ด้านหลังของหนิงอ้ายปรากฏเป็นวงแหวนเวทย์สีน้ำเงินเข้มแสดงถึงผู้ฝึกตนปราณธาตุน้ำระดับสาม ในตอนนี้เขากำลังเร่งทำการยกระดับพลังวิญญาณให้ข้ามผ่านขั้นย่อยให้ได้ในเร็ววัน เพราะหากยิ่งมีระดับพลังวิญญาณเพิ่มขึ้นมากเท่าใด เขาก็จะสามารถปกป้องตัวเองและท่านแม่เพิ่มขึ้นได้เท่านั้น
สำหรับราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณขั้นสามัญกับระยะเวลาเพียงหนึ่งปีเช่นนี้ นับได้ว่าหนิงอ้ายไม่ต่างไปจากอัจฉริยะคงไม่เกินจริงไปนัก ต้องบอกว่าเด็กหนุ่มโชคดีอย่างมากที่ได้ศึกษาเคล็ดวิชาลับตระกูลหวัง จึงทำให้สามารถขยายจุดตันเถียรได้รองรับและขยายเส้นปราณทั่วร่างกายเพิ่มการดูดซับพลังปราณมากกว่าคนอื่นหลายเท่าจึงทำให้เขาสามารถดูดซับพลังปราณฟ้าดินได้โดยตรง ยิ่งได้รับแรงหนุนจากจี้หยกโลหิตแล้วความสามารถในการดูดซับปราณฟ้าดินของหนิงอ้ายจึงไม่ต่างไปจากพยัคฆ์ติดปีกเสียแล้วในตอนนี้
บทเวทย์โจมตีมหาบุปผชาติเหมันต์จำแลงลักษณ์!
ตู้ม!
สภาพอากาศโดยรอบของเขตของบทเวทย์อากาศลดลงโดยฉับพลัน ปรากฎเป็นดอกบัวเหมันต์สีขาวบริสุทธิ์ดอกใหญ่แผ่อายความเย็นจาง ๆ ไปทั่วบริเวณ ตรงด้านบนเห็นเป็นเกล็ดบัวเหมันต์หิมะที่มีไอเย็นลอยตกลงไปทั่วเขตของบทเวทย์ เมื่อตกลงถึงพื้นปรากฏเป็นแท่งน้ำแข็งใสกระจ่างน้อยใหญ่ผุดขึ้นดั่งผลึกน้ำงามที่ส่องประกายหยอกล้อกับแสงแดด แม้ไม่ได้สัมผัสก็รับรู้ได้ถึงความแหลมคมที่เปี่ยมไปด้วยอันตรายของมันไม่น้อย
หนิงอ้ายปรับเปลี่ยนบทเวทย์นี้ให้เป็นระดับเทวะโดยอ้างอิงจากปราณธาตุน้ำที่เป็นหนึ่งในปราณธาตุหลัก แม้ว่าเขาจะเป็นผู้ฝึกตนที่สามารถใช้ปราณธาตุได้มากกว่าหนึ่งก็จริง แต่สำหรับปราณสุริยะธาตุนั้นเขาต้องการเก็บไว้เป็นไพ่ลับมากกว่ายิ่งท่านแม่บอกว่าปราณสุริยะธาตุนั้นเป็นปราณธาตุหายากที่ไม่ปรากฏมานานแล้ว หากเขาเปิดเผยความสามารถนี้ไปไม่แคล้วว่าจะต้องถูกดึงตัว เกิดการแย่งชิงจากสำนักน้อยใหญ่หรือบางทีอาจจะถูกตามล่าเพื่อนำเลือดของเขาไปทำส่วนผสมของโอสถระดับสูงก็เป็นไปได้ เพราะมีความเชื่อที่ว่าเพียงแค่เลือดหนึ่งหยดของผู้ฝึกตนปราณสุริยะธาตุธาตุต้นกำเนิดสามารถนำมาเป็นส่วนผสมในโอสถสำหรับฟื้นคืนชีวิตของผู้คนได้
หนิงอ้ายตั้งใจว่าหากเมื่อใดที่เขาสามารถเป็นผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งมากกว่านี้ สักวันเขาคงจะเปิดเผยความสามารถของปราณสุริยะธาตุอย่างแน่นอน เพราะจะให้หนีปัญหาไปตลอดเช่นนี้ไม่กล้าเผชิญหน้าย่อมไม่ใช่ตัวเขาอยู่แล้ว
''เหตุใดวันนี้เจ้าจึงซ้อมเพียงไม่นานเล่า?''
''ท่านเยว่ซินให้มาตามคุณชาย เห็นว่ามีเรื่องจะคุยด้วยขอรับ...'' ลู่ซีเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนต้องทำอะไรจึงเอ่ยแจ้งเด็กหนุ่มในทันที
''เช่นนั้นวันนี้ฝึกซ้อมพอเเค่นี้เเล้วกัน...'' หนิงอ้ายตอบกลับพร้อมกับเดินนำอีกฝ่ายออกไปยังเรือนของตน
ใช้เวลาเพียงไม่กี่เค่อหนิงอ้ายกับลู่ซีก็มาถึงเรือนหลังนี้ โดยบ่าวรับใช้ที่ยืนรออยู่ได้กล่าวว่าฮูหยินเอกได้รออยู่ในห้องโถงรับรองเเล้ว หนิงอ้ายพยักหน้ารับรู้ก่อนที่จะก้าวเท้าเข้าไปในทันที
''มาแล้วอย่างนั้นรึ...มานั่งตรงนี้เถิดมารดามีเรื่องจะคุยด้วยกับเจ้า'' เยว่ซินเอ่ยออกมาพร้อมกับจับเเขนเด็กหนุ่มให้นั่งลงที่ข้างตนเองทันที
''ว่าท่านเเม่มีเรื่องใดจะพูดคุยกับข้าหรือขอรับ?''
''มารดามีเรื่องที่ต้องบอกให้เจ้ารับรู้ ในตอนนี้มารดากับบิดาของเจ้าได้ทำการหย่าขาดกันเเล้ว วันรุ่งขึ้นเราจะกลับไปยังตระกูลหวังที่แคว้นเต่าดำ หนิงเอ๋อร์เจ้าคิดเห็นเป็นอย่างไร?'' เยว่ซินเอ่ยออกมาพร้อมกับสังเกตท่าทีของเด็กหนุ่ม ด้วยเพราะกลัวว่าการตัดสินใจของนางจะทำให้บุตรชายต้องเสียใจ
เเต่มีหรือที่หนิงอ้ายจะไม่รับรู้ความหมายของสายตาที่มารดาของตนมองมา ''ท่านแม่อย่าได้เป็นกังวลขอรับ อย่างไรแล้วข้าล้วนเชื่อฟังและเคารพการตัดสินใจของท่านในทุกเรื่องขอรับ…''
''...''
''หากเจ้าไม่ติดขัดในเรื่องใดเช่นนั้นอย่าลืมให้ลู่ซีช่วยเก็บข้าวของด้วยเล่า เพราะพรุ่งนี้พวกเราคงเริ่มออกเดินทางกันเเต่เช้า...'' หนิงอ้ายพยักหน้าเข้าใจ ก่อนที่จะเอ่ยขอแยกตัวจากเยว่ซินเพื่อไปจัดการเก็บข้าวของในทันที...
''จริงหรือขอรับคุณชายที่ท่านเยว่ซินได้หย่ากับท่านประมุขจางเลี่ยงหวงแล้ว?'' ลู่ซีถามขึ้นในขณะที่กำลังช่วยหนิงอ้ายเก็บของ
''แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริง เเล้วเจ้าเล่าอยากไปกับข้าหรือไม่?'' หนิงอ้ายถามกลับไป
''ข้าอยากติดตามกลับไปยังแคว้นหงส์แดงเพื่อคอยรับใช้คุณชายขอรับ!!'' ลู่ซีตอบตกลงด้วยความยินดี
''ลู่ซีเจ้าอยู่กับหนิงอ้ายตั้งเเต่เด็กข้าเชื่อว่าเจ้าย่อมรับรู้และสังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงว่าข้าไม่ใช่หนิงอ้ายคุณชายของเจ้าใช่หรือไม่?''
''...''
''ข้าจะไม่ปิดบังเจ้า ตัวข้านั้นชื่อนทีและไม่ใช่คนในโลกนี้ หลังจากข้าตายในโลกเดิมเมื่อรู้ตัวอีกทีก็พบว่าได้เข้ามาอยู่ในร่างของจางหนิงอ้ายผู้นี้เสียเเล้ว...''
''...''
จริงอยู่ที่ลู่ซีสัมผัสได้ว่าคุณชายของตนเปลี่ยนไปราวกับคนละคนแม้จะมีใบหน้าและรูปร่างที่เหมือนเดิมก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นการกระทำต่าง ๆ ที่เปลี่ยนไป หรือความสามารถในอีกหลากหลายด้านที่ไม่คาดคิด สิ่งเหล่านี้คุณชายของเขาย่อมทำไม่เป็นอย่างแน่นอน ลู่ซีหัวใจกระตุกวูบให้ความรู้สึกราวกับถูกพลักตกจากที่สูงเมื่อคิดได้เช่นนั้น
''เช่นนั้นแสดงว่าคุณชายของข้าได้จากไปแล้ว คุณชายของข้า...'' ลู่ซีร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจ
''คุณชายของเจ้าได้เข้าสู่วัฏจักรสังขาร เป็นไปตามลิขิตของโชคชะตาไม่มีสิ่งใดต้องกังวลแล้ว เจ้าต้องยอมรับให้ได้เพราะนี่เป็นสัจธรรมแห่งชีวิตที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้...''
''คุณชาย...คุณชายของข้า''
''ท่านยังมีข้าอยู่นะลู่ซี แม้ว่าดวงจิตนี้จะเป็นของข้าจากโลกอื่นก็จริง แต่ร่างกายนี้ยังคงเป็นคุณชายที่เจ้าคอยดูแลมาตั้งแต่เจ็ดปีไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้...เจ้าคิดเช่นนั้นหรือไม่?''
''คุณชายน้อยได้ทรมานมาหลายปีแล้ว รอยยิ้มสุดท้ายคงเป็นก่อนพิธีปลุกพลังวิญญาณในปีนั้น ในเมื่อเรื่องราวเป็นเช่นนี้คงเป็นดั่งชะตาฟ้าลิขิตดั่งที่ท่านว่า อย่างไรคงเพียงต้องยอมรับให้ได้!!'' ลู่ซีเอ่ยขึ้น ในครั้งนั้นเป็นเขาที่อ่อนแอเกินไป หลังจากนี้เขาจะฝึกฝนให้มากยิ่งขึ้นเพื่อที่จะปกป้องภัยอันตรายต่าง ๆ ที่จะเข้ามาทำร้ายคุณชายให้ได้…
''สำหรับข้าแล้วเจ้าไม่ใช่เพียงบ่าวรับใช้คนสนิท ข้านับถือเจ้าเป็นดั่งพี่ชายของข้าคนหนึ่งด้วยซ้ำ ในโลกเดิมตัวข้านทีผู้นี้เป็นเพียงเด็กกำพร้าไม่มีพ่อเเม่ไร้ซึ่งพี่น้อง หากไม่เป็นอันใดมากเกินไปข้าขอนับถือท่านเป็นดั่งพี่ชายได้หรือไม่?'' หนิงอ้ายเอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกข้างในของตนอละความรู้สึกของหนิงอ้ายคนเดิมที่ยังตกค้างอยู่
''เเต่ว่า... '' ลู่ซีพยายามที่จะปฏิเสธ
''อย่าปฏิเสธเลย ทุกสิ่งที่ข้าเอ่ยขึ้นมาหนิงอ้ายคนเดิมก็รู้สึกเช่นเดียวกัน และข้าเชื่อว่าท่านเเม่เยว่ซินย่อมมีความเห็นที่ตรงกันกับข้าเช่นกัน เอาละ! ยังมีเวลาอีกมากที่จะพูดถึงเรื่องนี้ เรารีบเก็บของทั้งหมดกันเถิดเพราะพรุ่งนี้เราต้องเดินทางกันเเต่เช้า''
ด้วยเนตรเเห่งสวรรค์จึงทำให้สามารถรับรู้ถึงทุกสิ่งอย่างในขอบเขตรัศมีหนึ่งลี้ทั้งสิ้น ขณะที่หนิงอ้ายพูดกับลู่ซีบทสนทนาทั้งหมดที่เกิดขึ้นเขาเชื่อว่าเยว่ซินหรือมารดาของหนิงอ้ายยืนฟังอยู่ตรงหน้าประตูย่อมได้ยินอย่างแน่นอน ด้วยสัมผัสประสาททั้งห้าที่แม่นยำกว่าผู้คนทั่วไปนั่นเอง
หนิงอ้ายเชื่อว่าตั้งเเต่ที่ตนฟื้นขึ้นมาจากเหตุการ์ณที่หนิงอ้ายคนเดิมได้จากไป เยว่ซินผู้ที่รักบุตรชายยิ่งกว่าชีวิตย่อมสังเกตความเปลี่ยนเเปลงที่เกิดขึ้นและรับรู้ได้ว่าบุตรชายคนเดิมของตนได้จากไปแล้ว เเต่การที่นางยังมอบความรัก ความเอาใจใส่ ตลอดจนไม่มีท่าทีต่อต้านและมองว่าเขาฉวยโอกาสมาอยู่เเทนบุตรของตนฉะนั้นเขาขอเห็นแก่ตัวสักนิดได้หรือไม่ที่จะครอบครองสิ่งที่เรียกว่าครอบครัวที่เขาได้รับจากโลกใบนี้...
ก่อนหน้านี้เยว่ซินได้เรียกรวมบ่าวที่คอยดูเเลรับใช้ตนที่เรือนหลังนี้ เพื่อสอบถามว่ามีบ่าวรับใช้คนใดสมัครใจติดตามกลับตระกูลหวังของนางที่แคว้นเต่าดำหรือไม่? หรือหากต้องการอยู่ที่แคว้นหงส์แดงนี้นางจะได้ให้ตำลึงเงินไว้สำหรับตั้งตัวกันเล็กน้อยเพื่อเป็นการตอบเเทนในทุกเรื่อง บรรดาบ่าวรับใช้ทุกคนได้เอ่ยขออนุญาตไม่ติดตามกลับไปด้วยเพราะต่างมีครอบครัวกันอยู่ในแคว้นหงส์แดงนี้กันทั้งสิ้น บ่าวรับใช้ในเรือนต่างก้มหัวทำความเคารพอย่างสุดใจด้วยเพราะรู้สึกโชคดีที่ได้มารับใช้อดีตฮูหยินเอกผู้นี้ซึ่งไม่เคยด่าทอทุบตีบ่าวรับใช้เหมือนกับนายท่านเรือนอื่น ๆ
หลังจากจัดการทุกสิ่งอย่างแล้ว เยว่ซินจึงตั้งใจที่จะไปคุยกับหนิงอ้ายบุตรชายของตนเกี่ยวกับการเก็บข้าวของ เสื้อผ้าและสิ่งจำเป็นต่าง ๆ เเต่ไม่คิดว่านางจะได้ยินเรื่องราวที่หนิงอ้ายคุยกับลู่ซีบ่าวคนสนิท ยิ่งทำให้นางแน่ใจเเล้วว่าสิ่งที่นางคิดมาตลอดนั้นเป็นเรื่องจริง แม้นางจะเสียใจไม่น้อยที่ต้องเสียหนิงอ้ายคนเก่าไป เเต่ถึงอย่างไรนั้นสวรรค์ก็ไม่ได้ทำร้ายนางเท่าใดนักเพราะก็ได้ส่งบุตรของนางอีกคนกลับมาเช่นกัน
บุตรที่นางไม่มีโอกาสได้อุ้มชูเสียด้วยซ้ำ ไม่มีใครรู้เรื่องราวในสิบห้าปีก่อนนอกจากหมอทำคลอด ทุกคนในตระกูลจางรวมไปถึงจางเลี่ยงหวงอดีตสามีของนางต่างเข้าใจว่านางคลอดบุตรชายได้สำเร็จ
ความจริงเเล้วในคืนนั้นนางคลอดบุตรชายฝาแฝดสองคน เเต่ด้วยเพราะนางเอาเเต่คิดเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับอดีตสามีที่ตบแต่งกับฮูหยินรองโดยที่ไม่มีการกล่าวให้รับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น นางจึงได้เเต่เก็บเอามาคิดและโทษว่าเป็นความผิดของนางที่ไม่สามารถเป็นที่ปรึกษาแก่อดีตสามีในทุก ๆ เรื่องราวกับว่าไม่ได้รับการไว้วางใจกัน สุดท้ายผลเสียเหล่านั้นได้เกิดขึ้นกับบุตรชายคนโตของนางที่ไม่มีโอกาสได้หายใจโดยทิ้งเพียงน้องชายอีกคนไว้กับนาง...
หนิงอ้าย ชื่อของบุตรชายคนเล็ก หมายถึง ความรักอันสงบ เเต่ความจริงเเล้วไม่เคยมีใครรู้ว่านางได้ซ่อนบุตรชายคนโตของนางอีกคนในชื่อนี้แม้จะฟังเเล้วดูเหมือนกันเเต่ความจริงเเล้วคำว่าอ้ายของบุตรชายคนเล็กหมายถึงความรักและบุตรชายคนโตที่จากไปคำว่า อ้าย หมายถึง หยกงาม ที่นางไม่มีโอกาสได้ดูเเลอุ้มชูแม้เพียงน้อย
ถึงแม้ว่าในวันนี้นางได้สูญเสีย หยกงาม อย่างไม่มีวันหวนกลับเเต่สวรรค์ยังคงเมตตาและมออีกฝ่ายกลับเข้าสู่อ้อมอกอีกครั้งและนางสัญญาว่านางจะเเข็งแกร่งขึ้น...เข้มเเข็งขึ้นเพื่อจะที่ดูเเลบุตรชายที่นางได้คืนมานั้นอย่างดีที่สุด...
''คุณชาย ไม่สิหนิงอ้ายท่านเยว่ซินให้มาตามไปทานสำรับเช้าได้เเล้ว...'' ลู่ซีเอ่ยขึ้นด้วยความขัดเขิน ด้วยสถานะที่เปลี่ยนไปเช่นนี้ ''ขอรับลู่เกอ กำลังออกไปขอรับ" หนิงอ้ายตอบกลับด้วยคำเรียกที่แตกต่างไป ด้วยเพราะในคืนที่ผ่านมาเขาได้เอ่ยกับมารดาไปว่ารู้สึกกับลู่ซีเป็นดังพี่ชายหาใช่บ่าวรับใช้ เยว่ซินที่ได้ยินดังนั้นจึงเอ่ยรับลู่ซีเป็นบุตรบุญธรรมอีกคน จึงถือได้ว่าตอนนี้ลู่ซีเป็นพี่ชายของหนิงอ้ายไปเสียเเล้ว เมื่อเด็กหนุ่มทั้งสองคนไปถึงห้องรับรองก็พบว่าทุกคนอยู่พร้อมหน้าแล้ว ''พวกเจ้าสองพี่น้องมาแล้วอย่างนั้นรึ? พร้อมกันแล้วใช่หรือไม่เพราะต้องออกเดินทางกลับก่อนยามสายเพื่อที่ช่วงเย็นจะได้ถึงตระกูลหวังได้ทัน...'' เยว่ซินได้สั่งการให้พวกบ่าวรับใช้ขนของเข้าไปยังรถม้าทั้งหมด ข้าวของเครื่องใช้มีไม่มากเท่าไหร่นักเพราะเลือกไปเพียงเเต่ของใช้ส่วนตัวและสินสมรสเดิมเท่านั้น สิ่งอื่นใดที่ได้รับจากตระกูลจางหรืออดีตสามีของนางเคยมอบให้นางไม่นำกลับไปด้วยแม้เพียงซักชิ้นด้วยเพราะไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกันอีกบรรดาฮูหยินรอง อนุต่าง ๆ รวมไปถึงบรรดาบุตรชาย บุตรสาวของอดีตสามีนางและบ่าวรับใช้ในตระกูลหวังต่างยืนส่งพวกเขาที่หน้าจวนตระกูลหวังพอเป็นพิธีอาจด้วยเพราะว่าการหย่าเเบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในแคว้นหงส์เเดงหรือแคว้นอื่น ๆ ทำให้มีผู้คนสนใจและเฝ้ารอดูเหตุการณ์ตรงบริเวณพื้นที่หน้าจวนของตระกูลหวังไม่น้อย เสียงพูดคุยดังขึ้นทั้งชื่นชมในการตัดสินใจที่ผิดแปลกไปจากสตรี จนเกิดเป็นคำนินทามากมายต่างลอดเข้ามาให้รับรู้เป็นระยะเเต่เยว่ซินนางไม่ได้สนใจเลยสักนิด เมื่อทุกคนอยู่ในรถม้ากันครบถ้วนแล้วหวังฮุ่ยจึงออกคำสั่งให้ออกเดินทางในทันที
เนตรแห่งสวรรค์เมื่อถูกเรียกใช้ในยามที่มีระดับพลังวิญญาณที่มากขึ้นขอบเขตความสามารถดังกล่าวก็ทวีเพิ่มขึ้นเช่นกัน หนิงอ้ายสามารถอ่านใจของคนที่ต้องการได้หากคนผู้นั้นไม่ได้มีระดับพลังวิญญาณสูงกว่าหรือมีบทเวทย์ป้องกันที่เเข็งแกร่งมากพอ หนิงอ้ายรับรู้ได้ว่าแม้มารดาของตนจะเอ่ยหย่ากับบิดาของเขาดูคล้ายกับว่าไม่รู้สึกอะไรเเต่ความจริงเเล้ว บางครั้งมารดาของเขามักจะทอดสายตาราวกับคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ เมื่อรู้สึกตัวก็จะทำเหมือนไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นและหาอะไรทำเสียมากมายคล้ายกับว่าไม่ต้องการให้ตนว่างเท่าใดนัก
น่าโมโหไม่น้อยนี่เป็นโอกาสครั้งสุดท้ายที่มารดาจะได้พบกับบิดาของเขา สุดท้ายเเล้วบิดาตัวดีก็ไม่โผล่หน้าออกมาให้เห็นเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้น หนิงอ้ายจดชื่อบิดาของตนลงบัญชีดำเเล้วที่บังอาจทำให้มารดาของตนต้องเสียใจร้องไห้ เอาเถอะสักวันเขาจะเอาคืนอย่างสาสม...
เรื่องราวของอีกด้านหนึ่ง...''นายท่านจะเอาเเต่อยู่สำนักศึกษาไม่ได้นะขอรับ ยิ่งวันนี้ฮูหยินเอกไม่สิท่านเยว่ซินจะกลับแคว้นแล้วท่านควรที่จะไปส่งฮูหยินเอกสักนิดนะขอรับ" ฝู่หรงเอ่ยแนะนำขึ้นแก่นายท่านของตนด้วยความเป็นห่วงด้วยเพราะในตอนนี้นั้นเลี่ยงหวงเอาเเต่อยู่ในห้องตำราในสำนักศึกษาผิงอานและเอาเเต่ดื่มเหล้าเเทนสำรับอาหารครั้นเมื่อเหล้าหมดไหเเล้วก็สั่งให้บ่าวนำมาให้เรื่อย ๆ
''ข้าจะมีหน้าไปพบกับนางได้เยี่ยงไรข้าทำผิดต่อนางถึงขนาดนี้แล้วนางคงไม่ต้องการพบหน้าข้าด้วยซ้ำ...'' เลี่ยงหวงเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าที่ดวงตาแดงกล่ำคล้ายกับว่าก่อนหน้านี้ได้ผ่านการร้องไห้มาอย่างหนักหน่วง
''ในเมื่อรู้ว่าตนผิดก็ต้องขอโทษขอรับเเต่หากไม่ต้องการที่จะปล่อยมือจากท่านเยว่ซินนายท่านควรที่จะตั้งสติและเเก้ปัญหาที่เกิดขึ้นให้เร็วที่สุดขอรับ เพราะเป็นสิ่งที่ท่านเยว่ซินนั้นคาดหวังกับท่านไม่น้อยเลย'' ฝู่หรงไม่รู้ว่าเนื้อหาที่ด้านในม้วนกระดาษที่อดีตฮูหยินเอกมอบให้แก่นายท่านของเขาคืออะไรเเต่คงสำคัญยิ่ง เพราะจนถึงตอนนี้ม้วนกระดาษดังกล่าวยังอยู่ในอกเสื้อของนายตนอยู่ ''นั้นสินะ ข้าก็มีเรื่องที่ต้องจัดการเช่นกัน!!'' เลี่ยงหวงเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้าที่สงบไม่ปรากฏคลื่นอารมณ์ใดใด...ตระกูลหวังเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำซึ่งถือได้ว่าเป็นอีกแคว้นใหญ่ที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากเนื่องจากตั้งอยู่บริเวณใจกลางของมหาทวีปบูรพา จึงทำให้รอบด้านทั้งสี่ทิศของแคว้นมีอาณาเขตติดกับอีกสามแคว้นใหญ่ที่เหลือ แคว้นเต่าดำมีรูปแบบการปกครองที่ชัดเจนโดยเเบ่งออกเป็นสิบมณฑลใหญ่มีเมืองสาขาหรือเมืองในการปกครองในเเต่ละมณฑลมากกว่าสิบเมืองในการดูเเล ทั้งสิบมณฑลใหญ่อยู่ในการปกครองส่วนกลางของแคว้นเรียกว่ามหานครแคว้นเต่าดำหากกล่าวให้เข้าใจด้วยง่ายคือแคว้นเต่าดำประกอบไปด้วยเมืองน้อยใหญ่นับร้อยเมือง มีหมู่บ้านอย่างมากมายกระจายกันไปทั่วทั้งแคว้น ต้องบอกว่าเเต่ละเมืองหาได้มีความเจริญเทียบเท่ากันไม่ เพราะบางเมืองมีอาณาเขตติดกับแคว้นอื่นมักจะเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเป็นจุดเเลกเปลี่ยนสินค้า หรือบางเมืองยังคงรักษาขนบธรรมเนียมปฏิบัติกันมาอย่างช้านานนับว่าเป็นเสน่ห์ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เเต่กับสิบมณฑลใหญ่ที่มีการปกครองดูเเลเมืองในรับผิดชอบของตนมักจะมีความเจริญและมีพื้นที่กว้างขวางเป็นอย่างมาก ด้วยเพราะผู้ปกครองมณฑลดังกล่าวมักจะเป็นเหล่าบรรดาผู้มีศักดิ์เป็นอ๋องเป็นเชื้อพระวงศ์นั่นเองคณะเดินทางของหนิงอ้
ขบวนรถม้าเดินทางยังคงดำเนินไปอย่างไม่รีบร้อน จุดหมายปลายทางคือจวนตระกูลหวังที่ตั้งอยู่ในมหานครแคว้นเต่าดำแห่งนี้ ตลอดเส้นทางเดินรถม้าได้ตัดผ่านหมู่บ้านน้อยใหญ่มากมาย สิ่งหนึ่งที่หนิงอ้ายสังเกตคือยิ่งเข้าใกล้ใจกลางมหานครแคว้นเต่าดำมากเท่าใดความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองรวมไปถึงความคึกคักของตลาดเเลกเปลี่ยนสินค้าก็จะเพิ่มขึ้นไปเท่านั้น''ตรงด้านหน้าจะเป็นตลาดเมืองหลวงก่อนถึงจวนตระกูลหวัง หนิงอ้าย ลู่ซี เจ้าทั้งสองจะแวะก่อนหรือไม่?'' เยว่ซินเอ่ยถามเด็กหนุ่มทั้งสอง เพราะหากพ้นเขตตลาดเมืองหลวงนี้ไปอีกเพียงไม่ถึงเค่อก็จะถึงจวนตระกูลหวังเเล้ว''แวะขอรับท่านเเม่ ข้าจะหาซื้อของฝากติดไม้ติดมือให้ท่านตาและท่านยายด้วยขอรับ!'' หนิงอ้ายตอบมารดาไปในทันที ในโลกเดิมของเขาสำหรับการเข้าพบปะผู้อาวุโสที่มีอายุมากกว่า ตามมารยาทที่พึงกระทำแล้วผู้น้อยควรมีของฝากติดมือไปฝากเสมอ เป็นการเเสดงถึงความเคารพให้เกียรตินั่นเองนับว่าผิดจากหนิงอ้ายเคยคิดไว้ไปเสียมาก มหานครแคว้นเต่าดำนี้มีพื้นที่กว้างขวางใหญ่โตเป็นอย่างมาก อาคารบ้านเรือนสองข้างทางดูโอ่อ่าอลังการดูเเล้วเจริญหูเจริญตาเป็นอย่างมาก ถนนหนทางจากทุกมุมเมืองที่
ระดับพลังวิญญาณ**พลังวิญญาณคือพลังลมปราณภายในร่างกายของผู้ฝึกตน เกี่ยวข้องกับความเหมาะสมในการประสานกระดูกวิญญาณเข้ากับร่างกายอีกด้วย ระดับพลังวิญญาณของผู้ฝึกตนจะเเบ่งออกเป็นสิบห้าระดับ แต่ละระดับแบ่งเป็นสิบขั้นย่อย**แต่ละขั้นย่อยของระดับพลังวิญญาณจะปรากฏเป็นสัญลักษณ์ดังนี้ระดับ 1-3 ขั้นต้น หนึ่งวงแหวนเวทย์ระดับ 4-6 ขั้นกลาง สองวงแหวนเวทย์ระดับ 7-9 ขั้นสูง สามวงแหวนเวทย์1.ก่อเกิดวิญญาณระดับ1-10 ไม่มีวงแหวนเวทย์2.ขุนพลวิญญาณระดับ11-19 สัญลักษณ์แทนวงแหวนเวทย์สีขาว-กระดูกวิญญาณที่เหมาะสมในการดูดซับอายุไม่เกิน 1,000 ปี3.ขุนนางวิญญาณระดับ20-29 สัญลักษณ์แทนวงแหวนเวทย์สีเขียว-กระดูกวิญญาณที่เหมาะสมในการดูดซับอายุไม่เกิน 2,000 ปี4.จักรพรรดิวิญญาณระดับ30-39 สัญลักษณ์แทนวงแหวนเวทย์สีเหลือง-กระดูกวิญญาณที่เหมาะสมในการดูดซับอายุไม่เกิน 4,000 ปี5.เทวะวิญญาณระดับ40-49 สัญลักษณ์แทนวงแหวนเวทย์สีส้ม-กระดูกวิญญาณที่เหมาะสมในการดูดซับอายุไม่เกิน 8,000 ปี6.ราชันวิญญาณระดับ50-59 สัญลักษณ์แทนวงแหวนเวทย์สีชมพู-กระดูกวิญญาณที่เหมาะสมในการดูดซับอายุไม่เกิน 10,000 ปี7.เทพยุทธ์วิญญาณระ
หากมีการจัดอันดับนักธุรกิจรุ่นใหม่ไฟแรงที่อายุไม่เกิน30ปี เชื่อว่าต้องมี นที พัชรวงศ์เศวต อยู่ในรายชื่อเหล่านี้อย่างแน่นอน เพราะชายหนุ่มถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งนักธุรกิจที่มีความคิดนอกกรอบในการแก้ปัญหา ทั้งความเป็นผู้นำของอีกฝ่ายที่ฉายชัดออกมาแม้อายุยังน้อยเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขามีความแตกต่างจากนักธุรกิจคนอื่นในช่วงวัยใกล้เคียงกันเป็นอย่างมากสิ่งเหล่านี้ได้ส่งผลให้ในระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีชื่อของเขาได้กลายเป็นอีกหนึ่งนักธุรกิจหนุ่มผู้ประสบความสำเร็จที่โดดเด่นและน่าจับตามองเป็นอย่างมากคนหนึ่งที่ไม่เพียงได้รับการยอมรับจากพันธมิตรแวดวงนักธุรกิจเพราะทางด้านเทคโนโลยีชายหนุ่มก็สามารถพัฒนาระบบความมั่นคงของรัฐให้มีความเสถียรภาพมากขึ้นจนกลายเป็นแม่แบบโปรแกรมจนถูกนำไปใช้กันอย่างแพร่หลาย รวมไปถึงผลงานในด้านต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์อย่างมหาศาลต่อผู้คนหลายล้านชีวิตล้วนได้สร้างชื่อเสียงของเขาให้เป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นหลายเท่านอกจากนั้นแล้วนทียังเป็นชายหนุ่มที่มีรูปลักษณ์น่าดึงดูดและมีเสน่ห์เป็นอย่างมาก ร่างกายสูงโปร่งสวมชุดสูทตัดเย็บอย่างดีเน้นให้เห็นรูปร่างท่าทางที่แสดงออกถึงความมั่นใจ ดวงตาเฉียบค
สัมผัสแรกที่รู้สึกคือความเจ็บปวดไปทั่วทั้งร่างกายในสัญชาตญาณการรับรู้ แต่ก่อนที่นทีจะตั้งสติมากกว่านี้ก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อที่คุ้นหูจนต้องฝืนลืมตาขึ้นด้วยความลำบาก เมื่อปรับสายตาให้มองเห็นชัดแล้วจึงเห็นเป็นสตรีผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ข้างเตียงที่เขานอนอยู่ สายตาของนางที่มองมาเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกที่หลากหลายชวนให้รู้สึกอุ่นใจและคุ้นเคยอยู่ไม่น้อย“หนิงเอ๋อร์ หนิงเอ๋อร์ ได้ยินเสียงของมารดาหรือไม่?” เสียงของสตรีเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วงเพราะเด็กหนุ่มสลบไปไม่ได้สติถึงเจ็ดวันเต็ม“ท่านแม่...” นทีเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งไปตามความคิดแรกที่ปรากฎขึ้น ก่อนที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อยด้วยความมึนงง เมื่อเห็นเช่นนั้นสตรีคนดังกล่าวจึงรีบป้อนน้ำให้กับเขาในทันที“หนิงเอ๋อร์ ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นขึ้นเสียที...” สตรีคนเดิมเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงกังวลพร้อมกับขยับเข้าใกล้มองสำรวจด้วยความเป็นห่วง นางใช้หลังมือลูบไล้ใบหน้าและลำคอของเด็กหนุ่มด้วยความกังวลที่ลดลงไปบ้างเล็กน้อยแม้ว่าภายนอกของเด็กหนุ่มในตอนนี้ดูเหมือนปกติแล้วก็จริงแต่นางยังคงไม่วางใจสักเท่าไหร่ เพราะเดิมทีแล้วร่างกายของอีกฝ่ายไม่ได้แข็งแรงมาก ในระยะหลังม
ใครจะไปเชื่อว่าหลังจากตายแล้วแทนที่จะต้องไปชดใช้กรรมหรือข้ามสะพานไหน่เหอกินน้ำแกงยายเมิ่งเพื่อเกิดใหม่ เเต่กลายเป็นว่าวิญญาณของเขากลับเข้ามาอยู่ในร่างของจางหนิงอ้ายวัยสิบสี่ปี บุตรชายคนโตของจางเลี่ยงหวงที่ปัจจุบันเป็นประมุขตระกูลจางหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นหงส์แดง มีฮูหยินเอกคือหวังเยว่ซินมารดาของหนิงอ้ายและยังมีฮูหยินรองรวมไปถึงอนุอีกสามคน สำหรับบรรดาพี่น้องร่วมบิดาเดียวกันของหนิงอ้ายต่างมีอายุลดหลั่นกันไปเพียงหนึ่งหรือสองปีเท่านั้น หากจะเรียกว่าพี่น้องก็ไม่เต็มปากเพราะแทบไม่ผูกพันธ์รักใคร่กันเท่าใดนัก พี่น้องเหล่านั้นต่างพูดจาดูแคลนไร้ซึ่งความเคารพใดแต่เจ้าของร่างนี้ไม่เคยตอบกลับทั้งสิ้นบรรดาพี่น้องร่วมบิดาเดียวกันประกอบไปด้วย...คุณชายใหญ่จางหนิงอ้ายคุณชายรองจางเหยากวงคุณหนูสามจางฝูเยว่คุณหนูสี่จางลี่เหมยคุณชายห้าจางหมิงหวังคุณหนูหกและคุณหนูเจ็ดเป็นแฝดหญิงคนพี่จางเหมยกุ้ยคนน้องจางเหมยฮวาพี่น้องร่วมบิดาทั้งหกคนเมื่ออายุครบเจ็ดปีก็สามารถปลุกพลังวิญญาณได้ ในตอนนี้ทุกคนต่างเข้าศึกษาในสำนักผิงอานกันทั้งสิ้น มีเพียงจางหนิงอ้ายที่ไม่สามารถเข้าศึกษาในสำนักเนื่องด้วยไม่สามารถปลุ
จางหนิงอ้ายอาศัยอยู่กับมารดาที่เรือนหลังเล็กท้ายจวนติดกับป่าไผ่พร้อมกับบ่าวรับใช้เพียงไม่กี่คน ถึงแม้ว่าหวังเยว่ซินจะมีฐานะเป็นถึงฮูหยินเอกของจวน แต่ทว่าความเป็นอยู่ในตอนนี้อาจกล่าวได้ว่าไม่ค่อยดีเท่าไหร่นักยังดีที่บ่าวในเรือนนี้ล้วนต่างจงรักภักดีต่อนายของตนทั้งสองยิ่งกว่าชีวิต เนื่องจากมารดาไม่ได้รับความรักจากบิดา อีกทั้งมีเรื่องราวที่ผิดใจกันก่อนหน้าจึงทำให้เรือนน้อยท้ายจวนหลังนี้ไม่ได้รับเงินทองจากเรือนหลักมาจุนเจือนับเป็นเวลาเกือบปีเเล้ว มีแต่เพียงสินสมรสเดิมที่มารดาของเขาได้จากตระกูลเดิมก่อนที่จะแต่งเข้าตระกูลจางเพียงเท่านั้น นับวันก็ยิ่งหมดไปจากการจับจ่ายใช้สอยซื้อของจิปาถะต่าง ๆเมื่อไม่มีอำนาจในตระกูลและไม่เป็นที่รักของสามีนับว่าพอทนไหวอยู่บ้าง เพียงเเต่ไม่ถึงหนึ่งปีที่ผ่านมาในเหตุการณ์ล่าสุดที่เป็นเหตุทำให้หนิงอ้ายต้องล้มป่วยหนัก มารดาของเขาต้องการความเป็นธรรมในเรื่องดังกล่าวนี้แต่สามีของนางก็มิได้นำพาอันใด อีกทั้งยังขับไสไล่ส่งพวกเขาทั้งคู่จากเรือนหลักของจวนด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ทั้งมารดาและหนิงอ้ายจำเป็นต้องมาอาศัยในพื้นที่ส่วนหลังของจวนห่างไกลจากเรือนหลักของตระกูลจางเช่น
หนิงอ้ายนั่งมองฝูงปลาที่กำลังแหวกว่ายอยู่ในสระบัวท่ามกลางบรรยากาศยามเช้าเงียบสงบ ผมสีดำสนิทเปล่งประกายเงางามถูกมัดรวบด้วยผ้าผูกสีขาวเพียงครึ่งปล่อยส่วนที่เหลือให้ยาวสยายจรดกลางหลัง เส้นผมบางส่วนหลุดลุ่ยไปตามกรอบหน้าเรียวมนรูปไข่ที่คล้ายคลึงกับมารดาไปมากถึงเก้าในสิบส่วน ดวงตาเรียวหงส์ประกายความซุกซนสดใส ริมฝีปากบางรูปกระจับสีชมพูระเรื่อ จมูกเรียวโด่งรับกับใบหน้างดงามราวกับเป็นเซียนหญิงคงไม่เกินจริงไปนัก“หนิงเอ๋อร์ แน่ใจใช่หรือไม่ว่าหายดีแล้ว? แม่เป็นห่วงเจ้ายิ่งนัก” เย่วซินถามขึ้นพร้อมกับเดินไปหาบุตรชายที่นั่งอยู่ในศาลาริมสระบัวข้างเรือน“ข้าหายดีแล้วท่านแม่ อีกทั้งยังรู้สึกแข็งแรงขึ้นมากกว่าเดิมด้วยขอรับ...” หนิงอ้ายตอบกลับไปเพื่อให้อีกฝ่ายคลายความกังวลก่อนตัดสินใจเอ่ยในสิ่งที่ได้ครุ่นคิดมาอย่างดีแล้วในตลอดหนึ่งเดือนนี้“ท่านคิดเห็นอย่างไรหากว่าข้าอยากเป็นผู้ฝึกตนและต้องการปลุกพลังวิญญาณขอรับ?”“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเอ่ยสิ่งใดออกมา?” เย่วซินที่ได้ยินจึงถามกลับไปด้วยความประหลาดใจ เพราะหลังจากที่เด็กหนุ่มไม่สามารถปลุกพลังวิญญาณได้ในตอนอายุเจ็ดปีบุตรชายของนางก็ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้เลยสักคร
ขบวนรถม้าเดินทางยังคงดำเนินไปอย่างไม่รีบร้อน จุดหมายปลายทางคือจวนตระกูลหวังที่ตั้งอยู่ในมหานครแคว้นเต่าดำแห่งนี้ ตลอดเส้นทางเดินรถม้าได้ตัดผ่านหมู่บ้านน้อยใหญ่มากมาย สิ่งหนึ่งที่หนิงอ้ายสังเกตคือยิ่งเข้าใกล้ใจกลางมหานครแคว้นเต่าดำมากเท่าใดความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองรวมไปถึงความคึกคักของตลาดเเลกเปลี่ยนสินค้าก็จะเพิ่มขึ้นไปเท่านั้น''ตรงด้านหน้าจะเป็นตลาดเมืองหลวงก่อนถึงจวนตระกูลหวัง หนิงอ้าย ลู่ซี เจ้าทั้งสองจะแวะก่อนหรือไม่?'' เยว่ซินเอ่ยถามเด็กหนุ่มทั้งสอง เพราะหากพ้นเขตตลาดเมืองหลวงนี้ไปอีกเพียงไม่ถึงเค่อก็จะถึงจวนตระกูลหวังเเล้ว''แวะขอรับท่านเเม่ ข้าจะหาซื้อของฝากติดไม้ติดมือให้ท่านตาและท่านยายด้วยขอรับ!'' หนิงอ้ายตอบมารดาไปในทันที ในโลกเดิมของเขาสำหรับการเข้าพบปะผู้อาวุโสที่มีอายุมากกว่า ตามมารยาทที่พึงกระทำแล้วผู้น้อยควรมีของฝากติดมือไปฝากเสมอ เป็นการเเสดงถึงความเคารพให้เกียรตินั่นเองนับว่าผิดจากหนิงอ้ายเคยคิดไว้ไปเสียมาก มหานครแคว้นเต่าดำนี้มีพื้นที่กว้างขวางใหญ่โตเป็นอย่างมาก อาคารบ้านเรือนสองข้างทางดูโอ่อ่าอลังการดูเเล้วเจริญหูเจริญตาเป็นอย่างมาก ถนนหนทางจากทุกมุมเมืองที่
ตระกูลหวังเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำซึ่งถือได้ว่าเป็นอีกแคว้นใหญ่ที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากเนื่องจากตั้งอยู่บริเวณใจกลางของมหาทวีปบูรพา จึงทำให้รอบด้านทั้งสี่ทิศของแคว้นมีอาณาเขตติดกับอีกสามแคว้นใหญ่ที่เหลือ แคว้นเต่าดำมีรูปแบบการปกครองที่ชัดเจนโดยเเบ่งออกเป็นสิบมณฑลใหญ่มีเมืองสาขาหรือเมืองในการปกครองในเเต่ละมณฑลมากกว่าสิบเมืองในการดูเเล ทั้งสิบมณฑลใหญ่อยู่ในการปกครองส่วนกลางของแคว้นเรียกว่ามหานครแคว้นเต่าดำหากกล่าวให้เข้าใจด้วยง่ายคือแคว้นเต่าดำประกอบไปด้วยเมืองน้อยใหญ่นับร้อยเมือง มีหมู่บ้านอย่างมากมายกระจายกันไปทั่วทั้งแคว้น ต้องบอกว่าเเต่ละเมืองหาได้มีความเจริญเทียบเท่ากันไม่ เพราะบางเมืองมีอาณาเขตติดกับแคว้นอื่นมักจะเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อเป็นจุดเเลกเปลี่ยนสินค้า หรือบางเมืองยังคงรักษาขนบธรรมเนียมปฏิบัติกันมาอย่างช้านานนับว่าเป็นเสน่ห์ที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เเต่กับสิบมณฑลใหญ่ที่มีการปกครองดูเเลเมืองในรับผิดชอบของตนมักจะมีความเจริญและมีพื้นที่กว้างขวางเป็นอย่างมาก ด้วยเพราะผู้ปกครองมณฑลดังกล่าวมักจะเป็นเหล่าบรรดาผู้มีศักดิ์เป็นอ๋องเป็นเชื้อพระวงศ์นั่นเองคณะเดินทางของหนิงอ้
ด้านหลังของหนิงอ้ายปรากฏเป็นวงแหวนเวทย์สีน้ำเงินเข้มแสดงถึงผู้ฝึกตนปราณธาตุน้ำระดับสาม ในตอนนี้เขากำลังเร่งทำการยกระดับพลังวิญญาณให้ข้ามผ่านขั้นย่อยให้ได้ในเร็ววัน เพราะหากยิ่งมีระดับพลังวิญญาณเพิ่มขึ้นมากเท่าใด เขาก็จะสามารถปกป้องตัวเองและท่านแม่เพิ่มขึ้นได้เท่านั้นสำหรับราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณขั้นสามัญกับระยะเวลาเพียงหนึ่งปีเช่นนี้ นับได้ว่าหนิงอ้ายไม่ต่างไปจากอัจฉริยะคงไม่เกินจริงไปนัก ต้องบอกว่าเด็กหนุ่มโชคดีอย่างมากที่ได้ศึกษาเคล็ดวิชาลับตระกูลหวัง จึงทำให้สามารถขยายจุดตันเถียรได้รองรับและขยายเส้นปราณทั่วร่างกายเพิ่มการดูดซับพลังปราณมากกว่าคนอื่นหลายเท่าจึงทำให้เขาสามารถดูดซับพลังปราณฟ้าดินได้โดยตรง ยิ่งได้รับแรงหนุนจากจี้หยกโลหิตแล้วความสามารถในการดูดซับปราณฟ้าดินของหนิงอ้ายจึงไม่ต่างไปจากพยัคฆ์ติดปีกเสียแล้วในตอนนี้บทเวทย์โจมตีมหาบุปผชาติเหมันต์จำแลงลักษณ์!ตู้ม!สภาพอากาศโดยรอบของเขตของบทเวทย์อากาศลดลงโดยฉับพลัน ปรากฎเป็นดอกบัวเหมันต์สีขาวบริสุทธิ์ดอกใหญ่แผ่อายความเย็นจาง ๆ ไปทั่วบริเวณ ตรงด้านบนเห็นเป็นเกล็ดบัวเหมันต์หิมะที่มีไอเย็นลอยตกลงไปทั่วเขตของบทเวทย์ เมื่อตกลงถึงพื
ทางฝั่งเยว่ซินหลังจากที่มีนักฆ่าเข้ามาลอบสังหารบุตรชายของนางในช่วงกลางคืนที่ผ่านมา โชคดีที่ไม่เกิดเหตุการณ์ความสูญเสียดังกล่าวขึ้น ที่น่าแปลกใจคือหนังสือจ้างวานฆ่านี้ได้ชี้ชัดว่าเป็นฝีมือของหวงลู่เอินหรือฮูหยินรองคนรักของจางเลี่ยงหวง เยว่ซินนั้นไม่มีเรื่องราวข้องเกี่ยวกับอีกฝ่ายเท่าไหร่นัก แต่หากว่าแรงจูงใจของการกระทำนี้คือนางต้องการผลักดันบุตรชายของนางขึ้นเป็นผู้สืบทอดของตระกูลแทนจางหนิงอ้ายผู้เป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลจางสายหลักแล้วย่อมเป็นไปได้เช่นกันทั้งสิ้นแต่แล้วอย่างไรเล่า? จางเลี่ยงหวงสามีของนางก็คงไม่เชื่อต่อหลักฐานที่มีอยู่และคงเข้าข้างคนรักของตนเฉกเช่นทุกครั้ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่หนิงอ้ายถูกรังแกและโดนทำร้าย ต่อให้นางมีหลักฐานเพียงใดสามีของนางไม่เคยลงโทษหรือเอาผิดเลยซักครั้ง เยว่ซินหยิบสมุดบันทึกเล่มเก่าของตนที่อยู่ในช่องลับบนหัวเตียงขึ้นมาพร้อมกับเปิดอ่านอีกครั้งพลันย้อนคิดไปถึงอดีตเมื่อครั้งก่อนที่นางเข้ามาเป็นฮูหยินเอกของตระกูลชื่อเสียงของจางหนิงอ้ายบุตรชายของนาง ผู้คนทั้งที่อยู่ในเหตุการณ์ในพิธีปลุกพลังวิญญาณเมื่อเจ็ดปีก่อนต่างมีการร่ำลือไปอย่างเสียหาย บ้างว่าคุณชายใหญ่ห
กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วทั้งห้อง ร่างไร้วิญญาณที่ถูกชโลมด้วยโลหิตสีแดงฉานมากมายชวนให้รู้สึกคลื่นเหียนอยู่ไม่น้อยแก่ผู้พบเห็น แต่ด้วยทุกคนในที่นี้ต่างโลดแล่นอยู่ในเส้นทางของผู้ฝึกตนเป็นเวลาหลายปี ดังนั้นย่อมเคยพบเจอเหตุการณ์ฆ่าฟันเช่นนี้ทั้งสิ้น ที่น่าแปลกใจคือหนิงอ้ายที่เป็นผู้ลงมือกระทำนั้นกลับไร้ความตกใจราวกับว่านี่เป็นสิ่งที่คุ้นชินเสียอย่างนั้น''นักฆ่าเหล่านี้แม้จะเป็นร่างไร้วิญญาณไปแล้วก็จริง แต่อย่างไรขึ้นชื่อว่าผู้ฝึกตนย่อมมีพลังลมปราณไหลเวียนอยู่ในจุดชีพจรทั่วทั้งร่างกายที่ไม่แตกต่างไปจากสัตว์อสูร หากปล่อยทิ้งเอาไว้เช่นนี้คงเสียเปล่าเป็นแน่ เช่นนั้นข้าจะนำร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าเหล่านี้ให้กับเจียวซิ่นขอรับ...''แม้ว่าสิ่งที่หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นมาจะชวนให้ตกตะลึงในความรู้สึก เพราะการที่สัตว์อสูรในพันธะสามารถดูดซับลมปราณจากร่างไร้วิญญาณของสัตว์อสูรนั้นไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน แล้วยิ่งกับร่างไร้วิญญาณของผู้ฝึกตนเช่นนี้ย่อมไม่เคยมีผู้ใดกระทำทั้งสิ้น แต่ถึงอย่างไรคำกล่าวของหนิงอ้ายก็ไม่มีผิดถูกเช่นกันหวังฮุ่ยได้สั่งการองครักษ์ทั้งสามให้แยกย้ายกันไปเก็บกวาดร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าสังหารที
หนิงอ้ายหลับตาลงพร้อมกับกำหนดลมหายใจเข้าออก พลังลมปราณฟ้าดินอันบริสุทธิ์โดยรอบที่ถูกชักนำโดยจี้หยกโลหิตส่งผลให้มวลลมปราณบริเวณนี้ต่างถูกชักนำเข้าตามจุดชีพจรไปทั่วทั้งร่างกายตามสุดยอดเคล็ดวิถี ลมปราณอันอบอุ่นวิ่งวนเข้าสู่จุดใจกลางตันเถียรไม่จบสิ้น พลังลมปราณในร่างกายที่ผ่านการเคี่ยวกรำนับสิบกว่ารอบต่างถูกอัดแน่นเป็นรากฐานบ่มเพาะที่แข็งแกร่ง วันเวลาหมุนเวียนเปลี่ยนผันไปเรื่อย ๆ วันนี้ถือได้ว่าเป็นวันครบรอบอายุสิบห้าปีของจางหนิงอ้าย แน่นอนว่าทางฝั่งของนทีก็นับว่าเขาเองได้อาศัยอยู่ในร่างนี้เป็นเวลาหนึ่งปีแล้วเช่นกันหนิงอ้ายใช้เวลาไม่นานกับการจัดการตัวเอง วันนี้เขาเลือกใส่เสื้อตัวในสีขาวล้วนและเสื้อตัวนอกเป็นสีเขียวอ่อนที่ปักด้วยลวดลายใบไผ่สีเขียวมรกต เมื่อไปถึงบริเวณห้องโถงรับรองที่ตอนนี้ถูกเปลี่ยนให้เป็นงานเลี้ยงเล็ก ๆ มีท่านแม่เยว่ซิน ท่านลุงหวังฮุ่ย ท่านลุงจางปิน ท่านน้าหรันหรูที่นั่งรออยู่ แม้จะไร้เงาบิดาสารเลวในงานเลี้ยงดังกล่าวนี้ เเต่หนิงอ้ายไม่สนใจเลยสักนิดเพราะทุกคนในที่นี้ล้วนเป็นผู้ที่เขาสนิทใจทั้งสิ้น''หนิงเอ๋อร์ปีนี้เจ้าอายุครบสิบห้าปีแล้ว ตามกฎของตระกูลจางที่ปฏิบัติสืบทอดก
การเสาะหากระดูกวิญญาณได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งในช่วงบ่ายของวันนี้ คณะเดินทางของหนิงอ้ายทั้งสี่คนต่างเดินทางกันไปเรื่อย ๆ ไม่รีบเร่ง แม้ว่าระหว่างทางจะพบเจอสัตว์อสูรจำนวนไม่น้อย แต่เพราะกลิ่นอายของผู้ฝึกตนระดับเทวะขั้นสูงที่หวังฮุ่ยปลดปล่อยออกมาในระยะสองลี้ย่อมไม่ต่างไปจากคำเตือนให้เหล่าสัตว์อสูรระดับต่ำจงหลบหลีกไปเสีย เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วจึงถือว่าการเสาะหาสัตว์อสูรที่เหมาะสมจึงเป็นไปอย่างราบรื่นยิ่งก่อนหน้านี้หนิงอ้ายได้ประสานร่างกายเข้ากับกระดูกวิญญาณล้านปีของอสรพิษเหมันต์บรรพกาล นอกจากกระดูกวิญญาณชิ้นนี้จะแปรเปลี่ยนเป็นทักษะวิญญาณยุทธ์ที่สามให้แก่เขาแล้ว ยังคงมีเงื่อนไขสำคัญคือการเสาะหากระดูกวิญญาณจากสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพิษดูดซับประสานเข้ากับร่างกายเพื่อให้กระดูกวิญญาณชิ้นแรกนี้มีความสมบูรณ์พร้อมด้วยทักษะตามที่ควรจะเป็นหนิงอ้ายตั้งใจดูดซับกระดูกวิญญาณให้กับวิญญาณยุทธ์ที่สองอันเป็นปราณธาตุน้ำนี้เสียก่อน สำหรับวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟรวมไปถึงวิญญาณยุทธ์ที่สามเขาไม่จำเป็นต้องสังหารสัตว์อสูรเป็นจำนวนมากเพื่อเติมเต็มให้กระดูกวิญญาณของทั้งสามวิญญาณยุทธ์ในตอนนี้ เพราะนอกจากกระดูกวิญญาณล้าน
เช้าวันใหม่มาถึงคณะเดินทางของหนิงอ้ายทั้งสี่คนต่างรีบเร่งออกเดินทางกันแต่เช้าตรู่ จุดหมายคือเขตป่าชั้นกลางของเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณ เนื่องจากบริเวณป่าชั้นนอกจะมีเพียงสัตว์อสูรทั่วไปหรือสัตว์อสูรปฐพีเท่านั้น หากเข้าสู่เขตป่าชั้นกลางเป็นต้นไปจึงจะพบเจอสัตว์อสูรนภาขั้นต่ำหรือขั้นกลางและหากโชคดีมากพออาจได้พบเจอสัตว์อสูรนภาขั้นสูงก็เป็นไปได้เช่นกัน สำหรับสัตว์อสูรมายาขั้นต่ำเป็นต้นไป สัตว์อสูรเหล่านี้จัดได้ว่าเป็นสัตว์อสูรระดับสูงที่มีความนึกคิด อีกทั้งยังเปี่ยมไปด้วยพละกำลังที่แข็งแกร่ง สามารถใช้ปราณธาตุของตนโจมตีผู้บุกรุกในอาณาเขตของตน อาจพบเห็นได้บ้างตามแนวรอยต่อของป่าชั้นกลางติดกับเขตป่าชั้นในกระจัดกระจายกันไปทั่วทั้งพื้นที่แห่งนี้ ระหว่างทางพวกเขาต่างพบเจอกับสัตว์อสูรไปไม่น้อย แต่เพราะยังมีอายุที่ไม่เหมาะสม อีกครั้งความสามารถยังเข้าไม่ได้กับวิญญาณยุทธ์ของพวกเขาทั้งสอง เห็นได้ว่าการเสาะหากระดูกวิญญาณนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด อายุของสัตว์อสูรจะสังเกตได้จากสีของพลังวิญญาณที่แผ่ซ่านออกมา จะเป็นสีเดียวกันกับพลังวิญญาณ แม้จะเป็นเผ่าพันธ์เดียวกันแต่มีอายุต่างก
เนตรแห่งสวรรค์ของหนิงอ้ายหลังจากได้รับแรงกระตุ้นจากการดูดซับกระดูกวิญญาณของอสรพิษเหมันต์บรรพกาลไป หนิงอ้ายพบว่าความสามารถในการมองเห็นและการรับรู้ของเขาในตอนนี้อยู่เหนือกว่าผู้ฝึกตนในเขตขั้นเดียวกันอย่างชัดเจน รายละเอียดเล็กน้อย ข้อมูลต่าง ๆ รวมไปถึงทุกการเคลื่อนไหวในรัศมีหนึ่งลี้ไม่อาจถูกปกปิดจากสายตาหรือการรับรู้ของเขาได้ คล้ายกับว่าความสามารถทั้งหมดในโลกเดิมของเขาที่เคยใช้ได้จะถูกยกระดับเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว“หนิงเอ๋อร์ เจ้าแน่ใจใช่หรือไม่ที่จะเดินทางไปกับผู้อาวุโสหวังฮุ่ยไปยังเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณในครั้งนี้?” เยว่ซินถามหนิงอ้ายอีกครั้ง แม้นางจะรู้ดีว่าด้วยระดับขุนนางวิญญาณของเด็กหนุ่มย่อมสามารถเอาตัวรอดได้อย่างไม่ยาก แต่นางยังรู้สึกเป็นกังวลเพราะอีกฝ่ายไม่เคยออกจากเขตพื้นที่เมืองหลวงนี้เสียด้วยซ้ำ“ขอรับท่านแม่ ข้ากับลู่ซีจะติดตามท่านลุงฮุ่ยไปยังเทือกเขาหมื่นอสูรวิญญาณเพื่อฝึกฝนประสบการณ์และเสาะหากระดูกวิญญาณแรกด้วยขอรับ!!” หนิงอ้ายตอบไปด้วยความมั่นใจ“เช่นนั้นแล้วแต่เจ้า รบกวนผู้อาวุโสหวังฮุ่ยดูแลทั้งสองคนด้วยนะเจ้าคะ...” เยว่ซินพูดออกมา“คุณหนูอย่าได้กังวลข้าจะดูแลคุณชายหนิงอ้าย