ขบวนรถม้าเดินทางยังคงดำเนินไปอย่างไม่รีบร้อน จุดหมายปลายทางคือจวนตระกูลหวังที่ตั้งอยู่ในมหานครแคว้นเต่าดำแห่งนี้ ตลอดเส้นทางเดินรถม้าได้ตัดผ่านหมู่บ้านน้อยใหญ่มากมาย สิ่งหนึ่งที่หนิงอ้ายสังเกตคือยิ่งเข้าใกล้ใจกลางมหานครแคว้นเต่าดำมากเท่าใดความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองรวมไปถึงความคึกคักของตลาดเเลกเปลี่ยนสินค้าก็จะเพิ่มขึ้นไปเท่านั้น
''ตรงด้านหน้าจะเป็นตลาดเมืองหลวงก่อนถึงจวนตระกูลหวัง หนิงอ้าย ลู่ซี เจ้าทั้งสองจะแวะก่อนหรือไม่?'' เยว่ซินเอ่ยถามเด็กหนุ่มทั้งสอง เพราะหากพ้นเขตตลาดเมืองหลวงนี้ไปอีกเพียงไม่ถึงเค่อก็จะถึงจวนตระกูลหวังเเล้ว
''แวะขอรับท่านเเม่ ข้าจะหาซื้อของฝากติดไม้ติดมือให้ท่านตาและท่านยายด้วยขอรับ!'' หนิงอ้ายตอบมารดาไปในทันที ในโลกเดิมของเขาสำหรับการเข้าพบปะผู้อาวุโสที่มีอายุมากกว่า ตามมารยาทที่พึงกระทำแล้วผู้น้อยควรมีของฝากติดมือไปฝากเสมอ เป็นการเเสดงถึงความเคารพให้เกียรตินั่นเอง
นับว่าผิดจากหนิงอ้ายเคยคิดไว้ไปเสียมาก มหานครแคว้นเต่าดำนี้มีพื้นที่กว้างขวางใหญ่โตเป็นอย่างมาก อาคารบ้านเรือนสองข้างทางดูโอ่อ่าอลังการดูเเล้วเจริญหูเจริญตาเป็นอย่างมาก ถนนหนทางจากทุกมุมเมืองที่มุ่งเข้าสู่ใจกลางของมหานครของแคว้นถูกปูด้วยก้อนอิฐที่มีขนาดใกล้เคียงกัน อีกทั้งมีผู้คนมากมายออกมาจับจ่ายซื้อของอย่างคึกคักแน่นขนัด ซึ่งแตกต่างจากทุกเมืองที่เขาได้ผ่านมา
''ช่างดูคึกคักเสียจริง!!'' หนิงอ้ายเอ่ยขึ้น
''แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองหลวงของแคว้นเหมือนกัน เเต่หากพินิจดี ๆ เเล้วแคว้นเต่าดำนั้นจะเจริญมากกว่าแคว้นหงส์แดงไปถึงหนึ่งขั้นเลยทีเดียว...'' ลู่ซีเอ่ยขึ้นพร้อมกับมองไปยังพื้นที่โดยรอบ แม้ว่าก่อนหน้าตนจะเป็นขอทานในกลางเมืองของแคว้นหงส์เเดงมาก่อนเเต่กลิ่นอายความเจริญรุ่งเรืองของทั้งสองแคว้นนั้นแตกต่างกันอย่างชัดเจน
''หากซื้อผลไม้สดไปฝากท่านตากับท่านยาย ลู่เกอว่าเป็นอย่างไรขอรับ เพราะหากเป็นสิ่งของเครื่องประดับและของมีค่าต่าง ๆ ข้าว่าท่านทั้งสองคงจะมีมากมายแล้วเป็นแน่...'' หนิงอ่ายถามลู่ซีเพื่อตัดสินใจอีกครั้ง
''ตามที่เจ้าต้องการได้เลย'' ลู่ซีเห็นด้วยกับหนิงอ้ายจึงเอ่ยตอบตกลงไป
''ขอรับลู่เกอ''
'หลีกไป หลีกไป อย่าขวางทาง!!'
'หลีกไปให้พ้น!!! หากไม่อยากเจ็บตัวให้ถอยไปให้ห่างรถม้าเสีย...' เสียงของรถม้าและฝีเท้าของคนจำนวนหนึ่งดังขึ้น พร้อมกับชายผู้ขี่ม้านำขบวนได้ตระโกนไล่ผู้คนให้หลีกทางดังกล่าว
''รีบไปที่ไหนกัน?'' หนิงอ้ายบ่นออกมาด้วยความรำคานใจ ในโลกเดิมของเขาก็มีเรื่องราวเช่นนี้ให้พบเห็นพวกที่ไร้วินัยขาดความรับผิดชอบในการพื้นที่ส่วนรวมเช่นนี้
'นี่เป็นเส้นทางหลักใจกลางมหานครแคว้นเต่าดำ คนกลุ่มนี้ช่างไม่มีมารยาทเสียจริง!! '
'มีใครเห็นบุตรีข้าหรือไม่? นางพลัดหลงกับข้าไปด้วยเหตุการณ์เมื่อครู่…'
'ดูจากตราสัญลักษณ์บนรถม้าแล้วคงเป็นเหล่าบรรดาศิษย์ของสำนักศึกษาอี๋หลิง ข้าได้ยินมาว่าศิษย์สายใน ศิษย์สายนอกหลายคนของสำนักศึกษา ได้ล่วงหน้ามาก่อนที่งานประลองแคว้นจะเกิดขึ้นในอีกเจ็ดวันข้างหน้า... '
เหตุการณ์ความวุ่นวายได้จบลงอย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียงก่นด่าสาบแช่งคนกลุ่มนั้นตามหลัง หนิงอ้ายได้ยินสิ่งที่ผู้คนรอบตัวกล่าวมาทั้งสิ้น ฟังว่าขบวนรถม้าเมื่อครู่คงเป็นคณะเดินทางของศิษย์สายใน ศิษย์สายนอกของสำนักศึกษาอี๋หลิงอันเป็นสำนักศึกษาอันเลื่องชื่อเช่นกัน หนิงอ้ายตั้งใจว่าช่วงเวลาที่เหลืออีกเพียงไม่กี่วันนี้เขาคงต้องหาข้อมูลสุดยอดฝีมือที่คาดว่าจะเข้าร่วมในการประลองครั้งนี้ให้ได้มากที่สุด
เนตรแห่งสวรรค์ได้ผนึกขึ้นเป็นวิหคโปร่งแสงนับร้อยตัวกระจายไปทั่วในรัศมีสองลี้ครอบคลุมพื้นที่เกือบทั้งหมดของมหานครเต่าดำ สิ่งนี้หนิงอ้ายเรียกว่า วิหคสอดแนม ทักษะนี้หนิงอ้ายได้พลิกแพลงจากความสามารถของเนตรแห่งสวรรค์ หมายความว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในระยะการรับรู้ของวิหคสอดแนมแต่ละตัวหนิงอ้ายล้วนรับรู้และได้ยินด้วยเช่นกัน ความเป็นจริงแล้ววิหคสอดแนมนี้ไร้ซึ่งรูปร่าง หาได้มีรูปลักษณ์เป็นวิหคแต่อย่างใด อีกทั้งยังโปร่งแสง ไร้สี ไร้กลิ่น ไม่ทิ้งสัมผัสใดให้ตรวจจับได้ หากไม่พบเจอกับสมบัติวิเศษสายตรวจจับหรือผู้ฝึกตนที่มีญาณลึกล้ำย่อมไม่อาจสัมผัสถึงได้โดยง่าย แน่นอนว่าข้อจำกัดเหล่านี้ล้วนถูกทลายไปสิ้นหากวันหนึ่งหนิงอ้ายเพียบพร้อมไปด้วยพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งนั่นเอง
มหานครแคว้นเต่าดำนับว่ามีการวางรากฐานตั้งรกรากมาอย่างยาวนานหลายพันปีแล้ว มีคำกล่าวไว้ว่าท่านผู้นำของตระกูลใหญ่ทั้งสี่ในตอนนั้นล้วนเป็นบุคคลสำคัญมีชื่อเสียงที่พร้อมไปด้วยฝีมือโดดเด่นได้ร่วมมือก่อตั้งแคว้นปกครองนี้ขึ้น โดยให้พี่ใหญ่ที่พวกเขาทั้งสามคนให้ความนับถือขึ้นเป็นผู้ปกครองแคว้นในฐานะของราชวงศ์เเรกของแคว้นเต่าดำ อีกทั้งพวกเขายังได้ร่วมมือต่อสู่กับชนเผ่าพื้นเมืองต่อต้าน รวมไปถึงการปกป้องแคว้นจากการบุกโจมตีแย่งชิงอาณาจักรใกล้เคียง
กว่าจะรวบรวมเมืองน้อยใหญ่โดยรอบเพื่อสร้างเสริมความเป็นปึกแผ่นจนเป็นมหานครแคว้นเต่าดำเฉกเช่นวันนี้ เเต่ละตระกูลล้วนมีความเเข็งแกร่งที่โดดเด่นแตกต่างกันออกไปทั้งสิ้น อีกทั้งยังมีเคล็ดวิชาลับของตระกูลที่แตกต่างกันออกไป ว่ากันว่าแม้เเต่ราชวงศ์ราชาผู้ปกครองแคว้นเต่าดำนี้ ยังต้องเกรงใจทั้งสี่ตระกูลใหญ่นี้หลายส่วนเลยทีเดียว สำหรับสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำประกอบไปด้วยดังนี้
ตระกูลหมิงเป็นตระกูลใหญ่ที่ขึ้นชื่อในด้านบู๊และการต่อสู้ต่าง ๆ ผู้นำตระกูลคนปัจจุบันเป็นเเม่ทัพใหญ่ของแคว้นเต่าดำที่มีชื่อเสียงน่าเกรงขามไปทั่วทุกแคว้น ท่านผู้นำตระกูลคนก่อนหน้าจากรุ่นสู่รุ่นล้วนต่างใช้ฝีมือความสามารถที่เเท้จริงโดยไม่พึ่งอำนาจของตระกูลในการขึ้นเป็นเเม่ทัพใหญ่ของแคว้น อีกทั้งยังถือครองกิจการเกี่ยวกับพวกการทำอาวุธ รวมไปถึงตำราการต่อสู้ตำรายุทธศาสตร์ที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับอันดับต้น ๆ ในยุทธภพ ในส่วนของปราณธาตุของคนในตระกูลหมิงโดยส่วนมากแล้วคือปราณธาตุน้ำและปราณธาตุดินเสียเป็นส่วนใหญ่ แสดงให้เห็นเป็นอัตลักษณ์ของลูกหลานตระกูลหมิงในลักษณะของความมั่นคงหนักเเน่นไม่เอนเอียงต่อสิ่งอยุติธรรมทั้งสิ้น อีกทั้งปราณธาตุน้ำกับปราณธาตุดินที่ดูเหมือนว่าจะเป็นอริธาตุนั้น กลับส่งเสริมกันเสียมากกว่า นอกจากนั้นแล้วเคล็ดวิชาประจำตระกูลนอกจากจะมีความเเข็งแกร่งเน้นการป้องกันแล้ว การโจมตีตอบโต้ก็รวดเร็ว พลิ้วไหว รุนแรงเฉกเช่นสายน้ำ...
ตระกูลซูเป็นอีกหนึ่งตระกูลที่มีความโดดเด่นไม่แพ้กัน กล่าวกันว่าหากหาผู้ที่มีทรัพย์สมบัติร่ำรวยกว่าราชวงศ์ประจำแคว้น คงหนีไม่พ้นตระกูลซูหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำนั่นเอง ด้วยเพราะผู้นำตระกูลซูเเต่ละรุ่นจะมีแนวความคิดก้าวหน้าที่เกี่ยวข้องกับกิจการค้าขายเป็นหลัก มักจะเดินทางไปยังแคว้นต่าง ๆ โดยรอบเพื่อหาเเลกเปลี่ยนสินค้าและนำเข้ามาจำหน่ายในแคว้นให้ผู้คนได้หาซื้อได้โดยง่าย กิจการเหลาอาหารที่ขึ้นชื่อว่าเป็นอันดับหนึ่งของแคว้น ล้วนมีสาขาหลักอยู่ทุกเมืองใหญ่ของเเต่ละแคว้นปกครองเช่นกัน มากไปกว่านั้นตระกูลซูยังเป็นผู้สนับสนุนหลักเรื่องของเงินท้องพระคลังราชวงศ์แคว้นเต่าดำอีกด้วย สำหรับปราณธาตุประจำตระกูลซูคือปราณธาตุน้ำเพียงปราณธาตุเดียว แม้อาจดูไม่โดดเด่นเท่าไหร่หากเทียบกับตระกูลที่มีผู้สามารถใช้ปราณธาตุได้สองสาย เเต่ก็นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งตระกูลที่มากด้วยผู้ที่มีฝีมือที่มีชื่อเสียงไม่น้อย ไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถยืนหยัดเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเฉกเช่นทุกวันนี้มาอย่างยาวนาน
ตระกูลเหวินเป็นตระกูลใหญ่อีกหนึ่งตระกูลที่มีความสำคัญมากเช่นกัน ด้วยเพราะผู้นำตระกูลคนปัจจุบันนั้นขึ้นชื่อในด้านของบุ๋น ได้รับตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาสูงสุดของราชวงศ์ปกครองแคว้นเต่าดำสืบทอดกันรุ่นสู่รุ่น ไม่ว่าจะเป็นที่ปรึกษาในตำแหน่งในราชสำนัก ตำแหน่งกุนซือในกองทัพทหารรวมไปถึงบัณฑิตที่มีชื่อเสียงโด่งดังในความเฉลียวฉลาดส่วนใหญ่มักจะเป็นลูกหลานตระกูลเหวินทั้งสิ้น อีกทั้งยังเป็นตระกูลที่บ่มเพาะหมอรักษาไม่น้อยเช่นกัน สำหรับปราณธาตุประจำตระกูลเหวินนั้นจะเป็นปราณธาตุน้ำและปราณธาตุไม้นับว่าส่งเสริมกันยิ่ง ด้วยเพราะความพิเศษของปราณธาตุไม้ นั้นย่อมสามารถควบคุมพฤกษาได้เกือบทั้งหมด สามารถเร่งการเติบโตของต้นไม้สมุนไพรหายาก ยิ่งตระกูลเหวินมีการเปิดร้านขายโอสถ สมุนไพรด้วยเเล้วนั้นความบริสุทธิ์ของพลังธาตุน้ำจะประสานรวมกับพลังธาตุพฤกษาจึงทำให้ผลผลิตเกี่ยวกับสมุนไพร โอสถต่างๆ ของตระกูลเหวินนั้นจะมีประสิทธิภาพดียิ่ง
ตระกูลหวังหรือตระกูลของท่านตาของหนิงอ้ายนั้น กล่าวกันว่าตระกูลหวังเป็นตระกูลใหญ่ที่ก้าวเข้าสู่ทำเนียบของแคว้นเต่าดำได้เพียงเเค่ไม่กี่ร้อยปีเท่านั้น ประวัติความเป็นมาอาจน้อยกว่าทั้งสามตระกูลที่กล่าวมาทั้งสิ้น เเต่ถึงอย่างไรแล้วตระกูลหวังหาว่าเป็นตระกูลที่สามารถดูเเคลนได้โดยง่าย บรรพบุรุษต้นตระกูลหวังเป็นผู้ใช้ปราณสุริยะธาตุนับว่าเป็นธาตุต้นกำเนิดบริสุทธิ์ของปราณธาตุไฟที่ยังไม่ปรากฎผู้สืบทอดพรสวรรค์ดังกล่าวมาหลายร้อยปีแล้ว
เส้นทางการเข้าสู่หนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำคือ องค์ราชาผู้ปกครองของแคว้นได้ถูกพิษจากการเข้าร่วมสนามรบต่อสู้กับชนเผ่าเร่ร่อนที่เข้ามาบุกประชิดรอยต่อของแคว้นจนทำให้แทบจะสิ้นชีวิตในสนามรบเเต่ได้ท่านบรรพบุรุษของตระกูลหวังที่เป็นผู้ใช้พลังสุริยะธาตุดูดซับพิษช่วยเหลือไว้ได้ทัน ครั้นเมื่อองค์ราชาทรงหายดีเป็นปกติจึงได้ออกราชโองการให้ตระกูลหวังขึ้นเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำตั้งแต่นั้นมา ตระกูลหวังจะไม่ค่อยมีบทบาทที่โดดเด่นเทียบเท่าอีกสามตระกูลใหญ่ที่เหลือ แต่อย่างไรในช่วงหนึ่งถึงกับมีข่าวลืออย่างหนาหูในยุทธภพว่าตระกูลหวังนั้นมีผู้ฝึกตนระดับมหาพรหมยุทธ์วิญญาณหลายคนนั่งประจำการอยู่ ด้วยข่าวลือเช่นนี้จึงทำให้ตระกูลหวังเป็นหนึ่งในสี่ของตระกูลใหญ่ของแคว้นได้อย่างมั่นคงมาอย่างยาวนาน
''ข้าขอตรวจสอบป้ายหยกประจำตัวด้วยขอรับ...'' บุรุษวัยกลางคนผู้เฝ้าหน้าประตูของจวนตระกูลหวังเอ่ยขึ้น หลังจากที่มีรถม้าหยุดตรงหน้าจวน
''ลุงหมิงจำข้าไม่ได้หรือเจ้าคะ?'' เยว่ซินเอ่ยขึ้นพร้อมกับยื่นป้ายหยกประจำตัวของนางส่งให้ชายวัยกลางคนตรงหน้า ก่อนที่จะปลดผ้าคลุมที่ปกปิดออกเห็นเป็นใบหน้างามที่ทุกคนในตระกูลหวังล้วนคุ้นเคยและจดจำได้เป็นอย่างดี
''คุณหนูเยว่ซิน! ยินดีต้อนรับกลับตระกูลหวัง การเดินทางราบรื่นใช่หรือไม่ขอรับ?'' ชายวัยกลางคนที่ถูกเรียกขานว่าลุงหมิงเมื่อเห็นมือเรียวขาวยื่นป้ายหยกประจำตัวให้ตรวจสอบ แม้จะไม่ได้เห็นนานเเล้วเเต่ย่อมชัดเจนในความทรงจำยิ่งนักว่าเป็นป้ายหยกของผู้ใดเพราะตนทำหน้าที่ตรงนี้มานานเเล้ว
''มีข้าร่วมเดินทางในครั้งนี้ด้วยเจ้ายังต้องเป็นกังวลอยู่อย่างนั้นรึ?'' หวังฮุ่ยที่ตามาด้านหลังเอ่ยหยอกล้อกับหวังหมิงสหายของตน พร้อมกับหัวเราะออกมาเบา ๆ
''ได้ยินเช่นนั้นข้าก็สบายใจ แล้วนี่คือนายน้อยทั้งสองใช่หรือไม่ขอรับ?''
''เด็กหนุ่มคนนี้มีนามว่าหวังหนิงอ้าย ส่วนเด็กหนุ่มอีกคนที่ยืนอยู่ข้างกันมีนามว่าหวังลู่ซีเป็นบุตรบุตรธรรมของข้า…''
''สองสามีภรรยาตรงด้านหลังมีนามว่าท่านจางปินกับหรันหรู ทั้งสองจะพักอยู่ในจวนตระกูลหวังระหว่างนี้ รบกวนท่านลุงหมิงเป็นธุระจัดการเรื่องเรือนรับรองให้ด้วยนะเจ้าคะ''
''คุณหนูไม่ต้องกังวล ในส่วนของเรือนพักรับรองอูหยินเหมยฮวาให้บ่าวรับใช้จัดการตระเตรียมเรียบร้อยแล้ว สำหรับเรือนพักของคุณชายน้อยทั้งสองเป็นเรือนที่อยู่ติดกันกับเรือนของคุณหนูเลยขอรับ...'' หวังหมิงตอบกลับเยว่ซินไป
''ตอนนี้นายท่านและฮูหยินอยู่ที่เรือนหลัก ข้าได้ให้บ่าวไปแจ้งว่าคุณหนูกลับมาเเล้ว เชิญทุกท่านตามข้ามาได้เลยขอรับ...'' หวังหมิงกล่าวด้วยความกระตือรือร้น ก่อนที่จะเดินนำทุกคนเข้าสู่เขตพื้นที่ในจวนตระกูลหวัง
จวนตระกูลหวังนี้ที่มีขนาดใหญ่กว่าจวนตระกูลจางจนเห็นได้ชัด พื้นที่โดยรอบได้มีการปลูกต้นไม้ ดอกไม้ประดับทั่วทั้งจวนที่ต่างส่งกลิ่นหอมอ่อน นอกจากนั้นยังมีลมปราณฟ้าดินที่บริสุทธิ์ไหลเวียนหนาแน่น หากสังเกตดี ๆ เเล้วจะพบว่าตรงใจกลางจวนของตระกูลหวังมีไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ที่เเผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาปกคลุมไปเกือบครึ่งจวน มหาพฤกษาต้นนี้ได้เเผ่ลมปราณอันบริสุทธิ์ลึกล้ำออกมาอย่างสม่ำเสมอชวนให้ตกตะลึงยิ่งนัก
เมื่อมาถึงเรือนใหญ่หนิงอ้ายก็ได้พบกับชายหญิงที่มีอายุราว ๆ ห้าสิบปีหน้าตาหล่อเหลาหมดจดงดงามสมวัย เมื่อนั่งเคียงคู่กันช่างเหมาะสมกันยิ่งนัก ดูเหมือนว่ามารดาของเขาจะรับเอาความโดดเด่นทางหน้าตาของทั้งคู่มาไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะเยว่ซินถึงกับส่งต่อความงดงามดังกล่าวนี้มายังใบหน้าที่งดงามเกินชายของหนิงอ้ายผู้นี้นั่นเอง
''ซินเอ๋อร์ มารดาดีใจนักที่เจ้ากลับมา แล้วการเดินทางราบรื่นดีหรือไม่?'' ท่านยายเหมยฮวาเอ่ยถามพร้อมกับดึงมารดาของเขาเข้ากอดพร้อมกับใบหน้าที่มีรอยยิ้มอบอุ่น
''การเดินทางราบรื่นเจ้าค่ะ''
''ข้า...ข้าต้องอภัยท่านพ่อและท่านเเม่ที่ทำให้เสียชื่อเสียงของตระกูลหวังนะเจ้าคะ'' เยว่ซินเมื่อเห็นบิดามารดาของตนคล้ายกับว่าความเเข็งแกร่งที่เคยมีนั้นสลายไปสิ้น
ข่าวที่นางได้หย่าขาดจากตระกูลจางเเห่งแคว้นหงส์เเดงผู้คนใกล้เคียงต่างรับรู้กันถ้วนหน้าทั้งสิ้น ด้วยเพราะตระกูลหวังและตระกูลจางล้วนเป็นตระกูลใหญ่ของแคว้นทั้งคู่ ดังนั้นเยว่ซินจึงละอายอยู่ในใจไม่น้อย ที่นางทำให้ตระกูลหวังต้องมาเสียหาย และมากไปกว่านั้นนางยังเป็นต้นเหตุที่ทำให้บิดามารดาต้องทุกข์ใจเช่นนี้
''บิดาและมารดาของเจ้าไม่เคยคิดเช่นนั้นเลยสักครั้งเจ้าอย่ากังวลไปเลยลูกรัก ตระกูลหวังของเราร่ำรวยถึงเพียงใดเจ้าย่อมรู้ดีแก่ใจมิใช่อย่างนั้นหรือ? เพียงเเค่บุตรสาวและหลานข้าไม่กี่คนเช่นนี้ข้าจะไม่สามารถเลี้ยงดูตลอดชีวิตได้อย่างไรกัน!''
''ที่นี่เป็นบ้านของเจ้านะซินเอ๋อร์...'' หวังจิ่งหลงผู้เป็นบิดาเอ่ยขึ้นพร้อมกับรวบตัวเยว่ซินและภรรยาของตนเข้าไปกอดอย่างแนบแน่น
ภาพตรงหน้าของหนิงอ้ายนับว่าเป็นความรู้สึกที่เขาไม่เคยพบเจอมาตลอดทั้งชีวิต คำว่าครอบครัว คำว่าบ้านแม้จะเป็นเพียงคำสั้น ๆ เเต่เมื่อได้ฟังและได้สัมผัสเช่นนี้เเล้วมันช่างอบอุ่นไปทั้งหัวใจยิ่งนัก
หลังจากที่หวังจิ่งหลงกับหวังเหมยฮวาได้กอดบุตรสาวของตนที่ไม่ได้พบเจอกันมานานนับสิบกว่าปีพอให้ได้คลายความคิดถึงเเล้ว ทั้งสองจึงปล่อยให้นางนั่งยังที่ว่างข้างตนที่มีการจัดเตรียมไว้
''คารวะท่านตา ท่านยายขอรับ!!'' หนิงอ้ายกับลู่ซียกมือประสานขึ้นพร้อมกับโค้งคำนับอย่างนอบน้อม
''หนิงอ้าย ตาดีใจมากที่ได้รู้ว่าเจ้าสามารถปลุกพลังวิญญาณเป็นผู้ฝึกตนได้สำเร็จและครอบครองปราณธาตุมากว่าหนึ่งเช่นนี้ อีกทั้งหนึ่งในนั้นยังเป็นปราณธาตุเดียวกันกับท่านบรรพบุรุษตระกูลหวัง นับว่าเป็นเรื่องราวที่น่ายินดีแก่ตระกูลหวังของเรายิ่ง!!"
''ส่วนเจ้าลู่ซี สำหรับข้าแล้วย่อมไม่สนใจว่าเจ้าจะมีชาติกำเนิดหรือความเป็นมาเช่นไร ในเมื่อซินเอ๋อร์รับเจ้าเป็นบุตรบุญธรรมแล้วฐานะของเจ้าย่อมไปต่างไปจากหลานของข้าคนหนึ่งเช่นกัน"
หนิงอ้ายรู้มาจากเยว่ซินมารดาของตนว่า หวังจิ่งหลงมีใจรักเดียวให้แก่เหมยฮวาเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่ยอมรับธรรมเนียมตบแต่งสตรีเข้าจวนมากกว่าหนึ่งดังเช่นทั่วไป แม้ว่าจะมีตระกูลใหญ่หรือองค์หญิงในราชวงศ์ต้องการที่จะตบแต่งเข้ามาในตระกูลหวังเเต่ท่านตาของเขาก็ปฏิเสธไปทั้งสิ้น โดยบอกเหตุผลนั่นคือไม่อยากทำให้คนรักต้องเสียใจ ทั้งสองต่างมีความรักเเท้ที่มั่นคงให้แก่กันอย่างเเท้จริง อีกทั้งยังร่วมต่อสู้ฝันฝ่าอุปสรรคต่าง ๆ มาด้วยไม่น้อยกว่าที่จะได้รับการยอมรับเฉกเช่นทุกวันนี้ พวกท่านทั้งคู่ยังอยู่ด้วยกันในเรือนใหญ่โดยไม่ได้มีการเเยกเรือนเฉพาะของสามีหรือฮูหยินคนละเรือน เหมือนกับจวนของตระกูลอื่นๆ เเต่อย่างใด เรื่องราวความรักมั่นคงของท่านตาของเขาที่มีต่อท่านยายเป็นที่กล่าวเลื่องลือขึ้นชื่อไปทั่วทุกแคว้น
''ลู่ซี หนิงอ้ายพวกเจ้าทั้งสองมาให้ยายเห็นหน้าใกล้ ๆ หน่อยสิเจ้า'' หวังเหมยฮวาเอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มที่อบอุ่น
''ขอรับ'' หนิงอ้ายกับลู่ซีเอ่ยขึ้นพร้อมกัน
''หนิงอ้ายกับลู่ซีใครอายุมากกว่ารึ?''
''ลู่เกอตอนนี้อายุสิบหกปี ส่วนข้าอายุสิบห้าปีขอรับท่านยาย...''
''เช่นนั้นรึ ต่อจากนี้ข้าฝากดูเเลน้องของเจ้าด้วยเล่า'' เหมยฮวาพยักหน้ารับรู้ ก่อนจะหันหน้าคุยกับลู่ซีโดยตรง
''ข้าสาบานว่าจะคอยดูเเลปกป้องหนิงอ้ายให้ดีที่สุดขอรับ...'' ลู่ซีเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงมั่นคงหนักเเน่นมั่นคง
''ใครจะให้ท่านคอยดูเเลข้าฝ่ายเดียวกัน พวกเราเป็นพี่น้อง เป็นครอบครัวเดียวกัน อย่างไรต้องคอยดูเเลช่วยเหลือกันอยู่เเล้วไม่สมควรเป็นหน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่งทั้งสิ้น...'' หนิงอ้ายแย่งออกไป
''ฮ่าฮ่าฮ่า ต้องอย่างนี้สิหลานของตาเจ้าทั้งสอง จงจำไว้ให้มั่นเล่าในคำพูดของตนวันนี้และยึดถือปฏิบัติตามด้วยเล่า?'' หวังจิ่งหลงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ยินดีเเละถูกใจยิ่งนัก
''หนิงอ้าย ให้ตากับยายดูหน้าของเจ้าสักหน่อยเถิด...''
''ได้เลยขอรับ'' หนิงอ้ายรับคำขอนั้น พร้อมกับทำการถอดผ้าคลุมที่ตนสวมอยู่ออกทันที...
ระดับพลังวิญญาณ**พลังวิญญาณคือพลังลมปราณภายในร่างกายของผู้ฝึกตน เกี่ยวข้องกับความเหมาะสมในการประสานกระดูกวิญญาณเข้ากับร่างกายอีกด้วย ระดับพลังวิญญาณของผู้ฝึกตนจะเเบ่งออกเป็นสิบห้าระดับ แต่ละระดับแบ่งเป็นสิบขั้นย่อย**แต่ละขั้นย่อยของระดับพลังวิญญาณจะปรากฏเป็นสัญลักษณ์ดังนี้ระดับ 1-3 ขั้นต้น หนึ่งวงแหวนเวทย์ระดับ 4-6 ขั้นกลาง สองวงแหวนเวทย์ระดับ 7-9 ขั้นสูง สามวงแหวนเวทย์1.ก่อเกิดวิญญาณระดับ1-10 ไม่มีวงแหวนเวทย์2.ขุนพลวิญญาณระดับ11-19 สัญลักษณ์แทนวงแหวนเวทย์สีขาว-กระดูกวิญญาณที่เหมาะสมในการดูดซับอายุไม่เกิน 1,000 ปี3.ขุนนางวิญญาณระดับ20-29 สัญลักษณ์แทนวงแหวนเวทย์สีเขียว-กระดูกวิญญาณที่เหมาะสมในการดูดซับอายุไม่เกิน 2,000 ปี4.จักรพรรดิวิญญาณระดับ30-39 สัญลักษณ์แทนวงแหวนเวทย์สีเหลือง-กระดูกวิญญาณที่เหมาะสมในการดูดซับอายุไม่เกิน 4,000 ปี5.เทวะวิญญาณระดับ40-49 สัญลักษณ์แทนวงแหวนเวทย์สีส้ม-กระดูกวิญญาณที่เหมาะสมในการดูดซับอายุไม่เกิน 8,000 ปี6.ราชันวิญญาณระดับ50-59 สัญลักษณ์แทนวงแหวนเวทย์สีชมพู-กระดูกวิญญาณที่เหมาะสมในการดูดซับอายุไม่เกิน 10,000 ปี7.เทพยุทธ์วิญญาณระ
หากมีการจัดอันดับนักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรงที่อายุไม่เกิน30ปี เชื่อว่าต้องมี นที พัชรวงศ์เศวต อยู่ในรายชื่อเหล่านี้อย่างแน่นอน เพราะชายหนุ่มถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งนักธุรกิจที่มีความคิดนอกกรอบในการแก้ปัญหา ทั้งความเป็นผู้นำของอีกฝ่ายที่ฉายชัดออกมาแม้อายุยังน้อยเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขามีความแตกต่างจากนักธุรกิจคนอื่นในช่วงวัยใกล้เคียงกันเป็นอย่างมากสิ่งเหล่านี้ได้ส่งผลให้ในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีชื่อของเขาได้กลายเป็นอีกหนึ่งนักธุรกิจหนุ่มผู้ประสบความสำเร็จที่โดดเด่นและน่าจับตามองเป็นอย่างมากคนหนึ่งที่ไม่เพียงได้รับการยอมรับจากพันธมิตรแวดวงนักธุรกิจเพราะทางด้านเทคโนโลยีชายหนุ่มก็สามารถพัฒนาระบบความมั่นคงของรัฐให้มีความเสถียรภาพมากขึ้นจนกลายเป็นแม่แบบโปรแกรมจนถูกนำไปใช้กันอย่างแพร่หลาย รวมไปถึงผลงานในด้านต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์อย่างมหาศาลต่อผู้คนหลายล้านชีวิตล้วนได้สร้างชื่อเสียงของเขาให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นหลายเท่านอกจากนั้นแล้วนทียังเป็นชายหนุ่มที่มีรูปลักษณ์น่าดึงดูดและมีเสน่ห์เป็นอย่างมาก ร่างกายสูงโปร่งสวมชุดสูทตัดเย็บอย่างดีเน้นให้เห็นรูปร่างท่าทางที่แสดงออกถึงความมั่นใจ ดวงตาเฉียบค
สัมผัสแรกที่รู้สึกคือความเจ็บปวดไปทั่วทั้งร่างกายในสัญชาตญาณการรับรู้ แต่ก่อนที่นทีจะตั้งสติมากกว่านี้ก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อที่คุ้นหูจนต้องฝืนลืมตาขึ้นด้วยความลำบาก เมื่อปรับสายตาให้มองเห็นชัดแล้วจึงเห็นเป็นสตรีผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ข้างเตียงที่เขานอนอยู่ สายตาของนางที่มองมาเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลายชวนให้รู้สึกอุ่นใจและคุ้นเคยอยู่ไม่น้อย“หนิงเอ๋อร์ หนิงเอ๋อร์ ได้ยินเสียงของมารดาหรือไม่?” เสียงของสตรีเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วงเพราะเด็กหนุ่มสลบไปไม่ได้สติถึงเจ็ดวันเต็ม“ท่านแม่...” นทีเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งไปตามความคิดแรกที่ปรากฎขึ้น ก่อนที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความมึนงง เมื่อเห็นเช่นนั้นสตรีคนดังกล่าวจึงรีบป้อนน้ำให้กับเขาในทันที“หนิงเอ๋อร์ ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นขึ้นเสียที...” สตรีคนเดิมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกังวลพร้อมกับขยับเข้าใกล้มองสำรวจด้วยความเป็นห่วง นางใช้หลังมือลูบไล้ใบหน้าและลำคอของเด็กหนุ่มด้วยความกังวลที่ลดลงไปบ้างเล็กน้อยแม้ว่าภายนอกของเด็กหนุ่มในตอนนี้ดูเหมือนปกติแล้วก็จริงแต่นางยังคงไม่วางใจสักเท่าไหร่ เพราะเดิมทีแล้วร่างกายของอีกฝ่ายไม่ได้แข็งแรงมาก ในระยะหลังม
ใครจะไปเชื่อว่าหลังจากตายแล้วแทนที่จะต้องไปชดใช้กรรมหรือข้ามสะพานไหน่เหอกินน้ำแกงยายเมิ่งเพื่อเกิดใหม่ เเต่กลายเป็นว่าวิญญาณของเขากลับเข้ามาอยู่ในร่างของจางหนิงอ้ายวัยสิบสี่ปี บุตรชายคนโตของจางเลี่ยงหวงที่ปัจจุบันเป็นประมุขตระกูลจางหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นหงส์แดง มีฮูหยินเอกคือหวังเยว่ซินมารดาของหนิงอ้ายและยังมีฮูหยินรองรวมไปถึงอนุอีกสามคน สำหรับบรรดาพี่น้องร่วมบิดาเดียวกันของหนิงอ้ายต่างมีอายุลดหลั่นกันไปเพียงหนึ่งหรือสองปีเท่านั้น หากจะเรียกว่าพี่น้องก็ไม่เต็มปากเพราะแทบไม่ผูกพันธ์รักใคร่กันเท่าใดนัก พี่น้องเหล่านั้นต่างพูดจาดูแคลนไร้ซึ่งความเคารพใดแต่เจ้าของร่างนี้ไม่เคยตอบกลับทั้งสิ้นบรรดาพี่น้องร่วมบิดาเดียวกันประกอบไปด้วย...คุณชายใหญ่จางหนิงอ้ายคุณชายรองจางเหยากวงคุณหนูสามจางฝูเยว่คุณหนูสี่จางลี่เหมยคุณชายห้าจางหมิงหวังคุณหนูหกและคุณหนูเจ็ดเป็นแฝดหญิงคนพี่จางเหมยกุ้ยคนน้องจางเหมยฮวาพี่น้องร่วมบิดาทั้งหกคนเมื่ออายุครบเจ็ดปีก็สามารถปลุกพลังวิญญาณได้ ในตอนนี้ทุกคนต่างเข้าศึกษาในสำนักผิงอานกันทั้งสิ้น มีเพียงจางหนิงอ้ายที่ไม่สามารถเข้าศึกษาในสำนักเนื่องด้วยไม่สามารถปลุ
จางหนิงอ้ายอาศัยอยู่กับมารดาที่เรือนหลังเล็กท้ายจวนติดกับป่าไผ่พร้อมกับบ่าวรับใช้เพียงไม่กี่คน ถึงแม้ว่าหวังเยว่ซินจะมีฐานะเป็นถึงฮูหยินเอกของจวน แต่ทว่าความเป็นอยู่ในตอนนี้อาจกล่าวได้ว่าไม่ค่อยดีเท่าไหร่นักยังดีที่บ่าวในเรือนนี้ล้วนต่างจงรักภักดีต่อนายของตนทั้งสองยิ่งกว่าชีวิต เนื่องจากมารดาไม่ได้รับความรักจากบิดา อีกทั้งมีเรื่องราวที่ผิดใจกันก่อนหน้าจึงทำให้เรือนน้อยท้ายจวนหลังนี้ไม่ได้รับเงินทองจากเรือนหลักมาจุนเจือนับเป็นเวลาเกือบปีเเล้ว มีแต่เพียงสินสมรสเดิมที่มารดาของเขาได้จากตระกูลเดิมก่อนที่จะแต่งเข้าตระกูลจางเพียงเท่านั้น นับวันก็ยิ่งหมดไปจากการจับจ่ายใช้สอยซื้อของจิปาถะต่าง ๆเมื่อไม่มีอำนาจในตระกูลและไม่เป็นที่รักของสามีนับว่าพอทนไหวอยู่บ้าง เพียงเเต่ไม่ถึงหนึ่งปีที่ผ่านมาในเหตุการณ์ล่าสุดที่เป็นเหตุทำให้หนิงอ้ายต้องล้มป่วยหนัก มารดาของเขาต้องการความเป็นธรรมในเรื่องดังกล่าวนี้แต่สามีของนางก็มิได้นำพาอันใด อีกทั้งยังขับไสไล่ส่งพวกเขาทั้งคู่จากเรือนหลักของจวนด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ทั้งมารดาและหนิงอ้ายจำเป็นต้องมาอาศัยในพื้นที่ส่วนหลังของจวนห่างไกลจากเรือนหลักของตระกูลจางเช่น
หนิงอ้ายนั่งมองฝูงปลาที่กำลังแหวกว่ายอยู่ในสระบัวท่ามกลางบรรยากาศยามเช้าเงียบสงบ ผมสีดำสนิทเปล่งประกายเงางามถูกมัดรวบด้วยผ้าผูกสีขาวเพียงครึ่งปล่อยส่วนที่เหลือให้ยาวสยายจรดกลางหลัง เส้นผมบางส่วนหลุดลุ่ยไปตามกรอบหน้าเรียวมนรูปไข่ที่คล้ายคลึงกับมารดาไปมากถึงเก้าในสิบส่วน ดวงตาเรียวหงส์ประกายความซุกซนสดใส ริมฝีปากบางรูปกระจับสีชมพูระเรื่อ จมูกเรียวโด่งรับกับใบหน้างดงามราวกับเป็นเซียนหญิงคงไม่เกินจริงไปนัก“หนิงเอ๋อร์ แน่ใจใช่หรือไม่ว่าหายดีแล้ว? แม่เป็นห่วงเจ้ายิ่งนัก” เย่วซินถามขึ้นพร้อมกับเดินไปหาบุตรชายที่นั่งอยู่ในศาลาริมสระบัวข้างเรือน“ข้าหายดีแล้วท่านแม่ อีกทั้งยังรู้สึกแข็งแรงขึ้นมากกว่าเดิมด้วยขอรับ...” หนิงอ้ายตอบกลับไปเพื่อให้อีกฝ่ายคลายความกังวลก่อนตัดสินใจเอ่ยในสิ่งที่ได้ครุ่นคิดมาอย่างดีแล้วในตลอดหนึ่งเดือนนี้“ท่านคิดเห็นอย่างไรหากว่าข้าอยากเป็นผู้ฝึกตนและต้องการปลุกพลังวิญญาณขอรับ?”“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเอ่ยสิ่งใดออกมา?” เย่วซินที่ได้ยินจึงถามกลับไปด้วยความประหลาดใจ เพราะหลังจากที่เด็กหนุ่มไม่สามารถปลุกพลังวิญญาณได้ในตอนอายุเจ็ดปีบุตรชายของนางก็ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้เลยสักคร
เยว่ซินเดินนำหนิงอ้ายเข้ามาในเรือนก่อนที่จะหายเข้าไปในห้องนอน ก่อนจะออกมาพร้อมกับของในมือแล้วจึงตรงไปยังห้องโถงรับรองของเรือนนี้ สิ่งที่เยว่ซินถืออยู่ในมือเป็นหีบไม้ขนาดย่อมสีดำทองฉลุลวดลายงดงามอ่อนช้อยแต่แฝงไปด้วยกลิ่นอายความดุดัน หนิงอ้ายสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่อยู่ในกล่องคล้ายกับจะเรียกร้องหาเป็นความรู้สึกคุ้นเคยตีตื้นขึ้นมาในอกมันมีทั้งความสุขปนเศร้าตีรวนจนแยกไม่ออกหลังจากที่หีบได้ถูกเปิดออกปรากฎแก่สายตาจึงเห็นว่าภายในหีบไม้แกะสลักนี้ถูกบุด้วยผ้าสีแดงกำมะหยี่เนื้อดีตกแต่งด้วยหมุดทองสวยงาม เยว่ซินได้บอกว่าสิ่งนี้เป็นมรดกสืบทอดจากตระกูลหวังที่บิดามอบให้และตอนนี้นางได้ส่งต่อมาให้เขาเป็นเจ้าของแล้วในที่สุด ประกอบไปด้วยตำราเคล็ดวิชาจำนวนสามเล่ม ตำราแรกคือเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาอันเป็นเคล็ดวิชาดูดซับปราณฟ้าดินประจำตระกูล สองคือเคล็ดวิชากระบี่สักกะดารารายอันเป็นวิชากระบี่เลื่องชื่อในยุทธภพ ส่วนเล่มสุดท้ายนั่นคือเคล็ดวิชาก้าวย่างทะยานหมื่นลี้เป็นเคล็ดวิชาตัวเบาประจำของตระกูลหวัง ทั้งสามตำรานี้ล้วนเป็นฉบับจริงทั้งสิ้นยังมีจี้หยกสีแดงทับทิมที่เยว่ซินทราบเพียงสิ่งนี้คล้ายกับเครื่องรางปกป้
หนิงอ้ายรู้สึกดีใจและพึงพอใจเป็นอย่างมากที่เขาสามารถทำการปลุกพลังวิญญาณได้สำเร็จและกลายเป็นผู้ฝึกตนราชทินนามก่อเกิดวิญญาณระดับสิบได้เช่นนี้ หลังจากที่จัดการตัวเองเรียบร้อยแล้วไม่รอช้าออกจากไปหามารดาที่ห้องโถงของเรือนนี้ในทันที“หนิงเอ๋อร์ รู้สึกอย่างไรบ้างเจ้า?” เยว่ซินที่สัมผัสได้ถึงพลังลมปราณอ่อน ๆ จากตัวของเด็กหนุ่ม นั่นย่อมหมายความว่าในตอนนี้อีกฝ่ายสามารถข้ามผ่านเป็นผู้ฝึกตนได้สำเร็จแล้ว อย่างไรนางก็ถามกลับไปเพื่อความแน่ใจอีกครั้งว่าอีกฝ่ายไม่ได้รับผลกระทบใดยอมรับว่าตลอดทั้งคืนนางได้แต่เป็นห่วงกระวนกระวายจนนอนหลับไม่สนิท ในขณะที่หนิงอ้ายกำลังปลุกพลังวิญญาณนางได้ยินเสียงกรีดร้องของเด็กหนุ่มอย่างทรมานดังขึ้นอยู่หลายชั่วยามจนหายเงียบไปที่สุด ในใจของนางเต็มไปด้วยความเป็นห่วงยิ่งนัก แต่นางก็ไม่สามารถเข้าไปขัดขวางในขณะทำการปลุกพลังวิญญาณของเด็กหนุ่ม เพราะหากทำอย่างย่อมที่จะส่งผลเสียต่อเด็กหนุ่มมากมายเพียงใดก็สุดจะรู้ได้บิดาของนางก็เคยบอกเอาไว้ว่าในการปลุกพลังวิญญาณจะสำเร็จหรือไม่ขึ้นอยู่กับลิขิตฟ้าชะตาสวรรค์ถือว่าเป็นการทดสอบทั้งร่างกายและจิตใจของผู้ฝึกตนเพราะเมื่อได้ทำการเลือกใช้ชีวิ
ขบวนรถม้าเดินทางยังคงดำเนินไปอย่างไม่รีบร้อน จุดหมายปลายทางคือจวนตระกูลหวังที่ตั้งอยู่ในมหานครแคว้นเต่าดำแห่งนี้ ตลอดเส้นทางเดินรถม้าได้ตัดผ่านหมู่บ้านน้อยใหญ่มากมาย สิ่งหนึ่งที่หนิงอ้ายสังเกตคือยิ่งเข้าใกล้ใจกลางมหานครแคว้นเต่าดำมากเท่าใดความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองรวมไปถึงความคึกคักของตลาดเเลกเปลี่ยนสินค้าก็จะเพิ่มขึ้นไปเท่านั้น''ตรงด้านหน้าจะเป็นตลาดเมืองหลวงก่อนถึงจวนตระกูลหวัง หนิงอ้าย ลู่ซี เจ้าทั้งสองจะแวะก่อนหรือไม่?'' เยว่ซินเอ่ยถามเด็กหนุ่มทั้งสอง เพราะหากพ้นเขตตลาดเมืองหลวงนี้ไปอีกเพียงไม่ถึงเค่อก็จะถึงจวนตระกูลหวังเเล้ว''แวะขอรับท่านเเม่ ข้าจะหาซื้อของฝากติดไม้ติดมือให้ท่านตาและท่านยายด้วยขอรับ!'' หนิงอ้ายตอบมารดาไปในทันที ในโลกเดิมของเขาสำหรับการเข้าพบปะผู้อาวุโสที่มีอายุมากกว่า ตามมารยาทที่พึงกระทำแล้วผู้น้อยควรมีของฝากติดมือไปฝากเสมอ เป็นการเเสดงถึงความเคารพให้เกียรตินั่นเองนับว่าผิดจากหนิงอ้ายเคยคิดไว้ไปเสียมาก มหานครแคว้นเต่าดำนี้มีพื้นที่กว้างขวางใหญ่โตเป็นอย่างมาก อาคารบ้านเรือนสองข้างทางดูโอ่อ่าอลังการดูเเล้วเจริญหูเจริญตาเป็นอย่างมาก ถนนหนทางจากทุกมุมเมืองที่
ตระกูลหวังเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำซึ่งถือได้ว่าเป็นอีกแคว้นใหญ่ที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากเนื่องจากตั้งอยู่บริเวณใจกลางของมหาทวีปบูรพา จึงทำให้รอบด้านทั้งสี่ทิศของแคว้นมีอาณาเขตติดกับอีกสามแคว้นใหญ่ที่เหลือ แคว้นเต่าดำมีรูปแบบการปกครองที่ชัดเจนโดยเเบ่งออกเป็นสิบมณฑลใหญ่มีเมืองสาขาหรือเมืองในการปกครองในเเต่ละมณฑลมากกว่าสิบเมืองในการดูเเล ทั้งสิบมณฑลใหญ่อยู่ในการปกครองส่วนกลางของแคว้นเรียกว่ามหานครแคว้นเต่าดำหากกล่าวให้เข้าใจด้วยง่ายคือแคว้นเต่าดำประกอบไปด้วยเมืองน้อยใหญ่นับร้อยเมือง มีหมู่บ้านอย่างมากมายกระจายกันไปทั่วทั้งแคว้น ต้องบอกว่าเเต่ละเมืองหาได้มีความเจริญเทียบเท่ากันไม่ เพราะบางเมืองมีอาณาเขตติดกับแคว้นอื่นมักจะเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเป็นจุดเเลกเปลี่ยนสินค้า หรือบางเมืองยังคงรักษาขนบธรรมเนียมปฏิบัติกันมาอย่างช้านานนับว่าเป็นเสน่ห์ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เเต่กับสิบมณฑลใหญ่ที่มีการปกครองดูเเลเมืองในรับผิดชอบของตนมักจะมีความเจริญและมีพื้นที่กว้างขวางเป็นอย่างมาก ด้วยเพราะผู้ปกครองมณฑลดังกล่าวมักจะเป็นเหล่าบรรดาผู้มีศักดิ์เป็นอ๋องเป็นเชื้อพระวงศ์นั่นเองคณะเดินทางของหนิงอ้
ด้านหลังของหนิงอ้ายปรากฏเป็นวงแหวนเวทย์สีน้ำเงินเข้มแสดงถึงผู้ฝึกตนปราณธาตุน้ำระดับสาม ในตอนนี้เขากำลังเร่งทำการยกระดับพลังวิญญาณให้ข้ามผ่านขั้นย่อยให้ได้ในเร็ววัน เพราะหากยิ่งมีระดับพลังวิญญาณเพิ่มขึ้นมากเท่าใด เขาก็จะสามารถปกป้องตัวเองและท่านแม่เพิ่มขึ้นได้เท่านั้นสำหรับราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณขั้นสามัญกับระยะเวลาเพียงหนึ่งปีเช่นนี้ นับได้ว่าหนิงอ้ายไม่ต่างไปจากอัจฉริยะคงไม่เกินจริงไปนัก ต้องบอกว่าเด็กหนุ่มโชคดีอย่างมากที่ได้ศึกษาเคล็ดวิชาลับตระกูลหวัง จึงทำให้สามารถขยายจุดตันเถียรได้รองรับและขยายเส้นปราณทั่วร่างกายเพิ่มการดูดซับพลังปราณมากกว่าคนอื่นหลายเท่าจึงทำให้เขาสามารถดูดซับพลังปราณฟ้าดินได้โดยตรง ยิ่งได้รับแรงหนุนจากจี้หยกโลหิตแล้วความสามารถในการดูดซับปราณฟ้าดินของหนิงอ้ายจึงไม่ต่างไปจากพยัคฆ์ติดปีกเสียแล้วในตอนนี้บทเวทย์โจมตีมหาบุปผชาติเหมันต์จำแลงลักษณ์!ตู้ม!สภาพอากาศโดยรอบของเขตของบทเวทย์อากาศลดลงโดยฉับพลัน ปรากฎเป็นดอกบัวเหมันต์สีขาวบริสุทธิ์ดอกใหญ่แผ่อายความเย็นจาง ๆ ไปทั่วบริเวณ ตรงด้านบนเห็นเป็นเกล็ดบัวเหมันต์หิมะที่มีไอเย็นลอยตกลงไปทั่วเขตของบทเวทย์ เมื่อตกลงถึงพื
ทางฝั่งเยว่ซินหลังจากที่มีนักฆ่าเข้ามาลอบสังหารบุตรชายของนางในช่วงกลางคืนที่ผ่านมา โชคดีที่ไม่เกิดเหตุการณ์ความสูญเสียดังกล่าวขึ้น ที่น่าแปลกใจคือหนังสือจ้างวานฆ่านี้ได้ชี้ชัดว่าเป็นฝีมือของหวงลู่เอินหรือฮูหยินรองคนรักของจางเลี่ยงหวง เยว่ซินนั้นไม่มีเรื่องราวข้องเกี่ยวกับอีกฝ่ายเท่าไหร่นัก แต่หากว่าแรงจูงใจของการกระทำนี้คือนางต้องการผลักดันบุตรชายของนางขึ้นเป็นผู้สืบทอดของตระกูลแทนจางหนิงอ้ายผู้เป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลจางสายหลักแล้วย่อมเป็นไปได้เช่นกันทั้งสิ้นแต่แล้วอย่างไรเล่า? จางเลี่ยงหวงสามีของนางก็คงไม่เชื่อต่อหลักฐานที่มีอยู่และคงเข้าข้างคนรักของตนเฉกเช่นทุกครั้ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หนิงอ้ายถูกรังแกและโดนทำร้าย ต่อให้นางมีหลักฐานเพียงใดสามีของนางไม่เคยลงโทษหรือเอาผิดเลยซักครั้ง เยว่ซินหยิบสมุดบันทึกเล่มเก่าของตนที่อยู่ในช่องลับบนหัวเตียงขึ้นมาพร้อมกับเปิดอ่านอีกครั้งพลันย้อนคิดไปถึงอดีตเมื่อครั้งก่อนที่นางเข้ามาเป็นฮูหยินเอกของตระกูลชื่อเสียงของจางหนิงอ้ายบุตรชายของนาง ผู้คนทั้งที่อยู่ในเหตุการณ์ในพิธีปลุกพลังวิญญาณเมื่อเจ็ดปีก่อนต่างมีการร่ำลือไปอย่างเสียหาย บ้างว่าคุณชายใหญ่ห
กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วทั้งห้อง ร่างไร้วิญญาณที่ถูกชโลมด้วยโลหิตสีแดงฉานมากมายชวนให้รู้สึกคลื่นเหียนอยู่ไม่น้อยแก่ผู้พบเห็น แต่ด้วยทุกคนในที่นี้ต่างโลดแล่นอยู่ในเส้นทางของผู้ฝึกตนเป็นเวลาหลายปี ดังนั้นย่อมเคยพบเจอเหตุการณ์ฆ่าฟันเช่นนี้ทั้งสิ้น ที่น่าแปลกใจคือหนิงอ้ายที่เป็นผู้ลงมือกระทำนั้นกลับไร้ความตกใจราวกับว่านี่เป็นสิ่งที่คุ้นชินเสียอย่างนั้น''นักฆ่าเหล่านี้แม้จะเป็นร่างไร้วิญญาณไปแล้วก็จริง แต่อย่างไรขึ้นชื่อว่าผู้ฝึกตนย่อมมีพลังลมปราณไหลเวียนอยู่ในจุดชีพจรทั่วทั้งร่างกายที่ไม่แตกต่างไปจากสัตว์อสูร หากปล่อยทิ้งเอาไว้เช่นนี้คงเสียเปล่าเป็นแน่ เช่นนั้นข้าจะนำร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าเหล่านี้ให้กับเจียวซิ่นขอรับ...''แม้ว่าสิ่งที่หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นมาจะชวนให้ตกตะลึงในความรู้สึก เพราะการที่สัตว์อสูรในพันธะสามารถดูดซับลมปราณจากร่างไร้วิญญาณของสัตว์อสูรนั้นไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน แล้วยิ่งกับร่างไร้วิญญาณของผู้ฝึกตนเช่นนี้ย่อมไม่เคยมีผู้ใดกระทำทั้งสิ้น แต่ถึงอย่างไรคำกล่าวของหนิงอ้ายก็ไม่มีผิดถูกเช่นกันหวังฮุ่ยได้สั่งการองครักษ์ทั้งสามให้แยกย้ายกันไปเก็บกวาดร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าสังหารที
หนิงอ้ายหลับตาลงพร้อมกับกำหนดลมหายใจเข้าออก พลังลมปราณฟ้าดินอันบริสุทธิ์โดยรอบที่ถูกชักนำโดยจี้หยกโลหิตส่งผลให้มวลลมปราณบริเวณนี้ต่างถูกชักนำเข้าตามจุดชีพจรไปทั่วทั้งร่างกายตามสุดยอดเคล็ดวิถี ลมปราณอันอบอุ่นวิ่งวนเข้าสู่จุดใจกลางตันเถียรไม่จบสิ้น พลังลมปราณในร่างกายที่ผ่านการเคี่ยวกรำนับสิบกว่ารอบต่างถูกอัดแน่นเป็นรากฐานบ่มเพาะที่แข็งแกร่ง วันเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผันไปเรื่อย ๆ วันนี้ถือได้ว่าเป็นวันครบรอบอายุสิบห้าปีของจางหนิงอ้าย แน่นอนว่าทางฝั่งของนทีก็นับว่าเขาเองได้อาศัยอยู่ในร่างนี้เป็นเวลาหนึ่งปีแล้วเช่นกันหนิงอ้ายใช้เวลาไม่นานกับการจัดการตัวเอง วันนี้เขาเลือกใส่เสื้อตัวในสีขาวล้วนและเสื้อตัวนอกเป็นสีเขียวอ่อนที่ปักด้วยลวดลายใบไผ่สีเขียวมรกต เมื่อไปถึงบริเวณห้องโถงรับรองที่ตอนนี้ถูกเปลี่ยนให้เป็นงานเลี้ยงเล็ก ๆ มีท่านแม่เยว่ซิน ท่านลุงหวังฮุ่ย ท่านลุงจางปิน ท่านน้าหรันหรูที่นั่งรออยู่ แม้จะไร้เงาบิดาสารเลวในงานเลี้ยงดังกล่าวนี้ เเต่หนิงอ้ายไม่สนใจเลยสักนิดเพราะทุกคนในที่นี้ล้วนเป็นผู้ที่เขาสนิทใจทั้งสิ้น''หนิงเอ๋อร์ปีนี้เจ้าอายุครบสิบห้าปีแล้ว ตามกฎของตระกูลจางที่ปฏิบัติสืบทอดก
การเสาะหากระดูกวิญญาณได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งในช่วงบ่ายของวันนี้ คณะเดินทางของหนิงอ้ายทั้งสี่คนต่างเดินทางกันไปเรื่อย ๆ ไม่รีบเร่ง แม้ว่าระหว่างทางจะพบเจอสัตว์อสูรจำนวนไม่น้อย แต่เพราะกลิ่นอายของผู้ฝึกตนระดับเทวะขั้นสูงที่หวังฮุ่ยปลดปล่อยออกมาในระยะสองลี้ย่อมไม่ต่างไปจากคำเตือนให้เหล่าสัตว์อสูรระดับต่ำจงหลบหลีกไปเสีย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจึงถือว่าการเสาะหาสัตว์อสูรที่เหมาะสมจึงเป็นไปอย่างราบรื่นยิ่งก่อนหน้านี้หนิงอ้ายได้ประสานร่างกายเข้ากับกระดูกวิญญาณล้านปีของอสรพิษเหมันต์บรรพกาล นอกจากกระดูกวิญญาณชิ้นนี้จะแปรเปลี่ยนเป็นทักษะวิญญาณยุทธ์ที่สามให้แก่เขาแล้ว ยังคงมีเงื่อนไขสำคัญคือการเสาะหากระดูกวิญญาณจากสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพิษดูดซับประสานเข้ากับร่างกายเพื่อให้กระดูกวิญญาณชิ้นแรกนี้มีความสมบูรณ์พร้อมด้วยทักษะตามที่ควรจะเป็นหนิงอ้ายตั้งใจดูดซับกระดูกวิญญาณให้กับวิญญาณยุทธ์ที่สองอันเป็นปราณธาตุน้ำนี้เสียก่อน สำหรับวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟรวมไปถึงวิญญาณยุทธ์ที่สามเขาไม่จำเป็นต้องสังหารสัตว์อสูรเป็นจำนวนมากเพื่อเติมเต็มให้กระดูกวิญญาณของทั้งสามวิญญาณยุทธ์ในตอนนี้ เพราะนอกจากกระดูกวิญญาณล้าน
เช้าวันใหม่มาถึงคณะเดินทางของหนิงอ้ายทั้งสี่คนต่างรีบเร่งออกเดินทางกันแต่เช้าตรู่ จุดหมายคือเขตป่าชั้นกลางของเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณ เนื่องจากบริเวณป่าชั้นนอกจะมีเพียงสัตว์อสูรทั่วไปหรือสัตว์อสูรปฐพีเท่านั้น หากเข้าสู่เขตป่าชั้นกลางเป็นต้นไปจึงจะพบเจอสัตว์อสูรนภาขั้นต่ำหรือขั้นกลางและหากโชคดีมากพออาจได้พบเจอสัตว์อสูรนภาขั้นสูงก็เป็นไปได้เช่นกัน สำหรับสัตว์อสูรมายาขั้นต่ำเป็นต้นไป สัตว์อสูรเหล่านี้จัดได้ว่าเป็นสัตว์อสูรระดับสูงที่มีความนึกคิด อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยพละกำลังที่แข็งแกร่ง สามารถใช้ปราณธาตุของตนโจมตีผู้บุกรุกในอาณาเขตของตน อาจพบเห็นได้บ้างตามแนวรอยต่อของป่าชั้นกลางติดกับเขตป่าชั้นในกระจัดกระจายกันไปทั่วทั้งพื้นที่แห่งนี้ ระหว่างทางพวกเขาต่างพบเจอกับสัตว์อสูรไปไม่น้อย แต่เพราะยังมีอายุที่ไม่เหมาะสม อีกครั้งความสามารถยังเข้าไม่ได้กับวิญญาณยุทธ์ของพวกเขาทั้งสอง เห็นได้ว่าการเสาะหากระดูกวิญญาณนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด อายุของสัตว์อสูรจะสังเกตได้จากสีของพลังวิญญาณที่แผ่ซ่านออกมา จะเป็นสีเดียวกันกับพลังวิญญาณ แม้จะเป็นเผ่าพันธ์เดียวกันแต่มีอายุต่างก
เนตรแห่งสวรรค์ของหนิงอ้ายหลังจากได้รับแรงกระตุ้นจากการดูดซับกระดูกวิญญาณของอสรพิษเหมันต์บรรพกาลไป หนิงอ้ายพบว่าความสามารถในการมองเห็นและการรับรู้ของเขาในตอนนี้อยู่เหนือกว่าผู้ฝึกตนในเขตขั้นเดียวกันอย่างชัดเจน รายละเอียดเล็กน้อย ข้อมูลต่าง ๆ รวมไปถึงทุกการเคลื่อนไหวในรัศมีหนึ่งลี้ไม่อาจถูกปกปิดจากสายตาหรือการรับรู้ของเขาได้ คล้ายกับว่าความสามารถทั้งหมดในโลกเดิมของเขาที่เคยใช้ได้จะถูกยกระดับเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว“หนิงเอ๋อร์ เจ้าแน่ใจใช่หรือไม่ที่จะเดินทางไปกับผู้อาวุโสหวังฮุ่ยไปยังเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณในครั้งนี้?” เยว่ซินถามหนิงอ้ายอีกครั้ง แม้นางจะรู้ดีว่าด้วยระดับขุนนางวิญญาณของเด็กหนุ่มย่อมสามารถเอาตัวรอดได้อย่างไม่ยาก แต่นางยังรู้สึกเป็นกังวลเพราะอีกฝ่ายไม่เคยออกจากเขตพื้นที่เมืองหลวงนี้เสียด้วยซ้ำ“ขอรับท่านแม่ ข้ากับลู่ซีจะติดตามท่านลุงฮุ่ยไปยังเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณเพื่อฝึกฝนประสบการณ์และเสาะหากระดูกวิญญาณแรกด้วยขอรับ!!” หนิงอ้ายตอบไปด้วยความมั่นใจ“เช่นนั้นแล้วแต่เจ้า รบกวนผู้อาวุโสหวังฮุ่ยดูแลทั้งสองคนด้วยนะเจ้าคะ...” เยว่ซินพูดออกมา“คุณหนูอย่าได้กังวลข้าจะดูแลคุณชายหนิงอ้าย