ตอนที่ 14
ความบังเอิญในความตั้งใจ “เปิ่นไท่จื่อคิดไม่ถึงว่าเฉินเช่อเฟยผู้นี้จะกล้าลงมือกับตัวเองรุนแรงเช่นนี้ทั้ง ๆ ที่เพิ่งจะก้าวเข้าตำหนักได้เพียงวันเดียว สตรีผู้นี้ความคิดลึกซึ้งอีกทั้งยังใจเด็ดไม่เบา” “พระองค์ตรัสเช่นนี้ทรงคิดว่าเฉินเช่อเฟยจงใจให้คนใส่ผงรากบัวที่ตนเองแพ้ลงในโจ๊ก” ฝูกงกงเอ่ย “ผู้ช่วยชุนที่เข้ามาใหม่คงจะเป็นคนของจวนไท่เว่ย ข้ารับใช้ที่เพิ่งเพิ่มเข้ามาใหม่คงมีไม่น้อยที่เป็นคนที่เฉินไท่เว่ยส่งเข้ามา” “ไท่จื่อพระองค์ต้องการให้หาตัวคนเหล่านั้นออกมาหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” “ไม่จำเป็นต้องหาตัวออกมาให้ได้ เจ้าไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องปกติหรอกหรือที่เหล่าขุนนางพวกนั้นจะส่งคนเข้ามาคอยจับตาดูความเคลื่อนไหวของข้า มีคนจากขุนนางอื่นมากมายหลายสกุลแล้วเพิ่มคนจากสกุลเฉินอีกนิดหน่อยก็คงไม่ถึงกับสิ้นเปลืองข้าวปลาอาหารในตำหนักบูรพานักหรอก” โม่หลงอวี้ตรัสออกมาด้วยท่าทีสบาย ๆ พระพักตร์ไม่บ่งบอกว่ากำลังรู้สึกอย่างไร มีเพียงพระพักตร์นิ่งเฉยที่ไม่อาจคาดเดาพระดำริในพระทัยได้เลย สกุลเฉินนั้นตลอดมาไม่เคยสนใจตำหนักบูรพา ไม่เคยมีการส่งคนเข้ามาแฝงตัวมาก่อน พระองค์พอจะคาดเดาได้ว่าที่จวนเฉินไท่เว่ยเริ่มส่งคนเข้ามาก็คงเป็นเพราะเฉินจินฮวาก้าวเข้าสู่ตำหนักบูรพาจึงทำให้จวนไท่เว่ยนั้นไม่อาจนิ่งเฉยได้อีกต่อไป ในราชสำนักมีใครไม่รู้บ้างว่าเฉินไท่เว่ยผู้กุมอำนาจทหารมากมายถึงหนึ่งในสามของทั้งแคว้นนั้นเป็นผู้มีคุณูปการมากมายเพียงใดซ้ำยังเป็นขุนนางตรงฉินผู้ภักดีเป็นผู้ที่เสด็จพ่อของเขาไว้วางใจเป็นอย่างมาก โม่หลงอวี้รู้ดีว่าในสกุลขุนนางต่าง ๆ สกุลเฉินต่อหน้าและลับหลังซื่อตรงไม่แตกต่าง คาดว่าที่แฝงตัวคนเริ่มปะปนเข้ามาในตำหนักล้วนแล้วแต่เป็นเพราะห่วงความปลอดภัยของหลานสาวเพียงเท่านั้น ไม่ได้มีประการอื่นแอบแฝงเช่นผู้อื่น ที่มาของคนที่ถูกส่งเข้ามามากมายล้วนแล้วแต่ต้องการปกปิด แต่ก็ล้วนแล้วแต่ปกปิดไม่มิด ต่างจากคนที่จวนไท่เว่ยส่งมา ทุกคนล้วนแล้วสืบความได้อย่างแน่ชัดว่าถูกส่งมาจากจวนไท่เว่ย มองดูก็รู้ว่าเป็นความตั้งใจอย่างเปิดเผยของเฉินไท่เว่ย ณ ตำหนักทิศประจิม อาหลัวค่อย ๆ ประคองคุณหนูของนางให้เอนตัวพิงที่หัวเตียง “คุณหนูน้ำเจ้าค่ะ” นางเอ่ยก่อนที่จะยื่นน้ำอุ่นให้ผู้เป็นนาย “เรื่องโจ๊กเป็นอย่างไร” “หัวหน้าพ่อครัวใหญ่ถูกไล่ออกไปแล้วเจ้าค่ะ ยามนี้คนคุมโรงครัวหลักก็คือหัวหน้าพ่อครัวชุน” “เป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว” “คุณหนูเจ็บตัวเช่นนี้ดีอย่างไรกันเจ้าคะ” อาหลัวเอ่ยขึ้นอย่างไม่พอใจ “อย่างน้อยในอนาคตข้าก็ไม่ต้องกลัววว่าจะถูกวางยาพิษได้ง่ายๆ ลดความหวาดระแวงลงได้นิดหน่อย อีกทั้งข้าเป็นเช่นนี้ก็แปลว่าข้านั้นต้องพักรักษาตัวไม่อาจปรนนิบัติไท่จื่อได้เป็นอาทิตย์ไม่สิต้องเป็นเดือนเลยล่ะที่ไม่อาจปรนนิบัติได้” ไม่ว่าบนโต๊ะหรือบนเตียงองค์ไท่จื่อผู้นี้คงก็บังคับให้ข้าปรนนิบัติไม่ได้ เพราะผื่นแพ้ของนางนั้นย่อมต้องใช้เวลารักษา หากนางเอ่ยว่าผื่นยังไม่หายหรือว่ากลายเป็นเรื่องใหญ่อย่างเสียโฉมไปเลยจะดีหรือไม่นะ “คุณหนูองค์ไท่จื่อประทานยาชั้นดีมาให้เจ้าค่ะ เห็นว่ารักษาผื่นคันได้ดีซ้ำยังแก้แผลเป็นได้ด้วย เป็นตำรับยาวิเศษจากในวังเลยนะเจ้าคะ” “ยาวิเศษเหรอก็ดียิ่ง” นางยิ้มรับ ผื่นจริงหายก็ยังแต่งผื่นปลอมขึ้นมาแทนได้มิใช่หรือ เรื่องนี้นางไม่เป็นกังวลที่จะกระทบต่อแผนที่ตนวางเอาไว้หรอก เอาไว้ผื่นจริงหายเมื่อไหร่นางค่อยให้อาหลัวแต่งผื่นปลอมให้ก็ได้ “จริงสิเจ้าคะ องค์ไท่จื่อทรงมีรับสั่งว่าหากคุณหนูฟื้นแล้วให้ส่งคนไปแจ้งพระองค์ด้วย” “เช่นนั้นเจ้าก็ให้คนไปแจ้งเถอะ สั่งคนเสร็จแล้วก็เร่งไปหยิบผ้าปิดหน้ามาให้ข้า” “เจ้าค่ะคุณหนู” หลังจากที่อาหลัวส่งคนไปแจ้งข่าวก็ผ่านมาหลายชั่วยามแล้ว ก็ไม่มีท่าว่าองค์ไท่จื่อจะเสด็จมาเสียที