ตระกูลหวังเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำซึ่งถือได้ว่าเป็นอีกแคว้นใหญ่ที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากเนื่องจากตั้งอยู่บริเวณใจกลางของมหาทวีปบูรพา จึงทำให้รอบด้านทั้งสี่ทิศของแคว้นมีอาณาเขตติดกับอีกสามแคว้นใหญ่ที่เหลือ แคว้นเต่าดำมีรูปแบบการปกครองที่ชัดเจนโดยเเบ่งออกเป็นสิบมณฑลใหญ่มีเมืองสาขาหรือเมืองในการปกครองในเเต่ละมณฑลมากกว่าสิบเมืองในการดูเเล ทั้งสิบมณฑลใหญ่อยู่ในการปกครองส่วนกลางของแคว้นเรียกว่ามหานครแคว้นเต่าดำ
หากกล่าวให้เข้าใจด้วยง่ายคือแคว้นเต่าดำประกอบไปด้วยเมืองน้อยใหญ่นับร้อยเมือง มีหมู่บ้านอย่างมากมายกระจายกันไปทั่วทั้งแคว้น ต้องบอกว่าเเต่ละเมืองหาได้มีความเจริญเทียบเท่ากันไม่ เพราะบางเมืองมีอาณาเขตติดกับแคว้นอื่นมักจะเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเป็นจุดเเลกเปลี่ยนสินค้า หรือบางเมืองยังคงรักษาขนบธรรมเนียมปฏิบัติกันมาอย่างช้านานนับว่าเป็นเสน่ห์ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เเต่กับสิบมณฑลใหญ่ที่มีการปกครองดูเเลเมืองในรับผิดชอบของตนมักจะมีความเจริญและมีพื้นที่กว้างขวางเป็นอย่างมาก ด้วยเพราะผู้ปกครองมณฑลดังกล่าวมักจะเป็นเหล่าบรรดาผู้มีศักดิ์เป็นอ๋องเป็นเชื้อพระวงศ์นั่นเอง
คณะเดินทางของหนิงอ้ายใช้เวลาเกือบสามชั่วยามแล้วในการเดินทาง ช่วงบ่ายนี้พวกเขาได้เดินทางมาถึงเมืองหนึ่งที่อยู่ในการปกครองของมหานครแคว้นเต่าดำ หวังฮุ่ยได้บอกให้รับรู้ว่าเมืองนี้เป็นจุดที่มีการเเลกเปลี่ยนสินค้าเป็นประจำ เนื่องจากเป็นเมืองที่มีรอยต่อกับแคว้นหงส์เเดง สำหรับการผ่านเข้าออกเมืองไม่ได้ยุ่งยากเพราะสามารถเเสดงตัวตนด้วยหนังสือเดินทางหรือหยกประจำตัวพร้อมกับค่าผ่านทางเข้าเมืองอีกเล็กน้อยเท่านั้น กฎปฏิบัติเช่นนี้ไม่ได้เป็นปัญหากับคณะเดินทางครั้งนี้ ด้วยเพราะทรัพย์สมบัติที่เป็นสินสมรสเดิมอีกทั้งเงินทองต่าง ๆ ที่มีอยู่ตอนนี้นับว่าสามารถใช้ได้อย่างไม่ขัดสน
''พวกเราพักที่เมืองนี้กันก่อนนะขอรับ หากข้ามพ้นเมืองนี้ไปแล้วจะได้มุ่งตรงไปยังตระกูลหวังเลยทีเดียว…'' หวังฮุ่ยเอ่ยขึ้นหลังจากที่เข้าผ่านประตูเมืองเข้ามาแล้ว สองข้างทางต่างมีร้านค้าแผงลอยมากมายมีสินค้าให้เลือกซื้อหลากหลายสมกับที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองหน้าด่านที่เเท้จริง
เนตรแห่งสวรรค์ที่ในตอนนี้มีขอบเขตระยะการรับรู้อยู่ที่สองลี้ จึงทำให้หนิงอ้ายรับรู้ได้ว่ามีผู้ลอบติดตามพวกเขามาตั้งเเต่เริ่มออกเดินทางจากแคว้นหงส์แดง หากคาดเดาไม่ผิดอีกฝ่ายคงหาโอกาสลอบฆ่าเขาอีกครั้งเป็นแน่ หนิงอ้ายจึงได้เเต่กระซิบบอกทุกคนให้ให้ระวังไว้อย่าได้ประมาท ขณะที่ขบวนรถม้าเดินทางออกจากเมืองวิ่งตรงไปตามเส้นทางสัญจรสายหลักที่เป็นทางดินมีรอยรถม้าให้เห็นตลอดทาง โดยยิ่งออกห่างจากเมืองเท่าใดเส้นทางดังกล่าวก็ยิ่งเปลี่ยวเท่านั้น
พรึบ! พรึบ! พรึบ! พรึบ!
กลุ่มนักฆ่าเห็นว่าได้จังหวะควรลงมือได้แล้วจึงไม่รั้งรอที่จะปรากฏตัวขึ้น เพราะว่าหากไม่ชิงลงมือในตอนนี้หากพวกมันเดินทางเข้าใกล้มหานครแคว้นเต่าดำเท่าไหร่ภารกิจที่ได้รับมาคงยากที่จะสำเร็จ
''พวกเจ้าจะยกเลิกภารกิจนี้เเต่โดยดีหรือจะฝากชีวิตไว้ที่ใต้เท้าของข้ากัน?'' เสียงของเด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นดังจากด้านในของรถม้า หากเดาไม่ผิดเสียงที่พวกตนได้ยินเมื่อครู่คงเป็นเสียงของอดีตคุณชายใหญ่ตระกูลจางหนิงอ้ายที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสวะของตระกูล
''สวะของตระกูลเช่นเจ้ามีสิทธิ์เอ่ยคำนี้ออกมาด้วยรึ? เห็นแก่ว่ามารดาของเจ้าขึ้นชื่อว่าเป็นยอดพธูของแคว้นเต่าดำหากนางตายตกไปคงน่าเสียดายไม่น้อย ข้าจะสงเคราะห์ให้โดยการเป็นสามีให้แก่นางก่อนที่จะฆ่าพวกเจ้าทั้งหมดดีหรือไม่?'' เสียงของนักฆ่าคนหนึ่งดังขึ้นในขณะที่คนที่เหลือต่างหัวเราะเสียงดังสนับสนุนความคิดนี้
''หากพวกเจ้าคิดชั่วทำร้ายเพียงข้าย่อมไม่ถือสาเอาความ เเต่นี่พวกเจ้ากล้ากล่าวล่วงเกินมารดาของข้าเชียวรึ? เอาความกล้าจากไหนกัน บิดาคนนี้จะสั่งสอนเจ้าเอง!''
''เพ้ย!!! ไอ้สวะของตระกูลนี่กล้ายกตัวเป็นบิดาข้าเช่นนั้นรึ? ข้าจะสั่งสอนให้เองว่าเด็กน้อยอย่างเจ้ากำลังท้าทายผู้ใด...''
''เตรียมตัวตายได้แล้ว!!'' นักฆ่าคนเดิมเอ่ยขึ้นพร้อมกับส่งเวทย์โจมตีรถม้าในทันที
วูบ!
ตู้ม!
'นั่นมันพลังอันใดกัน?' เวทย์ป้องกันเมื่อครู่เต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ด้วยการโจมตีเมื่อครู่เป็นฝีมือของผู้ฝึกตนระดับเทวะขั้นสามัญ เวทย์โจมตีที่ใช้ไปเมื่อครู่หากไม่พร้อมถึงพลังวิญญาณที่เทียบเท่าหรือมากกว่าย่อมไม่สามารถโต้กลับเช่นนี้ได้
ร่างบอบบางได้ก้าวลงจากรถม้าด้วยท่าทางที่งดงามยิ่ง ดวงตากลมโตรับกับใบหน้าที่หากมองว่าเป็นบุรุษก็ช่างงดงามราวกับหยกล้ำค่า หากมองว่าเป็นสตรีแล้วคงได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของแคว้นเสียด้วยซ้ำ แม้อาจคาดเดาได้ว่าคงพึ่งพ้นวัยปักปิ่นสวมกวานมาไม่นาน หากโตไปยิ่งกว่านี้คำว่างามล่มเมืองคงไม่เกินจริง เส้นผมสีขาวเงินบริสุทธิ์ยาวสลายจรดกลางหลัง ยิ่งส่งเสริมให้ตัวคนคล้ายกับนางเซียนในเรื่องเล่าราวกับว่าไม่มีอยู่จริงในโลกใบนี้
''กลิ่นอายของผู้ฝึกตนปราณธาตุน้ำ!!'' แม้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าจะงดงามมากเพียงใด แต่อย่างไรชายชุดดำต่างพากันถอยห่างอย่างเฝ้าระวัง จากกลิ่นอายที่สัมผัสได้ บ่งบอกได้ว่าเป็นผู้ฝึกตนสังกัดปราณาตุใด
''เจ้าคือผู้ใดกัน? ในภารกิจนี้ไม่มีชื่อและภาพวาดของเจ้าขอจงอย่านำตัวมาขัดขวางไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เตือน!''
''เวรกรรมเสียจริง จักสังหารผู้ใดถึงไม่มีข้อมูลในมือเล่า?'' หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับยิ้มเยาะอยู่ในที
''หุบปากของเจ้าเสีย หรือว่าเจ้า ไม่จริง...เป็นไปไม่ได้!!'' ชายหัวหน้าชุดดำเอ่ยขึ้นว่าราวกับว่าไม่แน่ใจ
''ข้านี่เเหละหวังหนิงอ้ายบุตรชายของท่านเเม่หวังเยว่ซินเเห่งแคว้นเต่าดำ จะทำอะไรก็รีบลงมือเถิดข้าอยากพบท่านตากับท่านยายเเล้วเเค่นี้ก็ทำข้าเสียเวลายิ่ง!!'' หนิงอ้ายเอ่ยออกมาด้วยใบหน้าที่เชิดขึ้นอย่างถือดี
''ข้าว่าอยู่เเล้วเหตุใดศิษย์น้องของข้าจึงไม่กลับสำนักหลังจากที่ได้รับภารกิจลอบสังหารที่เรือนตระกูลจาง!! คงเป็นฝีมือพวกเจ้าใช่หรือไม่ช่างเก็บงำประกายได้ล้ำลึกยิ่งนัก เอาละ!! คุณชายหวังหนิงอ้ายหากท่านยอมให้สังหารแต่โดยดี พวกข้าจะละเว้นมารดารวมไปถึงทุกคนที่อยู่ในรถม้านั่นดีหรือไม่?'' ชายคนเดิมเอ่ยอีกครั้งเรียกเสียงหัวเราะจากคนที่เหลือทันที
''หากคิดว่าทำได้ก็ลองดู!!'' ด้านหลังของหนิงอ้ายปรากฏเป็นวงเเหวนวิญญาณเปล่งประกายรัศมีสีเหลืองเข้มหนึ่งวงแหวนอันเป็นสัญลักษณ์ราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณขั้นสามัญ
''ราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณขั้นสามัญอย่างนั้นรึ!!''
''เช่นนั้นข้าจะไม่ออมมือเเล้ว!''
วาโยมรณะพิฆาต!
ตู้ม!
คลื่นพายุขนาดใหญ่ได้ก่อตัวขึ้นด้วยความรวดเร็วที่น่าตกใจ เพียงแค่บัญชาการในใจเท่านั้นพายุสังหารดังกล่าวได้เคลื่อนตัวเข้าจู่โจมขบวนรถม้าในทันที
ปราการวารีอหังการ!
ตู้ม!
ทันใดนั้นโดยรอบขบวนรถม้าปรากฏเป็นม่านพลังที่คล้ายกับคลื่นน้ำพลิ้วไหว คล้ายกับการระบำของสายน้ำหากมีสิ่งเเปลกปลอมทะลุม่านน้ำเข้าไปก็จะพบกับแรงตัดของมวลน้ำมหาศาล แม้เวทย์โจมตีของอีกฝ่ายจะเป็นบทเวทย์ระดับสูงที่ถูกเรียกใช้โดยผู้ฝึกตนระดับเทวะวิญญาณก็จริง เเต่สำหรับบทเวทย์ป้องกันนี้หนิงอ้ายได้ยกระดับบทเวทย์นี้เป็นระดับเทวะแล้ว จึงสามารถตั้งรับได้อย่างไม่ยากเย็นนัก
ชายชุดดำอีกคนที่เห็นว่าหนิงอ้ายกำลังบัญชาการบทเวทย์ป้องกันดังกล่าวจึงไม่ลังเลที่จะโจมตีเด็กหนุ่มในทันที
อัคนีสวรรค์สังหาร!
ตู้ม!
เเทนที่ผลลัพธ์จะออกมาตามคาดการณ์ เเต่กลายเป็นว่าหนิงอ้ายที่กำลังร่ายบทเวทย์ป้องกันอยู่สามารถร่ายบทเวทย์ต่อสู้อีกบทโต้กลับได้โดยทันที สิ่งที่น่าตกใจคือโดยปกติเเล้วผู้ฝึกตนต่างสามารถใช้บทเวทย์ได้ครั้งละหนึ่งเวทย์เท่านั้น+
มหาบุปผชาติเหมันต์จำแลงลักษณ์!
ตู้ม!
สิ้นเสียงของหนิงอ้ายได้ปรากฏเป็นบุปผาเหมันต์ดอกใหญ่เบ่งบานขึ้นในขอบเขตรัศมีหนึ่งลี้เกิดความหนาวเหน็บไปชั่วขณะ เกล็ดหิมะสีขาวโปรยปรายตกลงจากด้านบน เมื่อกระทบสิ่งใดต่างแช่แข็งสิ่งเหล่านี้ในทันที ชายชุดดำที่เหลือต่างรีบเร่งร่ายบทเวทย์ป้องกันของตนออกมาตั้งรับโดยทันที พร้อมกับส่งสัญญาณให้เข้าโจมตีเด็กหนุ่มพร้อมกันในคราเดียว
''ใครสามารถตัดหัวคุณชายหนิงอ้ายได้ข้าจะมอบเงินรางวัลครึ่งหนึ่งในส่วนของข้าจากภารกิจครั้งนี้ให้เป็นการตอบเเทน!!'' ชายชุดดำหัวหน้ากล่าวขึ้นอย่างมาดร้าย
''รนหาที่ตายเสียจริง!!'' หนิงอ้ายไม่ปล่อยผู้ที่หมายจะเอาชีวิตของเขาไปแน่ ในโลกของผู้ฝึกตนผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นที่จะอยู่รอด หากผู้ใดหมายจะเป็นศัตรูต่อกันแล้วจงสังหารให้สิ้นจะเป็นการดีที่สุด
หนิงอ้ายพร้อมไปด้วยพลังวิญญาณระดับจักรพรรดิวิญญาณแล้ว วิญญาณยุทธ์ที่สามอันเกิดจากการดูดซับกระดูกวิญญาณอายุล้านปีของอสรพิษเหมันต์บัญชาการ ในตอนนี้วิญญาณยุทธ์ดังกล่าวได้ถูกปลุกขึ้นและสามารถเรียกใช้ได้แล้ว หนิงอ้ายจึงไม่ลังเลที่จะทดสอบความสามารถของวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุพิษนี้ในทันที
“ทักษะวิญญาณยุทธ์จักรพรรดิหมื่นพิษปลิดวิญญาณ ทักษะวิญญาณที่หนึ่งเขตแดนจักรพรรดิหมื่นพิษสังหาร!!!”
'ช่วยด้วยย ช่วยข้าด้วย!!!'
'นี่มันคืออันใด พิษเช่นนั้นรึ อ๊าก!!!'
'เหตุใดร่างกายข้าถึงเดินพลังลมปราณไม่ได้กัน!!'
''พวกเจ้าต้องพิษของข้าเข้าเเล้ว ดีใจหรือไม่?'' หนิงอ้ายบัญชาการให้เขตแดนนี้มีความเข้มข้นของพิษที่เพิ่มขึ้น กลิ่นคาวเลี่ยนพร้อมกับหมอกควันสีม่วงดำลอยฟุ้งไปทั่วทั้งบริเวณ
'ข้าไม่ไหวเเล้ว!'
'พิษอันใดกันช่างรุนแรงเช่นนี้ อ้าก!'
เหล่าบรรดาชายชุดดำนักฆ่าทั้งหมดต่างดิ้นทุรนทุรายบนพื้นด้วยท่าทางทรมาน พิษไร้ลักษณ์นี้ไร้สีไร้กลิ่นสามารถเเทรกซึมเข้าไปตามบาดแผล ของร่างกาย รวมไปถึงลมหายใจเข้าออกกัดกินไปทั่วทั้งร่างกาย เพียงไม่กี่อึดใจชายชุดดำทั้งหมดต่างกลายเป็นสีม่วงคล้ำและตกตายลงไปในที่สุด
พิษของอสรพิษเหมันต์บรรพกาลนับว่าเป็นสุดยอดแห่งราชันย์แห่งพิษทั้งปวง ยิ่งกับหนิงอ้ายที่ดูดซับกระดูกวิญญาณของอสูรแมงป่องแปดขามัจจุราชไปจึงทำให้ทักษะวิญญาณนี้แข็งแกร่งอย่างแท้จริง ครั้งนี้หนิงอ้ายใช้ปราณพิษไปเพียงหนึ่งส่วนเท่านั้น เพราะหากตนใช้เต็มสิบส่วนจริงๆ รับรองได้ว่าร่างกายของนักฆ่าเหล่านี้จะถูกกัดกร่อนไปทั้งสิ้นรวมไปถึงเสื้อผ้าเครื่องประดับเช่นกันย่อมไม่เหลือเศษซากทั้งสิ้น
''พวกเจ้าต่างคิดร้ายต้องการสังหารข้าก่อน ที่ผ่านมาล้วนเข่นฆ่าก่อกรรมมาไม่น้อยถือเสียว่าตายชดใช้กรรมเสียเเล้วกัน...'' หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ หลังจากจัดการเก็บพวกอาวุธต่าง ๆ รวมไปถึงแหวนมิติเเล้ว จึงทำการดูดกลืนพิษไร้ลักษณ์กลับคืนมาและเก็บร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าเหล่านี้เอาไว้ให้กับเจียวซิ่นได้ดูดซับในภายหลัง
หากถามว่าในใจของหนิงอ้ายรู้สึกผิดอันใดหรือไม่? ต้องบอกว่าไม่ว่าจะเป็นโลกเก่าที่เคยอยู่หรือแม้เเต่โลกนี้ทุกคนที่เขาลงมือฆ่านับได้ว่าเป็นคนที่ไม่ดีทั้งสิ้น เนตรแห่งสวรรค์นอกจากที่จะสามารถควบคุมสิ่งของรวมไปถึงสิ่งมีชีวิตแล้วยังสามารถสัมผัสได้ถึงจิตใจที่ซ่อนเร้นของตัวคนที่มีอยู่อยู่ว่ามีความดำมืดเพียงใด
''หนิงเอ๋อร์ เจ้าบาดเจ็บตรงที่ใดหรือไม่?'' เยว่ซินถามขึ้นเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มจัดการทุกอย่างเรียบร้อยและกลับขึ้นรถม้าเเล้ว
''ต้องขออภัยที่ทำให้ท่านเเม่และทุกคนต้องเป็นห่วง ข้าอยากทดสอบใช้วิญญาณบุทธ์ปราณธาตุพิษของข้าที่พึ่งตื่นขึ้นข้าพึ่งเคยใช้ครั้งเเรกจึงไม่อยากให้พวกท่านไปเสี่ยงโดนพิษเหล่านี้ขอรับ...'' หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงออดอ้อนพร้อมกับมองไปด้วยรอบและกล่าวย้ำซ้ำ ๆ ว่าตนไม่เป็นไรตอนนี้สามารถเดินทางได้เลย
ทุกคนในรถม้าแม้ไม่ได้ออกไปก็จริงเเต่ย่อมได้ยินเสียงสนทนาและการต่อสู้ที่เกิดขึ้น ครั้งนี้มีนักฆ่าที่มีระดับพลังวิญญาณสูงทั้งสิ้น โดยเฉพาะชายผู้เป็นหัวหน้าคาดว่าเป็นถึงราชทินนามเทวะวิญญาณขั้นสามัญช่วงปลายเสียด้วยซ้ำ ยังไม่นับรวมถึงประสบการณ์ลอบฆ่าในการทำภารกิจหลายจึงมีฝีมือค่อนข้างมาก
หลังจากความวุ่นวายได้จบลง ทุกสิ่งคืนสู่สภาพตามเดิมปกติราวกับไม่เคยเกิดอะไรขึ้นทั้งสิ้น ถึงเวลาคณะเดินทางของหนิงอ้ายจะต้องเดินทางต่อไปเสียที เส้นทางของรถม้าเป็นเส้นทางสายหลักที่มีผู้คนใช้กันอย่างเป็นประจำ สังเกตได้จากรอยรถม้าที่ถูกลากไปกลับซ้ำ ๆ จนปรากฏเป็นเส้นทางดินหินละเอียดปะปนอยู่ดูปลอดภัยและมีความกว้างมากเพียงพอที่จะให้รถม้าสองคันวิ่งสวนกันได้นับได้ว่าเป็นเส้นทางที่ค่อนข้างจะสะดวกรวดเร็วยิ่ง
ตามเส้นทางนี้ที่มุ่งสู่ใจกลางมหานครแคว้นเต่าดำ แม้จะไม่มีแผนที่หรือเข็มทิศชี้นำทางเเต่หนิงอ้ายไม่ได้กังวลใจเลยสักนิดด้วย ด้วยเพราะมีหวังฮุ่ยที่คุ้นเคยเส้นทางนี้เป็นอย่างดี อีกทั้งก่อนหน้านี้มารดาของเขาเล่าให้ฟังว่าแม้นางจะไม่ได้กลับมายังแคว้นเต่าดำหลายปีก็จริง เเต่เกือบทุกเส้นทางเข้าออกของแคว้นนางขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในผู้ที่คุ้นชินเชี่ยวชาญในเรื่องของเส้นทางไม่น้อยเลยเช่นกัน
ด้วยเพราะบิดาหวังจิ่งหลงหรือท่านตาของหนิงอ้ายได้พาเหมยฮวาผู้เป็นฮูหยินเพียงคนเดียว พร้อมกับเยว่ซินออกเดินทางไปยังเมืองน้อยใหญ่ที่ตั้งอยู่ในแคว้นต่าง ๆ ที่มีอาณาเขตติดกับแคว้นเต่าดำอยู่เสมอเพื่อเดินทางไปพบปะคู่ค้าของกิจการ ตลอดไปจนถึงการเสาะหาสมุนไพรล้ำค่าต่าง ๆ ตั้งเเต่เยว่ซินจำความได้
ทั้งสองคนทุ่มเทสั่งสอนความรู้ทุกอย่าง ในทุกด้านให้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถถ่ายทอดให้แก่บุตรสาวคนเดียวของตน ด้วยเพราะรู้ดีว่าในวันหนึ่งเยว่ซินจะต้องมีเส้นทางชีวิตที่เป็นของนางเอง ตัวเขาและภรรยาไม่สามารถจะดูเเลนางได้ตลอดชีวิต หน้าที่ของบิดาหรือมารดาคือการมอบความรู้ติดตัวที่จะสามารถทำให้นางเอาตัวรอดได้ในสถานการณ์ต่าง ๆ สิ่งที่บิดาและมารดาสั่งสอนตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมาได้หล่อหลอมให้เยว่ซินเพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติที่น่าชื่นชมและขึ้นชื่อเป็นอย่างมาก
หวังเยว่ซินได้ขึ้นชื่อว่าเป็นยอดพธูของแคว้นเต่าดำที่ครั้งหนึ่งถึงกับมีคำกล่าวว่าหากนางเป็นที่สองคงไม่มีผู้ใดกล้ายกตนขึ้นเทียบเท่าหรือขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง เส้นทางของผู้ฝึกตนหวังเยว่ซินก็ถือว่าเป็นสตรีที่มีฝีมือเก่งกาจกล้าหาญมากไปด้วยฝีมือที่แท้จริงจนได้รับการยอมรับจากผู้คนในยุทธภพด้วยฐานะตำแหน่งหนึ่งในห้าของสุดยอดรุ่นเยาว์แห่งยุทธภพในงานประลองระหว่างแคว้นครั้งนั้น แม้ว่าในตอนนี้นางจะถอนตัวออกจากทำเนียบรายชื่อสุดยอดรุ่นเยาว์แล้ว ทว่าชื่อเสียงของหวังเยว่ซินยังเป็นที่รู้จักและเป็นแบบอย่างแก่ผู้ฝึกตนสตรีรุ่นเยาว์ไม่น้อยเลยทีเดียว...
ในขณะที่เหตุการณ์ในรถม้าคันดังกล่าวดูปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นและหนิงอ้ายหาสัมผัสได้ว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ได้ตกอยู่ในสายตาของคนสองคนที่แอบดูอยู่โดยใช้พลังปกปิดขั้นสูงของตนอำพลางตัวอยู่
''ไปตามสืบมาว่าเป็นผู้ใดอยู่เบื้องหลังภารกิจครั้งนี้!!'' ชายผู้สวมหน้ากากสีดำลายพยัคฆ์เอ่ยขึ้นกับคนข้าง ๆ ตน
''ขอรับนายท่าน! ข้าจะจัดการให้เร็วที่สุดขอรับ...'' ชายอีกคนตกคำรับปากตามที่นายของตนสั่ง
''สักวันคงได้เจอกันนะเสี่ยวไป๋ทู่ตัวน้อย'' ชายผู้สวมหน้ากากสีดำลายพยัคฆ์เอ่ยขึ้นอีกครั้งก่อนที่ทั้งสองจะหายไปในทันทีราวกับบริเวณนี้ไม่เคยมีผู้ใดอยู่ทั้งสิ้น…
ขบวนรถม้าเดินทางยังคงดำเนินไปอย่างไม่รีบร้อน จุดหมายปลายทางคือจวนตระกูลหวังที่ตั้งอยู่ในมหานครแคว้นเต่าดำแห่งนี้ ตลอดเส้นทางเดินรถม้าได้ตัดผ่านหมู่บ้านน้อยใหญ่มากมาย สิ่งหนึ่งที่หนิงอ้ายสังเกตคือยิ่งเข้าใกล้ใจกลางมหานครแคว้นเต่าดำมากเท่าใดความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองรวมไปถึงความคึกคักของตลาดเเลกเปลี่ยนสินค้าก็จะเพิ่มขึ้นไปเท่านั้น''ตรงด้านหน้าจะเป็นตลาดเมืองหลวงก่อนถึงจวนตระกูลหวัง หนิงอ้าย ลู่ซี เจ้าทั้งสองจะแวะก่อนหรือไม่?'' เยว่ซินเอ่ยถามเด็กหนุ่มทั้งสอง เพราะหากพ้นเขตตลาดเมืองหลวงนี้ไปอีกเพียงไม่ถึงเค่อก็จะถึงจวนตระกูลหวังเเล้ว''แวะขอรับท่านเเม่ ข้าจะหาซื้อของฝากติดไม้ติดมือให้ท่านตาและท่านยายด้วยขอรับ!'' หนิงอ้ายตอบมารดาไปในทันที ในโลกเดิมของเขาสำหรับการเข้าพบปะผู้อาวุโสที่มีอายุมากกว่า ตามมารยาทที่พึงกระทำแล้วผู้น้อยควรมีของฝากติดมือไปฝากเสมอ เป็นการเเสดงถึงความเคารพให้เกียรตินั่นเองนับว่าผิดจากหนิงอ้ายเคยคิดไว้ไปเสียมาก มหานครแคว้นเต่าดำนี้มีพื้นที่กว้างขวางใหญ่โตเป็นอย่างมาก อาคารบ้านเรือนสองข้างทางดูโอ่อ่าอลังการดูเเล้วเจริญหูเจริญตาเป็นอย่างมาก ถนนหนทางจากทุกมุมเมืองที่
หนิงอ้ายปลดผ้าคลุมที่ปกปิดออกเผยให้เห็นใบหน้างดงามประหนึ่งนางเซียนในเรื่องเล่า สิ่งที่ปรากฏให้เห็นอยู่ตรงหน้าของทุกคนราวกับว่ามีมนต์สะกดบางอย่างที่ทำให้ทุกสิ่งในรอบตัวหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ความงดงามเช่นนี้เพียงแค่ได้มองก็ทำให้ผู้คนต่างลุ่มหลงไม่อาจละสายตา ความงามของหนิงอ้ายได้ฉายชัดเหมาะสมไปตามช่วงวัยอายุสิบห้าปีที่ว่ากันว่าเป็นช่วงผันผ่านเข้าสู่การเป็นผู้ใหญ่ หากคิดว่าใบหน้ายามเด็กนั้นฉายแววความงดงามน่าเอ็นดููแล้ว เเต่ในตอนนี้ยิ่งปรากฏเค้าโครงความงดงามกว่าเดิมหลายเท่ายิ่ง ใบหน้ายาวเรียวรูปไข่รับกับคิ้วที่เรียงเส้นโก่งดั่งคันศรสีปีกกาส่งเสริมให้ดวงตากลมโตเปล่งประกายสดใสผิวกายของหนิงอ้ายกระจ่างใสไร้ซึ่งมลทินใดทั้งสิ้น นอกจากนั้นแล้วกลิ่นอายของร่างบางที่แผ่ออกมาให้ความรู้สึกสูงศักดิ์ไม่ธรรมดาสามัญ ดวงตาเรียวงามสีฟ้าราวกับอัญมณีล้ำค่าที่ดึงดูดสายตาแก่ผู้พบเห็นได้โดยง่าย เมื่อพินิจเลื่อนลงมาก็จะพบริมฝีปากที่บางเรียวเป็นรูปกระจับสีชมพูระเรื่อน่าหลงไหล เส้นผมสีขาวเงินที่ถูกปล่อยยาวสยายไปกลางหลังนั่นยิ่งทำให้สัมผัสได้ว่าเป็นความงามที่ไม่มีจริงในโลกใบนี้ทางฝั่งของหวังจิ่งหลงกับเหมยฮวาเมื่อหายตก
หลังจากในคืนที่ผ่านมาหนิงอ้ายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่แล้วจึงตื่นขึ้นด้วยความรู้สึกตื่นตัวไม่มีร่องรอยความเมื่อยล้าจากการเดินทางเมื่อวานปรากฏให้เห็น หลังจากจัดการล้างหน้าเเปรงฟันเสร็จแล้วตัวเขาจึงออกกำลังฝึกฝนวรยุทธตามความคุ้นชินตั้งเเต่ยามอยู่เรือนเล็กท้ายจวนตระกูลจาง แม้ว่าในยามปกตินั้นเขาจะวิ่งรอบจวนสักสิบรอบเสียก่อนจึงจะฝึกฝนวรยุทธการต่อสู้ต่าง ๆสำหรับเช้าของวันนี้ท่านตาหวังจิ่งหลงจะทำการสั่งสอนอีกทั้งถ่ายทอดบทเวทย์ที่เป็นเคล็ดวิชาลับของตระกูลหวังให้แก่เขากับลู่ซี พวกเขาทั้งสองขึ้นชื่อว่าเป็นลูกหลานของตระกูลหวังสายหลักของแคว้นเต่าดำเเล้ว เหลือเพียงกระทำให้ถูกต้องตามประเพณีที่ศาลบรรพชนของตระกูล อันเป็นสถานที่ต้องข้ามที่จะต้องมีวาระสำคัญเท่านั้นจึงจะมีการจัดทำพิธีที่ศาลบรรพชนดังกล่าวได้''หนิงอ้าย ก่อนหน้านี้หลานได้ศึกษาบทเวทย์โดยที่ยังไม่ได้เรียนรู้อักษรเวทย์พื้นฐานใช่หรือไม่?'' หวังจิ่งหลงเอ่ยขึ้น โดยที่พวกเขาทั้งสามคนได้ปลีกตัวกันมายังศาลากลางจวน โดยที่ที่นั่งด้านข้างหนิงอ้ายมีลู่ซีนั่งอยู่ติดกันไม่ห่างไปนัก''ขอรับท่านตา ก่อนหน้านี้ข้าได้ศึกษาเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาเป็นบทเวทย์เเรก ก
หนิงอ้ายได้ชวนลู่ซีเดินเที่ยวตลาดเมืองหลวงที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากจวนตระกูลหวังมากนัก ด้วยระยะทางที่สั้นเพียงนี้ในตอนแรกหนิงอ้ายตั้งใจว่าจะเดินเท้าไปเพื่อที่จะได้ซึมซับเอาบรรยากาศต่าง ๆ ของมหานครแคว้นเต่าดำ เเต่ลูซีเห็นต่างไปว่าหากนั่งรถม้าไปย่อมสามารถที่จะเลือกจับจ่ายซื้อของได้โดยไม่ต้องกังวลว่าจะเอากลับจวนตระกูลหวังอย่างไรอีกไม่กี่วันก็จะถึงงานประลองของแคว้นแล้ว คาดการณ์ว่าคงมีผู้ฝึกตนจากทั่วสารทิศเข้ามาร่วมงานประลองมากเป็นแน่เนื่องจากว่าของรางวัลสำหรับผู้ชนะในครั้งนี้ ทางแคว้นเต่าดำที่รับเป็นเจ้าภาพจัดงานค่อนข้างที่จะทุ่มงบประมาณอย่างมหาศาลเลยทีเดียว ของรางวัลสำหรับผู้ชนะทั้งสิบอันดับเป็นไปดังนี้ผู้ชนะอันดับหนึ่งการประลองจะได้รับบทเวทย์ป้องกันและบทเวทย์โจมตีระดับเทวะอย่างละหนึ่งบทเวทย์ และบทเวทย์ระดับสูงอีกสามบทเวทย์ อีกทั้งยังได้เงินรางวัลจำนวนสองหมื่นเหรียญทองผู้ชนะอันดับที่สองจะได้รับบทเวทย์ป้องกันและบทเวทย์โจมตีระดับเทวะอย่างละหนึ่งบทเวทย์ บทเวทย์ป้องกันและบทเวทย์โจมตีระดับสูงอย่างละหนึ่งบทเวทย์ อีกทั้งยังได้เงินรางวัลทั้งสิ้นจำนวนหนึ่งหมื่นเหรียญทองผู้ชนะอันดับที่สามจะได้รับบท
ช่วงเวลาที่เหลืออีกไม่กี่วันนี้หนิงอ้ายได้ฝึกฝนเข้มงวดอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มทักษะการต่อสู้และวรยุทธต่าง ๆ รวมไปถึงการใช้บทเวทย์ให้คุ้นชินมากที่สุด ทุกสิ่งที่เขาได้ลงแรงทำไปไม่ใช่เพียงเพื่อให้มารดาของเขาได้ภูมิใจเท่านั้น เเต่สิ่งที่ตัวของหนิงอ้ายกำลังทำอยู่ในตอนนี้ย่อมเป็นตัวเขาเองเช่นกันที่ได้รับประโยชน์นี้ไปในที่สุดสำหรับโลกใบนี้หลังจากที่เขาได้ลืมตาฟื้นขึ้นมาจากความตายครั้งนั้น ทำให้เขาคิดได้ว่าสุดท้ายแล้วจะมีเพียงผู้ที่เเข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นที่จะไม่ถูกรังแก และเป็นผู้ที่สามารถควบคุมทุกสิ่งอย่าง พลังอำนาจเองก็ยังคงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผลักดันให้สามารถอยู่จุดสูงสุดได้เสมอ เพราะโลกของชาวยุทธภพนี้ทุกคนย่อมให้ความเคารพมีความอ่อนน้อมแก่ผู้ที่เเข็งแกร่งอีกทั้งยังยำเกรงต่อผู้มีอำนาจนั่นเองหนิงอ้ายมองดูกระบี่สีขาวในมือที่ถูกแกะสลักกลวดลายงดงามแปลกตา นี่เป็นกระบี่ที่เขาตัดสินใจซื้อมาจากร้านค้าอาวุธวิเศษเมื่อตอนที่ได้ไปตลาดในช่วงเย็นวันนี้ที่ผ่านมากระบี่หมอกรุ้งพิสุทธิ์เหมันต์เล่มนี้ที่คนแนะนำประจำตรงบริเวณอาวุธวิเศษ ได้บอกแก่หนิงอ้ายว่ากระบี่เล่มนี้อยู่ในร้านค้านี้มานานแล้ว ทว่า
หลังจากทำการผูกพันธะสำเร็จเเล้ว หนิงอ้ายสามารถทำการสื่อสารกับกระบี่วารีหมอกรุ้งพิสุทธิ์เหมันต์เล่มนี้ได้เช่นเดียวกับที่พูดคุยกับเจียวซิ่น ก่อนที่เขาจะเข้าสู่ห้วงมิติที่มีความพิศดารลึกล้ำ อันเป็นพื้นที่สีขาวบริสุทธิ์ที่ไม่อาจรับรู้ได้ถึงจุดเริ่มต้นหรือจุดสิ้นสุดใดใดทั้งสิ้น ทว่าในความเข้าใจและไม่เข้าใจในความลึกลับของพื้นที่ในมิติลึกลับว่างเปล่า ได้เกิดเป็นความปั่นป่วนสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ก่อนที่จะสงบหยุดนิ่ง เมื่อจิตสำนึกของหนิงอ้ายค่อย ๆ แจ่มชัดขึ้น แสงสีขาวได้ปรากฎขึ้นสว่างจ้าก่อเกิดเป็นเงาร่างขนาดใหญ่ที่แผ่กลิ่นอายความไม่ธรรดาอย่างปิดไม่มิด"ข้าหวังหนิงอ้าย คำนับผู้อาวุโสขอรับ!!"ทันทีที่เขาพูดจบตัวกระบี่ได้เกิดประกายเเสงและสั่นเล็กน้อยก่อนที่จะสงบเงียบไปราวกับว่าเมื่อครู่นี้ไม่ได้เกิดสิ่งใด แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่มีเสียงตอบกลับเเต่สิ่งที่เกิดขึ้นที่ตัวกระบี่มีการตอบสนองนั้นราวกับว่ารับรู้ได้ว่าหนิงอ้ายเอ่ยคุยสิ่งใดเเต่ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น'เจ้าชื่อหวังหนิงอ้ายอย่างนั้นรึ?? ลูกหลานตระกูลหวังที่มีความบริสุทธิ์เข้มข้นทางสายเลือดยิ่ง...''เอาละ!! ข้าจะทำการถ่ายทอดเคล็ดวิชากระบี่เจ็ดดาวเห
ในที่สุดวันเวลาก็ได้ผันเปลี่ยนหมุนเวียนมาถึงเช้าของวันใหม่ซึ่งเป็นวันเเรกตามกำหนดการของงานประลองของแคว้นที่มีการประกาศจัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบครั้งที่แปดสิบแปด (88) ตัวเลขแปด (8) นั้นชาวยุทธภพรวมไปถึงชาวบ้านธรรมดาในทั่วทุกแคว้นต่างมีความเชื่อกันว่าเป็นตัวเลขที่ดีเป็นอย่างมาก มีความข้องเกี่ยวกับความร่ำรวยในเงินทองยิ่งหากมีตัวเลขนี้ต่อกันมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งหมายถึงความร่ำรวยที่ไม่มีความสิ้นสุดเเต่ละแคว้นจะมีการปกครองในแคว้นของตนให้มีความเป็นอยู่ที่ดีก็จริงเเต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าฐานะของเเต่ละตระกูลในแคว้นต่างมีเรื่องของเงินทองหรือความร่ำรวยเป็นสิ่งที่สำคัญเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งสิ้นไม่ว่าจะในเรื่องของหน้าตาของตระกูล การทำกิจการเพื่อหาเงินทองมาใช้ในการปกครองคนในจวนของตนรวมไปถึงการได้ถูกยอมรับนับถือจากผู้คนทั่วไปอีกด้วยและก็มีไม่น้อยเช่นกันที่พื้นที่อยู่อาศัยหรือพื้นที่ทำมาหากินที่มีทำเลที่ดีมักจะเป็นกรรมสิทธิ์ครอบครองของตระกูลที่ร่ำรวยไปส่วนใหญ่อีกทั้งยังมีการจัดสรรเเบ่งเขตที่อยู่อาศัยนั้นก็ยึดจากความร่ำรวยเข้ามาข้องเกี่ยวไม่น้อยโดยที่ตระกูลใหญ่หรือตระกูลที่ร่ำรวยนั้นจะมีพื้นที่จวนอยู่บริเ
หนิงอ้ายกับลู่ซีมุ่งตรงไปยังจุดลงทะเบียนที่มีการกางโตะตรงที่ปากทางเข้าการประลองในทันที แม้ว่าทั้งสองคนนั้นจะรีบเร่งออกจากจวนตระกูลหวังเป็นเวลาเช้าเเต่ก็ยังมีผู้ฝึกตนที่เดินทางมาถึงเร็วกว่ากว่าพวกเขาทั้งสองคน ในตอนนี้มีผู้คนมากมายที่กำลังรายล้อมอยู่โดยรอบจุดบริเวณดังกล่าวที่เปิดให้ลงทะเบียนอยู่ ถือว่าเป็นโชคดีของพวกเขาทั้งสองคนนั้นไม่น้อยที่มาทันเวลาพอดีเพราะว่าการประลองในครั้งนี้มีผู้สนใจเข้าร่วมเป็นอย่างมากดังนั้นจึงมีการจำกัดคนเข้าเเข่งขันเพียงเเค่ห้าร้อยคนเท่านั้น''เนื่องจากครั้งนี้เป็นงานประลองแคว้นครั้งที่แปดสิบแปด ดังนั้นเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองจึงไม่มีการเรียกเก็บเงินสมัครในการประลองครั้งนี้ใดใดทั้งสิ้น เเต่จะจำกัดผู้เข้าเเข่งขันเพียงเเค่ห้าร้อยคนเท่านั้นและจะไม่มีการแบ่งแยกช่วงอายุการประลองทั้งสิ้นสำหรับผู้ใดที่หวังเพียงมาเล่นไม่จริงจังสามารถถอดตัวออกไปได้ทันที อย่าหาว่าไม่เตือน!!!'' เสียงของผู้ควบคุมกฎที่ทำหน้าที่ดูเเลในการลงทะเบียนได้เอ่ยขึ้นและดังพอที่จะให้ได้ยินในบริเวณโดยรอบทันที'ข้าจะตกใจอะไรก่อนดีเล่า? การประลองครั้งนี้เปิดรับเพียงห้าร้อยคนหรือจะเป็นการจัดเเข่งขันประลองเ
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต
มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล
ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย