Home / แฟนตาซี / บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ / บทที่48 การยกระดับของเจียวซิ่น

Share

บทที่48 การยกระดับของเจียวซิ่น

"เป็นอย่างไรบ้างเจียวซิ่น รับรางวัลของเจ้าได้แล้ว..." หนิงอ้ายใช้ฝ่ามือลูบไปยังส่วนที่คล้ายกับลำต้นไปเบา ๆ พร้อมกับผายมือไปทางฝั่งของร่างไร้วิญญาณของเหล่านักฆ่าสังหารที่ถูกรวบรวมไว้ตรงจุดเดียวกันตรงด้านหน้า รยางค์สีเขียวน้ำตาลเข้มนับร้อยเส้นได้พุ่งเข้าจับร่างไร้วิญญาณเหล่านี้อย่างแน่นหนา ก่อนจะถูกดึงเข้าสู่กับดักบุปผามรณะที่ตอนนี้กำลังชูช่อเบ่งบานอยู่โดยรอบ กลิ่นหอมเย้ายวนล่องรอยตามสายลมชวนให้ผ่อนคลายจิตใจแก่ผู้พบเห็น ถึงแม้ว่าหนิงอ้ายกับลู่ซีจะเคยเห็นภาพตรงหน้านี้แล้วหลายครั้งยังอดที่จะชื่นชมไม่ได้

แต่สำหรับองครักษ์ทั้งสี่คนต่างถูกมอมเมาด้วยภาพตรงหน้าและกลิ่นหอมอันเย้ายวนชวนหลงไหลจนยากที่จะต้านทานได้ของกับดักดอกไม้มรณะของเจียวซิ่น เเต่ถึงอย่างนั้นทุกคนในที่นี้ต่างเป็นผู้ที่มีความสามารถอย่างแท้จริงและมีจิตสัมผัสที่ดีเยี่ยมจากการฝึกฝนอย่างหนักของตระกูลหวังดังนั้นเพียงชั่วครู่ทุกคนต่างรู้สึกตัวและรับรู้ได้ว่าภาพตรงหน้านี้ไม่ต่างไปจากความงดงามที่อันตรายยิ่ง

"ดูเหมือนว่าร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าเหล่านี้จะช่วยพัฒนาและยกระดับพลังของอสูรพฤกษาของคุณชายเล็กได้ใช่หรือไม่ขอรับ?? "ชายหนุ่มที่เป็นหัวหน้าองครักษ์เอ่ยถามขึ้นกับเด็กหนุ่มแม้พอที่คาดเดาได้บ้างถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้แต่ถึงอย่างนั้นเเล้วสัตว์อสูรสังกัดพฤกษาที่มีความโดดเด่นพิศดารเช่นนี้ ถึงแม้ว่าตนจะเคยทำภารกิจในโลกยุทธภพมาหลายครั้งหลายสิบปีเเต่ก็ไม่เคยพบเจอเช่นนี้มาก่อนนับว่าได้เปิดหูเปิดตาของตนยิ่งนัก

"ท่านเข้าใจถูกต้องเเล้ว เจียวซิ่นเป็นสัตว์อสูรตำนานสังกัดปราณธาตุพฤกษา เเต่เพราะได้เกิดการกลายพันธ์ขึ้น ดังนั้นเเล้วในการเลื่อนระดับพลังวิญญาณจึงแตกต่างจากสัตว์อสูรทั่วไป"

"เจียวซิ่นสามารถดูดซับพลังลมปราณและพลังวิญญาณของสิ่งมีชีวิตเพื่อเพิ่มพลังของตนได้ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่แปลกพิศดารแตกต่างจากสัตว์อสูรทั่วไปเพราะว่าสัตว์อสูรเผ่าพันธ์อื่น ๆ ไม่สามารถทำการดูดซับพลังลมปราณและพลังวิญญาณจากร่างของสิ่งมีชีวิตหรือไร้ชีวิตเช่นนี้ได้โดยตรงเช่นนี้..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นอธิบายกับหัวหน้าองครักษ์และคนที่เหลือ...

ยอมรับว่าเขายังคงแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่เจียวซิ่นมีความพิศดารเช่นนี้ แต่เดิมความลับของเจียวซิ่น มีเพียงเเต่เขากับลู่ซีเท่านั้น แต่ในตอนนี้มีผู้รับรู้เพิ่มขึ้นอีกสี่คนเเล้ว แน่นอนว่าสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพฤกษานอกจากจะหายากแล้วนั้นยังไม่มีผู้ใดเลือกสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพฤกษาในการผูกพันธะอีกด้วย

เนื่องจากว่าสัตว์อสูรประเภทนี้ไม่ได้มีความสามารถในการโจมตีและป้องกันที่โดดเด่นความต้องการได้ถึงขนาดนั้น อีกอย่างคือสัตว์อสูรสังกัดธาตุพฤกษานั้นเริ่มสูญพันธ์ลงไปเรื่อย ๆ ยิ่งกับสัตว์อสูรบรรพกาลสังกัดพฤกษาที่หนิงอ้ายนั้นครอบครองนั้นไม่สามารถพบเจอได้อีกเเล้วในมหาทวีปบูรพาเเห่งนี้

"หลังจากนี้ข้ากับลู่เกอต้องรีบเร่งเดินทางคงไม่มีโอกาสให้รางวัลกับเจ้าบ่อย ๆ เช่นนั้นเจ้ารีบจัดการร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าสังหารที่เหลือให้เรียบร้อยแล้วกัน..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นกับเจียวซิ่นอีกครั้งเนื่องจากตอนนี้พวกเขาต้องรีบเร่งเดินทางไปยังสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์เพื่อจะได้มีเวลาในการเตรียมตัวก่อนเข้ารับการทดสอบ

งับ! งับ!

เจียวซิ่นเมื่อใช้รยางค์ดึงร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าสังหารมาทั้งหมด ไม่รอช้าส่งร่างไร้วิญญาณเหล่านี้ไปยังโดยรอบ ที่ในตอนนี้เต็มไปด้วยกับดักดอกไม้มรณะทรงรีสีเเดงทองหลายขนาดที่ส่วนด้านบนคล้ายส่วนปากประกบกันที่เต็มไปด้วยฟันอันแหลมคมนั้นได้โน้มตัวกัดกัดร่างไร้วิญญาณเหล่านี้อย่างรวดเร็วราวกับเป็นอาหารอันโอชะ นอกจากนั้นภายในกับดักยังส่งเสียงดังเบา ๆ ออกมาราวกับว่ากำลังย่อยสิ่งที่กัดกินลงไปเมื่อครู่

กรุบกร๊อบ! กรุบกร๊อบ!

ภาพตรงหน้าของหนิงอ้ายทำใจได้แล้วว่านี่เป็นสิ่งที่ปกติที่เกิดขึ้นได้ ปลาใหญ่กินปลาเล็กมีให้เห็นมากมายในโลกยุทธภพแห่งนี้และแน่นอนว่าภาพตรงด้านหน้าของตนนั้นคงไม่ใช่ครั้งสุดท้ายที่เขาต้องพบเจออย่างแน่นอน เพราะตราบใดที่เขาต้องหาทางเพิ่มระดับพลังวิญญาณของเจียวซิ่น ร่างไร้วิญญาณของสัตว์อสูรหรือผู้ฝึกตนย่อมเป็นสิ่งที่จำเป็นที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

"รีบเเข็งแกร่งและเติบโตเร็ว ๆ นะเจียวซิ่น..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับลูบไปยังส่วนของลำต้นของสัตว์อสูรบรรพกาลราวกับว่ามันเป็นสัตว์เลี้ยงตัวน้อยที่น่ารัก แม้ว่าภาพที่ทุกคนได้เห็นในตอนนี้ออกจะน่ากลัวเกินไปหน่อยเเต่ถึงอย่างนั้นเจียวซิ่นก็ได้มีการตอบรับอย่างเบา ๆ เพราะรับรู้ถึงเจตนาที่ดีของหนิงอ้ายนั่นเอง

"ไม่ว่าจะกี่ครั้งเกอก็ยังไม่ชินกับเจียวซิ่น ฮ่าฮ่าฮ่า" ลู่ซีเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ขันอยู่ในที

"อีกหน่อยลู่เกอก็จะชินเหมือนกับข้าขอรับ" หนิงอ้ายตอบกลับไปอย่างมีความสุข

หลังจากที่เจียวซิ่นได้จัดการร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าทั้งหมดเเล้วหนิงอ้ายจึงทำการส่งเจียวซิ่นกลับไปในห้วงมิติจิตของตนเพื่อให้อีกฝ่ายดูดซับพลังวิญญาณและพลังเวทย์จากร่างไร้วิญญาณเหล่านี้ด้วยเพราะมีจำนวนมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา

ดังนั้นหนิงอ้ายจึงคิดว่าหลังจากที่เขาและลู่ซีนั้นเข้าร่วมการทดสอบเข้าร่วมสำนักศึกษาเสร็จสิ้นถึงตอนนั้นเจียวซิ่นคงจะเลื่อนระดับพลังวิญญาณได้สำเร็จพอดีสำหรับพวกเขาทั้งหกคนนั้นก็ต้องรีบออกเดินทางไปจากตรงนี้ได้เสียที ด้วยเพราะว่าในตอนนี้ดวงตะวันใกล้ที่จะตกดินแล้ว และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาไปมากกว่าที่ควรจะเป็นแล้วนั้นพวกเขายังต้องหาที่พักสำหรับคืนนี้แล้วค่อยวางแผนเดินทางในวันถัดไปอีกที...

ภายในห้วงลมปราณของหนิงอ้ายนั้นถูกโอบล้อบไปด้วยปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นหนาแน่นจนสามารถสัมผัสรับรู้ได้ด้วยตาเปล่าซึ่งนั่นเป็นเพราะว่าปราณฟ้าดินเหล่านี้ได้ถูกดูดซับเข้าสู่ห้วงลมปราณของหนิงอ้ายผ่านทุกส่วนของร่างกายอย่างสม่ำเสมอไม่ว่ายามตื่นหรือแม้กระทั่งยามนอนนับได้ว่าเป็นผลลัพธ์จากเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาอันขึ้นชื่อของตระกูลหวังที่ผู้คนในโลกยุทธภพต่างประจักษ์รับรู้กัน ว่าในบรรดาเคล็ดวิชาดูดซับปราณฟ้าดินที่มีความใกล้เคียงหรืออยู่ในระดับเดียวกันนั้นเคล็ดวิชานี้นับว่า มีความพิศดารลึกล้ำมากที่สุด

แต่ถึงอย่างนั้นก็แลกมาซึ่งความยากเย็นในการฝึกฝนจนยากที่จะสำเร็จในแต่ละขั้นได้โดยง่ายหากผู้นั่นไม่มีความมุ่งมั่นมากพอและหากยิ่งตัดผ่านในระดับขั้นถัดไปของเคล็ดวิชาที่สูงขึ้นมากเท่าใดยิ่งทำให้ผู้ที่ใช้เคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆานี้สามารถดูดซับพลังปราณฟ้าดินเข้าสู่ห้วงลมปราณของตนผ่านทางทุกส่วนของร่างกายได้อย่างไร้ซึ่งผลกระทบทั้งสิ้นและปรับเปลี่ยนปราณฟ้าดินเหล่านี้มีความบริสุทธิ์เต็มสิบส่วนซึ่งทำให้รากฐานบ่มเพาะพลังวิญญาณมีความมั่นคงแข็งแกร่งและหากว่าประสบพบโชควาสนาสวรรค์มากพอก็จะสามารถเลื่อนระดับในขั้นถัดไปได้อย่างง่ายดายกว่าผู้ฝึกตนทั่วไปหลายเท่าตัวยิ่งนัก

เคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาเป็นเคล็ดวิชาที่มีมาแต่โบราณกาลสืบทอดตกทอดกันมาอย่างยาวนานหลายร้อยหลายพันปีในตระกูลหวังมาจนถึงปัจจุบันซึ่งรุ่นเยาว์ในตระกูลทุกคนแม้ว่าจะเป็นสายหลักหรือสายรองก็ตามขอเพียงเเค่พวกเขาเหล่านั้นมีสายเลือดของตระกูลหวังไหลเวียนอยู่ในร่างกายแม้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งย่อมได้รับโอกาสที่เท่าเทียมในการศึกษาเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาประจำตระกูลหวังอย่างแน่นอน

เพราะเหตุดังกล่าวนี้เองจึงทำให้ผู้อาวุโสระดับสูงที่นั่งประจำการอยู่ในตระกูล ตาเฒ่าประหลาดรุ่นลายครามที่ชื่นชอบรักในความเป็นอิสระไร้ข้อผูกมัดหรือแม้กระทั่งรุ่นเยาว์ของตระกูลหวังต่างมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักแก่ผู้คนทั่วไปและเหล่าผู้ฝึกตนด้วยกันเองในมหาทวีปบูรพาแห่งนี้ในเรื่องของความสามารถที่สมกับเป็นคนหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำอีกทั้งยังมีแข็งแกร่งของพลังวิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะมั่นคงล้ำลึกมากกว่าผู้ฝึกตนในระดับเดียวกันอันเป็นผลจากการใช้เคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆานี้ในการดูดซับปราณฟ้าดินนั่นเอง

จริงอยู่ที่ว่าผู้ฝึกตนทุกคนหลังจากการปลุกพลังวิญญาณได้สำเร็จและเมื่อก้าวเข้าสู่วิถีของโลกผู้ฝึกตนร่างกายของพวกเขาเหล่านั้นจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นร่างกายที่เเข็งแรงไม่เจ็บป่วยได้ง่ายเหมือนกับคนทั่วไปพละกำลังที่เพิ่มขึ้นมหาศาล สามารถอดน้ำหรืออาหารได้หลายวันหรือแม้กระทั่งรูปลักษณ์ภายนอกที่แปรเปลี่ยนแม้จะมีเค้าโครงเดิมอยู่ก็ตาม

อีกทั้งผู้ฝึกตนทุกระดับพลังวิญญาณแม้จะเป็นเพียงระดับก่อเกิดวิญญาณขั้นสามัญซึ่งถือว่าเป็นระดับแรกเริ่มของผู้ฝึกตนก็สามารถดูดซับปราณฟ้าดินที่อยู่ในธรรมชาติรอบตัวได้แล้วแต่ถึงอย่างไรนั้นย่อมขึ้นอยู่กับว่าร่างกายที่ปลุกพลังวิญญาณได้สำเร็จแล้วนั้นสามารถทะลวงจุดชีพจรในร่างกายได้ครบถ้วนทั้งห้าสิบสี่จุดหรือไม่

เพราะน้อยนักที่ผู้ฝึกตนในโลกยุทธภพจะสามารถทะลวงจุด ชีพจรทั้งหมดภายในร่างกายได้สำเร็จและแน่นอนว่าหากยิ่งทำการทะลวงจุดชีพจรได้ทั้งหมดหรือมากเท่าไหร่ร่างกายของผู้ฝึกตนเหล่านี้ย่อมที่จะสามารถดูดซับปราณฟ้าดินได้มากขึ้นเท่านั้นเช่นกัน

อย่างไรก็ตามนั่นก็เป็นเพียงปราณฟ้าดินที่ถูกสกัดความบริสุทธ์ได้เพียงสามถึงสี่ส่วนเท่านั้นแม้จะเป็นประโยชน์ต่อการบ่มเพาะของรากฐานในการเลื่อนระดับพลังวิญญาณได้ไม่ต่างกันแต่หากเทียบกันแล้วกับเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาของตระกูลหวังที่สามารถดูดซับชักนำปรับเปลี่ยนปราณฟ้าดินเหล่านี้ให้มีความบริสุทธิ์เต็มสิบส่วนได้โดยไร้ซึ่งส่งผลกระทบใดใดในการเลื่อนระดับพลังวิญญาณในวันข้างหน้าแล้วสำหรับสิ่งที่พวกเขาทำได้จะนับว่าเป็นอันใดได้เล่า

แต่ถึงอย่างไรเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆานี้ก็มีข้อจำกัดอยู่ไม่น้อยเช่นกันในเรื่องของผู้ที่สามารถใช้เคล็ดวิชาดังกล่าวนี้ได้นอกจากจะต้องเป็นลูกหลานที่มีสายเลือดตระกูลหวังไหลเวียนอยู่ในร่างกายแล้วจะต้องเป็นผู้ฝึกตนที่มีพลังหยางในร่างกายเข้มข้นมากเพียงพอจึงจะสามารถใช้เคล็ดวิชานี้ได้อย่างสมบูรณ์ด้วยข้อจำกัดนี้แม้ดูเหมือนว่าบุรุษในตระกูลหวังที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังหยางตามธรรมชาตินับว่าคงได้เปรียบกว่ากันไปไม่น้อย

อย่างไรนั้นสตรีในตระกูลหวังแม้จะมีพลังหยางในร่างกายเพียงน้อยนิดก็สามารถใช้เคล็ดวิชาดังกล่าวนี้ได้เช่นกันเพียงเเต่ว่าอาจไม่สามารถเลื่อนขั้นถัดไปในระดับที่สูงขึ้นได้อย่างง่ายดายสักเท่าไหร่นักและอาณุภาพของเคล็ดวิชานั้นกล่าวได้ว่าอาจจะไม่สมบูรณ์เต็มสิบส่วนต่างลดหลั่นลงตามความเข้มข้นของพลังหยางในร่างกาย แต่ถึงอย่างนั้นแม้จะกล่าวว่าเป็นเพียงไม่กี่ส่วนเท่านั้นแต่หากเทียบกับผู้ฝึกตนทั่วไปแล้วนับว่ายังเหนือกว่าหลายขั้นเลยทีเดียว..

ตัดภาพกลับมาที่บริเวณใจกลางห้วงลมปราณของหนิงอ้ายนั้นได้ปรากฏเป็นดวงเเสงหลากสีถึงสี่ดวงลอยอยู่เคียงข้างกันที่ในตอนนี้ดวงแสงเหล่านั้นต่างดูดซับชักนำกระเเสปราณฟ้าดินบริสุทธิ์อย่างช้า ๆ ตามวิถีโคจรของเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาด้วยไร้ซึ่งแรงต่อต้านเนื่องจากถูกประทับตราจิตวิญญาณกำกับเอาไว้

หลังจากการปลุกพลังสายเลือดของพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์ได้สำเร็จ หนิงอ้ายนั้นไม่ต่างกับมัจฉากระโดดข้ามประตูมังกร คำกล่าวนี้คงไม่เกินจริงไปนักด้วยเพราะว่าพลังของสายเลือดอันบริสุทธิ์ของพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์ได้ยกระดับเขตขั้นของเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาของเขานั้นให้มีความกล้าแกร่งขึ้นอีกขั้นที่ทรงพลังกว่าผู้ฝึกตนระดับเทวะวิญญาณในตระกูลหวังบางคนเสีย อีกซึ่งปราณฟ้าดินเหล่านี้ได้ลอยล่องไปทั่วทั้งบริเวณของห้วงลมปราณของมิติจิต ส่งผลให้รัศมีของดวงเเสงทั้งสี่นั้นแผ่กลิ่นอายอหังการออกมาอย่างน่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง

สำหรับดวงแสงแรกที่มีรัศมีโดยรอบเป็นสีฟ้าครามนั้นตรงใจกลางพลันปรากฎเป็นรูปลักษณ์จำแลงของบงกชเหมันต์ที่เปล่งประกายแวววับราวกับอัญมณีล้ำค่าอันเป็นแก่นต้นกำเนิดพลังธาตุน้ำในตัวของหนิงอ้ายนั่นเอง ที่ในตอนนี้มีความบริสุทธิ์เต็มสิบส่วนด้วยเพราะหนิงอ้ายนั้นสำเร็จเคล็ดวิชาธาตุน้ำในคัมภีร์เบญจธาตุแล้วนั่นเอง

สำหรับดวงแสงถัดมาที่มีรัศมีเป็นสีดำทองเปล่งประกายความลึกลับที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพิษร้ายอันตรายซึ่งโดยรอบนั้นเต็มไปด้วยกลุ่มควันที่หมุนวนพร้อมกับส่งเสียงแปลกๆ ออกมาเป็นจังหวะสม่ำเสมอซึ่งตรงใจกลางนั้นได้ปรากฎเป็นรูปลักษณ์จำแลงของอสรพิษเหมันต์บรรพกาลที่มีขนาดเล็กเท่ากับฝ่ามือ ใบหน้าของอสรพิษน้อยยามหลับไหลนั่นช่างน่าเอ็นดูยิ่งนัก

สำหรับดวงแสงที่สามนั้นกระแสอัคคีสีส้มเหลืองบุษราคัมได้ไหลเวียนอยู่โดยรอบซึ่งแผ่กลิ่นอายความร้อนแรงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังของการทำลายล้าง ตรงใจกลางนั้นพลันปรากฎเป็นรูปลักษณ์จำแลงของราชันย์วิหคอัคคีมายาที่ในตอนนี้มีขนาดเล็กไปไม่ต่างจากวิหคน้อยทั่วไป

แต่ถึงอย่างนั้นส่วนหางรำแพนที่เป็นสีรุ้งได้แผ่สยายอย่างงดงามราวกับมีมนต์สะกดเบาบาง เมื่อพินิจมองลวดลาดเป็นอย่างดีแล้วนั้นจะพบว่าเต็มไปด้วยดวงตาสีดำประหลาดน้อยใหญ่ให้รู้สึกราวกับว่าถูกจ้องมองเข้าไปถึงจิตวิญญาณเสียอย่างนั้นชวนให้ขนลุกอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

สำหรับดวงแสงสุดท้ายนั้นเปลวเพลิงอัคคีสีทับทิมเปล่งแสงสีแดงทองสว่างเจิดจ้าไปทั่วทั้งสารทิศกลิ่นอายของความสูงศักดิ์และขุมพลังที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งชีวิตที่ถูกปลดปล่อยออกมานั้นแกร่งกร้าวล้ำลึกลี้ลับยิ่งนัก ชั่วพริบตารัศมีแสงดังกล่าวค่อย ๆ แตกซ่านสลายปรากฎเป็นรูปลักษณ์จำแลงของพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์

ด้วยเพราะหนิงอ้ายนั้นปลุกพลังสายเลือดสำเร็จได้เพียงไม่นานจึงส่งผลให้ในตอนนี้ร่างจำแลง ดังกล่าวนั้นมีขนาดที่เล็กราวกับว่าพึ่งเกิดใหม่ เเต่ถึงอย่างนั้นกลิ่นอายของพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์หนึ่งในสี่สัตว์สวรรค์ชั้นสูง ผู้ปกครองทางทิศใต้ของมหาพิภพก็ปรากฎขึ้นบนร่างจำแลงนี้และเริ่มมีเค้าโครงเช่นเดียวกันกับร่างที่แท้จริงของพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์แล้วเช่นกัน...

ทางฝั่งของเจียวซิ่นหลังจากที่หนิงอ้ายได้ทำการส่งกลับเข้ามาในห้วงมิติจิตแล้วนั้นร่างจำแลงของสัตว์อสูรสังกัดธาตุพฤกษาได้ปรากฎขึ้นตรงบริเวณที่ไกลจากดวงแสงทั้งสี่ค่อนข้างมากเลยทีเดียวด้วยเพราะว่าหนิงอ้ายผู้เป็นนายแห่งพันธะนั้นในตอนนี้มีพลังวิญญาณระดับจักรพรรดิวิญญาณขั้นสูงแล้วจึงส่งผลให้ห้วงลมปราณในมิติจิตของร่างกายเขานั้นมีขนาดพื้นที่เพิ่มขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า

เจียวซิ่นเองในตอนนี้ทั้งสองขากำลังยืนอยู่นิ่งอย่างมั่นคงเพื่อทำการดูดซับกระแสพลังปราณฟ้าดินบริสุทธ์ที่อยู่โดยรอบซึ่งพลังลมปราณฟ้าดินเหล่านี้ต่างถูกชักนำเข้าสู่ร่างกายของสัตว์อสูรบรรพกาลอย่างรวดเร็วจนทำให้ห้วงอากาศบริเวณดังกล่าวเกิดการบิดเบี้ยวไปชั่วขณะก่อนที่จะกลับคืนสู่ปกติราวกับว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดสิ่งใดขึ้นมาก่อน

ทว่าหลังจากนี้ไม่นานนักทันใดนั้นเองส่วนลำต้นของอสูรสังกัดปราณธาตุพฤกษานี้ได้ขยายใหญ่ขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าราวกับเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์โบราณที่มีอายุหลายร้อยหลายพันปียืนต้นตั้งตระหง่านและแผ่กิ่งก้านสาขายืดยาวไปหลายสิบลี้ทั่วไปทั้งบริเวณ

ไม่เพียงเท่านั้นตรงพื้นด้านล่างโดยรอบตัวของเจียวซิ่นยังปรากฎเป็นกับดักบุปผามรณะสีเขียวแดงที่มีขนาดแตกต่างกันออกไปและมีจำนวนเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว หลังจากที่เจียวซิ่นได้เลื่อนระดับสำเร็จต่างนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงของร่างต้นที่แท้จริงอย่างมหาศาล

โดยปกติแล้วรูปลักษณ์ที่เจียวซิ่นใช้ปรากฎตัวด้านนอกของมิติจิตในยามที่ถูกหนิงอ้ายได้เรียกออกไปย่อมนั้นร่างที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าของนายแห่งพันธะของตนจึงเป็นเพียงร่างจำแลงที่มีพลังวิญญาณเทียบเท่าเพียงหนึ่งในสิบส่วนเท่านั้น ด้วยร่างไร้วิญญาณของเหล่า นักฆ่าสังหารทั้งยี่สิบคนนี้ย่อมเป็นสิ่งสำคัญในการบ่มเพาะและเพิ่มพูนระดับพลังวิญญาณของเจียวซิ่นให้เลื่อนขั้นถัดไปได้เรื่อย ๆ

ร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าสังหารเหล่านี้มีพลังวิญญาณรากฐานบ่มเพาะที่อยู่ในระดับสูง ดังนั้นจึงไม่ต่างจากไปของกำนัลอันล้ำค่าเลยทีเดียว สำหรับความสามารถเช่นนี้นั้นนับได้ว่าเป็นหนึ่งในความลับของสัตว์อสูรสังกัดธาตุพฤกษาที่เกิดการกลายพันธ์ขึ้นอย่างเจียวซิ่น จนทำให้ตัวของมันนั้นสามารถแย่งชิงพลังวิญญาณที่ถูกบ่มเพาะและพลังเวทย์ของสัตว์อสูรหรือผู้ฝึกตนที่มีพลังลมปราณหรือพลังเวทย์เพื่อดูดซับและยกระดับพลังวิญญาณของตัวมันได้นั่นเอง...

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Related chapters

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่49 เทือกเขาหมื่นอสูร

    สำหรับสัตว์อสูรทั่วไปนั้นในการเลื่อนระดับพลังวิญญาณนั้นจะสามารถเพิ่มระดับในขั้นถัดไปด้วยการดูดซับแก่นพลังธาตุได้ อีกทั้งระดับของพลังวิญญาณที่เพิ่มขึ้นของนายแห่งพันธะย่อมส่งผลต่อสัตว์อสูรในครอบครองเช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้นแล้วสำหรับเจียวซิ่นด้วยสิ่งเหล่านี้นับได้เลยว่ายังไม่เพียงพอสำหรับการเลื่อนระดับพลังวิญญาณของมันได้สักเท่าไหร่นัก ด้วยเพราะตัวของเจียวซิ่นนั้นได้เกิดการกลายพันธ์ขึ้นจนผิดแปลกกว่าสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพฤกษาทั่วไป อีกทั้งแต่เดิมนั้นสัตว์อสูรตำนานนับได้ว่าเป็นตัวตนของสัตว์อสูรที่เต็มไปด้วยความลึกลับและอยู่เหนือการรับรู้ความเข้าใจของคนทั่วไปอยู่แล้วดังนั้นในการเลื่อนระดับของเจียวซิ่นจึงต้องใช้ทุกสิ่งที่มีพลังลมปราณหรือพลังเวทย์นำมาดูดซับโดยตรง ซึ่งในร่างกายของสัตว์อสูรและผู้ฝึกตนนั้นต่างเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณสมบัติเช่นนี้ไม่ต่างกันแม้สัญชาติญาณดิบเถื่อนของเจียวซิ่นจะยังคงมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมด้วยเพราะยังไม่ได้อยู่ในระดับที่สูงมากพอจนสามารถเปิดสติปัญญาให้มีความรู้สึกนึกคิดเช่นเดียวกันกับผู้ฝึกตน แต่ถึงอย่างนั้นด้วยความรักเอาใจใส่ของหนิงอ้ายที่มีต่อเจียวซิ่นได้ค่อย ๆ ทำลายสัญ

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่50 สังหารอสูรวานรพันตะนิลกาฬ

    หนิงอ้ายกับลู่ซีและเหล่าองค์รักษ์ทั้งสี่คนนั้นต่างทะยานตัวออกจากขบวนรถม้าพร้อมกับพุ่งเข้าหากลุ่มของอสูรวานรพันตะนิลกาฬในทันที ในครานี้หนิงอ้ายไม่ได้ทำการร่ายบทเวทย์เขตแดนของตนออกไปเนื่องจากว่าเขานั้นเฝ้ารอบางอย่างอยู่นั่นเองและเฝ้ารอให้อีกฝ่ายนั้นตกหลุมพลางที่ตนได้วางเอาไว้เสียงย่ำเท้าของสัตว์อสูรขนาดใหญ่ดังขึ้นทำเอาพวกเขาทุกคนต่างรู้สึกตกใจอยู่ในไม่น้อย แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะสังหารสัตว์อสูรบริวารเหล่านี้ทั้งหมด ทว่าจิตสังหารที่สัมผัสได้คงเป็นสัตว์อสูรระดับสูงที่มีอายุหลายพันปีหากเป็นเช่นนั้นคงไม่ดีเป็นแน่สิ่งที่พวกเขากังวลได้ปรากฏขึ้นอยู่ตรงหน้า ปรากฏเป็นอสูรวานรพันตะนิลกาฬตัวหนึ่งที่มีอายุไม่เกินสี่พันปี นับได้ว่าเป็นสัตว์อสูรนภาขั้นสูง กลิ่นอายอหังการล้ำลึกเช่นนี้คาดว่าคงเป็นอสูรราชันย์วานรพันตะนิลกาฬนายเป้นแน่ สัตว์อสูรตรงหน้ามีความสูงใหญ่ถึงห้าเมตรที่เต็มไปด้วยจิตสังหารฆ่าฟัน แม้น่าหวั่นเกรงเพียงใดคงมีเพียงหนิงอ้ายเท่านั้นที่ยังคงรักษารอยยิ้มบนใบหน้าของตนเอาไว้ได้"เจ้ามนุษย์ชั้นต่ำ!!! กล้าสังหารลูกน้องของข้านายแห่งเผ่าพันธ์อสูรวานรพันตะนิลกาฬเช่นนั้นรึ?? " สิ้นเสียงดังกึกก้อง พว

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่51 เมืองหมอกทมิฬ

    ขบวนรถม้าของหนิงอ้ายได้มาถึงจุดหมายนั่นคือเมืองหมอกทมิฬได้อย่างปลอดภัยและใช้เวลาเดินทางไปตามที่คาดการณ์ไว้ พวกเขาทั้งหกคนต่างเดินเที่ยวชมบรรยากาศของเมืองนี้ที่เต็มไปด้วยความสนุกสนานมีชีวิตชีวา การแต่งกายของพวกเขาไม่ต่างไปจากผู้ฝึกตนคนอื่นที่มักจะสวมใส่เสื้อผ้าสีสันไม่โดดเด่นจนเกินไป ทว่ากลิ่นอายความแข็งแกร่งของผู้ฝึกตนระดับสูงที่แผ่ออกมาส่งผลให้ไม่มีผู้ใดให้ความสนใจกับกลุ่มเดินทางของพวกเขาเท่าไหร่นักอีกไม่กี่วันจากนี้ก็จะถึงกำหนดการณ์ของการเข้าร่วมทดสอบเข้าสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์แล้ว ในเวลานี้จึงมีผู้ฝึกตนจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาในเมืองเมืองหมอกทมิฬนี้อย่างคึกคัก หนิงอ้ายยังอยากเดินชมบรรยากาศอีกสักหน่อยแต่ทางลู่ซีได้เอ่ยเตือนว่าเวลาเที่ยวเล่นยังพอมีอีกหลายวัน สิ่งแรกที่พวกเขาต้องจัดการกันก่อนคือการหาที่พักอาศัย โรงเตี๊ยมส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดสำหรับห้องว่างที่สามารถให้เข้าพักได้นั้นค่อนข้างเต็มหมดแล้ว ดังนั้นกว่าที่พวกเขานั้นจะหาโรงเตี๊ยมสำหรับพวกเขาทั้งหกคนได้เล่นเอาเสียเวลาไปเกือบหนึ่งชั่วยามเลยทีเดียว...ตรงเส้นขอบฟ้าสุดสายตาได้ปรากฏเป็นแสงสีทองประกายส้มแห่งดวงอาทิตย์ที่คอยท

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่52 ต้าเฮย

    เหลือเวลาอีกเพียงสองวันเท่านั้นที่ทางสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ได้กำหนดการณ์เอาไว้สำหรับการรับศิษย์ใหม่ ดูเหมือนว่าปีนี้จำนวนของผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่สนใจเข้าร่วมการทดสอบเข้าสำนักศึกษามีจำนวนมากกว่าปกติในรอบหลายสิบปีเลยทีเดียว สังเกตได้จากการที่ในเมืองหมอกทมิฬเต็มไปด้วยผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ชายหญิงมากหน้าหลายตาที่เดินทางมาถึงเมืองแห่งนี้แล้วก่อนหน้านี้ท่านตาหวังจิ่งหลง ท่านยายเหมยฮวาและท่านแม่เยว่ซินต่างต้องการมาส่งพวกเขาทั้งสองคนในการเข้าร่วมทดสอบเข้าสำนักศึกษาที่เมืองหมอกทมิฬแห่งนี้ ทว่าหนิงอ้ายได้ปฏิเสธไปด้วยเพราะว่าทั้งสามคนต่างมีภาระหน้าที่รับผิดชอบภายในตระกูลหวัง การเดินทางครั้งนี้ต้องใช้เวลายาวนานหลายวันยังไม่รวมไปถึงการเข้าร่วมการทดสอบเพราะในแต่ละปีทางสำนักศึกษาจะมีการกำหนดจำนวนวันทดสอบที่แตกต่างกันออกไป แต่ถึงอย่างไรท่านตาได้มอบหมายองครักษ์ฝีมือดีถึงสี่คนร่วมเดินทางกับพวกเขาทั้งสองคนในครั้งนี้ด้วยหลังจากเมื่อวานนี้ที่เขาได้เดินเที่ยวตลาดในเมืองได้พูดคุยกับบรรดาพ่อค้าแม่ค้าตามแผงร้านต่าง ๆ จึงพอทราบมาบ้างว่าการทดสอบของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์จะเปลี่ยนไปในทุกปีไม่ซ

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่53 การทดสอบเข้าสำนัก

    ในที่สุดการรอคอยก็สิ้นสุดลงเสียที เช้าวันนี้หนิงอ้ายตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า เขารู้สึกว่าตัวเองในตอนนี้พร้อมเสียยิ่งกว่าพร้อมเสียด้วยซ้ำ ไม่ว่าแบบทดสอบของสำนักศึกษาในปีนี้จะออกมาในรูปแบบใด ทั้งเขาและลู่ซีจะต้องผ่านไปได้อย่างแน่นอน เพราะว่าพวกเขาทั้งสองคนได้เตรียมความพร้อมในทุกด้านที่คาดว่าสามารถนำมาใช้ในการเข้าร่วมทดสอบครั้งนี้ได้ หลังจากสำรวจความเรียบร้อยของตนที่หน้ากระจกพร้อมกับทำการร่ายบทเวทย์ปลอมแปลงเสร็จสิ้นหนิงอ้ายไม่รอช้าออกจากห้องพักเพื่อไปพบกับลู่ซีและเหล่าองครักษ์ทั้งสี่คนที่ด้านล่างของโรงเตี๊ยมในทันทีหนิงอ้ายยังคงเลือกสวมใส่ชุดสีเขียวอ่อนเช่นเดิมเหมือนทุกวันด้วยความเคยชิน นับว่านี่เป็นสิ่งที่ทั้งเขาและหนิงอ้ายคนเดิมมีความชื่นชอบเหมือนกัน เพียงแต่ว่าอาจจะมีความแตกต่างในเรื่องของลวดลายปักที่เปลี่ยนไปในแต่ละวันให้ไม่ซ้ำกันเพียงเท่านั้น หนิงอ้ายเลือกสวมใส่เป็นลายปักดิ้นทองเป็นดอกเถาฮวา (ดอกท้อ) ที่ดูงดงามเหมือนจริงเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเป็นผลงานจากท่านยายเหมยฮวาของเขาที่ก่อนออกเดินทางไม่กี่วัน ท่านยายได้ใช้เวลายามว่างบรรจงตัดเสื้อและปักลวดลายอันงดงามลงบนผ้าผืน

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่54 การช่วยเหลือที่ทันท่วงที

    เช้าวันที่สองของการเดินทางหนิงอ้ายกับลู่ซีได้ใช้เวลาอย่างรวดเร็วในการจัดการตนเองและเร่งเดินทางไปในทันที ซึ่งในตอนนี้หลังจากที่หนิงอ้ายมีพลังวิญญาณในระดับที่สูงขึ้นและปลุกพลังสายเลือดพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์ได้สำเร็จซึ่งส่งผลให้บทเวทย์ระดับเซียนเนตรแห่งสวรรค์ของเขานั้นมีอาณุภาพที่ลึกล้ำขึ้นไปอีกขั้นซึ่งในตอนนี้หนิงอ้ายสามารถสร้างวิหคสอดเเนมขึ้นมาเพื่อเป็นการรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในขอบเขตของบทเวทย์ได้ แต่ก่อนที่ลู่ซีจะเอ่ยถามกับหนิงอ้ายว่าจะต้องเดินทางไปทิศใดต่อนั้นหนิงอ้ายเมื่อได้เห็นภาพเหตุการ์ณวิหคสอดแนมส่งเข้ามาให้ตนได้รับรู้นั้นจึงเอ่ยขึ้นกับลู่ซีในทันทีว่า"ทางด้านนั้นเกิดบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น...เกอรีบตามข้ามานะขอรับ!!!"เทือกเขาเร้นลับอสูรเป็นผืนป่าที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลอาจเทียบเท่าได้กับเมืองหลวงของสามแคว้นรวมกันเสียด้วยซ้ำ ภายในนั้นเต็มไปด้วยพืชพรรณไม้โบราณอายุหลายร้อยหลายพันปี เหล่าสมุนไพรล้ำค่า รวมไปถึงสัตว์อสูรหลากหลายเผ่าพันธ์ที่มีพลังวิญญาณระดับต่ำจนไปถึงระดับสูง ผู้คนที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงต่างรับรู้โดยทั่วกันหรืออาจเป็นการจงใจแต่งแต้มเรื่องราวนี้หรือไม่ก็

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่55 เส้นทางที่เลือก

    ไม่นานจากเดิมที่เด็กหนุ่มยังมีใบหน้าเรียบเฉยราวกับไม่รู้สึกสิ่งใดก็ได้เผยใบหน้าติดรำคานขึ้นมาพร้อมกับพึมพัมอะไรบางอย่างชวนให้ผู้พบเห็นน่าเอ็นดูยิ่ง เพราะภาพตรงหน้าทำเอาพวกเขาทั้งหลายอดที่จะหัวเราะไม่ได้เพราะเด็กหนุ่มคนนี้ดูก็รู้ว่ามีอายุเพียงสิบห้าสิบหกแต่กลับปั้นท่าทางราวกับผู้ที่มากไปด้วยประสบการณ์ ยามเมื่อเผยใบหน้างอง้ำไม่พอใจนั้นทำเอารู้สึกว่าเด็กหนุ่มคนนี้น่ามองขึ้นกว่าเดิมและดูสมกับวัยขึ้นมาไม่น้อยแต่แล้วทุกสิ่งอย่างไม่อาจทำให้พวกเขาทั้งหมดต้องประหลาดใจได้เท่ากับการโจมตีสุดท้ายที่เด็กหนุ่มได้สังหารอสูรเสือดาวลมกรดให้ตายตกไปในครั้งเดียวความแข็งแกร่งของอสูรระดับนภาขั้นสูงในเขตขั้นย่าวก้าวระดับมายาขั้นต่ำนั้นมีความแข็งแกร่งเพียงใดทุกคนต่างรับรู้กัน แต่นี่เด็กหนุ่มรุ่นเยาว์คนหนึ่งถึงกับสังหารอีกฝ่ายได้ง่ายดายเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเป็นเด็กประหลาดคนหนึ่งที่มากไปด้วยพรสวรรค์หรืออย่างไร"เด็กทั้งสองคนนี้เคล็ดวิชาตัวเบาช่างคล้ายคลึงกับเคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ยิ่ง แสดงว่าทั้งสองน่าจะเป็นรุ่นเยาว์ของตระกูลหวังแห่งแคว้นเต่าดำเป็นแน่..." ผู้อาวุโสคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเนื่องจากเขาคุ้นเคยกับวิชาตั

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่56 อสูรอสรพิษราชันย์สุริยันจันทราทมิฬ

    ค่ายกลส่งภาพนับได้ว่าเป็นผลงานอีกชิ้นหนึ่งที่ขึ้นชื่อของทางตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลของสำนักศึกษา มีประโยชน์ในหลากหลายด้านรวมไปถึงความสะดวกในการใช้งานที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพมากกว่าค่ายกลแบบเดียวกันหลายเท่า แต่ถึงอย่างไรก็ตามขีดจำกัดและข้อด้อยของค่ายกลนี้ก็มีอยู่ให้เห็นเช่นกันแม้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในระยะการทำงานของค่ายกลส่งภาพนี้ไม่ว่าจะเป็นทั้งภาพเหตุการณ์และเสียงสนทนาจะถูกส่งมายังผู้ใช้ค่ายกลโดยตรงก็ตามแต่เนื่องจากว่าในการทดสอบครั้งนี้ได้ใช้พื้นที่ป่าของเทือกเขาเร้นลับอสูรเป็นบริเวณกว้างดังนั้นด้วยความผันแปรของปราณฟ้าดินในแต่ละบริเวณที่มีความหนาแน่นแตกต่างกัน จึงส่งผลให้ในบางพื้นที่นั้นค่ายกลส่งภาพไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพสักเท่าไหร่ สังเกตได้จากจอภาพของค่ายกลส่งภาพอันนั้นมักจะมีคลื่นเสียงรบกวนอยู่เสมอ บ้างก็กลายเป็นจอดำสนิทและมีจำนวนไม่น้อยเช่นกันที่สัญญาณมาขาด ๆ หาย ๆค่ายกลส่งภาพนี้ในปัจจุบันผู้ฝึกตนระดับสูงรวมไปถึงผู้ฝึกตนที่มากไปด้วยญาณสัมผัสต่างรับรู้ถึงการมีอยู่ของค่ายกลนี้ ทางตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลได้ทำการศึกษาแก้ไขอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ในอนาคตค่ายกลส่งภาพนี้จะออกมาสม

    Last Updated : 2025-03-06

Latest chapter

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   ( -จบเล่ม ปฐมบท 3.2- ) บทที่ 174 ความวุ่นวายที่สิ้นสุดลง

    ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 173 สมบัติเทพมารจุติ

    ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 172 การปรากฎตัวของผู้ขายวิญญาณ

    คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 171 ผู้ท้าทายที่กล้าหาญ

    การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 170 กฎเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

    หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 169 ผู้ผ่านการทดสอบ

    ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 168 เดินทางกลับสำนักศึกษา

    มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 167 การเลื่อนระดับที่เหนือล้ำ

    ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 166 ความร่วมมือ

    ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status