เฉินจินฮวาเห็นเช่นนี้จึงได้รู้สึกเบาใจ ยามนี้ทั่วทั้งตัวรวมไปถึงใบหน้าของนางต่างก็มีผื่นคันขึ้นอยู่ นางในยามนี้คงไม่ต่างอะไรก็สตรีอัปลักษณ์ผู้หนึ่ง การที่องค์ไท่จื่อไม่เสด็จมานั้นนางก็สามารถเข้าใจได้ บุรุษผู้ทรงอำนาจที่มีเหล่าสตรีโฉมงามมากมายอยู่รอบตัวใยจะต้องหันมามองสตรีอัปลักษณ์เช่นนางในระคายเคืองพระเนตรด้วย เฉินจินฮวารู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา เมื่อคิดได้ว่าตนอาจจะถูกมองข้ามไปอีกนานนับเดือน แอบคิดไปอีกว่าหากตัวนางนั้นถูกลืมไปเลยก็คงจะดีจริง ๆ ใกล้ปลายยามห้าย(เวลาประมาณ 21.00น.-22.59น.) เฉินจินฮวาจึงสั่งให้อาหลัวดับเทียนเพื่อเข้านอนอย่างสบายใจ ใครจะไปคิดเล่าว่าภายนอนห้องนอนใหญ่แห่งตำหนักทิศประจิมที่เพิ่งดับเทียนไปนั่นจะปรากฏเจ้าของพระพักตร์ราวกับศิลาปั้นขึ้น อาหลัวที่เพิ่งก้าวออกมาจากประตูเรือนพักรีบย่อกายหมายจะทำความเคารพ แต่นางกับถูกห้ามเอาไว้เสียก่อน “นางเข้านอนแล้วเช่นนั้นหรือ” “เพิ่งเข้านอนเมื่อครู่เพคะ พระองค์จะให้จุดเทียนให้สว่างก่อนหรือไม่เพคะ” “ไม่ต้องหรอก” “เช่นนั้นพระองค์จะ...” อาหลัวเอ่ยถามอย่างไม่แน่ใจ ไม่รู้ว่านางควรส่งเสด็จองค์ไท่จื่อกลับตำหนักเลยหรือว่าอย่างไรดี “พวกเจ้าแยกย้ายกันไปพักผ่อนเถอะ ที่นี่มีเปิ่นไท่จื่อผู้เดียวก็ พอแล้ว” “พ่ะย่ะค่ะ/เพคะ” ฝูกงกงและอาหลัวเข้าใจได้ในทันที พวกนางทำตามรับสั่งของ เจ้าเหนือหัวอย่างไม่มีข้อแม้ พากันถอยห่างออกจากเรือนหลักใน ตำหนักทันที ไท่จื่อหนุ่มเลิกม่านราตรีขึ้นก่อนที่จะสอดพระองค์เข้าไปในผ้าห่มผืนหนาอย่างระมัดระวัง ตั้งพระทัยจะไม่ทำให้สตรีร่างเล็กที่เข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้วต้องตื่นขึ้น ในความมืดเช่นนี้แม้จะไม่สามารถมองเห็นใบหน้าเล็กของสตรีข้างกายได้อย่างชัดเจนแต่ ไท่จื่อหนุ่มนั้นก็สามารถเดาได้ว่านางในขณะนี้คงกำลังนอนหลับอย่างเป็นสุขผ่อนคลายเช่นเดียวกันกับเมื่อคืน เพราะคงคิดไปว่าในคืนนี้อย่างไรพระองค์ก็คงไม่เสด็จมาเป็นแน่ พระองค์ทรงมองออกตั้งแต่แรกแล้วว่าเฉินจินฮวาผู้นี้ตั้งใจใช้ตัวของนางเองเป็นเครื่องมือ เป้าหมายหลักอาจจะเพื่อให้คนของจวนไท่เว่ยได้ตำแหน่งสำคัญในโรงครัวหลักไป เป้าหมายรองก็คงไม่พ้นการหาข้ออ้างในการที่จะหลบหน้าพระองค์ มิใช่ว่าพระองค์ไม่ล่วงรู้ว่านางไม่อยากอยู่คอยปรนนิบัติ ถึงขั้นไม่อยากจะเห็นพระพักตร์ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเอาอกเอาใจ เมื่อช่วงสายที่พระองค์ทรงแกล้งเย้านางไปนั้นใบหน้างามหงิกงอสีหน้าแสดงออกมาให้เห็นได้อย่างชัดเจน หากไม่ติดที่ว่านางนั้นส่วนหนึ่งก็ต้องแบกชื่อเสียงของสกุลไม่อาจทำตามใจตัวเองได้เกรงว่ามื้อแรกที่พระองค์และนางได้ร่วมโต๊ะกันนั้น เฉินจินฮวาผู้นี้คงไม่ข่มอารมณ์ทนปรนนิบัติพระองค์บนโต๊ะเสวยทั้ง ๆ ที่รู้อยู่ว่าพระองค์นั้นก็ตั้งใจกลั่นแกล้งนาง พรุ่งนี้ไม่รู้ว่าเมื่อนางตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าพระองค์เข้ามา บรรทมด้วยทั้งคืนจะทำสีหน้าเช่นไร ใบหน้างามนั้นคงไม่พ่นหงิกงอ อีกเป็นแน่ เดิมทีเฉินจินฮวาคิดเอาไว้ว่ายามเช้าของวันนี้จะเป็นอะไรที่ทำ ให้นางรู้สึกสดชื่นรื่นรมย์ที่สุด แต่กลับไม่เป็นเช่นนั้นเมื่อครั้งที่นางลืม ตาตื่นขึ้นมานั้นนัยน์ตาตาของนางก็ประสานเข้ากับนัยน์ตาทรงอำนาจ ซึ่ง เป็นเหตุการณ์ที่เหมือนกับเมื่อวานตอนเช้าเป็นที่สุด ‘ไท่จื่อผู้นี้มาอยู่บนเตียงนางอีกแล้วได้อย่างไรกัน’ นี่คือความสงสัยใคร่รู้อย่างไม่พอใจของนางที่โผล่ขึ้นมาในหัว เป็นอันดับแรก คิ้วเรียวราวใบหลิวงามขมวดจนแทบจะรวมเป็นอันเดียวกันได้อยู่แล้ว ทำให้โม่หลงอวี้ทอดมองอย่างสนพระทัยเป็นอย่างยิ่ง คนทั้งคู่นอนมองกันบนเตียงใหญ่นิ่ง ๆ โดยมีเช่อเฟยคนใหม่ถอนหายใจออกมาเบา ๆ อยู่หลายครา ส่วนด้านเจ้าของพระวรกายทรงอำนาจนั้นทรงแย้มพระสรวลเล็ก ๆ ออกมาครู่หนึ่งเท่านั้นก็ หายวับไปจากพระพักตร์อย่างรวดเร็ว “เมื่อคืนข้าเห็นว่าชายารักนอนหลับสบายดีจึงค่อยวางใจได้ หน่อย” โม่หลงอวี้ตรัสออกมาทำลายความเงียบออกมาเป็นคนแรก “คงเป็นเพราะยาดีจากหมอหลวงหวังที่หมอฉันดื่มก่อนนอนเพคะ” “เปิ่นไท่จื่อนึกว่าเป็นเพราะเจ้าคิดว่าจะไม่ได้พบเปิ่นไท่จื่ออีกหลายวันจึงหลับฝันดีเสียอีก” โม่หลงอวี้ตรัสออกมาอย่างรู้ทัน “พระองค์ตรัสเหมือนรู้ความคิดของหม่อมฉันดีเลยนะเพคะ” นางเอ่ยพลางนอนมองพระพักตร์คมเข้มของผู้ที่ประทับนอนอยู่เบื้องหน้าตน “หรือชายารักจะแย้งว่าที่เปิ่นไท่จื่อตรัสออกไปเมื่อครู่นั้นไม่จริง” “หม่อมฉันหรือจะกล้าแย้งพระองค์ได้ พระองค์ทรงตรัสเช่นไรก็เช่นนั้นเถอะเพคะ” นางเอ่ยออกมาเพียงเบา ๆ พลางหลับตาทั้งสองข้างของตนลง เตรียมจะนอนหลับหนีบุรุษทรงอำนาจข้างกาย “เช้านี้เจ้าไม่รับประทานอาหารกับข้าหรือ เหตุใดอยู่ ๆ ก็ทำท่า จะหลับต่อเสียแล้ว” “หม่อมฉันป่วยเพคะ ไม่สะดวกปรนนิบัติพระองค์เสวย เชิญ พระองค์เสด็จกลับไปเสวยที่ตำหนักหลักหรือไม่ก็เสด็จตำหนักเช่อเฟยผู้อื่นเถอะเพคะ” นางเอ่ยออกมาโดยไม่ลืมตามองคนที่ตนกำลังเอ่ยไล่ทางอ้อมแม้สักครั้ง “หากเปิ่นไท่จื่อยืนยันดึงดันที่จะอยู่ร่วมโต๊ะกับเจ้าก็ไม่ได้เช่นนั้นหรือ” “เฮ้อ…หม่อมฉันเป็นผื่นทั้งตัว ที่ใบหน้าเองก็ไม่เว้น ยามนี้หม่อมฉันไม่ต่างอะไรกับสตรีอัปลักษณ์ไฉนเลยจะเหมาะสมอยู่คอยปรนนิบัติพระองค์ได้ จะทำเอาพระองค์รู้สึกไม่อยากเสวยไปเสียเปล่า ๆ ไม่สู้พระองค์เยือนตำหนักหญิงงามอื่นดีกว่าเพคะ” เฉินจินฮวาอ้างขึ้น ก่อนจะใช้มือเล็กของตนกระชับผ้าปิดหน้าครึ่งหน้าของตนเอาไว้อย่างแน่นหนา โชคดีที่เมื่อคืนนางไม่ได้นอนดิ้นจนทำผ้าผูกปิดใบหน้าครึ่งหนึ่งนี้หลุดออกไป นางทำทีรู้สึกกังวลใจเกี่ยวกับรูปโฉมของตนขึ้นมา ทั้งยังพลิกตัวหันหลังให้เขาอีกด้วย “ชายารักไม่ต้องกังวล ผื่นบนร่างกายเจ้าทายาไม่กี่วันก็หาย ภายหน้าไม่หลงเหลือร่องรอยเอาไว้แม้แต่น้อยแน่” เขาเอ่ยปลอบใจนาง ไม่ใช่ว่าพระองค์นั้นไม่รู้ว่านางแสร้งทำเป็นห่วงรูปโฉมแท้จริงแล้วตั้งใจจะไล่เขาไปต่างหาก เพราะหากนางห่วงเรื่องรูปโฉมจริงตั้งแต่ตื่นมาเห็นพระองค์สิ่งแรกที่นางจะทำต้องไม่ใช่การจ้องมองตอบกลับพระองค์อย่างไม่ย่อมแพ้เช่นนี้แน่ แต่ต้องเป็นการหันหนีไปตั้งแต่แรกแล้ว “หากเจ้าอยากนอนต่ออีกหน่อยก็นอนเถอะ เอาไว้เจ้าหายดีแล้วเปิ่นไท่จื่อค่อยแวะมาเล่นกับเจ้าใหม่”ตอนที่ 15เปลี่ยนศัตรูให้เป็นมิตร“ข้าว่าเฉินเช่อเฟยที่เพิ่งเข้าตำหนักบูรพามาใหม่ คงเป็นสตรี มากแผนการแน่ เจ้าคิดเหมือนกันหรือไม่หมิงเช่อเฟย” สวีเช่อเฟย หรือสวีฟางซินเป็นผู้เอ่ยถามขึ้น ตั้งแต่ตำหนักบูรพารับเช่อเฟยคนใหม่เข้ามานางเองก็เริ่มเกิด ความวิตกกังวลขึ้น ยามนี้ภายในใจจึงค่อนข้างร้อนรนเป็นอย่างมาก“เจ้าและข้าต่างก็ยังไม่เคยเจอนาง จะไม่เร็วไปหน่อยหรือหาก จะตัดสินนางทั้งที่ไม่เคยพบ” หมิงเช่อเฟยหรือหมิงเย่หานเอ่ยตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเรียบ สายตาของนางยังคงจับจ้องอยู่ที่หนังสือเล่ม หนาในมืออย่างสนใจ“ไม่เร็วไปหรอก ยังไม่เจอตัวก็รู้แล้วว่านางต้องไม่ธรรมดา เข้า ตำหนักมาไม่กี่วันก็สร้างเรื่องขึ้นมาเพื่อเรียกร้องความสนพระทัยจากองค์ไท่จื่อ” สวีเช่อเฟยกล่าวออกมาอย่างไม่พอใจ ซ้ำใบหน้างามแสดง สีหน้าไม่พอใจออกมาอย่างไม่ปิดบัง“ความสนพระทัยขององค์ไท่จื่อ ใช่ว่าเรียกร้องแล้วจะได้เสีย เมื่อไหร่กัน เจ้าเองก็น่าจะรู้ดีที่สุดมิใช่เหรอ ว่าหากพระองค์ไม่ทรงสน พระทัยต่อให้ใช้กี่ร้อยวิธีก็ไร้ผล” หมิงเช่อเฟยกล่าวขึ้นเสียงเรียบเช่นเดิม แต่คำพูดนี้ของนางกลับบาดลึกลงสู่หัวใจของสวีฟางซินเป็น อย่างยิ่ง เพรา
ตอนที่ 16สามเช่อเฟยแห่งตำหนักบูรพาเฉินจินฮวานั้นไม่ได้กลัวการต่อสู้ต่อหน้า นางรู้ดีว่าเมื่อก้าวเข้าตำหนักบูรพามาแล้วนั้นแม้จะอยากหลีกหนีการแย่งชิงในทุกด้านนั้นเป็นไปได้อยากและสามารถถูกวางยาพิษให้ตายได้ตลอดเวลา ฉะนั้นการส่งคนเข้ามาแฝงตัวในโรงครัวจึงเป็นสิ่งแรกที่ทำและคิดว่าตัดสินใจได้อย่างถูกต้องแล้ว เพราะจะมีการฆ่าแบบไหนทำได้ง่ายและจับได้ยากอย่างการลอบสังหารโดยการวางยาพิษอีกเล่าก่อนหน้าที่ฝูกงกงจะมาหานางที่ตำหนักคนของนางได้ส่งข่าวมาแล้วว่า หวงไท่จื่อนั้นปฏิเสธสวีเช่อเฟย และสวีเช่อเฟยผู้นี้กำลังดูเหมือนจะพุ่งเป้าตั้งตัวมาเป็นศัตรูกับนางทั้ง ๆ ที่นางกับสวีเช่อเฟยยังไม่เคยพบกันเลยสักครั้ง นางก็ถูกมองว่าเป็นศัตรูไปเสียแล้วเช่อเฟยทั้งสองก่อนหน้านางนั้น มีหมิงเช่อเฟย และสวีเช่อเฟย เรื่องของทั้งสองคนนี้นางรู้มาเล็กน้อยก่อนที่จะเข้ามายังตำหนักบูรพาหมิงเช่อเฟยนั้นเป็นเช่อเฟยคนแรกที่ถูกแต่งตั้งเข้ามา นางเป็นสตรีที่ได้ชื่อว่างดงามที่สุดในเมื่อหลวง มีอุปนิสัยรักสงบ และรักในการอ่านตำราเป็นอย่างยิ่ง จากที่ได้ยินมาหมิงเช่อเฟยเป็นเช่นนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นจริงอย่างที่นางได้ยินมาหรือไม่ส่วนสวีเช
ตอนที่ 17เตียงอุ่นเป็นอันแน่ชัดแล้วว่าในคืนนี้องค์ไท่จื่อจะประทับค้างคืนอยู่ที่ ตำหนักของนางไม่เสด็จกลับตำหนักบรรทมส่วนพระองค์เมื่อครู่นางยังไม่ทันเอ่ยถามอย่างชัดเจน ฝูกงกงก็เป็นผู้ถาม ออกไปเสียก่อน“องค์ไท่จื่อ คืนนี้พระองค์จะทรงบรรทมที่ตำหนัก…”“เปิ่นไท่จื่อจะนอนที่นี่ เจ้าให้คนไปเตรียมน้ำเถอะข้าจะอาบน้ำก่อนค่อยเข้านอน”ฝูกงกงรับคำสั่งแล้วก็หายออกไปทันที คงจะกำลังไปสั่งการเตรียมห้องสรงน้ำให้ผู้เป็นนายตนเป็นแน่“เจ้าจะอาบน้ำด้วยหรือไม่” เขาหันไปถามเจ้าของร่างบางข้างกาย“หม่อมฉันอาบแล้วเพคะ ประเดี๋ยวให้อาหลัวนำอ่างน้ำสักอ่างมาให้ล้างเนื้อล้างตัวสักหน่อยก็พอแล้ว” นางเอ่ยตอบอย่างรู้สึกโล่งใจที่ตนเองนั้นเลือกที่จะอาบน้ำไปก่อนแล้วในช่วงเย็น“ดีแล้ว อาบน้ำยามกลางคืนอาจจะไม่ดีต่อร่างกายของเจ้า”นางได้แต่ยิ้มตอบกลับไปเพียงเท่านั้น ทั้ง ๆ ที่ในใจเมื่อได้ยินที่ทรงตรัสออกมาเมื่อครู่แล้วนางอยากถามสวนกลับไปว่า ‘เช่นนั้นพระองค์สรงน้ำในยามนี้ดีต่อพระวรกายเช่นนั้นหรือ’เฉินจินฮวาเลือกที่จะไม่เอ่ยออกมาอย่างที่ใจคิด นั่งมองบ่าวรับใช้สองคนหาบน้ำร้อนเข้าไปที่ห้องอาบน้ำซึ่งอยู่เยื้องออกไปกลับห้องนอนขอ
ตอนที่ 18ศัตรูหรือมิตรโม่หลงอวี้ทอดมองการกระทำของร่างบางที่พยายามหลบเลี่ยง พระองค์อย่างเต็มที่ด้วยสีพระพักตร์ไม่ยินดียินร้ายเพราะถึงอย่างไรต่อ ให้นางพยายามมากกว่านี้เป็นร้อยเป็นสิบเท่าแต่หากพระองค์ตั้งใจจะ ไม่ปล่อยให้นางรอดไปได้แล้วนั้น ไม่ว่านางจะใช้วิธีใดก็ไร้ประโยชน์ เจ้าของตำแหน่งหวงไท่จื่อผู้สูงศักดิ์ประทับลงนอนในเวลา ต่อมา ลำแขนแกร่งเอื้อมไปโอบเอวเล็กของร่างบางที่นอนอยู่ห่างจาก พระองค์ให้เข้ามาอยู่ในอ้อมแขนพระองค์ภายในการดึงครั้งเดียว“องค์…ไท่จื่อ” เฉินจินฮวาเอ่ยออกมาอย่างยากลำบาก เมื่อครู่ ยามที่ถูกดึงเข้ามาในอ้อมกอดแกร่งนางที่ไม่ทันได้ตั้งตัวก็รู้สึกตกใจ เป็นอย่างมากจนเกือบจะเผลอร้องออกมา“เปิ่นไท่จื่อทำเจ้าตกใจเช่นนั้นหรือ”เจ้าของน้ำเสียงทุ้มทรงอำนาจเอ่ยถามนางขึ้นอย่างแผ่วเบา เป็นเพราะยามนี้นางถูกโอบกอดจากทางด้านหลังทำให้ในตอนนี้ต้นคอของนางอยู่ใกล้กับพระโอษฐ์ขององค์ไท่จื่อเป็นอย่างมาก ทุกครั้งที่เขาเอ่ยออกมาพระโอษฐ์งามได้รูปก็มักจะสัมผัสถูกต้นคอของนางเล็กน้อยทำเอานางต้องคอยหดต้นคอหนีอยู่หลายครั้ง“ไม่ทันได้ตั้งตัว จึงตกใจนิดหน่อยเพคะ” นางเอ่ยตอบกลับไป ยามนี้นางถูกโ
ตอนที่ 19 แสดงความจริงใจหลังจากที่นางเอ่ยออกไปว่านางมีคนที่รักอยู่แล้ว บรรยากาศที่ศาลารับลมก็เงียบลงในทันที“เรื่องเช่นนี้เอ่ยออกมาเล่น ๆ ไม่ได้นะ” สวีเช่อเฟยเอ่ยขึ้น พลางมองมาที่นาง“โชคดีที่มีแต่คนสนิท ไม่เช่นนั้นเรื่องที่เฉินเช่อเฟยพูดมาเมื่อครู่ไม่นานคงรู้กันทั้งวังบูรพาแล้ว” เป็นหมิงเช่อเฟยที่เอ่ยขึ้น หลังจากที่มองสำรวจรอบข้างอย่างดีแล้วก็เห็นเพียงสาวใช้คนสนิทของพวกนางเพียงสามคนเท่านั้น“หากข้าไม่พูดความจริงออกมา พวกท่านทั้งสองจะเชื่อได้ อย่างไรว่าข้าไม่คิดจะแย่งชิงความโปรดปรานจริง ๆ พวกท่านทั้งสองแท้จริงแล้วพวกเราแต่งเข้ามาในตำหนักบูรพาแห่งนี้โดยไม่อาจเลือกได้เลย หากขัดราชโองการมีความผิดต้องโทษทั้งตระกูล หมิงเช่อเฟยข้าขอถามท่านหน่อยว่ายามท่านแต่งเข้ามาในตำหนักมีความคิดเช่นไรอยู่ในหัวของท่านเป็นอันดับแรก”“ข้าคิดว่าในตำหนักบูรพาแห่งนี้คงจะมีตำราหนังสือหายากมากมายให้ข้าได้อ่าน”“สวีเช่อเฟยท่านเล่าคิดสิ่งใดเป็นสิ่งแรกยามที่แต่งเข้ามาในตำหนัก” เฉินจินฮวาหันไปถามสวีเช่อเฟยต่อ“เหตุใดข้าต้องบอกเจ้า” สวีเช่อเฟยเอ่ยเสียแข็ง“สวีเช่อเฟยไม่ตอบคำถามข้าก็ไม่เป็นไร เช่นนั้นข้าจะเอ่ยบอกคำตอ
ตอนที่ 20แขกที่ไม่ได้รับเชิญเพราะนางแต่งกับเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง วันกลับมาเยี่ยมบ้านครั้งแรกจึงไม่จำเป็นต้องให้สามีมาด้วยกัน อีกอย่างแม้นางจะแต่งเข้าตำหนักบูรพาแต่ก็เป็นเพียงพระชายารองแม้จะถือว่าเป็นตำแหน่งสูงกว่าฮูหยินเอกของขุนนางชั้นเอกแต่ชายารองก็คือชายารองอยู่วันยังค่ำองค์ไท่จื่อยังไม่มีไท่จื่อเฟยตำแหน่งชายาเอกแห่งตำหนักบูรพายังว่างเว้นอยู่เพราะฉะนั้นเหล่าชายารองเช่นนางจึงเป็นที่จับตามองจากหลายฝ่าย ยิ่งนางที่เพิ่งเข้าตำหนักบูรพาไปได้ไม่นานยิ่งเป็นที่จับจ้องจากสายตาในมุมมืดหลายคู่ ซึ่งไม่รู้ว่าจะคอยหาโอกาสทำลายสกุลเฉินหรือว่าสร้างเรื่องให้ตำหนักบูรพาอีกเมื่อไหร่ที่ได้โอกาสวันนี้นางออกจากตำหนักบูรพาตั้งแต่เช้าตรู่ นั่งรถม้าของตำหนักที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายไม่หรูหรามาพร้อมกับพี่รองของนางเฉินซือหมิงที่มารอรับนางกลับจวนตั้งแต่ฟ้ายังไม่ทันสางหากไม่ติดว่าตอนนี้ฐานะของนางไม่เหมือนเก่า เห็นทีว่ายามนี้พี่ชายของนางผู้นี้คงจะกระโดดขึ้นรถม้าเข้ามานั่งสนทนากับนางแล้ว ไม่ทนควบม้าอย่างองอาจนำขบวนอยู่เช่นนี้หรอกไม่นานรถม้าของนางก็มาถึงจวนสกุลเฉินในที่สุด เฉินจินฮวาลงจากรถม้าโดยมีอาหลัวสาวใช้คนส
ตอนที่ 21ผู้สูงศักดิ์ในยามนี้ที่นั่งหลักภายในห้องโถงรับรองของสกุลเฉินนั้นผู้ที่ครอบครองอยู่มิใช่เฉินไท่เว่ยอีกต่อไปแต่กลับเป็นองค์ไท่จื่อผู้ที่เสด็จมาเยือนอย่างกระทันหันประทับนั่งอยู่แทนส่วนเฉินไท่เว่ยและคนอื่น ๆ ในสกุลเฉินล้วนแต่ยืนอยู่เบื้องหน้าพระพักตร์องค์ไท่จื่อด้วยท่าทีสำรวมทั้งสิ้นยกเว้นเพียงแค่เฉินจินฮวาเท่านั้นที่ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเดิมไม่ขยับเขยื้อน ใบหน้างามยังคงจับจ้องไปที่สองแม่ลูกที่กำลังยืนอยู่กลางห้องโถงด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ปกติแล้วนางไม่ใช่คนที่จะถือสาเพียงคำพูดไม่กี่คำของคนที่ไม่รู้จักนางดีอย่างจี้ฮูหยินและบุตรสาวของนาง แต่หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับสกุลเฉินตัวนางนั้นไม่อาจปล่อยไปได้จริง ๆ นางในยามนี้ในใจจึงค่อยข้างถือโกรธเป็นอย่างมากหากไม่ใช่เมื่อครู่องค์ไท่จื่อก้าวเข้ามาตรัสบันดาลโทสะแทนนางซะก่อนเมื่อครู่เฉินจินฮวาคงต่อว่าสองแม่ลูกด้วยตัวเองไปหลายประโยคแล้วครั้งนี้องค์ไท่จื่อทรงยื่นมือเข้ามาแล้วนางจึงไม่จำเป็นต้องลุกขึ้นโต้ด้วยตนเองอีกจึงเปลี่ยนมาเป็นผู้เฝ้าดูเหตุการณ์ด้วยความสงบนิ่งแต่ในใจกลับรู้สึกร้อนกรุ่นอยู่นิดหน่อยแต่ก็ถือว่ายังพอทนนั่งเฉยได้อยู่“ห
ตอนที่ 22ชายารองหรือสาวใช้ส่วนตัวกันแน่'มีแค่ข้าคนเดียวก็พอแล้ว จะพอได้อย่างไร นางหรือจะรู้พระทัยรับใช้ได้อย่างคล่องแคล่วเท่าฝูกงกง' เจ้าของความคิดได้เพียงแต่ฝืนยิ้มออกมาเท่านั้น แม้ในใจจะกรีดร้องออกมาแต่ก็ไม่ได้แสดงออกถึงความไม่พอใจออกมาทางสีหน้า ฝูกงกงทูลลากลับไปแล้ว หน้าที่ปรนนิบัติดูแลองค์ไท่จื่อผู้นี้จึงกลับมาเป็นของนางอย่างเต็มตัวอีกครั้ง (หลังจากไม่ได้ทำหน้าที่มาสามวัน) เดิมทีนางคิดว่ามื้อเช้าวันนี้จะรอดพ้นจากหน้าที่อำนวยความสะดวกในการเสวยแล้วแต่ก็ไม่อาจหลุดพ้นได้นางแอบถอนหายใจเล็ก ๆ ก่อนจะลงมือใช้ตะเกียบแยกก้างปลาในอาหารตรงหน้าออกอย่างรวดเร็วเนื่องด้วยเริ่มชำนาญการแล้วเมื่อครู่ยามที่นางแอบถอนหายใจได้ยินเหมือนเสียงหัวเราะในลำคอเบา ๆ จากบุรุษข้างกาย แต่ยามที่นางหันไปมองที่องค์ไท่จื่อที่ประทับอยู่ข้าง ๆ พระองค์กับจดจ่ออยู่ที่ถ้วยเสวยของพระองค์ไม่ได้หันมาสนใจที่นางแต่อย่างใด แต่ถึงกระนั้นนางก็รู้สึกมั่นใจกว่าครึ่งว่าเสียงหัวเราะเบา ๆ เมื่อครู่ที่นางได้ยินเป็นเสียงหัวเราะขององค์ไท่จื่อผู้นี้ที่รู้สึกพอพระทัยเมื่อเห็นว่านางกำลังเป็นทุกข์'ประเดี๋ยวมารดาก็เอาก้างปลากรอกปากให้เสว
ตอนพิเศษ วังหลวงอันสุขสงบในปีที่สามหลังจากฮ่องเต้องค์ใหม่ขึ้นครองราชย์ ทรงมีราชโองการให้ยกเลิกการคัดเลือกพระสนม โดยทรงให้เหตุผลต่อเหล่าขุนนางในราชสำนักว่าการคัดเลือกพระสนมและการมีพระสนมมากเกินไปจะเป็นการสิ้นเปลืองอีกทั้งพระองค์อยากตั้งใจบริหารบ้านเมืองมากกว่าสนใจเรื่องของสตรีมากมายในวังหลังแม้เหล่าขุนนางส่วนมากจะไม่ค่อยเห็นด้วยกับการที่ทรงต้องการยกเลิกการคัดเลือกพระสนมแต่ไม่สามารถขัดต่อฮ่องเต้ได้ เพราะเรื่องผู้สืบทอดสายเลือดมังกรยามนี้ก็ทรงมีองค์ชายถึงสองพระองค์ และองค์หญิงหนึ่งพระองค์ที่ประสูติจากพระครรภ์ของฮองเฮา ถือเป็นสายพระโลหิตสายตรงที่ล้ำค่าวังหลังยามนี้นอกจากพระสนมในฮ่องเต้องค์ก่อนที่อยู่ภายใต้การดูแลของฉุนหวงกุ้ยไท่เฟย แล้วนั้นสนมในฮ่องเต้โม่หลงอวี้ก็นับแล้วไม่เกินหกคนชิงอีจินฮองเฮา จากสกุลเฉินหมิงกุ้ยเฟย จากสกุลหมิง (หมิงเช่อเฟย)สวีผิน จากสกุลสวี (สวีเช่อเฟย)มู่กุ้ยเหริน ฉวีกุ้ยเหริน (หรูจื่อจากตำหนักบูรพา)หม่าฉางจ้าย อี้ฉางจ้าย (หรูจื่อจากตำหนักบูรพา)สตรีอื่นในวังแม้จะอยู่ในสถานะพระสนมของฝ่าบาทแต่ผู้ที่ได้รับใช้พระองค์จริง ๆ กลับมีเพียงเฉินฮองเฮาเท่านั
ตอนที่ 54 ทุกอย่างคลี่คลาย หนึ่งเดือนผ่านไปเรื่องราวทั้งหมดคลี่คลายแล้ว องค์ไท่จื่อเล่า เรื่องราวทั้งหมดให้นางฟังรวมไปถึงจุดจบของเฮ่อหลินจือและเฮ่อหลูเค่อ รวมไปถึงหัวหน้าเผ่าต้าเหอที่ท่านพ่อของนางเป็นคนไปจัดการ เผ่าต้าเหอตอนนี้กลายมาเป็นพื้นที่ครอบครองของแคว้นเป่ยซี เต็มตัวแล้ว ยามนี้รอแต่งตั้งอ๋องเพื่อไปปกครองเมื่อ ระหว่างรอฝ่าบาทพิจารณาผู้ที่เหมาะสมท่านพ่อของนางจะเป็นผู้ดูแลความสงบที่นั่นไปก่อนหมิงเช่อเฟยตั้งแต่องค์ไท่จื่อให้เสด็จออกไปยังที่ปลอดภัยก็ยัง แวะท่องเที่ยวไม่ยอมกลับมาเสียที อาจูที่ติดตามไปด้วยก็พลอยยังไม่ได้กลับมาด้วยกันส่วนสวีเช่อเฟยนั้นเคยเก็บตัวเงียบอยู่ในตำหนักอย่างไรก็เป็น เช่นนั้นไม่เปลี่ยนแปลงส่วนตัวนางเองก็ได้เปิดใจกับองค์ไท่จื่อไปทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นเรื่องความฝันบอกเหตุหรือคำทำนายที่ได้รับ และเหตุผลว่าทำไม นางถึงไม่อยากจะมีครรภ์กับพระองค์ในเวลานั้นพระองค์รับฟังนางทุกเรื่องอย่างไม่เร่งรัดสรุปตัดความ ทรง เปิดใจให้นางได้เปิดเผยทุกอย่างในใจมีเรื่องหนึ่งที่นางถึงขั้นอึ้งหนักไปเลยนั่นคือเรื่องของนักพรต ลู่อวี้แห่งอารามโต้เทียน“ดูเหมือนนักพรตลู่อวี้ที่ชายารักกล
ตอนที่ 53 เป็นไปตามแผนวันนี้คือวันที่ถูกกำหนดเอาไว้ให้ทำการใหญ่ องค์ไท่จื่อและเฮ่อหลูเค่อรวมไปถึงหน่วยกล้าตายมากฝีมือลอบเข้าวังหลวงได้อย่างง่ายดาย เป็นเพราะองค์ไท่จื่อได้ผลัดเปลี่ยนเวรยามภายในวังหลวงก่อนหน้านี้เรียบร้อยแล้วในที่สุดก็สามารถเข้ามาถึงห้องทรงอักษรของฮ่องเต้โม่หลงเซียวได้อย่างง่ายดาย ตามทางที่มีเหล่าขันทีและนางกำนัลเฝ้าอยู่ตอนนี้มีเพียงแค่ร่างที่ไม่รู้สึกตัวนอนหมดสติอยู่ตามพื้นเช่นเดียวกันกับเหล่าองครักษ์ประจำวังหลวง“องค์ไท่จื่อลงมือได้อย่างรวดเร็ว พวกเขาไม่ต้องเสียทั้งแรงและเวลาไปเปล่า ๆ” เฮ่อหลูเค่อเอ่ยขึ้นหลังจากถอดผ้าคลุมหน้าของตนออกเมื่อเข้ามาถึงห้องทรงพระอักษรด้านในแล้วหน่วยกล้าตายถูกสั่งให้เฝ้าอยู่ด้านนอกห้าคน และตามเขากับองค์ไท่จื่อเข้ามาอีกห้าคน“สิ่งที่ข้าลงมือทำด้วยตัวเองแน่นอนว่าย่อมต้องไร้ที่ติ” ไท่จื่อหนุ่มกล่าวก่อนจะเป็นผู้เปิดประตูบานสุดท้ายที่จะนำพาพระองค์ไปหาผู้เป็นเสด็จพ่อของพระองค์ที่ทรงประทับอยู่ห้องด้านในเมื่อประตูบานสุดท้ายเปิดออกก็พบกับผู้เป็นฮ่องเต้แห่งแคว้นเป่ยซีทรงประทับอยู่บนแท่นพระที่นั่งด้วยท่าทีทรงอำนาจ สายพระเนตรทอดมองเหล่าผู้มาใหม่ด้ว
ตอนที่ 52กำจัดเสี้ยนหนามตอนนี้ไม่ว่าเรื่องใดที่เกิดขึ้นภายในตำหนักบูรพาก็ไม่มีสิ่งใดที่เฮ่อหลินจือไม่รู้ เรื่องที่อี้กงกงขันทีคนสนิทของฝ่าบาทมาทำไมที่ตำหนักบูรพาก็เช่นเดียวกันนางรู้สึกพอใจอยู่ลึก ๆ ที่สตรีแซ่เฉินผู้นั้นกำลังตกอยู่ในความมืดมิด เช่นนั้นหากนางจะเป็นผู้ช่วยปลดปล่อยสตรีแซ่เฉินผู้นั้นให้ได้พบเจอกับความสงบตลอดไปจะดีแค่ไหนกันนะ“น่าน่านักฆ่าที่เราเรียกใช้ได้ตอนนี้มีอยู่เท่าไร่หรือ”“ราว ๆ เกือบสามสิบคนเจ้าค่ะ”“จำนวนไม่น้อยเลยนี้ มากเพียงพอที่จะกำลังสตรีนางหนึ่ง ไม่สิมากเกินไปด้วยกระมัง” นางเอ่ยออกมาอย่างอารมณ์ดี“น่าน่ารับคำสั่งข้าเรียกให้นักฆ่าทั้งหมดที่เรามีตามไปกำลังสตรีแซ่เฉินผู้อวดดีให้ข้า” หญิงสาวเอ่ยสั่งออกมาเสียงเย็นรถม้าคันใหญ่เร่งมุ่งหน้าลงใต้ด้วยความเร็ว ยามนี้แม้รถม้าจะเร็วเพียงใดแต่จิตใจของคนในรถม้ากลับเร็วกว่าใจของพวกเขาลอยไปถึงหุบเขาทางใต้ที่ท่านพ่ออยู่นานแล้ว“ท่านแม่ ท่านพี่เป็นแม่ทัพกล้าเสมอมา กี่ร้อยสนามรบไม่ว่าเล็กใหญ่ล้วนผ่านมาได้ ครั้งนี้ท่านพ่อก็จะต้องรอดชีวิตได้อีกแน่” เฉินฟูหมิงเอ่ยบอกท่านแม่ที่อยู่ในอ้อมกอดของตนในยามนี้“แต่อี้กงกงกล่าวว่าพ่อเจ้
ตอนที่ 51เรื่องราวในอดีต ทั่วทั้งวังหลวงไม่มีผู้ใดไม่ได้ยินเรื่องที่ฝ่าบาททรงกริ้วองค์ไท่จื่อหนักถึงขั้นต่อว่าอย่างรุนแรงในระหว่างการประชุมราชการในช่วงเช้าที่ผ่านมาต่อหน้าขุนนางทั้งราชสำนักภายในวังหลวงมีผู้ใดไม่รู้บ้างว่าแท้จริงแล้วองค์ไท่จื่อกับฝ่าบาทต่างก็มีความเนินห่างกันอยู่ องค์ไท่จื่อโม่หลงอวี้ผู้นี้หัวรั้นจนเกินไปจนมักจะเกิดการโต้แย้งกันอยู่เสมอฟังจากที่เหล่าข้ารับใช้ในวังหลวงเล่าต่อกันมาว่าหากองค์ไท่จื่อไม่ได้เป็นพระโอรสองค์โตที่ประสูติแก่ฮองเฮาพระองค์ก่อนที่ด่วนสิ้นพระชนม์ไปฝ่าบาทก็คงไม่ทรงไว้หน้าไท่จื่อผู้นี้แล้วก็คงมีรับสั่งให้ปลดออกจากตำแหน่งหวงไท่จื่อนานแล้วภายในวังหลวงและเหล่าขุนนางต่างแอบพูดคุยกันถึงเรื่องนี้อยู่บางอย่างลับ ๆ ซึ่งแน่นอนว่าไม่มีผู้ใดจะกล้าผู้ออกมาอย่างเปิดเผย แต่ถึงอย่างนั้นเหล่าขุนนางก็เริ่มคิดแผนการเอาไว้หลายทางมากขึ้นเผื่อว่าอาจจะมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคตอันใกล้ พวกเขาอาจต้องเลือกระหว่างองค์ชายรองและองค์ชายสาม แน่นอนว่าองค์ชายรองซึ่งเกิดจากพระสนมชิงเฟยดูเหมือนจะเป็นตัวเลือกแรกที่ถูกนึกถึงแต่ถึงแม้หากจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงผู้ดำรงตำแหน่งหวงไท่จื่ออ
ตอนที่ 50ใจจริงของเจ้าสามวันสามคืนแล้วที่องค์ไท่จื่อไม่ได้เสด็จมาหานางที่ตำหนักทิศประจิม อีกทั้งไม่มีฝูกงกงหรือผู้ใดมาแจ้งเลยว่าเหตุใดถึงไม่ทรงเสด็จมาซึ่งผิดไปจากปกติเป็นอย่างมากเพราะพระองค์ไม่เคยไม่เสด็จมาหานางนานถึงเพียงนี้นางไม่ได้ให้อาจูไปสอบถามที่ตำหนักหลักตรงๆ เพราะกลัวที่จะเสียหน้าจึงได้สั่งให้อาจูไปแอบสืบจากองครักษ์เฝ้าประตูเงียบ ๆ ถึงได้ความมาว่าองค์ไท่จื่อเสด็จกลับมาที่ตำหนักบูรพาทุกวัน เพียงแต่เสด็จวังหลวงแต่เช้ากว่าเดิม และเสด็จกลับมาดึกด้วยทุกคืนช่วงนี้อาจจะทรง ทรงงานหนักมากจนไม่มีเวลา แต่อย่างไรเฉินจินฮวาก็มั่นใจว่าต่อให้จะดึกแค่ไหนหรือว่านางจะหลับไปแล้วอย่างไรพระองค์ก็จะเสด็จมาหานางอยู่ดี ต่อให้ไม่ได้เจอนางยามตื่นก็คงจะต้องแวะมาแกล้งนางยามหลับนางทำให้พระองค์โกรธเคืองหรือก็ไม่น่าเป็นไปได้ คืนก่อนที่แวะมาเสวยมื้อค่ำที่ตำหนักของนางก็ทรงไม่มีท่าทีแปลก ๆ หรือไม่สบ อารมณ์ใด ๆ เลย เพราะฉะนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะทรงโกรธเคืองนางฉะนั้นอาจจะเป็นเพราะทรงยุ่งเท่านั้นล่ะ จริง ๆ แล้วไม่ใช่ว่า พระองค์ไม่เสด็จมาหานางควรจะดีใจหรือเปล่า นางหวังให้เป็นเช่นนี้ มาตลอดมิใช่หรือแล้วเวลานี้ม
ตอนที่ 49สุมไฟโม่หลงอวี้กว่าจะกลับถึงตำหนักบูรพาฟ้าก็ใกล้จะมืดเต็มที่แล้ว พระองค์เสด็จไปยังตำหนักทรงอักษรส่วนพระองค์ทันทีที่กลับมาถึง เมื่อทรงเข้ามาในตำหนักทรงอักษรแล้วก็มีรับสั่งไม่ให้ผู้ใดรบกวน“ลู่เหยียน” สิ้นเสียงเรียกเพียงครั้งเดียวองครักษ์หนุ่มก็ออกมาจากเงามืดทันที เขามาหยุดอยู่เบื้องหน้าผู้เป็นนายเหนือหัวก่อนจะก้มลงคุกเข่า“องค์ไท่จื่อ”“เปิ่นไท่จื่อสั่งให้เจ้าคอยจับตาตำหนักหรดีเอาไว้ได้ความว่าอย่างไร”“ทูลองค์ไท่จื่อ หลังจากพระองค์เสด็จออกไปจากตำหนักบูรพาไม่นานเฮ่อเช่อเฟยก็ไปที่ตำหนักทิศประจิมพ่ะย่ะค่ะ”“หลังจากนั้นเล่า” ทรงตรัสถามต่อ“เช่อเฟยทั้งสองสนทนากันครู่หนึ่ง ก่อนที่ฮูหยินรองแม่ทัพมู่จะมาพบเฉินเช่อเฟย เฮ่อเช่อเฟยถึงได้แยกกลับตำหนักพ่ะย่ะค่ะ”“พวกนางเพียงพูดคุยกันเท่านั้นหรือ”“เริ่มแรกสนทนากันอย่างเป็นมิตรอย่างยิ่งพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมลอบฟังได้เล็กน้อยก็รู้สึกเหมือนมีสิ่งใดผิดปกติจึงได้ตามไปดู การสนทนาหลังจากนั้นจึงไม่ทราบเลยพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมต้องขอประทานอภัยด้วย”“นอกจากตำหนักทิศประจิมแล้ว เฮ่อเช่อเฟยได้ไปอีกสองตำหนักอีกหรือไม่”“ไม่พ่ะย่ะค่ะ”“ลู่เหยียน จงรับคำสั่ง” ไ
ตอนที่ 48ตำหนักหรดีน้ำแกงผักตุ๋นกระดูกหมูอ่อนดูเหมือนวันนี้จะไม่ได้นำไปถวายองค์ไท่จื่อแล้ว เพราะเหตุใดน่ะหรือ ก็เพราะว่าคืนนี้องค์ไท่จื่อทรงจะยุ่งมากเป็นพิเศษทั้งคืน“อาหลัวเจ้านำน้ำแกงตุ๋นส่งไปที่ตำหนักพายัพแทนก็แล้วกัน” นางเอ่ยสั่งสาวใช้คนสนิทของตน“คุณหนูตั้งใจทำถวายองค์ไท่จื่อมิใช่หรือเจ้าคะ เหตุใดจริงให้นำไปส่งให้หมิงเช่อเฟยแทนเล่าเจ้าคะ” อาหลัวเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ น้ำนั่นแกงที่นางอุตส่าห์เคี่ยวอยู่กว่าสองชั่วยามเชี่ยวนะ“ฝ่าบาทเพิ่งมีราชโองการแต่งตั้งเช่อเฟยคนใหม่ เฮ่อเช่อเฟย เจ้าไม่ได้ยินที่เสี่ยวหม่ากงกงมาแจ้งข่าวเมื่อครู่หรือว่าฤกษ์ส่งตัวของนางก็คือคืนนี้”“ถึงจะเป็นเช่นนั้นแต่ข้าน้อยสามารถนำน้ำแกงตุ๋นของคุณหนูไปถวายให้แก่องค์ไท่จื่อที่ตำหนักหลักได้นะเจ้าคะ คุณหนูให้ข้าไปเถอะเจ้าค่ะ น้ำแกงนี่ท่านอุตส่าห์ตั้งใจทำถวายองค์ไท่จื่อ”“ทำเช่นเจ้าว่าได้ที่ไหนกันอาหลัว ผู้ใดรู้เข้าจะคิดว่าข้าคิดเรียกร้องความสนใจจากองค์ไท่จื่อขัดขวางพระองค์ไม่ให้เสด็จตำหนักหรดีของเช่อเฟยคนใหม่ เจ้าทำตามข้าบอกส่งน้ำแกงนั้นไปให้หมิงเช่อเฟยแทน”“เจ้าค่ะคุณหนู” อาหลัวจำต้องทำตามคำสั่งของผู้เป็นนายตน นำน
ตอนที่ 47องค์หญิงเฮ่อหลินจือณ วังหลวงแคว้นเป่ยซี ภายในห้องทรงพระอักษรของฮ่องเต้โม่หลงเซียว ยามนี้องค์ไท่จื่อโม่หลงอวี้กำลังเดินหมากอยู่กับเสด็จพ่ออีกทั้งพระองค์กำลังเป็นฝ่ายได้เปรียบอยู่ด้วย “คณะทูตจากเผ่าต้าเหอจะอยู่ที่เมืองหลวงอีกหลายวัน เจ้ารองทำการดูแลคณะทูตได้ดีไม่มีสิ่งใดเกิดปัญญา”“หน้าที่ดูแลคณะทูตจากต่างแดนเหมาะสมกับน้องรองมาก หากมีทูตมาจากที่อื่นลูกก็เชื่อว่าเขาจะจัดการได้ดียิ่งขึ้นไปอีก” ไท่จื่อหนุ่มเอ่ยขึ้นสนับสนุนผู้เป็นน้องชายตน ถึงแม้ภายนอกน้องรองของพระองค์จะดูช่างพูดจนน่ารำคาญอยู่บ้างแต่ก็เหมาะกับตำแหน่งต้อนรับทูตดี อีกทั้งเวลาทำงานก็ตั้งใจดีไม่น้อย“พ่อก็คิดเช่นเดียวกับเจ้า ภายหน้าเจ้ารองกับเจ้าสามจะช่วยแบ่งเบางานเจ้าได้มาก”“พ่ะย่ะค่ะ”“ยังมีอีกเรื่องที่พ่อยังต้องบอกและปรึกษาเจ้า” ทรงตรัสขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง“เรื่องใดหรือพ่ะย่ะค่ะ” พระองค์วางมือจากหมากในมือลง แล้วหันไปสนใจเสด็จพ่อของตนด้วยสีหน้าจริงจังไม่แพ้กัน“หัวหน้าเผ่าส่งสาส์นมาถึงจ้า ต้องการให้องค์หญิงบุญธรรมเฮ่อหลินจือแต่งกับเจ้า”“กระหม่อมของปฏิเสธพ่ะย่ะค่ะ” โม่หลงอวี้ตอกกลับออกมาทันทีโดยไม่ต้องคิด“เพร