ช่วงเวลาที่เหลืออีกไม่กี่วันนี้หนิงอ้ายได้ฝึกฝนเข้มงวดอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มทักษะการต่อสู้และวรยุทธต่าง ๆ รวมไปถึงการใช้บทเวทย์ให้คุ้นชินมากที่สุด ทุกสิ่งที่เขาได้ลงแรงทำไปไม่ใช่เพียงเพื่อให้มารดาของเขาได้ภูมิใจเท่านั้น เเต่สิ่งที่ตัวของหนิงอ้ายกำลังทำอยู่ในตอนนี้ย่อมเป็นตัวเขาเองเช่นกันที่ได้รับประโยชน์นี้ไปในที่สุด
สำหรับโลกใบนี้หลังจากที่เขาได้ลืมตาฟื้นขึ้นมาจากความตายครั้งนั้น ทำให้เขาคิดได้ว่าสุดท้ายแล้วจะมีเพียงผู้ที่เเข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นที่จะไม่ถูกรังแก และเป็นผู้ที่สามารถควบคุมทุกสิ่งอย่าง พลังอำนาจเองก็ยังคงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผลักดันให้สามารถอยู่จุดสูงสุดได้เสมอ เพราะโลกของชาวยุทธภพนี้ทุกคนย่อมให้ความเคารพมีความอ่อนน้อมแก่ผู้ที่เเข็งแกร่งอีกทั้งยังยำเกรงต่อผู้มีอำนาจนั่นเอง
หนิงอ้ายมองดูกระบี่สีขาวในมือที่ถูกแกะสลักกลวดลายงดงามแปลกตา นี่เป็นกระบี่ที่เขาตัดสินใจซื้อมาจากร้านค้าอาวุธวิเศษเมื่อตอนที่ได้ไปตลาดในช่วงเย็นวันนี้ที่ผ่านมากระบี่หมอกรุ้งพิสุทธิ์เหมันต์เล่มนี้ที่คนแนะนำประจำตรงบริเวณอาวุธวิเศษ ได้บอกแก่หนิงอ้ายว่ากระบี่เล่มนี้อยู่ในร้านค้านี้มานานแล้ว ทว่าไม่สามารถมีผู้ใดที่จะสามารถครอบครองได้ ตอนที่เขาเข้ามาทำงานที่ร้านนี้ก็ได้มีกระบี่ดังกล่าวแขวนอยู่มาก่อนแล้ว หากนับเป็นเวลาก็ล่วงเลยมาเกือบสามสิบปีเลยทีเดียว คนงานเก่าแก่ที่เคยอยู่ก่อนหน้าหลาย ๆ คนได้เล่าให้ฟังว่ากระบี่เล่มนี้ไม่ทราบถึงตัวคนที่นำมาฝากขายเเต่อย่างใดเพียงเเต่เล่าให้ฟังถึงที่มาของตัวกระบี่ดังกล่าวนี้เท่านั้น
เจ้าของร้านรุ่นก่อนไปหลายรุ่นเห็นว่าเป็นกระบี่เนื้อดีที่มีความงดงามอาจจะขายในราคาที่สูงได้จึงตกปากรับซื้อโดยทันที หลังจากนั้นมีผู้คนมากมายทั้งคนทั่วไปรวมไปถึงชาวยุทธภพต่างซื้อกระบี่เล่มนี้ไป เพียงเเต่ว่าไม่เกินสามราตรีเท่านั้นกลับเอามาคืนที่ร้านด้วยสภาพของกระบี่ที่ยังคงงดงามไร้การผูกพันธะ อีกทั้งยังไม่ขอรับเงินคืนทำเอาน่าเเปลกใจไม่น้อยเเต่ด้วยเพราะสามารถเข้าใจได้ว่ากระบี่เเต่ละเล่มนั้นต่างก็มีจิตวิญญาณเช่นเดียวกัน
ผู้ที่นำกระบี่เล่มนี้มาขายกับทางร้านได้เอ่ยกล่าวว่ากระบี่เล่มนี้ถูกตีขึ้นในวันที่มีช่วงเวลาของกลางวันและกลางคืนเท่ากัน ปรากฏการณ์ดังกล่าวนี้มักจะเกิดขึ้นในรอบหนึ่งพันปีเพียงเท่านั้น วัสดุที่ถูกนำมาสร้างกระบี่เล่มนี้ว่ากันว่าเป็นกระดูกวิญญาณของสัตว์อสูรวารีหมอกรุ้งพิสุทธิ์เหมันต์อันเป็นสัตว์อสูรระดับสูงที่ไม่มีผู้ใดพบเห็นมาหลายร้อยปีเเล้ว ที่ได้ทำการสละร่างกายและกระดูกวิญญาณอสูรของตนสำหรับการละทิ้งทุกสิ่งอย่างโดยไม่ต้องมีห่วงอันใด
หนิงอ้ายดึงกระบี่ออกจากด้ามจับปรากฏเป็นกระบี่เนื้อดีสีขาวมุกแวววาวเปล่งประกายสะท้อนกับเเสงเทียนในห้องได้อย่างงดงาม หลังจากนั้นแล้วจึงลองใช้แขนข้างที่เขาถนัดทำการกวัดแกว่งไปเพื่อทดสอบการใช้งาน สำหรับกระบี่ที่เขาได้ซื้อมามีน้ำหนักที่พอเหมาะพอดีไม่เบาไม่หนักจนเกินไป มองด้วยตาเปล่าสามารถรับรู้ได้ถึงความคมของตัวกระบี่คล้ายกับดาบซามูไรในโลกเดิมของเขา หากเปรียบเทียบกันแล้วกล่าวได้ว่าเป็นกระบี่ที่งดงามเเต่แฝงด้วยกลิ่นอายความดุดันไม่น้อย หนิงอ้ายเอ่ยในใจว่าหากเป็นเพราะโชคชะตาลิขิตจากสวรรค์แล้วขอให้เขาสามารถผูกพันธะกับกระบี่เล่มนี้ให้สำเร็จ จากนั้นหนิงอ้ายจึงตัดสินใจร่ายบทเวทย์ทำการผูกพันธะกับกระบี่นี้ในทันที
หลังจากที่หนิงอ้ายนั้นได้ทำการผูกพันธะกับกระบี่เล่มนี้ได้สำเร็จ ราวกับว่าหนิงอ้ายได้เข้าไปยังสถานที่หนึ่งที่ตนไม่คุ้นเคยในความทรงจำ หากกล่าวไม่ผิดในตอนนี้ตัวเขาเป็นเสมือนบุคคลที่สามที่มองเห็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นถึงความเป็นที่มาของกระบี่เล่มนี้...
สัตว์อสูรวารีหมอกรุ้งพิสุทธิ์เหมันต์เป็นคนรักของเจ้านายผูกพันธะของตน ทั้งสองให้คำสัญญาต่อกันว่าจะไม่มีสิ่งใดมาพรากจากกันอย่างแน่นอน เเต่สุดท้ายเเล้วชายหนุ่มผู้ผูกพันธะกับสัตว์อสูรดังกล่าวได้ทำการตบแต่งสตรีผู้หนึ่งเข้าตระกูลตามคำสั่งของบิดามารดา แม้ว่านางจะเข้าใจเป็นอย่างดีว่าความรักระหว่างสัตว์อสูรกับมนุษย์นั้นเป็นไปได้ยาก เเต่ด้วยเพราะเชื่อว่าพวกเขาทั้งสองได้ฟันฝ่าทุกอย่างมาด้วยกันอย่างมากมาย อีกทั้งฝ่ายชายยังให้คำสัญญาว่าจะรักนางเสมอ แม้นางจะเป็นเพียงเเค่สัตว์อสูรก็ไม่อาจทำให้ใจของเขานั้นแปรเปลี่ยนอย่างแน่นอน
เเต่ใครเล่าจะรู้...เวลาเปลี่ยนใจคนเปลี่ยนได้เช่นกัน ขณะที่สัตว์อสูรวารีหมอกรุ้งพิสุทธิ์เหมันต์นั้นกำลังตั้งครรภ์ นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง นางเฝ้ารอวันที่ชายคนรักจะกลับมาจากการไปเยี่ยมเยือนบ้านของสตรีที่เขานั้นจำเป็นต้องตบแต่งเข้ามา เเต่สุดท้ายวันที่นางไม่คาดคิดจะมาถึงชายคนรักที่เคยพร่ำบอกว่าไม่มีทางที่เขาจะเกินเลยไปกับสตรีผู้นั้น เเต่กลายเป็นว่านางกลับท้องอ่อน ๆ อายุครรภ์ไล่เลี่ยกับนางเสียด้วยซ้ำ ชายหนุ่มผู้เป็นที่รักได้เเต่ขอโทษนางและให้คำสัญญาว่านางยังจะเป็นผู้ที่สำคัญที่สุด
อสูรวารีหมอกรุ้งพิสุทธิ์เหมันต์แม้จะเป็นสัตว์อสูรระดับสูงเพียงใดก็ไม่อาจทันเล่ห์เหลี่ยมของมนุษย์ได้ ชายคนรักได้เอ่ยขอร้องให้นางปลอมตัวเป็นเพียงหญิงชาวบ้านธรรมดา อีกทั้งใช้พันธะที่ได้ผูกไว้สะกดพลังที่เเท้จริงของนางไว้...
ลับหลังของชายอันเป็นที่รัก นางมักจะถูกกลั่นแกล้งและถูกทำร้ายร่างกายอยู่เสมอ นางไม่แน่ใจว่าชายคนรักนั้นไม่เคยรับรู้หรือไม่คิดจะสนใจกัน จนมาวันหนึ่งที่สตรีนางนั้นล้มป่วยลงและเกือบทำเสียบุตรในท้องไป ในคืนนั้นนางผู้เป็นสัตว์อสูรในพันธะที่คิดว่านางเป็นคนรักที่สำคัญของชายหนุ่ม เเต่แล้วคนรักของนางได้เข้ามาด่าทอนางโดยที่ไม่ฟังความอะไรทั้งสิ้น อีกทั้งเชื่อคำเป่าหูโดยที่ไม่สืบหาความจริงสักนิดว่าเป็นฝีมือของผู้ใด เพราะคิดว่านางเป็นถึงสัตว์อสูรระดับสูงย่อมมีลูกไม้ที่ไม่ธรรมดาสามัญอยู่เเล้ว
เมื่อกล่าวด่าทอนางจบก็หันหลังกลับไปเฝ้าสตรีนางนั้นในทันที ทิ้งไว้ให้นางได้เเต่ร้องไห้เสียใจชายผู้เป็นที่รักคงลืมไปเเล้วว่าได้ใช้พันธะสะกดพลังของนางหมดสิ้นจนนางนั้นแทบไม่ต่างจากคนธรรมดาเสียด้วยซ้ำ และนางจะไม่สามารถใช้พลังได้หากไม่มีสิ่งที่คู่ควรมาเเลกเปลี่ยนพันธะดังกล่าว เสียงของบ่าวรับใช้กล่าวว่าชายหนุ่มเอาใจใส่ดูเเลสตรีผู้นั้นอย่างดีและยกย่องนางผู้นั้นเป็นฮูหยินเอกของตระกูลที่เหมาะสมกันราวกับคู่หยวนหยาง แม้นางจะเจ็บช้ำเพียงใดนางไม่เคยคิดจะจากไปจากชายคนรักสักครั้ง
ความรู้สึกของนางในตอนนี้ปนเปกันไปหมดทั้งสำนึกบุญคุณ ทั้งความรัก ทั้งความรู้สึกราวกับถูกทรยศหักหลัง ทุกความรู้สึกได้เข้ามาโจมตีไม่หยุด อีกทั้งบุตรในครรภ์ของนางนั้นจวนเจียนจะคลอดเเล้วเเต่ด้วยเพราะนางเป็นสัตว์อสูรระดับสูงการตั้งครรภ์จึงไม่เหมือนคนทั่วไปนางเพียงมีอาการเหนื่อยล้าเนื่องจากถูกบุตรในท้องดูดกลืนพลังวิญญาณไปนั่นเอง
ความจริงแล้วนางสามารถใช้ผลึกปราณธาตุหรือกระดูกวิญญาณระดับต่ำในการบำรุงครรภ์ได้เช่นกัน เพียงเเต่ว่าหลังจากเหตุการ์ณในครั้งนั้นชายหนุ่มไม่เคยมายังเรือนของนางอีก ข้าวของทุกสิ่งอย่างที่นางควรได้รับนั้นกลับไม่ได้เลยเพียงนิด นางมารับรู้ทีหลังว่าการจัดการดังกล่าวนั้นเป็นสตรีผู้นั้น ยิ่งนางได้คลอดบุตรออกมาก่อนกำหนดเเล้วเป็นบุตรชาย ยิ่งทำให้ฐานะในใจของสตรีนางนั้นที่มีต่อชายหนุ่มคนรักจึงเพิ่มสูงขึ้นไปอีกหลายเท่า
จนมาถึงวันที่ความอดทนนางได้หมดลงในวันครบรอบบุตรชายอายุหนึ่งเดือนของชายคนรักกับสตรีผู้นั้น นางได้ถูกสั่งห้ามไม้ให้เข้าร่วมพิธีดังกล่าวเเต่ที่เรือนของนางก็มีสำรับอาหารปกติ หลังจากที่นางได้กินเข้าไปพลันรู้สึกปวดท้องขึ้นมาอย่างรุนแรงราวกับจะคลอด และนางไม่สามารถใช้พลังของสัตว์อสูรของตนในการรักษาบุตรในครรภ์ไว้ได้ ยาทำแท้งยังคงมีผลต่อนางเหมือนกับคนปกติ หากก่อนหน้านี้นางได้รับกระดูกวิญญาณของสัตว์อสูรหรือพลังลมปราณจากผู้ผูกพันธะนางจะไม่มีทางเป็นเช่นนี้ เเต่ที่นางสามารถกลับมาใช้พลังวิญญาณได้ด้วยเพราะชีวิตบุตรของนางเเลกกับการปลดผนึกพันธะที่พันผูก ช่างเป็นการเเลกเปลี่ยนที่ไม่คุ้มค่าและนางไม่ได้ต้องการให้เป็นเเบบนี้ไม่น้อย...
สัตว์อสูรวารีหมอกรุ้งพิสุทธิ์เหมันต์ได้พาร่างกายอันบอบช้ำของนาง พร้อมกับร่างบุตรชายที่ไร้วิญญาณไปยังงานเลี้ยงดังกล่าวโดยที่ไม่ต้องกล่าวอะไรทั้งสิ้นนาง ได้กางอาณาเขตม่านน้ำที่ทรงพลังกักขังผู้คนที่อยู่ในงานทั้งหมดใครที่คิดจะฝ่าม่านน้ำสายนี้ออกไปต่างถูกกระเเสพายุน้ำวนตัดเป็นชิ้นส่วนไปสิ้น
หลังจากที่ทุกคนได้สติจึงหันมาต่อสู้กับนางในทันที แม้ว่านางจะเป็นสัตว์อสูรระดับสูงเเต่เมื่อมีคนจำนวนมากร่างกายของนางจึงบอบช้ำไม่น้อย ในที่สุดทุกคนต่างมีมติให้ชายคนรักของนางที่ตอนนี้ขึ้นเป็นประมุขของตระกูลให้ตัดสินโทษแก่นางเสีย ชายหนุ่มได้เเต่เเปลกใจมากกว่าที่นางสามารถใช้พลังอสูรได้ทั้ง ๆ ที่เขาได้ผนึกไว้แล้ว หากเขาไม่ทำการปลดผนึกเองก็ต้องเป็นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่เสียชีวิตไปจึงจะเป็นอิสระต่อกัน เเต่เมื่อชายหนุ่มได้สังเกตว่าในอ้อมแขนของนางโอบกอดสิ่งใดอยู่ทำเอาเขานั้นตกใจยิ่ง
ไม่รอให้ชายหนุ่มเอ่ยถามสิ่งใดก็เป็นนางที่เริ่มบทสนทนาดังกล่าว...
''หรงเซียว ท่านทำให้ข้าได้รู้ว่าสุดท้ายเเล้วมนุษย์ก็ไม่รู้จักรักษาสัจจะที่เคยเอ่ย ท่านจำได้หรือไม่ว่าเคยเอ่ยสัญญาอะไรกับข้าเราทั้งสองต่างรู้จักผูกพันธ์กันมาหลายปีไม่น้อยจนข้าไม่รู้ว่าเป็นท่านที่ไม่เคยรู้จักข้าจริง ๆ หรือเป็นข้าที่ไม่เคยรู้จักในตัวท่านในที่ผ่านมา...''
''ต่อให้ท่านจะทำร้ายจิตใจข้ามากเเค่ไหน ต่อให้พวกมันจะกลั่นแกล้งข้าทำร้ายข้าเเต่สิ่งที่ข้าทนไม่ได้นั่นคือการที่มีคนมาทำร้ายคนที่ข้ารัก ก่อนหน้านี้ข้ามีเพียงสองคนเท่านั้นหนึ่งก็คือท่านที่เป็นดั่งเจ้าชีวิตเป็นคนรักของข้าสองนั่นคือบุตรที่อยู่ในครรภ์ที่รอนับวันลืมตาขึ้นมามีชีวิตในโลกใบนี้...''
''เเต่ท่านดูสิสิ่งที่พวกมันทำกับข้า ทำให้ข้าเสียบุตรไปข้าเสียใจเจ็บปวดเเค่ไหนท่านรู้หรือไม่เเต่สิ่งที่ทำข้าเจ็บปวดมากที่สุดนั่นก็คือตัวข้าเองที่ยังคงโง่งมเชื่อในคำสัญญาที่ท่านเคยให้ไว้...''
''ในวันนี้ข้ายอมแพ้เเล้ว ข้าเหนื่อยที่จะรักท่านต่อไปเเล้วด้วยชีวิตของลูกข้าทำให้เราสองคนต่างไม่มีพันธะมาข้องเกี่ยวกันอีก ข้าขอให้ท่านมีความสุขในทางที่ท่านได้เลือกไว้เเต่สำหรับตัวข้านั้นหากเลือกย้อนเวลาไปได้ตัวข้าจะยอมตายไปเสียตั้งเเต่ตอนเเรกเพื่อที่จะไม่ต้องได้มารู้จักกับท่านเช่นนี้...''
''พวกเจ้าทุกคนที่ต่างมีส่วนเกี่ยวข้องในการวางเเผนทำให้บุตรของข้าต้องตายไปในวันนี้ด้วยอำนาจเเห่งข้า อสูรวารีหมอกรุ้งพิสุทธิ์เหมันต์สัตว์อสูรบรรพกาลศักดิ์สิทธิ์ที่เหลืออยู่ตนสุดท้ายของเผ่า ขอสาปแช่งพวกมันทุกคนให้พบเเต่ความล่มจมและความเจ็บปวดมากกว่าข้าหลายพันเท่าขอให้คำสาปแช่งนี้มีผลตราบเท่านานไม่มีอำนาจใดลบล้างได้ทั้งสิ้น!!!!''
ครืน! ครืน!ครืน!
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
ราวกับว่าสวรรค์เบื้องบนได้รับรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้นนางนั้นได้เเต่มองหน้าชายหนุ่มผู้เป็นคนรักและบุตรชายที่เสียไปเเล้วในอ้อมกอดครั้งสุดท้าย หลังจากนั้นจึงตัดสินใจล้วงมือไปยังตรงบริเวณส่วนหัวใจของนางเอากระดูกวิญญาณต้นกำเนิดออกมาแปรเปลี่ยนเป็นกระบี่ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังที่อัดแน่นของสัตว์อสูรบรรพกาล อีกทั้งยังลงบทเวทย์กำกับไว้ว่าผู้ที่คู่ควรเท่านั้นจึงจะสามารถใช้พลังที่เเท้จริงครอบครองเป็นเจ้าของได้ หลังจากนั้นนางจึงตัดสินใจหันคมกระบี่ขึ้นพาดคอของนางในทันที
''อย่า!!!!!'' สิ้นเสียงของชายหนุ่มผู้เป็นดั่งคนรักของนางที่เป็นสัตว์อสูรได้เอ่ยห้ามขึ้นเเต่ก็ไม่ทันการณ์ไปเสียเเล้วสิ่งที่ชายหนุ่มสามารถไขว่คว้าโอบกอดได้กลับเป็นเพียงร่างกายที่ไร้วิญญาณของคนรักและบุตรชายที่ไร้แม้เเต่โอกาสได้ลืมตาบนโลกเเล้วภาพก็ตัดกลับไปในทันที...
หนิงอ้ายไม่สามารถรับรู้ได้ว่าหลังจากที่นางได้ทำการปลิดชีพของตนแล้วนั้นจะเกิดอะไรขึ้นต่อไปด้วยเพราะสิ่งที่เขาเห็นนั้นจะเป็นเพียงมุมมองของนางสัตว์อสูรเพียงฝ่ายเดียว ดังนั้นเรื่องราวของเส้นทางที่กระบี่วารีหมอกรุ้งพิสุทธิ์เหมันต์เล่มนี้อาจจะถูกส่งต่อกันภายในตระกูลนั้นหรือถูกขายให้กับร้านค้าอาวุธวิเศษนี้ได้อย่างไรหรือจะเป็นเรื่องราวของผู้ที่ได้ครอบครองก่อนหน้าต้องประสพพบเจอกับสิ่งใดบ้างถึงขนาดมีความหวาดกลัวและนำกระบี่เล่มนี้มาคืนยังร้านโดยไม่ต้องการเงินคืนเช่นนั้นได้กัน..
กระบี่วารีหมอกรุ้งพิสุทธิ์เหมันต์เล่มนี้เกิดจากกระดูกวิญญาณต้นกำเนิดอันเป็นแก่นปราณที่ดวงจิตเต็มไปด้วยปรารถนาอันเเรงกล้าเด็ดเดี่ยวของสัตว์อสูรบรรพกาลสายเลือดบริสุทธิ์ จากภาพเหตุการณ์ที่เขาได้เห็นไปเป็นเพียงมุมมองของนางสัตว์อสูรเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น เเต่ของเรื่องราวของทางฝั่งชายหนุ่มคนรักของนางหนิงอ้ายเองที่ยังไม่ได้รับรู้เกี่ยวกับข้อเท็จจริงทั้งหมดจึงยากที่จะตัดสินว่าท้ายที่สุดเเล้วเป็นผู้ใดหรือฝ่ายใดกันกันที่เป็นผู้ที่ผิดกัน
เเต่ในความคิดเห็นส่วนตัวของเขานั้นได้มองว่าฝั่งชายเองก็มีความผิดในส่วนที่ว่าชายหนุ่มคนรักนั้นก็ไม่มีความหนักเเน่นในความรักของตนจนทำให้นางสัตว์อสูรรู้สึกไม่เชื่อใจเเละไม่วางใจ ในส่วนของนางสัตว์อสูรนั้นนางเองก็ไม่รู้จักที่จะรักตัวเองให้มากกว่านี้ นางเอาใจของตนไปผูกกับชายหนุ่มคนรักจนเกินไปทำให้เรื่องราวโศกนาฏกรรมครั้งนี้ได้เกิดขึ้น...
หนิงอ้ายใช้เวลาเกือบหนึ่งเค่อเลยทีเดียวในการตั้งสติของตนให้กลับมามั่นคงเหมือนเดิมอีกครั้งนอกจากนี้ตัวเขาเองยังต้องพยายามเป็นอย่างมากในการควบคุมพลังลมปราณในร่างกายของตนให้หมุนไหลเวียนเข้าออกอย่างสมดุลซึ่งต้องบอกเลยว่าเรื่องราวในเหตุการณ์เมื่อครู่ตั้งเเต่ต้นจนจบที่ตนได้เห็นนั้นนับว่าเป็นสิ่งที่ทำให้จิตใจของหนิงอ้ายรู้สึกเศร้าเจ็บปวดอย่างถึงที่สุดทุกความรู้สึกในด้านลบต่างชักนำเขานั้นดำดิ่งลงสู่ความมืดมิดกัดกินหัวใจให้เจ็บปวดทรมานอย่างมากที่สุดราวกับเป็นผู้ที่โดนกระทำเสียเองซึ่งสิ่งที่เขาได้รู้สึกเมื่อครู่คงจะไม่ใช่คำกล่าวที่เกินจริงไปนัก
หนิงอ้ายรับรู้ได้ว่าสิ่งที่ตนมองเห็นภาพเหตุการณ์ต่าง ๆ เสมือนเป็นบุคคลที่สามในก่อนหน้านี้นั่นเป็นเพียงเศษเสี้ยวความทรงจำของสัตว์อสูรบรรพกาลวารีหมอกรุ้งพิสุทธิ์เหมันต์ที่ถูกผนึกฝังไว้ภายในกระบี่เล่มนี้
ตอนเเรกนั้นหนิงอ้ายคิดว่าตัวของกระบี่คงเพียงทำขึ้นจากวัสดุพิเศษที่หายากจึงทำให้มีความแตกต่างจากกระบี่อื่น ๆ ทั่วไปจนที่เขาเองสามารถสังเกตรับรู้ได้ เเต่พอที่ตัวเขาได้เห็นภาพเหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้นในหัวนั้นทำให้หนิงอ้ายเองก็ประหลาดใจ ไม่คิดเลยเสียด้วยซ้ำว่าเรื่องเล่าถึงที่มาของกระบี่เล่มนี้ที่คนขายอาวุธวิเศษบอกกับตน แม้ว่าเรื่องราวของความเป็นมาของกระบี่เล่มนี้จะถูกเล่าต่อเติมแต่งเรื่องราวมากมายเพียงใดเเต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกันว่าก็มีในส่วนของความจริงไม่น้อยเลยทีเดียว...
หลังจากทำการผูกพันธะสำเร็จเเล้ว หนิงอ้ายสามารถทำการสื่อสารกับกระบี่วารีหมอกรุ้งพิสุทธิ์เหมันต์เล่มนี้ได้เช่นเดียวกับที่พูดคุยกับเจียวซิ่น ก่อนที่เขาจะเข้าสู่ห้วงมิติที่มีความพิศดารลึกล้ำ อันเป็นพื้นที่สีขาวบริสุทธิ์ที่ไม่อาจรับรู้ได้ถึงจุดเริ่มต้นหรือจุดสิ้นสุดใดใดทั้งสิ้น ทว่าในความเข้าใจและไม่เข้าใจในความลึกลับของพื้นที่ในมิติลึกลับว่างเปล่า ได้เกิดเป็นความปั่นป่วนสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ก่อนที่จะสงบหยุดนิ่ง เมื่อจิตสำนึกของหนิงอ้ายค่อย ๆ แจ่มชัดขึ้น แสงสีขาวได้ปรากฎขึ้นสว่างจ้าก่อเกิดเป็นเงาร่างขนาดใหญ่ที่แผ่กลิ่นอายความไม่ธรรดาอย่างปิดไม่มิด"ข้าหวังหนิงอ้าย คำนับผู้อาวุโสขอรับ!!"ทันทีที่เขาพูดจบตัวกระบี่ได้เกิดประกายเเสงและสั่นเล็กน้อยก่อนที่จะสงบเงียบไปราวกับว่าเมื่อครู่นี้ไม่ได้เกิดสิ่งใด แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่มีเสียงตอบกลับเเต่สิ่งที่เกิดขึ้นที่ตัวกระบี่มีการตอบสนองนั้นราวกับว่ารับรู้ได้ว่าหนิงอ้ายเอ่ยคุยสิ่งใดเเต่ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น'เจ้าชื่อหวังหนิงอ้ายอย่างนั้นรึ?? ลูกหลานตระกูลหวังที่มีความบริสุทธิ์เข้มข้นทางสายเลือดยิ่ง...''เอาละ!! ข้าจะทำการถ่ายทอดเคล็ดวิชากระบี่เจ็ดดาวเห
ในที่สุดวันเวลาก็ได้ผันเปลี่ยนหมุนเวียนมาถึงเช้าของวันใหม่ซึ่งเป็นวันเเรกตามกำหนดการของงานประลองของแคว้นที่มีการประกาศจัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบครั้งที่แปดสิบแปด (88) ตัวเลขแปด (8) นั้นชาวยุทธภพรวมไปถึงชาวบ้านธรรมดาในทั่วทุกแคว้นต่างมีความเชื่อกันว่าเป็นตัวเลขที่ดีเป็นอย่างมาก มีความข้องเกี่ยวกับความร่ำรวยในเงินทองยิ่งหากมีตัวเลขนี้ต่อกันมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งหมายถึงความร่ำรวยที่ไม่มีความสิ้นสุดเเต่ละแคว้นจะมีการปกครองในแคว้นของตนให้มีความเป็นอยู่ที่ดีก็จริงเเต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าฐานะของเเต่ละตระกูลในแคว้นต่างมีเรื่องของเงินทองหรือความร่ำรวยเป็นสิ่งที่สำคัญเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งสิ้นไม่ว่าจะในเรื่องของหน้าตาของตระกูล การทำกิจการเพื่อหาเงินทองมาใช้ในการปกครองคนในจวนของตนรวมไปถึงการได้ถูกยอมรับนับถือจากผู้คนทั่วไปอีกด้วยและก็มีไม่น้อยเช่นกันที่พื้นที่อยู่อาศัยหรือพื้นที่ทำมาหากินที่มีทำเลที่ดีมักจะเป็นกรรมสิทธิ์ครอบครองของตระกูลที่ร่ำรวยไปส่วนใหญ่อีกทั้งยังมีการจัดสรรเเบ่งเขตที่อยู่อาศัยนั้นก็ยึดจากความร่ำรวยเข้ามาข้องเกี่ยวไม่น้อยโดยที่ตระกูลใหญ่หรือตระกูลที่ร่ำรวยนั้นจะมีพื้นที่จวนอยู่บริเ
หนิงอ้ายกับลู่ซีมุ่งตรงไปยังจุดลงทะเบียนที่มีการกางโตะตรงที่ปากทางเข้าการประลองในทันที แม้ว่าทั้งสองคนนั้นจะรีบเร่งออกจากจวนตระกูลหวังเป็นเวลาเช้าเเต่ก็ยังมีผู้ฝึกตนที่เดินทางมาถึงเร็วกว่ากว่าพวกเขาทั้งสองคน ในตอนนี้มีผู้คนมากมายที่กำลังรายล้อมอยู่โดยรอบจุดบริเวณดังกล่าวที่เปิดให้ลงทะเบียนอยู่ ถือว่าเป็นโชคดีของพวกเขาทั้งสองคนนั้นไม่น้อยที่มาทันเวลาพอดีเพราะว่าการประลองในครั้งนี้มีผู้สนใจเข้าร่วมเป็นอย่างมากดังนั้นจึงมีการจำกัดคนเข้าเเข่งขันเพียงเเค่ห้าร้อยคนเท่านั้น''เนื่องจากครั้งนี้เป็นงานประลองแคว้นครั้งที่แปดสิบแปด ดังนั้นเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองจึงไม่มีการเรียกเก็บเงินสมัครในการประลองครั้งนี้ใดใดทั้งสิ้น เเต่จะจำกัดผู้เข้าเเข่งขันเพียงเเค่ห้าร้อยคนเท่านั้นและจะไม่มีการแบ่งแยกช่วงอายุการประลองทั้งสิ้นสำหรับผู้ใดที่หวังเพียงมาเล่นไม่จริงจังสามารถถอดตัวออกไปได้ทันที อย่าหาว่าไม่เตือน!!!'' เสียงของผู้ควบคุมกฎที่ทำหน้าที่ดูเเลในการลงทะเบียนได้เอ่ยขึ้นและดังพอที่จะให้ได้ยินในบริเวณโดยรอบทันที'ข้าจะตกใจอะไรก่อนดีเล่า? การประลองครั้งนี้เปิดรับเพียงห้าร้อยคนหรือจะเป็นการจัดเเข่งขันประลองเ
