ตอนที่ 7
อิสระสุดท้าย
ตั้งแต่วันที่ได้รับพระราชโองการแต่งตั้งเป็นเช่อเฟย ชายารองในองค์ไท่จื่อ จวนเฉินไท่เว่ยนั้นมีผู้คนเข้าออกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นคนจากวังหลวงหรือว่าเป็นคนจากตำหนักบูรพา
ผู้คนเหล่านี้ล้วนเข้ามาหานางเพื่อจัดการเรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นชุดมงคลที่นางจะต้องสวมใส่ในวันที่เข้าสู่ตำหนักบูรพา และชุดที่ต้องตัดใหม่เพื่อสวมใส่ให้สมกับตำแหน่งเช่อเฟย
มีนางกำนัลอาวุโสและนางกำนัลรับใช้รวมแล้วหกคนถูกพระสนมฉุนหวงกุ้ยเฟยรับสั่งให้มาสอนมารยาทและข้อควรรู้บางอย่างเกี่ยวกับราชวงศ์แก่นางเพิ่มเติม ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เฉินจินฮวาจะต้องเรียนรู้เพิ่มเติมจริง ๆ
เพราะว่าถึงสกุลเฉินจะมีหน้ามีตา เป็นสกุลขุนนางใหญ่มีชื่อเสียงแต่ก็ไม่ใช่ราชวงศ์ ซึ่งแน่นอนว่าย่อมมีการปฏิบัติที่ต่างกันและละเอียดอ่อนในบางเรื่อง การเรียนรู้ข้อควรระวังและปฏิบัติเอาไว้ก่อนเป็นการดีต่อนางเองด้วย
หลังจากช่วงเช้าที่นางเรียนกับเชามามานางกำนัลอาวุโส (มามา คือ คำเรียกนางกำนัลอาวุโส) เสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงได้ชวนพี่รองของนางแอบออกไปเดินเที่ยวที่ตลาดในช่วงเย็นของวัน
ที่ว่าแอบออกมาก็คือแอบออกมาจริง ๆ นางกับผู้เป็นพี่ชายนั้นพากันโดดข้ามกำแพงจวนออกมาจากจวนสกุลเฉิน
เหตุที่จำเป็นต้องแอบออกมานั้นก็เป็นเพราะว่า ยามนี้เป็นช่วงเวลาที่ทุกสายตาต่างกำลังจับจ้องมาที่นางและสกุลเฉิน
อีกไม่กี่วันนางก็จะเข้าสู่ตำหนักบูรพาแล้ว ตามจริงแล้วไม่ควรออกมาเดินเที่ยวเล่นข้างนอกเช่นนี้ ควรจะอยู่แต่ในจวนเตรียมขึ้นเกี้ยวสู่ตำหนักใหญ่
แต่หากนางไม่ใช้โอกาสออกมาในครั้งนี้ เกรงว่าเมื่อเข้าสู่วังบูรพาแล้วนั้นจะไม่มีโอกาสออกมาเดินเล่นอย่างอิสระเช่นนี้อีก
พี่รองนั้นเหมือนจะเข้าใจนางได้เป็นอย่างดี ยามที่นางให้อาหลัวไปชักชวนเขาจึงตกปากรับคำไม่ปฏิเสธ
“พี่รองท่านเป็นถึงรองแม่ทัพ มีหน้ามีตาหากมีผู้ใดล่วงรู้ว่าท่านต้องปีนหนีออกมาจากจวนของตัวเองคงต้องถูกขบขันไม่น้อย”
“ขอแค่น้องสาวพี่มีความสุข ผู้อื่นอยากจะพูดอะไรก็ปล่อยให้พูดเถอะ” พี่รองของนางนั้นกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม “อีกอย่างพวกเราปลอมตัวกันขนาดนี้แล้วยังจะมีผู้ใดจำได้อีก” ชายหนุ่มกล่าวเสริม
เฉินจินฮวาได้ฟังก็หันไปมองสำรวจพี่ชายนางอย่างละเอียดอีกครั้งแล้วจึงได้ข้อสรุปว่า พี่ชายของนางนั้นไม่ได้ต่างอะไรจากปกติเดิมนัก
อาภรณ์สีดำสนิทบนร่างสูงก็ยังคงเป็นแบบเดียวกับที่ใส่อยู่เป็นประจำ
“พี่รอง ข้ามองไม่ออก ว่าท่านเปลี่ยนจากเดิมตรงไหน”
“วันนี้พี่ไม่ได้พกกระบี่หรือดาบประจำกายมาด้วยอย่างไรเล่า ดีมากเลยใช่หรือไม่ดูกลมกลืนกับพวกชาวบ้านได้ไม่เลวเลยล่ะสิ”
“กลมกลืนเจ้าค่ะ กลมกลืนอย่างยิ่ง” แม้จะกล่าวออกไปเช่นนั้น แต่ความจริงแล้วความคิดกลับตรงกันข้าม
'พี่รองท่านไม่ได้ดูกลมกลืนเลยแม้แต่น้อย'
วันนี้มีตลาดกลางคืนที่จะจัดขึ้นเดือนละครั้ง ตลาดร้านค้าแผงลอยทอดยาวสุดลูกหูลูกตา มีทั้งตั้งแผงขายของ ขายอาหารการกินนานาชนิด
ตลอดเส้นทางนั้นถูกตกแต่งด้วยผ้าหลากหลายสีสันทำให้บรรยากาศดูสวยงามและผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง
นางกับพี่ชายเดินเคียงข้างกันจนมาถึงร้านน้ำชาข้างทางร้านเล็ก ๆ ร้านหนึ่ง ซึ่งสร้างเป็นเพิงสำหรับนั่งไม่กี่โต๊ะนั่งเท่านั้น นางโชคดีที่พอมาถึงร้านก็มีคนลุกออกไปพอดีจึงได้ที่นั่ง
พี่ชายของนางรับหน้าที่เป็นผู้สั่งชุดน้ำชาและของวางกับคนขายที่หน้าร้าน ส่วนนางนั้นก็เข้ามานั่งรออยู่ที่โต๊ะก่อน ครู่เดียวเท่านั้นพี่รองก็ตามมานั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามกับนาง
ไม่นานของที่สั่งก็ถูกนำมาให้ที่โต๊ะ เป็นแม่นางน้อยผู้หนึ่งที่ดูแล้วน่าจะอายุน้อยกว่าสองสามปีนั้นเป็นผู้นำมาให้ แม่นางผู้นี้มีใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักไม่น้อยทีเดียว อีกทั้งยังยิ้มแย้มอย่างเป็นมิตรจนเฉินจินฮวาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยทักทายนาง
“เจ้าคงจะเป็นบุตรสาวของเจ้าของร้านน้ำชาแห่งนี้กระมัง”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ท่านยังต้องการสิ่งใดอีกก็สามารถสั่งที่ข้าได้เลยเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้น ข้าอยากทราบว่าของว่างที่ขึ้นชื่อของร้านเจ้าคืออะไรอย่างนั้นหรือ ไม่รู้ว่าหนึ่งในขนมสามชนิดที่ข้าได้สั่งมาก่อนหน้านี้มีรวมอยู่หรือไม่”
แม่นางน้อยมองสำรวจบนโตก่อนที่จะกล่าวขึ้น
“ขนมขึ้นชื่อของร้านเราพวกท่านไม่ได้สั่งมาเลยเจ้าค่ะ”
“พี่รอง ท่านใช้ได้เลยนะเจ้าคะ สั่งของว่างมาตั้งสามอย่างแต่ไม่ใช่ของขึ้นชื่อของร้านเลยแม้สักจานเดียว” เป็นเฉินจินฮวาที่หันไปเอ่ยกับพี่ชาย
“เช่นนั้นก็สั่งเพิ่ม ประเดี๋ยวค่อยห่อที่เหลือกลับจวนก็แล้วกัน” รองแม่ทัพหนุ่มกล่าวเสียงเรียบ ก่อนจะหันไปจิบน้ำชาในมือต่อ
“ก็คงจะต้องเป็นเช่นนั้นล่ะเจ้าค่ะ” นางเอ่ยกับพี่รองก่อนที่จะหันไปมองที่แม่นางน้อยร้านชาต่อและจึงเอ่ยขึ้น “รบกวนเจ้านำของวางขึ้นชื่อของร้านเจ้ามาที”
“เจ้าค่ะ แม่นางโปรดรอสักครู่” แม่นางน้อยรับคำก่อนจะเดินกลับไปหาบิดาที่ยืนอยู่ที่แผงหน้าร้าน
“พี่รองท่านดูนางสิ ช่วยงานบิดาตนได้คล่องแคล่วยิ่งนัก ทำเอาข้าคิดอยากจะย้อนเวลากลับไปเสียจริง”
“หากย้อนกลับไปได้แล้วอย่างไร ท่านพ่อของพวกเราไม่ได้เปิดร้านขายชาเสียหน่อย ท่านรบทัพจับศึกหรือว่าน้องพี่ เจ้าหมายจะเป็นแม่ทัพหญิง”
“เป็นแม่ทัพหญิงก็ไม่เลวทีเดียว หากข้าขยันฝึกวรยุทธ์ไม่แน่ ยามนี้คงได้เป็นรองแม่ทัพเช่นเดียวกับพี่รองแล้วก็ได้”
“เจ้าเอ่ยออกมาเช่นนี้ ทำเอาพี่ชายอย่างข้าอดที่จะปวดใจไม่ได้ เมื่อนึกภาพยามที่เจ้าเป็นแม่ทัพ”
“ท่านนึกภาพเช่นไรออกอย่างนั้นหรือเจ้าคะพี่รอง”
“ภาพที่พี่นึกออกในหัว มีเพียงเจ้าที่นอนกลางดินกินกลางทราย กินก็ไม่สบายนอนก็ไม่สบาย ไม่เหมาะกับเจ้าหรอก หากต้องเห็นเจ้าเป็นเช่นนั้นข้ากับท่านปู่ท่านพ่อได้เป็นบ้าแน่” พี่ชายที่รักน้องสาวเป็นดั่งแก้วตาดวงใจเอ่ยออกมา
“น้องสาวข้า เจ้าควรอยู่แต่ในที่สบาย ๆ เท่านั้น กินให้อิ่ม นอนให้อุ่น มีชีวิตเป็นดั่งเช่นของล้ำค่าต่อไปเถอะ”
เฉินจินฮวาเมื่อได้ฟังสิ่งที่พี่ชายเอ่ยออกมาก็ทำเพียงยิ้มรับคำพูดเหล่านั้น
หากเป็นเมื่อก่อนนางคงตอบกลับไปอย่างไม่ต้องคิดเลยว่า ได้กินอิ่มน้อยหลับใช้ชีวิตเป็นดั่งของล้ำค่าของพวกท่านทั้งครอบครัวสกุลเฉินนั้นสำหรับนางนั้นดียิ่งกว่าสิ่งใด
แต่ตอนนี้นางกลับไม่อาจเอ่ยสิ่งใดออกไปได้เลย เพราะไม่รู้ว่าภายหน้าตนนั้นจะยังมีชีวิตอยู่ได้นานเพียงใด ตัวนางจะรอดจากภัยร้ายที่ฝันเห็นได้อย่างไร
เส้นทางข้างหน้าของนางถูกกำหนดเอาไว้แล้ว มันคงจะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะฝืนชะตา
แต่นางก็อยากจะลองฝืนชะตาตนเองดูอีกครั้งเพื่อจะได้มีชีวิตต่อไป ให้ครอบครัวที่รักของนางได้เห็นนางได้มีชีวิตอยู่ ชีวิตที่สุขสบายเช่นที่พวกเขาต้องการเห็น
เคราะห์กรรมนี้นางต้องหาทางผ่านมันไปให้ได้ นางจะต้องทำทุกวิธีเพื่อก้าวผ่านชะตากรรมอันโหดร้ายนี้
ข้าต้องรอด
ข้าต้องรอดให้ได้
ข้าต้องมีชีวิตยืนยาวต่อไป
พวกเราพี่น้องเดินกลับจวนสกุลเฉินอย่างไม่เร่งรีบ สองมือพี่รองของนางเต็มไปด้วยห่อขนมและของฝากมากมายที่นางเลือกซื้อมาจากตลาดกลางคืน
“พี่รอง อีกไม่กี่วันข้าก็ต้องเข้าวังบูรพาแล้ว ท่านกับท่านพ่อเองเมื่อหมดกำหนดพักก็จะต้องกลับเข้าค่ายทหารที่นอกเมือง ท่านแม่อยู่ที่จวนเพียงคนเดียว นางคงจะต้องเหงามากเป็นแน่”
“พี่จะบอกพี่ใหญ่ให้นางกลับมาเยี่ยมท่านแม่บ่อย ๆ”
“พี่ใหญ่แต่งออกไปแล้ว ที่จวนพี่เขยคงจะมีหลายเรื่องที่ นางต้องจัดการ ไม่สู้พี่รองท่านหาพี่สะใภ้สักคนให้ท่านแม่ก่อนกลับค่ายเป็นอย่างไร หากทำเช่นนี้ที่จวนท่านแม่ก็จะมีเพื่อนคุย มีพี่สะใภ้ค่อยทำ กิจกรรมต่าง ๆ ด้วยกัน”
“เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าแต่งพี่สะใภ้ให้เจ้าพร้อมกันสี่คนเลยดี หรือไม่” รองแม่ทัพหนุ่มเอ่ยประชด
“สามภรรยาสี่อนุ ก็ดีนะเจ้าคะ จวนสกุลเฉินเราคงคึกคักน่าดู เชียว”
“หึ หากข้าแต่งสามภรรยาสี่อนุจริงท่านแม่คงจะต้องปวดหัว มากกว่าดีใจกระมัง พวกนางคงอยู่กันอย่างสงบไม่ง่ายและก็คงไม่ได้ด้วย”
เฉินจินฮวาได้ฟังก็อดจะหัวเราะออกมาไม่ได้ เป็นเช่นพี่ชาย นางกล่าวจริง ๆ มีภรรยามากไปก็ค่อนข้างจะมากความ หากเป็นเช่นนั้นท่านแม่นางอาจคิดถึงขั้นปลงผมออกบวชหนีความสงบกันเลยก็เป็นไป ได้
“เช่นนั้นพี่รอง ท่านคิดว่าในตำหนักบูรพานั้นเงียบสงบเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ข้าเคยได้ยินมาว่าสนมชายาในองค์ไท่จื่อมีมากมายนัก”
นางเอ่ยถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงไม่ยินดียินร้าย ทว่าผู้ที่ถูกถามกลับนิ่งไปครู่หนึ่งเลยทีเดียว
“เรื่องในตำหนักบูรพาคนนอกอย่างพี่ก็ไม่เข้าใจเช่นกัน เจ้าเอ่ยถามเช่นนี้หรือว่ากำลังรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้างเช่นนั้นหรือ”
“มิใช่ว่าไม่สบายใจหรอกเจ้าค่ะ ข้าเพียงแค่ถามดูเท่านั้นเอง”
“ตัวพี่เองก็ไม่แน่ใจนัก แต่ก็ได้ยินมาว่าองค์ไท่จื่อนั้น ค่อนข้างรักความสงบเป็นอย่างยิ่ง พระองค์ไม่ชอบความวุ่นวายสักเท่าไหร่ และก็ทรงเด็ดขาดมากพอที่จะทำให้คนในตำหนักพวกนั้นไม่กล้าสร้างความวุ่นวาย”
เขาก็ทำได้แค่พูดให้น้องสาวตนสบายใจเท่านั้น เพราะเรื่องที่เกี่ยวกับในตำหนักบูรพานั้นเขาไม่รู้เลยจริง ๆ
ผู้ที่อยู่เหนือคนทั้งแคว้นอยู่ใต้ฮ่องเต้เพียงคนเดียวนั้นสุด
แสนจะคาดเดาได้จริง ๆ
“ข้าก็แค่เอ่ยถามเล่น ๆ ไปเท่านั้น พี่รองท่านอย่า เคร่งเครียด ไปเลยเจ้าค่ะ” นางกล่าวพร้อมรอยยิ้มกว้าง
เฉินฟูหมิงมองดูรอยยิ้มนี้ของน้องสาวด้วยความไม่สบายใจ นัก ในใจเริ่มมีความกังวล หรือว่าเขาควรจะเข้าไปปรึกษาท่าน ปู่กับ ท่านพ่อดูอีกครั้งว่าจะช่วยไม่ให้จินเอ๋อร์เข้าตำหนักบูรพาได้ หรือไม่
ชายหนุ่มเริ่มขบคิดอย่างหนัก จนยืนนิ่งจมอยู่ในความคิดที่ กำลังตีกันยุ่งไปหมด จนกระทั่งจินเอ๋อร์น้องสาวของเขาตรงเข้า มาเขย่า แขนของเขานั่นแหละ ชายหนุ่มจึงหลุดออกจากภวังค์ความคิดของตน
“พี่รอง ข้าเหมือนได้ยินเสียงร้องให้ช่วยเลยเจ้าค่ะ ท่านได้ยิน เช่นเดียวกับข้าไหมเจ้าคะ”
“ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย ช่วยด้วย!!!”
เมื่อได้สติเฉินฟูหมิงก็ได้ยินเสียงร้องขอให้ช่วยของสตรี ดังมาจากตรอกด้านหน้า จึงได้เร่งหันมากำชับน้องสาวของตน
“จินเอ๋อร์เจ้ารอพี่อยู่ที่นี่ก่อน หากเห็นท่าไม่ดีก็ให้ใช้วิชาตัวเบาหนีไปเสีย”
“เจ้าค่ะ ข้าทราบแล้ว พี่รองอย่าได้เป็นห่วง” นางรับคำพี่ชายตน
ฟูหมิงโยนของที่เขาหอบหิ้วมาทั้งหมดลงพื้นข้างทาง ก่อนจะเร่งทะยานฝีเท้าไปยังเบื้องหน้าทิศทางที่เสียงร้องแว่วมา
ตอนที่ 8นักฆ่าสาวชุดขาว คือข้า?ยามนี้เจ้าของใบหน้างามที่มีผ้าคาดปกปิดใบหน้าอยู่นั้น กำลังก้มลงพยายามเลือกหยิบของที่พี่ชายของนางได้โยนทิ้ง เอาไว้ก่อนขึ้นมาถือให้ได้มากที่สุด อ่า ทั้ง ๆ ที่เมื่อครู่พี่รองของนางสามารถหอบหิ้วมาได้ อย่างสบายแท้ ๆ แต่นางกลับทำไม่ได้ จากของทั้งหมดเต็มนางหอบหิ้วเต็มที่ด้วยความสามารถของตนก็ได้เพียงแค่หนึ่งในสาม ส่วนเท่านั้น ทำเช่นไรดีเล่าหรือว่าจะต้องเลือกทิ้งของเช่นนั้นหรือ น่า เสียดายแย่เลยหากต้องทำเช่นนี้ เมื่อครู่พี่ชายให้นางล่วงหน้ากลับไปก่อนเห็นทีจะไม่อาจ ทำตามได้แล้ว ในเมื่อความเสียดายของเกินกว่าจะตัดใจ ทำให้หญิงสาวตัดสิ้นใจจะยืนคอยพี่ชายนางอยู่ที่จุดเดิมแทนเฉินจินฮวานั้นเปิดห่อขนมแป้งปั้นขึ้นมาหยิบทานเพื่อฆ่าเวลาไม่นานพี่รองของนางก็เดินกลับมาพร้อมกับประคองแม่นางผู้หนึ่งที่ดูคุ้นตานางกลับมาด้วย“เจ้า คือแม่นางที่ร้านน้ำชาไม่ใช่หรือ เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า กัน” นางเอ่ยถามพลางเดินไปประคองแม่นางแทนพี่รองของตนสภาพของนางไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ผมเผ้าหลุดลุ่ย เสื้อผ้า ที่นางสวมใส่อาจจะมีสภาพไม่ต่างกันนักเพราะว่ามันถูกปกปิดเอาไว้ด้วยเสื้อคลุมสีดำตัวยาม
ตอนที่ 9ภรรยาที่ยังไม่ได้เข้าหอ“กระหม่อมเฉินฟูหมิงถวายพระพรองค์ไท่จื่อพ่ะย่ะค่ะ”“หม่อมฉันเฉินจินฮวาถวายพระพรองค์ไท่จื่อเพคะ” นางและพี่ชายทำความเคารพทันทีเมื่อรู้แล้วว่าบุรุษที่เปี่ยมไปด้วยท่าทางทรงอำนาจนั้นที่แท้ก็คือองค์ไท่จื่อ ผู้ที่ทั้งแคว้นนั้นนอกจากฝ่าบาทแล้วก็ไม่มีใครเหนือกว่าพระองค์อีก“รองแม่ทัพเฉินไม่ต้องมากพิธี เช่อเฟยของข้าเจ้าเองก็ไม่ต้องมากพิธีเช่นกันทำตัวสบาย ๆ เถิด” เจ้าของเสียงทรงอำนาจเอ่ยขึ้นอย่างใจดี ทว่าน้ำเสียงของพระองค์กับไม่ได้ผ่อนคลายเช่นนั้น ฟังแล้วคล้ายกับว่าเพียงแค่ตรัสเป็นพิธีเท่านั้น “ส่วนพวกเจ้ากำลังไล่ตามมือสังหารอยู่ก็จงไล่ตามไปต่อเถอะ” พระองค์รับสั่งโดยไม่ได้หันไปทอดพระเนตรทางกลุ่มชายชุดดำเลยทว่าเพียงพระองค์ทรงตรัส เหล่าชายชุดดำที่นางและพี่รองใช้เวลาอยู่นางในการเจรจาเกลี้ยกล่อม“หม่อมฉันกับพี่ชายไฉนเลยจะกล้าเสียมารยาทต่อพระองค์กันเพคะ” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ สายตาจับจ้องเพียงแค่ที่พื้นดินเบื้องหน้าที่องค์ไท่จื่อเท่านั้น นางไม่แม้แต่จะลอบมองดูพระพักตร์ของพระองค์แม้แต่หางตา“เจ้ากับข้าไม่ถือว่าเป็นคนอื่นคนใกล้ ภรรยาที่ยังไม่เข้า หอของข้าเจ้าไม่จำเ
ตอนที่ 10ตำหนักบูรพาวันนี้เป็นอีกวันที่ ณ จวนสกุลเฉินตกแต่งไปด้วยผ้าแดงและกระดาษมงคลทั่วทั้งจวน เกี้ยวรับเจ้าสาวขนาดแปดคนหามพร้อมด้วยขบวนรับเจ้าสาวนั้นก็รอท่าอยู่ที่หน้าจวนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะขาดก็แค่ผู้ที่ขบวนมารอนั้นยังไม่ได้ก้าวเท้าออกมาจากประตูจวนการที่มีราชโองการแต่งตั้งบุตรสาวคนเล็ก เฉินจินฮวา เป็นเฉินเช่อเฟยในรัชทายาทนั้นไม่มีผู้ใดในเมืองหลวงยังไม่ทราบ ขุนนางน้อยใหญ่ต่างส่งของขวัญแสดงความยินดีมาให้สกุลเฉินไม่ขาดสายที่ได้เกี่ยวดองกับเชื้อพระวงศ์แม้ราชโองการแต่งตั้งจะไม่ได้แต่งตั้งในตำแหน่งไท่จื่อเฟยทว่า ตำแหน่งชายารองในเวลานี้ถือว่าสูงนัก เพราะตำแหน่งไท่จื่อเฟยแห่งตำหนักบูรพานั้นยังเว้นว่างอยู่ และใคร ๆ ก็ต่างรู้ว่าเช่อเฟยที่ได้รับแต่งตั้งสองคนก่อนหน้านี้ไม่ค่อยเป็นที่พอพระทัยองค์ไท่จื่อนักผู้คนในเมืองไม่ว่าจะเป็นเหล่าขุนนางหรือชาวเมืองต่างก็พากันจับจ้องมาที่เช่อเฟยคนใหม่อย่างใส่ใจเป็นอย่างยิ่งถึงขั้นที่บ่อนการพนันในเมืองหลายแห่งก็ยังเปิดให้พนันกันว่าเฉินเช่อเฟยคนใหม่นี้จะเป็นที่โปรดปรานหรือไม่แน่นอนว่าเสียงพนันส่วนใหญ่ล้วนลงฝั่งที่จะไม่เป็นที่โปรดปรานไปมากกว่าครึ่ง“อง
ตอนที่ 11แสร้งปล่อยเพื่อจับ?ภายในห้องหอยามนี้มีเพียงแสงสว่างเล็กน้อยจากเทียนมงคลที่ตั้งอยู่ที่โต๊ะกลางห้องหอเพียงเท่านั้นม่านมุ้งแพรสีแดงมงคลหรูสำหรับใช้กั้นที่เตียงนอนถูกกลางออกจนทำให้ไม่สามารถมองเห็นทะลุผ่านเข้าไปด้านในเตียงได้ โม่หลงอวี้เอื้อมพระหัตถ์เลิกม่านกั้นมุ้งออกเล็กน้อย ถึงได้พบว่ายามนี้มีสตรีผู้หนึ่งกำลังนอนหลับสบายอยู่บนเตียง มิหนำซ้ำนางยังนอนทั้งที่มีผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวสีแดงสดคลุมอยู่ เสียด้วยทั่วแคว้นเป่ยซีคงจะมีเพียงเฉินจินฮวา ชายารองผู้นี้ของพระองค์เท่านั้นที่กล้าทำเช่นนี้ หากเป็นสตรีอื่นพระองค์มั่นใจ เป็นอย่างยิ่งว่าอย่างไรก็ไม่มีทางหลับลงในคืนเข้าหอเช่นนี้ที่เจ้าบ่าวยังทันทีจะเปิดผ้าคลุมหน้าให้แน่ยิ่งกว่านั้นผู้ที่นางแต่งด้วยคือเขาที่มีศักดิเป็นถึงไท่จื่อรัชทายาทที่ถูกแต่งตั้งอย่างถูกต้อง มากไปด้วยอำนาจวาสนาอันยิ่งใหญ่ คืนเขาหออันสำคัญเช่นนี้นางยังกล้านอนหลับได้ลงคอดูท่าแล้วเห็นทีว่าสตรีผู้นี้ก็ไม่ได้ยินดียินร้ายกับการที่ต้องเข้ามาเป็นชายารองของเขาเลยแม้แต่น้อย ครั้งที่ได้พบนางเมื่อหลายวันก่อนพระองค์ยังทรงคิดว่าอาจเป็นเพราะนางตั้งใจรักษากิริยาท่าทางเพื่อให้ดูดี
ตอนที่ 12ไม่เต็มใจต้อนรับได้หรือไม่อาหารมื้อแรกของวัน แน่นอนว่าควรจะได้ทานอย่างเต็มที่และสงบสุข เฉินจินฮวาคิดว่านางก็จะได้ผ่อนคลายกับอาหารมื้อแรกเช่นกัน แต่กลับไม่เป็นเช่นที่คิดเมื่อยามนี้บนโต๊ะอาหารกับไม่ได้มีนางเพียงผู้เดียวแต่มีอีกหนึ่งผู้สูงศักดิ์ประทับอยู่ด้วยมิใช่ว่าเมื่อครึ่งชั่วยามก่อนพระองค์เสด็จกลับตำหนักหลักไปแล้วมิใช่หรือ เหตุใดยังกลับมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่อีกเล่า“องค์ไท่จื่อเหตุใดพระองค์เพิ่งเสด็จไปก็เสด็จมาอีกแล้วล่ะเพคะ” เฉินจินฮวาเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงหมดแรง“เมื่อคืนมาไม่ทันได้ทานมื้อค่ำกับเจ้า เปิ่นไท่จื่อจึงคิดจะร่วมทานมื้อเช้ากับเจ้าเพื่อเป็นการทดแทน” โม่หลงอวี้ตรัสด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย พระองค์ไม่ได้หันไปมองใบหน้าเล็กก็สามารถรับรู้ได้ว่าในยามนี้ใบหน้าของนางนั้นดูเศร้าสร้อยเพียงใดเจ้าของพระวรกายเรืองอำนาจยกยิ้มออกมาเล็กน้อย อย่างพอพระทัยกับท่าทีเหงาหงอยของชายารองคนใหม่ผู้นี้ที่กำลังถูกพระองค์กลั่นแกล้ง“พระองค์ไม่ต้องทำเช่นนี้ก็ได้เพคะ หม่อมฉันเกรงว่าอาหารที่ตำหนักทิศประจิมจะไม่ถูกพระทัยพระองค์ เชิญเสด็จกลับไปเสวยที่ตำหนักหลักจะดีกว่านะเพคะ ที่นั่นเครื่องเสวยต่าง
ตอนที่ 13เคราะห์ร้าย?โม่หลงอวี้เพิ่งจะอ่านรายงานลับจบไปเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น ฝูกงกงก็เร่งเข้ามาแจ้งว่าทางตำหนักทิศประจิมนั้นเกิดเรื่อง ชายาคนใหม่ของพระองค์หมดสติไปหลังจากทานโจ๊กเป๋าฮื้อที่พระองค์ให้ฝูกงกงนำไปให้ พระองค์จึงต้องเสด็จไปยังตำหนักทิศประจิมอีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะกลับออกมาได้เพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้นเมื่อพระองค์มาถึงตำหนักทิศประจิมก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ท่านหมอตรวจอาการชายารองคนใหม่ของพระองค์เสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว“เฉินเช่อเฟยเป็นเช่นไรบ้าง เหตุใดนางทานโจ๊กเป๋าฮื้อเข้าไปแล้วจึงได้หมดสติไปเช่นนี้” โม่หลงอวี้เอ่ยถามหมอหลวงหวัง“ทูลองค์ไท่จื่อ เป็นเพราะในโจ๊กเป๋าฮื้อนั้นมีผงรากบัวเจือป่นอยู่พ่ะย่ะค่ะ พระชายารองเฉินนั้นมีอาการแพ้รากบัวอย่างรุนแรงจึงได้หมดสติไปในทันที”“โจ๊กเป๋าฮื้อจะมีผงรากบัวได้อย่างไร ฝูกงกงเจ้าเร่งให้คนไปที่โรงครัวใหญ่แล้วพาตัวหัวหน้าพ่อครัวมาให้เปิ่นไท่จื่อเดี๋ยวนี้”“พ่ะย่ะค่ะ องค์ไท่จื่อบ่าวจะเร่งส่งคนไปเดี๋ยวนี้” ฝูกงกงขานรับคำสั่ง ก่อนจะหันไปสั่งขันทีคนสนิทข้างกายให้ไปจัดการตามคำสั่งขององค์ไท่จื่อในทันที“เมื่อครู่ท่านหมอหลวงหวังกล่าวว่าน
ตอนที่ 14ความบังเอิญในความตั้งใจ“เปิ่นไท่จื่อคิดไม่ถึงว่าเฉินเช่อเฟยผู้นี้จะกล้าลงมือกับตัวเองรุนแรงเช่นนี้ทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะก้าวเข้าตำหนักได้เพียงวันเดียว สตรีผู้นี้ความคิดลึกซึ้งอีกทั้งยังใจเด็ดไม่เบา” “พระองค์ตรัสเช่นนี้ทรงคิดว่าเฉินเช่อเฟยจงใจให้คนใส่ผงรากบัวที่ตนเองแพ้ลงในโจ๊ก” ฝูกงกงเอ่ย“ผู้ช่วยชุนที่เข้ามาใหม่คงจะเป็นคนของจวนไท่เว่ย ข้ารับใช้ที่เพิ่งเพิ่มเข้ามาใหม่คงมีไม่น้อยที่เป็นคนที่เฉินไท่เว่ยส่งเข้ามา”“ไท่จื่อพระองค์ต้องการให้หาตัวคนเหล่านั้นออกมาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” “ไม่จำเป็นต้องหาตัวออกมาให้ได้ เจ้าไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องปกติหรอกหรือที่เหล่าขุนนางพวกนั้นจะส่งคนเข้ามาคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของข้า มีคนจากขุนนางอื่นมากมายหลายสกุลแล้วเพิ่มคนจากสกุลเฉินอีกนิดหน่อยก็คงไม่ถึงกับสิ้นเปลืองข้าวปลาอาหารในตำหนักบูรพานักหรอก”โม่หลงอวี้ตรัสออกมาด้วยท่าทีสบาย ๆ พระพักตร์ไม่บ่งบอกว่ากำลังรู้สึกอย่างไร มีเพียงพระพักตร์นิ่งเฉยที่ไม่อาจคาดเดาพระดำริในพระทัยได้เลยสกุลเฉินนั้นตลอดมาไม่เคยสนใจตำหนักบูรพา ไม่เคยมีการส่งคนเข้ามาแฝงตัวมาก่อน พระองค์พอจะคาดเดาได้ว่าที่จวนเฉินไท่เว่ยเริ่มส
ตอนที่ 15เปลี่ยนศัตรูให้เป็นมิตร“ข้าว่าเฉินเช่อเฟยที่เพิ่งเข้าตำหนักบูรพามาใหม่ คงเป็นสตรี มากแผนการแน่ เจ้าคิดเหมือนกันหรือไม่หมิงเช่อเฟย” สวีเช่อเฟย หรือสวีฟางซินเป็นผู้เอ่ยถามขึ้น ตั้งแต่ตำหนักบูรพารับเช่อเฟยคนใหม่เข้ามานางเองก็เริ่มเกิด ความวิตกกังวลขึ้น ยามนี้ภายในใจจึงค่อนข้างร้อนรนเป็นอย่างมาก“เจ้าและข้าต่างก็ยังไม่เคยเจอนาง จะไม่เร็วไปหน่อยหรือหาก จะตัดสินนางทั้งที่ไม่เคยพบ” หมิงเช่อเฟยหรือหมิงเย่หานเอ่ยตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบ สายตาของนางยังคงจับจ้องอยู่ที่หนังสือเล่ม หนาในมืออย่างสนใจ“ไม่เร็วไปหรอก ยังไม่เจอตัวก็รู้แล้วว่านางต้องไม่ธรรมดา เข้า ตำหนักมาไม่กี่วันก็สร้างเรื่องขึ้นมาเพื่อเรียกร้องความสนพระทัยจากองค์ไท่จื่อ” สวีเช่อเฟยกล่าวออกมาอย่างไม่พอใจ ซ้ำใบหน้างามแสดง สีหน้าไม่พอใจออกมาอย่างไม่ปิดบัง“ความสนพระทัยขององค์ไท่จื่อ ใช่ว่าเรียกร้องแล้วจะได้เสีย เมื่อไหร่กัน เจ้าเองก็น่าจะรู้ดีที่สุดมิใช่เหรอ ว่าหากพระองค์ไม่ทรงสน พระทัยต่อให้ใช้กี่ร้อยวิธีก็ไร้ผล” หมิงเช่อเฟยกล่าวขึ้นเสียงเรียบเช่นเดิม แต่คำพูดนี้ของนางกลับบาดลึกลงสู่หัวใจของสวีฟางซินเป็น อย่างยิ่ง เพรา
ตอนพิเศษ วังหลวงอันสุขสงบในปีที่สามหลังจากฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ ทรงมีราชโองการให้ยกเลิกการคัดเลือกพระสนม โดยทรงให้เหตุผลต่อเหล่าขุนนางในราชสำนักว่าการคัดเลือกพระสนมและการมีพระสนมมากเกินไปจะเป็นการสิ้นเปลืองอีกทั้งพระองค์อยากตั้งใจบริหารบ้านเมืองมากกว่าสนใจเรื่องของสตรีมากมายในวังหลังแม้เหล่าขุนนางส่วนมากจะไม่ค่อยเห็นด้วยกับการที่ทรงต้องการยกเลิกการคัดเลือกพระสนมแต่ไม่สามารถขัดต่อฮ่องเต้ได้ เพราะเรื่องผู้สืบทอดสายเลือดมังกรยามนี้ก็ทรงมีองค์ชายถึงสองพระองค์ และองค์หญิงหนึ่งพระองค์ที่ประสูติจากพระครรภ์ของฮองเฮา ถือเป็นสายพระโลหิตสายตรงที่ล้ำค่าวังหลังยามนี้นอกจากพระสนมในฮ่องเต้องค์ก่อนที่อยู่ภายใต้การดูแลของฉุนหวงกุ้ยไท่เฟย แล้วนั้นสนมในฮ่องเต้โม่หลงอวี้ก็นับแล้วไม่เกินหกคนชิงอีจินฮองเฮา จากสกุลเฉินหมิงกุ้ยเฟย จากสกุลหมิง (หมิงเช่อเฟย)สวีผิน จากสกุลสวี (สวีเช่อเฟย)มู่กุ้ยเหริน ฉวีกุ้ยเหริน (หรูจื่อจากตำหนักบูรพา)หม่าฉางจ้าย อี้ฉางจ้าย (หรูจื่อจากตำหนักบูรพา)สตรีอื่นในวังแม้จะอยู่ในสถานะพระสนมของฝ่าบาทแต่ผู้ที่ได้รับใช้พระองค์จริง ๆ กลับมีเพียงเฉินฮองเฮาเท่านั
ตอนที่ 54 ทุกอย่างคลี่คลาย หนึ่งเดือนผ่านไปเรื่องราวทั้งหมดคลี่คลายแล้ว องค์ไท่จื่อเล่า เรื่องราวทั้งหมดให้นางฟังรวมไปถึงจุดจบของเฮ่อหลินจือและเฮ่อหลูเค่อ รวมไปถึงหัวหน้าเผ่าต้าเหอที่ท่านพ่อของนางเป็นคนไปจัดการ เผ่าต้าเหอตอนนี้กลายมาเป็นพื้นที่ครอบครองของแคว้นเป่ยซี เต็มตัวแล้ว ยามนี้รอแต่งตั้งอ๋องเพื่อไปปกครองเมื่อ ระหว่างรอฝ่าบาทพิจารณาผู้ที่เหมาะสมท่านพ่อของนางจะเป็นผู้ดูแลความสงบที่นั่นไปก่อนหมิงเช่อเฟยตั้งแต่องค์ไท่จื่อให้เสด็จออกไปยังที่ปลอดภัยก็ยัง แวะท่องเที่ยวไม่ยอมกลับมาเสียที อาจูที่ติดตามไปด้วยก็พลอยยังไม่ได้กลับมาด้วยกันส่วนสวีเช่อเฟยนั้นเคยเก็บตัวเงียบอยู่ในตำหนักอย่างไรก็เป็น เช่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลงส่วนตัวนางเองก็ได้เปิดใจกับองค์ไท่จื่อไปทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเรื่องความฝันบอกเหตุหรือคำทำนายที่ได้รับ และเหตุผลว่าทำไม นางถึงไม่อยากจะมีครรภ์กับพระองค์ในเวลานั้นพระองค์รับฟังนางทุกเรื่องอย่างไม่เร่งรัดสรุปตัดความ ทรง เปิดใจให้นางได้เปิดเผยทุกอย่างในใจมีเรื่องหนึ่งที่นางถึงขั้นอึ้งหนักไปเลยนั่นคือเรื่องของนักพรต ลู่อวี้แห่งอารามโต้เทียน“ดูเหมือนนักพรตลู่อวี้ที่ชายารักกล
ตอนที่ 53 เป็นไปตามแผนวันนี้คือวันที่ถูกกำหนดเอาไว้ให้ทำการใหญ่ องค์ไท่จื่อและเฮ่อหลูเค่อรวมไปถึงหน่วยกล้าตายมากฝีมือลอบเข้าวังหลวงได้อย่างง่ายดาย เป็นเพราะองค์ไท่จื่อได้ผลัดเปลี่ยนเวรยามภายในวังหลวงก่อนหน้านี้เรียบร้อยแล้วในที่สุดก็สามารถเข้ามาถึงห้องทรงอักษรของฮ่องเต้โม่หลงเซียวได้อย่างง่ายดาย ตามทางที่มีเหล่าขันทีและนางกำนัลเฝ้าอยู่ตอนนี้มีเพียงแค่ร่างที่ไม่รู้สึกตัวนอนหมดสติอยู่ตามพื้นเช่นเดียวกันกับเหล่าองครักษ์ประจำวังหลวง“องค์ไท่จื่อลงมือได้อย่างรวดเร็ว พวกเขาไม่ต้องเสียทั้งแรงและเวลาไปเปล่า ๆ” เฮ่อหลูเค่อเอ่ยขึ้นหลังจากถอดผ้าคลุมหน้าของตนออกเมื่อเข้ามาถึงห้องทรงพระอักษรด้านในแล้วหน่วยกล้าตายถูกสั่งให้เฝ้าอยู่ด้านนอกห้าคน และตามเขากับองค์ไท่จื่อเข้ามาอีกห้าคน“สิ่งที่ข้าลงมือทำด้วยตัวเองแน่นอนว่าย่อมต้องไร้ที่ติ” ไท่จื่อหนุ่มกล่าวก่อนจะเป็นผู้เปิดประตูบานสุดท้ายที่จะนำพาพระองค์ไปหาผู้เป็นเสด็จพ่อของพระองค์ที่ทรงประทับอยู่ห้องด้านในเมื่อประตูบานสุดท้ายเปิดออกก็พบกับผู้เป็นฮ่องเต้แห่งแคว้นเป่ยซีทรงประทับอยู่บนแท่นพระที่นั่งด้วยท่าทีทรงอำนาจ สายพระเนตรทอดมองเหล่าผู้มาใหม่ด้ว
ตอนที่ 52กำจัดเสี้ยนหนามตอนนี้ไม่ว่าเรื่องใดที่เกิดขึ้นภายในตำหนักบูรพาก็ไม่มีสิ่งใดที่เฮ่อหลินจือไม่รู้ เรื่องที่อี้กงกงขันทีคนสนิทของฝ่าบาทมาทำไมที่ตำหนักบูรพาก็เช่นเดียวกันนางรู้สึกพอใจอยู่ลึก ๆ ที่สตรีแซ่เฉินผู้นั้นกำลังตกอยู่ในความมืดมิด เช่นนั้นหากนางจะเป็นผู้ช่วยปลดปล่อยสตรีแซ่เฉินผู้นั้นให้ได้พบเจอกับความสงบตลอดไปจะดีแค่ไหนกันนะ“น่าน่านักฆ่าที่เราเรียกใช้ได้ตอนนี้มีอยู่เท่าไร่หรือ”“ราว ๆ เกือบสามสิบคนเจ้าค่ะ”“จำนวนไม่น้อยเลยนี้ มากเพียงพอที่จะกำลังสตรีนางหนึ่ง ไม่สิมากเกินไปด้วยกระมัง” นางเอ่ยออกมาอย่างอารมณ์ดี“น่าน่ารับคำสั่งข้าเรียกให้นักฆ่าทั้งหมดที่เรามีตามไปกำลังสตรีแซ่เฉินผู้อวดดีให้ข้า” หญิงสาวเอ่ยสั่งออกมาเสียงเย็นรถม้าคันใหญ่เร่งมุ่งหน้าลงใต้ด้วยความเร็ว ยามนี้แม้รถม้าจะเร็วเพียงใดแต่จิตใจของคนในรถม้ากลับเร็วกว่าใจของพวกเขาลอยไปถึงหุบเขาทางใต้ที่ท่านพ่ออยู่นานแล้ว“ท่านแม่ ท่านพี่เป็นแม่ทัพกล้าเสมอมา กี่ร้อยสนามรบไม่ว่าเล็กใหญ่ล้วนผ่านมาได้ ครั้งนี้ท่านพ่อก็จะต้องรอดชีวิตได้อีกแน่” เฉินฟูหมิงเอ่ยบอกท่านแม่ที่อยู่ในอ้อมกอดของตนในยามนี้“แต่อี้กงกงกล่าวว่าพ่อเจ้
ตอนที่ 51เรื่องราวในอดีต ทั่วทั้งวังหลวงไม่มีผู้ใดไม่ได้ยินเรื่องที่ฝ่าบาททรงกริ้วองค์ไท่จื่อหนักถึงขั้นต่อว่าอย่างรุนแรงในระหว่างการประชุมราชการในช่วงเช้าที่ผ่านมาต่อหน้าขุนนางทั้งราชสำนักภายในวังหลวงมีผู้ใดไม่รู้บ้างว่าแท้จริงแล้วองค์ไท่จื่อกับฝ่าบาทต่างก็มีความเนินห่างกันอยู่ องค์ไท่จื่อโม่หลงอวี้ผู้นี้หัวรั้นจนเกินไปจนมักจะเกิดการโต้แย้งกันอยู่เสมอฟังจากที่เหล่าข้ารับใช้ในวังหลวงเล่าต่อกันมาว่าหากองค์ไท่จื่อไม่ได้เป็นพระโอรสองค์โตที่ประสูติแก่ฮองเฮาพระองค์ก่อนที่ด่วนสิ้นพระชนม์ไปฝ่าบาทก็คงไม่ทรงไว้หน้าไท่จื่อผู้นี้แล้วก็คงมีรับสั่งให้ปลดออกจากตำแหน่งหวงไท่จื่อนานแล้วภายในวังหลวงและเหล่าขุนนางต่างแอบพูดคุยกันถึงเรื่องนี้อยู่บางอย่างลับ ๆ ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีผู้ใดจะกล้าผู้ออกมาอย่างเปิดเผย แต่ถึงอย่างนั้นเหล่าขุนนางก็เริ่มคิดแผนการเอาไว้หลายทางมากขึ้นเผื่อว่าอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคตอันใกล้ พวกเขาอาจต้องเลือกระหว่างองค์ชายรองและองค์ชายสาม แน่นอนว่าองค์ชายรองซึ่งเกิดจากพระสนมชิงเฟยดูเหมือนจะเป็นตัวเลือกแรกที่ถูกนึกถึงแต่ถึงแม้หากจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงผู้ดำรงตำแหน่งหวงไท่จื่ออ
ตอนที่ 50ใจจริงของเจ้าสามวันสามคืนแล้วที่องค์ไท่จื่อไม่ได้เสด็จมาหานางที่ตำหนักทิศประจิม อีกทั้งไม่มีฝูกงกงหรือผู้ใดมาแจ้งเลยว่าเหตุใดถึงไม่ทรงเสด็จมาซึ่งผิดไปจากปกติเป็นอย่างมากเพราะพระองค์ไม่เคยไม่เสด็จมาหานางนานถึงเพียงนี้นางไม่ได้ให้อาจูไปสอบถามที่ตำหนักหลักตรงๆ เพราะกลัวที่จะเสียหน้าจึงได้สั่งให้อาจูไปแอบสืบจากองครักษ์เฝ้าประตูเงียบ ๆ ถึงได้ความมาว่าองค์ไท่จื่อเสด็จกลับมาที่ตำหนักบูรพาทุกวัน เพียงแต่เสด็จวังหลวงแต่เช้ากว่าเดิม และเสด็จกลับมาดึกด้วยทุกคืนช่วงนี้อาจจะทรง ทรงงานหนักมากจนไม่มีเวลา แต่อย่างไรเฉินจินฮวาก็มั่นใจว่าต่อให้จะดึกแค่ไหนหรือว่านางจะหลับไปแล้วอย่างไรพระองค์ก็จะเสด็จมาหานางอยู่ดี ต่อให้ไม่ได้เจอนางยามตื่นก็คงจะต้องแวะมาแกล้งนางยามหลับนางทำให้พระองค์โกรธเคืองหรือก็ไม่น่าเป็นไปได้ คืนก่อนที่แวะมาเสวยมื้อค่ำที่ตำหนักของนางก็ทรงไม่มีท่าทีแปลก ๆ หรือไม่สบ อารมณ์ใด ๆ เลย เพราะฉะนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะทรงโกรธเคืองนางฉะนั้นอาจจะเป็นเพราะทรงยุ่งเท่านั้นล่ะ จริง ๆ แล้วไม่ใช่ว่า พระองค์ไม่เสด็จมาหานางควรจะดีใจหรือเปล่า นางหวังให้เป็นเช่นนี้ มาตลอดมิใช่หรือแล้วเวลานี้ม
ตอนที่ 49สุมไฟโม่หลงอวี้กว่าจะกลับถึงตำหนักบูรพาฟ้าก็ใกล้จะมืดเต็มที่แล้ว พระองค์เสด็จไปยังตำหนักทรงอักษรส่วนพระองค์ทันทีที่กลับมาถึง เมื่อทรงเข้ามาในตำหนักทรงอักษรแล้วก็มีรับสั่งไม่ให้ผู้ใดรบกวน“ลู่เหยียน” สิ้นเสียงเรียกเพียงครั้งเดียวองครักษ์หนุ่มก็ออกมาจากเงามืดทันที เขามาหยุดอยู่เบื้องหน้าผู้เป็นนายเหนือหัวก่อนจะก้มลงคุกเข่า“องค์ไท่จื่อ”“เปิ่นไท่จื่อสั่งให้เจ้าคอยจับตาตำหนักหรดีเอาไว้ได้ความว่าอย่างไร”“ทูลองค์ไท่จื่อ หลังจากพระองค์เสด็จออกไปจากตำหนักบูรพาไม่นานเฮ่อเช่อเฟยก็ไปที่ตำหนักทิศประจิมพ่ะย่ะค่ะ”“หลังจากนั้นเล่า” ทรงตรัสถามต่อ“เช่อเฟยทั้งสองสนทนากันครู่หนึ่ง ก่อนที่ฮูหยินรองแม่ทัพมู่จะมาพบเฉินเช่อเฟย เฮ่อเช่อเฟยถึงได้แยกกลับตำหนักพ่ะย่ะค่ะ”“พวกนางเพียงพูดคุยกันเท่านั้นหรือ”“เริ่มแรกสนทนากันอย่างเป็นมิตรอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมลอบฟังได้เล็กน้อยก็รู้สึกเหมือนมีสิ่งใดผิดปกติจึงได้ตามไปดู การสนทนาหลังจากนั้นจึงไม่ทราบเลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมต้องขอประทานอภัยด้วย”“นอกจากตำหนักทิศประจิมแล้ว เฮ่อเช่อเฟยได้ไปอีกสองตำหนักอีกหรือไม่”“ไม่พ่ะย่ะค่ะ”“ลู่เหยียน จงรับคำสั่ง” ไ
ตอนที่ 48ตำหนักหรดีน้ำแกงผักตุ๋นกระดูกหมูอ่อนดูเหมือนวันนี้จะไม่ได้นำไปถวายองค์ไท่จื่อแล้ว เพราะเหตุใดน่ะหรือ ก็เพราะว่าคืนนี้องค์ไท่จื่อทรงจะยุ่งมากเป็นพิเศษทั้งคืน“อาหลัวเจ้านำน้ำแกงตุ๋นส่งไปที่ตำหนักพายัพแทนก็แล้วกัน” นางเอ่ยสั่งสาวใช้คนสนิทของตน“คุณหนูตั้งใจทำถวายองค์ไท่จื่อมิใช่หรือเจ้าคะ เหตุใดจริงให้นำไปส่งให้หมิงเช่อเฟยแทนเล่าเจ้าคะ” อาหลัวเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ น้ำนั่นแกงที่นางอุตส่าห์เคี่ยวอยู่กว่าสองชั่วยามเชี่ยวนะ“ฝ่าบาทเพิ่งมีราชโองการแต่งตั้งเช่อเฟยคนใหม่ เฮ่อเช่อเฟย เจ้าไม่ได้ยินที่เสี่ยวหม่ากงกงมาแจ้งข่าวเมื่อครู่หรือว่าฤกษ์ส่งตัวของนางก็คือคืนนี้”“ถึงจะเป็นเช่นนั้นแต่ข้าน้อยสามารถนำน้ำแกงตุ๋นของคุณหนูไปถวายให้แก่องค์ไท่จื่อที่ตำหนักหลักได้นะเจ้าคะ คุณหนูให้ข้าไปเถอะเจ้าค่ะ น้ำแกงนี่ท่านอุตส่าห์ตั้งใจทำถวายองค์ไท่จื่อ”“ทำเช่นเจ้าว่าได้ที่ไหนกันอาหลัว ผู้ใดรู้เข้าจะคิดว่าข้าคิดเรียกร้องความสนใจจากองค์ไท่จื่อขัดขวางพระองค์ไม่ให้เสด็จตำหนักหรดีของเช่อเฟยคนใหม่ เจ้าทำตามข้าบอกส่งน้ำแกงนั้นไปให้หมิงเช่อเฟยแทน”“เจ้าค่ะคุณหนู” อาหลัวจำต้องทำตามคำสั่งของผู้เป็นนายตน นำน
ตอนที่ 47องค์หญิงเฮ่อหลินจือณ วังหลวงแคว้นเป่ยซี ภายในห้องทรงพระอักษรของฮ่องเต้โม่หลงเซียว ยามนี้องค์ไท่จื่อโม่หลงอวี้กำลังเดินหมากอยู่กับเสด็จพ่ออีกทั้งพระองค์กำลังเป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่ด้วย “คณะทูตจากเผ่าต้าเหอจะอยู่ที่เมืองหลวงอีกหลายวัน เจ้ารองทำการดูแลคณะทูตได้ดีไม่มีสิ่งใดเกิดปัญญา”“หน้าที่ดูแลคณะทูตจากต่างแดนเหมาะสมกับน้องรองมาก หากมีทูตมาจากที่อื่นลูกก็เชื่อว่าเขาจะจัดการได้ดียิ่งขึ้นไปอีก” ไท่จื่อหนุ่มเอ่ยขึ้นสนับสนุนผู้เป็นน้องชายตน ถึงแม้ภายนอกน้องรองของพระองค์จะดูช่างพูดจนน่ารำคาญอยู่บ้างแต่ก็เหมาะกับตำแหน่งต้อนรับทูตดี อีกทั้งเวลาทำงานก็ตั้งใจดีไม่น้อย“พ่อก็คิดเช่นเดียวกับเจ้า ภายหน้าเจ้ารองกับเจ้าสามจะช่วยแบ่งเบางานเจ้าได้มาก”“พ่ะย่ะค่ะ”“ยังมีอีกเรื่องที่พ่อยังต้องบอกและปรึกษาเจ้า” ทรงตรัสขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง“เรื่องใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” พระองค์วางมือจากหมากในมือลง แล้วหันไปสนใจเสด็จพ่อของตนด้วยสีหน้าจริงจังไม่แพ้กัน“หัวหน้าเผ่าส่งสาส์นมาถึงจ้า ต้องการให้องค์หญิงบุญธรรมเฮ่อหลินจือแต่งกับเจ้า”“กระหม่อมของปฏิเสธพ่ะย่ะค่ะ” โม่หลงอวี้ตอกกลับออกมาทันทีโดยไม่ต้องคิด“เพร