ตระกูลหวังเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำซึ่งถือได้ว่าเป็นอีกแคว้นใหญ่ที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากเนื่องจากตั้งอยู่บริเวณใจกลางของมหาทวีปบูรพา จึงทำให้รอบด้านทั้งสี่ทิศของแคว้นมีอาณาเขตติดกับอีกสามแคว้นใหญ่ที่เหลือ แคว้นเต่าดำมีรูปแบบการปกครองที่ชัดเจนโดยเเบ่งออกเป็นสิบมณฑลใหญ่มีเมืองสาขาหรือเมืองในการปกครองในเเต่ละมณฑลมากกว่าสิบเมืองในการดูเเล ทั้งสิบมณฑลใหญ่อยู่ในการปกครองส่วนกลางของแคว้นเรียกว่ามหานครแคว้นเต่าดำ
หากกล่าวให้เข้าใจด้วยง่ายคือแคว้นเต่าดำประกอบไปด้วยเมืองน้อยใหญ่นับร้อยเมือง มีหมู่บ้านอย่างมากมายกระจายกันไปทั่วทั้งแคว้น ต้องบอกว่าเเต่ละเมืองหาได้มีความเจริญเทียบเท่ากันไม่ เพราะบางเมืองมีอาณาเขตติดกับแคว้นอื่นมักจะเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเป็นจุดเเลกเปลี่ยนสินค้า หรือบางเมืองยังคงรักษาขนบธรรมเนียมปฏิบัติกันมาอย่างช้านานนับว่าเป็นเสน่ห์ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เเต่กับสิบมณฑลใหญ่ที่มีการปกครองดูเเลเมืองในรับผิดชอบของตนมักจะมีความเจริญและมีพื้นที่กว้างขวางเป็นอย่างมาก ด้วยเพราะผู้ปกครองมณฑลดังกล่าวมักจะเป็นเหล่าบรรดาผู้มีศักดิ์เป็นอ๋องเป็นเชื้อพระวงศ์นั่นเอง
คณะเดินทางของหนิงอ้ายใช้เวลาเกือบสามชั่วยามแล้วในการเดินทาง ช่วงบ่ายนี้พวกเขาได้เดินทางมาถึงเมืองหนึ่งที่อยู่ในการปกครองของมหานครแคว้นเต่าดำ หวังฮุ่ยได้บอกให้รับรู้ว่าเมืองนี้เป็นจุดที่มีการเเลกเปลี่ยนสินค้าเป็นประจำ เนื่องจากเป็นเมืองที่มีรอยต่อกับแคว้นหงส์เเดง สำหรับการผ่านเข้าออกเมืองไม่ได้ยุ่งยากเพราะสามารถเเสดงตัวตนด้วยหนังสือเดินทางหรือหยกประจำตัวพร้อมกับค่าผ่านทางเข้าเมืองอีกเล็กน้อยเท่านั้น กฎปฏิบัติเช่นนี้ไม่ได้เป็นปัญหากับคณะเดินทางครั้งนี้ ด้วยเพราะทรัพย์สมบัติที่เป็นสินสมรสเดิมอีกทั้งเงินทองต่าง ๆ ที่มีอยู่ตอนนี้นับว่าสามารถใช้ได้อย่างไม่ขัดสน
''พวกเราพักที่เมืองนี้กันก่อนนะขอรับ หากข้ามพ้นเมืองนี้ไปแล้วจะได้มุ่งตรงไปยังตระกูลหวังเลยทีเดียว…'' หวังฮุ่ยเอ่ยขึ้นหลังจากที่เข้าผ่านประตูเมืองเข้ามาแล้ว สองข้างทางต่างมีร้านค้าแผงลอยมากมายมีสินค้าให้เลือกซื้อหลากหลายสมกับที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองหน้าด่านที่เเท้จริง
เนตรแห่งสวรรค์ที่ในตอนนี้มีขอบเขตระยะการรับรู้อยู่ที่สองลี้ จึงทำให้หนิงอ้ายรับรู้ได้ว่ามีผู้ลอบติดตามพวกเขามาตั้งเเต่เริ่มออกเดินทางจากแคว้นหงส์แดง หากคาดเดาไม่ผิดอีกฝ่ายคงหาโอกาสลอบฆ่าเขาอีกครั้งเป็นแน่ หนิงอ้ายจึงได้เเต่กระซิบบอกทุกคนให้ให้ระวังไว้อย่าได้ประมาท ขณะที่ขบวนรถม้าเดินทางออกจากเมืองวิ่งตรงไปตามเส้นทางสัญจรสายหลักที่เป็นทางดินมีรอยรถม้าให้เห็นตลอดทาง โดยยิ่งออกห่างจากเมืองเท่าใดเส้นทางดังกล่าวก็ยิ่งเปลี่ยวเท่านั้น
พรึบ! พรึบ! พรึบ! พรึบ!
กลุ่มนักฆ่าเห็นว่าได้จังหวะควรลงมือได้แล้วจึงไม่รั้งรอที่จะปรากฏตัวขึ้น เพราะว่าหากไม่ชิงลงมือในตอนนี้หากพวกมันเดินทางเข้าใกล้มหานครแคว้นเต่าดำเท่าไหร่ภารกิจที่ได้รับมาคงยากที่จะสำเร็จ
''พวกเจ้าจะยกเลิกภารกิจนี้เเต่โดยดีหรือจะฝากชีวิตไว้ที่ใต้เท้าของข้ากัน?'' เสียงของเด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นดังจากด้านในของรถม้า หากเดาไม่ผิดเสียงที่พวกตนได้ยินเมื่อครู่คงเป็นเสียงของอดีตคุณชายใหญ่ตระกูลจางหนิงอ้ายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสวะของตระกูล
''สวะของตระกูลเช่นเจ้ามีสิทธิ์เอ่ยคำนี้ออกมาด้วยรึ? เห็นแก่ว่ามารดาของเจ้าขึ้นชื่อว่าเป็นยอดพธูของแคว้นเต่าดำหากนางตายตกไปคงน่าเสียดายไม่น้อย ข้าจะสงเคราะห์ให้โดยการเป็นสามีให้แก่นางก่อนที่จะฆ่าพวกเจ้าทั้งหมดดีหรือไม่?'' เสียงของนักฆ่าคนหนึ่งดังขึ้นในขณะที่คนที่เหลือต่างหัวเราะเสียงดังสนับสนุนความคิดนี้
''หากพวกเจ้าคิดชั่วทำร้ายเพียงข้าย่อมไม่ถือสาเอาความ เเต่นี่พวกเจ้ากล้ากล่าวล่วงเกินมารดาของข้าเชียวรึ? เอาความกล้าจากไหนกัน บิดาคนนี้จะสั่งสอนเจ้าเอง!''
''เพ้ย!!! ไอ้สวะของตระกูลนี่กล้ายกตัวเป็นบิดาข้าเช่นนั้นรึ? ข้าจะสั่งสอนให้เองว่าเด็กน้อยอย่างเจ้ากำลังท้าทายผู้ใด...''
''เตรียมตัวตายได้แล้ว!!'' นักฆ่าคนเดิมเอ่ยขึ้นพร้อมกับส่งเวทย์โจมตีรถม้าในทันที
วูบ!
ตู้ม!
'นั่นมันพลังอันใดกัน?' เวทย์ป้องกันเมื่อครู่เต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ด้วยการโจมตีเมื่อครู่เป็นฝีมือของผู้ฝึกตนระดับเทวะขั้นสามัญ เวทย์โจมตีที่ใช้ไปเมื่อครู่หากไม่พร้อมถึงพลังวิญญาณที่เทียบเท่าหรือมากกว่าย่อมไม่สามารถโต้กลับเช่นนี้ได้
ร่างบอบบางได้ก้าวลงจากรถม้าด้วยท่าทางที่งดงามยิ่ง ดวงตากลมโตรับกับใบหน้าที่หากมองว่าเป็นบุรุษก็ช่างงดงามราวกับหยกล้ำค่า หากมองว่าเป็นสตรีแล้วคงได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของแคว้นเสียด้วยซ้ำ แม้อาจคาดเดาได้ว่าคงพึ่งพ้นวัยปักปิ่นสวมกวานมาไม่นาน หากโตไปยิ่งกว่านี้คำว่างามล่มเมืองคงไม่เกินจริง เส้นผมสีขาวเงินบริสุทธิ์ยาวสลายจรดกลางหลัง ยิ่งส่งเสริมให้ตัวคนคล้ายกับนางเซียนในเรื่องเล่าราวกับว่าไม่มีอยู่จริงในโลกใบนี้
''กลิ่นอายของผู้ฝึกตนปราณธาตุน้ำ!!'' แม้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าจะงดงามมากเพียงใด แต่อย่างไรชายชุดดำต่างพากันถอยห่างอย่างเฝ้าระวัง จากกลิ่นอายที่สัมผัสได้ บ่งบอกได้ว่าเป็นผู้ฝึกตนสังกัดปราณาตุใด
''เจ้าคือผู้ใดกัน? ในภารกิจนี้ไม่มีชื่อและภาพวาดของเจ้าขอจงอย่านำตัวมาขัดขวางไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือน!''
''เวรกรรมเสียจริง จักสังหารผู้ใดถึงไม่มีข้อมูลในมือเล่า?'' หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับยิ้มเยาะอยู่ในที
''หุบปากของเจ้าเสีย หรือว่าเจ้า ไม่จริง...เป็นไปไม่ได้!!'' ชายหัวหน้าชุดดำเอ่ยขึ้นว่าราวกับว่าไม่แน่ใจ
''ข้านี่เเหละหวังหนิงอ้ายบุตรชายของท่านเเม่หวังเยว่ซินเเห่งแคว้นเต่าดำ จะทำอะไรก็รีบลงมือเถิดข้าอยากพบท่านตากับท่านยายเเล้วเเค่นี้ก็ทำข้าเสียเวลายิ่ง!!'' หนิงอ้ายเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าที่เชิดขึ้นอย่างถือดี
''ข้าว่าอยู่เเล้วเหตุใดศิษย์น้องของข้าจึงไม่กลับสำนักหลังจากที่ได้รับภารกิจลอบสังหารที่เรือนตระกูลจาง!! คงเป็นฝีมือพวกเจ้าใช่หรือไม่ช่างเก็บงำประกายได้ล้ำลึกยิ่งนัก เอาละ!! คุณชายหวังหนิงอ้ายหากท่านยอมให้สังหารแต่โดยดี พวกข้าจะละเว้นมารดารวมไปถึงทุกคนที่อยู่ในรถม้านั่นดีหรือไม่?'' ชายคนเดิมเอ่ยอีกครั้งเรียกเสียงหัวเราะจากคนที่เหลือทันที
''หากคิดว่าทำได้ก็ลองดู!!'' ด้านหลังของหนิงอ้ายปรากฏเป็นวงเเหวนวิญญาณเปล่งประกายรัศมีสีเหลืองเข้มหนึ่งวงแหวนอันเป็นสัญลักษณ์ราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณขั้นสามัญ
''ราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณขั้นสามัญอย่างนั้นรึ!!''
''เช่นนั้นข้าจะไม่ออมมือเเล้ว!''
วาโยมรณะพิฆาต!
ตู้ม!
คลื่นพายุขนาดใหญ่ได้ก่อตัวขึ้นด้วยความรวดเร็วที่น่าตกใจ เพียงแค่บัญชาการในใจเท่านั้นพายุสังหารดังกล่าวได้เคลื่อนตัวเข้าจู่โจมขบวนรถม้าในทันที
ปราการวารีอหังการ!
ตู้ม!
ทันใดนั้นโดยรอบขบวนรถม้าปรากฏเป็นม่านพลังที่คล้ายกับคลื่นน้ำพลิ้วไหว คล้ายกับการระบำของสายน้ำหากมีสิ่งเเปลกปลอมทะลุม่านน้ำเข้าไปก็จะพบกับแรงตัดของมวลน้ำมหาศาล แม้เวทย์โจมตีของอีกฝ่ายจะเป็นบทเวทย์ระดับสูงที่ถูกเรียกใช้โดยผู้ฝึกตนระดับเทวะวิญญาณก็จริง เเต่สำหรับบทเวทย์ป้องกันนี้หนิงอ้ายได้ยกระดับบทเวทย์นี้เป็นระดับเทวะแล้ว จึงสามารถตั้งรับได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
ชายชุดดำอีกคนที่เห็นว่าหนิงอ้ายกำลังบัญชาการบทเวทย์ป้องกันดังกล่าวจึงไม่ลังเลที่จะโจมตีเด็กหนุ่มในทันที
อัคนีสวรรค์สังหาร!
ตู้ม!
เเทนที่ผลลัพธ์จะออกมาตามคาดการณ์ เเต่กลายเป็นว่าหนิงอ้ายที่กำลังร่ายบทเวทย์ป้องกันอยู่สามารถร่ายบทเวทย์ต่อสู้อีกบทโต้กลับได้โดยทันที สิ่งที่น่าตกใจคือโดยปกติเเล้วผู้ฝึกตนต่างสามารถใช้บทเวทย์ได้ครั้งละหนึ่งเวทย์เท่านั้น+
มหาบุปผชาติเหมันต์จำแลงลักษณ์!
ตู้ม!
สิ้นเสียงของหนิงอ้ายได้ปรากฏเป็นบุปผาเหมันต์ดอกใหญ่เบ่งบานขึ้นในขอบเขตรัศมีหนึ่งลี้เกิดความหนาวเหน็บไปชั่วขณะ เกล็ดหิมะสีขาวโปรยปรายตกลงจากด้านบน เมื่อกระทบสิ่งใดต่างแช่แข็งสิ่งเหล่านี้ในทันที ชายชุดดำที่เหลือต่างรีบเร่งร่ายบทเวทย์ป้องกันของตนออกมาตั้งรับโดยทันที พร้อมกับส่งสัญญาณให้เข้าโจมตีเด็กหนุ่มพร้อมกันในคราเดียว
''ใครสามารถตัดหัวคุณชายหนิงอ้ายได้ข้าจะมอบเงินรางวัลครึ่งหนึ่งในส่วนของข้าจากภารกิจครั้งนี้ให้เป็นการตอบเเทน!!'' ชายชุดดำหัวหน้ากล่าวขึ้นอย่างมาดร้าย
''รนหาที่ตายเสียจริง!!'' หนิงอ้ายไม่ปล่อยผู้ที่หมายจะเอาชีวิตของเขาไปแน่ ในโลกของผู้ฝึกตนผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะอยู่รอด หากผู้ใดหมายจะเป็นศัตรูต่อกันแล้วจงสังหารให้สิ้นจะเป็นการดีที่สุด
หนิงอ้ายพร้อมไปด้วยพลังวิญญาณระดับจักรพรรดิวิญญาณแล้ว วิญญาณยุทธ์ที่สามอันเกิดจากการดูดซับกระดูกวิญญาณอายุล้านปีของอสรพิษเหมันต์บัญชาการ ในตอนนี้วิญญาณยุทธ์ดังกล่าวได้ถูกปลุกขึ้นและสามารถเรียกใช้ได้แล้ว หนิงอ้ายจึงไม่ลังเลที่จะทดสอบความสามารถของวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุพิษนี้ในทันที
“ทักษะวิญญาณยุทธ์จักรพรรดิหมื่นพิษปลิดวิญญาณ ทักษะวิญญาณที่หนึ่งเขตแดนจักรพรรดิหมื่นพิษสังหาร!!!”
'ช่วยด้วยย ช่วยข้าด้วย!!!'
'นี่มันคืออันใด พิษเช่นนั้นรึ อ๊าก!!!'
'เหตุใดร่างกายข้าถึงเดินพลังลมปราณไม่ได้กัน!!'
''พวกเจ้าต้องพิษของข้าเข้าเเล้ว ดีใจหรือไม่?'' หนิงอ้ายบัญชาการให้เขตแดนนี้มีความเข้มข้นของพิษที่เพิ่มขึ้น กลิ่นคาวเลี่ยนพร้อมกับหมอกควันสีม่วงดำลอยฟุ้งไปทั่วทั้งบริเวณ
'ข้าไม่ไหวเเล้ว!'
'พิษอันใดกันช่างรุนแรงเช่นนี้ อ้าก!'
เหล่าบรรดาชายชุดดำนักฆ่าทั้งหมดต่างดิ้นทุรนทุรายบนพื้นด้วยท่าทางทรมาน พิษไร้ลักษณ์นี้ไร้สีไร้กลิ่นสามารถเเทรกซึมเข้าไปตามบาดแผล ของร่างกาย รวมไปถึงลมหายใจเข้าออกกัดกินไปทั่วทั้งร่างกาย เพียงไม่กี่อึดใจชายชุดดำทั้งหมดต่างกลายเป็นสีม่วงคล้ำและตกตายลงไปในที่สุด
พิษของอสรพิษเหมันต์บรรพกาลนับว่าเป็นสุดยอดแห่งราชันย์แห่งพิษทั้งปวง ยิ่งกับหนิงอ้ายที่ดูดซับกระดูกวิญญาณของอสูรแมงป่องแปดขามัจจุราชไปจึงทำให้ทักษะวิญญาณนี้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง ครั้งนี้หนิงอ้ายใช้ปราณพิษไปเพียงหนึ่งส่วนเท่านั้น เพราะหากตนใช้เต็มสิบส่วนจริงๆ รับรองได้ว่าร่างกายของนักฆ่าเหล่านี้จะถูกกัดกร่อนไปทั้งสิ้นรวมไปถึงเสื้อผ้าเครื่องประดับเช่นกันย่อมไม่เหลือเศษซากทั้งสิ้น
''พวกเจ้าต่างคิดร้ายต้องการสังหารข้าก่อน ที่ผ่านมาล้วนเข่นฆ่าก่อกรรมมาไม่น้อยถือเสียว่าตายชดใช้กรรมเสียเเล้วกัน...'' หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ หลังจากจัดการเก็บพวกอาวุธต่าง ๆ รวมไปถึงแหวนมิติเเล้ว จึงทำการดูดกลืนพิษไร้ลักษณ์กลับคืนมาและเก็บร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าเหล่านี้เอาไว้ให้กับเจียวซิ่นได้ดูดซับในภายหลัง
หากถามว่าในใจของหนิงอ้ายรู้สึกผิดอันใดหรือไม่? ต้องบอกว่าไม่ว่าจะเป็นโลกเก่าที่เคยอยู่หรือแม้เเต่โลกนี้ทุกคนที่เขาลงมือฆ่านับได้ว่าเป็นคนที่ไม่ดีทั้งสิ้น เนตรแห่งสวรรค์นอกจากที่จะสามารถควบคุมสิ่งของรวมไปถึงสิ่งมีชีวิตแล้วยังสามารถสัมผัสได้ถึงจิตใจที่ซ่อนเร้นของตัวคนที่มีอยู่อยู่ว่ามีความดำมืดเพียงใด
''หนิงเอ๋อร์ เจ้าบาดเจ็บตรงที่ใดหรือไม่?'' เยว่ซินถามขึ้นเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มจัดการทุกอย่างเรียบร้อยและกลับขึ้นรถม้าเเล้ว
''ต้องขออภัยที่ทำให้ท่านเเม่และทุกคนต้องเป็นห่วง ข้าอยากทดสอบใช้วิญญาณบุทธ์ปราณธาตุพิษของข้าที่พึ่งตื่นขึ้นข้าพึ่งเคยใช้ครั้งเเรกจึงไม่อยากให้พวกท่านไปเสี่ยงโดนพิษเหล่านี้ขอรับ...'' หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงออดอ้อนพร้อมกับมองไปด้วยรอบและกล่าวย้ำซ้ำ ๆ ว่าตนไม่เป็นไรตอนนี้สามารถเดินทางได้เลย
ทุกคนในรถม้าแม้ไม่ได้ออกไปก็จริงเเต่ย่อมได้ยินเสียงสนทนาและการต่อสู้ที่เกิดขึ้น ครั้งนี้มีนักฆ่าที่มีระดับพลังวิญญาณสูงทั้งสิ้น โดยเฉพาะชายผู้เป็นหัวหน้าคาดว่าเป็นถึงราชทินนามเทวะวิญญาณขั้นสามัญช่วงปลายเสียด้วยซ้ำ ยังไม่นับรวมถึงประสบการณ์ลอบฆ่าในการทำภารกิจหลายจึงมีฝีมือค่อนข้างมาก
หลังจากความวุ่นวายได้จบลง ทุกสิ่งคืนสู่สภาพตามเดิมปกติราวกับไม่เคยเกิดอะไรขึ้นทั้งสิ้น ถึงเวลาคณะเดินทางของหนิงอ้ายจะต้องเดินทางต่อไปเสียที เส้นทางของรถม้าเป็นเส้นทางสายหลักที่มีผู้คนใช้กันอย่างเป็นประจำ สังเกตได้จากรอยรถม้าที่ถูกลากไปกลับซ้ำ ๆ จนปรากฏเป็นเส้นทางดินหินละเอียดปะปนอยู่ดูปลอดภัยและมีความกว้างมากเพียงพอที่จะให้รถม้าสองคันวิ่งสวนกันได้นับได้ว่าเป็นเส้นทางที่ค่อนข้างจะสะดวกรวดเร็วยิ่ง
ตามเส้นทางนี้ที่มุ่งสู่ใจกลางมหานครแคว้นเต่าดำ แม้จะไม่มีแผนที่หรือเข็มทิศชี้นำทางเเต่หนิงอ้ายไม่ได้กังวลใจเลยสักนิดด้วย ด้วยเพราะมีหวังฮุ่ยที่คุ้นเคยเส้นทางนี้เป็นอย่างดี อีกทั้งก่อนหน้านี้มารดาของเขาเล่าให้ฟังว่าแม้นางจะไม่ได้กลับมายังแคว้นเต่าดำหลายปีก็จริง เเต่เกือบทุกเส้นทางเข้าออกของแคว้นนางขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในผู้ที่คุ้นชินเชี่ยวชาญในเรื่องของเส้นทางไม่น้อยเลยเช่นกัน
ด้วยเพราะบิดาหวังจิ่งหลงหรือท่านตาของหนิงอ้ายได้พาเหมยฮวาผู้เป็นฮูหยินเพียงคนเดียว พร้อมกับเยว่ซินออกเดินทางไปยังเมืองน้อยใหญ่ที่ตั้งอยู่ในแคว้นต่าง ๆ ที่มีอาณาเขตติดกับแคว้นเต่าดำอยู่เสมอเพื่อเดินทางไปพบปะคู่ค้าของกิจการ ตลอดไปจนถึงการเสาะหาสมุนไพรล้ำค่าต่าง ๆ ตั้งเเต่เยว่ซินจำความได้
ทั้งสองคนทุ่มเทสั่งสอนความรู้ทุกอย่าง ในทุกด้านให้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถถ่ายทอดให้แก่บุตรสาวคนเดียวของตน ด้วยเพราะรู้ดีว่าในวันหนึ่งเยว่ซินจะต้องมีเส้นทางชีวิตที่เป็นของนางเอง ตัวเขาและภรรยาไม่สามารถจะดูเเลนางได้ตลอดชีวิต หน้าที่ของบิดาหรือมารดาคือการมอบความรู้ติดตัวที่จะสามารถทำให้นางเอาตัวรอดได้ในสถานการณ์ต่าง ๆ สิ่งที่บิดาและมารดาสั่งสอนตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมาได้หล่อหลอมให้เยว่ซินเพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติที่น่าชื่นชมและขึ้นชื่อเป็นอย่างมาก
หวังเยว่ซินได้ขึ้นชื่อว่าเป็นยอดพธูของแคว้นเต่าดำที่ครั้งหนึ่งถึงกับมีคำกล่าวว่าหากนางเป็นที่สองคงไม่มีผู้ใดกล้ายกตนขึ้นเทียบเท่าหรือขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง เส้นทางของผู้ฝึกตนหวังเยว่ซินก็ถือว่าเป็นสตรีที่มีฝีมือเก่งกาจกล้าหาญมากไปด้วยฝีมือที่แท้จริงจนได้รับการยอมรับจากผู้คนในยุทธภพด้วยฐานะตำแหน่งหนึ่งในห้าของสุดยอดรุ่นเยาว์แห่งยุทธภพในงานประลองระหว่างแคว้นครั้งนั้น แม้ว่าในตอนนี้นางจะถอนตัวออกจากทำเนียบรายชื่อสุดยอดรุ่นเยาว์แล้ว ทว่าชื่อเสียงของหวังเยว่ซินยังเป็นที่รู้จักและเป็นแบบอย่างแก่ผู้ฝึกตนสตรีรุ่นเยาว์ไม่น้อยเลยทีเดียว...
ในขณะที่เหตุการณ์ในรถม้าคันดังกล่าวดูปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นและหนิงอ้ายหาสัมผัสได้ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ได้ตกอยู่ในสายตาของคนสองคนที่แอบดูอยู่โดยใช้พลังปกปิดขั้นสูงของตนอำพลางตัวอยู่
''ไปตามสืบมาว่าเป็นผู้ใดอยู่เบื้องหลังภารกิจครั้งนี้!!'' ชายผู้สวมหน้ากากสีดำลายพยัคฆ์เอ่ยขึ้นกับคนข้าง ๆ ตน
''ขอรับนายท่าน! ข้าจะจัดการให้เร็วที่สุดขอรับ...'' ชายอีกคนตกคำรับปากตามที่นายของตนสั่ง
''สักวันคงได้เจอกันนะเสี่ยวไป๋ทู่ตัวน้อย'' ชายผู้สวมหน้ากากสีดำลายพยัคฆ์เอ่ยขึ้นอีกครั้งก่อนที่ทั้งสองจะหายไปในทันทีราวกับบริเวณนี้ไม่เคยมีผู้ใดอยู่ทั้งสิ้น…
ขบวนรถม้าเดินทางยังคงดำเนินไปอย่างไม่รีบร้อน จุดหมายปลายทางคือจวนตระกูลหวังที่ตั้งอยู่ในมหานครแคว้นเต่าดำแห่งนี้ ตลอดเส้นทางเดินรถม้าได้ตัดผ่านหมู่บ้านน้อยใหญ่มากมาย สิ่งหนึ่งที่หนิงอ้ายสังเกตคือยิ่งเข้าใกล้ใจกลางมหานครแคว้นเต่าดำมากเท่าใดความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองรวมไปถึงความคึกคักของตลาดเเลกเปลี่ยนสินค้าก็จะเพิ่มขึ้นไปเท่านั้น''ตรงด้านหน้าจะเป็นตลาดเมืองหลวงก่อนถึงจวนตระกูลหวัง หนิงอ้าย ลู่ซี เจ้าทั้งสองจะแวะก่อนหรือไม่?'' เยว่ซินเอ่ยถามเด็กหนุ่มทั้งสอง เพราะหากพ้นเขตตลาดเมืองหลวงนี้ไปอีกเพียงไม่ถึงเค่อก็จะถึงจวนตระกูลหวังเเล้ว''แวะขอรับท่านเเม่ ข้าจะหาซื้อของฝากติดไม้ติดมือให้ท่านตาและท่านยายด้วยขอรับ!'' หนิงอ้ายตอบมารดาไปในทันที ในโลกเดิมของเขาสำหรับการเข้าพบปะผู้อาวุโสที่มีอายุมากกว่า ตามมารยาทที่พึงกระทำแล้วผู้น้อยควรมีของฝากติดมือไปฝากเสมอ เป็นการเเสดงถึงความเคารพให้เกียรตินั่นเองนับว่าผิดจากหนิงอ้ายเคยคิดไว้ไปเสียมาก มหานครแคว้นเต่าดำนี้มีพื้นที่กว้างขวางใหญ่โตเป็นอย่างมาก อาคารบ้านเรือนสองข้างทางดูโอ่อ่าอลังการดูเเล้วเจริญหูเจริญตาเป็นอย่างมาก ถนนหนทางจากทุกมุมเมืองที่
ระดับพลังวิญญาณ**พลังวิญญาณคือพลังลมปราณภายในร่างกายของผู้ฝึกตน เกี่ยวข้องกับความเหมาะสมในการประสานกระดูกวิญญาณเข้ากับร่างกายอีกด้วย ระดับพลังวิญญาณของผู้ฝึกตนจะเเบ่งออกเป็นสิบห้าระดับ แต่ละระดับแบ่งเป็นสิบขั้นย่อย**แต่ละขั้นย่อยของระดับพลังวิญญาณจะปรากฏเป็นสัญลักษณ์ดังนี้ระดับ 1-3 ขั้นต้น หนึ่งวงแหวนเวทย์ระดับ 4-6 ขั้นกลาง สองวงแหวนเวทย์ระดับ 7-9 ขั้นสูง สามวงแหวนเวทย์1.ก่อเกิดวิญญาณระดับ1-10 ไม่มีวงแหวนเวทย์2.ขุนพลวิญญาณระดับ11-19 สัญลักษณ์แทนวงแหวนเวทย์สีขาว-กระดูกวิญญาณที่เหมาะสมในการดูดซับอายุไม่เกิน 1,000 ปี3.ขุนนางวิญญาณระดับ20-29 สัญลักษณ์แทนวงแหวนเวทย์สีเขียว-กระดูกวิญญาณที่เหมาะสมในการดูดซับอายุไม่เกิน 2,000 ปี4.จักรพรรดิวิญญาณระดับ30-39 สัญลักษณ์แทนวงแหวนเวทย์สีเหลือง-กระดูกวิญญาณที่เหมาะสมในการดูดซับอายุไม่เกิน 4,000 ปี5.เทวะวิญญาณระดับ40-49 สัญลักษณ์แทนวงแหวนเวทย์สีส้ม-กระดูกวิญญาณที่เหมาะสมในการดูดซับอายุไม่เกิน 8,000 ปี6.ราชันวิญญาณระดับ50-59 สัญลักษณ์แทนวงแหวนเวทย์สีชมพู-กระดูกวิญญาณที่เหมาะสมในการดูดซับอายุไม่เกิน 10,000 ปี7.เทพยุทธ์วิญญาณระ
หากมีการจัดอันดับนักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรงที่อายุไม่เกิน30ปี เชื่อว่าต้องมี นที พัชรวงศ์เศวต อยู่ในรายชื่อเหล่านี้อย่างแน่นอน เพราะชายหนุ่มถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งนักธุรกิจที่มีความคิดนอกกรอบในการแก้ปัญหา ทั้งความเป็นผู้นำของอีกฝ่ายที่ฉายชัดออกมาแม้อายุยังน้อยเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขามีความแตกต่างจากนักธุรกิจคนอื่นในช่วงวัยใกล้เคียงกันเป็นอย่างมากสิ่งเหล่านี้ได้ส่งผลให้ในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีชื่อของเขาได้กลายเป็นอีกหนึ่งนักธุรกิจหนุ่มผู้ประสบความสำเร็จที่โดดเด่นและน่าจับตามองเป็นอย่างมากคนหนึ่งที่ไม่เพียงได้รับการยอมรับจากพันธมิตรแวดวงนักธุรกิจเพราะทางด้านเทคโนโลยีชายหนุ่มก็สามารถพัฒนาระบบความมั่นคงของรัฐให้มีความเสถียรภาพมากขึ้นจนกลายเป็นแม่แบบโปรแกรมจนถูกนำไปใช้กันอย่างแพร่หลาย รวมไปถึงผลงานในด้านต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์อย่างมหาศาลต่อผู้คนหลายล้านชีวิตล้วนได้สร้างชื่อเสียงของเขาให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นหลายเท่านอกจากนั้นแล้วนทียังเป็นชายหนุ่มที่มีรูปลักษณ์น่าดึงดูดและมีเสน่ห์เป็นอย่างมาก ร่างกายสูงโปร่งสวมชุดสูทตัดเย็บอย่างดีเน้นให้เห็นรูปร่างท่าทางที่แสดงออกถึงความมั่นใจ ดวงตาเฉียบค
สัมผัสแรกที่รู้สึกคือความเจ็บปวดไปทั่วทั้งร่างกายในสัญชาตญาณการรับรู้ แต่ก่อนที่นทีจะตั้งสติมากกว่านี้ก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อที่คุ้นหูจนต้องฝืนลืมตาขึ้นด้วยความลำบาก เมื่อปรับสายตาให้มองเห็นชัดแล้วจึงเห็นเป็นสตรีผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ข้างเตียงที่เขานอนอยู่ สายตาของนางที่มองมาเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลายชวนให้รู้สึกอุ่นใจและคุ้นเคยอยู่ไม่น้อย“หนิงเอ๋อร์ หนิงเอ๋อร์ ได้ยินเสียงของมารดาหรือไม่?” เสียงของสตรีเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วงเพราะเด็กหนุ่มสลบไปไม่ได้สติถึงเจ็ดวันเต็ม“ท่านแม่...” นทีเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งไปตามความคิดแรกที่ปรากฎขึ้น ก่อนที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความมึนงง เมื่อเห็นเช่นนั้นสตรีคนดังกล่าวจึงรีบป้อนน้ำให้กับเขาในทันที“หนิงเอ๋อร์ ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นขึ้นเสียที...” สตรีคนเดิมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกังวลพร้อมกับขยับเข้าใกล้มองสำรวจด้วยความเป็นห่วง นางใช้หลังมือลูบไล้ใบหน้าและลำคอของเด็กหนุ่มด้วยความกังวลที่ลดลงไปบ้างเล็กน้อยแม้ว่าภายนอกของเด็กหนุ่มในตอนนี้ดูเหมือนปกติแล้วก็จริงแต่นางยังคงไม่วางใจสักเท่าไหร่ เพราะเดิมทีแล้วร่างกายของอีกฝ่ายไม่ได้แข็งแรงมาก ในระยะหลังม
ใครจะไปเชื่อว่าหลังจากตายแล้วแทนที่จะต้องไปชดใช้กรรมหรือข้ามสะพานไหน่เหอกินน้ำแกงยายเมิ่งเพื่อเกิดใหม่ เเต่กลายเป็นว่าวิญญาณของเขากลับเข้ามาอยู่ในร่างของจางหนิงอ้ายวัยสิบสี่ปี บุตรชายคนโตของจางเลี่ยงหวงที่ปัจจุบันเป็นประมุขตระกูลจางหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นหงส์แดง มีฮูหยินเอกคือหวังเยว่ซินมารดาของหนิงอ้ายและยังมีฮูหยินรองรวมไปถึงอนุอีกสามคน สำหรับบรรดาพี่น้องร่วมบิดาเดียวกันของหนิงอ้ายต่างมีอายุลดหลั่นกันไปเพียงหนึ่งหรือสองปีเท่านั้น หากจะเรียกว่าพี่น้องก็ไม่เต็มปากเพราะแทบไม่ผูกพันธ์รักใคร่กันเท่าใดนัก พี่น้องเหล่านั้นต่างพูดจาดูแคลนไร้ซึ่งความเคารพใดแต่เจ้าของร่างนี้ไม่เคยตอบกลับทั้งสิ้นบรรดาพี่น้องร่วมบิดาเดียวกันประกอบไปด้วย...คุณชายใหญ่จางหนิงอ้ายคุณชายรองจางเหยากวงคุณหนูสามจางฝูเยว่คุณหนูสี่จางลี่เหมยคุณชายห้าจางหมิงหวังคุณหนูหกและคุณหนูเจ็ดเป็นแฝดหญิงคนพี่จางเหมยกุ้ยคนน้องจางเหมยฮวาพี่น้องร่วมบิดาทั้งหกคนเมื่ออายุครบเจ็ดปีก็สามารถปลุกพลังวิญญาณได้ ในตอนนี้ทุกคนต่างเข้าศึกษาในสำนักผิงอานกันทั้งสิ้น มีเพียงจางหนิงอ้ายที่ไม่สามารถเข้าศึกษาในสำนักเนื่องด้วยไม่สามารถปลุ
จางหนิงอ้ายอาศัยอยู่กับมารดาที่เรือนหลังเล็กท้ายจวนติดกับป่าไผ่พร้อมกับบ่าวรับใช้เพียงไม่กี่คน ถึงแม้ว่าหวังเยว่ซินจะมีฐานะเป็นถึงฮูหยินเอกของจวน แต่ทว่าความเป็นอยู่ในตอนนี้อาจกล่าวได้ว่าไม่ค่อยดีเท่าไหร่นักยังดีที่บ่าวในเรือนนี้ล้วนต่างจงรักภักดีต่อนายของตนทั้งสองยิ่งกว่าชีวิต เนื่องจากมารดาไม่ได้รับความรักจากบิดา อีกทั้งมีเรื่องราวที่ผิดใจกันก่อนหน้าจึงทำให้เรือนน้อยท้ายจวนหลังนี้ไม่ได้รับเงินทองจากเรือนหลักมาจุนเจือนับเป็นเวลาเกือบปีเเล้ว มีแต่เพียงสินสมรสเดิมที่มารดาของเขาได้จากตระกูลเดิมก่อนที่จะแต่งเข้าตระกูลจางเพียงเท่านั้น นับวันก็ยิ่งหมดไปจากการจับจ่ายใช้สอยซื้อของจิปาถะต่าง ๆเมื่อไม่มีอำนาจในตระกูลและไม่เป็นที่รักของสามีนับว่าพอทนไหวอยู่บ้าง เพียงเเต่ไม่ถึงหนึ่งปีที่ผ่านมาในเหตุการณ์ล่าสุดที่เป็นเหตุทำให้หนิงอ้ายต้องล้มป่วยหนัก มารดาของเขาต้องการความเป็นธรรมในเรื่องดังกล่าวนี้แต่สามีของนางก็มิได้นำพาอันใด อีกทั้งยังขับไสไล่ส่งพวกเขาทั้งคู่จากเรือนหลักของจวนด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ทั้งมารดาและหนิงอ้ายจำเป็นต้องมาอาศัยในพื้นที่ส่วนหลังของจวนห่างไกลจากเรือนหลักของตระกูลจางเช่น
หนิงอ้ายนั่งมองฝูงปลาที่กำลังแหวกว่ายอยู่ในสระบัวท่ามกลางบรรยากาศยามเช้าเงียบสงบ ผมสีดำสนิทเปล่งประกายเงางามถูกมัดรวบด้วยผ้าผูกสีขาวเพียงครึ่งปล่อยส่วนที่เหลือให้ยาวสยายจรดกลางหลัง เส้นผมบางส่วนหลุดลุ่ยไปตามกรอบหน้าเรียวมนรูปไข่ที่คล้ายคลึงกับมารดาไปมากถึงเก้าในสิบส่วน ดวงตาเรียวหงส์ประกายความซุกซนสดใส ริมฝีปากบางรูปกระจับสีชมพูระเรื่อ จมูกเรียวโด่งรับกับใบหน้างดงามราวกับเป็นเซียนหญิงคงไม่เกินจริงไปนัก“หนิงเอ๋อร์ แน่ใจใช่หรือไม่ว่าหายดีแล้ว? แม่เป็นห่วงเจ้ายิ่งนัก” เย่วซินถามขึ้นพร้อมกับเดินไปหาบุตรชายที่นั่งอยู่ในศาลาริมสระบัวข้างเรือน“ข้าหายดีแล้วท่านแม่ อีกทั้งยังรู้สึกแข็งแรงขึ้นมากกว่าเดิมด้วยขอรับ...” หนิงอ้ายตอบกลับไปเพื่อให้อีกฝ่ายคลายความกังวลก่อนตัดสินใจเอ่ยในสิ่งที่ได้ครุ่นคิดมาอย่างดีแล้วในตลอดหนึ่งเดือนนี้“ท่านคิดเห็นอย่างไรหากว่าข้าอยากเป็นผู้ฝึกตนและต้องการปลุกพลังวิญญาณขอรับ?”“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเอ่ยสิ่งใดออกมา?” เย่วซินที่ได้ยินจึงถามกลับไปด้วยความประหลาดใจ เพราะหลังจากที่เด็กหนุ่มไม่สามารถปลุกพลังวิญญาณได้ในตอนอายุเจ็ดปีบุตรชายของนางก็ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้เลยสักคร
เยว่ซินเดินนำหนิงอ้ายเข้ามาในเรือนก่อนที่จะหายเข้าไปในห้องนอน ก่อนจะออกมาพร้อมกับของในมือแล้วจึงตรงไปยังห้องโถงรับรองของเรือนนี้ สิ่งที่เยว่ซินถืออยู่ในมือเป็นหีบไม้ขนาดย่อมสีดำทองฉลุลวดลายงดงามอ่อนช้อยแต่แฝงไปด้วยกลิ่นอายความดุดัน หนิงอ้ายสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่อยู่ในกล่องคล้ายกับจะเรียกร้องหาเป็นความรู้สึกคุ้นเคยตีตื้นขึ้นมาในอกมันมีทั้งความสุขปนเศร้าตีรวนจนแยกไม่ออกหลังจากที่หีบได้ถูกเปิดออกปรากฎแก่สายตาจึงเห็นว่าภายในหีบไม้แกะสลักนี้ถูกบุด้วยผ้าสีแดงกำมะหยี่เนื้อดีตกแต่งด้วยหมุดทองสวยงาม เยว่ซินได้บอกว่าสิ่งนี้เป็นมรดกสืบทอดจากตระกูลหวังที่บิดามอบให้และตอนนี้นางได้ส่งต่อมาให้เขาเป็นเจ้าของแล้วในที่สุด ประกอบไปด้วยตำราเคล็ดวิชาจำนวนสามเล่ม ตำราแรกคือเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาอันเป็นเคล็ดวิชาดูดซับปราณฟ้าดินประจำตระกูล สองคือเคล็ดวิชากระบี่สักกะดารารายอันเป็นวิชากระบี่เลื่องชื่อในยุทธภพ ส่วนเล่มสุดท้ายนั่นคือเคล็ดวิชาก้าวย่างทะยานหมื่นลี้เป็นเคล็ดวิชาตัวเบาประจำของตระกูลหวัง ทั้งสามตำรานี้ล้วนเป็นฉบับจริงทั้งสิ้นยังมีจี้หยกสีแดงทับทิมที่เยว่ซินทราบเพียงสิ่งนี้คล้ายกับเครื่องรางปกป้
ขบวนรถม้าเดินทางยังคงดำเนินไปอย่างไม่รีบร้อน จุดหมายปลายทางคือจวนตระกูลหวังที่ตั้งอยู่ในมหานครแคว้นเต่าดำแห่งนี้ ตลอดเส้นทางเดินรถม้าได้ตัดผ่านหมู่บ้านน้อยใหญ่มากมาย สิ่งหนึ่งที่หนิงอ้ายสังเกตคือยิ่งเข้าใกล้ใจกลางมหานครแคว้นเต่าดำมากเท่าใดความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองรวมไปถึงความคึกคักของตลาดเเลกเปลี่ยนสินค้าก็จะเพิ่มขึ้นไปเท่านั้น''ตรงด้านหน้าจะเป็นตลาดเมืองหลวงก่อนถึงจวนตระกูลหวัง หนิงอ้าย ลู่ซี เจ้าทั้งสองจะแวะก่อนหรือไม่?'' เยว่ซินเอ่ยถามเด็กหนุ่มทั้งสอง เพราะหากพ้นเขตตลาดเมืองหลวงนี้ไปอีกเพียงไม่ถึงเค่อก็จะถึงจวนตระกูลหวังเเล้ว''แวะขอรับท่านเเม่ ข้าจะหาซื้อของฝากติดไม้ติดมือให้ท่านตาและท่านยายด้วยขอรับ!'' หนิงอ้ายตอบมารดาไปในทันที ในโลกเดิมของเขาสำหรับการเข้าพบปะผู้อาวุโสที่มีอายุมากกว่า ตามมารยาทที่พึงกระทำแล้วผู้น้อยควรมีของฝากติดมือไปฝากเสมอ เป็นการเเสดงถึงความเคารพให้เกียรตินั่นเองนับว่าผิดจากหนิงอ้ายเคยคิดไว้ไปเสียมาก มหานครแคว้นเต่าดำนี้มีพื้นที่กว้างขวางใหญ่โตเป็นอย่างมาก อาคารบ้านเรือนสองข้างทางดูโอ่อ่าอลังการดูเเล้วเจริญหูเจริญตาเป็นอย่างมาก ถนนหนทางจากทุกมุมเมืองที่
ตระกูลหวังเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำซึ่งถือได้ว่าเป็นอีกแคว้นใหญ่ที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากเนื่องจากตั้งอยู่บริเวณใจกลางของมหาทวีปบูรพา จึงทำให้รอบด้านทั้งสี่ทิศของแคว้นมีอาณาเขตติดกับอีกสามแคว้นใหญ่ที่เหลือ แคว้นเต่าดำมีรูปแบบการปกครองที่ชัดเจนโดยเเบ่งออกเป็นสิบมณฑลใหญ่มีเมืองสาขาหรือเมืองในการปกครองในเเต่ละมณฑลมากกว่าสิบเมืองในการดูเเล ทั้งสิบมณฑลใหญ่อยู่ในการปกครองส่วนกลางของแคว้นเรียกว่ามหานครแคว้นเต่าดำหากกล่าวให้เข้าใจด้วยง่ายคือแคว้นเต่าดำประกอบไปด้วยเมืองน้อยใหญ่นับร้อยเมือง มีหมู่บ้านอย่างมากมายกระจายกันไปทั่วทั้งแคว้น ต้องบอกว่าเเต่ละเมืองหาได้มีความเจริญเทียบเท่ากันไม่ เพราะบางเมืองมีอาณาเขตติดกับแคว้นอื่นมักจะเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเป็นจุดเเลกเปลี่ยนสินค้า หรือบางเมืองยังคงรักษาขนบธรรมเนียมปฏิบัติกันมาอย่างช้านานนับว่าเป็นเสน่ห์ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เเต่กับสิบมณฑลใหญ่ที่มีการปกครองดูเเลเมืองในรับผิดชอบของตนมักจะมีความเจริญและมีพื้นที่กว้างขวางเป็นอย่างมาก ด้วยเพราะผู้ปกครองมณฑลดังกล่าวมักจะเป็นเหล่าบรรดาผู้มีศักดิ์เป็นอ๋องเป็นเชื้อพระวงศ์นั่นเองคณะเดินทางของหนิงอ้
ด้านหลังของหนิงอ้ายปรากฏเป็นวงแหวนเวทย์สีน้ำเงินเข้มแสดงถึงผู้ฝึกตนปราณธาตุน้ำระดับสาม ในตอนนี้เขากำลังเร่งทำการยกระดับพลังวิญญาณให้ข้ามผ่านขั้นย่อยให้ได้ในเร็ววัน เพราะหากยิ่งมีระดับพลังวิญญาณเพิ่มขึ้นมากเท่าใด เขาก็จะสามารถปกป้องตัวเองและท่านแม่เพิ่มขึ้นได้เท่านั้นสำหรับราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณขั้นสามัญกับระยะเวลาเพียงหนึ่งปีเช่นนี้ นับได้ว่าหนิงอ้ายไม่ต่างไปจากอัจฉริยะคงไม่เกินจริงไปนัก ต้องบอกว่าเด็กหนุ่มโชคดีอย่างมากที่ได้ศึกษาเคล็ดวิชาลับตระกูลหวัง จึงทำให้สามารถขยายจุดตันเถียรได้รองรับและขยายเส้นปราณทั่วร่างกายเพิ่มการดูดซับพลังปราณมากกว่าคนอื่นหลายเท่าจึงทำให้เขาสามารถดูดซับพลังปราณฟ้าดินได้โดยตรง ยิ่งได้รับแรงหนุนจากจี้หยกโลหิตแล้วความสามารถในการดูดซับปราณฟ้าดินของหนิงอ้ายจึงไม่ต่างไปจากพยัคฆ์ติดปีกเสียแล้วในตอนนี้บทเวทย์โจมตีมหาบุปผชาติเหมันต์จำแลงลักษณ์!ตู้ม!สภาพอากาศโดยรอบของเขตของบทเวทย์อากาศลดลงโดยฉับพลัน ปรากฎเป็นดอกบัวเหมันต์สีขาวบริสุทธิ์ดอกใหญ่แผ่อายความเย็นจาง ๆ ไปทั่วบริเวณ ตรงด้านบนเห็นเป็นเกล็ดบัวเหมันต์หิมะที่มีไอเย็นลอยตกลงไปทั่วเขตของบทเวทย์ เมื่อตกลงถึงพื
ทางฝั่งเยว่ซินหลังจากที่มีนักฆ่าเข้ามาลอบสังหารบุตรชายของนางในช่วงกลางคืนที่ผ่านมา โชคดีที่ไม่เกิดเหตุการณ์ความสูญเสียดังกล่าวขึ้น ที่น่าแปลกใจคือหนังสือจ้างวานฆ่านี้ได้ชี้ชัดว่าเป็นฝีมือของหวงลู่เอินหรือฮูหยินรองคนรักของจางเลี่ยงหวง เยว่ซินนั้นไม่มีเรื่องราวข้องเกี่ยวกับอีกฝ่ายเท่าไหร่นัก แต่หากว่าแรงจูงใจของการกระทำนี้คือนางต้องการผลักดันบุตรชายของนางขึ้นเป็นผู้สืบทอดของตระกูลแทนจางหนิงอ้ายผู้เป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลจางสายหลักแล้วย่อมเป็นไปได้เช่นกันทั้งสิ้นแต่แล้วอย่างไรเล่า? จางเลี่ยงหวงสามีของนางก็คงไม่เชื่อต่อหลักฐานที่มีอยู่และคงเข้าข้างคนรักของตนเฉกเช่นทุกครั้ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หนิงอ้ายถูกรังแกและโดนทำร้าย ต่อให้นางมีหลักฐานเพียงใดสามีของนางไม่เคยลงโทษหรือเอาผิดเลยซักครั้ง เยว่ซินหยิบสมุดบันทึกเล่มเก่าของตนที่อยู่ในช่องลับบนหัวเตียงขึ้นมาพร้อมกับเปิดอ่านอีกครั้งพลันย้อนคิดไปถึงอดีตเมื่อครั้งก่อนที่นางเข้ามาเป็นฮูหยินเอกของตระกูลชื่อเสียงของจางหนิงอ้ายบุตรชายของนาง ผู้คนทั้งที่อยู่ในเหตุการณ์ในพิธีปลุกพลังวิญญาณเมื่อเจ็ดปีก่อนต่างมีการร่ำลือไปอย่างเสียหาย บ้างว่าคุณชายใหญ่ห
กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วทั้งห้อง ร่างไร้วิญญาณที่ถูกชโลมด้วยโลหิตสีแดงฉานมากมายชวนให้รู้สึกคลื่นเหียนอยู่ไม่น้อยแก่ผู้พบเห็น แต่ด้วยทุกคนในที่นี้ต่างโลดแล่นอยู่ในเส้นทางของผู้ฝึกตนเป็นเวลาหลายปี ดังนั้นย่อมเคยพบเจอเหตุการณ์ฆ่าฟันเช่นนี้ทั้งสิ้น ที่น่าแปลกใจคือหนิงอ้ายที่เป็นผู้ลงมือกระทำนั้นกลับไร้ความตกใจราวกับว่านี่เป็นสิ่งที่คุ้นชินเสียอย่างนั้น''นักฆ่าเหล่านี้แม้จะเป็นร่างไร้วิญญาณไปแล้วก็จริง แต่อย่างไรขึ้นชื่อว่าผู้ฝึกตนย่อมมีพลังลมปราณไหลเวียนอยู่ในจุดชีพจรทั่วทั้งร่างกายที่ไม่แตกต่างไปจากสัตว์อสูร หากปล่อยทิ้งเอาไว้เช่นนี้คงเสียเปล่าเป็นแน่ เช่นนั้นข้าจะนำร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าเหล่านี้ให้กับเจียวซิ่นขอรับ...''แม้ว่าสิ่งที่หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นมาจะชวนให้ตกตะลึงในความรู้สึก เพราะการที่สัตว์อสูรในพันธะสามารถดูดซับลมปราณจากร่างไร้วิญญาณของสัตว์อสูรนั้นไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน แล้วยิ่งกับร่างไร้วิญญาณของผู้ฝึกตนเช่นนี้ย่อมไม่เคยมีผู้ใดกระทำทั้งสิ้น แต่ถึงอย่างไรคำกล่าวของหนิงอ้ายก็ไม่มีผิดถูกเช่นกันหวังฮุ่ยได้สั่งการองครักษ์ทั้งสามให้แยกย้ายกันไปเก็บกวาดร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าสังหารที
หนิงอ้ายหลับตาลงพร้อมกับกำหนดลมหายใจเข้าออก พลังลมปราณฟ้าดินอันบริสุทธิ์โดยรอบที่ถูกชักนำโดยจี้หยกโลหิตส่งผลให้มวลลมปราณบริเวณนี้ต่างถูกชักนำเข้าตามจุดชีพจรไปทั่วทั้งร่างกายตามสุดยอดเคล็ดวิถี ลมปราณอันอบอุ่นวิ่งวนเข้าสู่จุดใจกลางตันเถียรไม่จบสิ้น พลังลมปราณในร่างกายที่ผ่านการเคี่ยวกรำนับสิบกว่ารอบต่างถูกอัดแน่นเป็นรากฐานบ่มเพาะที่แข็งแกร่ง วันเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผันไปเรื่อย ๆ วันนี้ถือได้ว่าเป็นวันครบรอบอายุสิบห้าปีของจางหนิงอ้าย แน่นอนว่าทางฝั่งของนทีก็นับว่าเขาเองได้อาศัยอยู่ในร่างนี้เป็นเวลาหนึ่งปีแล้วเช่นกันหนิงอ้ายใช้เวลาไม่นานกับการจัดการตัวเอง วันนี้เขาเลือกใส่เสื้อตัวในสีขาวล้วนและเสื้อตัวนอกเป็นสีเขียวอ่อนที่ปักด้วยลวดลายใบไผ่สีเขียวมรกต เมื่อไปถึงบริเวณห้องโถงรับรองที่ตอนนี้ถูกเปลี่ยนให้เป็นงานเลี้ยงเล็ก ๆ มีท่านแม่เยว่ซิน ท่านลุงหวังฮุ่ย ท่านลุงจางปิน ท่านน้าหรันหรูที่นั่งรออยู่ แม้จะไร้เงาบิดาสารเลวในงานเลี้ยงดังกล่าวนี้ เเต่หนิงอ้ายไม่สนใจเลยสักนิดเพราะทุกคนในที่นี้ล้วนเป็นผู้ที่เขาสนิทใจทั้งสิ้น''หนิงเอ๋อร์ปีนี้เจ้าอายุครบสิบห้าปีแล้ว ตามกฎของตระกูลจางที่ปฏิบัติสืบทอดก
การเสาะหากระดูกวิญญาณได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งในช่วงบ่ายของวันนี้ คณะเดินทางของหนิงอ้ายทั้งสี่คนต่างเดินทางกันไปเรื่อย ๆ ไม่รีบเร่ง แม้ว่าระหว่างทางจะพบเจอสัตว์อสูรจำนวนไม่น้อย แต่เพราะกลิ่นอายของผู้ฝึกตนระดับเทวะขั้นสูงที่หวังฮุ่ยปลดปล่อยออกมาในระยะสองลี้ย่อมไม่ต่างไปจากคำเตือนให้เหล่าสัตว์อสูรระดับต่ำจงหลบหลีกไปเสีย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจึงถือว่าการเสาะหาสัตว์อสูรที่เหมาะสมจึงเป็นไปอย่างราบรื่นยิ่งก่อนหน้านี้หนิงอ้ายได้ประสานร่างกายเข้ากับกระดูกวิญญาณล้านปีของอสรพิษเหมันต์บรรพกาล นอกจากกระดูกวิญญาณชิ้นนี้จะแปรเปลี่ยนเป็นทักษะวิญญาณยุทธ์ที่สามให้แก่เขาแล้ว ยังคงมีเงื่อนไขสำคัญคือการเสาะหากระดูกวิญญาณจากสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพิษดูดซับประสานเข้ากับร่างกายเพื่อให้กระดูกวิญญาณชิ้นแรกนี้มีความสมบูรณ์พร้อมด้วยทักษะตามที่ควรจะเป็นหนิงอ้ายตั้งใจดูดซับกระดูกวิญญาณให้กับวิญญาณยุทธ์ที่สองอันเป็นปราณธาตุน้ำนี้เสียก่อน สำหรับวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟรวมไปถึงวิญญาณยุทธ์ที่สามเขาไม่จำเป็นต้องสังหารสัตว์อสูรเป็นจำนวนมากเพื่อเติมเต็มให้กระดูกวิญญาณของทั้งสามวิญญาณยุทธ์ในตอนนี้ เพราะนอกจากกระดูกวิญญาณล้าน
เช้าวันใหม่มาถึงคณะเดินทางของหนิงอ้ายทั้งสี่คนต่างรีบเร่งออกเดินทางกันแต่เช้าตรู่ จุดหมายคือเขตป่าชั้นกลางของเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณ เนื่องจากบริเวณป่าชั้นนอกจะมีเพียงสัตว์อสูรทั่วไปหรือสัตว์อสูรปฐพีเท่านั้น หากเข้าสู่เขตป่าชั้นกลางเป็นต้นไปจึงจะพบเจอสัตว์อสูรนภาขั้นต่ำหรือขั้นกลางและหากโชคดีมากพออาจได้พบเจอสัตว์อสูรนภาขั้นสูงก็เป็นไปได้เช่นกัน สำหรับสัตว์อสูรมายาขั้นต่ำเป็นต้นไป สัตว์อสูรเหล่านี้จัดได้ว่าเป็นสัตว์อสูรระดับสูงที่มีความนึกคิด อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยพละกำลังที่แข็งแกร่ง สามารถใช้ปราณธาตุของตนโจมตีผู้บุกรุกในอาณาเขตของตน อาจพบเห็นได้บ้างตามแนวรอยต่อของป่าชั้นกลางติดกับเขตป่าชั้นในกระจัดกระจายกันไปทั่วทั้งพื้นที่แห่งนี้ ระหว่างทางพวกเขาต่างพบเจอกับสัตว์อสูรไปไม่น้อย แต่เพราะยังมีอายุที่ไม่เหมาะสม อีกครั้งความสามารถยังเข้าไม่ได้กับวิญญาณยุทธ์ของพวกเขาทั้งสอง เห็นได้ว่าการเสาะหากระดูกวิญญาณนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด อายุของสัตว์อสูรจะสังเกตได้จากสีของพลังวิญญาณที่แผ่ซ่านออกมา จะเป็นสีเดียวกันกับพลังวิญญาณ แม้จะเป็นเผ่าพันธ์เดียวกันแต่มีอายุต่างก
เนตรแห่งสวรรค์ของหนิงอ้ายหลังจากได้รับแรงกระตุ้นจากการดูดซับกระดูกวิญญาณของอสรพิษเหมันต์บรรพกาลไป หนิงอ้ายพบว่าความสามารถในการมองเห็นและการรับรู้ของเขาในตอนนี้อยู่เหนือกว่าผู้ฝึกตนในเขตขั้นเดียวกันอย่างชัดเจน รายละเอียดเล็กน้อย ข้อมูลต่าง ๆ รวมไปถึงทุกการเคลื่อนไหวในรัศมีหนึ่งลี้ไม่อาจถูกปกปิดจากสายตาหรือการรับรู้ของเขาได้ คล้ายกับว่าความสามารถทั้งหมดในโลกเดิมของเขาที่เคยใช้ได้จะถูกยกระดับเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว“หนิงเอ๋อร์ เจ้าแน่ใจใช่หรือไม่ที่จะเดินทางไปกับผู้อาวุโสหวังฮุ่ยไปยังเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณในครั้งนี้?” เยว่ซินถามหนิงอ้ายอีกครั้ง แม้นางจะรู้ดีว่าด้วยระดับขุนนางวิญญาณของเด็กหนุ่มย่อมสามารถเอาตัวรอดได้อย่างไม่ยาก แต่นางยังรู้สึกเป็นกังวลเพราะอีกฝ่ายไม่เคยออกจากเขตพื้นที่เมืองหลวงนี้เสียด้วยซ้ำ“ขอรับท่านแม่ ข้ากับลู่ซีจะติดตามท่านลุงฮุ่ยไปยังเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณเพื่อฝึกฝนประสบการณ์และเสาะหากระดูกวิญญาณแรกด้วยขอรับ!!” หนิงอ้ายตอบไปด้วยความมั่นใจ“เช่นนั้นแล้วแต่เจ้า รบกวนผู้อาวุโสหวังฮุ่ยดูแลทั้งสองคนด้วยนะเจ้าคะ...” เยว่ซินพูดออกมา“คุณหนูอย่าได้กังวลข้าจะดูแลคุณชายหนิงอ้าย