้องอวยพรพร้อมด้วยน้ำตา มีทั้งความสุขและความเสียใจเล็กน้อยดีใจที่บุตรสาวได้แต่งงานมีครอบครัว แต่ก็มิอาจห้ามมิให้เสียใจไม่ได้เมื่อผู้ที่เคยอยู่ร่วมกัน เห็นกันทุกวัน ในภายหน้าไม
ตอนที่ 2นักพรตตาบอดตั้งแต่ยังไม่ทันจะรุ่งสางดีด้วยซ้ำ ประตูหน้าจวนสกุลเฉินก็มีขบวนแม่สื่อมารออยู่หน้าจวนแล้ว พ่อบ้านเกิงอี้ผู้รับใช้สกุลเฉินมานานออกมารับหน้าขบวนแม่สื่อนี้ก่อนเป็นอันดับแรก ก่อนที่จะพาเข้าจวนไปพบผู้เป็นนายทั้งหลายที่ตนได้ส่งคนไปแจ้งถึงนายท่านและฮูหยินแล้วนายท่านเฉินและเฉินฮูหยินไม่ได้ออกมารับหน้าแม่สื่อด้วยตนเองเพียงแค่สั่งให้พ่อบ้านเกิงอี้เป็นคนรับเทียบสู่ขอเอาไว้เท่านั้นและจึงได้เชิญแม่สื่อกลับไป (จริง ๆ หากจะให้กล่าวตามความจริงไม่ใช่เชิญกลับแต่เป็นบังคับให้กลับต่างหาก)ด้านเทียบสู่ขอที่ถูกนำมาให้ในวันนี้ก็ถูกเก็บใส่กล่องเข้าห้องเก็บของไปในทันทีโดยที่เจ้าบ้านสกุลเฉินไม่แม้แต่จะถามถึงหรือเอ่ยของดูแม้สักตัวอักษรคุณหนูสกุลเฉินนั่น มิใช่ใครใคร่จะสู่ขอก็จะสู่ขอได้ตามอำเภอใจ ความเป็นจริงข้อนี้เกิงอี้ผู้เป็นพ่อบ้านย่อมรู้ดีเป็นที่สุดหลังจากที่จัดการกับเทียบสู่ขอเรียบร้อยแล้ว ตัวเขาจึงได้เร่งฝีเท้าไปที่ห้องครัวใหญ่ของจวนเพื่อที่จะตรวจดูความเรียบร้อยของอาหารเช้าในวันนี้ อีกทั้งยังต้องไปเร่งของว่างที่เอาไว้รับประทานขณะเดินทางไปยังอารามนอกเมืองของฮูหยินเฉินและคุณหนูสามในวั
ตอนที่ 3คำทำนาย ความฝันยามนี้เฉินจินฮวาก้าวขึ้นรถม้าอย่างไม่ค่อยจะเข้าใจนัก หากถามว่าเหตุใดนางจึงเป็นเช่นนี้น่ะหรือ ก็คงจะต้องย้อนความไปเมื่อครึ่งเค่อก่อนหน้านี้ ที่จู่ ๆ ท่านนักพรตหญิงผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นและเดินผ่านฝูงชนจำนวนมากที่ลานหน้าอารามมาหยุดอยู่เบื้องหน้านาง พร้อมกับยื่นถุงผ้าสีเหลืองไร้ลวดลายใบหนึ่งให้นาง พร้อมกับกล่าวว่า ถุงผ้าใบนี้ เป็นนักพรตลู่อวี้มอบให้นางนางยังจำได้ดีว่าในขณะนั้นที่ลานของอารามที่เคยมีเสียงพูดคุยดังอยู่เล็กน้อยนั้นเงียบสนิทลงทันที ทุกสายตาจากทั่วทั้งสารทิศต่างจับจ้องมาที่นางเป็นตาเดียวเวลานั้นเหมือนว่าผู้ที่มีสติที่สุดคงจะหนีไม่พ้นพี่รองของนาง เขาจัดการสักให้ผู้ติดตามรีบมายืนบังนางเอาไว้และรีบพานางและท่านแม่ลงมาจากอารามทันทีโดยที่แม้แต่มารดาของนางก็ยังไม่ได้มีโอกาสเอ่ยลาท่านป้าฟางดี ๆ เลยด้วยซ้ำพี่รองของนางคงกลัวว่าจะเกิดการจลาจลขึ้น จึงรีบพาพวกนางออกจากอาราม ซึ่งจากสายตาที่ผู้อื่นมองมายังนางในเวลานั้นก็เป็นไปได้ว่าอาจจะเกิดจลาจลขึ้นได้จริง ๆ“ท่านแม่ ผู้คนรออยู่ตั้งมากมาย คำทำนายให้เพียงแค่คนคนเดียวจริงหรือขอรับ” ฟูหมิงเอ่ยถามมารดาตนทันที เมื่อรถ
ตอนที่ 10ตำหนักบูรพาวันนี้เป็นอีกวันที่ ณ จวนสกุลเฉินตกแต่งไปด้วยผ้าแดงและกระดาษมงคลทั่วทั้งจวน เกี้ยวรับเจ้าสาวขนาดแปดคนหามพร้อมด้วยขบวนรับเจ้าสาวนั้นก็รอท่าอยู่ที่หน้าจวนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะขาดก็แค่ผู้ที่ขบวนมารอนั้นยังไม่ได้ก้าวเท้าออกมาจากประตูจวนการที่มีราชโองการแต่งตั้งบุตรสาวคนเล็ก เฉินจินฮวา เป็นเฉินเช่อเฟยในรัชทายาทนั้นไม่มีผู้ใดในเมืองหลวงยังไม่ทราบ ขุนนางน้อยใหญ่ต่างส่งของขวัญแสดงความยินดีมาให้สกุลเฉินไม่ขาดสายที่ได้เกี่ยวดองกับเชื้อพระวงศ์แม้ราชโองการแต่งตั้งจะไม่ได้แต่งตั้งในตำแหน่งไท่จื่อเฟยทว่า ตำแหน่งชายารองในเวลานี้ถือว่าสูงนัก เพราะตำแหน่งไท่จื่อเฟยแห่งตำหนักบูรพานั้นยังเว้นว่างอยู่ และใคร ๆ ก็ต่างรู้ว่าเช่อเฟยที่ได้รับแต่งตั้งสองคนก่อนหน้านี้ไม่ค่อยเป็นที่พอพระทัยองค์ไท่จื่อนักผู้คนในเมืองไม่ว่าจะเป็นเหล่าขุนนางหรือชาวเมืองต่างก็พากันจับจ้องมาที่เช่อเฟยคนใหม่อย่างใส่ใจเป็นอย่างยิ่งถึงขั้นที่บ่อนการพนันในเมืองหลายแห่งก็ยังเปิดให้พนันกันว่าเฉินเช่อเฟยคนใหม่นี้จะเป็นที่โปรดปรานหรือไม่แน่นอนว่าเสียงพนันส่วนใหญ่ล้วนลงฝั่งที่จะไม่เป็นที่โปรดปรานไปมากกว่าครึ่ง“อง
ตอนที่ 9ภรรยาที่ยังไม่ได้เข้าหอ“กระหม่อมเฉินฟูหมิงถวายพระพรองค์ไท่จื่อพ่ะย่ะค่ะ”“หม่อมฉันเฉินจินฮวาถวายพระพรองค์ไท่จื่อเพคะ” นางและพี่ชายทำความเคารพทันทีเมื่อรู้แล้วว่าบุรุษที่เปี่ยมไปด้วยท่าทางทรงอำนาจนั้นที่แท้ก็คือองค์ไท่จื่อ ผู้ที่ทั้งแคว้นนั้นนอกจากฝ่าบาทแล้วก็ไม่มีใครเหนือกว่าพระองค์อีก“รองแม่ทัพเฉินไม่ต้องมากพิธี เช่อเฟยของข้าเจ้าเองก็ไม่ต้องมากพิธีเช่นกันทำตัวสบาย ๆ เถิด” เจ้าของเสียงทรงอำนาจเอ่ยขึ้นอย่างใจดี ทว่าน้ำเสียงของพระองค์กับไม่ได้ผ่อนคลายเช่นนั้น ฟังแล้วคล้ายกับว่าเพียงแค่ตรัสเป็นพิธีเท่านั้น “ส่วนพวกเจ้ากำลังไล่ตามมือสังหารอยู่ก็จงไล่ตามไปต่อเถอะ” พระองค์รับสั่งโดยไม่ได้หันไปทอดพระเนตรทางกลุ่มชายชุดดำเลยทว่าเพียงพระองค์ทรงตรัส เหล่าชายชุดดำที่นางและพี่รองใช้เวลาอยู่นางในการเจรจาเกลี้ยกล่อม“หม่อมฉันกับพี่ชายไฉนเลยจะกล้าเสียมารยาทต่อพระองค์กันเพคะ” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ สายตาจับจ้องเพียงแค่ที่พื้นดินเบื้องหน้าที่องค์ไท่จื่อเท่านั้น นางไม่แม้แต่จะลอบมองดูพระพักตร์ของพระองค์แม้แต่หางตา“เจ้ากับข้าไม่ถือว่าเป็นคนอื่นคนใกล้ ภรรยาที่ยังไม่เข้า หอของข้าเจ้าไม่จำเ
ตอนที่ 8นักฆ่าสาวชุดขาว คือข้า?ยามนี้เจ้าของใบหน้างามที่มีผ้าคาดปกปิดใบหน้าอยู่นั้น กำลังก้มลงพยายามเลือกหยิบของที่พี่ชายของนางได้โยนทิ้ง เอาไว้ก่อนขึ้นมาถือให้ได้มากที่สุด อ่า ทั้ง ๆ ที่เมื่อครู่พี่รองของนางสามารถหอบหิ้วมาได้ อย่างสบายแท้ ๆ แต่นางกลับทำไม่ได้ จากของทั้งหมดเต็มนางหอบหิ้วเต็มที่ด้วยความสามารถของตนก็ได้เพียงแค่หนึ่งในสาม ส่วนเท่านั้น ทำเช่นไรดีเล่าหรือว่าจะต้องเลือกทิ้งของเช่นนั้นหรือ น่า เสียดายแย่เลยหากต้องทำเช่นนี้ เมื่อครู่พี่ชายให้นางล่วงหน้ากลับไปก่อนเห็นทีจะไม่อาจ ทำตามได้แล้ว ในเมื่อความเสียดายของเกินกว่าจะตัดใจ ทำให้หญิงสาวตัดสิ้นใจจะยืนคอยพี่ชายนางอยู่ที่จุดเดิมแทนเฉินจินฮวานั้นเปิดห่อขนมแป้งปั้นขึ้นมาหยิบทานเพื่อฆ่าเวลาไม่นานพี่รองของนางก็เดินกลับมาพร้อมกับประคองแม่นางผู้หนึ่งที่ดูคุ้นตานางกลับมาด้วย“เจ้า คือแม่นางที่ร้านน้ำชาไม่ใช่หรือ เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า กัน” นางเอ่ยถามพลางเดินไปประคองแม่นางแทนพี่รองของตนสภาพของนางไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ผมเผ้าหลุดลุ่ย เสื้อผ้า ที่นางสวมใส่อาจจะมีสภาพไม่ต่างกันนักเพราะว่ามันถูกปกปิดเอาไว้ด้วยเสื้อคลุมสีดำตัวยาม
ตอนที่ 7อิสระสุดท้ายตั้งแต่วันที่ได้รับพระราชโองการแต่งตั้งเป็นเช่อเฟย ชายารองในองค์ไท่จื่อ จวนเฉินไท่เว่ยนั้นมีผู้คนเข้าออกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นคนจากวังหลวงหรือว่าเป็นคนจากตำหนักบูรพาผู้คนเหล่านี้ล้วนเข้ามาหานางเพื่อจัดการเรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นชุดมงคลที่นางจะต้องสวมใส่ในวันที่เข้าสู่ตำหนักบูรพา และชุดที่ต้องตัดใหม่เพื่อสวมใส่ให้สมกับตำแหน่งเช่อเฟยมีนางกำนัลอาวุโสและนางกำนัลรับใช้รวมแล้วหกคนถูกพระสนมฉุนหวงกุ้ยเฟยรับสั่งให้มาสอนมารยาทและข้อควรรู้บางอย่างเกี่ยวกับราชวงศ์แก่นางเพิ่มเติม ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เฉินจินฮวาจะต้องเรียนรู้เพิ่มเติมจริง ๆเพราะว่าถึงสกุลเฉินจะมีหน้ามีตา เป็นสกุลขุนนางใหญ่มีชื่อเสียงแต่ก็ไม่ใช่ราชวงศ์ ซึ่งแน่นอนว่าย่อมมีการปฏิบัติที่ต่างกันและละเอียดอ่อนในบางเรื่อง การเรียนรู้ข้อควรระวังและปฏิบัติเอาไว้ก่อนเป็นการดีต่อนางเองด้วยหลังจากช่วงเช้าที่นางเรียนกับเชามามานางกำนัลอาวุโส (มามา คือ คำเรียกนางกำนัลอาวุโส) เสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงได้ชวนพี่รองของนางแอบออกไปเดินเที่ยวที่ตลาดในช่วงเย็นของวันที่ว่าแอบออกมาก็คือแอบออกมาจริง ๆ นางกับผู้เป็นพี่ชายนั้นพากันโดดข้
ตอนที่ 6เตรียมตัวเข้าสู่ตำหนักบูรพา“ทูลองค์ไท่จื่อ ฝ่าบาทมีราชโองการแต่งตั้ง เช่อเฟยให้พระองค์อีกผู้หนึ่งแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ฝูกงกง ผู้ดูแลรับใช้ใกล้ชิดมาตั้งแต่ยังเยาว์เอ่ยรายงาน“คราวนี้เป็นสตรีจากสกุลใด” เจ้าของเสียงทรงอำนาจตรัสถามขึ้น ใบหน้าหล่อเหลายังคงนิ่งเรียบเฉยไม่แสดงสีหน้าใด ๆ “สตรีจากสกุลเฉิน หลานสาวคนเล็กของท่านเฉินไท่เว่ยพ่ะย่ะค่ะ”“คิดเอาไว้ไม่ผิด ว่าต้องเป็นสตรีจากสกุลเฉิน” โม่หลงอวี้ตรัส เสด็จพ่อของพระองค์ตั้งใจแต่งตั้งเช่อเฟยเข้ามาทีละคน ๆ จากสามสกุลใหญ่ที่ทรงอำนาจในราชสำนัก เช่อเฟยคนแรกที่ทรงแต่งตั้งให้ เมื่อต้นปีคือคนจากสกุลหมิง เช่อเฟยคนที่สองก็มาจากสกุลสวี เพราะฉะนั้น เช่อเฟยคนที่สามนี้ย่อมต้องมาจากสกุลเฉินอย่างแน่นอน ฝ่าบาททรงตั้งพระทัยแต่แรกแล้วว่าจะส่งพวกนางเข้ามาในตำหนักบูรพาแห่งนี้ เพื่อเริ่มการคานอำนาจกันและกันของพวกนางในภายหน้าและดูท่าทีของแต่ละสกุลด้วยแต่งตั้งหมิงเช่อเฟยเป็นคนแรก เพราะต้องการตรึงอำนาจขุนนางในราชสำนัก ต่อมาแต่งตั้งสวีเช่อเฟยเพราะต้องการตรึงอำนาจเหล่าบัณฑิต คราวนี้ตั้งเฉินเช่อเฟยเพราะต้องการตรึงอำนาจทหารจากจวนแม่ทัพใหญ่ในวังมีสนมกุ้ยผิน จ
ตอนที่ 5ราชโองการที่ไม่คาดคิด“ท่านปู่ ท่านพ่อ ขนมกับน้ำชาเจ้าค่ะ” เฉินจินฮวาเอ่ยขึ้น ก่อนที่นางจะรินน้ำชาด้วยตัวเองแล้วจึงยื่นไปให้ท่านปู่และท่านพ่อของตน“ชาดี ดื่มแล้วสดชื่นนัก” ท่านพ่อเอ่ยชม“ลูกชายเจ้ากล่าวผิดแล้ว ชาดีดื่มแล้วสดชื่นกว่าทุกครั้งเป็นเพราะหลานสาวคนเล็กของข้า จินเอ๋อร์เป็นผู้รินให้ด้วยตัวเองต่างหาก” เฉินไท่เว่ยกล่าวขึ้น“ท่านปู่เอ่ยเช่นนี้ หากข้าเป็นคนรินให้ท่าน ชาก็จะพิเศษเช่นกันใช่หรือไม่เจ้าคะ” พี่ใหญ่ของนางเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ข้างกายนาง“หลานสาวสองคนใครรินให้ก็รสชาติดีกว่าเดิมแน่อยู่แล้วล่ะ” ผู้เป็นปู่ผู้รักหลานสาวมากล่าวอย่างเอ็นดู “แล้วถ้าหากข้าเป็นคนรินให้เล่าขอรับท่านปู่” คราวนี้เป็นพี่รองนางที่เอ่ยขึ้นบาง เขาไม่เพียงเอ่ยยังเอื้อมมือมาหยิบกาน้ำชามาเติมให้ท่านปู่และท่านพ่อเพิ่มอีก“ชาดี กลายเป็นชาขมอย่างไม่ต้องสงสัย” ผู้เฒ่าเฉินพูดก่อนจะเทชาในถ้วยที่ถูกรินให้โดยหลานชายทิ้งในทันที“เสียบรรยากาศจริง ฟูหมิงเจ้าฝึกดาบฝึกกระบี่ก็ดีอยู่แล้วอย่ามาทำลายอารมณ์สุนทรีย์ของข้ากับปู่เจ้าเลย”หลานชายสายหลักเพียงคนเดียวถูกไล่อย่างไม่ไว้หน้าเลยทีเดียวเฉินฮูหยินเมื่อ
ตอนที่ 4ความกังวลใจนางคิดถูกแล้วที่ไม่รอเปิดถุงคำทำนายพร้อมกับท่านแม่และพี่ใหญ่ หลังจากเก็บกระดาษทำนายใส่ถุงตามเดิมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ประจวบเหมาะกับที่อาหลัวมาถึงพอดี“คุณหนู ตื่นหรือยังเจ้าคะ บ่าวขอเข้าไปนะเจ้าคะ” เสียงของอาหลัวดังขึ้นอยู่ที่ห้องด้านหน้าก่อนที่เจ้าตัวจะค่อย ๆ เดินเข้ามาในห้องด้านในซึ่งก็คือส่วนของห้องนอนของนาง“ข้าตื่นแล้ว อาหลัวเจ้าเข้ามาเถอะ” นางเอ่ยตอบสาวใช้คนสนิท ก่อนจะปรับสีหน้าจากเดิมที่เคยเคร่งเครียด เป็นสีหน้าสบาย ๆ แทนอาหลัวช่วยนางจัดการล้างหน้าผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า วันนี้เป็นวันสำคัญที่พี่ใหญ่ของนางจะกลับมาเยี่ยมบ้านหลังจากแต่งงาน นางจึงต้องแต่งตัวให้มีสีสันเสียหน่อยเพื่อที่จะได้เป็นมงคลต่อพี่ใหญ่ของนางอาหลัวช่วยนางเลือกชุดสีสีส้มคลุมทับด้วยเสื้อปักลายดอกไม้ด้วยด้ายสีขาวผูกทับด้วยผ้าคาดเอวสีผ้าอ่อน ส่วนผมของนางนั้นด้านหน้าถูกรวบขึ้นสูงม้วนขึ้นขดเป็นเกลียวนูนอย่างประณีต ผมด้านหลังถูกหวีอย่างเป็นระเบียบปล่อยปลายผมยาวตรงถึงเอวเล็กปิ่นระย้าชิ้นหนึ่งซึ่งเป็นปิ่นดอกไม้เช่นเดียวกันกับลายบนชุดของนางถูกเลือกขึ้นมาใช้ปักประดับผมของนางพร้อมกับต่างหูที่เข้าคู่กัน
ตอนที่ 3คำทำนาย ความฝันยามนี้เฉินจินฮวาก้าวขึ้นรถม้าอย่างไม่ค่อยจะเข้าใจนัก หากถามว่าเหตุใดนางจึงเป็นเช่นนี้น่ะหรือ ก็คงจะต้องย้อนความไปเมื่อครึ่งเค่อก่อนหน้านี้ ที่จู่ ๆ ท่านนักพรตหญิงผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นและเดินผ่านฝูงชนจำนวนมากที่ลานหน้าอารามมาหยุดอยู่เบื้องหน้านาง พร้อมกับยื่นถุงผ้าสีเหลืองไร้ลวดลายใบหนึ่งให้นาง พร้อมกับกล่าวว่า ถุงผ้าใบนี้ เป็นนักพรตลู่อวี้มอบให้นางนางยังจำได้ดีว่าในขณะนั้นที่ลานของอารามที่เคยมีเสียงพูดคุยดังอยู่เล็กน้อยนั้นเงียบสนิทลงทันที ทุกสายตาจากทั่วทั้งสารทิศต่างจับจ้องมาที่นางเป็นตาเดียวเวลานั้นเหมือนว่าผู้ที่มีสติที่สุดคงจะหนีไม่พ้นพี่รองของนาง เขาจัดการสักให้ผู้ติดตามรีบมายืนบังนางเอาไว้และรีบพานางและท่านแม่ลงมาจากอารามทันทีโดยที่แม้แต่มารดาของนางก็ยังไม่ได้มีโอกาสเอ่ยลาท่านป้าฟางดี ๆ เลยด้วยซ้ำพี่รองของนางคงกลัวว่าจะเกิดการจลาจลขึ้น จึงรีบพาพวกนางออกจากอาราม ซึ่งจากสายตาที่ผู้อื่นมองมายังนางในเวลานั้นก็เป็นไปได้ว่าอาจจะเกิดจลาจลขึ้นได้จริง ๆ“ท่านแม่ ผู้คนรออยู่ตั้งมากมาย คำทำนายให้เพียงแค่คนคนเดียวจริงหรือขอรับ” ฟูหมิงเอ่ยถามมารดาตนทันที เมื่อรถ
ตอนที่ 2นักพรตตาบอดตั้งแต่ยังไม่ทันจะรุ่งสางดีด้วยซ้ำ ประตูหน้าจวนสกุลเฉินก็มีขบวนแม่สื่อมารออยู่หน้าจวนแล้ว พ่อบ้านเกิงอี้ผู้รับใช้สกุลเฉินมานานออกมารับหน้าขบวนแม่สื่อนี้ก่อนเป็นอันดับแรก ก่อนที่จะพาเข้าจวนไปพบผู้เป็นนายทั้งหลายที่ตนได้ส่งคนไปแจ้งถึงนายท่านและฮูหยินแล้วนายท่านเฉินและเฉินฮูหยินไม่ได้ออกมารับหน้าแม่สื่อด้วยตนเองเพียงแค่สั่งให้พ่อบ้านเกิงอี้เป็นคนรับเทียบสู่ขอเอาไว้เท่านั้นและจึงได้เชิญแม่สื่อกลับไป (จริง ๆ หากจะให้กล่าวตามความจริงไม่ใช่เชิญกลับแต่เป็นบังคับให้กลับต่างหาก)ด้านเทียบสู่ขอที่ถูกนำมาให้ในวันนี้ก็ถูกเก็บใส่กล่องเข้าห้องเก็บของไปในทันทีโดยที่เจ้าบ้านสกุลเฉินไม่แม้แต่จะถามถึงหรือเอ่ยของดูแม้สักตัวอักษรคุณหนูสกุลเฉินนั่น มิใช่ใครใคร่จะสู่ขอก็จะสู่ขอได้ตามอำเภอใจ ความเป็นจริงข้อนี้เกิงอี้ผู้เป็นพ่อบ้านย่อมรู้ดีเป็นที่สุดหลังจากที่จัดการกับเทียบสู่ขอเรียบร้อยแล้ว ตัวเขาจึงได้เร่งฝีเท้าไปที่ห้องครัวใหญ่ของจวนเพื่อที่จะตรวจดูความเรียบร้อยของอาหารเช้าในวันนี้ อีกทั้งยังต้องไปเร่งของว่างที่เอาไว้รับประทานขณะเดินทางไปยังอารามนอกเมืองของฮูหยินเฉินและคุณหนูสามในวั