เนตรแห่งสวรรค์ของหนิงอ้ายหลังจากได้รับแรงกระตุ้นจากการดูดซับกระดูกวิญญาณของอสรพิษเหมันต์บรรพกาลไป หนิงอ้ายพบว่าความสามารถในการมองเห็นและการรับรู้ของเขาในตอนนี้อยู่เหนือกว่าผู้ฝึกตนในเขตขั้นเดียวกันอย่างชัดเจน รายละเอียดเล็กน้อย ข้อมูลต่าง ๆ รวมไปถึงทุกการเคลื่อนไหวในรัศมีหนึ่งลี้ไม่อาจถูกปกปิดจากสายตาหรือการรับรู้ของเขาได้ คล้ายกับว่าความสามารถทั้งหมดในโลกเดิมของเขาที่เคยใช้ได้จะถูกยกระดับเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว
“หนิงเอ๋อร์ เจ้าแน่ใจใช่หรือไม่ที่จะเดินทางไปกับผู้อาวุโสหวังฮุ่ยไปยังเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณในครั้งนี้?” เยว่ซินถามหนิงอ้ายอีกครั้ง แม้นางจะรู้ดีว่าด้วยระดับขุนนางวิญญาณของเด็กหนุ่มย่อมสามารถเอาตัวรอดได้อย่างไม่ยาก แต่นางยังรู้สึกเป็นกังวลเพราะอีกฝ่ายไม่เคยออกจากเขตพื้นที่เมืองหลวงนี้เสียด้วยซ้ำ
“ขอรับท่านแม่ ข้ากับลู่ซีจะติดตามท่านลุงฮุ่ยไปยังเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณเพื่อฝึกฝนประสบการณ์และเสาะหากระดูกวิญญาณแรกด้วยขอรับ!!” หนิงอ้ายตอบไปด้วยความมั่นใจ
“เช่นนั้นแล้วแต่เจ้า รบกวนผู้อาวุโสหวังฮุ่ยดูแลทั้งสองคนด้วยนะเจ้าคะ...” เยว่ซินพูดออกมา
“คุณหนูอย่าได้กังวลข้าจะดูแลคุณชายหนิงอ้ายกับลู่ซีเป็นอย่างดี! เพียงแต่ด้วยความสามารถและทักษะเชิงยุทธ์ของทั้งสองคนในตอนนี้ข้าคิดว่าคงไม่น่าห่วงสักเท่าไหร่นะขอรับ” หวังฮุ่ยรับคำพร้อมกับเอ่ยเสริมขึ้นตามความคิดของตน
“ผู้อาวุโสจะเดินทางในวันพรุ่งนี้เลยหรือไม่?”
“เป็นเช่นนั้นขอรับ” หวังฮุ่ยตอบกลับไป
“ท่านลุงฮุ่ยในวันพรุ่งนี้เราจะออกเดินทางยามใดดีขอรับ?” หนิงอ้ายได้สอบถามกับหวังฮุ่ยอีกเล็กน้อยเพื่อที่จะได้เตรียมตัวในการเดินทางวันพรุ่งนี้
“ข้าคิดว่าเริ่มออกเดินทางในต้นยามเฉินคุณชายคิดเห็นเป็นอย่างไร??” หวังฮุ่ยตอบกลับหนิงอ้ายไปพร้อมกับถามความเห็นของเด็กหนุ่ม
“ดีเหมือนกันขอรับออกเดินทางแต่เช้าอากาศคงจะดีไม่น้อย เช่นนั้นเจอกันพรุ่งนี้เช้านะขอรับ” หนิงอ้ายตอบกลับไปก่อนที่จะประสานมือโค้งคำนับอีกฝ่ายก่อนที่จะขอตัวกลับห้องพักของตน
หนิงอ้ายใช้เวลาตลอดทั้งคืนในการดูดซับพลังปราณฟ้าดินตามเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆา หลังจากที่เขาได้ประสานร่างกายเข้ากับกระดูกอสูรอสรพิษบรรพกาลไปจนทำให้ในตอนนี้เขาเป็นผู้ฝึกตนขุนนางวิญญาณระดับที่29 แล้ว พลังวิญญาณในแต่ละเขตขั้นใหญ่นั้นกว้างใหญ่และต้องใช้เวลาอีกไม่น้อยกว่าที่จะสะสมให้เติมเต็มพร้อมที่จะทะลวงผ่านขึ้นไปเป็นระดับจักรพรรดิวิญญาณได้สำเร็จ แม้จะมีแรงหนุนจากจี้หยกโลหิตที่เขาสวมใส่อยู่ก็จริงแต่หนิงอ้ายไม่ได้เร่งรีบในการทะลวงผ่านระดับจักรพรรดิมากถึงเพียงนั้น สิ่งที่เขาต้องการคือรากฐานของพลังวิญญาณที่มั่นคงหนักแน่น
ระยะเพียงหนึ่งปีที่ใช้ไปกับเส้นทางของการเป็นผู้ฝึกตนนี้ จากคนธรรมดาทั่วไปที่ไม่อาจปลุกพลังวิญญาณได้แต่ในตอนนี้กล่าวได้ว่าเขานั้นเป็นผู้ฝึกตนขุนนางวิญญาณขั้นสูงผู้หนึ่งด้วยอายุเพียงสิบห้าปี แต่กลับพร้อมไปด้วยคุณสมบัติของผู้ฝึกตน สำหรับระดับพลังวิญญาณสามขั้นแรกนั้นไม่ใช่เรื่องยากที่จะเอื้อมถึงได้ ทว่าเขตขั้นของระดับจักรพรรดิวิญญาณถือว่าเป็นอีกหนึ่งคอขวดใหญ่ที่เป็นอุปสรรคใหญ่ของผู้ฝึกตนที่เลือกเข้าสู่เส้นทางสายนี้ เพราะด้วยปริมาณของพลังวิญญาณที่มหาศาลที่นอกจากจะต้องดูดซับปราณฟ้าดินเป็นจำนวนมากแล้ว ยังต้องใช้ทรัพยากรบ่มเพาะไม่น้อยเช่นกัน หรืออาจใช้เวลาไม่น้อยกว่าสิบปีในการดูดซับพลังลมปราณมาเติมเต็ม
แน่นอนว่าปัญหาเหล่านี้หนิงอ้ายคงไม่พบเจอเป็นแน่เพราะด้วยเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาอันขึ้นชื่อในเรื่องการดูดซับปราณฟ้าดินและขยายเส้นชีพจรลมปราณของผู้ใช้วิชาให้ขยายใหญ่เพิ่มขึ้นกว่าคนทั่วไปแล้ว จี้หยกสีโลหิตที่ได้รับมาจากกล่อมสมบัติของท่านบรรพบุรุษที่มีส่วนช่วยในการดึงดูดลมปราณฟ้าดินโดยรอบพร้อมกับหลอมกลั่นให้มีความบริสุทธิ์อย่างยิ่งยวดก่อนจะถูกดูดซับเข้าสู่ร่างกายกระจายไปทั่วจุดชีพจรทั้ง361จุดและจุดตันเถียรอันเป็นแหล่งกักเก็บพลังลมปราณของร่างกาย ขอเพียงอาศัยแรงกระตุ้นอีกเล็กน้อยสำหรับเขตขั้นจักรพรรดิวิญญาณหนิงอ้ายเชื่อมั่นว่าเขาย่อมสามารถก้าวถึงได้อย่างแน่นอน...
แสงแรกของอรุณรุ่งมาถึงเฉกเช่นทุกวัน เช้าวันนี้ลู่ซีได้เข้ามาจัดเตรียมข้าวของพร้อมกับจัดการความเรียบร้อย เมื่อถึงเวลานัดหมายแล้วทั้งสองคนได้มุ่งตรงไปยังหน้าเรือนในทันที
“ขออภัยท่านลุงฮุ่ยที่ทำให้ต้องรอขอรับ” หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับประสานมือโค้งคำนับเล็กน้อย
“ข้าเองก็พึ่งมาถึงก่อนหน้าคุณชายเพียงไม่นานเท่านั้น” หวังฮุ่ยตอบไปพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย
“ท่านแม่แน่ใจใช่ไหมขอรับว่าสามารถอยู่ที่เรือนนี้ได้ ท่านลุงจางปิน ท่านน้าหรันหรู ข้าขอฝากทั้งสองท่านช่วยดูแลมารดาของข้าด้วยนะขอรับ” หนิงอ้ายถามารดาของตนไปด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะหันไปพูดคุยกับบุรุษสตรีที่ยืนข้างมารดาตน
“คุณชายไม่ต้องเป็นห่วงขอรับ/คุณชายไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ...” จางปินกับหรันหรูเอ่ยรับคำด้วยความหนักแน่น
“คุณชายไม่ต้องกังวล ข้าได้ให้องค์รักษ์สองคนคอยเฝ้าดูแลคุณหนูเยว่ซินพร้อมกับเรือนหลังนี้แล้วเช่นกัน...” หวังฮุ่ยเอ่ยเสริมขึ้น เพราะช่วงกลางคืนที่ผ่านมาเขาได้วางหมุดค่ายกลป้องกันระดับสูงไว้ล้อมรอบเรือนหลังนี้เรียบร้อย
“ได้ยินเช่นนั้นข้าก็สบายใจแล้วขอรับ”
“เมื่อพร้อมกันแล้วข้าว่าพวกเราเร่งออกเดินทางกันเถิด แม้ว่าเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณจะอยู่ห่างจากแคว้นหงส์แดงไม่กี่ชั่วยามก็จริง แต่หากไปถึงเวลาค่ำมืดแล้วคงไม่ดีสักเท่าไหร่นัก!!” เมื่อเห็นว่าสมควรแก่เวลาเริ่มออกเดินทางเสียที จากนั้นหวังฮุ่ย หนิงอ้าย ลู่ซีและองค์รักษ์ชุดดำอีกหนึ่งคนได้พุ่งทะยานตัวขึ้นบนอากาศด้วยเคล็ดวิชาตัวเบาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ ทั้งสี่คนได้มุ่งตรงไปยังทิศตะวันออก อันเป็นทิศที่ตั้งของเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณเพื่อเสาะหากระดูกวิญญาณและเพิ่มพูนทักษะประสบการณ์ที่มากขึ้น
การเดินทางของหนิงอ้ายได้เริ่มต้นขึ้น ไม่ว่าจะเป็นหนิงอ้ายคนเก่าหรือตัวเขาที่เป็นนทีที่อยู่ในร่างนี้ไม่ถึงหนึ่งปีล้วนต่างไม่เคยเดินทางไกลจากเรือนนี้แม้เพียงครั้งเดียว มากสุดที่เคยไปก็เป็นเพียงตลาดนัดใจกลางเมืองหลวงที่อยู่ไม่ห่างไปจากจวนตระกูลจาง ความรู้สึกหนิงอ้ายในตอนนี้คือตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เพราะนี่ไม่ต่างจากการลงสนามทดสอบในฐานะของผู้ฝึกตนคนหนึ่งที่จำเป็นต้องมีประสบการณ์ที่แท้จริง...
หนิงอ้ายกับลู่ซีใช้วิชาตัวเบากันอย่างคล่องแคล่ว ตรงด้านหน้ามีหวังฮุ่ยเป็นผู้นำทางในครั้งนี้ ตามมาด้วยหนิงอ้าย ลู่ซีและองครักษ์ชุดดำอีกหนึ่งคนปิดท้าย ด้วยเพราะหนิงอ้ายกับลู่ซีเป็นผู้ฝึกตนขุนนางวิญญาณแล้ว ดังนั้นในการใช้พลังลมปราณจึงเป็นไปอย่างราบรื่นไม่ติดขัด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหวังฮุ่ยกับองครักษ์ชุดดำคนนั้นที่เนตรแห่งสวรรค์ส่งข้อมูลให้หนิงอ้ายรับรู้ว่าทั้งสองคนเป็นผู้ฝึกตนระดับเทวะขั้นสุด กลิ่นอายความแข็งแกร่งที่แผ่ซ่านออกมาอย่างบางเบานั้นได้ขับไล่สัตว์อสูรที่ต่ำกว่าระดับนภาได้ทั้งสิ้น ดูไปแล้วการไล่ล่าสัตว์อสูรเพื่อหาวงแหวนวิญญาณคงมีความสำเร็จไม่น้อยไปกว่าแปดส่วน
“พวกเราจะเดินทางโดยใช้วิชาตัวเบาหนึ่งชั่วยามและเดินเท้าอีกหนึ่งชั่วยามสลับกันไปจนกว่าจะถึงเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณนะขอรับ และหากถึงเขตป่าชั้นนอกแล้วค่อยหยุดพักสักครึ่งชั่วยามก่อนที่จะเดินทางอีกครั้ง” หวังฮุ่ยพูดกับเด็กหนุ่มตรงหน้าตน เพราะการเดินทางด้วยเคล็ดวิชาตัวเบานั้นสิ้นเปลืองพลังลมปราณในร่างกายเป็นอย่างมาก แม้ว่าเคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้จะมีความพิศดารในการดูดซับปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาชดเชยพลังลมปราณในร่างกายที่เสียไปก็จริง แต่ถึงอย่างไรทั้งหนิงอ้ายกับลู่ซีก็เป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับขุนนางวิญญาณเท่านั้น จึงสมควรที่ใช้การเดินทางสลับไปเช่นนี้เป็นการดีที่สุด
“ขอรับท่านลุงฮุ่ย!!” หนิงอ้ายพยักหน้าเห็นด้วยกับการเดินทางเช่นนี้
คณะเดินทางของหนิงอ้ายในครั้งนี้ทั้งสี่คนต่างมุ่งเดินทางไปยังเทือกเขาป่าอสูรที่อยู่ฝั่งทิศตะวันออกของแคว้นหงส์แดงได้ดำเนินไปเรื่อย ๆ คณะเดินทางทั้งสี่คนได้สลับไปมาตามวิธีการดังกล่าวที่ได้ตกลงกันไว้ จนเมื่อถึงยามเว่ยจึงหยุดพักทานอาหารที่เตรียมมา
“เขตป่าชั้นนอกคงมีแต่สัตว์อสูรระดับปฐพีหรือระดับนภาขั้นต่ำเพียงเท่านั้น พวกเราต้องเดินทางเข้าไปลึกกว่านี้ เช่นนั้นพักกันตรงนี้เสียก่อนแล้วกัน...”
“เหนื่อยมากหรือไม่ขอรับคุณชาย??” หวังฮุ่ยถามหนิงอ้ายด้วยความเป็นห่วง จริงอยู่ที่ว่าในตอนนี้อีกฝ่ายเป็นถึงผู้ฝึกตนระดับขุนนางขั้นสูงแล้วร่างกายย่อมมีความแข็งแกร่งขึ้นกว่าเมื่อก่อนเป็นอย่างมากก็ตาม
“ไม่เลยขอรับท่านลุงฮุ่ย ได้เดินทางเช่นนี้ก็ทำให้รู้สึกดีขึ้นไม่น้อย อีกทั้งลมปราณฟ้าดินยังหนาแน่นและบริสุทธิ์กว่าที่จวนตระกูลจางเป็นอย่างมาก” หนิงอ้ายตอบไปตามที่ตนคิดเพราะร่างกายของเขาแข็งแรงขึ้นกว่าเดิมมาก
แม้จะสิ้นเปลืองพลังลมปราณไปกับการใช้วิชาตัวเบาก็จริงแต่ก็ถูกทดแทนด้วยจี้หยกโลหิตที่เขาได้สวมใส่ไว้ตลอดเวลา อีกทั้งในตอนนี้เขาเชี่ยวชาญในเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาเป็นอย่างมาก ดังนั้นแม้ไม่ได้บัญชาการหรือโคจรไปตามวิถีแต่ร่างกายของเขายังคงดูดซับปราณฟ้าดินที่อยู่โดยรอบตัวตลอดเวลาเช่นกัน
“แล้วเจ้าเล่าลู่ซีรู้สึกอย่างไร ไหวหรือไม่?” หวังฮุ่ยหันไปถามเด็กหนุ่มอีกคนที่เป็นดั่งลูกศิษย์ของตนอีกคน
“ข้ายังไหวอยู่ขอรับผู้อาวุโส แม้จะสิ้นเปลืองพลังลมปราณไปไม่น้อยแต่การเดินทางสลับเดินเท้าเช่นนี้ถือว่าดียิ่งแล้วขอรับ...” ลู่ซีตอบกลับไป
“เป็นเช่นนั้นก็ดีแล้ว อย่างไรก่อนพระอาทิตย์ตกดินพวกเราคงถึงเขตป่าชั้นนอกของเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณ อย่างไรค่อยหาที่พักบริเวณนั้นเพราะการเดินทางในเขตป่าในยามค่ำคืนคงไม่ใช่สิ่งที่ควรกระทำสักเท่าไหร่นัก”
“ขอรับ!!” หนิงอ้ายกับลู่ซีพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดดังกล่าว
เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยพวกเขาทั้งสี่คนจึงเริ่มเดินทางกันอีกครั้งด้วยวิธีการเดินทางเช่นเดิมสลับไปมาจนในที่สุดก็ถึงยามโหย่วแล้วพอดี
“ตรงหน้านี้คือทางเข้าเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณใช่หรือไม่ขอรับ??” หนิงอ้ายพูดขึ้นพร้อมกับมองไปโดยรอบ พบเห็นเป็นแนวเทือกเขาสูงใหญ่สลับกันซับซ้อนไปสุดสายตา
“เทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณมีอาณาเขตติดกับแคว้นมังกรเขียว กล่าวได้ว่าพื้นที่ดังกล่าวนั้นไม่ต่างไปจากแคว้นหนึ่งเสียด้วยซ้ำ แม้จะเป็นในยามกลางวันแต่ทว่าภายในเขตพื้นที่ยังเต็มไปด้วยหมอกควันสีขาวปกคลุมไปทั่วทั่งผืนป่า อีกทั้งในยามกลางคืนยังมีสัตว์อสูรประหลาดมากมายหลายเผ่าพันธ์ที่คอยหลอกล่อชาวบ้านหรือผู้ฝึกตนระดับต่ำไปเป็นอาหาร ดังนั้นหากพ้นคืนนี้ไปแล้วพวกเราควรที่จะเร่งเดินทางไปยังเขตป่าชั้นกลางให้เร็วที่สุด เพราะเป้าหมายในครั้งนี้คือการเสาะหากระดูกวิญญาณของสัตว์อสูรระดับนภาขั้นกลางเป็นต้นไป...”
“ความจริงแล้วเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณไม่ได้เป็นพื้นที่เดียวที่มีสัตว์อสูรอาศัยอยู่ เพราะในแต่ละเขตติดต่อของทั้งสี่แคว้นต่างมีเขตป่าผืนใหญ่อันเป็นแหล่งอาศัยของสัตว์อสูรเหล่านี้ทั้งสิ้น แต่หากนับจากระยะทางที่ใกล้เคียงกับแคว้นหงส์แดงแล้ว เทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณนับว่าเป็นอีกหนึ่งสถานที่ที่สามารถพบเจอสัตว์อสูรได้มาก แต่แน่นอนว่าย่อมแฝงไปด้วยอันตรายที่มองไม่เห็นด้วยเช่นกัน...” หวังฮุ่ยอธิบายออกมา เพราะโดยปกติแล้วผู้ฝึกตนต่างล้วนทราบกันดีถึงความลี้ลับของเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณแห่งนี้
“คืนนี้พวกเราจะตั้งกระโจมพักกันที่นี่นะขอรับ” กล่าวจบลงหวังฮุ่ยได้เริ่มตั้งกระโจมที่ได้เตรียมมาเป็นจำนวนทั้งสิ้นสองหลัง โดยที่พวกเขาทั้งสี่คนนั้นเร่งตั้งกระโจมพักนี้ให้เสร็จโดยเร็วที่สุด จากนั้นหวังฮุ่ยได้แยกตัวไปจัดการร่ายบทเวทย์เขตแดนป้องกันในรัศมี1ลี้
หนิงอ้ายที่สามารถเรียกใช้ความสามารถของเนตรแห่งสวรรค์ตามที่ใจต้องการแล้ว จึงรับรู้ได้ว่าบทเวทย์เขตแดนนี้มีนามว่า เขตแดนจตุรทิศศักดิ์สิทธิ์พิฆาตมาร อันเป็นหนึ่งในบทเวทย์เขตแดนป้องกันแข็งแกร่งที่สุดของตระกูลหวัง แม้อาจมีความยุ่งยากซับซ้อนเล็กน้อยในการเรียกใช้ แต่หนิงอ้ายเห็นว่านอกจากที่อีกฝ่ายจะร่ายบทเวทย์ดังกล่าวแล้ว ยังได้มีการวางสลักค่ายกลที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอักขระเวทย์ป้องกันทั้งแปดทิศอีกด้วย
“นับว่าเป็นบทเวทย์เขตแดนที่แข็งแกร่งเลยทีเดียวนะขอรับท่านลุงฮุ่ย!!”
“บทเวทย์เขตแดนจตุรทิศศักดิ์พิชิตมาร เป็นหนึ่งในสามของบทเวทย์เขตแดนป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดของตระกุลหวังที่อดีตบรรพชนผู้นำตระกูลท่านหนึ่งได้เขียนขึ้น นับว่าเป็นบทเวทย์เขตแดนที่มีประโยชน์และสามารถพลิกแพลงใช้งานได้อย่างหลากหลายยิ่งนัก หากคุณชายถึงเขตขั้นจักรพรรดิวิญญาณได้สำเร็จข้าจะสอนคุณชายได้เรียนรู้นะขอรับ...” ด้วยเพราะบทเวทย์เขตแดนนี้มีเพียงผู้อาวุโสสำคัญในตระกูลเท่านั้นที่มีสิทธิในการศึกษาเรียนรู้ เงื่อนไขข้อกำหนดต่าง ๆ ที่มากมายและความยุ่งยากซับซ้อน รวมไปถึงการใช้พลังลมปราณมากกว่าสามถึงสี่ส่วนในการเรียกใช้ในแต่ละครั้ง ดังนั้นผู้ที่จะเรียกใช้บทเวทย์เขตแดนดังกล่าวนอกจากจะมากไปด้วยพรสวรรค์แล้วยังต้องเป็นผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิวิญญาณขึ้นไป
“ขอบคุณท่านลุงฮุ่ยมากขอรับ วันใดที่ข้าพร้อมไปด้วยคุณสมบัตินี้คงต้องรบกวนท่านแล้ว...” หนิงอ้ายตอบกลับไปด้วยความถ่อมตนที่สร้างความประกับใจให้กับชายวัยกลางคนนี้อีกครั้ง
หลังจากจัดเตรียมทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วคณะเดินทางทั้งสี่คนจึงได้นั่งพักผ่อนพร้อมกับพูดคุยกันเล็กน้อยถึงแผนการหลังจากนี้ ก่อนที่จะตกลงกันว่าจะสลับกันเฝ้าเวรยามคนละหนึ่งชั่วยามโดยเริ่มจากลู่ซี หวังฮุ่ย หนิงอ้ายและองครักษ์ชุดดำจะเป็นผู้เฝ้ายามในช่วงใกล้เช้าเพื่อให้ทุกคนได้สลับกันพักผ่อนให้ได้มากที่สุด แต่ถึงอย่างไรพวกเขาทั้งสี่คนยังคงนั่งล้อมวงพูดคุยกันด้วยเพราะร่างกายของผู้ฝึกตนนั้นไม่จำเป็นต้องนอนหลับพักผ่อนเฉกเช่นเดียวกับคนธรรมดาทั่วไปเช่นกัน
“คุณชายคิดไว้แล้วหรือยังขอรับว่าจะเลือกกระดูกวิญญาณสัตว์อสูรเผ่าพันธุ์ใดในการประสานเข้ากับร่างกาย??” ลู่ซีถามหนิงอ้ายขึ้น
“เพื่อให้ความสามารถจากการดูดซับกระดูกวิญญาณของอสรพิษเหมันต์บรรพกาลเพิ่มพูนประสิทธิภาพ ข้าคงเลือกสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพิษสักตัวในการดูดซับกระดูกวิญญาณชิ้นแรกนี้...”
“แล้วเจ้าเล่าลู่ซี คิดไว้แล้วบ้างหรือยังว่าจะเลือกสัตว์อสูรใดในการประสานเข้ากับกระดูกวิญญาณวิญญาณกัน...”
“วิญญาณยุทธ์ของข้ามีรากฐานจากปราณธาตุน้ำ ดังนั้นข้าคงเลือกสัตว์อสูรในสังกัดปราณธาตุเดียวกันขอรับ” ลู่ซีตอบกลับไป
“หรือหากได้กระดูกวิญญาณของสัตว์อสูรที่มีความสามารถในการเพิ่มทักษะด้านการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วก็คงดีไปไม่น้อย...” หนิงอ้ายเอ่ยเสริมขึ้นโดยที่ลู่ซีนั้นพยักหน้าเห็นด้วย
เมื่อใดก็ตามที่ผู้ฝึกตนสามารถทะลุเขตขั้นเป็นผู้ฝึกตนขุนพลวิญญาณได้สำเร็จ หากต้องการแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นนอกจากจะต้องเชี่ยวชาญในเชิงยุทธิ์รวมไปถึงการใช้งานบทเวทย์ต่าง ๆ แล้ว ยังสามารถนำกระดูกวิญญาณที่เกิดจากการสังหารสัตว์อสูรระดับนภาเป็นต้นไปประสานเข้ากับร่างกายที่ของผู้ฝึกตน นอกจากที่กระดูกวิญญาณจะมีส่วนช่วยในการทะลวงระดับขึ้นไปแล้ว กระดูกวิญญาณเหล่านี้ยังคงมอบทักษะวิญญาณที่เป็นความสามารถให้อีกด้วย ซึ่งเป็นอีกส่วนสำคัญของความแข็งแกร่งในหมู่ผู้ฝึกตน
ดังนั้นสัตว์อสูรแต่ละเผ่าพันธุ์ แต่ละสังกัดปราณธาตุล้วนต่างมีความสามารถที่แตกต่างกันออกไป ทั้งในด้านการโจมตีระยะประชิดหรือระยะไกล บ้างก็มีความสามารถในการป้องกันที่โดดเด่นหรือการโจมตีที่เฉียบคม แน่นอนว่าการเลือกกระดูกวิญญาณของสัตว์อสูรในการดูดซับประสานเข้ากับร่างกายนั้นต้องส่งเสริมพลังปราณธาตุต้นกำเนิดของผู้ฝึกตนให้ได้มากที่สุดนั่นเอง...
เช้าวันใหม่มาถึงคณะเดินทางของหนิงอ้ายทั้งสี่คนต่างรีบเร่งออกเดินทางกันแต่เช้าตรู่ จุดหมายคือเขตป่าชั้นกลางของเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณ เนื่องจากบริเวณป่าชั้นนอกจะมีเพียงสัตว์อสูรทั่วไปหรือสัตว์อสูรปฐพีเท่านั้น หากเข้าสู่เขตป่าชั้นกลางเป็นต้นไปจึงจะพบเจอสัตว์อสูรนภาขั้นต่ำหรือขั้นกลางและหากโชคดีมากพออาจได้พบเจอสัตว์อสูรนภาขั้นสูงก็เป็นไปได้เช่นกัน สำหรับสัตว์อสูรมายาขั้นต่ำเป็นต้นไป สัตว์อสูรเหล่านี้จัดได้ว่าเป็นสัตว์อสูรระดับสูงที่มีความนึกคิด อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยพละกำลังที่แข็งแกร่ง สามารถใช้ปราณธาตุของตนโจมตีผู้บุกรุกในอาณาเขตของตน อาจพบเห็นได้บ้างตามแนวรอยต่อของป่าชั้นกลางติดกับเขตป่าชั้นในกระจัดกระจายกันไปทั่วทั้งพื้นที่แห่งนี้ ระหว่างทางพวกเขาต่างพบเจอกับสัตว์อสูรไปไม่น้อย แต่เพราะยังมีอายุที่ไม่เหมาะสม อีกครั้งความสามารถยังเข้าไม่ได้กับวิญญาณยุทธ์ของพวกเขาทั้งสอง เห็นได้ว่าการเสาะหากระดูกวิญญาณนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด อายุของสัตว์อสูรจะสังเกตได้จากสีของพลังวิญญาณที่แผ่ซ่านออกมา จะเป็นสีเดียวกันกับพลังวิญญาณ แม้จะเป็นเผ่าพันธ์เดียวกันแต่มีอายุต่างก
การเสาะหากระดูกวิญญาณได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งในช่วงบ่ายของวันนี้ คณะเดินทางของหนิงอ้ายทั้งสี่คนต่างเดินทางกันไปเรื่อย ๆ ไม่รีบเร่ง แม้ว่าระหว่างทางจะพบเจอสัตว์อสูรจำนวนไม่น้อย แต่เพราะกลิ่นอายของผู้ฝึกตนระดับเทวะขั้นสูงที่หวังฮุ่ยปลดปล่อยออกมาในระยะสองลี้ย่อมไม่ต่างไปจากคำเตือนให้เหล่าสัตว์อสูรระดับต่ำจงหลบหลีกไปเสีย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจึงถือว่าการเสาะหาสัตว์อสูรที่เหมาะสมจึงเป็นไปอย่างราบรื่นยิ่งก่อนหน้านี้หนิงอ้ายได้ประสานร่างกายเข้ากับกระดูกวิญญาณล้านปีของอสรพิษเหมันต์บรรพกาล นอกจากกระดูกวิญญาณชิ้นนี้จะแปรเปลี่ยนเป็นทักษะวิญญาณยุทธ์ที่สามให้แก่เขาแล้ว ยังคงมีเงื่อนไขสำคัญคือการเสาะหากระดูกวิญญาณจากสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพิษดูดซับประสานเข้ากับร่างกายเพื่อให้กระดูกวิญญาณชิ้นแรกนี้มีความสมบูรณ์พร้อมด้วยทักษะตามที่ควรจะเป็นหนิงอ้ายตั้งใจดูดซับกระดูกวิญญาณให้กับวิญญาณยุทธ์ที่สองอันเป็นปราณธาตุน้ำนี้เสียก่อน สำหรับวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟรวมไปถึงวิญญาณยุทธ์ที่สามเขาไม่จำเป็นต้องสังหารสัตว์อสูรเป็นจำนวนมากเพื่อเติมเต็มให้กระดูกวิญญาณของทั้งสามวิญญาณยุทธ์ในตอนนี้ เพราะนอกจากกระดูกวิญญาณล้าน
หนิงอ้ายหลับตาลงพร้อมกับกำหนดลมหายใจเข้าออก พลังลมปราณฟ้าดินอันบริสุทธิ์โดยรอบที่ถูกชักนำโดยจี้หยกโลหิตส่งผลให้มวลลมปราณบริเวณนี้ต่างถูกชักนำเข้าตามจุดชีพจรไปทั่วทั้งร่างกายตามสุดยอดเคล็ดวิถี ลมปราณอันอบอุ่นวิ่งวนเข้าสู่จุดใจกลางตันเถียรไม่จบสิ้น พลังลมปราณในร่างกายที่ผ่านการเคี่ยวกรำนับสิบกว่ารอบต่างถูกอัดแน่นเป็นรากฐานบ่มเพาะที่แข็งแกร่ง วันเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผันไปเรื่อย ๆ วันนี้ถือได้ว่าเป็นวันครบรอบอายุสิบห้าปีของจางหนิงอ้าย แน่นอนว่าทางฝั่งของนทีก็นับว่าเขาเองได้อาศัยอยู่ในร่างนี้เป็นเวลาหนึ่งปีแล้วเช่นกันหนิงอ้ายใช้เวลาไม่นานกับการจัดการตัวเอง วันนี้เขาเลือกใส่เสื้อตัวในสีขาวล้วนและเสื้อตัวนอกเป็นสีเขียวอ่อนที่ปักด้วยลวดลายใบไผ่สีเขียวมรกต เมื่อไปถึงบริเวณห้องโถงรับรองที่ตอนนี้ถูกเปลี่ยนให้เป็นงานเลี้ยงเล็ก ๆ มีท่านแม่เยว่ซิน ท่านลุงหวังฮุ่ย ท่านลุงจางปิน ท่านน้าหรันหรูที่นั่งรออยู่ แม้จะไร้เงาบิดาสารเลวในงานเลี้ยงดังกล่าวนี้ เเต่หนิงอ้ายไม่สนใจเลยสักนิดเพราะทุกคนในที่นี้ล้วนเป็นผู้ที่เขาสนิทใจทั้งสิ้น''หนิงเอ๋อร์ปีนี้เจ้าอายุครบสิบห้าปีแล้ว ตามกฎของตระกูลจางที่ปฏิบัติสืบทอดก
กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วทั้งห้อง ร่างไร้วิญญาณที่ถูกชโลมด้วยโลหิตสีแดงฉานมากมายชวนให้รู้สึกคลื่นเหียนอยู่ไม่น้อยแก่ผู้พบเห็น แต่ด้วยทุกคนในที่นี้ต่างโลดแล่นอยู่ในเส้นทางของผู้ฝึกตนเป็นเวลาหลายปี ดังนั้นย่อมเคยพบเจอเหตุการณ์ฆ่าฟันเช่นนี้ทั้งสิ้น ที่น่าแปลกใจคือหนิงอ้ายที่เป็นผู้ลงมือกระทำนั้นกลับไร้ความตกใจราวกับว่านี่เป็นสิ่งที่คุ้นชินเสียอย่างนั้น''นักฆ่าเหล่านี้แม้จะเป็นร่างไร้วิญญาณไปแล้วก็จริง แต่อย่างไรขึ้นชื่อว่าผู้ฝึกตนย่อมมีพลังลมปราณไหลเวียนอยู่ในจุดชีพจรทั่วทั้งร่างกายที่ไม่แตกต่างไปจากสัตว์อสูร หากปล่อยทิ้งเอาไว้เช่นนี้คงเสียเปล่าเป็นแน่ เช่นนั้นข้าจะนำร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าเหล่านี้ให้กับเจียวซิ่นขอรับ...''แม้ว่าสิ่งที่หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นมาจะชวนให้ตกตะลึงในความรู้สึก เพราะการที่สัตว์อสูรในพันธะสามารถดูดซับลมปราณจากร่างไร้วิญญาณของสัตว์อสูรนั้นไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน แล้วยิ่งกับร่างไร้วิญญาณของผู้ฝึกตนเช่นนี้ย่อมไม่เคยมีผู้ใดกระทำทั้งสิ้น แต่ถึงอย่างไรคำกล่าวของหนิงอ้ายก็ไม่มีผิดถูกเช่นกันหวังฮุ่ยได้สั่งการองครักษ์ทั้งสามให้แยกย้ายกันไปเก็บกวาดร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าสังหารที
ทางฝั่งเยว่ซินหลังจากที่มีนักฆ่าเข้ามาลอบสังหารบุตรชายของนางในช่วงกลางคืนที่ผ่านมา โชคดีที่ไม่เกิดเหตุการณ์ความสูญเสียดังกล่าวขึ้น ที่น่าแปลกใจคือหนังสือจ้างวานฆ่านี้ได้ชี้ชัดว่าเป็นฝีมือของหวงลู่เอินหรือฮูหยินรองคนรักของจางเลี่ยงหวง เยว่ซินนั้นไม่มีเรื่องราวข้องเกี่ยวกับอีกฝ่ายเท่าไหร่นัก แต่หากว่าแรงจูงใจของการกระทำนี้คือนางต้องการผลักดันบุตรชายของนางขึ้นเป็นผู้สืบทอดของตระกูลแทนจางหนิงอ้ายผู้เป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลจางสายหลักแล้วย่อมเป็นไปได้เช่นกันทั้งสิ้นแต่แล้วอย่างไรเล่า? จางเลี่ยงหวงสามีของนางก็คงไม่เชื่อต่อหลักฐานที่มีอยู่และคงเข้าข้างคนรักของตนเฉกเช่นทุกครั้ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หนิงอ้ายถูกรังแกและโดนทำร้าย ต่อให้นางมีหลักฐานเพียงใดสามีของนางไม่เคยลงโทษหรือเอาผิดเลยซักครั้ง เยว่ซินหยิบสมุดบันทึกเล่มเก่าของตนที่อยู่ในช่องลับบนหัวเตียงขึ้นมาพร้อมกับเปิดอ่านอีกครั้งพลันย้อนคิดไปถึงอดีตเมื่อครั้งก่อนที่นางเข้ามาเป็นฮูหยินเอกของตระกูลชื่อเสียงของจางหนิงอ้ายบุตรชายของนาง ผู้คนทั้งที่อยู่ในเหตุการณ์ในพิธีปลุกพลังวิญญาณเมื่อเจ็ดปีก่อนต่างมีการร่ำลือไปอย่างเสียหาย บ้างว่าคุณชายใหญ่ห
ด้านหลังของหนิงอ้ายปรากฏเป็นวงแหวนเวทย์สีน้ำเงินเข้มแสดงถึงผู้ฝึกตนปราณธาตุน้ำระดับสาม ในตอนนี้เขากำลังเร่งทำการยกระดับพลังวิญญาณให้ข้ามผ่านขั้นย่อยให้ได้ในเร็ววัน เพราะหากยิ่งมีระดับพลังวิญญาณเพิ่มขึ้นมากเท่าใด เขาก็จะสามารถปกป้องตัวเองและท่านแม่เพิ่มขึ้นได้เท่านั้นสำหรับราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณขั้นสามัญกับระยะเวลาเพียงหนึ่งปีเช่นนี้ นับได้ว่าหนิงอ้ายไม่ต่างไปจากอัจฉริยะคงไม่เกินจริงไปนัก ต้องบอกว่าเด็กหนุ่มโชคดีอย่างมากที่ได้ศึกษาเคล็ดวิชาลับตระกูลหวัง จึงทำให้สามารถขยายจุดตันเถียรได้รองรับและขยายเส้นปราณทั่วร่างกายเพิ่มการดูดซับพลังปราณมากกว่าคนอื่นหลายเท่าจึงทำให้เขาสามารถดูดซับพลังปราณฟ้าดินได้โดยตรง ยิ่งได้รับแรงหนุนจากจี้หยกโลหิตแล้วความสามารถในการดูดซับปราณฟ้าดินของหนิงอ้ายจึงไม่ต่างไปจากพยัคฆ์ติดปีกเสียแล้วในตอนนี้บทเวทย์โจมตีมหาบุปผชาติเหมันต์จำแลงลักษณ์!ตู้ม!สภาพอากาศโดยรอบของเขตของบทเวทย์อากาศลดลงโดยฉับพลัน ปรากฎเป็นดอกบัวเหมันต์สีขาวบริสุทธิ์ดอกใหญ่แผ่อายความเย็นจาง ๆ ไปทั่วบริเวณ ตรงด้านบนเห็นเป็นเกล็ดบัวเหมันต์หิมะที่มีไอเย็นลอยตกลงไปทั่วเขตของบทเวทย์ เมื่อตกลงถึงพื
ตระกูลหวังเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำซึ่งถือได้ว่าเป็นอีกแคว้นใหญ่ที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากเนื่องจากตั้งอยู่บริเวณใจกลางของมหาทวีปบูรพา จึงทำให้รอบด้านทั้งสี่ทิศของแคว้นมีอาณาเขตติดกับอีกสามแคว้นใหญ่ที่เหลือ แคว้นเต่าดำมีรูปแบบการปกครองที่ชัดเจนโดยเเบ่งออกเป็นสิบมณฑลใหญ่มีเมืองสาขาหรือเมืองในการปกครองในเเต่ละมณฑลมากกว่าสิบเมืองในการดูเเล ทั้งสิบมณฑลใหญ่อยู่ในการปกครองส่วนกลางของแคว้นเรียกว่ามหานครแคว้นเต่าดำหากกล่าวให้เข้าใจด้วยง่ายคือแคว้นเต่าดำประกอบไปด้วยเมืองน้อยใหญ่นับร้อยเมือง มีหมู่บ้านอย่างมากมายกระจายกันไปทั่วทั้งแคว้น ต้องบอกว่าเเต่ละเมืองหาได้มีความเจริญเทียบเท่ากันไม่ เพราะบางเมืองมีอาณาเขตติดกับแคว้นอื่นมักจะเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเป็นจุดเเลกเปลี่ยนสินค้า หรือบางเมืองยังคงรักษาขนบธรรมเนียมปฏิบัติกันมาอย่างช้านานนับว่าเป็นเสน่ห์ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เเต่กับสิบมณฑลใหญ่ที่มีการปกครองดูเเลเมืองในรับผิดชอบของตนมักจะมีความเจริญและมีพื้นที่กว้างขวางเป็นอย่างมาก ด้วยเพราะผู้ปกครองมณฑลดังกล่าวมักจะเป็นเหล่าบรรดาผู้มีศักดิ์เป็นอ๋องเป็นเชื้อพระวงศ์นั่นเองคณะเดินทางของหนิงอ้
ขบวนรถม้าเดินทางยังคงดำเนินไปอย่างไม่รีบร้อน จุดหมายปลายทางคือจวนตระกูลหวังที่ตั้งอยู่ในมหานครแคว้นเต่าดำแห่งนี้ ตลอดเส้นทางเดินรถม้าได้ตัดผ่านหมู่บ้านน้อยใหญ่มากมาย สิ่งหนึ่งที่หนิงอ้ายสังเกตคือยิ่งเข้าใกล้ใจกลางมหานครแคว้นเต่าดำมากเท่าใดความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองรวมไปถึงความคึกคักของตลาดเเลกเปลี่ยนสินค้าก็จะเพิ่มขึ้นไปเท่านั้น''ตรงด้านหน้าจะเป็นตลาดเมืองหลวงก่อนถึงจวนตระกูลหวัง หนิงอ้าย ลู่ซี เจ้าทั้งสองจะแวะก่อนหรือไม่?'' เยว่ซินเอ่ยถามเด็กหนุ่มทั้งสอง เพราะหากพ้นเขตตลาดเมืองหลวงนี้ไปอีกเพียงไม่ถึงเค่อก็จะถึงจวนตระกูลหวังเเล้ว''แวะขอรับท่านเเม่ ข้าจะหาซื้อของฝากติดไม้ติดมือให้ท่านตาและท่านยายด้วยขอรับ!'' หนิงอ้ายตอบมารดาไปในทันที ในโลกเดิมของเขาสำหรับการเข้าพบปะผู้อาวุโสที่มีอายุมากกว่า ตามมารยาทที่พึงกระทำแล้วผู้น้อยควรมีของฝากติดมือไปฝากเสมอ เป็นการเเสดงถึงความเคารพให้เกียรตินั่นเองนับว่าผิดจากหนิงอ้ายเคยคิดไว้ไปเสียมาก มหานครแคว้นเต่าดำนี้มีพื้นที่กว้างขวางใหญ่โตเป็นอย่างมาก อาคารบ้านเรือนสองข้างทางดูโอ่อ่าอลังการดูเเล้วเจริญหูเจริญตาเป็นอย่างมาก ถนนหนทางจากทุกมุมเมืองที่
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต
มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล
ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย