เช้าวันรุ่งขึ้นบ่าวในจวนตระกูลหวังค่อนข้างที่จะวุ่นวายในการจัดเตรียมหลายสิ่งอย่างอยู่บ้างเเต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงเป็นไปด้วยความเรียบร้อยตามกำหนดการที่คาดเอาไว้ นอกจากนี้ทางตระกูลหวังได้มีการส่งสารให้บรรดาตระกูลหวังสายรองและสายย่อยที่อยู่ไปทั่วทั้งแคว้นเต่าดำให้มายังจวนตระกูลหวังสายหลักในวันนี้เพื่อเป็นสักขีพยานสำหรับพิธีการนำรายชื่อของหนิงอ้ายกับลู่ซีเข้าสู่ผังทำเนียบตระกูลหวังสายหลักตามประเพณีสืบทอดของตระกูลที่มีมาอย่างยาวนาน
หากเป็นการนำรายชื่อคุณชายหนิงอ้ายเข้าในแผนผังตระกูลหวังสายหลักนั้นกล่าวได้นับสมควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเพราะคุณชายหนิงอ้ายนั้นเกิดจากท่านหญิงเยว่ซินซึ่งเป็นบุตรีเพียงหนึ่งเดียวของประมุขหวังจิ่งหลงและฮูหยินเหมยฮวาแห่งตระกูลหวังสายหลัก
ดังนั้นฐานะของเด็กหนุ่มนั้นคือหลานชายสายตรงของตระกูลที่มีสิทธิในตำแหน่งว่าที่ประมุขตระกูลหวังสายหลักคนต่อไป ด้วยฐานะทางสายเลือดชาติกำเนิดอันสูงส่งที่ไม่สามารถปฏิเสธได้เเล้วนั้น คุณชายหนิงอ้ายผู้นี้ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยฝีมือพรสวรรค์ที่โดดเด่นกว่ารุ่นเยาว์ในวัยเดียวกันยิ่งนัก
ในการประลองเวทย์ที่พึ่งจบไป อีกฝ่ายได้เเสดงให้เห็นถึงทักษะการต่อสู้ การใช้บทเวทย์ที่จัดจ้านไม่ต่างจากผู้ฝึกตนรุ่นลายครามสักเท่าไหร่นัก การครอบครองสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพฤกษาในพันธะสัญญาเช่นนี้ ทอดสายตาไปทั่วมหาทวีปแห่งนี้ใช่ว่าใครจะทำได้
สุดท้ายเด็กหนุ่มถึงกับเป็นผู้ชนะอันดับหนึ่งและครอบครองฐานะเจ้าเเห่งยุทธภพรุ่นเยาว์เเห่งมหาทวีปบูรพาในที่สุด นับว่ามีเบื้องหลังสนับสนุนที่ไม่ธรรมดาสามัญนั่นคือคือวิหารเทพยุทธ์อันเป็นตัวตนยิ่งใหญ่ในโลกของผู้ฝึกตน ด้วยทุกสิ่งอย่างนั้นการนำรายชื่อของคุณชายหนิงอ้ายเข้าผังทำเนียบตระกูลหวังเช่นนี้เเล้วนับว่าสมควรกระทำยิ่ง
เเต่อีกทางนั้นครั้งนี้กลับมีรายชื่อของคุณชายลู่ซีที่มีประวัติความเป็นมาไม่กระจ่างเท่าใดในตอนนี้ นำเข้าสู่เเผนผังทำเนียบตระกูลหวังสายหลักด้วยเช่นกัน จริงอยู่ที่อีกฝ่ายนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์ของผู้แกร่งกล้ารุ่นเยาว์ อีกทั้งเป็นผู้ชนะอันดับสองในการประลองเวทย์ในครั้งที่ผ่านมาซึ่งเป็นรองเพียงจ้าวยุทธภพรุ่นเยาว์หนิงอ้ายเท่านั้น ยังครอบครองฐานะหนึ่งในห้าเสาหลักของยุทธภพเเห่งมหาทวีปบูรพาอีกด้วย
แม้ว่าคุณชายลู่ซีจะเต็มไปด้วยคุณสมบัติที่เต็มเปี่ยมโดดเด่นไม่ต่างจากคุณชายตระกูลใหญ่ของแคว้นก็จริง เเต่อย่างไรก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าคุณชายลู่ซีผู้นี้เป็นเพียงบุตรบุญธรรมของท่านหญิง เยว่ซินเพียงเท่านั้น และไม่ปรากฎตระกูลเบื้องหลังที่สามารถสืบเสาะได้
จากหน่วยข่าวที่ตระกูลหวังสายรองและสายย่อยต่างสืบได้ ต่างมีข้อมูลตรงกันนั้นคือคุณชายลู่ซีผู้นี้เป็นเพียงขอทานน้อยที่ท่านหญิงเยว่ซินรับเลี้ยงดูเเลจนในที่สุดจึงรับเป็นบุตรบุญธรรมและให้ศักดิ์เป็นพี่ชายของคุณชายหนิงอ้าย ในการนำชื่อเข้าผังทำเนียบตระกูลหวังครั้งนี้จะทำให้ฐานะของอีกฝ่ายคือหนึ่งในว่าที่ประมุขตระกูลหวังสายหลักโดยทันที
แม้ว่าตระกูลหวังจะให้ความสำคัญกับระดับพลังวิญญาณและฝีมือในเชิงยุทธ์มากเพียงใด เเต่ถึงอย่างนั้นความบริสุทธิ์ของสายเลือดตระกูลหวังใช่ว่าจะสามารถมองข้ามได้ นี่จึงเป็นข้อกังขากับเหล่าบรรดาผู้อาวุโสในตระกูลหวังสายรองและสายย่อยต่าง ๆ ที่หวังให้ลูกหลานของตนเป็นหนึ่งในว่าที่ประมุขของตระกูลคนต่อไป จริงอยู่ที่ว่าฐานะของพวกเขาในตอนนี้แม้จะเป็นตระกูลหวังสายรองหรือสายย่อยก็ตามเเต่ต่างพร้อมไปด้วยบารมีมากกว่าตระกูลชั้นรองโดยทั่วไป อีกทั้งสมบัติทรัพยากรในการพัฒนารุ่นเยาว์มีอย่างไม่จำกัดก็จริง เเต่เมื่อเทียบกับตระกูลหวังสายหลักแล้วสิ่งที่พวกเขาครอบครองอยู่ตอนนี้จะนับเป็น อันใดได้กัน...
มีเสียงคัดค้านจากผู้อาวุโสของตระกูลหวังมากมาย พวกผู้เฒ่าเหล่านี้ต่างมีความเห็นตรงกันว่าเพียงเเค่นำชื่อคุณชายลู่ซีเข้าผังทำเนียบตระกูลหวังในหอบรรพชนนั้นก็นับว่ามากพอเเล้ว สำหรับตำแหน่งว่าที่ประมุขตระกูลหวังคนต่อไปควรสงวนให้แก่รุ่นเยาว์ที่มีสายเลือดตระกูลหวังเท่านั้น
แม้ว่าหวังจิ่งหลงจะเป็นประมุขตระกูลหวังเเต่ใช้ว่าทุกเรื่องที่เขาจะสามารถตัดสินใจได้อย่างเต็มร้อย เพราะถึงอย่างไรเขายังต้องไว้หน้าเหล่าผู้อาวุโสเฒ่าของตระกูลหวังอยู่สองสามส่วน ดังนั้นจึงมีการพูดคุยตกลงได้ข้อสรุปกันว่าสามารถนำชื่อของคุณชายลู่ซีเข้าผังทำเนียบตระกูลหวังได้เเต่ฐานะของว่าที่ประมุขหวังคนต่อไปนับว่ายังไม่เหมาะสมซึ่งผู้ที่มีคุณสมบัติพร้อมในตอนนี้มีเพียงคุณชายหนิงอ้ายเท่านั้น...
แน่นอนว่ามีผู้คัดค้านและมีข้อกังขาในการนำชื่อคุณชายลู่ซีเข้าผังทำเนียบตระกูลหวังอยู่ไม่น้อย เเต่การตัดสินใจของประมุขของตระกูลและเหล่าผู้อาวุโสถือว่าเป็นที่สิ้นสุด ด้วยคุณชายลู่ซีนั้นอายุมากกว่าคุณชายหนิงอ้ายหนึ่งถึงสองปี ดังนั้นฐานะของอีกฝ่ายจึงถูกเรียกเเทนตัวว่าคุณชายใหญ่ ส่วนคุณชายหนิงอ้ายแม้จะเป็นหลานในสายเลือดตระกูลหวังที่เเท้จริง เเต่ด้วยอายุเพียงสิบห้าปีจึงแทนว่าคุณชายเล็ก
ทางตระกูลหวังสายรองและสายย่อย ต่างคาดหวังว่าคุณชายทั้งสองต้องแย่งชิงตำแหน่งว่าที่ประมุขตระกูลคนต่อไป เเต่สิ่งที่พวกเขาคาดหวังนั้นคงไม่สามารถเป็นจริงได้ด้วยเพราะว่าคุณชายทั้งสองต่างรักใคร่กลมเกลียวไม่ต่างจากพี่ท้องสายเลือดเดียวกัน
ใกล้ถึงเวลาที่สมควรแก่การเริ่มพิธีแล้วนั้น เหล่าผู้อาวุโส ในตระกูลหวังสายหลัก สายรองละสายย่อย รวมไปถึงผู้นำตระกูลต่าง ๆ และรุ่นเยาว์ของตระกูลหวังต่างพร้อมหน้ากันในหอบรรพชนเเห่งนี้
โดยปกติหากว่าไม่มีพิธีการที่สำคัญหรือมีเหตุจำเป็นแล้วนั้นหอบรรพชนตระกูลหวังหาใช่จะเปิดให้เห็นได้โดยง่าย ซึ่งทุกคนต่างสวมใส่ชุดสีแดงซึ่งต่างเฉดสีและต่างลวดลายกันด้วยเพราะสีประจำตระกูลหวังคือสีเเดงนั่นเอง
ท่านประมุขหวังจิ่งหลงในวันนี้สวมใส่ชุดพิธีการสีแดงสดปักลวดลายมังกรสีทองตัวใหญ่ที่พันรอบไปทั่วทั้งตัว ใบหน้าเย็นชาหล่อเหลาไม่ต่างจากชายวัยกลางคนนั้นเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ที่เเข็งแกร่ง ด้วยเพราะการเข้าสู่วิถีของผู้ฝึกตนนั้นหากยิ่งบรรลุระดับสูงในช่วงอายุที่ยังไม่มากก็จะยิ่งคงรักษาใบหน้าและร่างกายในช่วงวัยนั้นไปได้อีกหลายร้อยปี แน่นอนว่ากลิ่นอายน่าเกรงขามของผู้นำตระกูลได้แผ่ออกมาจนผู้ที่สัมผัสแก่กล้ากว่าคนทั่วไปสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจนยิ่งนัก
สำหรับฮูหยินเหมยฮวาซึ่งเป็นฮูหยินเพียงหนึ่งเดียวของท่านประมุขตระกูลหวังนั้นนับว่าเป็นที่อิจฉาแก่สตรีโดยทั่วไปยิ่งนัก ด้วยเพราะฐานะอันสูงส่งของประมุขตระกูลหวัง แม้พวกนางจะเป็นเพียงอนุ เเต่ถึงอย่างนั้นพวกนางก็จะได้รับการยกย่องนับถือ เเต่ด้วยเพราะท่านประมุขตระกูลมีความรักยึดมั่นกับฮูหยินเหมยฮวายิ่ง
ดังนั้นเรื่องการรับอนุเหล่านี้คงไม่มีทางเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ในวันพิธีการนี้ฮูหยินเหมยฮวาได้สวมใส่ชุดพิธีการสีแดงเช่นกันตัวชุดปักด้วยหงส์เเดงดิ้นทองที่เหมือนจริงยิ่งนัก เมื่อนางยืนเคียงข้างท่านประมุขตระกูลอย่างมั่นคงเเล้วนั้นผู้คนต่างแจ้งใจเเล้วว่าทั้งสองคนนั้นเหมาะสมกันมากเพียงใด
สำหรับท่านหญิงเยว่ซินนั้น ทุกคนในตระกูลต่างทราบเเล้วว่านางได้ทำการหย่าขาดกับท่านประมุขตระกูลจางสายหลักแห่งแคว้น หงส์เเดงเเล้วเมื่อไม่นานมานี้ แม้จะไม่ทราบความเป็นมาหรือสาเหตุแห่งการหย่าร้างได้ อย่างไรแล้วนางเป็นบุตรีเพียงหนึ่งเดียวของท่านประมุขตระกูลหวังสายหลัก
เลือดที่ไหลเวียนอยู่ในตัวของนางนั้นคือเรื่องจริง แม้นางจะหายไปจากการรับรู้ของทุกคนในหลายสิบปีก็จริง เเต่ในการหวนกลับตระกูลครั้งนี้คล้ายกันกับว่านางเติบโตขึ้นมากเลยทีเดียว ด้วยฐานะยอดพธูอันดับหนึ่งของแคว้น หนึ่งในอดีตห้าเสาหลักยุทธภพรุ่นเยาว์ในอดีต สิ่งเหล่านี้ย่อมทำให้นางเป็นที่สนใจแก่องค์ชายในราชวงศ์ปกครองแคว้น
เหล่าคุณชายน้อยใหญ่จากตระกูลชั้นเรืองนามในมหาพิภพ ต่างต้องการเกี่ยวดองกับตระกูลหวังโดยที่ไม่สนใจว่านางผ่านเรื่องเลวร้ายใดมาบ้าง วันนี้นั้นท่านหญิงเยว่ซินสวมใส่ชุดสีแดงเลือดนกปกด้วยดิ้นทองลวดลายปักษาสยายปีก ขับผิวให้นางนั้นโดดเด่นกว่าเดิมหลายเท่า ใบหน้างามล้ำนั้นเฝ้ามองตรงทางเข้าหอบรรพชนของตระกูลหวังอย่างใจจดจ่อ
เพียงครู่เดียวนั้นตรงทางเข้าของหอบรรพชนของตระกูลหวัง พลันปรากฎเป็นคุณชายลู่ซีที่ก้าวเท้ามุ่งตรงเข้ามาด้วยความมั่นคงองอาจยิ่ง ใบหน้าหล่อเหลาติดเย็นชานั้นจ้องมองไปยังบริเวณโดยรอบ คุณชายลู่ซีสวมใส่สุดสีเเดงปลายผ้าสีดำปักดิ้นทองเป็นลวดลายของกิเลนที่น่าเกรงขาม เมื่อไปถึงด้านหน้านั้นตัวคนจึงทำการเคารพเหล่า ผู้อาวุโสในตระกูลและหันไปทำความเคารพทางฝั่งของหวังจิ่งหลง เหมยฮวาและเยว่ซิน
แม้ตอนนี้ฐานะของอีกฝ่ายจะเป็นเพียงคุณชายใหญ่ตระกูล แต่ในวันข้างหน้าจะได้เป็นหนึ่งในว่าที่ประมุขตระกูลหวังสายหลักหรือไม่คุณชายลู่ซีกับคุณชายหนิงอ้ายนับว่ารักใคร่สามัคคีกันยิ่ง
ทันใดนั้นตรงทางเข้าของหอบรรรพชนตระกูลหวังมีเสียงดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนเมื่ออยู่ในระยะสายตาเเล้วนั้นทุกคนต่างเห็นเป็นคุณชายหนิงอ้ายผู้ที่มีการกล่าวถึงเป็นอย่างมากในตอนนี้ เด็กหนุ่มได้สวมใส่ชุดสีเเดงปลายผ้าสีขาว ปักดิ้นทองเป็นตัวของนกยูงรำแพนหางที่ขับผิวขาวให้โดดเด่นยิ่ง ใบหน้างามล้ำเกินบุรุษที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากท่านหญิงเยว่ซินมากกว่าแปดในสิบส่วนนั้นมีรอยยิ้มระบายอยู่เล็กน้อย
เส้นผมสีขาวเงินในวันนี้ถูกรวบไว้ครึ่งศีรษะส่วนที่เหลือปล่อยให้ยาวสยายจรดกลางหลัง รูปลักษณ์ภายนอกอันโดนเด่นที่ว่ากันว่าด้วยเพราะคุณชายหนิงอ้ายได้ดูดซับกระดูกวิญญาณของอสูรอสรพิษเหมันต์บรรพกาลเข้าไป จึงทำให้ร่างกายเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้
แม้ก่อนหน้าพวกตนจะได้เห็นคุณชายหนิงอ้ายในงานประลองระหว่างแคว้นจากระยะไกลก็นับว่างดงามยิ่งนักเเล้ว เเต่วันนี้ได้เห็นในระยะประชิดทำเอาทุกคนที่อยู่ในห้องโถงบรรพชนตระกูลหวังนี้ต่าง อ้าปากค้างไปตาม ๆ กัน สายตาของพวกเขาพร่าเลือนให้กับความงามนี้ไปชั่วขณะ ด้วยเพราะคุณชายหนิงอ้ายนั้นดูงดงามเกินไปจนไม่เหมือนมนุษย์ดูราวกับเป็นนางเซียนในตำนานเรื่องเล่า ไม่ว่าใครก็ไม่อาจ ละสายตาไปจากร่างบางตรงหน้าได้
กลิ่นอายของความสูงศักดิ์ บริสุทธิ์ได้กระจายไปทั่วความงดงามสูงส่งเช่นนี้ทำเอาพวกเขานั้นอยากที่จะก้มหัวทำความเคารพให้อีกฝ่ายยิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็นรุ่นใหญ่หรือรุ่นเยาว์ในตระกูลสายรองและสายย่อย ต่างถูกความงดงามนี้เล่นงานเข้าอย่างจัง...
ผู้อาวุโสหลายท่านที่มีตำแหน่งสำคัญในตระกูลหวัง แม้จะถูกรูปลักษณ์งดงามนี้หลอกล่อได้เพียงชั่วครู่ก็จริง เเต่ถึงอย่างนั้นกลิ่นอายที่เล็ดลอดออกมาที่พวกเขาต่างสัมผัสได้นั้นย่อมทำให้ตกใจอยู่ไม่น้อย ยิ่งกับหลายคนที่ทราบความเป็นมาของตระกูลหวังต่างมีอาการไม่ต่างกันไปเท่าไหร่ กลิ่นอายของคุณชายหนิงอ้ายที่เเผ่ออกมาแม้พวกเขาจะสัมผัสได้อย่างบางเบาด้วยความเข้มข้นของสายเลือดที่เล็กน้อยของพวกเขานั้นคือกลิ่นอายของหงส์เเดงสุริยะกระจ่างฟ้าไม่ผิดเป็นแน่
โลหิตในกายของพวกเขานั้นต่างสั่นสะท้านรุนแรงแตกต่างกันไปตามความเข้มข้นของสายเลือดตระกูลหวังที่แฝงอยู่ในตัวของตน บรรยากาศในห้องโถงเงียบสนิทไปชั่วครู่ก่อนจะกลับมาเป็นปกติ หลังจากที่เด็กหนุ่มเดินไปรวมตรงด้านหน้ารวมกับทุกคนที่ยืนรอเขาอยู่เเล้วนั้น ผู้อาวุโสฝ่ายพิธีการจึงเริ่มทำพิธีในทันที...
หอบรรพชนตระกูลหวังนั้นเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ที่แผ่กลิ่นอายเก่าแก่โบราณออกมาจนสัมผัสได้ เสาไม้และผนังโดยรอบต่างถูกสลักด้วยลวดลายงดงามแปลกตา ภายในตกเเต่งอย่างเรียบง่ายให้ความรู้สึกถึงความสง่างามละเอียดประณีตไม่โอ้อวด
เเต่หากพอมีความรู้ความสามารถก็จะสัมผัสได้ทันทีว่าของเเต่ละชิ้นที่ถูกนำมาตกแต่งภายในหอบรรพชนนั้นล้วนเป็นวัสดุล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่ง บางชิ้นถึงกับเป็นของวิเศษระดับเซียนที่มีพลังในการช่วยให้ในหอบรรพชนเเห่งนี้อุดมไปด้วยพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์ หรือแม้กระทั่งส่วนพื้นนั้นยังถูกปูไปด้วยไม้สนเหล็กนิลที่ขึ้นชื่อว่าเป็นไม้เนื้อเเข็งสุดยอดวัสดุสรรสร้างลำดับต้นๆ ทุกสิ่งที่อยู่ในหอบรรพชนแห่งนี้นับว่าล้ำค่าและได้ยากในยุทธภพนี้ยิ่งนักที่แฝงไปด้วยพลังปราณฟ้าดินเข้มข้น รุ่นเยาว์ตระกูลหวังบางคนถึงกับเลื่อนพลังวิญญาณในระดับย่อยได้อย่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
หนึ่งชั่วยามผ่านมา พิธีการนำรายชื่อเข้าผังทำเนียบตระกูลหวังสายหลักนั้นได้เสร็จสิ้นไปเรียบร้อย ตรงด้านหน้าปรากฎผังทำเนียบที่เต็มไปด้วยรายชื่อของบรรพชนตระกูลหวังที่มีมากมายราวกับต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ต้นใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านสาขาไปทั่ว ตรงด้านล่างนั้นปรากฏชื่อของคุณชายหนิงอ้ายและคุณชายลู่ซีในแผนผังตระกูลเป็นที่เรียบร้อย สิ่งนี้ย่อมหมายความว่าตอนนี้ทั้งสองคนถือว่าเป็นคนของตระกูลหวังอย่างเเท้จริงและมีสิทธิในตระกูลหวังอย่างถูกต้องทุกประการ...
"ท่านตา ข้ามีเรื่องที่ต้องบอกกับทุกคนขอรับ...'' หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าในตอนนี้ตระกูลหวังสายรองและสายย่อยได้เเยกย้ายกันกลับเรือนของตนหมดเเล้ว ในที่นี้จึงเหลือเพียงผู้อาวุโสหลักบางท่านที่สำคัญและพวกเขานั่นเอง
"เช่นนั้นเราเข้าไปคุยกันตรงห้องโถงที่เรือนรับรอง เชิญผู้อาวุโสทุกท่านด้วยนะขอรับ..." หวังจิ่งหลงเอ่ยขึ้นตอบหลับหลานของตนพร้อมกับคำนับเชื้อเชิญเหล่าผู้เฒ่าให้ตามตนไป เมื่อถึงเเล้วนั้นหวังจิ่งหลงไม่ลืมที่จะกางม่านพลังป้องกันการสอดแนมเผื่อไว้อีกด้วย
"คำนับผู้อาวุโส ข้าหวังหนิงอ้ายมีเรื่องที่จะต้องพูดคุยปรึกษากับพวกท่าน ขอรบกวนเวลาสักครู่นะขอรับ..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับคำนับไปยังฝั่งของผู้อาวุโส ผู้เฒ่าเหล่านี้ทุกคนต่างชื่นชอบยิ่งนักที่รุ่นเยาว์มากความสามารถเช่นนี้หาได้ทะนงตนเเต่กลับอ่อนน้อมยิ่งนัก
เมื่อกล่าวจบ หนิงอ้ายได้แผ่ญาณสัมผัสของตนออกมาในระดับสูงสุด กลิ่นอายของพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์ได้แผ่กำจายออกมาโดยรอบ พลังปราณบริสุทธิ์ของปราณสุริยะธาตุได้เอ่อล้นไปทั่วบริเวณ เหล่าผู้อาวุโสเหล่านั้นต่างตกใจเป็นอย่างมากด้วยเพราะการประลองที่ผ่านมาพวกตนเห็นเพียงว่าหนิงอ้ายนั้นสามารถใช้พลังปราณธาตุน้ำได้อย่างเเข็งแกร่ง พวกเขาจึงคิดว่าหนิงอ้ายคงมีปราณธาตุต้นกำเนิดเป็นปราณธาตุน้ำเพียงธาตุเดียว
แต่นี่อีกฝ่ายถึงกับมีพลังปราณสุริยะธาตุพลังต้นกำเนิดเเห่งธาตุไฟทั้งปวง ทุกคนในที่นี้ต่างมีฐานะในตระกูลหวังที่สำคัญ ดังนั้นประวัติความเป็นมาของตระกูลหวังที่มีต้นกำเนิดจากพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์ สัตว์อสูรบรรพกาลหนึ่งในสี่สัตว์สวรรค์ที่ปกครองทิศทางใต้ ความยิ่งใหญ่และเเข็งแกร่งนั้นมากเพียงใดพวกเขาล้วนกระจ่างอยู่ในใจของตน…
บรรยากาศในห้องโถงหลักนั้นเงียบกริบเสียจนไม่มีผู้ใดกล้าที่จะเอ่ยสิ่งใดออกมา เหล่าผู้อาวุโสทุกคนในที่นี้ต่างสัมผัสได้ถึงขุมพลังอันเเข็งแกร่งที่แผ่ออกมาจากตัวของหนิงอ้าย แม้เป็นเพียงชั่วครู่เท่านั้นเเต่โลหิตในตัวของพวกเขาต่างถูกกระตุ้นจนสามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจน
"กลิ่นอายของพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์ไม่ผิดแน่..." ผู้อาวุโสที่นั่งอยู่ด้านหน้าของหนิงอ้ายเอ่ยขึ้น
"นี่เป็นเรื่องจริงใช่หรือไม่?? กลิ่นอายของสายเลือดเข้มข้นเช่นนี้ไม่ต่างจากท่านบรรพชนผู้ก่อตั้งตระกูลหวังเสียด้วยซ้ำ!!" ผู้อาวุโสชรา อีกคนที่นั่งอยู่ข้างกันเอ่ยออกมาเบา ๆ
"น่ายินดี น่ายินดียิ่งนัก!!!" ผู้อาวุโสที่มีรูปลักษณ์ภายนอกเป็นชายวัยกลางคนเอ่ยเสริมขึ้น
"นี่คงเป็นลิขิตสวรรค์ที่มีต่อตระกูลหวังของพวกเรา รุ่นเยาว์ที่เต็มเปี่ยมด้วยสายเลือดของท่านบรรพชนผู้ก่อตั้งตระกูลได้เกิดขึ้นเเล้ว..." ผู้อาวุโสชราเอ่ยย้ำอีกครั้ง คำกล่าวนี้ทำให้หลายคนได้สติ บ้างก็ดีใจจนเก็บอาการไม่อยู่ บ้างก็เผยรอยยิ้มออกมาด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่ง
'สายเลือดพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์คือสิ่งใด??'
'สายเลือดของท่านบรรพชนผู้ก่อตั้งตระกูลหวังเกี่ยวอันใดกับพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์'
'เเล้วหนิงอ้ายนั้นเกี่ยวข้องอย่างไรกับเรื่องนี้กันแน่...'
คำถามมากมายต่างเกิดขึ้นในใจของลู่ซีอยู่ไม่น้อย โดยปกติเเล้วการประชุมวาระสำคัญระหว่างประมุขตระกูลและผู้อาวุโสที่มีตำแหน่งสำคัญซึ่งมีตัวตนในระดับสูงเท่านั้นจึงจะสามารถเข้าร่วมได้
ทว่าในครั้งนี้นั้นหวังจิ่งหลงและผู้อาวุโสทุกคนต่างมีความเห็นตรงกัน นั่นคืออนุญาติให้พวกเขาทั้งสามคนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการประชุมในห้องโถงหลักนี้ได้อย่างไม่ขัดข้อง เพราะมองว่าเรื่องที่จะพูดคุยนั้นหาใช่ความลับอันใดไม่เพราะทุกคนนั้นล้วนข้องเกี่ยวกับหนิงอ้ายโดยตรงช้าหรือเร็วย่อมได้รับรู้เรื่องราวเหล่านี้ในสักวันรู้วันนี้หรือวันหน้านับว่าไม่ต่างกันสักเท่าใดนัก...
พวกเขาทั้งสามคนนั้นได้เเต่มองเหล่าผู้อาวุโสตรงหน้าที่ต่างพูดคุยกันเรื่องราวต่าง ๆ ที่บางสิ่งยังไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่ ท่าทางแปลกประหลาดที่เหล่าผู้อาวุโสแสดงออกมาให้เห็นนั้นชวนให้ฉงนใจอยู่ไม่น้อย พวกเขานั้นยังจับต้นชนปลายไม่ถูกว่าเรื่องที่กำลังพูดถึงในตอนนี้มีความสำคัญและเกี่ยวพันกับตัวของหนิงอ้ายอย่างไรกัน
เรื่องราวที่สามารถทำให้ผู้อาวุโสตำเหน่งสูงในตระกูลต่างเสียอาการผิดวิสัยในยามปกติที่มักจะมีใบหน้าเรียบนิ่งสำรวมกริยาท่าทางเเต่ในตอนนี้นั้นภาพดังกล่าวถูกแทนด้วยท่าทางที่ไม่เรียบร้อยและเต็มไปรอยยิ้มของความยินดีเช่นนี้ได้กัน
สำหรับตัวของหนิงอ้ายเองที่มีสายเลือดตระกูลหวังเข้มข้นจนถึงกับปลุกสายเลือดของพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์ได้ นับว่าเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นในตระกูลหวังมายาวนานเกือบพันปีได้ บรรดาเหล่าผู้อาวุโสทุกคนในที่นี้ต่างมีความเห็นตรงกันว่าเช่นนั้นเเล้ว ในวันข้างหน้าตระกูลหวังย่อมที่จะสามารถกลับคืนสู่มาตุภูมิอันเเท้จริงย่อมไม่ไกลเกินเอื้อมอย่างแน่นอน...
ต้องบอกก่อนว่าผู้อาวุโสทุกคนที่หวังจิ่งหลงได้เรียกเข้ามาพูดคุยในครั้งนี้นั้นต่างมีตำแหน่งหน้าที่สำคัญในตระกูลหวังเป็นอย่างยิ่ง ผู้อาวุโสเหล่านี้ต่างเป็นบุคลที่เปรียบดั่งเสาหลักอันเเข็งแกร่งที่ค้ำจุนตระกูลหวังให้ยืนหยัดมั่นคงมายาวนานหลายร้อยปีเลยทีเดียวบางคนนั้นก็เป็นถึงหนึ่งในอดีตว่าที่ประมุขของตระกูลเมื่อครั้งนานมาเเล้ว บ้างก็เป็นตาเฒ่าประหลาดที่มีพลังวิญญาณระดับครึ่งเซียน บ้างก็เป็นเชื้อสายตระกูลหวังที่มีความโดดเด่นด้วยพรสวรรค์ที่มาพร้อมกับความเข้มข้นของสายเลือดมากกว่าคนทั่วไปในตระกูล ถึงแม้ว่าสายเลือดจะไม่เข้มข้นเท่ากับหนิงอ้ายก็จริง เเต่ในวันข้างหน้าหากสามารถยกระดับสายเลือดได้นั้นย่อมหมายถึงว่ากลุ่มคนเหล่านี้ ก็สามารถที่จะปลุกพลังสายเลือดของพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์ได้อย่างแน่นอนด้วยฐานะที่พวกเขาทั้งหลายต่างถือครองอยู่ในตระกูลหวังนับว่าเป็นตำแหน่งที่สำคัญและเป็นที่นับหน้าถือตาเป็นอย่างมาก ดังนั้น ผู้อาวุโสเหล่านี้ย่อมเคยอ่านบันทึกและรับรู้ถึงความเป็นมาของ ตระกูลหวังเป็นอย่างดี ว่าเเท้ที่จริงเเล้วว่าตระกูลหวังนั้นมีต้นกำเนิดความเป็นมาเช่นไร แม้ในเนื้อหาจะไม่ปรากฎสาเหตุของควา
ภายในห้วงจิตเหนือทะเลลมปราณของหนิงอ้ายพลันปรากฏเป็นเงาร่างของราชันย์วิหคอัคคีมายาขนาดเท่าตัวจริงที่มีเปลงเพลิงสีแดงลุกท่วมไปทั้งตัวที่เเสดงอาการดุร้ายอาฆาตพร้อมที่จะเข้ามาโจมตีเขาในทุกเมื่อ เเต่ชั่วพริบตาเดียวเงาร่างของอสรพิษเหมันต์บรรพกาลใหญ่โตน่าเกรงขามที่แผ่กลิ่นอายความเย็นเยือกออกมาโดยรอบพลันปรากฎขึ้น เงาร่างของพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์ก็ปรากฏอยู่ตรงด้านข้างแม้ว่าตอนนี้จะมีรูปลักษณ์เป็นเพียงหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์ตัวน้อยเเต่ทว่าเปลวเพลิงสุริยะธาตุอันเป็นต้นกำเนิดเเห่งธาตุไฟบริสุทธิ์ที่เเผ่พุ่งออกมารอบตัวนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอันพิศดารที่ไม่สามารถดูเเคลนอันใดได้ไม่ต้องให้หนิงอ้ายเอ่ยสิ่งใดทั้งสิ้นเงาร่างของสัตว์อสูรทั้งสองนั้นต่างพุ่งเข้าโจมตีและกัดกินจิตอาฆาตของอสูรราชันย์วิหคอัคคีมายาในทันที เเสงสีฟ้าอันเกิดจากอสรพิษเหมันต์บรรพกาล เเสงสีเเดงทองอันเกิดจากพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์ได้ประสานหล่อหลอมเป็นกรงกักขังสามสีขนาดใหญ่มีดวงจิตของราชันย์วิหคอัคคีมายาไว้ด้านใน เปลวเพลิงแห่งอัคคีและพิษเหมันต์ต่างเข้าโรมรันโจมตีอย่างต่อเนื่องเพียงชั่วครู่เดียวดวงจิตอาฆาตของราชันย
พื้นที่โดยรอบในรัศมีสองลี้ ปรากฎเป็นโดมอัคคีสีขาวคลอบคลุมบริเวณโดยรอบเอาไว้อย่างแน่นหนา ม่านปราการของเขตแดนปราการอัคคีเหมันต์นี้มีความเเข็งแกร่งเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังปิดกันการรับรู้และปกปิดสายตาของผู้ที่อยู่ภายนอกได้ทั้งสิ้น มากไปกว่านั้นบทเวทย์เขตแดนนี้ยังส่งผลให้ผู้ฝึกตนที่มีพลังปราณธาตุน้ำ ที่เป็นฝั่งศัตรูตรงข้ามนั้นต่างได้รับผลกระทบ โดยที่พลังวิญญาณจะลดลงครึ่งหนึ่งทำให้เกิดความได้เปรียบยิ่งนักกับสถานการณ์เช่นนี้เป็นอย่างมากบทเวทย์เขตแดนนี้แม้จะเต็มเปี่ยมไปด้วยข้อดีที่ได้เปรียบเป็นอย่างมากก็จริง ถึงอย่างไรนั้นข้อเสียของบทเวทย์เขตแดนนี้คือผู้ที่ร่ายบทเวทย์จะสูญเสียพลังลมปราณเป็นอย่างมาก หนิงอ้ายที่ตอนนี้แม้จะเป็นผู้ฝึกตนราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณขั้นสูงที่มีรากฐานบ่มเพาะเเข็งแกร่ง เเต่ด้วยความแตกต่างของพลังวิญญาณและระดับของบทเวทย์ก็ทำให้หนิงอ้ายนั้นถูกดูดพลังวิญญาณออกไปจนสามารถเห็นได้ชัดด้วยตาเปล่าเลยทีเดียว"ทำให้ข้าเห็นว่าพวกเจ้ามีความสามารถฝ่าเขตแดนของข้าออกไปได้อย่างไร?? " หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับยกกระบี่วารีหมอกรุ้งพิสุทธิ์เหมันต์พุ่งเข้าโจมตีอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว เมื่อเป็นเช่นนั
"เป็นอย่างไรบ้างเจียวซิ่น รับรางวัลของเจ้าได้แล้ว..." หนิงอ้ายใช้ฝ่ามือลูบไปยังส่วนที่คล้ายกับลำต้นไปเบา ๆ พร้อมกับผายมือไปทางฝั่งของร่างไร้วิญญาณของเหล่านักฆ่าสังหารที่ถูกรวบรวมไว้ตรงจุดเดียวกันตรงด้านหน้า รยางค์สีเขียวน้ำตาลเข้มนับร้อยเส้นได้พุ่งเข้าจับร่างไร้วิญญาณเหล่านี้อย่างแน่นหนา ก่อนจะถูกดึงเข้าสู่กับดักบุปผามรณะที่ตอนนี้กำลังชูช่อเบ่งบานอยู่โดยรอบ กลิ่นหอมเย้ายวนล่องรอยตามสายลมชวนให้ผ่อนคลายจิตใจแก่ผู้พบเห็น ถึงแม้ว่าหนิงอ้ายกับลู่ซีจะเคยเห็นภาพตรงหน้านี้แล้วหลายครั้งยังอดที่จะชื่นชมไม่ได้แต่สำหรับองครักษ์ทั้งสี่คนต่างถูกมอมเมาด้วยภาพตรงหน้าและกลิ่นหอมอันเย้ายวนชวนหลงไหลจนยากที่จะต้านทานได้ของกับดักดอกไม้มรณะของเจียวซิ่น เเต่ถึงอย่างนั้นทุกคนในที่นี้ต่างเป็นผู้ที่มีความสามารถอย่างแท้จริงและมีจิตสัมผัสที่ดีเยี่ยมจากการฝึกฝนอย่างหนักของตระกูลหวังดังนั้นเพียงชั่วครู่ทุกคนต่างรู้สึกตัวและรับรู้ได้ว่าภาพตรงหน้านี้ไม่ต่างไปจากความงดงามที่อันตรายยิ่ง"ดูเหมือนว่าร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าเหล่านี้จะช่วยพัฒนาและยกระดับพลังของอสูรพฤกษาของคุณชายเล็กได้ใช่หรือไม่ขอรับ?? "ชายหนุ่มที่เป็นหัว
สำหรับสัตว์อสูรทั่วไปนั้นในการเลื่อนระดับพลังวิญญาณนั้นจะสามารถเพิ่มระดับในขั้นถัดไปด้วยการดูดซับแก่นพลังธาตุได้ อีกทั้งระดับของพลังวิญญาณที่เพิ่มขึ้นของนายแห่งพันธะย่อมส่งผลต่อสัตว์อสูรในครอบครองเช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้นแล้วสำหรับเจียวซิ่นด้วยสิ่งเหล่านี้นับได้เลยว่ายังไม่เพียงพอสำหรับการเลื่อนระดับพลังวิญญาณของมันได้สักเท่าไหร่นัก ด้วยเพราะตัวของเจียวซิ่นนั้นได้เกิดการกลายพันธ์ขึ้นจนผิดแปลกกว่าสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพฤกษาทั่วไป อีกทั้งแต่เดิมนั้นสัตว์อสูรตำนานนับได้ว่าเป็นตัวตนของสัตว์อสูรที่เต็มไปด้วยความลึกลับและอยู่เหนือการรับรู้ความเข้าใจของคนทั่วไปอยู่แล้วดังนั้นในการเลื่อนระดับของเจียวซิ่นจึงต้องใช้ทุกสิ่งที่มีพลังลมปราณหรือพลังเวทย์นำมาดูดซับโดยตรง ซึ่งในร่างกายของสัตว์อสูรและผู้ฝึกตนนั้นต่างเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณสมบัติเช่นนี้ไม่ต่างกันแม้สัญชาติญาณดิบเถื่อนของเจียวซิ่นจะยังคงมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมด้วยเพราะยังไม่ได้อยู่ในระดับที่สูงมากพอจนสามารถเปิดสติปัญญาให้มีความรู้สึกนึกคิดเช่นเดียวกันกับผู้ฝึกตน แต่ถึงอย่างนั้นด้วยความรักเอาใจใส่ของหนิงอ้ายที่มีต่อเจียวซิ่นได้ค่อย ๆ ทำลายสัญ
หนิงอ้ายกับลู่ซีและเหล่าองค์รักษ์ทั้งสี่คนนั้นต่างทะยานตัวออกจากขบวนรถม้าพร้อมกับพุ่งเข้าหากลุ่มของอสูรวานรพันตะนิลกาฬในทันที ในครานี้หนิงอ้ายไม่ได้ทำการร่ายบทเวทย์เขตแดนของตนออกไปเนื่องจากว่าเขานั้นเฝ้ารอบางอย่างอยู่นั่นเองและเฝ้ารอให้อีกฝ่ายนั้นตกหลุมพลางที่ตนได้วางเอาไว้เสียงย่ำเท้าของสัตว์อสูรขนาดใหญ่ดังขึ้นทำเอาพวกเขาทุกคนต่างรู้สึกตกใจอยู่ในไม่น้อย แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะสังหารสัตว์อสูรบริวารเหล่านี้ทั้งหมด ทว่าจิตสังหารที่สัมผัสได้คงเป็นสัตว์อสูรระดับสูงที่มีอายุหลายพันปีหากเป็นเช่นนั้นคงไม่ดีเป็นแน่สิ่งที่พวกเขากังวลได้ปรากฏขึ้นอยู่ตรงหน้า ปรากฏเป็นอสูรวานรพันตะนิลกาฬตัวหนึ่งที่มีอายุไม่เกินสี่พันปี นับได้ว่าเป็นสัตว์อสูรนภาขั้นสูง กลิ่นอายอหังการล้ำลึกเช่นนี้คาดว่าคงเป็นอสูรราชันย์วานรพันตะนิลกาฬนายเป้นแน่ สัตว์อสูรตรงหน้ามีความสูงใหญ่ถึงห้าเมตรที่เต็มไปด้วยจิตสังหารฆ่าฟัน แม้น่าหวั่นเกรงเพียงใดคงมีเพียงหนิงอ้ายเท่านั้นที่ยังคงรักษารอยยิ้มบนใบหน้าของตนเอาไว้ได้"เจ้ามนุษย์ชั้นต่ำ!!! กล้าสังหารลูกน้องของข้านายแห่งเผ่าพันธ์อสูรวานรพันตะนิลกาฬเช่นนั้นรึ?? " สิ้นเสียงดังกึกก้อง พว
ขบวนรถม้าของหนิงอ้ายได้มาถึงจุดหมายนั่นคือเมืองหมอกทมิฬได้อย่างปลอดภัยและใช้เวลาเดินทางไปตามที่คาดการณ์ไว้ พวกเขาทั้งหกคนต่างเดินเที่ยวชมบรรยากาศของเมืองนี้ที่เต็มไปด้วยความสนุกสนานมีชีวิตชีวา การแต่งกายของพวกเขาไม่ต่างไปจากผู้ฝึกตนคนอื่นที่มักจะสวมใส่เสื้อผ้าสีสันไม่โดดเด่นจนเกินไป ทว่ากลิ่นอายความแข็งแกร่งของผู้ฝึกตนระดับสูงที่แผ่ออกมาส่งผลให้ไม่มีผู้ใดให้ความสนใจกับกลุ่มเดินทางของพวกเขาเท่าไหร่นักอีกไม่กี่วันจากนี้ก็จะถึงกำหนดการณ์ของการเข้าร่วมทดสอบเข้าสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์แล้ว ในเวลานี้จึงมีผู้ฝึกตนจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาในเมืองเมืองหมอกทมิฬนี้อย่างคึกคัก หนิงอ้ายยังอยากเดินชมบรรยากาศอีกสักหน่อยแต่ทางลู่ซีได้เอ่ยเตือนว่าเวลาเที่ยวเล่นยังพอมีอีกหลายวัน สิ่งแรกที่พวกเขาต้องจัดการกันก่อนคือการหาที่พักอาศัย โรงเตี๊ยมส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดสำหรับห้องว่างที่สามารถให้เข้าพักได้นั้นค่อนข้างเต็มหมดแล้ว ดังนั้นกว่าที่พวกเขานั้นจะหาโรงเตี๊ยมสำหรับพวกเขาทั้งหกคนได้เล่นเอาเสียเวลาไปเกือบหนึ่งชั่วยามเลยทีเดียว...ตรงเส้นขอบฟ้าสุดสายตาได้ปรากฏเป็นแสงสีทองประกายส้มแห่งดวงอาทิตย์ที่คอยท
เหลือเวลาอีกเพียงสองวันเท่านั้นที่ทางสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ได้กำหนดการณ์เอาไว้สำหรับการรับศิษย์ใหม่ ดูเหมือนว่าปีนี้จำนวนของผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่สนใจเข้าร่วมการทดสอบเข้าสำนักศึกษามีจำนวนมากกว่าปกติในรอบหลายสิบปีเลยทีเดียว สังเกตได้จากการที่ในเมืองหมอกทมิฬเต็มไปด้วยผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ชายหญิงมากหน้าหลายตาที่เดินทางมาถึงเมืองแห่งนี้แล้วก่อนหน้านี้ท่านตาหวังจิ่งหลง ท่านยายเหมยฮวาและท่านแม่เยว่ซินต่างต้องการมาส่งพวกเขาทั้งสองคนในการเข้าร่วมทดสอบเข้าสำนักศึกษาที่เมืองหมอกทมิฬแห่งนี้ ทว่าหนิงอ้ายได้ปฏิเสธไปด้วยเพราะว่าทั้งสามคนต่างมีภาระหน้าที่รับผิดชอบภายในตระกูลหวัง การเดินทางครั้งนี้ต้องใช้เวลายาวนานหลายวันยังไม่รวมไปถึงการเข้าร่วมการทดสอบเพราะในแต่ละปีทางสำนักศึกษาจะมีการกำหนดจำนวนวันทดสอบที่แตกต่างกันออกไป แต่ถึงอย่างไรท่านตาได้มอบหมายองครักษ์ฝีมือดีถึงสี่คนร่วมเดินทางกับพวกเขาทั้งสองคนในครั้งนี้ด้วยหลังจากเมื่อวานนี้ที่เขาได้เดินเที่ยวตลาดในเมืองได้พูดคุยกับบรรดาพ่อค้าแม่ค้าตามแผงร้านต่าง ๆ จึงพอทราบมาบ้างว่าการทดสอบของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์จะเปลี่ยนไปในทุกปีไม่ซ
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต
มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล
ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย