งานประลองของแคว้นที่ได้ถูกจัดขึ้นในเเต่ละครั้ง ล้วนไม่มีกำหนดช่วงระยะวันเวลาที่ตายตัวของงานประลองเวทย์ดังกล่าวว่าท้ายที่สุดแล้วนั้นจะเริ่มต้นการประลองและสิ้นสุดลงภายในกี่วัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกฎกติกาที่ถูกตั้งกำหนดเอาไว้เพื่อเป็นข้อจำกัดในการประลอง การสร้างความท้าทายของขีดจำกัดของพลังเวทย์ ระดับพลังวิญญาณรวมไปถึงการสรรหาผู้ฝึกตนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยฝีมือทั้งวิทยายุทธการต่อสู้รวมไปถึงการใช้บทเวทย์ต่าง ๆ เพื่อเป็นการจัดอันดับของผู้ฝึกตนในโลกยุทธภพเพื่อเเสดงถึงความเเข็งแกร่ง
ผู้ฝึกตนที่เป็นผู้ชนะในห้าอันดับเเรกจะถูกเรียกว่ากลุ่มเสาหลักเเห่งยุทธภพจะสังกัดโดยตรงกับวิหารเทพยุทธ์ มีหน้าที่คอยดูเเลช่วยเหลือปกป้องผู้คนในโลกฝึกตน รูปแบบของงานประลองของแคว้นล้วนแตกต่างกันไปในเเต่ละครั้ง นับว่าสร้างความตื่นเต้นให้ทั้งกับตัวของผู้ฝึกตนที่ได้ลงสนามเเข่งขันประลองเอง หรือแม้กระทั่งผู้รับชมจากแคว้นต่าง ๆ ที่อยู่ในสนามประลองเวทย์ ทางแคว้นที่ได้รับเป็นเจ้าภาพของจัดการประลองจะเป็นผู้กำหนดรูปแบบการเเข่งขันประลองให้มีความแตกต่างกันไป
งานประลองระหว่างแคว้นครั้งที่แปดสิบแปด (88) นี้ ทางแคว้นเต่าดำได้รับเป็นเจ้าภาพในการจัดประลองได้มีการร่วมมือกันระหว่างราชสำนักราชวงศ์ของแคว้นเต่าดำร่วมกับสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้น เรียกได้ว่าการประลองของแคว้นในครั้งนี้ได้มีการเตรียมความพร้อมจากทุกฝ่ายเกี่ยวกับการกำหนดรูปแบบของการประลองให้มีเหมาะสม โดยการเเบ่งผู้เข้าร่วมการแข่งขันออกเป็นสองกลุ่มโดยไม่จำกัดช่วงอายุเเต่จะเเบ่งประลองตามระดับพลังวิญญาณเพื่อที่จะหาตัวเเทนเข้ารอบของทั้งสองกลุ่มมาประลองกันเพื่อแย่งชิงตำเเหน่งสิบอันดับของผู้ฝึกตนที่เข้าร่วมในการประลองครั้งนี้
กลุ่มเเรกที่ถูกเเบ่งให้มีการประลองก่อนนั้นจะเป็นกลุ่มผู้ฝึกตนราชทินนามขุนนางวิญญาณทั้งสามระดับ ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมการประลองในครั้งนี้จะถูกสุ่มชื่อเเข่งขันให้ลงสนามประลองเพื่อหาผู้ชนะโดยเรียกให้มีการลงประลองทีละห้าคู่จนท้ายที่สุดเมื่อได้ตัวเเทนจากกลุ่มนี้เพียงเเค่ห้าคนก็จะเป็นตัวเเทนในการประลองรอบถัดไป
การเเข่งขันในรอบเเรกของผู้ฝึกตนราชทินนามขุนนางวิญญาณได้ตัวเเทนมาเเล้วห้าคนได้แก่
คุณชายลู่ซีจากแคว้นเต่าดำ
คนที่สองคุณหนูไป๋หนิงจากตระกูลไป๋เเห่งแคว้นมังกรเขียว
คนที่สามคุณชายอู๋ไห่จากตระกูลอู๋เเห่งแคว้นเสือขาว
คนที่สี่คุณชายจิ่งหรวนจากตระกูลจิ่ง และคุณชายหานตงจากตระกูลหานเเห่งแคว้นหงส์เเดงนั่นเอง
"การประลองในรอบที่สองของผู้ฝึกตนราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณได้เริ่มต้น ณ ตอนนี้!!!"
ผู้คนที่อยู่โดยรอบสนามประลองเวทย์ต่างพากันส่งเสียงดังกระหึ่มและต่างพากันพูดคุยถึงคู่ประลองที่พึ่งจบไปเมื่อครู่นี้ คาดหวังว่าพวกเขาจะได้รับชมความสนุกตื่นตาตื่นใจกับการประลองรอบถัดไปของผู้ฝึกตนราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณ และในครั้งนี้มีผู้ที่มีรายชื่อเพียงสิบคนเท่านั้น เนื่องจากว่าน้อยนักที่จะมีผู้ฝึกตนระดับพลังที่อยู่ในขั้นนี้ได้
อาจมีจำนวนค่อนข้างน้อยเเต่ต้องบอกก่อนว่าในโลกของผู้ฝึกตน หากไม่ได้เกิดจากตระกูลใหญ่หรือไม่ได้เป็นเชื้อพระวงศ์เชื้อสายชั้นปกครองหรือหากไม่มีพรสวรรค์ในการฝึกตนจริง ๆ น้อยคนนักที่จะสามารถเพิ่มระดับฝึกตนมาถึงขั้นนี้ได้ เนื่องจากผู้คนทั่วไปนั้นมักหยุดการเพิ่มพลังวิญญาณในระดับขุนนางวิญญาณเสียเป็นส่วนใหญ่ ด้วยเพราะว่าการหาสิ่งที่สามารถนำมาเลื่อนระดับนอกจากจะหาได้ยากยิ่งเเล้วยังมีราคาสูงและต้องอาศัยพรสวรรค์อย่างยิ่งยวดเลยทีเดียว
"ในรอบนี้กฎของการประลองของผู้ฝึกตนราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณยังคงเป็นไปเช่นเดิม ผู้ประลองสามารถใช้ได้ทั้งทักษะเชิงยุทธ์และบทเวทย์ รวมไปถึงการเรียกใช้อสูรในพันธะ ระยะเวลาในการแข่งขันไม่จำกัดจนกว่าจะหาผู้ชนะได้ในที่สุด" ผู้อาวุโสท่านเดิมกล่าวเน้นย้ำอีกครั้ง เสียงตอบรับจากผู้รับชมทั่วทั้งสนามประลองส่งเสียงดังโห่ร้อง เพราะนี่ถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ต่างรอคอย
"การประลองในรอบที่สองของผู้ฝึกตนราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณคู่เเรก ได้แก่คุณชายจงเสวียนคุณจากตระกูลจงเเห่งแคว้นมังกรเขียว ประลองกับคุณชายหลานซ่งหมิงจากตระกูลหลานเเห่งแคว้นสิงโตเพลิง" สิ้นเสียงประกาศออกมาให้ได้ยินทั่วไปสนามประลองเเล้วนั้นคุณชายทั้งสองที่มีรายชื่อต่างพากันมุ่งตรงไปยังกลางสนามประลองในทันที คุณชายทั้งสองคนต่างขึ้นชื่อในเรื่องความโดดเด่นในความสามารถเป็นอย่างมาก
"คุณชายทั้งสองดูโดดเด่นไม่น้อยเลยนะขอรับ และน่าจะอายุห่างจากข้าไม่กี่ปีเพียงเท่านั้น..." หนิงอ้ายพูดคุยกับลู่ซี
"คุณชายทั้งสองคนล้วนมาจากตระกูลที่ขึ้นชื่อในแคว้นของตน อีกทั้งมีพลังวิญญาณระดับจักรพรรดิวิญญาณขั้นต้นช่วงปลายของทั้งคู่ ต่อไปในทางข้างหน้าหากได้รับการสนับสนุนจากตระกูลของตน และไม่หยุดพัฒนาตนเองแล้วคงสามารถที่จะทะลวงไปถึงระดับจักรพรรดิวิญญาณขั้นกลางในอีกไม่ช้าอย่างแน่นอน..." ลู่ซีเอ่ยตอบกลับไป
"ก่อนหน้านี้ข้ายังไม่เห็นจางเหยากวงลงประลอง เเสดงว่าตอนนี้คงอยู่ในระดับจักรพรรดิวิญญาณเเล้วใช่หรือไม่ขอรับ??"
"คุณชายรองจางเหยากวงพึ่งเลื่อนระดับพลังวิญญาณเป็นระดับจักรพรรดิวิญญาณขั้นต้นในช่วงปีที่ผ่านมา จึงทำให้ในการประลองครั้งนี้จึงได้เข้าร่วมประลองในรอบนี้ได้ขอรับ..." ลู่ซีได้ตอบกลับหนิงอ้ายไป
การประลองของคุณชายจงเสวียนคุณกับคุณชายหลานซ่งหมิงมีความรุนเเรงเป็นอย่างมาก ทั้งวิชายุทธ์เคล็ดวิชาประจำตระกูลต่างถูกนำออกมาใช้แทบทั้งสิ้น อีกทั้งบทเวทย์ที่นำออกมาใช้ในการประลองต่างเป็นปราณธาตุดินเหมือนกัน ดังนั้นจึงไม่อาจคาดเดาได้ว่าผู้ใดกันจะเป็นผู้ที่ได้เปรียบมากกว่า จนทั้งคู่ได้เรียกสัตว์อสูรออกมาต่อสู้ แม้จะไม่ใช่อสูรมายาเเต่ก็เป็นสัตว์อสูรระดับสูงที่หายากสมกับฐานะคุณชายจากตระกูลใหญ่ของแคว้น
เสียงของผู้คนโห่ร้องเชียร์ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณสนามประลองซึ่งตัวของหนิงอ้ายเองก็ตั้งใจดูการประลองของทั้งคู่และนำมาปรับใช้ให้เข้ากับตน
'คุณชายทั้งสองค่อนข้างมีสมาธิและมีความเเข่งแกร่งเป็นอย่างมาก ไม่ว่าใครที่ได้ผ่านการประลองรอบนี้ไปก็นับได้ว่าน่ากลัวอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว...' หนิงอ้ายคิดอยู่ในใจ
การประลองคู่เเรกได้ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยามจึงจะได้ผลแพ้ชนะ คู่ประลองทั้งสองที่อยู่ในกลางสนามประลองตอนนี้ต่างมีสภาพสะบักสะบอมได้รับบาดเจ็บทั้งคู่
'"ผู้ชนะในรอบนี้ได้แก่คุณชายจงเสวียนคุณจากตระกูลจงเเห่งแคว้นมังกรเขียว!!! " ผู้ดำเนินการประลองประกาศออกมาเสียงดังให้ได้รับรู้ซึ่งผู้คนโดยรอบสนามประลองเวทย์ต่างพากันส่งเสียงเชียร์ดังกระหึ่มบ้างก็ผิดหวัง บ้างก็ดีใจ
"ต่อไปจะเป็นการประลองของคู่ที่สองคุณชายเหมากวานตุงจากตระกูลเหมาเเห่งแคว้นมังกรเขียวประลองกับคุณชายหนิงจากแคว้นเต่าดำ!!!" ผู้อาวุโสท่านเดิมประกาศคู่ประลองถัดไปในทันทีเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา
ตระกูลหวัง
ทางฝั่งของตระกูลหวังที่รับรู้ถึงตัวตนที่แท้จริง ว่าคุณชายหนิงผู้นี้ คือคุณชายหวังหนิงอ้าย บุตรชายของท่านหญิงเยว่ซินที่ได้หวนกลับคืนแคว้นเต่าดำเมื่อไม่กี่วันก่อน ฟังว่าคุณชายเพิ่งเริ่มต้นเข้าสู่วิถีของผู้ฝึกตนได้เพียงหนึ่งถึงสองปีเท่านั้น ทว่ากลับพร้อมไปด้วยคุณสมบัติของราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณได้เช่นนี้ นับว่าคุณชายเป็นดั่งอัจฉริยะเหนือผู้คนทั่วไปอย่างแท้จริง
หวังจิ่งหลงและเหมยฮวารวมไปถึงผู้อาวุโสในตระกูลรวมไปถึงคนอื่น ๆ ในตระกูลหวังต่างพสกันส่งเสียงให้กำลังใจหนิงอ้ายอย่างคึกคัก พวกเขาต่างเชื่อว่าคุณชายนั้นต้องชนะการประลองครั้งนี้อย่างแน่นอน
"ข้าจักวางเดิมพันฝั่งหนิงอ้ายหลานของข้า เจ้าช่วยนำเหรียญทองหนึ่งล้านตำลึงทองไปวางเดิมพันให้ข้าด้วยเล่า..." หวังจิ่งหลงเอ่ยกับหวังฮุ่ยที่ยืนอยู่ด้านข้างตน
"ขอรับท่านประมุข!!"
"ผู้อาวุโสฮุ่ย ข้ารบกวนฝากเดิมพันฝั่งของหนิงเอ๋อร์หนึ่งแสนตำลึงทองด้วยเจ้าค่ะ" เยว่ซินเอ่ยขึ้นพร้อมกับหยิบตั๋วตำลึงทองออกมา
"ทั้งท่านประมุขและท่านหญิงเยว่ซินถึงกับเดิมพันหนักเช่นนี้ เห็นทีพวกข้าคงต้องร่วมลงเดิมพันด้วยเลียแล้ว..." เสียงของผู้อาวุโสเอ่ยขึ้น ก่อนที่จะสั่งการบ่าวรับใช้ของตนไปทางฝั่งโตะพนันที่อยู่ไม่ห่างไปนัก
ภาพเหตุการณ์ที่ผู้นำตระกูลหวัง ผู้อาวุโสในตระกูล รวมไปถึงคนอื่น ๆ ในตระกูลหวังต่างพากันเข้าออกจุดรับพนัน นับว่าเป็นสิ่งที่หน้าแปลกใจไม่น้อย ยิ่งได้รู้ว่าทางฝั่งตระกูลหวังทั้งหมดต่างทุ่มเดิมพันทางฝั่งของคุณชายหนิงที่กำลังจะลงประลองในอีกไม่ถึงเค่อเช่นนี้ ช่างเป็นสิ่งที่ชวนให้สงสัยว่าคุณชายหนิงผู้นี้มีความสัมพันธ์อันใดกับตระกูลหวังกัน...
"ตื่นเต้นหรือไม่??" ลู่ซีถามเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านข้าง เพราะนี่ถือได้ว่าเป็นครั้งแรกที่อีกฝ่ายได้ลงสนามประลองหาใช่เป็นการฝึกฝนดังเช่นที่ผ่านมา
"รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยขอรับ..."
"เกอเชื่อว่าเจ้าย่อมสามารถเอาชนะได้อย่างแน่นอนอยู่แล้ว อย่างไรเจ้าอย่าลืมเล่าความปลอดภัยสำคัญยิ่งกว่าสิ่งใด..." ลู่ซีเอ่ยย้ำขึ้นเมื่อเห็นว่าถึงคราวที่หนิงอ้ายได้ลงสนามประลองเเล้ว
"ข้าจะปลอดภัยไร้รอยขีดข่วนอย่างแน่นอนขอรับ!!" หนิงอ้ายเอ่ยตอบกลับลู่ซีไปให้ไม่ต้องกังวลพร้อมกับที่ตัวเขาเองได้มุ่งตรงไปยังใจกลางสนามประลองในทันที
คุณชายเหมากวานตุงและหนิงอ้ายต่างเผชิญหน้ากันตรงกลางสนามประลองเวทย์ โดยมีสายตาของผู้คนมากมายทั่วทั้งสนามประลองคอยจับจ้องส่งเสียงเชียร์อย่างคึกคัก
"คู่ประลองที่สอง ท่านแรกคุณชายเหมากวานตุง ราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณขั้นต้น ระดับพลังวิญญาณ33วิญญาณยุทธ์สายโจมตี ตัวแทนจากแคว้นมังกรเขียว!!"
เฮ!!!!
"และคู่ประลองได้แก่คุณชายหนิงผู้ลึกลับ ราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณขั้นต้น ระดับพลังวิญญาณที่32 วิญญาณยุทธ์สายโจมตี ตัวแทนจากแคว้นเต่าดำ!!!"
เฮ!!!!
"การประลองเริ่มได้!!"
"อย่าหาว่าข้าดูถูกท่าน หากไม่อยากเจ็บตัวจงสละสิทธิ์ไปเสียเถิด ตัวข้าไม่อยากทำร้ายคุณชายรูปร่างบอบบางเยี่ยงกับสตรีเช่นนี้..." เหมากวานตุงเมื่อเห็นคู่ประลองของตนตรงหน้าก็อดที่จะเอ่ยออกไปไม่ได้ คู่ประลองตรงหน้าแม้จะสวมผ้าคลุมปกปิดไปทั้งตัวเเต่ก็ดูบอบบางไม่ต่างไปกับสตรี อีกทั้งในตอนนี้เองตัวเขานั้นได้มีพลังวิญญาณระดับจักรพรรดิวิญญาณขั้นต้นช่วงปลายแล้วจึงมั่นใจในฝีมือของตนไม่น้อย
"คุณชายเหมาอย่าเอ่ยสิ่งใดให้เสียเวลา ข้าว่าเรารีบมาจบการประลองครั้งนี้กันเถิด..." หนิงอ้ายตอบกลับไปในทันที แม้ว่าเหมากวานตุงที่อยู่ด้านหน้าจะมีรูปร่างสูงใหญ่ เเต่หนิงอ้ายก็เชื่อมั่นในฝีมือของตนไม่น้อยว่าคงเอาชนะได้ไม่ยากนัก
"หากเป็นเช่นนั้นข้าคงไม่ต้องเกรงใจคุณชายหนิงเสียแล้วกระมัง!!" เอ่ยจบเหมากวานตุงจึงทำการเรียกใช้พลังวิญญาณของตนในทันที
พรึบ!
ด้านหลังของคุณชายเหมากวานตุงพลันปรากฏเป็นวงเเหวนเวทย์หนึ่งชั้นสีเหลืองเข้มเเสดงให้เห็นถึงราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณขั้นต้นที่แผ่กลิ่นอายความกดดันออกมาโดยรอบ พร้อมกับร่ายบทเวทย์โจมตีหนิงอ้ายในทันที
อัญเชิญบทเวทย์โจมตีพสุธาทะลายฟ้า!
ครึน!
ทางฝั่งของหนิงอ้ายตวัดกระบี่ข้างเอวของตนขึ้นมาตั้งรับการโจมตีบทเวทย์ของเหมากวานตุง อีกทั้งพุ่งเข้าโจมตีกลับอย่างคล่องแคล่ว พริ้วไหวสวยงามเเต่แฝงไปด้วยพลังที่เเข็งแกร่งของเพลงกระบี่ในมือตน
"ไม่น่าเชื่อว่าคุณชายหนิงจะมากไปด้วยฝีมือเช่นนี้ ตัวข้าเองนั้นก็ชื่นชอบในเคล็ดวิชากระบี่ไม่น้อย หวังว่าท่านคงไม่รังเกียจที่จะเเลกเปลี่ยนวิชากับข้า!!!" เหมากวานตุงตกใจไม่น้อยที่ร่างบางสามารถตั้งรับ พร้อมโจมตีกลับด้วยเพลงกระบี่ที่พริ้วไหวเเต่แฝงไปด้วยความเเข็งแกร่งรุนแรง เมื่อคิดได้เช่นนั้นเขาจึงนึกสนุกไม่น้อยที่จะได้เเลกเปลี่ยนฝีมือกับร่างบางที่อยู่ตรงหน้าของตน
เพล้ง! เพล้ง! เพล้ง!
การประลองกระบี่ของหนิงอ้ายและเหมากวานตุงเป็นไปอย่างดุเดือด อย่าได้เห็นว่าฝ่ายคุณชายหนิงที่สวมผ้าคลุมปกปิดจะมีรูปร่างเล็กกว่าอาจจะทำให้เสียเปรียบเเต่ความจริงหาเป็นเช่นนั้นไม่ หนิงอ้ายยังคงออกท่าท่างคล่องแคล่วพริ้วไหวเพลงกระบี่นั้นล้วนงดงามเเปลกตา ทุกครั้งที่ได้ตวัดกระบี่ออกไปมักจะฝากรอยแผลที่ตัวของเหมากวานตุงเสียทุกครั้ง ขณะที่ตัวของหนิงอ้ายไร้ซึ่งรอยขีดข่วนคล้ายกับเพียงว่าลงมาวิ่งเล่นที่ในสนามประลองเพียงเท่านั้น
'ดุเดือดยิ่งนัก!! คราเเรกข้าคิดว่าเพียงชั่วก้านธูปคุณชายเหมากวานตุงคงจะเอาชนะคุณชายหนิงที่ตัวเล็กกว่าได้ไม่ยาก...'
'นี่เเหละเขาถึงบอกว่ารูปร่างไม่สำคัญเท่ากับฝีมือ เจ้าว่าหรือไม่??'
'ตั้งเเต่คุณชายทั้งสองได้ลงสนามประลองข้ายังไม่เห็นคุณชายหนิงใช้พลังวิญญาณเลยสักครั้งเเต่ว่าเพลงกระบี่นั้นช่างงดงามพริ้วไหวและร้ายกาจยิ่งนัก...'
เสียงของผู้คนมากมายที่อยู่รอบ ๆ สนามประลองเวทย์ต่างพากันพูดคุยเเลกเปลี่ยนความคิดเห็น พร้อมกับจับจ้องไปยังตรงกลางสนามประลองที่กำลังเป็นไปอย่างดุเดือด ภาพที่พวกเขาเห็นคือร่างกายคุณชายเหมากวานตุงเต็มไปด้วยรอยแผลน้อยใหญ่ เเต่กับคุณชายหนิงทั่วทั้งร่ายกายไร้ซึ่งรอยขีดข่วนมีเพียงรอยเปื้อนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ผู้คนที่รับชมการประลองต่างพาสงสัยว่าคุณชายหนิงที่กำลังประลองอยู่นั้น หนิงเป็นเพียงชื่อหรือเป็นแซ่สกุลกันแน่เหตุใดจึงมากไปด้วยฝีมือเเต่พวกตนนั้นกลับไม่คุ้นชื่อเช่นนี้ เมื่อไม่สามารถหาคำตอบในตอนนี้ได้จึงพากันลุ้นว่าผู้ใดกันจะเป็นผู้ชนะเพื่อประลองในรอบนี้แม้ว่าจะเห็นผลที่ชัดเจนเเล้วก็ตาม
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
เพล้ง! เพล้ง!
หนิงอ้ายยังคงพุ่งโจมตีเหมากวานตุงด้วยความรวดเร็วรุนแรง แม้ว่าอีกฝั่งนั้นจะใช้ทั้งเคล็ดวิชากระบี่รวมไปถึงบทเวทย์ระดับสูงหลายบท เเต่หนิงอ้ายยังคงสามารถตั้งรับการโจมตีได้ทุกครั้งด้วยเป็นเพราะเคล็ดวิชากระบี่สักกะดาราราย เป็นสุดยอดเคล็ดวิชากระบี่ของตระกูลหวังที่หนิงอ้ายพลิกแพลงจนมีความแตกต่างเฉพาะและสามารถรับมือการโจมตีต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย
เคล็ดวิชากระบี่สักกะดารารายดังกล่าวนั้น หัวใจหลักนั้นคือการตั้งรับและพลิกเเพลงท่วงท่าโจมตีกลับด้วยความพริ้วไหวที่แม่นยำเฉียบขาด กลิ่นอายพลังลมปราณระดับจักรพรรดิวิญญาณของคุณชายเหมากวานตุงที่ปลดปล่อยออกมากลางสนามประลอง แม้ว่าจะมีเกราะเวทย์ป้องกันหลายชั้นเเต่ผู้รับชมที่เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดารวมไปถึงผู้ฝึกตนที่มีระดับพลังวิญญาณต่ำกว่าขั้นจักรพรรดิวิญญาณต่างสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอึดอัดกันทั้งสิ้น
ผู้ชมหลายคนอดที่จะเเปลกใจไม่น้อยที่ทางฝั่งของคุณชายหนิงนั้นไม่แม้กระทั่งเรียกใช้พลังวิญญาณของตนเเต่ก็ยังสามารถช่วงชิงความได้เปรียบในการประลองครั้งนี้มาได้ หนิงอ้ายเองเห็นว่าในตอนนี้นั้นทางฝั่งของเหมากวานตุงพุ่งเข้าโจมตีเเบบไร้เเบบเเผนไปเรื่อย ๆ ปล่อยให้อารมณ์โกรธเข้ามาอยู่เหนือสติจนทำให้เผยช่องโหว่ที่ตนนั้นสามารถจัดการได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นหนิงอ้ายจึงไม่ลังเลที่จะโจมตีครั้งสุดท้ายนี้ให้การประลองจบลงเสียที
ฝ่ามือของหนิงอ้ายนั้นอัดเเน่นไปด้วยพลังวิญญาณระดับจักรพรรดิวิญญาณเข้าซัดไปที่กลางอกของคุณชายเหมากวานตุงอย่างเต็มแรงจนทำให้อีกฝ่ายนั้นถึงกับลอยละลิ่วไปชนกับเกราะป้องกันที่ถูกร่ายไว้ตรงอีกฝั่งของสนามประลองในทันที
''อั้กกกกก!!!!'' คุณชายเหมากวานตุงกระอักเลือดออกมาคำโตและนอนแน่นิ่งสลบไปในที่สุด
"เอ่อ...ผู้ชนะการประลองในรอบนี้ได้แก่คุณชายหนิงจากแคว้นเต่าดำ!!!" ทันทีที่ผู้อาวุโสที่ทำหน้าที่ดำเนินการประลองได้กล่าวจบลงหนิงอ้ายก้มตัวคำนับเล็กน้อยไปทางฝั่งคุณชายเหมากวานตุงเพื่อเป็นการให้เกียรติคู่ประลองตามมารยาท ก่อนที่จะมุ่งตรงออกไปนอกสนามประลองที่ตอนนี้ลู่ซียังคงนั่งรอตนอยู่ที่เดิม
ตลอดสองข้างทางจากสนามประลองไปยังที่นั่งรับชมที่หนิงอ้ายเดินผ่านไปนั้นตัวของหนิงอ้ายเองไม่สนใจสายตาที่จ้องมองตนอย่างเปิดเผยและคำพูดมากมายที่เอ่ยถึงเขาขณะที่เดินผ่านไปนั่นเอง
'ข้ามิอยากเชื่อเลย การประลองจบไปเเล้วงั้นรึ??'
'เเข็งแกร่งเกินไปเเล้ว ข้ายังไม่เห็นคุณชายหนิงเรียกใช้บทเวทย์ออกมาต่อสู้เลยด้วยซ้ำ...'
'คุณชายหนิงผู้นี้เป็นใครกันเหตุใดจึงมากไปด้วยฝีมือเช่นนี้ หากเป็นคนของตระกูลใหญ่เหตุใดจึงไม่คุ้นชื่อแซ่กัน'
'คุณชายหนิงสวมผ้าคลุมปกปิดใบหน้าเช่นนี้ ทำเอาข้าอยากจะรู้เเล้วว่าเป็นใครกันแน่...'
ผู้คนที่อยู่โดยรอบสนามประลองต่างพากันพูดถึงชื่อของหนิงอ้ายกันไม่หยุด ต่างพากันคาดเดากันไปว่าคุณชายหนิงผู้นี้เป็นใครกัน เหตุใดจึงมากไปด้วยความสามารถอีกทั้งยังมีฝีมือที่โดดเด่นสามารถจบการประลองกับผู้ฝึกตนที่มีพลังวิญญาณระดับจักรพรรดิวิญญาณเพียงเเค่เวลาไม่กี่ก้านธูปได้
อีกทั้งยังใช้เพียงเเค่ทักษะเชิงยุทธต่อสู้และเคล็ดวิชาเพลงกระบี่เท่านั้นเเต่ก็สามารถเอาชนะได้โดยไร้ซึ่งรอยขีดข่วน มีเพียงรอยเปื้อนตรงชายผ้าคลุมเพียงเท่านั้น ทุกคนต่างพากันคาดเดาและเเลกเปลี่ยนความคิดกันไปว่าคุณชายหนิงผู้นี้ยังมีความสามารถอะไรซ่อนไว้อีกหรือไม่ และรอคอยที่จะได้เห็นการประลองในครั้งถัดไปของคุณชายหนิงผู้ลึกลับคนนี้ไปเสียเเล้ว...
"เหมือนว่าน้องพี่จงใจเล่นสนุกสินะ..." ลู่ซีเอ่ยขึ้นทันทีเมื่อเห็นว่าหนิงอ้ายนั้นกลับขึ้นมายังที่นั่งข้างตนโดยไร้ซึ่งรอยขีดข่วน
"ข้าคาดหวังจะได้เเลกเปลี่ยนวิชากับผู้ฝึกตนพลังวิญญาณระดับจักรพรรดิวิญญาณ และคิดว่าหากได้ลงประลองคงต้องสนุกมากเป็นแน่ เเต่กลับกลายเป็นว่าการประลองของพวกเกอในรอบเเรกของผู้ฝึกตนราชทินนามขุนนางวิญญาณที่ผ่านมาต่างหากที่ทำเอาข้าตื่นเต้นมากกว่าขอรับ..."
"แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ฝึกตนราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณ เเต่ความจริงนั้นย่อมขึ้นอยู่กับการฝึกฝนอยู่ไม่น้อยรวมถึงต้องมีประสบการณ์ในการต่อสู้ในชีวิตจริง เจ้านั้นใช้เวลาเพียงไม่ถึงสองปีตั้งเเต่ทำการปลุกพลังวิญญาณและตอนนี้พลังวิญญาณเป็นระดับจักรพรรดิขั้นต้น หากมองไปในยุทธภพความสามารถเช่นนี้นั้นหาได้พบเจอโดยง่ายย่อมหมายความว่าเจ้านั้นเป็นอัจฉริยะในการฝึกตนยิ่งนัก..." ลู่ซีเอ่ยขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ
หนิงอ้ายที่ใช้เวลาในการเข้าสู่วิถีของผู้ฝึกตนไม่ถึงสองปี เเต่กลับมีความสามารถที่โดดเด่น มีระดับพลังวิญญาณในระดับสูงกว่าผู้ฝึกตนที่ทำการปลุกพลังวิญญาณตั้งเเต่อายุครบเจ็ดขวบปีเสียด้วยซ้ำ…
ผู้คนที่อยู่รอบข้างได้ยินบทสนทนาดังกล่าวต่างพากันตกใจไม่น้อย ทุกคนล้วนจำได้ว่าคุณชายหน้าตาหล่อเหลาที่พึ่งพูดจบลงไปนั่นคือคุณชายลู่ซี ผู้เป็นตัวแทนหนึ่งในห้าคนเเรกที่ผ่านการประลองในรอบถัดไป นอกจากจะมีความสามารถที่โดดเด่นเเล้วอีกฝ่ายยังครอบครองสัตว์อสูรมายาอีกด้วยบทสนทนาเมื่อครู่แม้จะเป็นการพูดคุยด้วยเสียงที่เบามากเพียงใดเเต่ด้วยพวกเขาที่เป็นผู้ฝึกตนที่นับได้ว่าประสาทสัมผัสล้วนดีกว่าคนธรรมดาหลายเท่านักเมื่อเห็นว่าคุณชายลู่ซีได้พูดคุยกับคุณชายหนิงผู้ลึกลับที่สวมผ้าคลุมปกปิดตัวตนที่พึ่งจบการประลองไปเมื่อครู่ บทสนทนาพูดคุยกันราวกับว่าเป็นพี่น้องกันเเต่นั่นไม่อาจทำให้ตกใจเท่ากับบทสนทนาที่ว่าคุณชายหนิงพึ่งทำการปลุกพลังวิญญาณได้ไม่ถึงสองปีเท่านั้น เเต่กลับเป็นถึงราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณ ยังไม่รวมถึงเคล็ดวิชากระบี่ที่พริ้วไหวเฉียบขาดและความสามารถอื่นที่ร่างบางนั้นยังไม่ได้เเสดงให้ผู้คนได้เห็นอีก'เจ้าได้ยินเหมือนกับข้าหรือไม่? คุณชายหนิงพึ่งปลุกพลังวิญญาณได้เพียงไม่นานเเต่กลับเป็นถึงราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณแล้ว ช่างน่าตกใจยิ่ง!!''บ้าไปเเล้ว!! บางคนปลุกพลังวิญญาณตั้งเเต่เจ็ดขวบปีเเต่ยังไม่สา
ด้วยความโกรธที่อีกฝ่ายทำให้เขาต้องรู้สึกอับอายเช่นนี้ จางเหยากวงจึงตัดสินใจอัญเชิญสัตว์อสูรของตนออกมาในทันทีจงออกมา อสูรราชันย์ศารกูลทมิฬ!!!!วูบ!โฮก!อสูรรับใช้ของจางเหยากวงนั้นปรากฏเป็นรูปลักษณ์คล้ายกับเสือดำที่มีลำตัวสูงใหญ่มีเปลวเพลิงสีดำลึกลับลุกท่วมไปทั่วทั้งตัว ดวงตาสีแดงเข้มดุดัน รอบตัวรายล้อมไปด้วยกลิ่นอันตรายราวกับว่าพร้อมที่จะทำลายทุกสิ่งให้มอดเป็นจุลผู้คนที่อยู่โดยรอบสนามประลองต่างส่งเสียงเชียร์กระหึ่ม ด้วยเพราะว่าในตอนนี้อสูรมายาระดับกลางได้ปรากฎในสนามประลองอีกครั้งเเล้วย่อมสร้างความตื่นเต้นเพิ่มขึ้นไปอีกมาก กลิ่นอายของสัตวอสูรมายาระดับกลาง ราชันย์ศารกูลทมิฬที่ได้เเผ่ออกมานั้นทำให้ผู้ฝึกตนที่อยู่โดยรอบสนามประลองรู้สึกอึดอัด แม้ว่าจะมีเกราะป้องกันเวทย์ที่คอยปกป้องอยู่เเล้วก็ตาม...'บ้าไปแล้วสัตว์อสูมายาระดับกลางอีกตัวเช่นนั้นรึ?? นี่ไม่ใช่งานประลองของผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์เเล้ว''แล้วทางคุณชายหนิงจะไหวหรือไม่นั่นเจอทั้งบทเวทย์ระดับสูงอีกทั้งสัตว์อสูรมายาที่แข็งแกร่งว่องไวเช่นนี้...'"จัดการมัน!!!" จางเหยากวงชี้ไปทางหนิงอ้าย ก่อนที่อสูรราชันย์ศารกูลทมิฬได้พุ่งเข้าโจมตีหนิงอ้า
บรรดาเหล่าฮ่องเต้ผู้ปกครองกแคว้น ต่างรู้สึกอิจฉาฮ่องเต้แคว้นเต่าดำยิ่งนักที่มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์มากไปด้วยความเก่งกาจและครอบครองสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพฤกษาเช่นนี้ ฮ่องเต้ของแคว้นเต่าดำนั้นสัมผัสได้ถึงความรู้สึกต่าง ๆ เหล่านั้นได้ใบหน้าหล่อเหลาจึงเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ฉายชัดถึงความภูมิใจและขอบคุณตนที่ได้ตัดสินใจที่รับเป็นเจ้าภาพในการประลองครั้งนี้ แน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นคงจะถูกเล่าขานกันอีกนานเท่านานเหล่าบรรดาสำนักต่าง ๆ นั้นพากันปรึกษากันภายในอย่างเร่งด่วน เพราะหากสำนักของตนนั้นได้ตัวของคุณชายหนิงผู้นี้มาเป็นศิษย์ในสำนักของตนได้นั้นนอกจากที่จะได้ผู้ฝึกตนที่มีฝีมือดีสามารถเป็นกำลังหลักให้สำนักของตนได้เเล้วนั้น ยังจะนำมาซึ่งชื่อเสียงของสำนักของตน..."ช่างน่าเห็นใจเสียจริง สัตว์อสูรในพันธะของคุณชายคงใช้เวลาไม่น้อยกว่าที่จะพักฟื้นได้ดังเดิม ไม่รู้ว่าข้าได้บอกกล่าวไปแล้วหรือยังว่าทุกการโจมตีของเจียวซิ่นล้วนแฝงไปด้วยปราณธาตุพฤกษากลายพันธ์ จึงมีความสามารถแฝงนั่นคือการกัดกร่อนแก่นสมุทรลมปราณของสัตว์อสูรได้ และหากรักษาไม่ทันก็คง...""เจ้า!!!! เจ้านี่มันสารเลวต่ำทรามยิ่งนัก ลูกไม้สกปรกลอบทำ
การประลองระหว่างแคว้นครั้งที่88 ในรอบสุดท้ายกำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่อึดใจนี้ แน่นอนว่าตัวแทนของผู้ฝึกตนทั้งสองราชทินนามจำนวนทั้งสิ้นห้าคน ถือได้ว่ารุ่นเยาว์เหล่านี้ล้วนเป็นหนึ่งในเสาหลักแห่งยุทธภพรุ่นเยาว์ทั้งสิ้น แต่ถึงอย่างไรแล้วการประลองยังคงต้องดำเนินต่อไปเพื่อค้นห้าผู้ชนะอันดับหนึ่ง ผู้ที่ได้ครอบครองซึ่งตำแหน่งฐานะเจ้าแห่งยุทธภพรุ่นเยาว์นั่นเองหนิงอ้ายเมื่อเปิดเผยตัวตนฐานะที่แท้จริงแล้ว จึงตัดสินใจชวนลู่ซีกลับไปยังที่นั่งของตระกูลหวังที่อยู่ไม่ห่างไปเท่าไหร่นัก อย่างไรแล้วหลังจากจบงานประลอง ท่านตาหวังจิ่งหลงคงประกาศฐานะที่เเท้จริงของเขาทั้งคู่ ดังนั้นหากไปยังที่นั่งดังกล่าวในตอนนี้ก็คงไม่ส่งผลอะไรมากมายเท่าไหร่นัก"ในที่สุดเจ้าก็ทำได้เเล้วนะหนิงเอ๋อร์..." หวังเยว่ซินเอ่ยขึ้นด้วยความสุข พร้อมกับดึงเด็กหนุ่มเข้ามากอดด้วยความภูมิใจ"พวกเจ้าทั้งสองคนเก่งมาก ไม่เสียชื่อลูกหลานตระกูลหวังของพวกเรา""หนิงเอ๋อร์ เพลงกระบี่ของหลานกล่าวว่าเหนือชั้นอย่างแท้จริง ทั้งพริ้วไหวและดุดันแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง หากนับไปแล้วในหมู่ฝึกตนรุ่นเยาว์ในช่วงวัยเดียวกัน ถือว่าเจ้าแข็งแกร่งและมากด้วยพรสวรร
หนิงอ้ายร่ายบทเวทย์โจมตีและบทเวทย์ป้องกันอย่างเต็มที่ต่อเนื่อง ตอนนี้เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วยามเเล้วจริงอยู่ที่ว่าเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาของเขานั้นจะสามารถชักนำพลังปราณฟ้าดินบริสุทธ์มาสร้างสมดุลเสริมพลังปราณใช้ในการต่อสู้ได้ เเต่ทว่าความเหนื่อยล้าก็ปรากฏแล้วเช่นกันเล็กน้อย หนิงอ้ายคิดว่าควรที่จะจบการประลองครั้งนี้ได้เสียทีเพราะร่างกายของคนเรานั้นต่อให้เป็นผู้ฝึกตนที่มีความเเข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปก็ควรได้รับการฟื้นฟูและพักผ่อนอย่างเต็มที่เช่นกัน"คุณชายโม่เหรินข้ายินดีที่ได้ประลองกับท่านในครั้งนี้เเต่เป้าหมายของข้ายิ่งใหญ่นักขออภัยที่ต้องล่วงเกิน!!!" หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับยกมือประสานและโค้งคำนับด้วยมารยาทเพราะเขานั้นนับถือฝีมือของอีกฝ่ายจริง ๆอัญเชิญบทเวทย์โจมตีเขตแดนมหาดาระกะสยบโลกา!ครืนนน!'บทเวทย์เขตแดนระดับเทวะที่ถูกร่ายด้วยผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิขั้นต้นอย่างงั้นรึ?? เหตุใดกลิ่นอายช่างรุนแรงเช่นนี้ได้กัน...' โม่เหรินเมื่อเห็นว่าหนิงอ้ายนั้นเอาจริงเเล้ว ยอมรับตามตรงว่าเขาตกใจไม่น้อยเลยทีเดียวกับบทเวทย์ที่อีกฝ่ายเรียกใช้ กลิ่นอายเช่นนี้คงเป็นบทเวทย์ระดับเทวะขึ้นไปอย่างแน่นอนไม่ใช่เรื
แม้ว่าหลิวอี้จะร่ายบทเวทย์โจมตีไปยังคุณชายทั้งสองอย่างต่อเนื่องกลับไปไม่น้อยเช่นกันเเต่ทางฝั่งของหนิงอ้ายนั้นได้ร่ายบทเวทย์ป้องกันตนเองและลู่ซีในทันท่วงที ทำให้ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีด้วยบทเวทย์ระดับสูงและทรงพลังเเค่ไหนก็ไม่สามารถทำอันตรายกับพวกเขาทั้งสองได้เลยสักนิด เพียงสองเค่อเท่านั้นเกราะป้องกันอันเกิดจากศาสตร์ลับกลืนนภาอสูรเต่าทมิฬนิลกาฬของคุณชายหลิวอี้นั้นไม่สามารถตั้งรับได้ไหวเเล้วและเเตกสลายลงไปในที่สุด"อั๊กกกซ์!!! ข้าขอยอมแพ้คุณชายทั้งสอง เป็นเกียรติยิ่งนักที่ได้ประลองกับพวกท่าน!!" ทางฝั่งของคุณชายหลิวอี้นั้นเอ่ยออกมาด้วยรู้ตัวว่าหากเขานั้นฝืนใช้พลังวิญญาณและศาสตร์ลับกลืนนภาอสูรเต่าทมิฬนิลกาฬต่อไปแม้ว่าจะสามารถตั้งรับได้นานมากกว่านี้เเต่ผลกระทบหลังจากนั้นไม่สามารถคาดเดาได้เพราะอาจจะเกิดความเสียหายไปถึงจิตวิญญาณเลยทีเดียวซึ่งหากเป็นเช่นนั้นแล้วเส้นทางผู้ฝึกตนของเขานั้นคงไม่มีทางก้าวหน้าได้อีก ดังนั้นถึงจะพ่ายแพ้ไปเเต่นับได้ว่าเขานั้นได้สร้างชื่อเสียงของตระกูลหลิวแห่งแคว้นสิงโตเพลิงบนยุทธภพของทวีปบูรพาได้แล้ว อีกทั้งได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในห้าของเสาหลักเเห่งยุทธภพรุ่นเยาว์ที่ขึ
การมอบรางวัลสำหรับผู้ฝึกตนในการประลองเวทย์ครั้งที่แปดสิบแปด (88) ที่ทางแคว้นเต่าดำได้รับเป็นเจ้าภาพในการจัดงานประลองเวทย์ในครั้งนี้ กล่าวได้ว่าดอกผลที่ได้รับจากงานประลองนับได้ว่ามากมายมหาศาลเลยทีเดียวไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงของแคว้นที่เพิ่มขึ้นจากการปรากฎตัวผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่มากไปด้วยพรสวรรค์การปรากฏตัวของสัตว์อสูรนภาที่ว่ากันว่ายากนักที่จะสามารถครอบครอง รวมไปถึงสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพฤกษาที่มีบันทึกอยู่ในตำราหอบรรพชนเก่าแก่ของเเต่ละตระกูลนั้นหาใช่เป็นเพียงนิทานเรื่องเล่าเท่านั้น เพราะได้ถูกครอบครองโดยผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์คนหนึ่งที่มีพรสวรรค์เหนือชั้นกว่ารุ่นเดียวกันซึ่งผู้ฝึกตนที่ผ่านเข้ามาถึงรอบประลองเวทย์สิบคนสุดท้ายนั้นจะได้รางวัลซึ่งก็คือเหรียญทองหนึ่งพันเหรียญและได้รับบทเวทย์ป้องกันและบทเวทย์โจมตีระดับสูงคนละหนึ่งบทเวทย์นับได้ว่าเป็นผลตอบเเทนที่คุ้มค่ากับการประลองครั้งนี้ยิ่งนักสำหรับห้าอันดับแรกหรือเสาหลักเเห่งยุทธภพรุ่นเยาว์ของทวีปบูรพานั้นมีรายชื่อดังต่อไปนี้...อันดับที่ห้าคุณชายโม่เหรินจากตระกูลโม่แห่งแคว้นเสือขาว รางวัลที่ได้รับนับว่าไม่สามัญทั่วไปอย่างแน่นอนตามศักดิ์ฐานะของ
ตอนนี้ทุกคนได้รับรู้เเล้วว่าคุณชายทั้งสองคนนั้นมีความสัมพันธ์อย่างไรกับตระกูลหวัง แน่นอนว่าคุณชายหนิงอ้ายเป็นที่รู้จักกันดีในนามของอดีตคุณชายใหญ่ตระกูลจางเเห่งแคว้นหงส์เเดง ด้วยเพราะทั้งสองแคว้นนั้นอยู่ติดกันไม่ต่างจากเมื่องพี่เมืองน้อง ดังนั้นข่าวคราวในแวดวงที่ว่าคุณชายหนิงอ้ายเปรียบดั่งสวะของตระกุลจาง ผู้คนต่างรับรู้กันทั่วเพียงเเต่ไม่ได้มีการพูดคุยให้เห็นชัดด้วยเกรงกลัวอำนาจตระกูลใหญ่อย่างเช่นตระกูลจางและตระกูลหวัง กระทั่งข่าวที่ว่าท่านหญิงเยว่ซินได้หย่าขาดกับประมุขจางเลี่ยงหวงน ม้เหตุการณ์จะผ่านมาได้เพียงไม่กี่วัน เเต่ว่าหอข่าวที่มีสายลับแฝงตัวอยู่ทุกแคว้นต่างรายงานความเป็นไปที่เกิดขึ้นท่ามกลางความยินดีที่เกิดขึ้นแน่นอนว่าตระกูลหวังเเห่งแคว้นเต่าดำต่างเป็นที่จับจ้องมากขึ้น ด้วยเพราะว่าผู้ชนะอันดับหนึ่งและอันดับสองในการประลองเวทย์ครั้งนี้ต่างมีความข้องเกี่ยวโดยตรงกับตระกูลหวัง แม้ว่าจะเป็นตระกูลที่เพิ่งก่อตั้งได้เพียงไม่กี่ร้อยปีเเต่กลับยืนหยัดในฐานะหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำ ยิ่งกับวันนี้รุ่นเยาว์ในตระกูลหวังกลับสร้างชื่อเสียงให้กับตระกูลไปอีกไม่น้อยด้วยฐานะของเจ้ายุทธภพแล
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต
มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล
ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย