บรรดาเหล่าฮ่องเต้ผู้ปกครองกแคว้น ต่างรู้สึกอิจฉาฮ่องเต้แคว้นเต่าดำยิ่งนักที่มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์มากไปด้วยความเก่งกาจและครอบครองสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพฤกษาเช่นนี้ ฮ่องเต้ของแคว้นเต่าดำนั้นสัมผัสได้ถึงความรู้สึกต่าง ๆ เหล่านั้นได้ใบหน้าหล่อเหลาจึงเต็มไปด้วยรอยยิ้มที่ฉายชัดถึงความภูมิใจและขอบคุณตนที่ได้ตัดสินใจที่รับเป็นเจ้าภาพในการประลองครั้งนี้ แน่นอนว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นคงจะถูกเล่าขานกันอีกนานเท่านาน
เหล่าบรรดาสำนักต่าง ๆ นั้นพากันปรึกษากันภายในอย่างเร่งด่วน เพราะหากสำนักของตนนั้นได้ตัวของคุณชายหนิงผู้นี้มาเป็นศิษย์ในสำนักของตนได้นั้นนอกจากที่จะได้ผู้ฝึกตนที่มีฝีมือดีสามารถเป็นกำลังหลักให้สำนักของตนได้เเล้วนั้น ยังจะนำมาซึ่งชื่อเสียงของสำนักของตน...
"ช่างน่าเห็นใจเสียจริง สัตว์อสูรในพันธะของคุณชายคงใช้เวลาไม่น้อยกว่าที่จะพักฟื้นได้ดังเดิม ไม่รู้ว่าข้าได้บอกกล่าวไปแล้วหรือยังว่าทุกการโจมตีของเจียวซิ่นล้วนแฝงไปด้วยปราณธาตุพฤกษากลายพันธ์ จึงมีความสามารถแฝงนั่นคือการกัดกร่อนแก่นสมุทรลมปราณของสัตว์อสูรได้ และหากรักษาไม่ทันก็คง..."
"เจ้า!!!! เจ้านี่มันสารเลวต่ำทรามยิ่งนัก ลูกไม้สกปรกลอบทำร้ายสัตว์อสูรของข้าอย่างน่าไม่อาย เจ้านี่มัน..."
"พึ่งได้กระจ่างในวันนี้ ว่าคุณชายจากตระกูลจางล้วนเก่งแต่เรื่องตีฝีปากเสียจริง เอาละ!! ตัวข้าผู้นี้ไม่มีเวลาเล่นสนุกกับคุณชายจางเหยากวงเสียเเล้ว..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงถือดี
"ข้าจะเอาเลือดเจ้ามาล้างเท้าข้าได้ให้!!! " จางเหยากวงตะโกนขึ้นด้วยความแค้นเคืองยิ่ง
"หากคิดว่าตนทำได้สำเร็จก็ลองดู เก่งแต่ปากเช่นนี้ไม่สมควรให้ปากยาวยื่นมาถึงข้า ช่างน่าอายยิ่งนัก..." หนิงอ้ายยังคงเอ่ยตอบกลับเพื่อยั่วโมโหอีกฝ่าย พร้อมกับหัวเราะในลำคอเบา ๆ อย่างเสียไม่ได้
"เจ้าไม่ตายดีแน่!!!" เอ่ยจบจางเหยากวงนั้นได้พุ่งเข้าจู่โจมอย่างเต็มแรงอีกครั้งในทันที
เพล้ง! เพล้ง! เพล้ง!
เสียงของกระบี่สองเล่มเข้าฟาดฟันกันอย่างรุนแรง สลับกับเสียงสะท้อนจากการร่ายบทเวทย์โจมตีนั้นสลับกันดังก้องไปทั่วทั้งสนามประลอง สำหรับหนิงอ้ายด้วยเพราะสามารถดูดซับพลังปราณฟ้าดินได้ตามเคล็ดวิชาประจำตระกูลหวังดังนั้นตั้งเเต่เริ่มต้นการประลองเวทย์จนถึงตอนนี้ยังไม่ปรากฏร่องรอยของความเหนื่อยล้า แม้เพียงสักนิดเหมือนกับว่ายิ่งอยู่ในสนามประลองนานเท่าใด ความเเข็งแกร่งและความว่องไวของตัวคนนั้นทวีเพิ่มขึ้นเท่านั้น
อัญเชิญบทเวทย์โจมตีมหาหมื่นวารีหมื่นลักษณ์พิภพ ลงทัณฑ์!!!
ตู้ม!
ทางฝั่งของจางเหยากวงระเบิดพลังเวทย์โจมตีขั้นสูงสุดของตนออกมาในทันที ปรากฏเป็นบทเวทย์โจมตีระดับเทวะในรูปลักษณ์ของกิเลนน้ำขนาดใหญ่กินพื้นที่ไปเกือบครึ่งหนึ่งของสนามประลองเวทย์แม้จะเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายความอันตราย เเต่นั่นก็ทำให้พลังเวทย์ในตัวของจางเหยากวงแทบจะหมดไปเกือบทั้งสิ้นในทันทีเช่นกัน
อัญเชิญบทเวทย์ป้องกันมหาปราการวารีอหังการ!!!!
ตู้ม!
อัญเชิญบทเวทย์โจมตีมหาบุปผชาติเหมันต์จำแลงลักษณ์!!!
ตู้ม!
หนิงอ้ายร่ายบทเวทย์ป้องกันหนึ่งบท พร้อมกับร่ายบทเวทย์โจมตี เข้าจู่โจมจางเหยากวงโดยพร้อมกันในทันที หนิงอ้ายร่ายบทเวทย์สองบทออกมาพร้อมกันในทันทีโดยมีบทเวทย์ป้องกันตั้งรับการโจมตีจากบทเวทย์ระดับเทวะของอีกฝ่าย และอีกหนึ่งบทเวทย์ที่ร่ายออกไปได้ส่งการโจมตีไปยังจางเหยากวงในทันที
เเต่ด้วยเพราะบทเวทย์โจมตีบทดังกล่าวที่จางเหยากวงได้ร่ายออกมา เป็นถึงบทเวทย์ระดับเทวะที่ถึงแม้ว่าจางเหยากวงจะมีระดับพลังเพียงจักรพรรดิวิญญาณขั้นต้น เเต่ด้วยเพราะเขาได้รีดเค้นพลังปราณออกมาเกือบทั้งหมดออกมาดังนั้นพลังโจมตีจึงรุนเเรงยิ่งนัก
ทางฝั่งของหนิงอ้ายเองแม้บทเวทย์ป้องกันของตนที่ได้ร่ายออกมาดังกล่าว ถูกปรับให้เป็นบทเวทย์ระดับเทวะก็จริงเเต่ด้วยความประมาทที่ไม่ควรเกิดขึ้น เขาจึงใช้พลังปราณไปเพียงครึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้นบทเวทย์ป้องกันที่หนิงอ้ายได้ร่ายขึ้นมาจึงไม่สามารถป้องกันการโจมตีของทางฝั่งจางเหยากวงได้ทั้งหมด จึงส่งผลให้ตัวของหนิงอ้ายนั้นโดนบางส่วนของบทเวทย์โจมตีและเซถอยหลังไปยังอีกฝั่งของสนามประลองไปพร้อมกับจางเหยากวงที่โดนบทเวย์โจมตีของตนไปอย่างพอดีนั่นเอง
"อ๊าก!!! " จางเหยากวงส่งเสียงออกมาแผ่วเบาเมื่อสัมผัสได้ถึงกระดูกส่วนเเขนที่หักไป การบาดเจ็บจากอวัยวะภายในแม้ตอนนี้จะรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วทั้งร่างกายไร้ เรี่ยวแรงที่จะลุกยืนขึ้นเเต่ถึงเเบบยังเห็นภาพตรงหน้าได้อย่างชัดเจน
หนิงอ้ายที่โดนผลกระทบจากบทเวทย์โจมตีของจางเหยากวงเข้าไป ทำให้ผ้าคลุมที่ปิดบังใบหน้าของตนปลิวตกลงกับพื้นในทันทีเเต่ตัวคนกลับไม่สนใจทั้งสิ้น ดวงตาสีฟ้าอัญมณีของหนิงอ้ายแปรเปลี่ยนเป็นสีทองไปชั่วครู่ก่อนจะกลับมาเป็นปกติดังเดิม หลังจากที่เขาเดินเข้ามาหาจางเหยากวงตรงด้านหน้าใกล้ ๆ แล้วจึงเอ่ยขึ้นพร้อมกับสีหน้าที่เย็นชา
"ขอให้เจ้าจงจดจำความรู้สึกอัปยศเช่นนี้ไว้ให้ดี...นี่ถือว่าน้อยไปด้วยซ้ำกับสิ่งที่ข้าต้องเจอมาเกือบทั้งชีวิต..."
"จงจำเอาไว้ข้าจางหนิงอ้ายไม่สิหวังหนิงอ้ายผู้นี้หาได้เป็นสวะดังเช่นที่พวกเจ้าคิดไว้ไม่!!" หนิงอ้ายเอ่ยออกมาด้วยความรู้สึกอึดอัดใจโดยที่ไม่รู้เลยว่าเป็นความรู้สึกของตนเองหรือหนิงอ้ายคนเก่ากันแน่
"เจ้าคือหนิงอ้าย สวะของตระกูลจางงั้นรึ??เป็นไปไม่ได้!!" เสียงของจางเหยากวงเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบาเเต่ถึงเช่นนั้นผู้คนที่อยู่โดยรอบสนามประลองต่างได้ยินกันทั้งสิ้น ร่างกายของจางเหยากวงได้ถูกเนตรแห่งสวรรค์สะกดข่ม จนไม่สามารถขยับตัวได้ ราวกับว่าถูกหมุดที่มองไม่เห็นตรึงไว้ให้ไม่อาจขยับไปมาได้
"ข้าจางเหยากวงผู้นี้ไม่ยอมแพ้สวะของตระกูลอย่างเจ้าแน่นอน!!'' จางเหยากวงเอ่ยขึ้นพร้อมกับพยายามฝืนตนให้ยืนขึ้นเพื่อประลองต่ออีกครั้ง
"ตัวข้านั้นหาใช่จางหนิงอ้ายผู้นั่นไม่!! ข้าคือหวังหนิงอ้ายบุตรชายของมารดาหวังเยว่ซินเเห่งแคว้นเต่าดำหลานของประมุขตระกูลหวังสายหลักหวังจิ่งหลงหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำ..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับถีบยอดอกของจางเหยากวงอย่างรุนแรงจนอีกฝ่ายนั้นสลบล้มลงไปในทันที
"แล้วเจ้าจะไม่มีวันลืมสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้อย่างแน่นอน..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับจ้องมองไปยังทางที่ตระกูลจางเเห่งแคว้นหงส์เเดงนั้นได้นั่งอยู่จนอีกฝ่ายที่สัมผัสได้ถึงจิตสังหารนั้นถึงกับหลบสายตากันไปเลยทีเดียว
ทันใดนั้นเสียงของผู้คนต่างฮือฮาขึ้นมาในทันทีด้วยเพราะตอนนี้นั้นพวกตนทราบเเล้วว่าคุณชายหนิงผู้นี้เเท้ที่จริงเเล้วนั้นเป็นใคร
'เมื่อกี้ข้าไม่ได้หูฝาดไปใช่หรือไม่?? คุณชายหนิง คือคนเดียวกับคุณชายหวังหนิงอ้ายคืออดีตคุณชายใหญ่ตระกูลจางเเห่งแคว้นหงส์เเดงผู้นั้นรึ...'
'เหตุใดพวกท่านถึงรู้จักคุณชายหนิงอ้าย ทั้งที่ก่อนหน้านี้เคยบอกว่าไม่คุ้นชื่อแซ่นี้กันเล่า??'
'คุณชายหนิงอ้ายผู้ที่ปลุกพลังวิญญาณเมื่อเจ็ดขวบปีเเต่ไม่ปรากฏพลังวิญญาณได้!! เเล้วราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณรวมไปถึงสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพฤกษาที่ถือครองอยู่นั่นเล่า...'
'ใบหน้าของคุณชายหนิงอ้ายที่ซ่อนใต้ผ้าคลุมนั่นทำเอาใจข้าเต้นเเรงยิ่งนัก!!!'
'คุณชายหนิงอ้ายเป็นบุตรชายของคุณหนูหวังเยว่ซินบุตรีของประมุขตระกูลหวังสายหลักหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำ ข้าไม่สงสัยเลยเหตุใดจึงมีหน้าตางดงามไม่ต่างกับมารดาของตนเยี่ยงนี้...'
เสียงของผู้คนทั่วทั้งสนามประลองต่างพูดคุยกันไม่หยุดถึงสิ่งที่พวกตนได้ยินกันเมื่อครู่ขณะที่ใจกลางสนามประลอง
ทางฝั่งของหนิงอ้ายกำลังยืนนิ่งเพื่อรอผลคำตัดสินของการประลองที่พึ่งจบไป ใบหน้าเรียวงามได้รูปนั้นรับกันกับคิ้วที่โก่งดั่งคันศร ดวงตาสีฟ้าล้ำค่าราวกับอัญมณีสะท้อนเเสงเป็นประกาย
ยามเมื่อลมพัดปลิวผมสีขาวเงินที่ยาวจรดกลางหลังพลันสยายหยอกล้อไปกับสายลม ภาพที่ทุกคนได้เห็นต่างมีความรู้สึกคล้ายกับว่าเป็นความงามที่ไม่มีอยู่จริง ตัวตนของคุณชายหนิงอ้ายในตอนนี้ปรียบดั่งเทพเซียนในตำนานนิทานเรื่องเล่าที่ลงมาโปรดทุกสรรพสิ่งใต้ผืนฟ้าเเห่งนี้ก็ไม่เกินจริงไปเท่าใดนัก
"ผู้ชนะการประลองได้แก่คุณชายหนิง ไม่สิ คุณชายหวังหนิงอ้ายจากแคว้นเต่าดำ!!!!"
เฮ!!!
ทันทีที่ประกาศของผู้อาวุโสที่ทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินการประลองนี้ได้กล่าวจบลง ผู้คนมากมายในสนามประลองเวทย์นั้นโดยเฉพาะตรงที่นั่งของทางฝั่งของแคว้นเต่าดำต่างพากันส่งเสียงโห่ร้องดังอย่างกึกก้องด้วยเพราะพรสวรรค์อันโดนเด่นของคุณชายหวังหนิงอ้ายรวมไปถึงการครอบครองสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งเช่นนี้ อีกทั้งฐานะของตัวคนนั้นยังใหญ่โตเพราะเป็นถึงหลานของประมุขตระกูลหวังสายหลักหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำ
การปรากฎตัวของคุณชายหวังหนิงอ้ายย่อมเป็นที่กล่าวถึงของคนในแคว้นเต่าดำรวมไปถึงผู้คนในแคว้นอื่น ๆ เกิดเป็นเรื่องเล่าขานในวงน้ำชาถึงการประลองอันโดดเด่น จนถึงขนาดมีผู้นำไปดัดเเปลงเป็นนิทานเรื่องเล่าอย่างเเพร่หลายซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอนาคตทางฝั่งของตระกูลหวังนั้นทั้งทางฝั่งของหวังจิ่งหลง เหมยฮวาและเยว่ซินผู้เป็นมารดานั้นต่างมีผู้คนมามายที่เข้ามาเเสดงความยินดีที่ตระกูลหวังนั้นมีบุตรหลานที่มากด้วยความสามารถเช่นนี้ แม้จะมีผู้คนที่อิจฉาอยู่ไม่น้อยเเต่ด้วยเพราะใบหน้างดงามของหนิงอ้ายนั้นต่างพาให้พวกคนนั้นเขินอายเสียมากกว่า
เสียงปรบมือให้กำลังใจยังคงดังก้องไปทั่วไม่หยุด ไม่ว่าจะเป็นตระกูลจางหรือตระกูลหวังต่างได้หน้ากันทั้งสิ้น การประลองที่พึ่งจบไปนั้นเรียกได้ว่าคุณชายทั้งสองที่มีบิดาคนเดียวกันก็จริง แต่หาได้ออมมือกันเพียงนิด กล่าวได้ว่าเป็นการประลองที่สมศักดิ์ศรีอย่างถึงที่สุด
มากไปกว่านั้นแล้ว เรื่องราวของคุณชายหวังหนิงอ้ายผู้นี้ต่างถูกเป็นที่กล่าวถึงเป็นอย่างมาก มีจำนวนไม่น้อยที่ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยเข้าร่วมพิธีปลุกพลังวิญญาณที่แคว้นหงส์แดงในครั้งนั้น ซึ่งพวกเขาต่างรับรู้ได้ว่าอดีตคุณชายใหญ่จางหนิงอ้ายไม่อาจเข้าสู่วิถีแห่งผู้ฝึกตนได้ แล้วผลการประลองตรงหน้าของพวกเขาเล่าเป็นสิ่งใดกัน
ยิ่งเมื่อมีการผสมโรงพูดคุยเสริมแต่งเรื่องราวมากมาย โดยเฉพาะคำกล่าวจากคุณชายลู่ซีที่เอ่ยกับคุณชายหวังหนิงอ้าย ว่าอีกฝ่ายใช้เวลาเพียงหนึ่งหรือสองปีเท่านั้นในการเข้าสู่วิถีของผู้ฝึกตน และหากเป็นเช่นนั้นจริง สุดยอดรุ่นเยาว์อัจฉริยะเหนืออัจฉริยะได้ปรากฎขึ้นในมหาทวีปบูรพาแห่งนี้ในรอบหลายร้อยปีเลยทีเดียว...
ตระกูลจาง
หวงลู่เอินแทบไม่เชื่อสายตาของตนที่เห็นในสนามประลองเวทย์ที่พึ่งจบไปเมื่อครู่นางไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เห็นและได้ยินเท่าไหร่นักถึงผลประลองเวทย์ที่พึ่งจบไปว่าไม่ใช่บุตรชายของนางเป็นผู้ชนะการประลองเวทย์รอบนี้
เเต่กลับเป็นเจ้าหนิงอ้ายบุตรนางสารเลวเยว่ซินมารหัวใจของตนคนนั้น หวงลู่เอินนึกไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มในวันนี้ ที่นางนั้นซุ่มวางแผนไปเสียมากมายเพื่อขัดขวางไม่ให้อีกฝ่ายนั้นสามารถปลุกพลังวิญญาณได้เพื่อที่จะแย่งชิงอำนาจในตระกูลของบุตรชายคนเเรกให้กับจางเหยากวงบุตรชายของนางเพื่อที่ในวันข้างหน้านั้นเด็กหนุ่มในสายเลือดจะได้ขึ้นเป็นผู้นำตระกูลจางสายหลักเเห่งแคว้นหงส์เเดง
เเต่ทว่าในวันนี้บุตรของนางแพศยาเยว่ซินกลับสามารถเอาชนะการประลองกับบุตรชายของนางได้เสียอย่างนั้น อีกทั้งหนิงอ้ายยังแสดงความสามารถให้ผู้คนมากมายในสนามประลองเวทย์เเห่งนี้ได้ประจักษ์ด้วยสายตา
และยิ่งไปกว่านั้นบุตรชายของนางซึ่งคือจางเหยากวงที่ขึ้นชื่อว่าเป็นบุตรชายที่มากความสามารถอันดับต้น ๆ ของตระกูลจางสายหลักเเห่งแคว้นหงส์แดง เป็นถึงศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักศึกษาผิงอาน เเต่วันนี้กลับมาพ่ายแพ้กับหนิงอ้ายผู้ที่เคยถูกขนานนามว่าสวะของตระกูลจางมาเสียหลายปี
เเสดงว่าเหล่าบรรดานักฆ่ามากฝีมือที่นางเสียเงินก้อนโตไปเพื่อกำจัดอีกฝ่ายนั้นคงไม่แคล้วถูกมันจัดการอย่างแน่นอน แม้ในใจของนางนั้นจะร้อนรุ่มมากเเค่ไหนเเต่สุดท้ายแล้วความเป็นห่วงในบุตรชายของตนมีมากกว่า ดังนั้นนางจึงไม่รอช้าลุกจากที่นั่งและมุ่งตรงไปยังข้างสนามประลองในทันที...
'เจ้าต้องไม่ตายดีแน่หนิงอ้าย คอยดูเถอะว่าข้าจะจัดการเจ้าอย่างไร!!! ' ฮูหยินรองหวงลู่เอินเอ่ยขึ้นในใจพร้อมกับกำหมัดเเน่นจุดสายตาของนางมองตรงไปยังบุตรชายของนางที่ถูกหามออกจากสนามประลองเวทย์ด้วยความเป็นห่วง
"ยินดีด้วยขอรับท่านผู้นำตระกูลดูเหมือนว่าคุณชายหนิงอ้ายจะสร้างชื่อเสียงในวันนี้ได้อย่างมากหากว่าสามารถพากลับเข้าสู่ตระกูลจางได้ข้าว่าจะเป็นการดีกับพวกเรายิ่งนักขอรับ" ผู้อาวุโสหนึ่งเอ่ยขึ้นพร้อมกับยกยิ้มมุมปาก
"ไม่คิดเลยว่าคุณชายหนิงอ้ายจะเก็บงำความสามารถที่มีอยู่มานานเช่นนี้ อีกทั้งยังสามารถทะลุเข้าสู่รอบห้าคนสุดท้ายได้ ถือว่าเป็นหนึ่งในห้าเสาหลักของยุทธภพรุ่นเยาว์เเล้วและมีโอกาศเป็นผู้ชนะอันดับหนึ่งได้แม้ว่าในตอนนี้จะออกจากตระกูลจางไปเเล้วเเต่เลือดครึ่งหนึ่งนับได้ว่าเป็นของตระกูลจางเช่นกันอย่างไรสายเลือดไม่สามารถตัดขาดกันได้ท่านประมุขว่าเช่นนั้นหรือไม่??" ผู้อาวุโสสองพูดออกมาด้วยความชื่นชมด้วยถ้อยคำที่สื่อความนัยบางอย่างที่สัมผัสได้
"เชื้อสายตระกูลจางที่เป็นรุ่นเยาว์จะสามารถเข้าสู่ทำเนียบของเสาหลักเเห่งยุทธภพรุ่นเยาว์ได้ หากคุณชายหนิงอ้ายสามารถชนะเป็นอันดับหนึ่งย่อมสร้างชื่อเสียงแก่ตระกูล คงจะเป็นการดีหากสามารถทำให้คุณชายหนิงอ้ายกลับคืนสู่ตระกูลจางอีกครั้งและเเต่งตั้งเป็นว่าที่ผู้นำตระกูลจาง...'' ผู้อาวุโสสามเอ่ยในสิ่งที่ตนคิดไป
"ตอนนี้หนิงอ้ายออกจากตระกูลจางเเห่งแคว้นหงส์เเดงเเล้วไม่มีสิ่งใดข้องเกี่ยวกันอีกในทุกสิ่ง ข้าเข้าใจในสิ่งที่ผู้อาวุโสทุกท่านต้องการกล่าวแก่ข้า เเต่ถึงอย่างไรข้าได้ให้สัญญากับหวังเยว่ซินเเล้วว่าหลังจากนี้ไม่มีเหตุใดที่ต้องข้องเกี่ยวกันอีกหวังว่าผู้อาวุโสทุกท่านจะไม่เอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาอีก!!'' จางเลี่ยงหวงแม้ในใจจะภูมิใจในบุตรชายคนโตคนนี้ของตนมากเเค่ไหนเเต่ด้วยความโง่เขลาของตนในอดีตที่ผ่านมาทำให้ระยะห่างของเขาทั้งสองคนพ่อลูกนับวันยิ่งถอยห่างกันเสียจนไม่สามารถบรรจบกันได้เเล้ว
ความทรงจำนั้นเสียงเรียกตนว่าท่านพ่อที่ออกจากปากบางได้รูปของเด็กชายตัวน้อยที่คล้ายกับใบหน้าของเยว่ซินนั้นผุดขึ้นมาในความทรงจำ นานเเค่ไหนเเล้วนะที่ตนไม่ถูกอีกฝ่ายเรียกว่าท่านพ่อ นานเเค่ไหนเเล้วนะที่ตนไม่ได้เห็นใบหน้าบุตรชายของตน นานเเค่ไหนเเล้วนะที่เขาปล่อยให้เรื่องราวเป็นเช่นนี้ จางเลี่ยงหวงได้เเต่ถามตัวเองซ้ำ ๆ อยู่ในใจ...
หนิงอ้ายได้เรียกเจียวซิ่นกลับห้วงมิติจิตของตนเพื่อให้อีกฝ่ายพักฟื้นพลังอย่างเต็มที่แล้วจึงเดินออกจากสนามประลองในทันที
"ยินดีด้วยนะเสี่ยวอ้าย..." ลู่ซีเอ่ยขึ้นอย่างยินดีเมื่อเห็นว่าหนิงอ้ายนั้นเดินกลับออกมาจากสนามประลองด้วยความปลอดภัย
"ขอบคุณขอรับลู่เกอ'' หนิงอ้ายเอ่ยตอบกลับไปพร้อมกับระบายยิ้มเล็กน้อย
"เกอไม่ต้องกังวลไปนะขอรับหลังจากนี้ต่อให้อะไรจะเกิดก็ช่างเถิดข้าไตร่ตรองดีแล้วถึงสิ่งที่ได้ทำลงไป..." หนิงอ้ายรู้ดีว่าสิ่งที่เขาทำไปเมื่อครู่ในสนามประลอง คงไปเพิ่มโทสะของหวงลู่เอินและเหล่าผู้อาวุโสที่อยู่ฝ่ายสนับสนุนของจางเหยากวงเป็นแน่
เเต่แล้วอย่างไรเล่าเขากลัวสักที่ไหน เขาและมารดาต่างออกจากตระกูลจางเเห่งแคว้นหงส์เเดงแล้วหาได้มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกันอีกหากในวันข้างหน้าเกิดสิ่งใดขึ้นเขาคงไม่อยู่เฉย ๆ อย่างแน่นอน
ลู่ซีแม้จะไม่พอใจที่ตอนนี้หนิงอ้ายเลือกที่จะไม่ปลอมเเปลงรูปลักษณ์ของตน ทำให้ตอนนี้มีสายตามองมาอย่างมากมายหลากหลายอารมณ์เเต่ถึงอย่างนั้นเขายอมรับการตัดสินใจของอีกฝ่าย
ในเมื่อหนิงอ้ายนั้นจงใจที่จะรูปลักษณ์ที่เเท้จริงในการประลองนี้เท่ากับว่าอีกฝ่ายนั้นคิดมาอย่างดีแล้วต่อให้หลังจากนี้จะเกิดสิ่งใดขึ้นเขาต้องปกป้องอีกฝ่ายให้ได้ แน่นอนว่าในตอนนี้นั้นนามของหวังหนิงอ้าย ได้ถูกกล่าวขานเป็นวงกว้างและถูกขนานนามว่าหาใช่คุณชายสวะของตระกูลอีกเเล้วเเต่ความจริงคุณชายหนิงอ้ายนั้นคือเสือซ่อนเล็บที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ควรค่าแก่การชื่นชมนั่นเอง...
หลังจากนั้นผู้เข้าเเข่งขันที่เหลือทั้งแปดคนต่างทยอยเข้าประลองกันอย่างดุเดือด แม้ว่าในบางคู่ประลองจะเป็นการต่อสู้ข้ามขั้นระหว่างผู้ฝึกตนระดับขุนนางวิญญาณ ผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิวิญญาณก็จริงเเต่นับได้ว่าส่งผลต่อการได้เปรียบเสียเปรียบกันไม่เท่าไหร่นัก เพราะสุดท้ายแล้วการเคี่ยวกรำต่อจิตวิญญาณในการเลื่อนของเเต่ละระดับพลังมีผลต่อระดับบ่มเพาะโดยตรงที่ส่งผลไปถึงพลังวิญญาณของผู้ฝึกตน
ยิ่งเคี่ยวกรำกับการเลื่อนระดับมากเท่าไหร่ก็ยิ่งมีรากฐานบ่มเพาะที่เเข็งเเรงมากขึ้นเท่านั้น อีกทั้งนอกจากจะเป็นการเเข่งขันประลองด้วยพลังวิญญาณเเล้ว บรรดาวิชายุทธต่างๆ รวมไปถึงบทเวทย์ที่ใช้นั้น ย่อมมีการได้เปรียบเสียเปรียบแตกต่างกันออกไป แน่นอนว่าสุดท้ายเเล้วผู้ฝึกตนที่เปี่ยมไปด้วยสติและความรอบคอบย่อมที่จะเป็นผู้ชนะในท้ายที่สุด
มุมหนึ่งของสนามประลอง
"ไปสืบข้อมูลของตระกูลจางเเห่งแคว้นหงส์เเดงเมื่อสิบหกปีก่อน ข้าต้องการรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด..." บุรุษชุดดำผู้สวมหน้ากากพยัคฆ์ได้เอ่ยขึ้นเบา ๆ กับองครักษ์เงาของตน
"เจ้าจะทำให้ข้าหลงเจ้าไปถึงไหนกันนะเสี่ยวไป๋ทู่ตัวน้อยของข้า..." เสียงของบุรุษคนเดิมได้เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าคนในดวงใจของตนนั้นได้เดินไปพร้อมกับลู่ซีซึ่งมุ่งตรงไปยังที่นั่งของตระกูลหวัง
แม้จะรู้ว่าคนงามนั้นจะนับถือลู่ซีดั่งเช่นพี่ชายเเท้ ๆ เเต่ตนกลับรู้สึกหงุดหงิดไม่น้อยที่มีชายคนอื่นเข้ามาใกล้ชิดคนของตน เมื่อเห็นว่ามีสายตาจากทุกสารทิศมองไปยังหนิงอ้ายด้วยแววตาหลงไหลอย่างปิดไม่มิด
บรรยากาศโดยรอบพลันลงอย่างกระทันหัน กลิ่นอายดำมืดลอยโดยรอบตัวคนสักครู่แล้วจึงหายกลับเข้าตัวไปเหล่าบรรดาองครักษ์เงาต่างพากันถอนหายใจออกมาในทันทีหลังจากที่กลิ่นอายความกดดันนั้นหายไปราวกับว่าเมื่อครู่ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นในใจนั้นต่างพากันภาวนาให้ว่าที่ฮูหยินตัวน้อยนั้นไม่ทำสิ่งใดให้ท่านประมุขไหน้ำส้มแตกอีกไม่งั้นพวกตนคงรับมือไม่ไหวอย่างแน่นอน...
การประลองระหว่างแคว้นครั้งที่88 ในรอบสุดท้ายกำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่กี่อึดใจนี้ แน่นอนว่าตัวแทนของผู้ฝึกตนทั้งสองราชทินนามจำนวนทั้งสิ้นห้าคน ถือได้ว่ารุ่นเยาว์เหล่านี้ล้วนเป็นหนึ่งในเสาหลักแห่งยุทธภพรุ่นเยาว์ทั้งสิ้น แต่ถึงอย่างไรแล้วการประลองยังคงต้องดำเนินต่อไปเพื่อค้นห้าผู้ชนะอันดับหนึ่ง ผู้ที่ได้ครอบครองซึ่งตำแหน่งฐานะเจ้าแห่งยุทธภพรุ่นเยาว์นั่นเองหนิงอ้ายเมื่อเปิดเผยตัวตนฐานะที่แท้จริงแล้ว จึงตัดสินใจชวนลู่ซีกลับไปยังที่นั่งของตระกูลหวังที่อยู่ไม่ห่างไปเท่าไหร่นัก อย่างไรแล้วหลังจากจบงานประลอง ท่านตาหวังจิ่งหลงคงประกาศฐานะที่เเท้จริงของเขาทั้งคู่ ดังนั้นหากไปยังที่นั่งดังกล่าวในตอนนี้ก็คงไม่ส่งผลอะไรมากมายเท่าไหร่นัก"ในที่สุดเจ้าก็ทำได้เเล้วนะหนิงเอ๋อร์..." หวังเยว่ซินเอ่ยขึ้นด้วยความสุข พร้อมกับดึงเด็กหนุ่มเข้ามากอดด้วยความภูมิใจ"พวกเจ้าทั้งสองคนเก่งมาก ไม่เสียชื่อลูกหลานตระกูลหวังของพวกเรา""หนิงเอ๋อร์ เพลงกระบี่ของหลานกล่าวว่าเหนือชั้นอย่างแท้จริง ทั้งพริ้วไหวและดุดันแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง หากนับไปแล้วในหมู่ฝึกตนรุ่นเยาว์ในช่วงวัยเดียวกัน ถือว่าเจ้าแข็งแกร่งและมากด้วยพรสวรร
หนิงอ้ายร่ายบทเวทย์โจมตีและบทเวทย์ป้องกันอย่างเต็มที่ต่อเนื่อง ตอนนี้เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วยามเเล้วจริงอยู่ที่ว่าเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาของเขานั้นจะสามารถชักนำพลังปราณฟ้าดินบริสุทธ์มาสร้างสมดุลเสริมพลังปราณใช้ในการต่อสู้ได้ เเต่ทว่าความเหนื่อยล้าก็ปรากฏแล้วเช่นกันเล็กน้อย หนิงอ้ายคิดว่าควรที่จะจบการประลองครั้งนี้ได้เสียทีเพราะร่างกายของคนเรานั้นต่อให้เป็นผู้ฝึกตนที่มีความเเข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปก็ควรได้รับการฟื้นฟูและพักผ่อนอย่างเต็มที่เช่นกัน"คุณชายโม่เหรินข้ายินดีที่ได้ประลองกับท่านในครั้งนี้เเต่เป้าหมายของข้ายิ่งใหญ่นักขออภัยที่ต้องล่วงเกิน!!!" หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับยกมือประสานและโค้งคำนับด้วยมารยาทเพราะเขานั้นนับถือฝีมือของอีกฝ่ายจริง ๆอัญเชิญบทเวทย์โจมตีเขตแดนมหาดาระกะสยบโลกา!ครืนนน!'บทเวทย์เขตแดนระดับเทวะที่ถูกร่ายด้วยผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิขั้นต้นอย่างงั้นรึ?? เหตุใดกลิ่นอายช่างรุนแรงเช่นนี้ได้กัน...' โม่เหรินเมื่อเห็นว่าหนิงอ้ายนั้นเอาจริงเเล้ว ยอมรับตามตรงว่าเขาตกใจไม่น้อยเลยทีเดียวกับบทเวทย์ที่อีกฝ่ายเรียกใช้ กลิ่นอายเช่นนี้คงเป็นบทเวทย์ระดับเทวะขึ้นไปอย่างแน่นอนไม่ใช่เรื
แม้ว่าหลิวอี้จะร่ายบทเวทย์โจมตีไปยังคุณชายทั้งสองอย่างต่อเนื่องกลับไปไม่น้อยเช่นกันเเต่ทางฝั่งของหนิงอ้ายนั้นได้ร่ายบทเวทย์ป้องกันตนเองและลู่ซีในทันท่วงที ทำให้ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีด้วยบทเวทย์ระดับสูงและทรงพลังเเค่ไหนก็ไม่สามารถทำอันตรายกับพวกเขาทั้งสองได้เลยสักนิด เพียงสองเค่อเท่านั้นเกราะป้องกันอันเกิดจากศาสตร์ลับกลืนนภาอสูรเต่าทมิฬนิลกาฬของคุณชายหลิวอี้นั้นไม่สามารถตั้งรับได้ไหวเเล้วและเเตกสลายลงไปในที่สุด"อั๊กกกซ์!!! ข้าขอยอมแพ้คุณชายทั้งสอง เป็นเกียรติยิ่งนักที่ได้ประลองกับพวกท่าน!!" ทางฝั่งของคุณชายหลิวอี้นั้นเอ่ยออกมาด้วยรู้ตัวว่าหากเขานั้นฝืนใช้พลังวิญญาณและศาสตร์ลับกลืนนภาอสูรเต่าทมิฬนิลกาฬต่อไปแม้ว่าจะสามารถตั้งรับได้นานมากกว่านี้เเต่ผลกระทบหลังจากนั้นไม่สามารถคาดเดาได้เพราะอาจจะเกิดความเสียหายไปถึงจิตวิญญาณเลยทีเดียวซึ่งหากเป็นเช่นนั้นแล้วเส้นทางผู้ฝึกตนของเขานั้นคงไม่มีทางก้าวหน้าได้อีก ดังนั้นถึงจะพ่ายแพ้ไปเเต่นับได้ว่าเขานั้นได้สร้างชื่อเสียงของตระกูลหลิวแห่งแคว้นสิงโตเพลิงบนยุทธภพของทวีปบูรพาได้แล้ว อีกทั้งได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในห้าของเสาหลักเเห่งยุทธภพรุ่นเยาว์ที่ขึ
การมอบรางวัลสำหรับผู้ฝึกตนในการประลองเวทย์ครั้งที่แปดสิบแปด (88) ที่ทางแคว้นเต่าดำได้รับเป็นเจ้าภาพในการจัดงานประลองเวทย์ในครั้งนี้ กล่าวได้ว่าดอกผลที่ได้รับจากงานประลองนับได้ว่ามากมายมหาศาลเลยทีเดียวไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงของแคว้นที่เพิ่มขึ้นจากการปรากฎตัวผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่มากไปด้วยพรสวรรค์การปรากฏตัวของสัตว์อสูรนภาที่ว่ากันว่ายากนักที่จะสามารถครอบครอง รวมไปถึงสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพฤกษาที่มีบันทึกอยู่ในตำราหอบรรพชนเก่าแก่ของเเต่ละตระกูลนั้นหาใช่เป็นเพียงนิทานเรื่องเล่าเท่านั้น เพราะได้ถูกครอบครองโดยผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์คนหนึ่งที่มีพรสวรรค์เหนือชั้นกว่ารุ่นเดียวกันซึ่งผู้ฝึกตนที่ผ่านเข้ามาถึงรอบประลองเวทย์สิบคนสุดท้ายนั้นจะได้รางวัลซึ่งก็คือเหรียญทองหนึ่งพันเหรียญและได้รับบทเวทย์ป้องกันและบทเวทย์โจมตีระดับสูงคนละหนึ่งบทเวทย์นับได้ว่าเป็นผลตอบเเทนที่คุ้มค่ากับการประลองครั้งนี้ยิ่งนักสำหรับห้าอันดับแรกหรือเสาหลักเเห่งยุทธภพรุ่นเยาว์ของทวีปบูรพานั้นมีรายชื่อดังต่อไปนี้...อันดับที่ห้าคุณชายโม่เหรินจากตระกูลโม่แห่งแคว้นเสือขาว รางวัลที่ได้รับนับว่าไม่สามัญทั่วไปอย่างแน่นอนตามศักดิ์ฐานะของ
ตอนนี้ทุกคนได้รับรู้เเล้วว่าคุณชายทั้งสองคนนั้นมีความสัมพันธ์อย่างไรกับตระกูลหวัง แน่นอนว่าคุณชายหนิงอ้ายเป็นที่รู้จักกันดีในนามของอดีตคุณชายใหญ่ตระกูลจางเเห่งแคว้นหงส์เเดง ด้วยเพราะทั้งสองแคว้นนั้นอยู่ติดกันไม่ต่างจากเมื่องพี่เมืองน้อง ดังนั้นข่าวคราวในแวดวงที่ว่าคุณชายหนิงอ้ายเปรียบดั่งสวะของตระกุลจาง ผู้คนต่างรับรู้กันทั่วเพียงเเต่ไม่ได้มีการพูดคุยให้เห็นชัดด้วยเกรงกลัวอำนาจตระกูลใหญ่อย่างเช่นตระกูลจางและตระกูลหวัง กระทั่งข่าวที่ว่าท่านหญิงเยว่ซินได้หย่าขาดกับประมุขจางเลี่ยงหวงน ม้เหตุการณ์จะผ่านมาได้เพียงไม่กี่วัน เเต่ว่าหอข่าวที่มีสายลับแฝงตัวอยู่ทุกแคว้นต่างรายงานความเป็นไปที่เกิดขึ้นท่ามกลางความยินดีที่เกิดขึ้นแน่นอนว่าตระกูลหวังเเห่งแคว้นเต่าดำต่างเป็นที่จับจ้องมากขึ้น ด้วยเพราะว่าผู้ชนะอันดับหนึ่งและอันดับสองในการประลองเวทย์ครั้งนี้ต่างมีความข้องเกี่ยวโดยตรงกับตระกูลหวัง แม้ว่าจะเป็นตระกูลที่เพิ่งก่อตั้งได้เพียงไม่กี่ร้อยปีเเต่กลับยืนหยัดในฐานะหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำ ยิ่งกับวันนี้รุ่นเยาว์ในตระกูลหวังกลับสร้างชื่อเสียงให้กับตระกูลไปอีกไม่น้อยด้วยฐานะของเจ้ายุทธภพแล
ห้องโถงรับรองของเรือนหลักตระกูลหวังเครื่องใช้ภายในเรือนทั้งหมดนั้นทำขึ้นจากหยกเขียวอ่อนแกะสลักที่มีความงดงามอ่อนช้อย อีกทั้งยังประดับตกแต่งไปด้วยสิ่งของมีค่ามากมายบางชิ้นถึงกับมีอายุยาวนานหลายร้อยปีเลยทีเดียว ของทุกอย่างเหล่านี้ต่างเเสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งของตระกูลหวังสายหลักได้เป็นอย่างดี"ได้ยินว่าหนิงเอ๋อร์กับลู่เอ๋อร์จะทำการทดสอบเข้าร่วมสำนักศึกษาในอีกไม่กี่วันเช่นนั้นรึ?" หวังจิ่งหลงถามขึ้นมองไปทางฝั่งของหลานชายของตนทั้งสอง"ขอรับท่านตา เพียงเเต่ว่าข้ากับลู่เกอยังไม่แน่ใจว่าจะเข้าร่วมสำนักศึกษาใด..." หนิงอ้ายตอบกลับผู้เป็นตาของตนไป"การเลือกสำนักศึกษามีความสำคัญไปไม่น้อย ด้วยความแตกต่างของเเต่ละสำนักไม่ว่าจะเป็นที่ตั้งของสำนักที่เอื้อต่อการฝึกฝนตามพลังธาตุในร่างกายและทรัพยากรล้ำค่าที่จำเป็นในการเลื่อนระดับพลังวิญญาณรวมไปถึงวิสัยทัศน์ของเจ้าสำนัก สิ่งต่างๆ เหล่านี้นั้นล้วนมีผลในการบ่มเพาะทั้งสิ้น...""สำนักศึกษาในมหาทวีปบูรพานี้นับได้ว่ามีอยู่มากมายไม่น้อย เพียงเเต่สำนักใหญ่ที่มีชื่อเสียงและผู้คนในโลกยุทธภพให้การยอมรับมีเพียงห้าสำนักเท่านั้น นั่นคือสำนักศึกษาเวหาธาราสวรรค์ สำนั
หนิงอ้ายกับลู่ซีใช้เวลาอยู่ในหอตำราเพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้นตามที่ได้ตกลงกันไว้เมื่อถึงเวลาก็มาตรงจุดนับพบโดยทันที ซึ่งทางฝั่งของหนิงอ้ายนั้นได้เลือกตำรามานับสิบกว่าเล่มเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานทั้งหมดเพื่อที่จะไปศึกษาเพิ่มเติม ทางฝั่งของลู่ซีนั้นได้เลือกตำราเกี่ยวกับพลังธาตุน้ำและเคล็ดวิชาระดับสูงอีกสองสามบทในการศึกษาเพิ่มเติม ด้วยเพราะรู้ตัวว่าฝีมือของเขาในตอนนี้ยังไม่เพียงพอที่จะปกป้องหนิงอ้ายได้ ดังนั้นเขาต้องฝึกฝนให้มากที่สุดเมื่อแจ้งจำนวนตำราที่นำออกจากหอตระกูลหวังกับผู้อาวุโสท่านเดิมเสร็จเเล้วนั้น เมื่อถึงเรือนพักเเล้วทั้งสองคนจึงเเยกย้ายกลับห้องของตนเพื่อศึกษาตำราต่อนั่นเองหนิงอ้ายใช้เวลาทั้งวันไปกับการศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับพลังลมปราณ พลังวิญญาณและพลังปราณธาตุที่เป็นความรู้พื้นฐานทั้งหมด เมื่ออ่านจบเเล้วทำให้เขานั้นมีความเข้าใจมากยิ่งขึ้น เมื่อเดินพลังลมปราณและปรับการหมุนเวียนของร่างกายให้มั่นคงสมดุลชักนำลมปราณฟ้าดินเข้ามากักเก็บเป็นพลังวิญญาณในร่างกายให้เเข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นหลายเท่าเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆานั้นนอกจากจะเป็นวิชาตัวเบาที่ขึ้นชื่อเเล้วเเต่สิ่งที่แฝงตามมาจากเคล็ดวิชา
เช้าวันรุ่งขึ้นบ่าวในจวนตระกูลหวังค่อนข้างที่จะวุ่นวายในการจัดเตรียมหลายสิ่งอย่างอยู่บ้างเเต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงเป็นไปด้วยความเรียบร้อยตามกำหนดการที่คาดเอาไว้ นอกจากนี้ทางตระกูลหวังได้มีการส่งสารให้บรรดาตระกูลหวังสายรองและสายย่อยที่อยู่ไปทั่วทั้งแคว้นเต่าดำให้มายังจวนตระกูลหวังสายหลักในวันนี้เพื่อเป็นสักขีพยานสำหรับพิธีการนำรายชื่อของหนิงอ้ายกับลู่ซีเข้าสู่ผังทำเนียบตระกูลหวังสายหลักตามประเพณีสืบทอดของตระกูลที่มีมาอย่างยาวนานหากเป็นการนำรายชื่อคุณชายหนิงอ้ายเข้าในแผนผังตระกูลหวังสายหลักนั้นกล่าวได้นับสมควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเพราะคุณชายหนิงอ้ายนั้นเกิดจากท่านหญิงเยว่ซินซึ่งเป็นบุตรีเพียงหนึ่งเดียวของประมุขหวังจิ่งหลงและฮูหยินเหมยฮวาแห่งตระกูลหวังสายหลักดังนั้นฐานะของเด็กหนุ่มนั้นคือหลานชายสายตรงของตระกูลที่มีสิทธิในตำแหน่งว่าที่ประมุขตระกูลหวังสายหลักคนต่อไป ด้วยฐานะทางสายเลือดชาติกำเนิดอันสูงส่งที่ไม่สามารถปฏิเสธได้เเล้วนั้น คุณชายหนิงอ้ายผู้นี้ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยฝีมือพรสวรรค์ที่โดดเด่นกว่ารุ่นเยาว์ในวัยเดียวกันยิ่งนักในการประลองเวทย์ที่พึ่งจบไป อีกฝ่ายได้เเสดงให้เห็นถึงทักษะกา
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต
มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล
ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย