Home / แฟนตาซี / บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ / บทที่49 เทือกเขาหมื่นอสูร

Share

บทที่49 เทือกเขาหมื่นอสูร

สำหรับสัตว์อสูรทั่วไปนั้นในการเลื่อนระดับพลังวิญญาณนั้นจะสามารถเพิ่มระดับในขั้นถัดไปด้วยการดูดซับแก่นพลังธาตุได้ อีกทั้งระดับของพลังวิญญาณที่เพิ่มขึ้นของนายแห่งพันธะย่อมส่งผลต่อสัตว์อสูรในครอบครองเช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้นแล้วสำหรับเจียวซิ่นด้วยสิ่งเหล่านี้นับได้เลยว่ายังไม่เพียงพอสำหรับการเลื่อนระดับพลังวิญญาณของมันได้สักเท่าไหร่นัก ด้วยเพราะตัวของเจียวซิ่นนั้นได้เกิดการกลายพันธ์ขึ้นจนผิดแปลกกว่าสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพฤกษาทั่วไป อีกทั้งแต่เดิมนั้นสัตว์อสูรตำนานนับได้ว่าเป็นตัวตนของสัตว์อสูรที่เต็มไปด้วยความลึกลับและอยู่เหนือการรับรู้ความเข้าใจของคนทั่วไปอยู่แล้ว

ดังนั้นในการเลื่อนระดับของเจียวซิ่นจึงต้องใช้ทุกสิ่งที่มีพลังลมปราณหรือพลังเวทย์นำมาดูดซับโดยตรง ซึ่งในร่างกายของสัตว์อสูรและผู้ฝึกตนนั้นต่างเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณสมบัติเช่นนี้ไม่ต่างกัน

แม้สัญชาติญาณดิบเถื่อนของเจียวซิ่นจะยังคงมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมด้วยเพราะยังไม่ได้อยู่ในระดับที่สูงมากพอจนสามารถเปิดสติปัญญาให้มีความรู้สึกนึกคิดเช่นเดียวกันกับผู้ฝึกตน แต่ถึงอย่างนั้นด้วยความรักเอาใจใส่ของหนิงอ้ายที่มีต่อเจียวซิ่นได้ค่อย ๆ ทำลายสัญญาณญาณเดิมของนักล่าในตัวของเจียวซิ่นไปได้แล้วบางส่วน

ดังนั้นในตอนนี้ซากของสัตว์อสูรและร่างไร้วิญญาณของผู้ฝึกตนฝั่งศัตรูนับว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อเจียวซิ่นยิ่งนักในการเลื่อนระดับในขั้นถัดไปและด้วยปกติธรรมชาติของสัตว์อสูรสังกัดพฤกษานั้นนอกจากจะหาได้ยากกว่าสัตว์อสูรประเภทอื่นแล้วนั้นในเรื่องของการเลื่อนระดับพลังวิญญาณก็มีความล่าช้ากว่าสัตว์อสูรทั่วไปหลายเท่า

อีกทั้งยังสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างล่าช้าจนเกินไปและไร้ซึ่งความโดดเด่นในหลากหลายด้านทั้งการโจมตีและการป้องกัน ดังนั้นในการที่สัตว์อสูรสังกัดธาตุพฤกษาต้องรับมือสัตว์อสูรอื่นในธรรมชาติจึงไม่สามารถทำได้ง่ายและมักจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในที่สุด ด้วยเหตุนี้สัตว์อสูรสังกัดธาตุพฤกษาจึงแทบจะสูญพันธ์ไปหมดสิ้นในมหาพิภพแห่งนี้

และด้วยสิ่งต่าง ๆ นี้แม้ว่าการพบเจอสัตว์อสูรสังกัดธาตุพฤกษาจะพบเจอได้ยากมากเพียงใดในปัจจุบันเเต่เมื่อพบเจอในแต่ละครั้งนั้น ด้วยขีดจำกัดต่าง ๆ และจุดด้อยเหล่านี้สัตว์อสูรสังกัดธาตุพฤกษาจึงถูกมองว่าเป็นเพียงสัตว์อสูรที่ไร้ค่าและไม่สมควรอย่างยิ่งในการนำมาผูกพันธะรับใช้ และมีประโยชน์เพียงใช้ในการไล่ล่าสังหารเพื่อฆ่าเวลายามเบื่อหน่ายหรือเพื่อความสนุกสนานของชนชั้นสูงก็เพียงเท่านั้น

แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้ฝึกตนในมหาพิภพแห่งนี้ยังไม่รู้นั้นก็คือสัตว์อสูรระดับสูงแม้ว่าจะเป็นสัตว์อสูรสังกัดธาตุพฤกษาก็ตาม หาใช่เป็นเหมือนกันกับสัตว์อสูรสังกัดธาตุพฤกษาทั่วไปไม่ แล้วยิ่งกับเจียวซิ่นที่เป็นสัตว์อสูรสังกัดธาตุพฤกษาที่เกิดการกลายพันธ์ พลังที่แต่จริงที่ซ่อนอยู่ในสายเลือดบรรพกาลในตัวตนของเจียวซิ่นนั้น กล่าวได้ว่าคงไม่ต่างไปจากสัตว์อสูรสายโจมตีสังหารที่ทรงพลังและน่าหวั่นเกรงกว่าสัตว์อสูรเผ่าพันธ์อื่นอย่างแน่นอน

สำหรับคำกล่าวที่ว่า 'โลกใบนี้คำว่าบังเอิญนั้นไม่มีอยู่จริง' นับว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องยิ่งนักเพราะว่าทุกสรรพสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นล้วนต่างถูกกำหนดขีดเขียนเอาไว้แล้วด้วยกงล้อแห่งโชคชะตาและพวกเราทุกคนนั้นต่างได้ถูกชักนำไปในทางนั้นในที่สุดแต่ถึงอย่างนั้นก็ใช่ว่าจะไม่มีเส้นทางอื่นให้เลือกเดินเสียหน่อย

เช่นเดียวกันกับเรื่องราวความเป็นมาของเจียวซิ่นที่ใครจะไปคาดคิดว่าสัตว์อสูรสังกัดธาตุพฤกษาในหอประมูลที่รอคอยวันตายที่ใกล้เข้ามาอย่างช้า ๆ แต่ในที่สุดแสงแห่งความหวังอีกครั้งก็ได้เกิดขึ้นเมื่อเจียวซิ่นกลับถูกซื้อตัวจากหนิงอ้ายคุณชายที่ตัวของมันสัมผัสได้เพียงพลังวิญญาณระดับก่อเกิดวิญญาณเพียงเท่านั้น

แต่ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่มองมาคงไม่ผิดใช่หรือไม่ที่มันจะขอคาดหวังกับเด็กหนุ่มคนนี้ ท้ายที่สุดทั้งคู่ต่างเป็นเจ้านายและสัตว์อสูรแห่งพันธะซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นเหตุผลใดก็ตามแต่ ในวันข้างหน้าโลกของผู้ฝึกตนในมหาพิภพแห่งนี้ย่อมมีบันทึกถึงความเป็นมาอันยิ่งใหญ่ของสัตว์อสูรสังกัดธาตุพฤกษานามเจียวซิ่นอย่างแน่นอน...

แสงสีทองประกายส้มอันเป็นแสงแรกของเช้าวันใหม่โผล่พ้นจากขอบฟ้าสาดส่องไปทั่วทั้งบริเวณสุดสายตา นับว่าเป็นความงดงามของธรรมชาติที่หาชมได้ยากยิ่ง แว่วยินเสียงของสรรพสิ่งมีชีวิตน้อยใหญ่ที่อาศัยอยู่ในผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์แห่งนี้ ดังขึ้นจากทุกสารทิศโดยรอบที่ต่างพากันส่งเสียงร้องรับสอดประสานกันได้อย่างลงตัวชวนให้รู้สึกเบิกบานใจผ่อนคลายยิ่งนัก

อีกทั้งยังเป็นดั่งสัญญาณการเริ่มต้นอีกครั้งของการเดินทางให้เป็นไปตามจุดประสงค์ที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกก่อนออกเดินทางจากตระกูลหวังนั่นคือการเดินทางเพื่อเข้าร่วมการทดสอบเป็นศิษย์ของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ซึ่งได้ตั้งอยู่ในเขตแดนเหนือของมหาทวีปแห่งนี้นั่นเอง

หลังจากเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่เหล่านักฆ่ามือสังหารได้ปลอมตัวเป็นโจรป่าเข้าดักซุ่มโจมตีขบวนรถม้าของพวกเขานั้นแม้ท้ายที่สุดแล้วถึงจะไม่สามารถหาหลักฐานผู้จ้างวานที่อยู่เบื้องหลังของเหตุการณ์ลอบฆ่าในครั้งนี้ได้ก็ตามแต่สำหรับสำนักหมาป่าทมิฬแล้วนั้นอีกฝ่ายคงเกิดความเสียหายไปไม่มากก็น้อยด้วยเพราะว่าเหล่านักฆ่ามือสังหารทั้งยี่สิบคนที่ถูกส่งมาล้วนต่างเป็นผู้ฝึกตนระดับสูงที่มีพลังวิญญาณอยู่ในระดับจักรพรรดิวิญญาณและระดับเทวะวิญญาณทั้งสิ้น

กล่าวได้ว่าการที่สำนักหมาป่าทมิฬจะสร้างมือสังหารที่มากไปด้วยฝีมือและมีระดับพลังวิญญาณสูงได้สักคนเช่นนี้ได้นั้นนอกจากจะต้องทุ่มเทใช้เวลาไปหลายสิบปีแล้วแน่นอนว่ายังคงต้องสูญเสียทรัพยากรในการบ่มเพาะฝึกตนไปจำนวนมากอย่างแน่นอน

ดังนั้นสำหรับภารกิจลอบฆ่าสังหารในครั้งนี้ที่ทางสำนักหมาป่าทมิฬรับมาจากผู้จ้างวานนั้นแม้ผลตอบแทนจะล้ำค่ามากเพียงใด แต่ถึงอย่างไรแล้วนั้นอาจกล่าวได้ว่าการสูญเสียเหล่านักฆ่ามือสังหารทั้งยี่สิบคนที่มีระดับพลังวิญญาณสูงคงทำให้ทางสำนักหมาป่าทมิฬขาดทุนไปไม่น้อยเลยทีเดียว

การปะทะต่อสู้กันของทั้งสองระหว่างฝ่ายของหนิงอ้ายกับเหล่านักฆ่ามือสังหารก่อนหน้านี้ที่จบไปแล้วนั้นถึงแม้ว่าพวกเขาทั้งหกคนจะไม่ได้รับบาดเจ็บจนถึงแก่ชีวิตหรือได้รับผลกระทบต่อการเลื่อนระดับพลังวิญญาณในวันข้างหน้าก็จริง แต่ถึงอย่างนั้นแล้วทุกคนต่างมีบาดแผลกันบ้างเล็กน้อยเท่านั้นซึ่งบาดแผลต่าง ๆ เหล่านี้สามารถใช้โอสถภายนอกรักษาได้

แต่ถึงอย่างไรก็ตามนับได้ว่าทุกคนนั้นต่างสูญเสียพลังลมปราณในร่างกายไปไม่น้อยกว่าที่จะสามารถฟื้นคืนมาเต็มสิบส่วนได้ดังเดิมแม้จะมีเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาที่คอยดูดซับปราณฟ้าดินเข้าสู่ร่างกายแล้วก็ตามเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วเช้าวันนี้ของการเดินทางหนิงอ้ายจึงบอกความต้องการของตนในทันทีและไม่รอช้าเข้าจัดการวัตถุดิบเพื่อทำอาหารมื้อเช้าให้ทุกคนในทันที

หลังจากที่ทุกคนได้กินอาหารมื้อเช้าฝีมือของคุณชายเล็กหรือหนิงอ้ายเสร็จแล้วนั้นต่างแยกย้ายกันไปเพื่อจัดการตัวเองให้พร้อมที่จะเดินทางต่อไปเพื่อทำเวลาให้ดีที่สุด ซึ่งเหล่าองครักษ์ทั้งสี่คนนั้นต่างรู้สึกประหลาดใจและชื่นชมนายน้อยของตนเป็นอย่างมากในใจต่างมีความเห็นที่ตรงกันว่ายังมีสิ่งใดอีกหรือไม่ที่คุณชายหนิงอ้ายผู้นี้ยังทำไม่ได้ช่างเพียบพร้อมไปเสียทุกด้านอย่างแท้จริง

ทว่าสำหรับลู่ซีนั้นแม้จะไม่บ่อยครั้งนักที่ตนจะได้กินอาหารฝีมือของหนิงอ้ายแต่อาหารที่เด็กหนุ่มเป็นคนทำนั้นนอกจากจะมีรสชาติที่ดีเยี่ยมแล้วหน้าตาและสีสันของอาหารนั้นช่างน่าทานกว่าอาหารที่ขึ้นชื่อของเหลาอาหารชื่อดังประจำแคว้นเสียด้วยซ้ำ

เกือบสองชั่วยามให้หลังในที่สุดพวกเขาทั้งหกคนก็มาถึงเขตเทือกเขาที่ติดกับเมืองหมอกทมิฬเสียที เมืองแห่งนี้ตั้งอยู่ตรงรอยต่อระหว่างแคว้นเต่าดำและเขตทางเหนือที่ถือว่าเป็นอาณาเขตของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ นับได้ว่าเมืองหมอกทมิฬนั้นเป็นเมือง ที่อยู่อยู่ในเขตการปกครองของสำนัก ดังนั้นสำหรับผู้ฝึกตนที่ต้องการเข้าร่วมเป็นศิษย์ของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ต่างล้วนที่จะมาหยุดพักที่เมืองหมอกทมิฬแห่งนี้ด้วยกันทั้งสิ้นก่อนที่จะเดินทางต่อไป

สำหรับเมืองหมอกทมิฬนั้นเจ้าเมืองปกครองครั้งหนึ่งเคยเป็นถึงศิษย์สายในของผู้อาวุโสในสำนักศึกษา นอกจากนั้นแล้วผู้คนในเมืองนี้ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านทั่วไปที่ไร้ซึ่งพลังวิญญาณหรือผู้ฝึกตนจากตระกูลน้อยใหญ่ที่ตั้งรกรากอยู่ในเมืองหมอกทมิฬแห่งนี้ต่างให้ความเคารพนับถือศิษย์ของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างมากเนื่องจากว่าพวกเขาเหล่านี้ต่างต้องการผู้ฝึกตนที่มากฝีมือในการปกป้องพวกตนนั่นเอง

ถึงแม้ว่าเมืองหมอกทมิฬแห่งนี้จะอยู่ในการปกครองของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์เเต่ถึงอย่างนั้นแล้วกล่าวได้ว่ายังเป็นเมืองเเรกที่อยู่ด้านหน้าสุดของอาณาเขตปกครอง หรือสามารถเรียกได้ว่าเมืองหมอกทมิฬนั้นเป็นเมืองหน้าด่านของสำนักได้ไม่ต่างกัน ดังนั้นแล้วจึงมีผู้คนจำนวนมากที่เข้าออกเมืองนี้อย่างสม่ำเสมอในทุกปี

สำหรับเรื่องของการดูแลปกครองนั้นค่อนข้างที่จะดีมากเลยทีเดียวเพราะว่ามีผู้ฝึกตนระดับสูงของสำนักศึกษาอยู่ประจำการที่เมืองหมอกทมิฬนี้เป็นจำนวนมาก และแม้ว่าเมืองนี้จะมีพื้นที่ติดกับเขตเทือกเขาเร้นลับอสูรที่ขึ้นชื่อในเรื่องของความลี้ลับอันตราย แต่อย่างไรก็ตามคนที่เดินทางเข้ามาในเมืองนี้หรือประชาชนของเมืองเองต่างมีความมั่นใจว่าพวกเขาเหล่านี้นั้นสามารถพักอาศัยอยู่ในเมืองหมอกทมิฬได้อย่างปลอดภัยแน่นอน

"ก่อนถึงยามเซินน่าจะถึงเมืองหมอกทมิฬพอดีใช่ไหมขอรับ ลู่เกอ??" หนิงอ้ายเอ่ยถามลู่ซีเพื่อความแน่ใจอีกครั้งเพราะว่าก่อนออกเดินทางในครั้งนี้อีกฝ่านนั้นหาข้อมูลที่จำเป็นหรือเกี่ยวข้องกับสำนักศึกษาไปไม่น้อยเลยทีเดียว

"เป็นเช่นนั้น แต่พวกเราจะต้องผ่านเขตป่าของเทือกเขาเร้นลับอสูรเสียก่อน..." ลู่ซีเอ่ยตอบกลับไปด้วยความเป็นกังวลอยู่ไม่น้อย

การสนทนาเพียงสั้น ๆ ของสองพี่น้องได้จบลงพร้อมกับที่ทางฝั่งของหัวหน้าองครักษ์ได้เร่งควบม้านำขบวนนี้ให้เดินทางไปถึงเมืองหมอกทมิฬที่อยู่ติดกับเทือกเขาเร้นลับอสูรให้เร็วที่สุดให้ทันก่อนตะวันตกดิน เพราะไม่เช่นนั้นแล้วหากต้องติดอยู่ในเขตเทือกเขาเร้นลับอสูรในช่วงกลางคืน กล่าวได้ว่าคงไม่ค่อยน่าดูสักเท่าไหร่นัก ด้วยเพราะพวกเขาทั้งหกคนต่างเป็นผู้ฝึกตนกันทั้งสิ้นดังนั้นพวกเขาจึงรีบเร่งเดินทางเร็วที่สุดและเมื่อถึงยามเว่ยพวกเขานั้นก็เข้าสู่เขตป่าชั้นนอกของเทือกเขาเร้นลับอสูรเสียที

"เทือกเขาเร้นลับอสูรช่างมีความแปลกประหลาดลึกลับเสียจริง" หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นเบา ๆ ราวกับว่าเอ่ยกับตนเองแต่ถึงอย่างนั้นแล้วด้วยเพราะทุกคนในที่นี้ต่างล้วนเป็นผู้ฝึกตนทั้งสิ้น ดังนั้นแม้เสียงที่เอื้อนเอ่ยออกมาดังกล่าวจะแผ่วเบาเพียงใดก็ต่างได้ยินอย่างชัดเจน

"เจ้าสัมผัสอะไรได้เช่นนั้นรึ?? " ลู่ซีเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มนั้นทอดสายตาไปยังข้างในของผืนป่าอย่างไม่ละสายตา

"เทือกเขาเร้นลับอสูรต่างถูกปกคลุมไปด้วยไอหมอกหนายิ่งนักแต่ถึงอย่างนั้นข้ายังสัมผัสได้ถึงสัตว์อสูรที่ทรงพลังและแข็งแกร่งหลายตัวอาศัยอยู่ภายในที่แห่งนี้ อีกทั้งไอหมอกหนาต่างถูกประสานไปกับปราณฟ้าดินที่เข้มข้นไม่ต่างไปจากม่านปราการที่แข็งแกร่งอีกทั้งส่วนพื้นที่เขตป่าชั้นในสุดยังถูกร่ายกำกับด้วยบทเวทย์โบราณที่แม้กระทั่งเนตรแห่งสวรรค์ของข้ายังไม่อาจมองทะลุได้อย่างแจ่มแจ้งขอรับ" หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นด้วยความแปลกใจ เพราะเขาไม่สามารถรับรู้ข้อมูลอะไรไปมากกว่านี้ แต่ก็สามารถเข้าใจได้ด้วยเพราะระดับพลังวิญญาณจักรพรรดิวิญญาณขั้นสูงของเขาในตอนนี้ย่อมไม่อาจสำแดงอาณุภาพของเนตรแห่งสวรรค์ได้อย่างเต็มสิบส่วนเท่าไหร่

"แม้จะเป็นเพียงเขตป่าชั้นนอกของเขตเทือกเขาเร้นลับอสูรแต่ข้ายังสัมผัสได้ถึงสัตว์อสูรหลากหลายสายพันธ์เลยทีเดียวที่มีพลังวิญญาณสูงสุดอยู่ในระดับขุนนางเท่านั้นแต่ข้าเชื่อว่าสัตว์อสูรที่ระดับสูงมากกว่านี้คงอยู่ในเขตป่าชั้นกลางเป็นต้นไป ขอเพียงแค่ไม่เข้าไปในอาณาเขตบริเวณของมันนั้นคงไม่มีปัญญาอะไรขอรับ..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นถึงสิ่งที่ตนรับรู้จากการใช้เนตรแห่งสวรรค์ให้กับทั้งห้าคนที่จ้องมองมายังตนอยู่ในขณะนี้

ถึงแม้ว่าสัตว์อสูรระดับสูงสุดในเขตป่าชั้นนอกของเทือกเขา เร้นลับอสูรนั้นจะเป็นเพียงระดับขุนนางวิญญาณแต่หากต้องปะทะกันในคราวเดียวครั้งละสิบตัวหรือครั้งละร้อยตัวพร้อมกันนั้น

ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนระดับสูงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์และฝีมือมากเพียงใด ยังกล่าวได้ว่าค่อนข้างที่จะเสียเปรียบอยู่ไม่น้อยเพราะในธรรมชาติของสัตว์อสูรนั้นแม้จะถูกลำดับขั้นระดับพลังวิญญาณเฉกเช่นเดียวกับผู้ฝึกตนก็จริงแต่ถึงอย่างไรแล้วนั้นความแข็งแกร่งของอีกฝ่ายสัตว์อสูรหากเทียบกันแล้วยังเหนือกว่าผู้ฝึกตนไปสองถึงสามขั้นเลยทีเดียว

"คุณชายหนิงอ้ายท่านทำสิ่งใดรึขอรับ??" หัวหน้าองครักษ์เอ่ยขึ้นเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งสายหนึ่งพัดผ่านตัวของเขาไปเมื่อครู่

"ข้าร่ายบทเวทย์ป้องกันให้กับขบวนรถม้า เพราะอย่างไรป้องกันไว้ก่อนเป็นการดีที่สุด..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับยกยิ้มเล็กน้อย

ท่ามกลางความตกตะลึงของเหล่าองครักษ์ทั้งสี่คนเป็นอย่างมาก ต้องบอกว่าโดยปกติสำหรับการร่ายบทเวทย์ป้องกันในแต่ละครั้ง จำเป็นจะต้องมีความแม่นยำและต้องถ่ายเทพลังลมปราณให้มั่นคงอยู่เสมอเพื่อรักษาสมดุลเอาไว้ อีกทั้งยังต้องจำกัดพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งหาใช่เป็นการร่ายบทเวทย์ในขณะที่มีการเคลื่อนไหวหรือเดินทางเช่นนี้ ไม่รู้ว่าท่านประมุขตระกูลหวังได้ถ่ายทอดสิ่งใดให้แก่นายน้อยเพราะแต่ละสิ่งที่เกิดขึ้นในเวลาเพียงสองสามวันของการเดินทางครั้งนี้ถือว่าได้เปิดหูเปิดตาแก่พวกตนยิ่งนัก...

ยิ่งเดินทางเข้าไปในเขตป่าชั้นนอกของเทือกเขาเร้นลับอสูรมากเท่าใด ญาณสัมผัสในร่างกายของพวกเขาทั้งหกคนนั้นต่างถูกรีดเค้นออกมาแผ่ไปโดยรอบบริเวณอย่างระมัดระวังเป็นอย่างยิ่งแม้ว่าทางที่พวกเขาต้องเดินทางนั้นถือว่าเป็นเพียงป่าชั้นนอกเท่านั้น แต่อย่างไรแล้วย่อมมีสัตว์อสูรอยู่อาศัยในเขตนี้เช่นกันเเต่มว่าส่วนมากนั้นเมื่อพวกมันสัมผัสได้ถึงระดับพลังวิญญาณที่เหนือชั้นกว่าย่อมที่จะหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญหน้าโดยตรงด้วยเพราะสัญชาตญาณที่เต็มเปี่ยมนั่นเอง

ขบวนรถม้าได้มุ่งตรงเข้าไปในเขตป่าชั้นนอกที่ลึกมากยิ่งขึ้น ป่าในบริเวณด้านในนั้นมีความผิดแปลกไปจากป่าส่วนด้านนอกเป็นอย่างมาก ด้วยเพราะว่าต้นไม้ในเขตด้านในนี้เริ่มมีจำนวนที่เพิ่มขึ้นหลายเท่าและมีขนาดที่ใหญ่หลายคนโอบได้เลยทีเดียว อีกทั้งมีเครือเถาวัลย์น้อยใหญ่ที่ห้อยระโยงระยางค์ไปทั่วแสดงให้เห็นถึงว่าเขตป่าเทือกเขาเร้นลับอสูรนั้นมีความอุดมสมบูรณ์มากเพียงใด

'มีบางสิ่งอยู่ด้านหน้า เพิ่มการป้องกันระดับสุงสุด!!!' หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นผ่านกระเเสจิตให้ทั้งห้าคนได้รับรู้

'มีสิ่งใดเกิดขึ้นงั้นรึ?? ' ลู่ซีถามขึ้นมาด้วยความสงสัยเพราะตนนั้นยังไม่สามารถสัมผัสสิ่งใดได้

''ตอนนี้พวกเราได้ถูกล้อมไปด้วยฝูงสัตว์อสูรเตรียมตัวให้พร้อม!!'' หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นอย่างไม่ทุกข์ร้อนใดใดทั้งสิ้น

''พวกมันเข้ามาถึงแล้วจัดการได้'' หนิงอ้ายประกาศก้องในทันที!!

สิ้นเสียงของเด็กหนุ่มนั้นกลุ่มสัตว์อสูรขนาดย่อมได้เข้าล้อมพวกเขาทั้งหกคนอย่างช้า ๆ เบื้องหน้าของพวกเขานั้นพบว่าเป็นสัตว์อสูรที่มีนับสิบกว่าตัว มีลักษณะคล้ายคลึงกับวานรทั่วไปเพียงแต่ว่ามีขนาดที่ใหญ่กว่าสองถึงสามเท่าและมีสีดำสนิท จากข้อมูลที่เนตรแห่งสวรรค์บอกให้หนิงอ้ายได้รับรู้นั่นก็คือสัตว์อสูรเหล่านี้มีชื่อว่าอสูรวานรพันตะนิลกาฬที่มีความสามารถในการพลางตัวและเคลื่อนไหวที่ว่องไวดุจสายลมจนยากที่จะสัมผัสได้โดยง่าย

"อสูรวานรพันตะนิลกาฬเช่นนั้นรึ?? " ชายชุดดำหัวหน้าองครักษ์เอ่ยขึ้นแม้ว่าพวกตนจะเคยรับมือกับสัตว์อสูรวานร เเต่ใช่ว่าจะมีจำนวนที่มากมายเช่นนี้ซึ่งต่อให้เขาเองที่เป็นผู้ฝึกตนระดับเทวะวิญญาณขั้นสูง แต่หากต้องรับมือในคราเดียวสามถึงสี่ตัวนั้นยังนับว่าตึงมืออยู่ไม่น้อยแม้อาจจะไม่เพลี่ยงพล้ำจนเกิดอันตรายถึงชีวิตก็ตามที

"อสูรวานรพันตะนิลกาฬสัตว์อสูรสายโจมตีสังกัดธาตุลม แม้ว่าระดับพลังวิญญาณจะด้อยไปบ้างแต่ถึงอย่างนั้นกระดูกวิญญาณย่อมสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลายยิ่งนัก..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับยกยิ้มตรงมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ ใบหน้างามนั้นจะถูกปลอมแปลงด้วยบทเวทย์ระดับเทวะแล้ว แต่สำหรับผู้ที่ลอบติดตามแอบดูอยู่ในเงามืดนั้นช่างเป็นรอยยิ้มที่ชวนให้รู้สึกอยู่ในใจไม่น้อย...

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Related chapters

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่50 สังหารอสูรวานรพันตะนิลกาฬ

    หนิงอ้ายกับลู่ซีและเหล่าองค์รักษ์ทั้งสี่คนนั้นต่างทะยานตัวออกจากขบวนรถม้าพร้อมกับพุ่งเข้าหากลุ่มของอสูรวานรพันตะนิลกาฬในทันที ในครานี้หนิงอ้ายไม่ได้ทำการร่ายบทเวทย์เขตแดนของตนออกไปเนื่องจากว่าเขานั้นเฝ้ารอบางอย่างอยู่นั่นเองและเฝ้ารอให้อีกฝ่ายนั้นตกหลุมพลางที่ตนได้วางเอาไว้เสียงย่ำเท้าของสัตว์อสูรขนาดใหญ่ดังขึ้นทำเอาพวกเขาทุกคนต่างรู้สึกตกใจอยู่ในไม่น้อย แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะสังหารสัตว์อสูรบริวารเหล่านี้ทั้งหมด ทว่าจิตสังหารที่สัมผัสได้คงเป็นสัตว์อสูรระดับสูงที่มีอายุหลายพันปีหากเป็นเช่นนั้นคงไม่ดีเป็นแน่สิ่งที่พวกเขากังวลได้ปรากฏขึ้นอยู่ตรงหน้า ปรากฏเป็นอสูรวานรพันตะนิลกาฬตัวหนึ่งที่มีอายุไม่เกินสี่พันปี นับได้ว่าเป็นสัตว์อสูรนภาขั้นสูง กลิ่นอายอหังการล้ำลึกเช่นนี้คาดว่าคงเป็นอสูรราชันย์วานรพันตะนิลกาฬนายเป้นแน่ สัตว์อสูรตรงหน้ามีความสูงใหญ่ถึงห้าเมตรที่เต็มไปด้วยจิตสังหารฆ่าฟัน แม้น่าหวั่นเกรงเพียงใดคงมีเพียงหนิงอ้ายเท่านั้นที่ยังคงรักษารอยยิ้มบนใบหน้าของตนเอาไว้ได้"เจ้ามนุษย์ชั้นต่ำ!!! กล้าสังหารลูกน้องของข้านายแห่งเผ่าพันธ์อสูรวานรพันตะนิลกาฬเช่นนั้นรึ?? " สิ้นเสียงดังกึกก้อง พว

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่51 เมืองหมอกทมิฬ

    ขบวนรถม้าของหนิงอ้ายได้มาถึงจุดหมายนั่นคือเมืองหมอกทมิฬได้อย่างปลอดภัยและใช้เวลาเดินทางไปตามที่คาดการณ์ไว้ พวกเขาทั้งหกคนต่างเดินเที่ยวชมบรรยากาศของเมืองนี้ที่เต็มไปด้วยความสนุกสนานมีชีวิตชีวา การแต่งกายของพวกเขาไม่ต่างไปจากผู้ฝึกตนคนอื่นที่มักจะสวมใส่เสื้อผ้าสีสันไม่โดดเด่นจนเกินไป ทว่ากลิ่นอายความแข็งแกร่งของผู้ฝึกตนระดับสูงที่แผ่ออกมาส่งผลให้ไม่มีผู้ใดให้ความสนใจกับกลุ่มเดินทางของพวกเขาเท่าไหร่นักอีกไม่กี่วันจากนี้ก็จะถึงกำหนดการณ์ของการเข้าร่วมทดสอบเข้าสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์แล้ว ในเวลานี้จึงมีผู้ฝึกตนจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาในเมืองเมืองหมอกทมิฬนี้อย่างคึกคัก หนิงอ้ายยังอยากเดินชมบรรยากาศอีกสักหน่อยแต่ทางลู่ซีได้เอ่ยเตือนว่าเวลาเที่ยวเล่นยังพอมีอีกหลายวัน สิ่งแรกที่พวกเขาต้องจัดการกันก่อนคือการหาที่พักอาศัย โรงเตี๊ยมส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดสำหรับห้องว่างที่สามารถให้เข้าพักได้นั้นค่อนข้างเต็มหมดแล้ว ดังนั้นกว่าที่พวกเขานั้นจะหาโรงเตี๊ยมสำหรับพวกเขาทั้งหกคนได้เล่นเอาเสียเวลาไปเกือบหนึ่งชั่วยามเลยทีเดียว...ตรงเส้นขอบฟ้าสุดสายตาได้ปรากฏเป็นแสงสีทองประกายส้มแห่งดวงอาทิตย์ที่คอยท

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่52 ต้าเฮย

    เหลือเวลาอีกเพียงสองวันเท่านั้นที่ทางสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ได้กำหนดการณ์เอาไว้สำหรับการรับศิษย์ใหม่ ดูเหมือนว่าปีนี้จำนวนของผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่สนใจเข้าร่วมการทดสอบเข้าสำนักศึกษามีจำนวนมากกว่าปกติในรอบหลายสิบปีเลยทีเดียว สังเกตได้จากการที่ในเมืองหมอกทมิฬเต็มไปด้วยผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ชายหญิงมากหน้าหลายตาที่เดินทางมาถึงเมืองแห่งนี้แล้วก่อนหน้านี้ท่านตาหวังจิ่งหลง ท่านยายเหมยฮวาและท่านแม่เยว่ซินต่างต้องการมาส่งพวกเขาทั้งสองคนในการเข้าร่วมทดสอบเข้าสำนักศึกษาที่เมืองหมอกทมิฬแห่งนี้ ทว่าหนิงอ้ายได้ปฏิเสธไปด้วยเพราะว่าทั้งสามคนต่างมีภาระหน้าที่รับผิดชอบภายในตระกูลหวัง การเดินทางครั้งนี้ต้องใช้เวลายาวนานหลายวันยังไม่รวมไปถึงการเข้าร่วมการทดสอบเพราะในแต่ละปีทางสำนักศึกษาจะมีการกำหนดจำนวนวันทดสอบที่แตกต่างกันออกไป แต่ถึงอย่างไรท่านตาได้มอบหมายองครักษ์ฝีมือดีถึงสี่คนร่วมเดินทางกับพวกเขาทั้งสองคนในครั้งนี้ด้วยหลังจากเมื่อวานนี้ที่เขาได้เดินเที่ยวตลาดในเมืองได้พูดคุยกับบรรดาพ่อค้าแม่ค้าตามแผงร้านต่าง ๆ จึงพอทราบมาบ้างว่าการทดสอบของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์จะเปลี่ยนไปในทุกปีไม่ซ

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่53 การทดสอบเข้าสำนัก

    ในที่สุดการรอคอยก็สิ้นสุดลงเสียที เช้าวันนี้หนิงอ้ายตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า เขารู้สึกว่าตัวเองในตอนนี้พร้อมเสียยิ่งกว่าพร้อมเสียด้วยซ้ำ ไม่ว่าแบบทดสอบของสำนักศึกษาในปีนี้จะออกมาในรูปแบบใด ทั้งเขาและลู่ซีจะต้องผ่านไปได้อย่างแน่นอน เพราะว่าพวกเขาทั้งสองคนได้เตรียมความพร้อมในทุกด้านที่คาดว่าสามารถนำมาใช้ในการเข้าร่วมทดสอบครั้งนี้ได้ หลังจากสำรวจความเรียบร้อยของตนที่หน้ากระจกพร้อมกับทำการร่ายบทเวทย์ปลอมแปลงเสร็จสิ้นหนิงอ้ายไม่รอช้าออกจากห้องพักเพื่อไปพบกับลู่ซีและเหล่าองครักษ์ทั้งสี่คนที่ด้านล่างของโรงเตี๊ยมในทันทีหนิงอ้ายยังคงเลือกสวมใส่ชุดสีเขียวอ่อนเช่นเดิมเหมือนทุกวันด้วยความเคยชิน นับว่านี่เป็นสิ่งที่ทั้งเขาและหนิงอ้ายคนเดิมมีความชื่นชอบเหมือนกัน เพียงแต่ว่าอาจจะมีความแตกต่างในเรื่องของลวดลายปักที่เปลี่ยนไปในแต่ละวันให้ไม่ซ้ำกันเพียงเท่านั้น หนิงอ้ายเลือกสวมใส่เป็นลายปักดิ้นทองเป็นดอกเถาฮวา (ดอกท้อ) ที่ดูงดงามเหมือนจริงเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเป็นผลงานจากท่านยายเหมยฮวาของเขาที่ก่อนออกเดินทางไม่กี่วัน ท่านยายได้ใช้เวลายามว่างบรรจงตัดเสื้อและปักลวดลายอันงดงามลงบนผ้าผืน

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่54 การช่วยเหลือที่ทันท่วงที

    เช้าวันที่สองของการเดินทางหนิงอ้ายกับลู่ซีได้ใช้เวลาอย่างรวดเร็วในการจัดการตนเองและเร่งเดินทางไปในทันที ซึ่งในตอนนี้หลังจากที่หนิงอ้ายมีพลังวิญญาณในระดับที่สูงขึ้นและปลุกพลังสายเลือดพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์ได้สำเร็จซึ่งส่งผลให้บทเวทย์ระดับเซียนเนตรแห่งสวรรค์ของเขานั้นมีอาณุภาพที่ลึกล้ำขึ้นไปอีกขั้นซึ่งในตอนนี้หนิงอ้ายสามารถสร้างวิหคสอดเเนมขึ้นมาเพื่อเป็นการรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในขอบเขตของบทเวทย์ได้ แต่ก่อนที่ลู่ซีจะเอ่ยถามกับหนิงอ้ายว่าจะต้องเดินทางไปทิศใดต่อนั้นหนิงอ้ายเมื่อได้เห็นภาพเหตุการ์ณวิหคสอดแนมส่งเข้ามาให้ตนได้รับรู้นั้นจึงเอ่ยขึ้นกับลู่ซีในทันทีว่า"ทางด้านนั้นเกิดบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น...เกอรีบตามข้ามานะขอรับ!!!"เทือกเขาเร้นลับอสูรเป็นผืนป่าที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลอาจเทียบเท่าได้กับเมืองหลวงของสามแคว้นรวมกันเสียด้วยซ้ำ ภายในนั้นเต็มไปด้วยพืชพรรณไม้โบราณอายุหลายร้อยหลายพันปี เหล่าสมุนไพรล้ำค่า รวมไปถึงสัตว์อสูรหลากหลายเผ่าพันธ์ที่มีพลังวิญญาณระดับต่ำจนไปถึงระดับสูง ผู้คนที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงต่างรับรู้โดยทั่วกันหรืออาจเป็นการจงใจแต่งแต้มเรื่องราวนี้หรือไม่ก็

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่55 เส้นทางที่เลือก

    ไม่นานจากเดิมที่เด็กหนุ่มยังมีใบหน้าเรียบเฉยราวกับไม่รู้สึกสิ่งใดก็ได้เผยใบหน้าติดรำคานขึ้นมาพร้อมกับพึมพัมอะไรบางอย่างชวนให้ผู้พบเห็นน่าเอ็นดูยิ่ง เพราะภาพตรงหน้าทำเอาพวกเขาทั้งหลายอดที่จะหัวเราะไม่ได้เพราะเด็กหนุ่มคนนี้ดูก็รู้ว่ามีอายุเพียงสิบห้าสิบหกแต่กลับปั้นท่าทางราวกับผู้ที่มากไปด้วยประสบการณ์ ยามเมื่อเผยใบหน้างอง้ำไม่พอใจนั้นทำเอารู้สึกว่าเด็กหนุ่มคนนี้น่ามองขึ้นกว่าเดิมและดูสมกับวัยขึ้นมาไม่น้อยแต่แล้วทุกสิ่งอย่างไม่อาจทำให้พวกเขาทั้งหมดต้องประหลาดใจได้เท่ากับการโจมตีสุดท้ายที่เด็กหนุ่มได้สังหารอสูรเสือดาวลมกรดให้ตายตกไปในครั้งเดียวความแข็งแกร่งของอสูรระดับนภาขั้นสูงในเขตขั้นย่าวก้าวระดับมายาขั้นต่ำนั้นมีความแข็งแกร่งเพียงใดทุกคนต่างรับรู้กัน แต่นี่เด็กหนุ่มรุ่นเยาว์คนหนึ่งถึงกับสังหารอีกฝ่ายได้ง่ายดายเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเป็นเด็กประหลาดคนหนึ่งที่มากไปด้วยพรสวรรค์หรืออย่างไร"เด็กทั้งสองคนนี้เคล็ดวิชาตัวเบาช่างคล้ายคลึงกับเคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ยิ่ง แสดงว่าทั้งสองน่าจะเป็นรุ่นเยาว์ของตระกูลหวังแห่งแคว้นเต่าดำเป็นแน่..." ผู้อาวุโสคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเนื่องจากเขาคุ้นเคยกับวิชาตั

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่56 อสูรอสรพิษราชันย์สุริยันจันทราทมิฬ

    ค่ายกลส่งภาพนับได้ว่าเป็นผลงานอีกชิ้นหนึ่งที่ขึ้นชื่อของทางตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลของสำนักศึกษา มีประโยชน์ในหลากหลายด้านรวมไปถึงความสะดวกในการใช้งานที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพมากกว่าค่ายกลแบบเดียวกันหลายเท่า แต่ถึงอย่างไรก็ตามขีดจำกัดและข้อด้อยของค่ายกลนี้ก็มีอยู่ให้เห็นเช่นกันแม้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในระยะการทำงานของค่ายกลส่งภาพนี้ไม่ว่าจะเป็นทั้งภาพเหตุการณ์และเสียงสนทนาจะถูกส่งมายังผู้ใช้ค่ายกลโดยตรงก็ตามแต่เนื่องจากว่าในการทดสอบครั้งนี้ได้ใช้พื้นที่ป่าของเทือกเขาเร้นลับอสูรเป็นบริเวณกว้างดังนั้นด้วยความผันแปรของปราณฟ้าดินในแต่ละบริเวณที่มีความหนาแน่นแตกต่างกัน จึงส่งผลให้ในบางพื้นที่นั้นค่ายกลส่งภาพไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพสักเท่าไหร่ สังเกตได้จากจอภาพของค่ายกลส่งภาพอันนั้นมักจะมีคลื่นเสียงรบกวนอยู่เสมอ บ้างก็กลายเป็นจอดำสนิทและมีจำนวนไม่น้อยเช่นกันที่สัญญาณมาขาด ๆ หาย ๆค่ายกลส่งภาพนี้ในปัจจุบันผู้ฝึกตนระดับสูงรวมไปถึงผู้ฝึกตนที่มากไปด้วยญาณสัมผัสต่างรับรู้ถึงการมีอยู่ของค่ายกลนี้ ทางตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลได้ทำการศึกษาแก้ไขอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ในอนาคตค่ายกลส่งภาพนี้จะออกมาสม

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่57 อันตรายในป่าไป๋เซินหลิน

    เหตุการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นผู้อาวุโสแต่ละตำหนักตัวแทนเข้าร่วมดูแลการทดสอบครั้งนี้ได้มีการถกเถียงถึงในเรื่องราวต่าง ๆ ที่เป็นไปได้ เจียงเฉิงที่มีฐานะสูงสุดในที่นี้นั่นคือเจ้าสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ แม้ภายนอกจะดูนิ่งเฉยไม่ได้เอ่ยเสริมอะไรขึ้น แต่สายตายังคงจ้องเด็กหนุ่มที่ตอนนี้กำลังปกปิดอาการแตกตื่นดังกล่าวอย่างนิ่งสงบ ด้วยอายุเพียงสิบห้าสิบหกเพียงเท่านี้ของอีกฝ่ายแต่กลับสามารถควบคุมสติได้มั่นคงหนักแน่น เขาอยากรู้นักว่าอีกฝ่ายรวมไปถึงสหายอีกทั้งสามคนจะสามารถผ่านการทดสอบเป็นศิษย์ของสำนักได้หรือไม่เทือกเขาเร้นลับอสูรที่อยู่โดยรอบของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์มีพื้นที่กว้างใหญ่เป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงเต็มไปด้วยสัตว์อสูรมากมาย ที่กระทั่งฝ่ายสำรวจของทางสำนักที่มีการเก็บรวมรวมข้อมูลมาหลายพันปีตั้งแต่เริ่มก่อตั้งสำนัก แม้ข้อมูลที่อยู่ในมือนั้นจะมีมากมายแต่ถึงอย่างนั้นยังไม่ถึงกับครอบคลุมทั้งหมด สัตว์อสูรบางสายพันธ์นั้นถึงกับมีสายเลือดบรรพกาลไหลเวียนอยู่หรือบ้างก็มีความเป็นมาที่ลึกลับ อีกทั้งยิ่งกับสัตว์อสูรระดับสูงที่สามารถเปิดสติปัญญาได้นั้นมักจะมีการแบ่งพื้นที่เขตปกครอง

    Last Updated : 2025-03-06

Latest chapter

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   ( -จบเล่ม ปฐมบท 3.2- ) บทที่ 174 ความวุ่นวายที่สิ้นสุดลง

    ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 173 สมบัติเทพมารจุติ

    ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 172 การปรากฎตัวของผู้ขายวิญญาณ

    คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 171 ผู้ท้าทายที่กล้าหาญ

    การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 170 กฎเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

    หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 169 ผู้ผ่านการทดสอบ

    ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 168 เดินทางกลับสำนักศึกษา

    มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 167 การเลื่อนระดับที่เหนือล้ำ

    ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 166 ความร่วมมือ

    ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status