"การเเข่งขันผู้เข้าประลองสามารถใช้ได้ทั้งวรยุทธอีกทั้งบทเวทย์ระดับต่าง ๆ รวมไปถึงอสูรรับใช้ก็ได้เช่นกันสำหรับการลงเเข่งขันจะไม่จำกัดเวลาจนกว่าจะล้มคู่ต่อสู้ได้ อีกทั้งการลงประลองนั้นจะเป็นการสุ่มรายชื่อ ผู้ชนะในเเต่ละรอบประลองอาจจะได้ลงประลองอีกหลายครั้งในขณะที่บางคนอาจจะได้ลงประลองเพียงเเค่หนึ่งหรือสองครั้งเพียงเท่านั้น เท่ากับว่านอกจากที่พวกเจ้าจะต้องอาศัยฝีมือของตนเเล้วนั้นก็ต้องอาศัยโชคเช่นกันว่าวันนี้จะเป็นวันของพวกเจ้าหรือไม่?"ผู้อาวุโสที่ทำหน้าที่ดำเนินการประลองพูดถึงความพิเศษของกฎการลงประลองครั้งนี้ สิ้นเสียงกล่าวจบลงผู้คนต่าง ๆ ที่อยู่โดยรอบสนามประลองต่างส่งเสียงเชียร์ดังกระหึ่มสร้างความรู้สึกฮึกเหิมด้วยเพราะว่าตอนนี้ถึงเวลาที่ทุกคนรอคอยเเล้ว"หากเป็นการสุ่มรายชื่อ หากว่ามีผู้ชนะในการลงประลองเเต่ละครั้งเเต่ในทุกการสุ่มรายชื่อดันมีเเต่รายชื่อของเขาให้ลงเเข่งขันเเต่กลับอีกคนอาจจะมีรายชื่อในการประลองเพียงไม่กี่ครั้งหากเป็นเช่นนี้จะไม่เป็นการเสียเปรียบกันหรือขอรับ??" หนิงอ้ายถามขึ้น ด้วยเพราะเขาสังเกตว่ากฎการประลองที่มีการปรับเปลี่ยนนี้มีช่องโหว่ค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว หากว่ามีมื
ผู้คนที่อยู่ในสนามประลองที่ให้ความสนใจกับการประลองของคู่นี้ต่างแตกตื่นกันเป็นอย่างมาก เพราะสัตว์อสูรที่คุณชายกวงเหยาหานเรียกออกมา นอกจากว่าจะเป็นสิงโตเพลิงที่หายากเเล้วยังเป็นสัตว์อสูรมายาขั้นกลางอีกด้วย นับว่าตระกูลกวงนั้นให้ความสำคัญแก่คุณชายกวงเหยาหานท่านนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว"โจมตีพวกมันซะ!!!" กวงเหยาหานสั่งอสูรสิงโตมกรเพลิงของตนเข้าโจมตีลู่ซีในทันทีโฮก!วูบ!อสูรสิงโตมกรเพลิงคำรามออกมาเสียงดังพร้อมกับพุ่งทะยานเข้าโจมตีลู่ซีด้วยความรุนแรงเกรี้ยวกราดโฮก!ตู้ม! ตู้ม!ลู่ซีไม่ยอมตกเป็นรองในการประลองครั้งนี้ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายได้อัญเชิญอสูรรับใช้ของตนออกมา เขาจึงอัญเชิญอสูรในพันธะนั่นคือเสี่ยวเฟิง หรือวิฬาร์อัสนีสีชาดนั่นเองเสียงร้องของวิฬาร์อัสนีสีชาด สัตว์อสูรมายาขั้นกลางร้องดังขึ้นไปทั่วสนามประลอง จนผู้คนที่มีพลังวิญญาณไม่สูงมากรวมไปถึงชาวบ้านธรรมดาต่างต้องยกมือขึ้นมาปิดหูของตนในทันที สายพลังเเห่งอัสนีบาตที่พวยพุ่งอยู่โดยรอบตัวของวิฬาร์อัสนีสีชาดได้ถูกปลดปล่อยออกมา โดยที่ไม่ต้องให้ลู่ซีบัญชาการอีกฝ่ายได้พุ่งโจมตีไปยังสิงโตมกรเพลิงด้วยความรวดเร็วไม่ทันได้ตั้งตัวเสียด้วยซ้ำ"เฮือก
ด้วยเพราะหนิงอ้ายใช้เนตรเเห่งสวรรค์จึงทำให้เขาสามารถบอกลู่ซีถึงผู้ที่เข้ารอบมาในเเต่ละคนนั้นว่ามีจุดเเข็งในด้านใด ควรระวังในเรื่องใดบ้างรวมไปถึงจุดอ่อนต่าง ๆ แม้เพียงนิดก็ไม่อาจหลุดรอดสายตาไปได้ อีกทั้งหนิงอ้ายยังคงพูดคุยแนะนำให้กับลู่ซีถึงการใช้บทเวทย์กับผู้ฝึกตนที่เข้ารอบเเต่ละคนว่าควรใช้บทเวทย์ใดกับผู้ใดบ้างหากว่าถูกสุ่มรายชื่อให้ลงสนามประลอง"ขอบใจเจ้ามากหากว่าไม่ไหวจริง ๆ เกอจะขอยอมแพ้เอง..." ลู่ซีเอ่ยตอบกลับหนิงอ้ายไปด้วยรู้ว่าคนด้านข้างนั้นเป็นห่วงเขาไม่น้อยเเต่ถึงอย่างนั้นนับจากการลงประลองในครั้งเเรกจนถึงตอนนี้ตนยังไม่ได้ลงเเข่งขันอีก ดังนั้นสำหรับเขาและหนิงอ้ายที่ก่อนหน้าได้เเลกเปลี่ยนความคิดเห็นว่าในการประลองของเเต่ละคู่นั้นผู้ใดจะเป็นผู้ชนะ หรือแม้กระทั้งว่าหากตัวเขานั้นได้ลงประลองกับผู้ประลองคนดังกล่าวจะเเก้ทางของบทเวทย์ที่อีกฝ่ายใช้หรือว่าควรใช้วรยุทธอย่างไรโต้กลับ เพื่อที่จะให้ตนสามารถเป็นผู้ชนะได้นั่นเองการประลองยังคงดำเนินต่อไปเพื่อเฟ้นหาผู้แข่งขันสิบคนเพื่อเข้าสู่การประลองครั้งสุดท้ายในรอบแรก เพื่อประลองกันอีกครั้งจนได้ตัวเเทนของราชทินนามขุนนางวิญญาณเพียงห้าคนเท่านั
คุณชายรองตระกูลจางหรือจางหมิงหวัง ก่อนหน้านี้ได้ทำการร่ายบทเวทย์อัญเชิญสัตว์อสูรรับใช้ในพันธะของตนออกมากลางสนามประลองเเห่งนี้ปรากฏเป็นสัตว์อสูรรูปร่างใหญ่โตที่มีความสูงราวสามเมตร สัตว์อสูรในพันธะที่ถูกอัญเชิญออกมาของคุณชายจางหมิงหวังมีรูปลักษณ์ภายนอกคล้ายกับวัวขนสีน้ำตาลทองสว่างไสว มีดวงตาสีแดงกล่ำที่เเสดงให้เห็นถึงท่าทางความดุร้ายออกมาอย่างเปิดเผยราวกับว่าไม่ต้องการปกปิดแม้เเต่เพียงนิดทั่วทั้งร่างกายของสัตว์อสูรตัวดังกล่าวนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยมัดกล้ามที่ส่งกลิ่นอายถึงความเเข็งแกร่งของสัตว์อสูรมายาออกมาให้ได้สัมผัส นอกจากนั้นแล้วยังส่งเสียงคำรามดังกึกก้องไปทั่วทั้งสนามประลองพร้อมกับกำหมัดขึ้นทั้งสองข้าง และทุบตีที่อกของตัวเองไปมาพร้อมกับกวาดสายตามองไปทั่วทั้งบริเวณด้วยความที่เป็นถึงสัตว์อสูรมายา ดังนั้นเพียงเเค่เสียงคำรามที่ร้องออกมาก็สามารข่มขวัญผู้คนที่อยู่โดยรอบของสนามประลอง อีกทั้งยังส่งผลทำให้ม่านพลังเกราะป้องกันที่ถูกร่ายกำกับไว้ในสนามประลองถึงกับสั่นไหวไปมา หากว่าบทเวทย์ป้องกันที่ใช้ในสนามประลองดังกล่าวไม่ได้อยู่ในระดับสูง หรือไม่ได้มีการร่ายกำกับไว้หลายชั้นคงถูกทำลายลงไปนานเเ
คุณชายรองจางหมิงหวังถูกทัณฑ์สายฟ้าจากบทเวทย์ยันต์เขตแดนระดับเทวะเข้าโจมตีอย่างรุนแรงและต่อเนื่องเป็นเวลาเกือบหนึ่งเค่อ จนทำให้ตัวของจางหมิงหวังถึงกับล้มลงไปกับพื้นหมดสติไปด้วยความเจ็บปวด ทั่วทั้งร่างกายปรากฏเป็นบาดแผลทั้งจากการใช้การต่อสู้กับลู่ซีในการใช้อาวุธและวรยุทธต่าง ๆ รวมไปถึงการโจมตีของบทเวทย์เขตแดนระดับเทวะเมื่อสักครู่ทำให้มีเลือดไหลซึมออกมาทั่วทั้งร่างกายมีรอยไหม้อยู่หลายจุดเลยเช่นกัน"ถือว่าเอาคืนที่เจ้าเคยสั่งให้บ่าวรับใช้ในจวนทำร้ายหนิงอ้ายจนสลบไปในครั้งนั้นเสียเเล้วกันนะจางหมิงหวัง..." ลู่ซีเอ่ยขึ้นเบา ๆ กับอีกฝ่ายที่ในตอนนี้หมดสติลงไปที่พื้นฝั่งตรงข้ามใบหน้าของลู่ซีซีดลงอย่างเห็นได้ชัดจากการที่ตัวเขาฝืนใช้บทเวทย์เขตแดนระดับเทวะจึงทำให้สูญเสียพลังเวทย์ไปไม่น้อยเนื่องจากว่าตัวของลู่ซีได้ฝืนใช้งานบทเวทย์ระดับสูงเช่นนี้ แน่นอนว่าสิ่งที่ต้องเเลกเปลี่ยนนั่นคือพลังลมปราณจะลดลงเป็นอย่างมาก ต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูไม่น้อยรวมไปถึงต้องใช้โอสถฟื้นฟูขั้นสูงในการเพิ่มพลังลมปราณให้กลับมาดังเดิมได้อีกครั้ง"คุณชายลู่ซีเป็นผู้ชนะ!!!!!" สิ้นเสียงของผู้อาวุโสคนเดิมที่ทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนิน
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต
มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล
ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย