ตอนที่ 7
อิสระสุดท้าย
ตั้งแต่วันที่ได้รับพระราชโองการแต่งตั้งเป็นเช่อเฟย ชายารองในองค์ไท่จื่อ จวนเฉินไท่เว่ยนั้นมีผู้คนเข้าออกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นคนจากวังหลวงหรือว่าเป็นคนจากตำหนักบูรพา
ผู้คนเหล่านี้ล้วนเข้ามาหานางเพื่อจัดการเรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นชุดมงคลที่นางจะต้องสวมใส่ในวันที่เข้าสู่ตำหนักบูรพา และชุดที่ต้องตัดใหม่เพื่อสวมใส่ให้สมกับตำแหน่งเช่อเฟย
มีนางกำนัลอาวุโสและนางกำนัลรับใช้รวมแล้วหกคนถูกพระสนมฉุนหวงกุ้ยเฟยรับสั่งให้มาสอนมารยาทและข้อควรรู้บางอย่างเกี่ยวกับราชวงศ์แก่นางเพิ่มเติม ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เฉินจินฮวาจะต้องเรียนรู้เพิ่มเติมจริง ๆ
เพราะว่าถึงสกุลเฉินจะมีหน้ามีตา เป็นสกุลขุนนางใหญ่มีชื่อเสียงแต่ก็ไม่ใช่ราชวงศ์ ซึ่งแน่นอนว่าย่อมมีการปฏิบัติที่ต่างกันและละเอียดอ่อนในบางเรื่อง การเรียนรู้ข้อควรระวังและปฏิบัติเอาไว้ก่อนเป็นการดีต่อนางเองด้วย
หลังจากช่วงเช้าที่นางเรียนกับเชามามานางกำนัลอาวุโส (มามา คือ คำเรียกนางกำนัลอาวุโส) เสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงได้ชวนพี่รองของนางแอบออกไปเดินเที่ยวที่ตลาดในช่วงเย็นของวัน
ที่ว่าแอบออกมาก็คือแอบออกมาจริง ๆ นางกับผู้เป็นพี่ชายนั้นพากันโดดข้ามกำแพงจวนออกมาจากจวนสกุลเฉิน
เหตุที่จำเป็นต้องแอบออกมานั้นก็เป็นเพราะว่า ยามนี้เป็นช่วงเวลาที่ทุกสายตาต่างกำลังจับจ้องมาที่นางและสกุลเฉิน
อีกไม่กี่วันนางก็จะเข้าสู่ตำหนักบูรพาแล้ว ตามจริงแล้วไม่ควรออกมาเดินเที่ยวเล่นข้างนอกเช่นนี้ ควรจะอยู่แต่ในจวนเตรียมขึ้นเกี้ยวสู่ตำหนักใหญ่
แต่หากนางไม่ใช้โอกาสออกมาในครั้งนี้ เกรงว่าเมื่อเข้าสู่วังบูรพาแล้วนั้นจะไม่มีโอกาสออกมาเดินเล่นอย่างอิสระเช่นนี้อีก
พี่รองนั้นเหมือนจะเข้าใจนางได้เป็นอย่างดี ยามที่นางให้อาหลัวไปชักชวนเขาจึงตกปากรับคำไม่ปฏิเสธ
“พี่รองท่านเป็นถึงรองแม่ทัพ มีหน้ามีตาหากมีผู้ใดล่วงรู้ว่าท่านต้องปีนหนีออกมาจากจวนของตัวเองคงต้องถูกขบขันไม่น้อย”
“ขอแค่น้องสาวพี่มีความสุข ผู้อื่นอยากจะพูดอะไรก็ปล่อยให้พูดเถอะ” พี่รองของนางนั้นกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม “อีกอย่างพวกเราปลอมตัวกันขนาดนี้แล้วยังจะมีผู้ใดจำได้อีก” ชายหนุ่มกล่าวเสริม
เฉินจินฮวาได้ฟังก็หันไปมองสำรวจพี่ชายนางอย่างละเอียดอีกครั้งแล้วจึงได้ข้อสรุปว่า พี่ชายของนางนั้นไม่ได้ต่างอะไรจากปกติเดิมนัก
อาภรณ์สีดำสนิทบนร่างสูงก็ยังคงเป็นแบบเดียวกับที่ใส่อยู่เป็นประจำ
“พี่รอง ข้ามองไม่ออก ว่าท่านเปลี่ยนจากเดิมตรงไหน”
“วันนี้พี่ไม่ได้พกกระบี่หรือดาบประจำกายมาด้วยอย่างไรเล่า ดีมากเลยใช่หรือไม่ดูกลมกลืนกับพวกชาวบ้านได้ไม่เลวเลยล่ะสิ”
“กลมกลืนเจ้าค่ะ กลมกลืนอย่างยิ่ง” แม้จะกล่าวออกไปเช่นนั้น แต่ความจริงแล้วความคิดกลับตรงกันข้าม
'พี่รองท่านไม่ได้ดูกลมกลืนเลยแม้แต่น้อย'
วันนี้มีตลาดกลางคืนที่จะจัดขึ้นเดือนละครั้ง ตลาดร้านค้าแผงลอยทอดยาวสุดลูกหูลูกตา มีทั้งตั้งแผงขายของ ขายอาหารการกินนานาชนิด
ตลอดเส้นทางนั้นถูกตกแต่งด้วยผ้าหลากหลายสีสันทำให้บรรยากาศดูสวยงามและผ่อนคลายเป็นอย่างยิ่ง
นางกับพี่ชายเดินเคียงข้างกันจนมาถึงร้านน้ำชาข้างทางร้านเล็ก ๆ ร้านหนึ่ง ซึ่งสร้างเป็นเพิงสำหรับนั่งไม่กี่โต๊ะนั่งเท่านั้น นางโชคดีที่พอมาถึงร้านก็มีคนลุกออกไปพอดีจึงได้ที่นั่ง
พี่ชายของนางรับหน้าที่เป็นผู้สั่งชุดน้ำชาและของวางกับคนขายที่หน้าร้าน ส่วนนางนั้นก็เข้ามานั่งรออยู่ที่โต๊ะก่อน ครู่เดียวเท่านั้นพี่รองก็ตามมานั่งที่เก้าอี้ตรงข้ามกับนาง
ไม่นานของที่สั่งก็ถูกนำมาให้ที่โต๊ะ เป็นแม่นางน้อยผู้หนึ่งที่ดูแล้วน่าจะอายุน้อยกว่าสองสามปีนั้นเป็นผู้นำมาให้ แม่นางผู้นี้มีใบหน้าจิ้มลิ้มน่ารักไม่น้อยทีเดียว อีกทั้งยังยิ้มแย้มอย่างเป็นมิตรจนเฉินจินฮวาอดไม่ได้ที่จะเอ่ยทักทายนาง
“เจ้าคงจะเป็นบุตรสาวของเจ้าของร้านน้ำชาแห่งนี้กระมัง”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ ท่านยังต้องการสิ่งใดอีกก็สามารถสั่งที่ข้าได้เลยเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้น ข้าอยากทราบว่าของว่างที่ขึ้นชื่อของร้านเจ้าคืออะไรอย่างนั้นหรือ ไม่รู้ว่าหนึ่งในขนมสามชนิดที่ข้าได้สั่งมาก่อนหน้านี้มีรวมอยู่หรือไม่”
แม่นางน้อยมองสำรวจบนโตก่อนที่จะกล่าวขึ้น
“ขนมขึ้นชื่อของร้านเราพวกท่านไม่ได้สั่งมาเลยเจ้าค่ะ”
“พี่รอง ท่านใช้ได้เลยนะเจ้าคะ สั่งของว่างมาตั้งสามอย่างแต่ไม่ใช่ของขึ้นชื่อของร้านเลยแม้สักจานเดียว” เป็นเฉินจินฮวาที่หันไปเอ่ยกับพี่ชาย
“เช่นนั้นก็สั่งเพิ่ม ประเดี๋ยวค่อยห่อที่เหลือกลับจวนก็แล้วกัน” รองแม่ทัพหนุ่มกล่าวเสียงเรียบ ก่อนจะหันไปจิบน้ำชาในมือต่อ
“ก็คงจะต้องเป็นเช่นนั้นล่ะเจ้าค่ะ” นางเอ่ยกับพี่รองก่อนที่จะหันไปมองที่แม่นางน้อยร้านชาต่อและจึงเอ่ยขึ้น “รบกวนเจ้านำของวางขึ้นชื่อของร้านเจ้ามาที”
“เจ้าค่ะ แม่นางโปรดรอสักครู่” แม่นางน้อยรับคำก่อนจะเดินกลับไปหาบิดาที่ยืนอยู่ที่แผงหน้าร้าน
“พี่รองท่านดูนางสิ ช่วยงานบิดาตนได้คล่องแคล่วยิ่งนัก ทำเอาข้าคิดอยากจะย้อนเวลากลับไปเสียจริง”
“หากย้อนกลับไปได้แล้วอย่างไร ท่านพ่อของพวกเราไม่ได้เปิดร้านขายชาเสียหน่อย ท่านรบทัพจับศึกหรือว่าน้องพี่ เจ้าหมายจะเป็นแม่ทัพหญิง”
“เป็นแม่ทัพหญิงก็ไม่เลวทีเดียว หากข้าขยันฝึกวรยุทธ์ไม่แน่ ยามนี้คงได้เป็นรองแม่ทัพเช่นเดียวกับพี่รองแล้วก็ได้”
“เจ้าเอ่ยออกมาเช่นนี้ ทำเอาพี่ชายอย่างข้าอดที่จะปวดใจไม่ได้ เมื่อนึกภาพยามที่เจ้าเป็นแม่ทัพ”
“ท่านนึกภาพเช่นไรออกอย่างนั้นหรือเจ้าคะพี่รอง”
“ภาพที่พี่นึกออกในหัว มีเพียงเจ้าที่นอนกลางดินกินกลางทราย กินก็ไม่สบายนอนก็ไม่สบาย ไม่เหมาะกับเจ้าหรอก หากต้องเห็นเจ้าเป็นเช่นนั้นข้ากับท่านปู่ท่านพ่อได้เป็นบ้าแน่” พี่ชายที่รักน้องสาวเป็นดั่งแก้วตาดวงใจเอ่ยออกมา
“น้องสาวข้า เจ้าควรอยู่แต่ในที่สบาย ๆ เท่านั้น กินให้อิ่ม นอนให้อุ่น มีชีวิตเป็นดั่งเช่นของล้ำค่าต่อไปเถอะ”
เฉินจินฮวาเมื่อได้ฟังสิ่งที่พี่ชายเอ่ยออกมาก็ทำเพียงยิ้มรับคำพูดเหล่านั้น
หากเป็นเมื่อก่อนนางคงตอบกลับไปอย่างไม่ต้องคิดเลยว่า ได้กินอิ่มน้อยหลับใช้ชีวิตเป็นดั่งของล้ำค่าของพวกท่านทั้งครอบครัวสกุลเฉินนั้นสำหรับนางนั้นดียิ่งกว่าสิ่งใด
แต่ตอนนี้นางกลับไม่อาจเอ่ยสิ่งใดออกไปได้เลย เพราะไม่รู้ว่าภายหน้าตนนั้นจะยังมีชีวิตอยู่ได้นานเพียงใด ตัวนางจะรอดจากภัยร้ายที่ฝันเห็นได้อย่างไร
เส้นทางข้างหน้าของนางถูกกำหนดเอาไว้แล้ว มันคงจะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะฝืนชะตา
แต่นางก็อยากจะลองฝืนชะตาตนเองดูอีกครั้งเพื่อจะได้มีชีวิตต่อไป ให้ครอบครัวที่รักของนางได้เห็นนางได้มีชีวิตอยู่ ชีวิตที่สุขสบายเช่นที่พวกเขาต้องการเห็น
เคราะห์กรรมนี้นางต้องหาทางผ่านมันไปให้ได้ นางจะต้องทำทุกวิธีเพื่อก้าวผ่านชะตากรรมอันโหดร้ายนี้
ข้าต้องรอด
ข้าต้องรอดให้ได้
ข้าต้องมีชีวิตยืนยาวต่อไป
พวกเราพี่น้องเดินกลับจวนสกุลเฉินอย่างไม่เร่งรีบ สองมือพี่รองของนางเต็มไปด้วยห่อขนมและของฝากมากมายที่นางเลือกซื้อมาจากตลาดกลางคืน
“พี่รอง อีกไม่กี่วันข้าก็ต้องเข้าวังบูรพาแล้ว ท่านกับท่านพ่อเองเมื่อหมดกำหนดพักก็จะต้องกลับเข้าค่ายทหารที่นอกเมือง ท่านแม่อยู่ที่จวนเพียงคนเดียว นางคงจะต้องเหงามากเป็นแน่”
“พี่จะบอกพี่ใหญ่ให้นางกลับมาเยี่ยมท่านแม่บ่อย ๆ”
“พี่ใหญ่แต่งออกไปแล้ว ที่จวนพี่เขยคงจะมีหลายเรื่องที่ นางต้องจัดการ ไม่สู้พี่รองท่านหาพี่สะใภ้สักคนให้ท่านแม่ก่อนกลับค่ายเป็นอย่างไร หากทำเช่นนี้ที่จวนท่านแม่ก็จะมีเพื่อนคุย มีพี่สะใภ้ค่อยทำ กิจกรรมต่าง ๆ ด้วยกัน”
“เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าแต่งพี่สะใภ้ให้เจ้าพร้อมกันสี่คนเลยดี หรือไม่” รองแม่ทัพหนุ่มเอ่ยประชด
“สามภรรยาสี่อนุ ก็ดีนะเจ้าคะ จวนสกุลเฉินเราคงคึกคักน่าดู เชียว”
“หึ หากข้าแต่งสามภรรยาสี่อนุจริงท่านแม่คงจะต้องปวดหัว มากกว่าดีใจกระมัง พวกนางคงอยู่กันอย่างสงบไม่ง่ายและก็คงไม่ได้ด้วย”
เฉินจินฮวาได้ฟังก็อดจะหัวเราะออกมาไม่ได้ เป็นเช่นพี่ชาย นางกล่าวจริง ๆ มีภรรยามากไปก็ค่อนข้างจะมากความ หากเป็นเช่นนั้นท่านแม่นางอาจคิดถึงขั้นปลงผมออกบวชหนีความสงบกันเลยก็เป็นไป ได้
“เช่นนั้นพี่รอง ท่านคิดว่าในตำหนักบูรพานั้นเงียบสงบเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ข้าเคยได้ยินมาว่าสนมชายาในองค์ไท่จื่อมีมากมายนัก”
นางเอ่ยถามขึ้นมาด้วยน้ำเสียงไม่ยินดียินร้าย ทว่าผู้ที่ถูกถามกลับนิ่งไปครู่หนึ่งเลยทีเดียว
“เรื่องในตำหนักบูรพาคนนอกอย่างพี่ก็ไม่เข้าใจเช่นกัน เจ้าเอ่ยถามเช่นนี้หรือว่ากำลังรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้างเช่นนั้นหรือ”
“มิใช่ว่าไม่สบายใจหรอกเจ้าค่ะ ข้าเพียงแค่ถามดูเท่านั้นเอง”
“ตัวพี่เองก็ไม่แน่ใจนัก แต่ก็ได้ยินมาว่าองค์ไท่จื่อนั้น ค่อนข้างรักความสงบเป็นอย่างยิ่ง พระองค์ไม่ชอบความวุ่นวายสักเท่าไหร่ และก็ทรงเด็ดขาดมากพอที่จะทำให้คนในตำหนักพวกนั้นไม่กล้าสร้างความวุ่นวาย”
เขาก็ทำได้แค่พูดให้น้องสาวตนสบายใจเท่านั้น เพราะเรื่องที่เกี่ยวกับในตำหนักบูรพานั้นเขาไม่รู้เลยจริง ๆ
ผู้ที่อยู่เหนือคนทั้งแคว้นอยู่ใต้ฮ่องเต้เพียงคนเดียวนั้นสุด
แสนจะคาดเดาได้จริง ๆ
“ข้าก็แค่เอ่ยถามเล่น ๆ ไปเท่านั้น พี่รองท่านอย่า เคร่งเครียด ไปเลยเจ้าค่ะ” นางกล่าวพร้อมรอยยิ้มกว้าง
เฉินฟูหมิงมองดูรอยยิ้มนี้ของน้องสาวด้วยความไม่สบายใจ นัก ในใจเริ่มมีความกังวล หรือว่าเขาควรจะเข้าไปปรึกษาท่าน ปู่กับ ท่านพ่อดูอีกครั้งว่าจะช่วยไม่ให้จินเอ๋อร์เข้าตำหนักบูรพาได้ หรือไม่
ชายหนุ่มเริ่มขบคิดอย่างหนัก จนยืนนิ่งจมอยู่ในความคิดที่ กำลังตีกันยุ่งไปหมด จนกระทั่งจินเอ๋อร์น้องสาวของเขาตรงเข้า มาเขย่า แขนของเขานั่นแหละ ชายหนุ่มจึงหลุดออกจากภวังค์ความคิดของตน
“พี่รอง ข้าเหมือนได้ยินเสียงร้องให้ช่วยเลยเจ้าค่ะ ท่านได้ยิน เช่นเดียวกับข้าไหมเจ้าคะ”
“ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย ช่วยด้วย!!!”
เมื่อได้สติเฉินฟูหมิงก็ได้ยินเสียงร้องขอให้ช่วยของสตรี ดังมาจากตรอกด้านหน้า จึงได้เร่งหันมากำชับน้องสาวของตน
“จินเอ๋อร์เจ้ารอพี่อยู่ที่นี่ก่อน หากเห็นท่าไม่ดีก็ให้ใช้วิชาตัวเบาหนีไปเสีย”
“เจ้าค่ะ ข้าทราบแล้ว พี่รองอย่าได้เป็นห่วง” นางรับคำพี่ชายตน
ฟูหมิงโยนของที่เขาหอบหิ้วมาทั้งหมดลงพื้นข้างทาง ก่อนจะเร่งทะยานฝีเท้าไปยังเบื้องหน้าทิศทางที่เสียงร้องแว่วมา
ตอนที่ 8นักฆ่าสาวชุดขาว คือข้า?ยามนี้เจ้าของใบหน้างามที่มีผ้าคาดปกปิดใบหน้าอยู่นั้น กำลังก้มลงพยายามเลือกหยิบของที่พี่ชายของนางได้โยนทิ้ง เอาไว้ก่อนขึ้นมาถือให้ได้มากที่สุด อ่า ทั้ง ๆ ที่เมื่อครู่พี่รองของนางสามารถหอบหิ้วมาได้ อย่างสบายแท้ ๆ แต่นางกลับทำไม่ได้ จากของทั้งหมดเต็มนางหอบหิ้วเต็มที่ด้วยความสามารถของตนก็ได้เพียงแค่หนึ่งในสาม ส่วนเท่านั้น ทำเช่นไรดีเล่าหรือว่าจะต้องเลือกทิ้งของเช่นนั้นหรือ น่า เสียดายแย่เลยหากต้องทำเช่นนี้ เมื่อครู่พี่ชายให้นางล่วงหน้ากลับไปก่อนเห็นทีจะไม่อาจ ทำตามได้แล้ว ในเมื่อความเสียดายของเกินกว่าจะตัดใจ ทำให้หญิงสาวตัดสิ้นใจจะยืนคอยพี่ชายนางอยู่ที่จุดเดิมแทนเฉินจินฮวานั้นเปิดห่อขนมแป้งปั้นขึ้นมาหยิบทานเพื่อฆ่าเวลาไม่นานพี่รองของนางก็เดินกลับมาพร้อมกับประคองแม่นางผู้หนึ่งที่ดูคุ้นตานางกลับมาด้วย“เจ้า คือแม่นางที่ร้านน้ำชาไม่ใช่หรือ เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า กัน” นางเอ่ยถามพลางเดินไปประคองแม่นางแทนพี่รองของตนสภาพของนางไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ผมเผ้าหลุดลุ่ย เสื้อผ้า ที่นางสวมใส่อาจจะมีสภาพไม่ต่างกันนักเพราะว่ามันถูกปกปิดเอาไว้ด้วยเสื้อคลุมสีดำตัวยาม
ตอนที่ 9ภรรยาที่ยังไม่ได้เข้าหอ“กระหม่อมเฉินฟูหมิงถวายพระพรองค์ไท่จื่อพ่ะย่ะค่ะ”“หม่อมฉันเฉินจินฮวาถวายพระพรองค์ไท่จื่อเพคะ” นางและพี่ชายทำความเคารพทันทีเมื่อรู้แล้วว่าบุรุษที่เปี่ยมไปด้วยท่าทางทรงอำนาจนั้นที่แท้ก็คือองค์ไท่จื่อ ผู้ที่ทั้งแคว้นนั้นนอกจากฝ่าบาทแล้วก็ไม่มีใครเหนือกว่าพระองค์อีก“รองแม่ทัพเฉินไม่ต้องมากพิธี เช่อเฟยของข้าเจ้าเองก็ไม่ต้องมากพิธีเช่นกันทำตัวสบาย ๆ เถิด” เจ้าของเสียงทรงอำนาจเอ่ยขึ้นอย่างใจดี ทว่าน้ำเสียงของพระองค์กับไม่ได้ผ่อนคลายเช่นนั้น ฟังแล้วคล้ายกับว่าเพียงแค่ตรัสเป็นพิธีเท่านั้น “ส่วนพวกเจ้ากำลังไล่ตามมือสังหารอยู่ก็จงไล่ตามไปต่อเถอะ” พระองค์รับสั่งโดยไม่ได้หันไปทอดพระเนตรทางกลุ่มชายชุดดำเลยทว่าเพียงพระองค์ทรงตรัส เหล่าชายชุดดำที่นางและพี่รองใช้เวลาอยู่นางในการเจรจาเกลี้ยกล่อม“หม่อมฉันกับพี่ชายไฉนเลยจะกล้าเสียมารยาทต่อพระองค์กันเพคะ” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ สายตาจับจ้องเพียงแค่ที่พื้นดินเบื้องหน้าที่องค์ไท่จื่อเท่านั้น นางไม่แม้แต่จะลอบมองดูพระพักตร์ของพระองค์แม้แต่หางตา“เจ้ากับข้าไม่ถือว่าเป็นคนอื่นคนใกล้ ภรรยาที่ยังไม่เข้า หอของข้าเจ้าไม่จำเ
ตอนที่ 10ตำหนักบูรพาวันนี้เป็นอีกวันที่ ณ จวนสกุลเฉินตกแต่งไปด้วยผ้าแดงและกระดาษมงคลทั่วทั้งจวน เกี้ยวรับเจ้าสาวขนาดแปดคนหามพร้อมด้วยขบวนรับเจ้าสาวนั้นก็รอท่าอยู่ที่หน้าจวนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะขาดก็แค่ผู้ที่ขบวนมารอนั้นยังไม่ได้ก้าวเท้าออกมาจากประตูจวนการที่มีราชโองการแต่งตั้งบุตรสาวคนเล็ก เฉินจินฮวา เป็นเฉินเช่อเฟยในรัชทายาทนั้นไม่มีผู้ใดในเมืองหลวงยังไม่ทราบ ขุนนางน้อยใหญ่ต่างส่งของขวัญแสดงความยินดีมาให้สกุลเฉินไม่ขาดสายที่ได้เกี่ยวดองกับเชื้อพระวงศ์แม้ราชโองการแต่งตั้งจะไม่ได้แต่งตั้งในตำแหน่งไท่จื่อเฟยทว่า ตำแหน่งชายารองในเวลานี้ถือว่าสูงนัก เพราะตำแหน่งไท่จื่อเฟยแห่งตำหนักบูรพานั้นยังเว้นว่างอยู่ และใคร ๆ ก็ต่างรู้ว่าเช่อเฟยที่ได้รับแต่งตั้งสองคนก่อนหน้านี้ไม่ค่อยเป็นที่พอพระทัยองค์ไท่จื่อนักผู้คนในเมืองไม่ว่าจะเป็นเหล่าขุนนางหรือชาวเมืองต่างก็พากันจับจ้องมาที่เช่อเฟยคนใหม่อย่างใส่ใจเป็นอย่างยิ่งถึงขั้นที่บ่อนการพนันในเมืองหลายแห่งก็ยังเปิดให้พนันกันว่าเฉินเช่อเฟยคนใหม่นี้จะเป็นที่โปรดปรานหรือไม่แน่นอนว่าเสียงพนันส่วนใหญ่ล้วนลงฝั่งที่จะไม่เป็นที่โปรดปรานไปมากกว่าครึ่ง“อง
บทนำสกุลเรืองอำนาจ วสันตฤดูมาเยือน ณ จวนเฉินไท่เว่ย (ต้าซือหม่า) หนึ่งในสามอำมาตย์ใหญ่แห่งแคว้นเป่ยซีนั้นเวลานี้กำลังเตรียมงานสมรสอันยิ่งใหญ่ให้กับบุตรสาวคนโตของแม่ทัพใหญ่เฉินกับรองแม่ทัพมู่ทหารกล้าผู้มีชื่อเสียง สกุลเฉินนั้นแต่เดิมก็เป็นสกุลใหญ่ผู้เรืองอำนาจในทางทหารยิ่ง น้องสาวเฉินไท่เว่ยเองก็เป็นหนึ่งในสนมขั้นผินที่ฮ่องเต้โปรดปรานเป็นอย่างมากถึงขั้นประทานนามว่า กุ้ย ให้เป็นพิเศษ ตำแหน่งผินของพระนางจึงไม่ได้ด้อยกว่าตำแหน่งเฟยเลย หากพระนางให้กำเนิดพระโอรสหรือพระธิดาสักพระองค์หนึ่งตำแหน่งเฟยก็คงอยู่เพียงเอื้อมเท่านั้น เสียดายที่วาสนาไม่เป็นใจ ครรภ์กุ้ยผินนั้นไร้ซึ่งความเคลื่อนไหวเสมอมา เกียรติยศและชื่อเสียงไม่มีสิ่งใดที่สกุลเฉินขาดเพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องปกติหากบุตรีและบุตรชายสกุลเฉินจะ ถูกจับจ้องจากตระกูลชั้นสูงทั่วทั้งแคว้นเป่ยซี หากสกุลเฉินมัวเมาอำนาจไม่รู้จบสิ้นลูกหลานสกุลเฉินก็คงต้องแต่งเพื่อเสริมอำนาจให้สกุล ดีที่สกุลเฉินไม่ได้หลงระเริงในอำนาจและไม่คิดให้มีการแต่งงานเพื่อเสริมอำนาจใด ๆ ลูกหลานสกุลเฉินหากแต่งงานจึงยึดตา
ตอนที่ 1คุณหนูสามสกุลเฉินเสียงนำขบวนรับเจ้าสาวดังมาแต่ไกล ในที่สุดขบวนรับตัวเจ้าสาวที่ขี่ม้านำมาด้วยเจ้าบ่าวที่เป็นถึงรองแม่ทัพก็มาถึง อาจเพราะเป็นเพราะแม่ทัพหนุ่มนั้นมีท่าทีองอาจยิ่ง ทำให้เมื่อสวมใส่อาภรณ์มงคลสีแดงสดแล้วนั้นจึงทำให้ดูสง่างามเป็นอย่างมากสามหนังสือหกพิธีการมาถึงขั้นสุดท้ายในที่สุด เจ้าสาวผู้สวมอาภรณ์มงคลสีแดงสวยซ้ำยังมีผ้าคลุมสีแดงปกปิดใบหน้าก้าวข้ามธรณีประตูจวนสกุลเฉินด้วยความช่วยเหลือจากผู้เป็นน้องชายผู้ซึ่งรับหน้าที่เป็นผู้ส่งตัวเจ้าสาวขึ้นเกี้ยวในวันนี้เฉินจินฮวาเองก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้เห็นพิธีการส่งเจ้าสาวขึ้นเกี้ยวอย่างใกล้ชิดมาตั้งแต่ต้นเช่นเดียวกันจึงรับรู้ได้เป็นอย่างดีว่าผู้เป็นพี่สาวที่กำลังจะก้าวขึ้นเกี้ยวไปนั้นรู้สึกอ่อนไหวเพียงใดเมื่อครู่ยามที่พี่สาวของนางไปเอ่ยลาท่านพ่อกับท่านแม่และท่านตานั้นทุกคนในครอบครัวเราล้วนแล้วแต่ไม่อาจกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ทั้ง ๆ ที่เป็นวันมงคลยิ่งแต่ก็ต้องอวยพรพร้อมด้วยน้ำตา มีทั้งความสุขและความเสียใจเล็กน้อยดีใจที่บุตรสาวได้แต่งงานมีครอบครัว แต่ก็มิอาจห้ามมิให้เสียใจไม่ได้เมื่อผู้ที่เคยอยู่ร่วมกัน เห็นกันทุกวัน ในภายหน้าไม
ตอนที่ 2นักพรตตาบอดตั้งแต่ยังไม่ทันจะรุ่งสางดีด้วยซ้ำ ประตูหน้าจวนสกุลเฉินก็มีขบวนแม่สื่อมารออยู่หน้าจวนแล้ว พ่อบ้านเกิงอี้ผู้รับใช้สกุลเฉินมานานออกมารับหน้าขบวนแม่สื่อนี้ก่อนเป็นอันดับแรก ก่อนที่จะพาเข้าจวนไปพบผู้เป็นนายทั้งหลายที่ตนได้ส่งคนไปแจ้งถึงนายท่านและฮูหยินแล้วนายท่านเฉินและเฉินฮูหยินไม่ได้ออกมารับหน้าแม่สื่อด้วยตนเองเพียงแค่สั่งให้พ่อบ้านเกิงอี้เป็นคนรับเทียบสู่ขอเอาไว้เท่านั้นและจึงได้เชิญแม่สื่อกลับไป (จริง ๆ หากจะให้กล่าวตามความจริงไม่ใช่เชิญกลับแต่เป็นบังคับให้กลับต่างหาก)ด้านเทียบสู่ขอที่ถูกนำมาให้ในวันนี้ก็ถูกเก็บใส่กล่องเข้าห้องเก็บของไปในทันทีโดยที่เจ้าบ้านสกุลเฉินไม่แม้แต่จะถามถึงหรือเอ่ยของดูแม้สักตัวอักษรคุณหนูสกุลเฉินนั่น มิใช่ใครใคร่จะสู่ขอก็จะสู่ขอได้ตามอำเภอใจ ความเป็นจริงข้อนี้เกิงอี้ผู้เป็นพ่อบ้านย่อมรู้ดีเป็นที่สุดหลังจากที่จัดการกับเทียบสู่ขอเรียบร้อยแล้ว ตัวเขาจึงได้เร่งฝีเท้าไปที่ห้องครัวใหญ่ของจวนเพื่อที่จะตรวจดูความเรียบร้อยของอาหารเช้าในวันนี้ อีกทั้งยังต้องไปเร่งของว่างที่เอาไว้รับประทานขณะเดินทางไปยังอารามนอกเมืองของฮูหยินเฉินและคุณหนูสามในวั
ตอนที่ 3คำทำนาย ความฝันยามนี้เฉินจินฮวาก้าวขึ้นรถม้าอย่างไม่ค่อยจะเข้าใจนัก หากถามว่าเหตุใดนางจึงเป็นเช่นนี้น่ะหรือ ก็คงจะต้องย้อนความไปเมื่อครึ่งเค่อก่อนหน้านี้ ที่จู่ ๆ ท่านนักพรตหญิงผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นและเดินผ่านฝูงชนจำนวนมากที่ลานหน้าอารามมาหยุดอยู่เบื้องหน้านาง พร้อมกับยื่นถุงผ้าสีเหลืองไร้ลวดลายใบหนึ่งให้นาง พร้อมกับกล่าวว่า ถุงผ้าใบนี้ เป็นนักพรตลู่อวี้มอบให้นางนางยังจำได้ดีว่าในขณะนั้นที่ลานของอารามที่เคยมีเสียงพูดคุยดังอยู่เล็กน้อยนั้นเงียบสนิทลงทันที ทุกสายตาจากทั่วทั้งสารทิศต่างจับจ้องมาที่นางเป็นตาเดียวเวลานั้นเหมือนว่าผู้ที่มีสติที่สุดคงจะหนีไม่พ้นพี่รองของนาง เขาจัดการสักให้ผู้ติดตามรีบมายืนบังนางเอาไว้และรีบพานางและท่านแม่ลงมาจากอารามทันทีโดยที่แม้แต่มารดาของนางก็ยังไม่ได้มีโอกาสเอ่ยลาท่านป้าฟางดี ๆ เลยด้วยซ้ำพี่รองของนางคงกลัวว่าจะเกิดการจลาจลขึ้น จึงรีบพาพวกนางออกจากอาราม ซึ่งจากสายตาที่ผู้อื่นมองมายังนางในเวลานั้นก็เป็นไปได้ว่าอาจจะเกิดจลาจลขึ้นได้จริง ๆ“ท่านแม่ ผู้คนรออยู่ตั้งมากมาย คำทำนายให้เพียงแค่คนคนเดียวจริงหรือขอรับ” ฟูหมิงเอ่ยถามมารดาตนทันที เมื่อรถ
ตอนที่ 4ความกังวลใจนางคิดถูกแล้วที่ไม่รอเปิดถุงคำทำนายพร้อมกับท่านแม่และพี่ใหญ่ หลังจากเก็บกระดาษทำนายใส่ถุงตามเดิมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ประจวบเหมาะกับที่อาหลัวมาถึงพอดี“คุณหนู ตื่นหรือยังเจ้าคะ บ่าวขอเข้าไปนะเจ้าคะ” เสียงของอาหลัวดังขึ้นอยู่ที่ห้องด้านหน้าก่อนที่เจ้าตัวจะค่อย ๆ เดินเข้ามาในห้องด้านในซึ่งก็คือส่วนของห้องนอนของนาง“ข้าตื่นแล้ว อาหลัวเจ้าเข้ามาเถอะ” นางเอ่ยตอบสาวใช้คนสนิท ก่อนจะปรับสีหน้าจากเดิมที่เคยเคร่งเครียด เป็นสีหน้าสบาย ๆ แทนอาหลัวช่วยนางจัดการล้างหน้าผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า วันนี้เป็นวันสำคัญที่พี่ใหญ่ของนางจะกลับมาเยี่ยมบ้านหลังจากแต่งงาน นางจึงต้องแต่งตัวให้มีสีสันเสียหน่อยเพื่อที่จะได้เป็นมงคลต่อพี่ใหญ่ของนางอาหลัวช่วยนางเลือกชุดสีสีส้มคลุมทับด้วยเสื้อปักลายดอกไม้ด้วยด้ายสีขาวผูกทับด้วยผ้าคาดเอวสีผ้าอ่อน ส่วนผมของนางนั้นด้านหน้าถูกรวบขึ้นสูงม้วนขึ้นขดเป็นเกลียวนูนอย่างประณีต ผมด้านหลังถูกหวีอย่างเป็นระเบียบปล่อยปลายผมยาวตรงถึงเอวเล็กปิ่นระย้าชิ้นหนึ่งซึ่งเป็นปิ่นดอกไม้เช่นเดียวกันกับลายบนชุดของนางถูกเลือกขึ้นมาใช้ปักประดับผมของนางพร้อมกับต่างหูที่เข้าคู่กัน
ตอนที่ 10ตำหนักบูรพาวันนี้เป็นอีกวันที่ ณ จวนสกุลเฉินตกแต่งไปด้วยผ้าแดงและกระดาษมงคลทั่วทั้งจวน เกี้ยวรับเจ้าสาวขนาดแปดคนหามพร้อมด้วยขบวนรับเจ้าสาวนั้นก็รอท่าอยู่ที่หน้าจวนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จะขาดก็แค่ผู้ที่ขบวนมารอนั้นยังไม่ได้ก้าวเท้าออกมาจากประตูจวนการที่มีราชโองการแต่งตั้งบุตรสาวคนเล็ก เฉินจินฮวา เป็นเฉินเช่อเฟยในรัชทายาทนั้นไม่มีผู้ใดในเมืองหลวงยังไม่ทราบ ขุนนางน้อยใหญ่ต่างส่งของขวัญแสดงความยินดีมาให้สกุลเฉินไม่ขาดสายที่ได้เกี่ยวดองกับเชื้อพระวงศ์แม้ราชโองการแต่งตั้งจะไม่ได้แต่งตั้งในตำแหน่งไท่จื่อเฟยทว่า ตำแหน่งชายารองในเวลานี้ถือว่าสูงนัก เพราะตำแหน่งไท่จื่อเฟยแห่งตำหนักบูรพานั้นยังเว้นว่างอยู่ และใคร ๆ ก็ต่างรู้ว่าเช่อเฟยที่ได้รับแต่งตั้งสองคนก่อนหน้านี้ไม่ค่อยเป็นที่พอพระทัยองค์ไท่จื่อนักผู้คนในเมืองไม่ว่าจะเป็นเหล่าขุนนางหรือชาวเมืองต่างก็พากันจับจ้องมาที่เช่อเฟยคนใหม่อย่างใส่ใจเป็นอย่างยิ่งถึงขั้นที่บ่อนการพนันในเมืองหลายแห่งก็ยังเปิดให้พนันกันว่าเฉินเช่อเฟยคนใหม่นี้จะเป็นที่โปรดปรานหรือไม่แน่นอนว่าเสียงพนันส่วนใหญ่ล้วนลงฝั่งที่จะไม่เป็นที่โปรดปรานไปมากกว่าครึ่ง“อง
ตอนที่ 9ภรรยาที่ยังไม่ได้เข้าหอ“กระหม่อมเฉินฟูหมิงถวายพระพรองค์ไท่จื่อพ่ะย่ะค่ะ”“หม่อมฉันเฉินจินฮวาถวายพระพรองค์ไท่จื่อเพคะ” นางและพี่ชายทำความเคารพทันทีเมื่อรู้แล้วว่าบุรุษที่เปี่ยมไปด้วยท่าทางทรงอำนาจนั้นที่แท้ก็คือองค์ไท่จื่อ ผู้ที่ทั้งแคว้นนั้นนอกจากฝ่าบาทแล้วก็ไม่มีใครเหนือกว่าพระองค์อีก“รองแม่ทัพเฉินไม่ต้องมากพิธี เช่อเฟยของข้าเจ้าเองก็ไม่ต้องมากพิธีเช่นกันทำตัวสบาย ๆ เถิด” เจ้าของเสียงทรงอำนาจเอ่ยขึ้นอย่างใจดี ทว่าน้ำเสียงของพระองค์กับไม่ได้ผ่อนคลายเช่นนั้น ฟังแล้วคล้ายกับว่าเพียงแค่ตรัสเป็นพิธีเท่านั้น “ส่วนพวกเจ้ากำลังไล่ตามมือสังหารอยู่ก็จงไล่ตามไปต่อเถอะ” พระองค์รับสั่งโดยไม่ได้หันไปทอดพระเนตรทางกลุ่มชายชุดดำเลยทว่าเพียงพระองค์ทรงตรัส เหล่าชายชุดดำที่นางและพี่รองใช้เวลาอยู่นางในการเจรจาเกลี้ยกล่อม“หม่อมฉันกับพี่ชายไฉนเลยจะกล้าเสียมารยาทต่อพระองค์กันเพคะ” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ สายตาจับจ้องเพียงแค่ที่พื้นดินเบื้องหน้าที่องค์ไท่จื่อเท่านั้น นางไม่แม้แต่จะลอบมองดูพระพักตร์ของพระองค์แม้แต่หางตา“เจ้ากับข้าไม่ถือว่าเป็นคนอื่นคนใกล้ ภรรยาที่ยังไม่เข้า หอของข้าเจ้าไม่จำเ
ตอนที่ 8นักฆ่าสาวชุดขาว คือข้า?ยามนี้เจ้าของใบหน้างามที่มีผ้าคาดปกปิดใบหน้าอยู่นั้น กำลังก้มลงพยายามเลือกหยิบของที่พี่ชายของนางได้โยนทิ้ง เอาไว้ก่อนขึ้นมาถือให้ได้มากที่สุด อ่า ทั้ง ๆ ที่เมื่อครู่พี่รองของนางสามารถหอบหิ้วมาได้ อย่างสบายแท้ ๆ แต่นางกลับทำไม่ได้ จากของทั้งหมดเต็มนางหอบหิ้วเต็มที่ด้วยความสามารถของตนก็ได้เพียงแค่หนึ่งในสาม ส่วนเท่านั้น ทำเช่นไรดีเล่าหรือว่าจะต้องเลือกทิ้งของเช่นนั้นหรือ น่า เสียดายแย่เลยหากต้องทำเช่นนี้ เมื่อครู่พี่ชายให้นางล่วงหน้ากลับไปก่อนเห็นทีจะไม่อาจ ทำตามได้แล้ว ในเมื่อความเสียดายของเกินกว่าจะตัดใจ ทำให้หญิงสาวตัดสิ้นใจจะยืนคอยพี่ชายนางอยู่ที่จุดเดิมแทนเฉินจินฮวานั้นเปิดห่อขนมแป้งปั้นขึ้นมาหยิบทานเพื่อฆ่าเวลาไม่นานพี่รองของนางก็เดินกลับมาพร้อมกับประคองแม่นางผู้หนึ่งที่ดูคุ้นตานางกลับมาด้วย“เจ้า คือแม่นางที่ร้านน้ำชาไม่ใช่หรือ เกิดอะไรขึ้นกับเจ้า กัน” นางเอ่ยถามพลางเดินไปประคองแม่นางแทนพี่รองของตนสภาพของนางไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก ผมเผ้าหลุดลุ่ย เสื้อผ้า ที่นางสวมใส่อาจจะมีสภาพไม่ต่างกันนักเพราะว่ามันถูกปกปิดเอาไว้ด้วยเสื้อคลุมสีดำตัวยาม
ตอนที่ 7อิสระสุดท้ายตั้งแต่วันที่ได้รับพระราชโองการแต่งตั้งเป็นเช่อเฟย ชายารองในองค์ไท่จื่อ จวนเฉินไท่เว่ยนั้นมีผู้คนเข้าออกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นคนจากวังหลวงหรือว่าเป็นคนจากตำหนักบูรพาผู้คนเหล่านี้ล้วนเข้ามาหานางเพื่อจัดการเรื่องต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นชุดมงคลที่นางจะต้องสวมใส่ในวันที่เข้าสู่ตำหนักบูรพา และชุดที่ต้องตัดใหม่เพื่อสวมใส่ให้สมกับตำแหน่งเช่อเฟยมีนางกำนัลอาวุโสและนางกำนัลรับใช้รวมแล้วหกคนถูกพระสนมฉุนหวงกุ้ยเฟยรับสั่งให้มาสอนมารยาทและข้อควรรู้บางอย่างเกี่ยวกับราชวงศ์แก่นางเพิ่มเติม ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เฉินจินฮวาจะต้องเรียนรู้เพิ่มเติมจริง ๆเพราะว่าถึงสกุลเฉินจะมีหน้ามีตา เป็นสกุลขุนนางใหญ่มีชื่อเสียงแต่ก็ไม่ใช่ราชวงศ์ ซึ่งแน่นอนว่าย่อมมีการปฏิบัติที่ต่างกันและละเอียดอ่อนในบางเรื่อง การเรียนรู้ข้อควรระวังและปฏิบัติเอาไว้ก่อนเป็นการดีต่อนางเองด้วยหลังจากช่วงเช้าที่นางเรียนกับเชามามานางกำนัลอาวุโส (มามา คือ คำเรียกนางกำนัลอาวุโส) เสร็จเรียบร้อยแล้ว จึงได้ชวนพี่รองของนางแอบออกไปเดินเที่ยวที่ตลาดในช่วงเย็นของวันที่ว่าแอบออกมาก็คือแอบออกมาจริง ๆ นางกับผู้เป็นพี่ชายนั้นพากันโดดข้
ตอนที่ 6เตรียมตัวเข้าสู่ตำหนักบูรพา“ทูลองค์ไท่จื่อ ฝ่าบาทมีราชโองการแต่งตั้ง เช่อเฟยให้พระองค์อีกผู้หนึ่งแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ฝูกงกง ผู้ดูแลรับใช้ใกล้ชิดมาตั้งแต่ยังเยาว์เอ่ยรายงาน“คราวนี้เป็นสตรีจากสกุลใด” เจ้าของเสียงทรงอำนาจตรัสถามขึ้น ใบหน้าหล่อเหลายังคงนิ่งเรียบเฉยไม่แสดงสีหน้าใด ๆ “สตรีจากสกุลเฉิน หลานสาวคนเล็กของท่านเฉินไท่เว่ยพ่ะย่ะค่ะ”“คิดเอาไว้ไม่ผิด ว่าต้องเป็นสตรีจากสกุลเฉิน” โม่หลงอวี้ตรัส เสด็จพ่อของพระองค์ตั้งใจแต่งตั้งเช่อเฟยเข้ามาทีละคน ๆ จากสามสกุลใหญ่ที่ทรงอำนาจในราชสำนัก เช่อเฟยคนแรกที่ทรงแต่งตั้งให้ เมื่อต้นปีคือคนจากสกุลหมิง เช่อเฟยคนที่สองก็มาจากสกุลสวี เพราะฉะนั้น เช่อเฟยคนที่สามนี้ย่อมต้องมาจากสกุลเฉินอย่างแน่นอน ฝ่าบาททรงตั้งพระทัยแต่แรกแล้วว่าจะส่งพวกนางเข้ามาในตำหนักบูรพาแห่งนี้ เพื่อเริ่มการคานอำนาจกันและกันของพวกนางในภายหน้าและดูท่าทีของแต่ละสกุลด้วยแต่งตั้งหมิงเช่อเฟยเป็นคนแรก เพราะต้องการตรึงอำนาจขุนนางในราชสำนัก ต่อมาแต่งตั้งสวีเช่อเฟยเพราะต้องการตรึงอำนาจเหล่าบัณฑิต คราวนี้ตั้งเฉินเช่อเฟยเพราะต้องการตรึงอำนาจทหารจากจวนแม่ทัพใหญ่ในวังมีสนมกุ้ยผิน จ
ตอนที่ 5ราชโองการที่ไม่คาดคิด“ท่านปู่ ท่านพ่อ ขนมกับน้ำชาเจ้าค่ะ” เฉินจินฮวาเอ่ยขึ้น ก่อนที่นางจะรินน้ำชาด้วยตัวเองแล้วจึงยื่นไปให้ท่านปู่และท่านพ่อของตน“ชาดี ดื่มแล้วสดชื่นนัก” ท่านพ่อเอ่ยชม“ลูกชายเจ้ากล่าวผิดแล้ว ชาดีดื่มแล้วสดชื่นกว่าทุกครั้งเป็นเพราะหลานสาวคนเล็กของข้า จินเอ๋อร์เป็นผู้รินให้ด้วยตัวเองต่างหาก” เฉินไท่เว่ยกล่าวขึ้น“ท่านปู่เอ่ยเช่นนี้ หากข้าเป็นคนรินให้ท่าน ชาก็จะพิเศษเช่นกันใช่หรือไม่เจ้าคะ” พี่ใหญ่ของนางเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินมาหยุดอยู่ข้างกายนาง“หลานสาวสองคนใครรินให้ก็รสชาติดีกว่าเดิมแน่อยู่แล้วล่ะ” ผู้เป็นปู่ผู้รักหลานสาวมากล่าวอย่างเอ็นดู “แล้วถ้าหากข้าเป็นคนรินให้เล่าขอรับท่านปู่” คราวนี้เป็นพี่รองนางที่เอ่ยขึ้นบาง เขาไม่เพียงเอ่ยยังเอื้อมมือมาหยิบกาน้ำชามาเติมให้ท่านปู่และท่านพ่อเพิ่มอีก“ชาดี กลายเป็นชาขมอย่างไม่ต้องสงสัย” ผู้เฒ่าเฉินพูดก่อนจะเทชาในถ้วยที่ถูกรินให้โดยหลานชายทิ้งในทันที“เสียบรรยากาศจริง ฟูหมิงเจ้าฝึกดาบฝึกกระบี่ก็ดีอยู่แล้วอย่ามาทำลายอารมณ์สุนทรีย์ของข้ากับปู่เจ้าเลย”หลานชายสายหลักเพียงคนเดียวถูกไล่อย่างไม่ไว้หน้าเลยทีเดียวเฉินฮูหยินเมื่อ
ตอนที่ 4ความกังวลใจนางคิดถูกแล้วที่ไม่รอเปิดถุงคำทำนายพร้อมกับท่านแม่และพี่ใหญ่ หลังจากเก็บกระดาษทำนายใส่ถุงตามเดิมเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ประจวบเหมาะกับที่อาหลัวมาถึงพอดี“คุณหนู ตื่นหรือยังเจ้าคะ บ่าวขอเข้าไปนะเจ้าคะ” เสียงของอาหลัวดังขึ้นอยู่ที่ห้องด้านหน้าก่อนที่เจ้าตัวจะค่อย ๆ เดินเข้ามาในห้องด้านในซึ่งก็คือส่วนของห้องนอนของนาง“ข้าตื่นแล้ว อาหลัวเจ้าเข้ามาเถอะ” นางเอ่ยตอบสาวใช้คนสนิท ก่อนจะปรับสีหน้าจากเดิมที่เคยเคร่งเครียด เป็นสีหน้าสบาย ๆ แทนอาหลัวช่วยนางจัดการล้างหน้าผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า วันนี้เป็นวันสำคัญที่พี่ใหญ่ของนางจะกลับมาเยี่ยมบ้านหลังจากแต่งงาน นางจึงต้องแต่งตัวให้มีสีสันเสียหน่อยเพื่อที่จะได้เป็นมงคลต่อพี่ใหญ่ของนางอาหลัวช่วยนางเลือกชุดสีสีส้มคลุมทับด้วยเสื้อปักลายดอกไม้ด้วยด้ายสีขาวผูกทับด้วยผ้าคาดเอวสีผ้าอ่อน ส่วนผมของนางนั้นด้านหน้าถูกรวบขึ้นสูงม้วนขึ้นขดเป็นเกลียวนูนอย่างประณีต ผมด้านหลังถูกหวีอย่างเป็นระเบียบปล่อยปลายผมยาวตรงถึงเอวเล็กปิ่นระย้าชิ้นหนึ่งซึ่งเป็นปิ่นดอกไม้เช่นเดียวกันกับลายบนชุดของนางถูกเลือกขึ้นมาใช้ปักประดับผมของนางพร้อมกับต่างหูที่เข้าคู่กัน
ตอนที่ 3คำทำนาย ความฝันยามนี้เฉินจินฮวาก้าวขึ้นรถม้าอย่างไม่ค่อยจะเข้าใจนัก หากถามว่าเหตุใดนางจึงเป็นเช่นนี้น่ะหรือ ก็คงจะต้องย้อนความไปเมื่อครึ่งเค่อก่อนหน้านี้ ที่จู่ ๆ ท่านนักพรตหญิงผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นและเดินผ่านฝูงชนจำนวนมากที่ลานหน้าอารามมาหยุดอยู่เบื้องหน้านาง พร้อมกับยื่นถุงผ้าสีเหลืองไร้ลวดลายใบหนึ่งให้นาง พร้อมกับกล่าวว่า ถุงผ้าใบนี้ เป็นนักพรตลู่อวี้มอบให้นางนางยังจำได้ดีว่าในขณะนั้นที่ลานของอารามที่เคยมีเสียงพูดคุยดังอยู่เล็กน้อยนั้นเงียบสนิทลงทันที ทุกสายตาจากทั่วทั้งสารทิศต่างจับจ้องมาที่นางเป็นตาเดียวเวลานั้นเหมือนว่าผู้ที่มีสติที่สุดคงจะหนีไม่พ้นพี่รองของนาง เขาจัดการสักให้ผู้ติดตามรีบมายืนบังนางเอาไว้และรีบพานางและท่านแม่ลงมาจากอารามทันทีโดยที่แม้แต่มารดาของนางก็ยังไม่ได้มีโอกาสเอ่ยลาท่านป้าฟางดี ๆ เลยด้วยซ้ำพี่รองของนางคงกลัวว่าจะเกิดการจลาจลขึ้น จึงรีบพาพวกนางออกจากอาราม ซึ่งจากสายตาที่ผู้อื่นมองมายังนางในเวลานั้นก็เป็นไปได้ว่าอาจจะเกิดจลาจลขึ้นได้จริง ๆ“ท่านแม่ ผู้คนรออยู่ตั้งมากมาย คำทำนายให้เพียงแค่คนคนเดียวจริงหรือขอรับ” ฟูหมิงเอ่ยถามมารดาตนทันที เมื่อรถ
ตอนที่ 2นักพรตตาบอดตั้งแต่ยังไม่ทันจะรุ่งสางดีด้วยซ้ำ ประตูหน้าจวนสกุลเฉินก็มีขบวนแม่สื่อมารออยู่หน้าจวนแล้ว พ่อบ้านเกิงอี้ผู้รับใช้สกุลเฉินมานานออกมารับหน้าขบวนแม่สื่อนี้ก่อนเป็นอันดับแรก ก่อนที่จะพาเข้าจวนไปพบผู้เป็นนายทั้งหลายที่ตนได้ส่งคนไปแจ้งถึงนายท่านและฮูหยินแล้วนายท่านเฉินและเฉินฮูหยินไม่ได้ออกมารับหน้าแม่สื่อด้วยตนเองเพียงแค่สั่งให้พ่อบ้านเกิงอี้เป็นคนรับเทียบสู่ขอเอาไว้เท่านั้นและจึงได้เชิญแม่สื่อกลับไป (จริง ๆ หากจะให้กล่าวตามความจริงไม่ใช่เชิญกลับแต่เป็นบังคับให้กลับต่างหาก)ด้านเทียบสู่ขอที่ถูกนำมาให้ในวันนี้ก็ถูกเก็บใส่กล่องเข้าห้องเก็บของไปในทันทีโดยที่เจ้าบ้านสกุลเฉินไม่แม้แต่จะถามถึงหรือเอ่ยของดูแม้สักตัวอักษรคุณหนูสกุลเฉินนั่น มิใช่ใครใคร่จะสู่ขอก็จะสู่ขอได้ตามอำเภอใจ ความเป็นจริงข้อนี้เกิงอี้ผู้เป็นพ่อบ้านย่อมรู้ดีเป็นที่สุดหลังจากที่จัดการกับเทียบสู่ขอเรียบร้อยแล้ว ตัวเขาจึงได้เร่งฝีเท้าไปที่ห้องครัวใหญ่ของจวนเพื่อที่จะตรวจดูความเรียบร้อยของอาหารเช้าในวันนี้ อีกทั้งยังต้องไปเร่งของว่างที่เอาไว้รับประทานขณะเดินทางไปยังอารามนอกเมืองของฮูหยินเฉินและคุณหนูสามในวั