คุณชายรองจางหมิงหวังถูกทัณฑ์สายฟ้าจากบทเวทย์ยันต์เขตแดนระดับเทวะเข้าโจมตีอย่างรุนแรงและต่อเนื่องเป็นเวลาเกือบหนึ่งเค่อ จนทำให้ตัวของจางหมิงหวังถึงกับล้มลงไปกับพื้นหมดสติไปด้วยความเจ็บปวด ทั่วทั้งร่างกายปรากฏเป็นบาดแผลทั้งจากการใช้การต่อสู้กับลู่ซีในการใช้อาวุธและวรยุทธต่าง ๆ รวมไปถึงการโจมตีของบทเวทย์เขตแดนระดับเทวะเมื่อสักครู่ทำให้มีเลือดไหลซึมออกมาทั่วทั้งร่างกายมีรอยไหม้อยู่หลายจุดเลยเช่นกัน
"ถือว่าเอาคืนที่เจ้าเคยสั่งให้บ่าวรับใช้ในจวนทำร้ายหนิงอ้ายจนสลบไปในครั้งนั้นเสียเเล้วกันนะจางหมิงหวัง..." ลู่ซีเอ่ยขึ้นเบา ๆ กับอีกฝ่ายที่ในตอนนี้หมดสติลงไปที่พื้นฝั่งตรงข้าม
ใบหน้าของลู่ซีซีดลงอย่างเห็นได้ชัดจากการที่ตัวเขาฝืนใช้บทเวทย์เขตแดนระดับเทวะจึงทำให้สูญเสียพลังเวทย์ไปไม่น้อยเนื่องจากว่าตัวของลู่ซีได้ฝืนใช้งานบทเวทย์ระดับสูงเช่นนี้ แน่นอนว่าสิ่งที่ต้องเเลกเปลี่ยนนั่นคือพลังลมปราณจะลดลงเป็นอย่างมาก ต้องใช้เวลาในการฟื้นฟูไม่น้อยรวมไปถึงต้องใช้โอสถฟื้นฟูขั้นสูงในการเพิ่มพลังลมปราณให้กลับมาดังเดิมได้อีกครั้ง
"คุณชายลู่ซีเป็นผู้ชนะ!!!!!" สิ้นเสียงของผู้อาวุโสคนเดิมที่ทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการประลองได้ประกาศออกมาเสียงดังให้ได้ยิน
เฮ!!!!!
ผู้คนที่ได้รับชมอยู่โดยรอบสนามประลองต่างพากันส่งเสียงเชียร์ดังกึกก้องกังวานไปทั่วทั้งบริเวณ โดยเฉพาะผู้คนที่เดิมพันทางฝั่งของคุณชายลู่ซีต่างพากันโห่ร้องยินดีเป็นอย่างมากเมื่อนึกถึงจำนวนเงินที่พวกตนนั้นจะได้จากการลงพนันในรอบนี้
นอกจากเสียงปรบมือดังไปทั่วทั้งบริเวณของสนามประลองเเห่งนี้แล้ว ยังมีเสียงตะโกนเรียกชื่อของคุณชายจางหมิงหวังและคุณชายลู่ซีดังขึ้นสลับไปมา ด้วยเพราะว่าการประลองต่อสู้เมื่อครู่นี้ที่พึ่งจบในสนามประลองเวทย์นับได้ว่าสมศักดิ์ศรีเป็นอย่างมาก ทั้งสองฝ่ายต่างไม่มีการออมฝีมือและใช้ทักษะความสามารถที่มีออกมาทั้งหมดถือเป็นการให้เกียรติของคู่ประลอง
สิ่งนี้ได้เรียกเสียงชื่นชมจากผู้คนได้อย่างง่ายดาย ทว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้นั้นกลับสร้างความคับแค้นใจแก่ทางฝั่งตระกูลจางไม่น้อยเลยทีเดียว โดยเฉพาะกับฮูหยินรองหวงลู่เอินและตัวของคุณชายใหญ่จางเหยากวงที่ได้เห็นว่าบุตรหรือน้องชายของตนที่ได้พ่ายแพ้ให้กับลู่ซีที่ซึ่งเป็นเพียงบ่าวรับใช้ของหนิงอ้ายสวะของตระกูลจางผู้นั้น
ตระกูลหวัง
ทางด้านฝั่งของตระกูลหวังบรรยากาศกลับแตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิงเป็นอย่างมาก ผู้คนที่นั่งอยู่ในบริเวณดังกล่าวที่ถูกจัดสรรให้เป็นที่นั่งขององศ์ฮ่องเต้และเชื้อพระวงศ์เเห่งแคว้นเต่าดำบรรดาเหล่าสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นรวมไปถึงสำนักน้อยใหญ่ต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งชาวยุทธภพหรือชาวบ้านที่ไม่ได้เข้าสู่วิถีของผู้ฝึกตนของแคว้นเต่าดำทุกคน ต่างสามารถสัมผัสได้ถึงบรรยากาศความพึงพอใจความภาคภูมิใจจากทางตระกูลหวังที่มีต่อผู้เข้าเเข่งขันการประลองซึ่งก็คือคุณชายลู่ซี
โดยเฉพาะกับท่านประมุขตระกูลหวังถึงกับลงพนันเดิมพันฝั่งคุณชายลู่ซีด้วยอัตราที่สูงกว่าครั้งใดในก่อนหน้า แม้ว่าจะสงสัยว่าทั้งสองคนนั้นมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอย่างไรก็ไม่อาจทราบได้ ด้วยเพราะว่าพวกเขานั้นต่างหาจุดเชื่อมโยงของทั้งสองคนระหว่างหวังจิ่งหลงและลู่ซีไม่ได้เลยนั่นเอง
ขณะที่มีสายตามากมายที่มองมาอย่างสงสัยไปทางที่นั่งของทางฝั่งตระกูลหวังสายหลัก เเต่ถึงเช่นนั้นตัวของหวังจิ่งหลงกับเลือกที่จะไม่สนใจสายตาที่สอดรู้ และหันไปคุยกับเหมยฮวาภรรยาของตนว่าลู่ซีนั้นมากไปด้วยฝีมือมีความเก่งกาจ มีหน้าตาที่หล่อเหลาไม่ต่างกับสมัยที่ตนยังเป็นหนุ่มที่ได้ตัดสินใจร่วมงานประลองของแคว้นในครั้งนั้นจนทำให้ได้รู้จักเหมยฮวาภรรยาของตน
การที่ลู่ซีสามารถเข้าสู่รอบห้าคนสุดท้ายของการประลองในรอบเเรกครั้งนี้ได้ สิ่งต่าง ๆ ที่เขาได้ถ่ายทอดไปเพียงไม่กี่วันเเต่ตัวคนนั้นกลับนำมาใช้ได้อย่างชาญฉลาด แววตาของหวังจิ่งหลงผู้นำตระกูลหวังสายหลักนั้นเต็มไปด้วยความพอใจในหลานชายบุญธรรมของตนคนนี้ยิ่งนัก
สำหรับเยว่ซินนางนั้นก็ภูมิใจในตัวของลู่ซีเป็นอย่างมากด้วยเพราะตัวของนางนั้นยังจำได้ถึงสภาพของเด็กหนุ่มที่ได้พบกันในครั้งเเรกตรงใจกลางตลาดของแคว้นหงส์เเดง
ลู่ซีในตอนนั้นมีร่างกายที่ผอมบางและตัวเล็กกว่าเด็กในวัยเดียวกันเสียด้วยซ้ำ เมื่อนางเห็นลู่ซีในสภาพเช่นนั้นที่อยู่ข้างถนนของตลาดทำเอานางอดที่จะสงสารไม่ได้ด้วยเพราะมีวัยใกล้เคียงกับบุตรชายของตน ยิ่งเมื่อได้พูดคุยสอบถามพอได้รับรู้ถึงนิสัยใจคอเเล้วก็ยิ่งประทับใจในตัวของเด็กหนุ่มมากขึ้นไปอีก
นางจึงเอ่ยชวนให้เด็กหนุ่มไปอยู่ที่เรือนกับตน พร้อมกับตั้งชื่อเรียกว่าลู่ซี แน่นอนว่าเยว่ซินต้องการให้เด็กน้อยเป็นเพื่อนเล่นกับหนิงอ้ายด้วยเพราะนางคิดว่าอยากให้หนิงอ้ายนั้นมีเพื่อนในวัยใกล้เคียงกันบ้าง เเต่ลู่ซีในวัยเด็กกลับรู้ความเป็นอย่างมาก ยิ่งเมื่อได้รู้ว่าเยว่ซินที่ตนนับถือว่าเป็นผู้มีพระคุณนั้นเป็นถึงฮูหยินใหญ่ของจวนตระกูลจางที่เป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นหงส์เเดง อีกทั้งหนิงอ้ายบุตรของเยว่ซินนั้นมีศักดิ์เป็นคุณชายใหญ่ของตระกูล
ดังนั้นตัวลู่ซีเองจึงเอ่ยกับนางว่าตนนั้นจะขอเป็นเพียงบ่าวรับใช้ของหนิงอ้ายเท่านั้นและไม่บังอาจตีตนเองเสมอเทียบเคียงเป็นสหายได้
หลายครั้งที่ทั้งลู่ซีและหนิงอ้ายนั้นหลังจากออกไปเที่ยวเล่นบริเวณอื่นในจวนตระกูลจาง ทั้งสองกลับมาพร้อมกับรอยแผลฟกช้ำตามลำตัวใบหน้า ที่ถึงแม้ว่าทางฝั่งของลู่ซีจะมีร่องรอยพวกนั้นเยอะมากกว่า เเต่ตัวของเยว่ซินไม่เคยเอ่ยถามว่าเกิดสิ่งใดขึ้น เพราะต้องการให้ทั้งสองคนเล่าทุกสิ่งอย่างให้นางรับรู้เองโดยที่ไม่ต้องคาดคั้น นางจึงได้เเต่คอยดูเเลอยู่ห่าง ๆ
จนเมื่อถึงเหตุการณ์ก่อนที่หนิงอ้ายจะอายุครบสิบห้าปีในอีกไม่กี่เดือนได้ถูกผลักตกสระน้ำกลางจวน อาการในตอนนั้นเเทบจะกล่าวได้ว่าเป็นตายเท่ากัน ตัวของลู่ซีเอาเเต่โทษตัวเองที่ฟังคำร้องขอของหนิงอ้ายที่เอ่ยกับตนว่าต้องการขนมและชาจิบในยามบ่าย
แม้ในใจจะเป็นห่วงด้วยเพราะไม่อยากทิ้งให้อยู่คนเดียว เเต่ตัวหนิงอ้ายนั้นยืนยันว่าตนสามารถอยู่ได้อีกทั้งโรงครัวนั้นอยู่ห่างไปไม่เท่าใดนัก ดังนั้นลู่ซีจึงเอ่ยกำชับให้หนิงอ้ายนั้นรอตนอยู่ในศาลากลางสระบัวของจวนสักครู่ ตนจะรีบไปเตรียมขนมและน้ำชามาให้
เเต่ใครจะไปคาดคิดว่าเพียงเเค่เวลาชั่วก้านธูปที่ลู่ซีมุ่งไปยังโรงครัวกลับเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้หนิงอ้ายตกน้ำ แม้ว่าจะมีบ่าวชายคนอื่นช่วยเหลือได้ทัน เเต่หนิงอ้ายได้หยุดหายใจไปแล้วเเต่เคราะห์ดีที่กลับมาหายใจปกติอีกครั้งเเต่ก็แลกกับการนอนหลับไม่รู้สึกตัวเป็นเวลาหลายเดือนเลยทีเดียว
เมื่อนึกย้อนกลับไปเเล้วเยว่ซินยิ่งคิดว่าหากในตอนนั้นนางมีความกล้ามากกว่านี้ที่จะบอกกับบิดามารดาของตนนั้นให้รับรู้เรื่องราวที่เกิดทั้งหนิงอ้ายบุตรของตนและลู่ซีคงจะมีความสุขเช่นเดียวกับทุกวันนี้ไปนานแล้วเช่นกัน...
''ยินดีด้วยขอรับลู่เกอที่สามารถผ่านเข้ารอบได้...ลู่เกอไหวหรือไม่ขอรับ??" หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับก้าวเท้าเข้าไปประชิดตัวของลู่ซีในทันที เมื่อเห็นว่าตัวคนนั้นออกจากสนามประลองและปฏิเสธการรักษาจากหมอที่อยู่ข้างสนามประลอง แม้ว่าตอนนี้ใบหน้าของเขานั้นจะซีดลงจนน่าหวั่นใจก็ตาม
"ขอบใจเจ้า เกอไม่เป็นอะไรมากเพียงเเค่นั่งพักเสียหน่อยก็ดีขึ้นแล้ว..." ลู่ซีเอ่ยตอบกลับหนิงอ้ายไปเมื่อเห็นว่าคนน้องนั้นเป็นกังวลในอาการของตน
"ท่านไม่เห็นจำเป็นต้องทำถึงเพียงนี้เลยนะขอรับ...ข้าเชื่อว่าต่อให้ท่านไม่ใช้บทเวทย์เขตแดนนี้ท่านก็สามารถเอาชนะจางหมิงหวังได้อย่างแน่นอน..."
"อีกทั้งบทเวทย์ที่ข้าทำการยกระดับให้เป็นระดับเทวะนั้น หากยังมีพลังวิญญาณอยู่ในระดับขุนนางวิญญาณต่อให้จะเป็นขั้นสูงเเต่ก็สามารถเกิดความผิดพลาดได้นะขอรับ..." หนิงอ้ายอดที่จะบ่นลู่ซีออกมาไม่ได้
ตัวเขาเองเห็นว่าปกติลู่ซีค่อนข้างเป็นคนที่ใจเย็นและคิดอย่างรอบคอบก่อนที่จะคิดทำอะไร เเต่เขาก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่าทำไมในขณะที่ลู่ซีได้ประลองกับคุณชายรองตระกูลจางจางหมิงหวัง ตัวของลู่ซีค่อนข้างที่ใจร้อนอีกทั้งยังฝืนใช้บทเวทย์ระดับเทวะในการประลอง เพราะโดยปกติแล้วการใช้บทเวทย์ระดับเทวะจำเป็นจะต้องมีระดับพลังที่อยู่ในระดับจักรพรรดิวิญญาณเป็นต้นไปจึงจะสามารถเเสดงผลลัพธ์ได้อย่างเต็มที่และไม่เป็นอันตรายกับผู้ใช้บทเวทย์นั่นเอง
"เกออยากจบการประลองโดยเร็วเพื่อที่จะได้มานั่งเป็นเพื่อนให้เจ้าไม่เหงาอย่างไรเล่า...." ลู่ซีให้เหตุผลกับหนิงอ้าย
"ท่านนี่นะ..."หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับส่ายหน้าเบาๆ
"กินโอสถฟื้นฟูเม็ดนี้เข้าไปแล้วทำการเดินพลังลมปราณไปตามร่างกายนะขอรับ..." หนิงอ้ายส่งโอสถฟื้นฟูให้กับลูซี่ในทันทีเนื่องจากว่าตัวของลู่ซีได้ใช้พลังลมปราณไปจนเกือบหมดในขณะที่ทำการใช้บทเวทย์เขตแดนระดับเทวะ ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องกินโอสถฟื้นฟูเข้าไป แต่ถ้าหากว่าสามารถเลื่อนระดับพลังขึ้นเป็นระดับจักรพรรดิเเล้วสำหรับการใช้บทเวทย์ระดับเทวะก็จะไม่มีผลกระทบมากเท่ากับในครั้งนี้
"ขอบใจเจ้ามากนะหนิงอ้าย เกอสัญญาว่าจะไม่ฝืนร่างกายเช่นนี้อีก..." ลู่ซีเอ่ยสัญญาให้กับหนิงอ้ายด้วยรู้ว่าน้องของตนนั้นเป็นห่วงมากเพียงใด
"แต่อย่างน้อยข้าคิดว่าการที่เกอใช้บทเวทย์ระดับเทวะเมื่อครู่นั้นก็เป็นสิ่งที่ดีเช่นกัน เพราะว่าตัวของเกอจะได้เรียนรู้ในการควบคุมการใช้พลังเวทย์ และต่อไปนี้จะได้สามารถประเมินขีดจำกัดของร่างกายในการใช้พลังเวทย์ได้..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับยิ้มเล็กน้อยและสำรวจร่างกายของอีกฝ่ายเพื่อความมั่นใจ
ตระกูลจาง
"ท่านพี่ข้าไม่ยอมนะเจ้าคะ!! ท่านต้องจัดการไอ้บ่าวรับใช้ลู่ซีที่มันบังอาจทำร้ายบุตรของเราจนหมดสติไปเช่นนั้น..." หวงลู่เอินเอ่ยขึ้นกับสามีของตนในทันที พร้อมกับเเสดงความไม่พอใจเป็นอย่างมากที่เห็นว่าบุตรชายคนรองไม่สามารถเป็นตัวเเทนในการประลองรอบเเรกเพื่อเข้าสู่ในการประลองรอบถัดไปได้ อีกทั้งยังถูกลู่ซีที่เป็นเพียงบ่าวรับใช้ของหนิงอ้ายนั้นทำร้ายจนบุตรชายของนางหมดสติไปนั่นเอง
"ฮูหยินรอง...นี่คือการประลองของแคว้นที่เป็นการใช้ฝีมือ ไม่มีอำนาจของตระกูลหรือของแคว้นเข้ามายุ่งเกี่ยวสำหรับผู้ที่อ่อนแอกว่าก็ต้องพ่ายแพ้ไปเป็นเรื่องปกติ..." จางเลี่ยงหวงเอ่ยออกมาเสียงเรียบไม่สามารถคาดเดาอารมณ์หรือความนึกคิดได้
"บ่าวนั่นมันลงมือหนักเกินไปลูกของเราบาดเจ็บจนหมดสติ อีกทั้งยังไม่สามารถเป็นตัวเเทนของผู้ชนะในรอบเเรกห้าคนเเรกที่จะได้ประลองในรอบถัดไปนะเจ้าคะท่านพี่..." หวงลู่เอินเอ่ยตอบกลับสามีของตนและกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ
"ข้าบอกเจ้าเเล้วไม่ใช่รึ?? นี่คือการประลองประชันฝีมือ ข้าคิดว่าลู่ซีทำถูกต้องเเล้วที่ประลองอย่างสุดกำลัง อีกทั้งยังสามารถควบคุมสติของตนให้มั่นคงอีกทั้งยังมีความเชี่ยวชาญในบทเวทย์และการใช้วรยุทธต่าง ๆ เป็นที่ตัวของจางหมิงหวังเองที่ไม่สามารถควบคุมสติของตนเองได้ดีพอจนเผยช่องว่างให้คู่ประลองของตนนั้นสามารถช่วงชิงความได้เปรียบมาได้..."
"เจ้าก็คงเห็นถึงแม้จางหมิงหวังจะไม่สามารถผ่านรอบสิบคนสุดท้ายเพื่อไปเป็นตัวเเทนห้าคนของรอบเเรกได้เเต่เพียงเท่านี้ก็สามารถเพิ่มชื่อเสียงของตนและตระกูลจางของเราได้มากแล้ว..." จางเลี่ยงหวงเอ่ยออกมาด้วยความเป็นกลางตามที่ตนคิดอีกทั้งยังชื่นชมในฝีมือของลู่ซีบ่าวรับใช้ของบุตรชายของตนยิ่งนัก เพราะการประลองที่พึ่งจบไปที่ลู่ซีนั้นได้ลงมืออย่างเต็มที่นั่นก็เเสดงให้เห็นถึงความให้เกียรติต่อคู่ประลองของตนนั่นเอง…
ลู่ซีรวมไปถึงผู้ชนะในแต่ละรอบประลองต่างเป็นที่จับจ้องสนใจแก่ผู้ที่รับชมโดยรอบสนามประลองแห่งนี้ เพราะถือว่าเด็กหนุ่ม ชายหนุ่มเหล่านี้ต่างเป็นสุดยอดรุ่นเยาว์ที่มีฝีมือมากไปด้วยพรสวรรค์ที่ควรแก่การพูดถึงและยกย่อง
"ในตอนนี้มีผู้ผ่านเข้ารอบเป็นตัวเเทนของการประลองในรอบเเรกเเล้วสี่คนได้แก่
คุณชายลู่ซีจากแคว้นเต่าดำ
คนที่สองคุณหนูไป๋หนิงจากตระกูลไป๋เเห่งแคว้นมังกรเขียว
คนที่สามคุณชายอู๋ไห่จากตระกูลอู๋เเห่งแคว้นเสือขาว
และคนที่สี่คุณชายจิ่งหรวนจากตระกูลจิ่งเเห่งแคว้นหงส์แดง"
เสียงของผู้อาวุโสคนเดิมผู้ดำเนินการประลองได้เอ่ยขึ้นประกาศออกมาเสียงดัง เมื่อสิ้นเสียงนั้นผู้คนรอบ ๆ สนามประลองเวทย์ต่างพากันส่งเสียงเชียร์โห่ร้องดังไปทั่วทั้งสนามเพราะตอนนี้นั้นเหลือเพียงการประลองของคู่สุดท้ายในรอบเเรกเเล้ว
"คู่สุดท้ายของการประลองในรอบเเรกนั่นก็คือคุณชายหานตงจากตระกูลหานเเห่งแคว้นหงส์เเดง และคุณชายซ่างเซินจากตระกูลซ่างเเห่งแคว้นเต่าดำ!!" เนื่องจากเป็นสองคนสุดท้ายที่ไม่มีการถูกสุ่มเรียกชื่อในการประลองที่ผ่านมาจึงทำให้ทั้งสองนั้นกลายมาเป็นคู่ประลองกัน เสียงการประกาศรายชื่อผู้ลงประลองคู่สุดท้ายในรอบเเรกนี้ผู้คนมากมายต่างพากันพุ่งตรงไปยังโตะรับการพนันในทันที....
