แชร์

บทที่20 ตระกูลหวัง

last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-02-07 16:31:51

ขบวนรถม้าเดินทางยังคงดำเนินไปอย่างไม่รีบร้อน จุดหมายปลายทางคือจวนตระกูลหวังที่ตั้งอยู่ในมหานครแคว้นเต่าดำแห่งนี้ ตลอดเส้นทางเดินรถม้าได้ตัดผ่านหมู่บ้านน้อยใหญ่มากมาย สิ่งหนึ่งที่หนิงอ้ายสังเกตคือยิ่งเข้าใกล้ใจกลางมหานครแคว้นเต่าดำมากเท่าใดความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองรวมไปถึงความคึกคักของตลาดเเลกเปลี่ยนสินค้าก็จะเพิ่มขึ้นไปเท่านั้น

''ตรงด้านหน้าจะเป็นตลาดเมืองหลวงก่อนถึงจวนตระกูลหวัง หนิงอ้าย ลู่ซี เจ้าทั้งสองจะแวะก่อนหรือไม่?'' เยว่ซินเอ่ยถามเด็กหนุ่มทั้งสอง เพราะหากพ้นเขตตลาดเมืองหลวงนี้ไปอีกเพียงไม่ถึงเค่อก็จะถึงจวนตระกูลหวังเเล้ว

''แวะขอรับท่านเเม่ ข้าจะหาซื้อของฝากติดไม้ติดมือให้ท่านตาและท่านยายด้วยขอรับ!'' หนิงอ้ายตอบมารดาไปในทันที ในโลกเดิมของเขาสำหรับการเข้าพบปะผู้อาวุโสที่มีอายุมากกว่า ตามมารยาทที่พึงกระทำแล้วผู้น้อยควรมีของฝากติดมือไปฝากเสมอ เป็นการเเสดงถึงความเคารพให้เกียรตินั่นเอง

นับว่าผิดจากหนิงอ้ายเคยคิดไว้ไปเสียมาก มหานครแคว้นเต่าดำนี้มีพื้นที่กว้างขวางใหญ่โตเป็นอย่างมาก อาคารบ้านเรือนสองข้างทางดูโอ่อ่าอลังการดูเเล้วเจริญหูเจริญตาเป็นอย่างมาก ถนนหนทางจากทุกมุมเมืองที่มุ่งเข้าสู่ใจกลางของมหานครของแคว้นถูกปูด้วยก้อนอิฐที่มีขนาดใกล้เคียงกัน อีกทั้งมีผู้คนมากมายออกมาจับจ่ายซื้อของอย่างคึกคักแน่นขนัด ซึ่งแตกต่างจากทุกเมืองที่เขาได้ผ่านมา

''ช่างดูคึกคักเสียจริง!!'' หนิงอ้ายเอ่ยขึ้น

''แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของแคว้นเหมือนกัน เเต่หากพินิจดี ๆ เเล้วแคว้นเต่าดำนั้นจะเจริญมากกว่าแคว้นหงส์แดงไปถึงหนึ่งขั้นเลยทีเดียว...'' ลู่ซีเอ่ยขึ้นพร้อมกับมองไปยังพื้นที่โดยรอบ แม้ว่าก่อนหน้าตนจะเป็นขอทานในกลางเมืองของแคว้นหงส์เเดงมาก่อนเเต่กลิ่นอายความเจริญรุ่งเรืองของทั้งสองแคว้นนั้นแตกต่างกันอย่างชัดเจน

''หากซื้อผลไม้สดไปฝากท่านตากับท่านยาย ลู่เกอว่าเป็นอย่างไรขอรับ เพราะหากเป็นสิ่งของเครื่องประดับและของมีค่าต่าง ๆ ข้าว่าท่านทั้งสองคงจะมีมากมายแล้วเป็นแน่...'' หนิงอ่ายถามลู่ซีเพื่อตัดสินใจอีกครั้ง

''ตามที่เจ้าต้องการได้เลย'' ลู่ซีเห็นด้วยกับหนิงอ้ายจึงเอ่ยตอบตกลงไป

''ขอรับลู่เกอ''

'หลีกไป หลีกไป อย่าขวางทาง!!'

'หลีกไปให้พ้น!!! หากไม่อยากเจ็บตัวให้ถอยไปให้ห่างรถม้าเสีย...' เสียงของรถม้าและฝีเท้าของคนจำนวนหนึ่งดังขึ้น พร้อมกับชายผู้ขี่ม้านำขบวนได้ตระโกนไล่ผู้คนให้หลีกทางดังกล่าว

''รีบไปที่ไหนกัน?'' หนิงอ้ายบ่นออกมาด้วยความรำคานใจ ในโลกเดิมของเขาก็มีเรื่องราวเช่นนี้ให้พบเห็นพวกที่ไร้วินัยขาดความรับผิดชอบในการพื้นที่ส่วนรวมเช่นนี้

'นี่เป็นเส้นทางหลักใจกลางมหานครแคว้นเต่าดำ คนกลุ่มนี้ช่างไม่มีมารยาทเสียจริง!! '

'มีใครเห็นบุตรีข้าหรือไม่? นางพลัดหลงกับข้าไปด้วยเหตุการณ์เมื่อครู่…'

'ดูจากตราสัญลักษณ์บนรถม้าแล้วคงเป็นเหล่าบรรดาศิษย์ของสำนักศึกษาอี๋หลิง ข้าได้ยินมาว่าศิษย์สายใน ศิษย์สายนอกหลายคนของสำนักศึกษา ได้ล่วงหน้ามาก่อนที่งานประลองแคว้นจะเกิดขึ้นในอีกเจ็ดวันข้างหน้า... '

เหตุการณ์ความวุ่นวายได้จบลงอย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียงก่นด่าสาบแช่งคนกลุ่มนั้นตามหลัง หนิงอ้ายได้ยินสิ่งที่ผู้คนรอบตัวกล่าวมาทั้งสิ้น ฟังว่าขบวนรถม้าเมื่อครู่คงเป็นคณะเดินทางของศิษย์สายใน ศิษย์สายนอกของสำนักศึกษาอี๋หลิงอันเป็นสำนักศึกษาอันเลื่องชื่อเช่นกัน หนิงอ้ายตั้งใจว่าช่วงเวลาที่เหลืออีกเพียงไม่กี่วันนี้เขาคงต้องหาข้อมูลสุดยอดฝีมือที่คาดว่าจะเข้าร่วมในการประลองครั้งนี้ให้ได้มากที่สุด

เนตรแห่งสวรรค์ได้ผนึกขึ้นเป็นวิหคโปร่งแสงนับร้อยตัวกระจายไปทั่วในรัศมีสองลี้ครอบคลุมพื้นที่เกือบทั้งหมดของมหานครเต่าดำ สิ่งนี้หนิงอ้ายเรียกว่า วิหคสอดแนม ทักษะนี้หนิงอ้ายได้พลิกแพลงจากความสามารถของเนตรแห่งสวรรค์ หมายความว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในระยะการรับรู้ของวิหคสอดแนมแต่ละตัวหนิงอ้ายล้วนรับรู้และได้ยินด้วยเช่นกัน ความเป็นจริงแล้ววิหคสอดแนมนี้ไร้ซึ่งรูปร่าง หาได้มีรูปลักษณ์เป็นวิหคแต่อย่างใด อีกทั้งยังโปร่งแสง ไร้สี ไร้กลิ่น ไม่ทิ้งสัมผัสใดให้ตรวจจับได้ หากไม่พบเจอกับสมบัติวิเศษสายตรวจจับหรือผู้ฝึกตนที่มีญาณลึกล้ำย่อมไม่อาจสัมผัสถึงได้โดยง่าย แน่นอนว่าข้อจำกัดเหล่านี้ล้วนถูกทลายไปสิ้นหากวันหนึ่งหนิงอ้ายเพียบพร้อมไปด้วยพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งนั่นเอง

มหานครแคว้นเต่าดำนับว่ามีการวางรากฐานตั้งรกรากมาอย่างยาวนานหลายพันปีแล้ว มีคำกล่าวไว้ว่าท่านผู้นำของตระกูลใหญ่ทั้งสี่ในตอนนั้นล้วนเป็นบุคคลสำคัญมีชื่อเสียงที่พร้อมไปด้วยฝีมือโดดเด่นได้ร่วมมือก่อตั้งแคว้นปกครองนี้ขึ้น โดยให้พี่ใหญ่ที่พวกเขาทั้งสามคนให้ความนับถือขึ้นเป็นผู้ปกครองแคว้นในฐานะของราชวงศ์เเรกของแคว้นเต่าดำ อีกทั้งพวกเขายังได้ร่วมมือต่อสู่กับชนเผ่าพื้นเมืองต่อต้าน รวมไปถึงการปกป้องแคว้นจากการบุกโจมตีแย่งชิงอาณาจักรใกล้เคียง

กว่าจะรวบรวมเมืองน้อยใหญ่โดยรอบเพื่อสร้างเสริมความเป็นปึกแผ่นจนเป็นมหานครแคว้นเต่าดำเฉกเช่นวันนี้ เเต่ละตระกูลล้วนมีความเเข็งแกร่งที่โดดเด่นแตกต่างกันออกไปทั้งสิ้น อีกทั้งยังมีเคล็ดวิชาลับของตระกูลที่แตกต่างกันออกไป ว่ากันว่าแม้เเต่ราชวงศ์ราชาผู้ปกครองแคว้นเต่าดำนี้ ยังต้องเกรงใจทั้งสี่ตระกูลใหญ่นี้หลายส่วนเลยทีเดียว สำหรับสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำประกอบไปด้วยดังนี้

ตระกูลหมิงเป็นตระกูลใหญ่ที่ขึ้นชื่อในด้านบู๊และการต่อสู้ต่าง ๆ ผู้นำตระกูลคนปัจจุบันเป็นเเม่ทัพใหญ่ของแคว้นเต่าดำที่มีชื่อเสียงน่าเกรงขามไปทั่วทุกแคว้น ท่านผู้นำตระกูลคนก่อนหน้าจากรุ่นสู่รุ่นล้วนต่างใช้ฝีมือความสามารถที่เเท้จริงโดยไม่พึ่งอำนาจของตระกูลในการขึ้นเป็นเเม่ทัพใหญ่ของแคว้น อีกทั้งยังถือครองกิจการเกี่ยวกับพวกการทำอาวุธ รวมไปถึงตำราการต่อสู้ตำรายุทธศาสตร์ที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับอันดับต้น ๆ ในยุทธภพ ในส่วนของปราณธาตุของคนในตระกูลหมิงโดยส่วนมากแล้วคือปราณธาตุน้ำและปราณธาตุดินเสียเป็นส่วนใหญ่ แสดงให้เห็นเป็นอัตลักษณ์ของลูกหลานตระกูลหมิงในลักษณะของความมั่นคงหนักเเน่นไม่เอนเอียงต่อสิ่งอยุติธรรมทั้งสิ้น อีกทั้งปราณธาตุน้ำกับปราณธาตุดินที่ดูเหมือนว่าจะเป็นอริธาตุนั้น กลับส่งเสริมกันเสียมากกว่า นอกจากนั้นแล้วเคล็ดวิชาประจำตระกูลนอกจากจะมีความเเข็งแกร่งเน้นการป้องกันแล้ว การโจมตีตอบโต้ก็รวดเร็ว พลิ้วไหว รุนแรงเฉกเช่นสายน้ำ...

ตระกูลซูเป็นอีกหนึ่งตระกูลที่มีความโดดเด่นไม่แพ้กัน กล่าวกันว่าหากหาผู้ที่มีทรัพย์สมบัติร่ำรวยกว่าราชวงศ์ประจำแคว้น คงหนีไม่พ้นตระกูลซูหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำนั่นเอง ด้วยเพราะผู้นำตระกูลซูเเต่ละรุ่นจะมีแนวความคิดก้าวหน้าที่เกี่ยวข้องกับกิจการค้าขายเป็นหลัก มักจะเดินทางไปยังแคว้นต่าง ๆ โดยรอบเพื่อหาเเลกเปลี่ยนสินค้าและนำเข้ามาจำหน่ายในแคว้นให้ผู้คนได้หาซื้อได้โดยง่าย กิจการเหลาอาหารที่ขึ้นชื่อว่าเป็นอันดับหนึ่งของแคว้น ล้วนมีสาขาหลักอยู่ทุกเมืองใหญ่ของเเต่ละแคว้นปกครองเช่นกัน มากไปกว่านั้นตระกูลซูยังเป็นผู้สนับสนุนหลักเรื่องของเงินท้องพระคลังราชวงศ์แคว้นเต่าดำอีกด้วย สำหรับปราณธาตุประจำตระกูลซูคือปราณธาตุน้ำเพียงปราณธาตุเดียว แม้อาจดูไม่โดดเด่นเท่าไหร่หากเทียบกับตระกูลที่มีผู้สามารถใช้ปราณธาตุได้สองสาย เเต่ก็นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งตระกูลที่มากด้วยผู้ที่มีฝีมือที่มีชื่อเสียงไม่น้อย ไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถยืนหยัดเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเฉกเช่นทุกวันนี้มาอย่างยาวนาน

ตระกูลเหวินเป็นตระกูลใหญ่อีกหนึ่งตระกูลที่มีความสำคัญมากเช่นกัน ด้วยเพราะผู้นำตระกูลคนปัจจุบันนั้นขึ้นชื่อในด้านของบุ๋น ได้รับตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาสูงสุดของราชวงศ์ปกครองแคว้นเต่าดำสืบทอดกันรุ่นสู่รุ่น ไม่ว่าจะเป็นที่ปรึกษาในตำแหน่งในราชสำนัก ตำแหน่งกุนซือในกองทัพทหารรวมไปถึงบัณฑิตที่มีชื่อเสียงโด่งดังในความเฉลียวฉลาดส่วนใหญ่มักจะเป็นลูกหลานตระกูลเหวินทั้งสิ้น อีกทั้งยังเป็นตระกูลที่บ่มเพาะหมอรักษาไม่น้อยเช่นกัน สำหรับปราณธาตุประจำตระกูลเหวินนั้นจะเป็นปราณธาตุน้ำและปราณธาตุไม้นับว่าส่งเสริมกันยิ่ง ด้วยเพราะความพิเศษของปราณธาตุไม้ นั้นย่อมสามารถควบคุมพฤกษาได้เกือบทั้งหมด สามารถเร่งการเติบโตของต้นไม้สมุนไพรหายาก ยิ่งตระกูลเหวินมีการเปิดร้านขายโอสถ สมุนไพรด้วยเเล้วนั้นความบริสุทธิ์ของพลังธาตุน้ำจะประสานรวมกับพลังธาตุพฤกษาจึงทำให้ผลผลิตเกี่ยวกับสมุนไพร โอสถต่างๆ ของตระกูลเหวินนั้นจะมีประสิทธิภาพดียิ่ง

ตระกูลหวังหรือตระกูลของท่านตาของหนิงอ้ายนั้น กล่าวกันว่าตระกูลหวังเป็นตระกูลใหญ่ที่ก้าวเข้าสู่ทำเนียบของแคว้นเต่าดำได้เพียงเเค่ไม่กี่ร้อยปีเท่านั้น ประวัติความเป็นมาอาจน้อยกว่าทั้งสามตระกูลที่กล่าวมาทั้งสิ้น เเต่ถึงอย่างไรแล้วตระกูลหวังหาว่าเป็นตระกูลที่สามารถดูเเคลนได้โดยง่าย บรรพบุรุษต้นตระกูลหวังเป็นผู้ใช้ปราณสุริยะธาตุนับว่าเป็นธาตุต้นกำเนิดบริสุทธิ์ของปราณธาตุไฟที่ยังไม่ปรากฎผู้สืบทอดพรสวรรค์ดังกล่าวมาหลายร้อยปีแล้ว

เส้นทางการเข้าสู่หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำคือ องค์ราชาผู้ปกครองของแคว้นได้ถูกพิษจากการเข้าร่วมสนามรบต่อสู้กับชนเผ่าเร่ร่อนที่เข้ามาบุกประชิดรอยต่อของแคว้นจนทำให้แทบจะสิ้นชีวิตในสนามรบเเต่ได้ท่านบรรพบุรุษของตระกูลหวังที่เป็นผู้ใช้พลังสุริยะธาตุดูดซับพิษช่วยเหลือไว้ได้ทัน ครั้นเมื่อองค์ราชาทรงหายดีเป็นปกติจึงได้ออกราชโองการให้ตระกูลหวังขึ้นเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำตั้งแต่นั้นมา ตระกูลหวังจะไม่ค่อยมีบทบาทที่โดดเด่นเทียบเท่าอีกสามตระกูลใหญ่ที่เหลือ แต่อย่างไรในช่วงหนึ่งถึงกับมีข่าวลืออย่างหนาหูในยุทธภพว่าตระกูลหวังนั้นมีผู้ฝึกตนระดับมหาพรหมยุทธ์วิญญาณหลายคนนั่งประจำการอยู่ ด้วยข่าวลือเช่นนี้จึงทำให้ตระกูลหวังเป็นหนึ่งในสี่ของตระกูลใหญ่ของแคว้นได้อย่างมั่นคงมาอย่างยาวนาน

''ข้าขอตรวจสอบป้ายหยกประจำตัวด้วยขอรับ...'' บุรุษวัยกลางคนผู้เฝ้าหน้าประตูของจวนตระกูลหวังเอ่ยขึ้น หลังจากที่มีรถม้าหยุดตรงหน้าจวน

''ลุงหมิงจำข้าไม่ได้หรือเจ้าคะ?'' เยว่ซินเอ่ยขึ้นพร้อมกับยื่นป้ายหยกประจำตัวของนางส่งให้ชายวัยกลางคนตรงหน้า ก่อนที่จะปลดผ้าคลุมที่ปกปิดออกเห็นเป็นใบหน้างามที่ทุกคนในตระกูลหวังล้วนคุ้นเคยและจดจำได้เป็นอย่างดี

''คุณหนูเยว่ซิน! ยินดีต้อนรับกลับตระกูลหวัง การเดินทางราบรื่นใช่หรือไม่ขอรับ?'' ชายวัยกลางคนที่ถูกเรียกขานว่าลุงหมิงเมื่อเห็นมือเรียวขาวยื่นป้ายหยกประจำตัวให้ตรวจสอบ แม้จะไม่ได้เห็นนานเเล้วเเต่ย่อมชัดเจนในความทรงจำยิ่งนักว่าเป็นป้ายหยกของผู้ใดเพราะตนทำหน้าที่ตรงนี้มานานเเล้ว

''มีข้าร่วมเดินทางในครั้งนี้ด้วยเจ้ายังต้องเป็นกังวลอยู่อย่างนั้นรึ?'' หวังฮุ่ยที่ตามาด้านหลังเอ่ยหยอกล้อกับหวังหมิงสหายของตน พร้อมกับหัวเราะออกมาเบา ๆ

''ได้ยินเช่นนั้นข้าก็สบายใจ แล้วนี่คือนายน้อยทั้งสองใช่หรือไม่ขอรับ?''

''เด็กหนุ่มคนนี้มีนามว่าหวังหนิงอ้าย ส่วนเด็กหนุ่มอีกคนที่ยืนอยู่ข้างกันมีนามว่าหวังลู่ซีเป็นบุตรบุตรธรรมของข้า…''

''สองสามีภรรยาตรงด้านหลังมีนามว่าท่านจางปินกับหรันหรู ทั้งสองจะพักอยู่ในจวนตระกูลหวังระหว่างนี้ รบกวนท่านลุงหมิงเป็นธุระจัดการเรื่องเรือนรับรองให้ด้วยนะเจ้าคะ''

''คุณหนูไม่ต้องกังวล ในส่วนของเรือนพักรับรองอูหยินเหมยฮวาให้บ่าวรับใช้จัดการตระเตรียมเรียบร้อยแล้ว สำหรับเรือนพักของคุณชายน้อยทั้งสองเป็นเรือนที่อยู่ติดกันกับเรือนของคุณหนูเลยขอรับ...'' หวังหมิงตอบกลับเยว่ซินไป

''ตอนนี้นายท่านและฮูหยินอยู่ที่เรือนหลัก ข้าได้ให้บ่าวไปแจ้งว่าคุณหนูกลับมาเเล้ว เชิญทุกท่านตามข้ามาได้เลยขอรับ...'' หวังหมิงกล่าวด้วยความกระตือรือร้น ก่อนที่จะเดินนำทุกคนเข้าสู่เขตพื้นที่ในจวนตระกูลหวัง

จวนตระกูลหวังนี้ที่มีขนาดใหญ่กว่าจวนตระกูลจางจนเห็นได้ชัด พื้นที่โดยรอบได้มีการปลูกต้นไม้ ดอกไม้ประดับทั่วทั้งจวนที่ต่างส่งกลิ่นหอมอ่อน นอกจากนั้นยังมีลมปราณฟ้าดินที่บริสุทธิ์ไหลเวียนหนาแน่น หากสังเกตดี ๆ เเล้วจะพบว่าตรงใจกลางจวนของตระกูลหวังมีไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ที่เเผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาปกคลุมไปเกือบครึ่งจวน มหาพฤกษาต้นนี้ได้เเผ่ลมปราณอันบริสุทธิ์ลึกล้ำออกมาอย่างสม่ำเสมอชวนให้ตกตะลึงยิ่งนัก

เมื่อมาถึงเรือนใหญ่หนิงอ้ายก็ได้พบกับชายหญิงที่มีอายุราว ๆ ห้าสิบปีหน้าตาหล่อเหลาหมดจดงดงามสมวัย เมื่อนั่งเคียงคู่กันช่างเหมาะสมกันยิ่งนัก ดูเหมือนว่ามารดาของเขาจะรับเอาความโดดเด่นทางหน้าตาของทั้งคู่มาไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะเยว่ซินถึงกับส่งต่อความงดงามดังกล่าวนี้มายังใบหน้าที่งดงามเกินชายของหนิงอ้ายผู้นี้นั่นเอง

''ซินเอ๋อร์ มารดาดีใจนักที่เจ้ากลับมา แล้วการเดินทางราบรื่นดีหรือไม่?'' ท่านยายเหมยฮวาเอ่ยถามพร้อมกับดึงมารดาของเขาเข้ากอดพร้อมกับใบหน้าที่มีรอยยิ้มอบอุ่น

''การเดินทางราบรื่นเจ้าค่ะ''

''ข้า...ข้าต้องอภัยท่านพ่อและท่านเเม่ที่ทำให้เสียชื่อเสียงของตระกูลหวังนะเจ้าคะ'' เยว่ซินเมื่อเห็นบิดามารดาของตนคล้ายกับว่าความเเข็งแกร่งที่เคยมีนั้นสลายไปสิ้น

ข่าวที่นางได้หย่าขาดจากตระกูลจางเเห่งแคว้นหงส์เเดงผู้คนใกล้เคียงต่างรับรู้กันถ้วนหน้าทั้งสิ้น ด้วยเพราะตระกูลหวังและตระกูลจางล้วนเป็นตระกูลใหญ่ของแคว้นทั้งคู่ ดังนั้นเยว่ซินจึงละอายอยู่ในใจไม่น้อย ที่นางทำให้ตระกูลหวังต้องมาเสียหาย และมากไปกว่านั้นนางยังเป็นต้นเหตุที่ทำให้บิดามารดาต้องทุกข์ใจเช่นนี้

''บิดาและมารดาของเจ้าไม่เคยคิดเช่นนั้นเลยสักครั้งเจ้าอย่ากังวลไปเลยลูกรัก ตระกูลหวังของเราร่ำรวยถึงเพียงใดเจ้าย่อมรู้ดีแก่ใจมิใช่อย่างนั้นหรือ? เพียงเเค่บุตรสาวและหลานข้าไม่กี่คนเช่นนี้ข้าจะไม่สามารถเลี้ยงดูตลอดชีวิตได้อย่างไรกัน!''

''ที่นี่เป็นบ้านของเจ้านะซินเอ๋อร์...'' หวังจิ่งหลงผู้เป็นบิดาเอ่ยขึ้นพร้อมกับรวบตัวเยว่ซินและภรรยาของตนเข้าไปกอดอย่างแนบแน่น

ภาพตรงหน้าของหนิงอ้ายนับว่าเป็นความรู้สึกที่เขาไม่เคยพบเจอมาตลอดทั้งชีวิต คำว่าครอบครัว คำว่าบ้านแม้จะเป็นเพียงคำสั้น ๆ เเต่เมื่อได้ฟังและได้สัมผัสเช่นนี้เเล้วมันช่างอบอุ่นไปทั้งหัวใจยิ่งนัก

หลังจากที่หวังจิ่งหลงกับหวังเหมยฮวาได้กอดบุตรสาวของตนที่ไม่ได้พบเจอกันมานานนับสิบกว่าปีพอให้ได้คลายความคิดถึงเเล้ว ทั้งสองจึงปล่อยให้นางนั่งยังที่ว่างข้างตนที่มีการจัดเตรียมไว้

''คารวะท่านตา ท่านยายขอรับ!!'' หนิงอ้ายกับลู่ซียกมือประสานขึ้นพร้อมกับโค้งคำนับอย่างนอบน้อม

''หนิงอ้าย ตาดีใจมากที่ได้รู้ว่าเจ้าสามารถปลุกพลังวิญญาณเป็นผู้ฝึกตนได้สำเร็จและครอบครองปราณธาตุมากว่าหนึ่งเช่นนี้ อีกทั้งหนึ่งในนั้นยังเป็นปราณธาตุเดียวกันกับท่านบรรพบุรุษตระกูลหวัง นับว่าเป็นเรื่องราวที่น่ายินดีแก่ตระกูลหวังของเรายิ่ง!!"

''ส่วนเจ้าลู่ซี สำหรับข้าแล้วย่อมไม่สนใจว่าเจ้าจะมีชาติกำเนิดหรือความเป็นมาเช่นไร ในเมื่อซินเอ๋อร์รับเจ้าเป็นบุตรบุญธรรมแล้วฐานะของเจ้าย่อมไปต่างไปจากหลานของข้าคนหนึ่งเช่นกัน"

หนิงอ้ายรู้มาจากเยว่ซินมารดาของตนว่า หวังจิ่งหลงมีใจรักเดียวให้แก่เหมยฮวาเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่ยอมรับธรรมเนียมตบแต่งสตรีเข้าจวนมากกว่าหนึ่งดังเช่นทั่วไป แม้ว่าจะมีตระกูลใหญ่หรือองค์หญิงในราชวงศ์ต้องการที่จะตบแต่งเข้ามาในตระกูลหวังเเต่ท่านตาของเขาก็ปฏิเสธไปทั้งสิ้น โดยบอกเหตุผลนั่นคือไม่อยากทำให้คนรักต้องเสียใจ ทั้งสองต่างมีความรักเเท้ที่มั่นคงให้แก่กันอย่างเเท้จริง อีกทั้งยังร่วมต่อสู้ฝันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ มาด้วยไม่น้อยกว่าที่จะได้รับการยอมรับเฉกเช่นทุกวันนี้ พวกท่านทั้งคู่ยังอยู่ด้วยกันในเรือนใหญ่โดยไม่ได้มีการเเยกเรือนเฉพาะของสามีหรือฮูหยินคนละเรือน เหมือนกับจวนของตระกูลอื่นๆ เเต่อย่างใด เรื่องราวความรักมั่นคงของท่านตาของเขาที่มีต่อท่านยายเป็นที่กล่าวเลื่องลือขึ้นชื่อไปทั่วทุกแคว้น

''ลู่ซี หนิงอ้ายพวกเจ้าทั้งสองมาให้ยายเห็นหน้าใกล้ ๆ หน่อยสิเจ้า'' หวังเหมยฮวาเอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มที่อบอุ่น

''ขอรับ'' หนิงอ้ายกับลู่ซีเอ่ยขึ้นพร้อมกัน

''หนิงอ้ายกับลู่ซีใครอายุมากกว่ารึ?'' 

''ลู่เกอตอนนี้อายุสิบหกปี ส่วนข้าอายุสิบห้าปีขอรับท่านยาย...'' 

''เช่นนั้นรึ ต่อจากนี้ข้าฝากดูเเลน้องของเจ้าด้วยเล่า'' เหมยฮวาพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะหันหน้าคุยกับลู่ซีโดยตรง

''ข้าสาบานว่าจะคอยดูเเลปกป้องหนิงอ้ายให้ดีที่สุดขอรับ...'' ลู่ซีเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงมั่นคงหนักเเน่นมั่นคง

''ใครจะให้ท่านคอยดูเเลข้าฝ่ายเดียวกัน พวกเราเป็นพี่น้อง เป็นครอบครัวเดียวกัน อย่างไรต้องคอยดูเเลช่วยเหลือกันอยู่เเล้วไม่สมควรเป็นหน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่งทั้งสิ้น...'' หนิงอ้ายแย่งออกไป

''ฮ่าฮ่าฮ่า ต้องอย่างนี้สิหลานของตาเจ้าทั้งสอง จงจำไว้ให้มั่นเล่าในคำพูดของตนวันนี้และยึดถือปฏิบัติตามด้วยเล่า?'' หวังจิ่งหลงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ยินดีเเละถูกใจยิ่งนัก

''หนิงอ้าย ให้ตากับยายดูหน้าของเจ้าสักหน่อยเถิด...''

''ได้เลยขอรับ'' หนิงอ้ายรับคำขอนั้น พร้อมกับทำการถอดผ้าคลุมที่ตนสวมอยู่ออกทันที...

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทที่เกี่ยวข้อง

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่21 รูปลักษณ์ที่แท้จริง

    หนิงอ้ายปลดผ้าคลุมที่ปกปิดออกเผยให้เห็นใบหน้างดงามประหนึ่งนางเซียนในเรื่องเล่า สิ่งที่ปรากฏให้เห็นอยู่ตรงหน้าของทุกคนราวกับว่ามีมนต์สะกดบางอย่างที่ทำให้ทุกสิ่งในรอบตัวหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ความงดงามเช่นนี้เพียงแค่ได้มองก็ทำให้ผู้คนต่างลุ่มหลงไม่อาจละสายตา ความงามของหนิงอ้ายได้ฉายชัดเหมาะสมไปตามช่วงวัยอายุสิบห้าปีที่ว่ากันว่าเป็นช่วงผันผ่านเข้าสู่การเป็นผู้ใหญ่ หากคิดว่าใบหน้ายามเด็กนั้นฉายแววความงดงามน่าเอ็นดููแล้ว เเต่ในตอนนี้ยิ่งปรากฏเค้าโครงความงดงามกว่าเดิมหลายเท่ายิ่ง ใบหน้ายาวเรียวรูปไข่รับกับคิ้วที่เรียงเส้นโก่งดั่งคันศรสีปีกกาส่งเสริมให้ดวงตากลมโตเปล่งประกายสดใสผิวกายของหนิงอ้ายกระจ่างใสไร้ซึ่งมลทินใดทั้งสิ้น นอกจากนั้นแล้วกลิ่นอายของร่างบางที่แผ่ออกมาให้ความรู้สึกสูงศักดิ์ไม่ธรรมดาสามัญ ดวงตาเรียวงามสีฟ้าราวกับอัญมณีล้ำค่าที่ดึงดูดสายตาแก่ผู้พบเห็นได้โดยง่าย เมื่อพินิจเลื่อนลงมาก็จะพบริมฝีปากที่บางเรียวเป็นรูปกระจับสีชมพูระเรื่อน่าหลงไหล เส้นผมสีขาวเงินที่ถูกปล่อยยาวสยายไปกลางหลังนั่นยิ่งทำให้สัมผัสได้ว่าเป็นความงามที่ไม่มีจริงในโลกใบนี้ทางฝั่งของหวังจิ่งหลงกับเหมยฮวาเมื่อหายตก

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-02-26
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่22 อักขระเวทย์โบราณ

    หลังจากในคืนที่ผ่านมาหนิงอ้ายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่แล้วจึงตื่นขึ้นด้วยความรู้สึกตื่นตัวไม่มีร่องรอยความเมื่อยล้าจากการเดินทางเมื่อวานปรากฏให้เห็น หลังจากจัดการล้างหน้าเเปรงฟันเสร็จแล้วตัวเขาจึงออกกำลังฝึกฝนวรยุทธตามความคุ้นชินตั้งเเต่ยามอยู่เรือนเล็กท้ายจวนตระกูลจาง แม้ว่าในยามปกตินั้นเขาจะวิ่งรอบจวนสักสิบรอบเสียก่อนจึงจะฝึกฝนวรยุทธการต่อสู้ต่าง ๆสำหรับเช้าของวันนี้ท่านตาหวังจิ่งหลงจะทำการสั่งสอนอีกทั้งถ่ายทอดบทเวทย์ที่เป็นเคล็ดวิชาลับของตระกูลหวังให้แก่เขากับลู่ซี พวกเขาทั้งสองขึ้นชื่อว่าเป็นลูกหลานของตระกูลหวังสายหลักของแคว้นเต่าดำเเล้ว เหลือเพียงกระทำให้ถูกต้องตามประเพณีที่ศาลบรรพชนของตระกูล อันเป็นสถานที่ต้องข้ามที่จะต้องมีวาระสำคัญเท่านั้นจึงจะมีการจัดทำพิธีที่ศาลบรรพชนดังกล่าวได้''หนิงอ้าย ก่อนหน้านี้หลานได้ศึกษาบทเวทย์โดยที่ยังไม่ได้เรียนรู้อักษรเวทย์พื้นฐานใช่หรือไม่?'' หวังจิ่งหลงเอ่ยขึ้น โดยที่พวกเขาทั้งสามคนได้ปลีกตัวกันมายังศาลากลางจวน โดยที่ที่นั่งด้านข้างหนิงอ้ายมีลู่ซีนั่งอยู่ติดกันไม่ห่างไปนัก''ขอรับท่านตา ก่อนหน้านี้ข้าได้ศึกษาเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาเป็นบทเวทย์เเรก ก

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-02-26
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่23 ตลาดเมืองหลวง

    หนิงอ้ายได้ชวนลู่ซีเดินเที่ยวตลาดเมืองหลวงที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากจวนตระกูลหวังมากนัก ด้วยระยะทางที่สั้นเพียงนี้ในตอนแรกหนิงอ้ายตั้งใจว่าจะเดินเท้าไปเพื่อที่จะได้ซึมซับเอาบรรยากาศต่าง ๆ ของมหานครแคว้นเต่าดำ เเต่ลูซีเห็นต่างไปว่าหากนั่งรถม้าไปย่อมสามารถที่จะเลือกจับจ่ายซื้อของได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะเอากลับจวนตระกูลหวังอย่างไรอีกไม่กี่วันก็จะถึงงานประลองของแคว้นแล้ว คาดการณ์ว่าคงมีผู้ฝึกตนจากทั่วสารทิศเข้ามาร่วมงานประลองมากเป็นแน่เนื่องจากว่าของรางวัลสำหรับผู้ชนะในครั้งนี้ ทางแคว้นเต่าดำที่รับเป็นเจ้าภาพจัดงานค่อนข้างที่จะทุ่มงบประมาณอย่างมหาศาลเลยทีเดียว ของรางวัลสำหรับผู้ชนะทั้งสิบอันดับเป็นไปดังนี้ผู้ชนะอันดับหนึ่งการประลองจะได้รับบทเวทย์ป้องกันและบทเวทย์โจมตีระดับเทวะอย่างละหนึ่งบทเวทย์ และบทเวทย์ระดับสูงอีกสามบทเวทย์ อีกทั้งยังได้เงินรางวัลจำนวนสองหมื่นเหรียญทองผู้ชนะอันดับที่สองจะได้รับบทเวทย์ป้องกันและบทเวทย์โจมตีระดับเทวะอย่างละหนึ่งบทเวทย์ บทเวทย์ป้องกันและบทเวทย์โจมตีระดับสูงอย่างละหนึ่งบทเวทย์ อีกทั้งยังได้เงินรางวัลทั้งสิ้นจำนวนหนึ่งหมื่นเหรียญทองผู้ชนะอันดับที่สามจะได้รับบท

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่24 กระบี่หมอกรุ้งพิสุทธิ์เหมันต์

    ช่วงเวลาที่เหลืออีกไม่กี่วันนี้หนิงอ้ายได้ฝึกฝนเข้มงวดอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มทักษะการต่อสู้และวรยุทธต่าง ๆ รวมไปถึงการใช้บทเวทย์ให้คุ้นชินมากที่สุด ทุกสิ่งที่เขาได้ลงแรงทำไปไม่ใช่เพียงเพื่อให้มารดาของเขาได้ภูมิใจเท่านั้น เเต่สิ่งที่ตัวของหนิงอ้ายกำลังทำอยู่ในตอนนี้ย่อมเป็นตัวเขาเองเช่นกันที่ได้รับประโยชน์นี้ไปในที่สุดสำหรับโลกใบนี้หลังจากที่เขาได้ลืมตาฟื้นขึ้นมาจากความตายครั้งนั้น ทำให้เขาคิดได้ว่าสุดท้ายแล้วจะมีเพียงผู้ที่เเข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นที่จะไม่ถูกรังแก และเป็นผู้ที่สามารถควบคุมทุกสิ่งอย่าง พลังอำนาจเองก็ยังคงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผลักดันให้สามารถอยู่จุดสูงสุดได้เสมอ เพราะโลกของชาวยุทธภพนี้ทุกคนย่อมให้ความเคารพมีความอ่อนน้อมแก่ผู้ที่เเข็งแกร่งอีกทั้งยังยำเกรงต่อผู้มีอำนาจนั่นเองหนิงอ้ายมองดูกระบี่สีขาวในมือที่ถูกแกะสลักกลวดลายงดงามแปลกตา นี่เป็นกระบี่ที่เขาตัดสินใจซื้อมาจากร้านค้าอาวุธวิเศษเมื่อตอนที่ได้ไปตลาดในช่วงเย็นวันนี้ที่ผ่านมากระบี่หมอกรุ้งพิสุทธิ์เหมันต์เล่มนี้ที่คนแนะนำประจำตรงบริเวณอาวุธวิเศษ ได้บอกแก่หนิงอ้ายว่ากระบี่เล่มนี้อยู่ในร้านค้านี้มานานแล้ว ทว่า

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่25 เคล็ดวิชากระบี่เจ็ดดาวเหนือพิฆาต

    หลังจากทำการผูกพันธะสำเร็จเเล้ว หนิงอ้ายสามารถทำการสื่อสารกับกระบี่วารีหมอกรุ้งพิสุทธิ์เหมันต์เล่มนี้ได้เช่นเดียวกับที่พูดคุยกับเจียวซิ่น ก่อนที่เขาจะเข้าสู่ห้วงมิติที่มีความพิศดารลึกล้ำ อันเป็นพื้นที่สีขาวบริสุทธิ์ที่ไม่อาจรับรู้ได้ถึงจุดเริ่มต้นหรือจุดสิ้นสุดใดใดทั้งสิ้น ทว่าในความเข้าใจและไม่เข้าใจในความลึกลับของพื้นที่ในมิติลึกลับว่างเปล่า ได้เกิดเป็นความปั่นป่วนสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ก่อนที่จะสงบหยุดนิ่ง เมื่อจิตสำนึกของหนิงอ้ายค่อย ๆ แจ่มชัดขึ้น แสงสีขาวได้ปรากฎขึ้นสว่างจ้าก่อเกิดเป็นเงาร่างขนาดใหญ่ที่แผ่กลิ่นอายความไม่ธรรดาอย่างปิดไม่มิด"ข้าหวังหนิงอ้าย คำนับผู้อาวุโสขอรับ!!"ทันทีที่เขาพูดจบตัวกระบี่ได้เกิดประกายเเสงและสั่นเล็กน้อยก่อนที่จะสงบเงียบไปราวกับว่าเมื่อครู่นี้ไม่ได้เกิดสิ่งใด แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่มีเสียงตอบกลับเเต่สิ่งที่เกิดขึ้นที่ตัวกระบี่มีการตอบสนองนั้นราวกับว่ารับรู้ได้ว่าหนิงอ้ายเอ่ยคุยสิ่งใดเเต่ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น'เจ้าชื่อหวังหนิงอ้ายอย่างนั้นรึ?? ลูกหลานตระกูลหวังที่มีความบริสุทธิ์เข้มข้นทางสายเลือดยิ่ง...''เอาละ!! ข้าจะทำการถ่ายทอดเคล็ดวิชากระบี่เจ็ดดาวเห

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่26 กฏการประลองที่เปลี่ยนไป

    ในที่สุดวันเวลาก็ได้ผันเปลี่ยนหมุนเวียนมาถึงเช้าของวันใหม่ซึ่งเป็นวันเเรกตามกำหนดการของงานประลองของแคว้นที่มีการประกาศจัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบครั้งที่แปดสิบแปด (88) ตัวเลขแปด (8) นั้นชาวยุทธภพรวมไปถึงชาวบ้านธรรมดาในทั่วทุกแคว้นต่างมีความเชื่อกันว่าเป็นตัวเลขที่ดีเป็นอย่างมาก มีความข้องเกี่ยวกับความร่ำรวยในเงินทองยิ่งหากมีตัวเลขนี้ต่อกันมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งหมายถึงความร่ำรวยที่ไม่มีความสิ้นสุดเเต่ละแคว้นจะมีการปกครองในแคว้นของตนให้มีความเป็นอยู่ที่ดีก็จริงเเต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าฐานะของเเต่ละตระกูลในแคว้นต่างมีเรื่องของเงินทองหรือความร่ำรวยเป็นสิ่งที่สำคัญเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งสิ้นไม่ว่าจะในเรื่องของหน้าตาของตระกูล การทำกิจการเพื่อหาเงินทองมาใช้ในการปกครองคนในจวนของตนรวมไปถึงการได้ถูกยอมรับนับถือจากผู้คนทั่วไปอีกด้วยและก็มีไม่น้อยเช่นกันที่พื้นที่อยู่อาศัยหรือพื้นที่ทำมาหากินที่มีทำเลที่ดีมักจะเป็นกรรมสิทธิ์ครอบครองของตระกูลที่ร่ำรวยไปส่วนใหญ่อีกทั้งยังมีการจัดสรรเเบ่งเขตที่อยู่อาศัยนั้นก็ยึดจากความร่ำรวยเข้ามาข้องเกี่ยวไม่น้อยโดยที่ตระกูลใหญ่หรือตระกูลที่ร่ำรวยนั้นจะมีพื้นที่จวนอยู่บริเ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่27 งานประลองเวทย์ครั้งที่88

    หนิงอ้ายกับลู่ซีมุ่งตรงไปยังจุดลงทะเบียนที่มีการกางโตะตรงที่ปากทางเข้าการประลองในทันที แม้ว่าทั้งสองคนนั้นจะรีบเร่งออกจากจวนตระกูลหวังเป็นเวลาเช้าเเต่ก็ยังมีผู้ฝึกตนที่เดินทางมาถึงเร็วกว่ากว่าพวกเขาทั้งสองคน ในตอนนี้มีผู้คนมากมายที่กำลังรายล้อมอยู่โดยรอบจุดบริเวณดังกล่าวที่เปิดให้ลงทะเบียนอยู่ ถือว่าเป็นโชคดีของพวกเขาทั้งสองคนนั้นไม่น้อยที่มาทันเวลาพอดีเพราะว่าการประลองในครั้งนี้มีผู้สนใจเข้าร่วมเป็นอย่างมากดังนั้นจึงมีการจำกัดคนเข้าเเข่งขันเพียงเเค่ห้าร้อยคนเท่านั้น''เนื่องจากครั้งนี้เป็นงานประลองแคว้นครั้งที่แปดสิบแปด ดังนั้นเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองจึงไม่มีการเรียกเก็บเงินสมัครในการประลองครั้งนี้ใดใดทั้งสิ้น เเต่จะจำกัดผู้เข้าเเข่งขันเพียงเเค่ห้าร้อยคนเท่านั้นและจะไม่มีการแบ่งแยกช่วงอายุการประลองทั้งสิ้นสำหรับผู้ใดที่หวังเพียงมาเล่นไม่จริงจังสามารถถอดตัวออกไปได้ทันที อย่าหาว่าไม่เตือน!!!'' เสียงของผู้ควบคุมกฎที่ทำหน้าที่ดูเเลในการลงทะเบียนได้เอ่ยขึ้นและดังพอที่จะให้ได้ยินในบริเวณโดยรอบทันที'ข้าจะตกใจอะไรก่อนดีเล่า? การประลองครั้งนี้เปิดรับเพียงห้าร้อยคนหรือจะเป็นการจัดเเข่งขันประลองเ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่28 ลู่ซีลงสนามประลอง

    "การเเข่งขันผู้เข้าประลองสามารถใช้ได้ทั้งวรยุทธอีกทั้งบทเวทย์ระดับต่าง ๆ รวมไปถึงอสูรรับใช้ก็ได้เช่นกันสำหรับการลงเเข่งขันจะไม่จำกัดเวลาจนกว่าจะล้มคู่ต่อสู้ได้ อีกทั้งการลงประลองนั้นจะเป็นการสุ่มรายชื่อ ผู้ชนะในเเต่ละรอบประลองอาจจะได้ลงประลองอีกหลายครั้งในขณะที่บางคนอาจจะได้ลงประลองเพียงเเค่หนึ่งหรือสองครั้งเพียงเท่านั้น เท่ากับว่านอกจากที่พวกเจ้าจะต้องอาศัยฝีมือของตนเเล้วนั้นก็ต้องอาศัยโชคเช่นกันว่าวันนี้จะเป็นวันของพวกเจ้าหรือไม่?"ผู้อาวุโสที่ทำหน้าที่ดำเนินการประลองพูดถึงความพิเศษของกฎการลงประลองครั้งนี้ สิ้นเสียงกล่าวจบลงผู้คนต่าง ๆ ที่อยู่โดยรอบสนามประลองต่างส่งเสียงเชียร์ดังกระหึ่มสร้างความรู้สึกฮึกเหิมด้วยเพราะว่าตอนนี้ถึงเวลาที่ทุกคนรอคอยเเล้ว"หากเป็นการสุ่มรายชื่อ หากว่ามีผู้ชนะในการลงประลองเเต่ละครั้งเเต่ในทุกการสุ่มรายชื่อดันมีเเต่รายชื่อของเขาให้ลงเเข่งขันเเต่กลับอีกคนอาจจะมีรายชื่อในการประลองเพียงไม่กี่ครั้งหากเป็นเช่นนี้จะไม่เป็นการเสียเปรียบกันหรือขอรับ??" หนิงอ้ายถามขึ้น ด้วยเพราะเขาสังเกตว่ากฎการประลองที่มีการปรับเปลี่ยนนี้มีช่องโหว่ค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว หากว่ามีมื

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-03-06

บทล่าสุด

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   ( -จบเล่ม ปฐมบท 3.2- ) บทที่ 174 ความวุ่นวายที่สิ้นสุดลง

    ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 173 สมบัติเทพมารจุติ

    ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 172 การปรากฎตัวของผู้ขายวิญญาณ

    คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 171 ผู้ท้าทายที่กล้าหาญ

    การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 170 กฎเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

    หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 169 ผู้ผ่านการทดสอบ

    ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 168 เดินทางกลับสำนักศึกษา

    มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 167 การเลื่อนระดับที่เหนือล้ำ

    ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 166 ความร่วมมือ

    ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย

สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status