'ข้ามิคิดเลยว่าการประลองของแคว้นครั้งนี้จะซุกซ่อนผู้ฝึกตนวัยเยาว์ที่มากไปด้วยฝีมือมากมายเช่นนี้...'
'หากตัดในเรื่องของชาติกำเนิดและตระกูลที่หนุนหลังเเล้วนั้นทุกคนต่างต้องพึ่งพาตนเองให้ได้มากที่สุด'
'หนักใจเสียจริง ไม่รู้ว่าครั้งนี้ที่ลงพนันไปข้าจะได้หรือเสียกันวันนี้ข้าเสียไปเยอะเเล้วยังไม่ได้คืนเลยแม้เเต่น้อย'
'ข้าอยากจะเห็นการประลองของผู้ฝึกตนราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณเสียจริงว่าจะทำให้ข้าตื่นเต้นมากกว่านี้หรือไม่.... '
เสียงพูดคุยของผู้คนที่อยู่ในสนามดังขึ้นให้ได้ยินเป็นระยะ ๆ การประลองคู่สุดท้ายระหว่างคุณชายตระกูลหานและคุณชายตระกูลซ่างได้เริ่มขึ้น หนิงอ้ายเฝ้าดูการประลองของทั้งคู่ ขณะที่ลู่ซีพึ่งกินโอสถฟื้นฟูไปตอนนี้กำลังปรับสมดุลในร่างกายให้พลังลมปราณให้กลับมาเป็นปกติ
สำหรับคู่ประลองทั้งสองคนต่างมีความโดดเด่นอย่างมาก ทั้งการใช้วรยุทธรวมไปถึงการใช้บทเวทย์ หนิงอ้ายได้ยินจากกลุ่มคนที่นั่งข้าง ๆ ว่าคุณชายทั้งสองนั้นเมื่องานประลองของแคว้นครั้งก่อน ทั้งคู่ก็สามารถเข้าสู่ในรอบลึก ๆ และได้สร้างชื่อเสียงให้แก่ตระกูลเป็นอย่างมาก
การประลองเวทย์ของคุณชายหานตงและคุณชายซ่างเซินมีความรุนเเรงเป็นอย่างมาก ด้วยความที่ทั้งสองมีปราณธาตุหลักเป็นปราณธาตุเดียวกันซึ่งคือปราณธาตุลม ดังนั้นการร่ายบทเวทย์ต่อสู้โจมตีจึงหักล้างกันไป เมื่อมีการเรียกอสูรรับใช้ในพันธะของตนออกมาต่อสู้ภายหลัง แม้จะไม่ใช่สัตว์อสูรมายาเเต่ก็เป็นสัตว์อสูรที่มากไปด้วยความโดดเด่นเช่นกัน เสียงของผู้คนต่างตะโกนโห่ร้องกึกก้องไปทั่วทั้งสนามประลองอย่างคึกคัก การประลองผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยามในที่สุดก็ได้ผลผู้แพ้ชนะ สภาพของคุณชายทั้งสองต่างบาดเจ็บสาหัสกันทั้งสองคน
"ผู้ที่ชนะได้แก่คุณชายหานตงจากตระกูลหานเเห่งแคว้นหงส์เเดง!!!!" ผู้อาวุโสคนเดิมที่ทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการประลองได้ประกาศออกมาเสียงดัง ผู้คนที่อยู่โดยรอบสนามประลองเวทย์ต่างพากันส่งเสียงดังกระหึ่ม บ้างก็ผิดหวัง บ้างก็ดีใจ เสียงของผู้คนมากมายต่างพากันพูดคุยถึงคู่ประลองที่พึ่งจบไปเมื่อครู่นี้และคาดหวังว่าพวกเขานั้นจะได้รับชมความสนุกตื่นตาตื่นใจมากกว่านี้ในการประลองแคว้นในรอบถัดไปของผู้ฝึกตนราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณที่ทุกคนต่างเฝ้ารอคอยนั่นเอง...
งานประลองของแคว้นที่ได้ถูกจัดขึ้นในเเต่ละครั้ง ล้วนไม่มีกำหนดช่วงระยะวันเวลาที่ตายตัวของงานประลองเวทย์ดังกล่าวว่าท้ายที่สุดแล้วนั้นจะเริ่มต้นการประลองและสิ้นสุดลงภายในกี่วัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกฎกติกาที่ถูกตั้งกำหนดเอาไว้เพื่อเป็นข้อจำกัดในการประลอง การสร้างความท้าทายของขีดจำกัดของพลังเวทย์ ระดับพลังวิญญาณรวมไปถึงการสรรหาผู้ฝึกตนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยฝีมือทั้งวิทยายุทธการต่อสู้รวมไปถึงการใช้บทเวทย์ต่าง ๆ เพื่อเป็นการจัดอันดับของผู้ฝึกตนในโลกยุทธภพเพื่อเเสดงถึงความเเข็งแกร่งผู้ฝึกตนที่เป็นผู้ชนะในห้าอันดับเเรกจะถูกเรียกว่ากลุ่มเสาหลักเเห่งยุทธภพจะสังกัดโดยตรงกับวิหารเทพยุทธ์ มีหน้าที่คอยดูเเลช่วยเหลือปกป้องผู้คนในโลกฝึกตน รูปแบบของงานประลองของแคว้นล้วนแตกต่างกันไปในเเต่ละครั้ง นับว่าสร้างความตื่นเต้นให้ทั้งกับตัวของผู้ฝึกตนที่ได้ลงสนามเเข่งขันประลองเอง หรือแม้กระทั่งผู้รับชมจากแคว้นต่าง ๆ ที่อยู่ในสนามประลองเวทย์ ทางแคว้นที่ได้รับเป็นเจ้าภาพของจัดการประลองจะเป็นผู้กำหนดรูปแบบการเเข่งขันประลองให้มีความแตกต่างกันไปงานประลองระหว่างแคว้นครั้งที่แปดสิบแปด (88) นี้ ทางแคว้นเต่าดำได้รับเป็นเจ้า
ผู้คนที่อยู่รอบข้างได้ยินบทสนทนาดังกล่าวต่างพากันตกใจไม่น้อย ทุกคนล้วนจำได้ว่าคุณชายหน้าตาหล่อเหลาที่พึ่งพูดจบลงไปนั่นคือคุณชายลู่ซี ผู้เป็นตัวแทนหนึ่งในห้าคนเเรกที่ผ่านการประลองในรอบถัดไป นอกจากจะมีความสามารถที่โดดเด่นเเล้วอีกฝ่ายยังครอบครองสัตว์อสูรมายาอีกด้วยบทสนทนาเมื่อครู่แม้จะเป็นการพูดคุยด้วยเสียงที่เบามากเพียงใดเเต่ด้วยพวกเขาที่เป็นผู้ฝึกตนที่นับได้ว่าประสาทสัมผัสล้วนดีกว่าคนธรรมดาหลายเท่านักเมื่อเห็นว่าคุณชายลู่ซีได้พูดคุยกับคุณชายหนิงผู้ลึกลับที่สวมผ้าคลุมปกปิดตัวตนที่พึ่งจบการประลองไปเมื่อครู่ บทสนทนาพูดคุยกันราวกับว่าเป็นพี่น้องกันเเต่นั่นไม่อาจทำให้ตกใจเท่ากับบทสนทนาที่ว่าคุณชายหนิงพึ่งทำการปลุกพลังวิญญาณได้ไม่ถึงสองปีเท่านั้น เเต่กลับเป็นถึงราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณ ยังไม่รวมถึงเคล็ดวิชากระบี่ที่พริ้วไหวเฉียบขาดและความสามารถอื่นที่ร่างบางนั้นยังไม่ได้เเสดงให้ผู้คนได้เห็นอีก'เจ้าได้ยินเหมือนกับข้าหรือไม่? คุณชายหนิงพึ่งปลุกพลังวิญญาณได้เพียงไม่นานเเต่กลับเป็นถึงราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณแล้ว ช่างน่าตกใจยิ่ง!!''บ้าไปเเล้ว!! บางคนปลุกพลังวิญญาณตั้งเเต่เจ็ดขวบปีเเต่ยังไม่สา
ด้วยความโกรธที่อีกฝ่ายทำให้เขาต้องรู้สึกอับอายเช่นนี้ จางเหยากวงจึงตัดสินใจอัญเชิญสัตว์อสูรของตนออกมาในทันทีจงออกมา อสูรราชันย์ศารกูลทมิฬ!!!!วูบ!โฮก!อสูรรับใช้ของจางเหยากวงนั้นปรากฏเป็นรูปลักษณ์คล้ายกับเสือดำที่มีลำตัวสูงใหญ่มีเปลวเพลิงสีดำลึกลับลุกท่วมไปทั่วทั้งตัว ดวงตาสีแดงเข้มดุดัน รอบตัวรายล้อมไปด้วยกลิ่นอันตรายราวกับว่าพร้อมที่จะทำลายทุกสิ่งให้มอดเป็นจุลผู้คนที่อยู่โดยรอบสนามประลองต่างส่งเสียงเชียร์กระหึ่ม ด้วยเพราะว่าในตอนนี้อสูรมายาระดับกลางได้ปรากฎในสนามประลองอีกครั้งเเล้วย่อมสร้างความตื่นเต้นเพิ่มขึ้นไปอีกมาก กลิ่นอายของสัตวอสูรมายาระดับกลาง ราชันย์ศารกูลทมิฬที่ได้เเผ่ออกมานั้นทำให้ผู้ฝึกตนที่อยู่โดยรอบสนามประลองรู้สึกอึดอัด แม้ว่าจะมีเกราะป้องกันเวทย์ที่คอยปกป้องอยู่เเล้วก็ตาม...'บ้าไปแล้วสัตว์อสูมายาระดับกลางอีกตัวเช่นนั้นรึ?? นี่ไม่ใช่งานประลองของผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์เเล้ว''แล้วทางคุณชายหนิงจะไหวหรือไม่นั่นเจอทั้งบทเวทย์ระดับสูงอีกทั้งสัตว์อสูรมายาที่แข็งแกร่งว่องไวเช่นนี้...'"จัดการมัน!!!" จางเหยากวงชี้ไปทางหนิงอ้าย ก่อนที่อสูรราชันย์ศารกูลทมิฬได้พุ่งเข้าโจมตีหนิงอ้า
บรรดาเหล่าฮ่องเต้ผู้ปกครองกแคว้น ต่างรู้สึกอิจฉาฮ่องเต้แคว้นเต่าดำยิ่งนักที่มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์มากไปด้วยความเก่งกาจและครอบครองสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพฤกษาเช่นนี้ ฮ่องเต้ของแคว้นเต่าดำนั้นสัมผัสได้ถึงความรู้สึกต่าง ๆ เหล่านั้นได้ใบหน้าหล่อเหลาจึงเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ฉายชัดถึงความภูมิใจและขอบคุณตนที่ได้ตัดสินใจที่รับเป็นเจ้าภาพในการประลองครั้งนี้ แน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นคงจะถูกเล่าขานกันอีกนานเท่านานเหล่าบรรดาสำนักต่าง ๆ นั้นพากันปรึกษากันภายในอย่างเร่งด่วน เพราะหากสำนักของตนนั้นได้ตัวของคุณชายหนิงผู้นี้มาเป็นศิษย์ในสำนักของตนได้นั้นนอกจากที่จะได้ผู้ฝึกตนที่มีฝีมือดีสามารถเป็นกำลังหลักให้สำนักของตนได้เเล้วนั้น ยังจะนำมาซึ่งชื่อเสียงของสำนักของตน..."ช่างน่าเห็นใจเสียจริง สัตว์อสูรในพันธะของคุณชายคงใช้เวลาไม่น้อยกว่าที่จะพักฟื้นได้ดังเดิม ไม่รู้ว่าข้าได้บอกกล่าวไปแล้วหรือยังว่าทุกการโจมตีของเจียวซิ่นล้วนแฝงไปด้วยปราณธาตุพฤกษากลายพันธ์ จึงมีความสามารถแฝงนั่นคือการกัดกร่อนแก่นสมุทรลมปราณของสัตว์อสูรได้ และหากรักษาไม่ทันก็คง...""เจ้า!!!! เจ้านี่มันสารเลวต่ำทรามยิ่งนัก ลูกไม้สกปรกลอบทำ
การประลองระหว่างแคว้นครั้งที่88 ในรอบสุดท้ายกำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่อึดใจนี้ แน่นอนว่าตัวแทนของผู้ฝึกตนทั้งสองราชทินนามจำนวนทั้งสิ้นห้าคน ถือได้ว่ารุ่นเยาว์เหล่านี้ล้วนเป็นหนึ่งในเสาหลักแห่งยุทธภพรุ่นเยาว์ทั้งสิ้น แต่ถึงอย่างไรแล้วการประลองยังคงต้องดำเนินต่อไปเพื่อค้นห้าผู้ชนะอันดับหนึ่ง ผู้ที่ได้ครอบครองซึ่งตำแหน่งฐานะเจ้าแห่งยุทธภพรุ่นเยาว์นั่นเองหนิงอ้ายเมื่อเปิดเผยตัวตนฐานะที่แท้จริงแล้ว จึงตัดสินใจชวนลู่ซีกลับไปยังที่นั่งของตระกูลหวังที่อยู่ไม่ห่างไปเท่าไหร่นัก อย่างไรแล้วหลังจากจบงานประลอง ท่านตาหวังจิ่งหลงคงประกาศฐานะที่เเท้จริงของเขาทั้งคู่ ดังนั้นหากไปยังที่นั่งดังกล่าวในตอนนี้ก็คงไม่ส่งผลอะไรมากมายเท่าไหร่นัก"ในที่สุดเจ้าก็ทำได้เเล้วนะหนิงเอ๋อร์..." หวังเยว่ซินเอ่ยขึ้นด้วยความสุข พร้อมกับดึงเด็กหนุ่มเข้ามากอดด้วยความภูมิใจ"พวกเจ้าทั้งสองคนเก่งมาก ไม่เสียชื่อลูกหลานตระกูลหวังของพวกเรา""หนิงเอ๋อร์ เพลงกระบี่ของหลานกล่าวว่าเหนือชั้นอย่างแท้จริง ทั้งพริ้วไหวและดุดันแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง หากนับไปแล้วในหมู่ฝึกตนรุ่นเยาว์ในช่วงวัยเดียวกัน ถือว่าเจ้าแข็งแกร่งและมากด้วยพรสวรร
หนิงอ้ายร่ายบทเวทย์โจมตีและบทเวทย์ป้องกันอย่างเต็มที่ต่อเนื่อง ตอนนี้เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วยามเเล้วจริงอยู่ที่ว่าเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาของเขานั้นจะสามารถชักนำพลังปราณฟ้าดินบริสุทธ์มาสร้างสมดุลเสริมพลังปราณใช้ในการต่อสู้ได้ เเต่ทว่าความเหนื่อยล้าก็ปรากฏแล้วเช่นกันเล็กน้อย หนิงอ้ายคิดว่าควรที่จะจบการประลองครั้งนี้ได้เสียทีเพราะร่างกายของคนเรานั้นต่อให้เป็นผู้ฝึกตนที่มีความเเข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปก็ควรได้รับการฟื้นฟูและพักผ่อนอย่างเต็มที่เช่นกัน"คุณชายโม่เหรินข้ายินดีที่ได้ประลองกับท่านในครั้งนี้เเต่เป้าหมายของข้ายิ่งใหญ่นักขออภัยที่ต้องล่วงเกิน!!!" หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับยกมือประสานและโค้งคำนับด้วยมารยาทเพราะเขานั้นนับถือฝีมือของอีกฝ่ายจริง ๆอัญเชิญบทเวทย์โจมตีเขตแดนมหาดาระกะสยบโลกา!ครืนนน!'บทเวทย์เขตแดนระดับเทวะที่ถูกร่ายด้วยผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิขั้นต้นอย่างงั้นรึ?? เหตุใดกลิ่นอายช่างรุนแรงเช่นนี้ได้กัน...' โม่เหรินเมื่อเห็นว่าหนิงอ้ายนั้นเอาจริงเเล้ว ยอมรับตามตรงว่าเขาตกใจไม่น้อยเลยทีเดียวกับบทเวทย์ที่อีกฝ่ายเรียกใช้ กลิ่นอายเช่นนี้คงเป็นบทเวทย์ระดับเทวะขึ้นไปอย่างแน่นอนไม่ใช่เรื
แม้ว่าหลิวอี้จะร่ายบทเวทย์โจมตีไปยังคุณชายทั้งสองอย่างต่อเนื่องกลับไปไม่น้อยเช่นกันเเต่ทางฝั่งของหนิงอ้ายนั้นได้ร่ายบทเวทย์ป้องกันตนเองและลู่ซีในทันท่วงที ทำให้ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีด้วยบทเวทย์ระดับสูงและทรงพลังเเค่ไหนก็ไม่สามารถทำอันตรายกับพวกเขาทั้งสองได้เลยสักนิด เพียงสองเค่อเท่านั้นเกราะป้องกันอันเกิดจากศาสตร์ลับกลืนนภาอสูรเต่าทมิฬนิลกาฬของคุณชายหลิวอี้นั้นไม่สามารถตั้งรับได้ไหวเเล้วและเเตกสลายลงไปในที่สุด"อั๊กกกซ์!!! ข้าขอยอมแพ้คุณชายทั้งสอง เป็นเกียรติยิ่งนักที่ได้ประลองกับพวกท่าน!!" ทางฝั่งของคุณชายหลิวอี้นั้นเอ่ยออกมาด้วยรู้ตัวว่าหากเขานั้นฝืนใช้พลังวิญญาณและศาสตร์ลับกลืนนภาอสูรเต่าทมิฬนิลกาฬต่อไปแม้ว่าจะสามารถตั้งรับได้นานมากกว่านี้เเต่ผลกระทบหลังจากนั้นไม่สามารถคาดเดาได้เพราะอาจจะเกิดความเสียหายไปถึงจิตวิญญาณเลยทีเดียวซึ่งหากเป็นเช่นนั้นแล้วเส้นทางผู้ฝึกตนของเขานั้นคงไม่มีทางก้าวหน้าได้อีก ดังนั้นถึงจะพ่ายแพ้ไปเเต่นับได้ว่าเขานั้นได้สร้างชื่อเสียงของตระกูลหลิวแห่งแคว้นสิงโตเพลิงบนยุทธภพของทวีปบูรพาได้แล้ว อีกทั้งได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในห้าของเสาหลักเเห่งยุทธภพรุ่นเยาว์ที่ขึ
การมอบรางวัลสำหรับผู้ฝึกตนในการประลองเวทย์ครั้งที่แปดสิบแปด (88) ที่ทางแคว้นเต่าดำได้รับเป็นเจ้าภาพในการจัดงานประลองเวทย์ในครั้งนี้ กล่าวได้ว่าดอกผลที่ได้รับจากงานประลองนับได้ว่ามากมายมหาศาลเลยทีเดียวไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงของแคว้นที่เพิ่มขึ้นจากการปรากฎตัวผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่มากไปด้วยพรสวรรค์การปรากฏตัวของสัตว์อสูรนภาที่ว่ากันว่ายากนักที่จะสามารถครอบครอง รวมไปถึงสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพฤกษาที่มีบันทึกอยู่ในตำราหอบรรพชนเก่าแก่ของเเต่ละตระกูลนั้นหาใช่เป็นเพียงนิทานเรื่องเล่าเท่านั้น เพราะได้ถูกครอบครองโดยผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์คนหนึ่งที่มีพรสวรรค์เหนือชั้นกว่ารุ่นเดียวกันซึ่งผู้ฝึกตนที่ผ่านเข้ามาถึงรอบประลองเวทย์สิบคนสุดท้ายนั้นจะได้รางวัลซึ่งก็คือเหรียญทองหนึ่งพันเหรียญและได้รับบทเวทย์ป้องกันและบทเวทย์โจมตีระดับสูงคนละหนึ่งบทเวทย์นับได้ว่าเป็นผลตอบเเทนที่คุ้มค่ากับการประลองครั้งนี้ยิ่งนักสำหรับห้าอันดับแรกหรือเสาหลักเเห่งยุทธภพรุ่นเยาว์ของทวีปบูรพานั้นมีรายชื่อดังต่อไปนี้...อันดับที่ห้าคุณชายโม่เหรินจากตระกูลโม่แห่งแคว้นเสือขาว รางวัลที่ได้รับนับว่าไม่สามัญทั่วไปอย่างแน่นอนตามศักดิ์ฐานะของ
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต
มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล
ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย