Home / แฟนตาซี / บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ / บทที่55 เส้นทางที่เลือก

Share

บทที่55 เส้นทางที่เลือก

ไม่นานจากเดิมที่เด็กหนุ่มยังมีใบหน้าเรียบเฉยราวกับไม่รู้สึกสิ่งใดก็ได้เผยใบหน้าติดรำคานขึ้นมาพร้อมกับพึมพัมอะไรบางอย่างชวนให้ผู้พบเห็นน่าเอ็นดูยิ่ง เพราะภาพตรงหน้าทำเอาพวกเขาทั้งหลายอดที่จะหัวเราะไม่ได้เพราะเด็กหนุ่มคนนี้ดูก็รู้ว่ามีอายุเพียงสิบห้าสิบหกแต่กลับปั้นท่าทางราวกับผู้ที่มากไปด้วยประสบการณ์ ยามเมื่อเผยใบหน้างอง้ำไม่พอใจนั้นทำเอารู้สึกว่าเด็กหนุ่มคนนี้น่ามองขึ้นกว่าเดิมและดูสมกับวัยขึ้นมาไม่น้อย

แต่แล้วทุกสิ่งอย่างไม่อาจทำให้พวกเขาทั้งหมดต้องประหลาดใจได้เท่ากับการโจมตีสุดท้ายที่เด็กหนุ่มได้สังหารอสูรเสือดาวลมกรดให้ตายตกไปในครั้งเดียวความแข็งแกร่งของอสูรระดับนภาขั้นสูงในเขตขั้นย่าวก้าวระดับมายาขั้นต่ำนั้นมีความแข็งแกร่งเพียงใดทุกคนต่างรับรู้กัน แต่นี่เด็กหนุ่มรุ่นเยาว์คนหนึ่งถึงกับสังหารอีกฝ่ายได้ง่ายดายเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเป็นเด็กประหลาดคนหนึ่งที่มากไปด้วยพรสวรรค์หรืออย่างไร

"เด็กทั้งสองคนนี้เคล็ดวิชาตัวเบาช่างคล้ายคลึงกับเคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ยิ่ง แสดงว่าทั้งสองน่าจะเป็นรุ่นเยาว์ของตระกูลหวังแห่งแคว้นเต่าดำเป็นแน่..." ผู้อาวุโสคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเนื่องจากเขาคุ้นเคยกับวิชาตัวเบาอันเลื่องชื่อของตระกูลหวังมาบ้าง

"ดูเหมือนกับว่าหนึ่งในสองคนนั้นพลังปราณธาตุในร่างกายของมีส่วนหนึ่งของธาตุลม เพราะเมื่อประสานไปกับเคล็ดวิชาตัวเบาของตระกูลหวังไปแล้วจึงส่งผลทำให้ความเร็วนั้นเพิ่มขึ้นหลายเท่า ช่างเป็นรุ่นเยาว์ที่มากไปด้วยพรสวรรค์ยิ่ง..." ผู้อาวุโสรูปร่างอ้วนท่วมเอ่ยเสริมขึ้น

"แต่ข้าว่าเด็กหนุ่มนั้นทำเอาข้าสนใจเขามากที่สุด การโจมตีสุดท้ายนั้นทำเอาข้ารู้สึกขนลุกเป็นอย่างมากอีกทั้งยังคล้ายคลึงกับเคล็ดวิชาฝ่ามือของตระกูลจางแห่งแคว้นหงส์แดงเป็นอย่างมาก เพียงแต่เคล็ดวิชาฝ่ามือนี้ได้ประสานใหม่ขึ้นจนมีความแข็งกร้าวยิ่งนัก..." ผู้อาวุโสหญิงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงชื่นชมเป็นอย่างมาก

"มากไปกว่านั้นย่อมเป็นโชคดีของสำนักศึกษาของพวกเรา ที่รุ่นเยาว์เหล่านี้สนใจเข้าร่วมกาาทดสอบท่่จัดขึ้นในครั้งนี้ พวกเขาทั้งสี่คนย่อมผ่านด่านทดสอบไปจนถึงหน้าสำนักได้อย่างแน่นอน..." คำกล่าวของผู้อาวุโสท่านนี้ต่างถูกพยักหน้าเห็นด้วยพร้อมกับมีเสียงหัวเราะจากทุกคนออกมาด้วยความชอบใจ

แม้แต่ชายวัยกลางคนผู้เป็นเจ้าสำนักที่ปกติจะค่อนข้างไม่ค่อยพูดคุยมากเท่าไหร่นักยังส่งเสียงหัวเราะชอบใจอย่างแผ่วเบาออกมา จากนั้นอีกฝ่ายยังคงจดจ้องไปยังเด็กหนุ่มร่างบางที่ตอนนี้กำลังรักษาชายหนุ่มทั้งสองคน

"ปีนี้ช่างดียิ่ง รุ่นเยาว์แต่ละคนที่เข้าร่วมการทดสอบสำนักของเราต่างเต็มไปด้วยความสามารถและพรสวรรค์ที่โดดเด่นแตกต่างกันออกไป ไม่เพียงแค่นั้นข้าสัมผัสได้ว่ามีรุ่นเยาว์จำนวนไม่น้อยเลยที่เหลือเพียงไม่กี่สิบลี้ก็จะถึงหน้าสำนักของเราแล้ว ในวันสุดท้ายที่เรากำหนดเอาไว้ข้าว่าย่อมมีรุ่นเยาว์ที่ผ่านการทดสอบจำนวนมากเป็นแน่..." ผู้อาวุโสหญิงอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้นนางนั้นมีตำแหน่งเป็นถึงหนึ่งในสามผู้คุมกฎของสำนัก

ดังนั้นการที่มีรุ่นเยาว์มากความสามารถผ่านการทดสอบของสำนักได้มากเท่าไหร่ย่อมหมายความว่าต้นกล้าเหล่านี้จะถูกพัฒนาหล่อหลอมให้เติบใหญ่ขึ้นอย่างแข็งแกร่งเพื่อที่จะได้เป็นกำลังหลักของสำนักในวันข้างหน้าต่อไป สิ่งที่เกิดขึ้นจากค่ายกลส่งภาพยังคงปรากฏขึ้นให้เห็นเป็นภาพน้อยใหญ่หลายร้อยภาพ ต่างเป็นรุ่นเยาว์ชายหญิงที่อยู่กระจัดกระจายไปทั่วทั้งเขตป่าของเทือกเขาเร้นลับอสูร พวกเขาเหล่านี้ยังต้องแก้ไขรับมือกับแบบทดสอบต่าง ๆ ที่ทางสำนักได้วางเอาไว้

เสียงหัวเราะและการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นดังขึ้นอย่างมีความสุข เหล่าผู้อาวุโสเหล่านี้แทบจะนับวันรอที่จะได้พบเจอกับรุ่นเยาว์ที่ตนหมายตาเอาไว้ ด้วยหวังว่าจะสามารถชักชวนให้อีกฝ่ายนั้นเข้าอยู่ในสังกัดของตนนั่นเอง...

หลังจากที่หนิงอ้ายสังหารอสูรเสือดาวลมกรดและได้กระดูกวิญญาณมาแล้ว ตอนแรกหนิงอ้ายตั้งใจที่จะเก็บร่างไร้วิญญาณของมันไปด้วยเพื่อให้กับเจียวซิ่น แต่เมื่อเขานึกได้ว่าเหตุการณ์สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่คงตกอยู่ในสายตาของผู้ใช้ค่ายกลส่งภาพ ดังนั้นหนิงอ้ายจึงไม่ให้ความสนใจ พร้อมกับเร่งเข้าไปช่วยดูอาการของชายหนุ่มทั้งสองคนที่ได้รับบาดเจ็บจากการปะทะรับมืออสูรเสือดาวลมกรดในก่อนหน้านี้ เมื่อหนิงอ้ายเห็นว่าชายหนุ่มทั้งสองหลังจากได้กินโอสถรักษาและโอสถฟื้นฟูลมปราณไปร่างกายของทั้งคู่ได้ค่อย ๆ ฟื้นคืนกำลังหวนคืนลมปราณมาทีละส่วนสมกับผู้ฝึกตนราชทินนามระดับจักรพรรดิวิญญาณขั้นสามัญ

หนิงอ้ายคลายความกังวลใจไปได้ส่วนหนึ่ง แต่ถึงอย่างไรเขากับลู่ซีก็ได้ช่วยพยุงอีกฝ่ายให้ยืนอย่างมั่นคง ก่อนที่จะพุ่งทะยานตัวออกไปยังทิศทางพี่พึ่งจากมาในก่อนหน้า เขาทั้งสองมีความเห็นตรงกันว่าควรที่จะออกไปจากบริเวณผืนป่าตรงนี้ให้เร็วที่สุด ด้วยเพราะเกรงว่าเสียงปะทะเมื่อครู่อาจจะดึงดูดสัตว์อสูรระดับสูงตัวอื่นให้เข้ามาบริเวณดังกล่าวนี้ได้

เวลาเพียงไม่นานก็ถึงที่พักของหนิงอ้ายกับลู่ซีในคืนที่ผ่านมา พวกเขาเลือกกลับมาตั้งต้นที่นี่ด้วยเพราะมีความเห็นตรงกันว่าพื้นที่ตรงนี้มีความปลอดภัยและมีสะดวกในหลายด้าน

จากนั้นหนิงอ้ายจึงบอกให้ชายหนุ่มทั้งสองคนไปนั่งสมาธิตรงใต้ต้นไม้โบราณสูงใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลกันสักเท่าไหร่ ใต้ร่มเงาไม้มีสายลมพัดมาอ่อน ๆ ชวนให้รู้สึกสงบใจยิ่ง แต่เหตุผลสำคัญนั่นคือเพื่อให้ทั้งสองคนได้ดูดซับปราณฟ้าดินและโคจรพลังปราณให้ร่างกายดึงเอาฤทธิ์ของโอสถให้ฟื้นฟูร่างกายและพลังวิญญาณของอีกฝ่ายให้ได้เร็วที่สุด

สำหรับที่พักตรงนี้ถือได้ว่าตั้งอยู่ไม่ไกลจากแหล่งน้ำสักเท่าไหร่ ด้วยเพราะว่าตอนนี้ได้เลยเวลาในการกินอาหารมื้อเที่ยงไปมากแล้วและร่างกายของพวกเขาทั้งสองเริ่มประท้วงด้วยการส่งเสียงเบา ๆ ออกมาให้ได้รับรู้ ถึงแม้ว่าร่างกายของผู้ฝึกตนไม่จำเป็นต้องกินอาหารทุกมื้อหรือหลายวันก็สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ

ลู่ซีที่ในตอนนี้ได้คุ้นชินกับการกินอาหารวันละสามมื้อไปแล้ว ทั้งหนิงอ้ายและลู่ซีจึงได้พากันออกไปหาเนื้อสัตว์สำหรับการทำอาหารเพราะหากโชคดีมากพออาจจะเจอกับไก่ป่าหรือในลำธารอาจจะมีปลาตัวใหญ่ ด้วยจำนวนคนถึงสี่คนในตอนนี้และล้วนเป็นชายหนุ่มวัยกำลังเติบโต ดังนั้นแล้วเนื้อสัตว์สำหรับนำมาทำอาหารมื้อนี้ควรที่จะมากหน่อยเป็นการดีที่สุด

ด้วยความคุ้นชินของทั้งคู่ด้วยเวลาเพียงสองเค่อพวกเขาทั้งสองต่างได้เนื้อสัตว์มาทำอาหารอย่างมากมาย หนิงอ้ายจะเป็นคำทำอาหารเหล่านี้ด้วยตนเอง แต่เรื่องหุงข้าวยังต้องส่งมอบให้กับลู่ซีเป็นผู้จัดการเสียแล้วกัน เพราะเข่ที่มาจากโลกที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเทคโนโลยีสิ่งของที่อำนวยความสะดวกแล้วการก่อไฟหรือการหุงข้าวช่างเป็นเรื่องที่ไกลตัวเสียจริง

กลิ่นหอมของอาหารที่ไม่คุ้นชินได้ทำให้ชายหนุ่มทั้งสองคนค่อย ๆ ลืมตาขึ้นหลังจากสำรวจพบว่าในตอนนี้ร่างกายของตนได้ฟื้นฟูขึ้นมาจนเกือบเป็นปกติแล้ว เมื่อมองไปในทิศทางที่มีกลิ่นหอยลอยล่องมาตามลมเห็นเป็นเด็กหนุ่มร่างบางคนหนึ่งที่นั่งอยู่ข้างกองไฟซึ่งกำลังย่างเนื้อไก่และปลาด้วยความชำนาญในการพลิกกลับไปมา อีกทั้งตรงด้านข้างนั้นยังมีหม้อซุปที่มีกลิ่นหอมเผ็ดร้อนออกมาอีกชวนให้ประหลาดใจ

แน่นอนว่าข้าวหุงสุกที่เด็กหนุ่มตัวโตมากกว่าอีกคนเป็นผู้ดูแลนั้นได้ส่งกลิ่นหอมเป็นเอกลักษณ์ออกมา ท่าทางของพวกเขาทั้งสองไร้ซึ่งความกังวลใด ๆ ทั้งสิ้น นั่นทำให้อดคิดอยู่ในใจไม่ได้ว่า สรุปแล้วเด็กหนุ่มสองคนนี้มาเข้าร่วมสำนักศึกษาหรือว่ามาเดินเที่ยวป่ากันแน่เหตุใดจึงทำราวกับว่าไม่เกรงกลัวสิ่งใด

หนิงอ้ายเมื่อเห็นว่าทั้งสองคนจ้องมาตรงนี้คล้ายกับจะเอ่ยสิ่งใดแต่ท้ายที่สุดกลับเลือกที่จะเงียบไป เช่นนั้นเขาแล้วจึงเอ่ยขึ้นกับอีกฝ่ายว่า "กองทัพต้องเดินด้วยท้องจะเป็นการดีที่สุด คุณชายทั้งสองมานั่งกินข้าวเเล้วค่อยคุยกันดีหรือไม่?"

กล่าวจบลงร่างบางจึงหันหน้ากลับมาพร้อมกับให้ความสนใจกับไก่ปิ้งและปลาปิ้งที่อยู่ด้านหน้าของตนอีกทั้งยังคอยกลับไปมาด้วยเพราะกลัวไหม้จนทานไม่ได้ เพราะต้มยำไก่ป่าและข้าวหุงสุกได้เสร็จแล้วไปก่อนหน้า ทางฝั่งของลู่ซีก็กำลังจัดเตรียมพื้นที่สำหรับการกินอาหารของพวกเขาทั้งสี่คน

กลิ่นหอมของอาหารที่เด็กหนุ่มตรงหน้าทำขึ้นมานั้น ช่างเย้ายวนเกินกว่าที่ใครจะปฏิเสธได้แม้กระทั่งผู้ที่มองอยู่ในค่ายกลส่งภาพก็ตามล้วนท้องร้องอย่างเสียอาการไปตามกันทั้งสิ้น

เมื่อสัมผัสได้ถึงความจริงใจที่ส่งมาเด็กหนุ่มทั้งสองคนได้เดินตรงเข้ามาทางฝั่งของลู่ซีมี่ยืนอยู่ไม่ไกลจากหนิงอ้าพร้อมกับโค้งตัวคำนับให้กับอีกฝ่ายตามมารยาทแห่งผู้ฝึกตนก่อนจะเอ่ยขึ้นพร้อมกันว่า

"ข้าชื่อจินหั่วอายุสิบหกปีจากแคว้นสิงโตเพลิง ยินดีที่ได้พบคุณชายทั้งสอง จินหั่วผู้นี้เป็นหนี้ชีวิตพวกท่านแล้ว..." ชายหนุ่มนามว่าจินหั่วเอ่ยขึ้นอย่างเคร่งขรึม แต่ถึงอย่างไรนั้นพวกเขาก็สัมผัสได้ถึงความจริงใจที่อีกฝ่ายได้แสดงออกมา

"ส่วนข้าชื่อชื่ออี้หลินอายุสิบห้าย่างสิบหกปีมาจากแคว้นสิงโตเพลิงเช่นกัน ข้าเป็นสหายของเจ้าจิ่นหั่วยินดีที่ได้พบเจอและขอบคุณเจ้าทั้งสองเป็นอย่างมาก..." ชายหนุ่มผู้มีนามว่าอี้หลินเอ่ยขึ้นด้วยความกระตือรือร้น

หนิงอ้ายและลู่ซีหันหน้ามองกันเล็กน้อย ด้วยเพราะทั้งสองคนแนะนำตัวว่ามาจากแคว้นสิงโตเพลิง ซึ่งเป็นแคว้นที่อยู่ห่างไกลจากแคว้นเต่าดำของพวกตนเป็นอย่างมาก อีกทั้งใกล้เคียงกันนั้นยังมีสำนักศึกษาที่ขึ้นไม่ต่างจากสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ดังนั้นการที่ทั้งสองดั้นด้นมาถึงที่นี่นับได้ว่าทั้งสองคนย่อมมีความเด็ดเดี่ยวเป็นอย่างมาก

"ข้าชื่อหนิงอ้าย อายุสิบห้าย่างสิบหกเช่นเดียวกับกับเจ้านะอี้หลิน..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มน้อย ๆ ไปให้กับอีกฝ่าย

"ข้าชื่อลู่ซีอายุสิบหกปีแล้วเช่นเดียวกับจินหั่ว ข้าก็เป็นพี่ชายของเสี่ยวอ้าย..." ลู่ซีเอ่ยแนะนำตัวขึ้นท่าทีเย็นชานั้นได้หายไปหลายส่วน

จินหั่วกับอี้หลินทั้งสองคนนี้ถือได้ว่าเป็นสหายใหม่ในชีวิตของหนิงอ้ายกับลู่ซีเลยก็ว่าได้เพราะแต่ไหนไรมานั้นพวกเขาอยู่กันเพียงสองคนเท่านั้น เมื่อมีสหายเพิ่มขึ้นจึงทำให้ในใจรู้สึกราวกับว่าได้รับการเติมเต็ม

หลังจากพูดคุยกันอีกเล็กน้อยเสียงร้องของท้องพวกเขาได้ดังขึ้นพร้อมกันชวนให้น่าหัวเราะเป็นอย่างยิ่ง ทั้งสี่คนยิ้มให้กันอย่างสนิทใจก่อนที่จะลงมือทานอาหารตรงหน้านี้ แม้ว่าจุดเริ่มต้นการเป็นสหายของพวกเขาจะดูค่อนข้างที่จะเสี่ยงอันตรายเป็นอย่างมาก

ดั่งเช่นการรับมือกับสัตว์อสูรระดับนภาขั้นสูงแม้ว่าพวกเขาจะอายุใกล้เคียงกันก็จริงแต่แน่นอนว่าทุกคนย่อมมีข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกันอยู่เเล้วแต่นั้นเป็นสิ่งที่ดีเพราะพวกเขาต้องปรับตัวเข้าหากัน เพื่อสัมพันธ์และมิตรภาพของพวกเขาก็จะเพิ่มขึ้นในทุกวันจนท้ายที่สุดเเล้วก็มั่นคงแข็งแกร่งไม่มีอะไรทำลายมันได้โดยง่าย

หลังจากที่ทั้งสี่คนกินอาหารกันเสร็จด้วยความรวดเร็วแต่ทว่ายังคงไปด้วยมารยาทในระหว่างมื้ออาหาร แต่ถึงอย่างไรทั้งจินหั่วและอี้หลินเองถือว่าเป็นคนที่มีอัธยาศัยดีไม่น้อย

ภาพเหตุการณ์นี้เหล่าอาวุโสที่คอยเฝ้ามองอยู่จากค่ายกลส่งภาพต่างสังเกตได้ถึงมิตรภาพค่อย ๆ ก่อตัวขึ้น พวกเขาทั้งทั้งสี่คนแทบจะไม่รักษาอาการเฉกเช่นคนไม่รู้จักกันดังเช่นท่าทีก่อนหน้านับว่าต่างมลายหายไปสิ้น ยิ่งกับจินหั่วและอี้หลินนั้นต่างเอามือลูบท้องของตนอย่างไม่รักษาอาการด้วยถือว่าพวกเขาต่างเป็นสหายกันแล้วอีกทั้งในตอนนี้พวกเขานั้นอิ่มยิ่งนัก

เมื่อเก็บกวาดทุกอย่างเสร็จ พวกเขาทั้งสี่คนต่างพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวระหว่างการเดินทางในช่วงสามวันที่ผ่านมาและตั้งใจว่าพวกเขาทั้งสี่คนนั้นจะรวมกลุ่มกันเพื่อเดินทางต่อไปเพราะเหลือเวลาอีกเพียงสี่วันเท่านั้นก็จะครบตามกำหนดที่ทางสำนักศึกษาได้ตั้งไว้

"เอาละ เรามาตกลงเรื่องการเดินทางกันดีกว่า..." ลู่ซีเริ่มเอ่ยขึ้นเป็นคนแรก

"เจ้ามีความเห็นว่าอย่างไร?" จินหั่วเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสมัย

ลู่ซีเองได้เริ่มเล่าเรื่องราวต่าง ๆ รวมไปถึงความเป็นไปได้หลังจากนี้ หลังจากฟังจบสีหน้าของจินหั่วและอี้หลินนั้นแสดงความเป็นกังวลใจอย่างชัดเจน สำหรับทางหนิงอ้ายที่นิ่งเงียบไปนั้นเป็นเพราะว่าเขาได้ใช้เนตรแห่งสวรรค์อีกครั้งในครั้งนี้เขาได้ใช้พลังของสายเลือดพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์เพื่อเพิ่มขีดจำกัดของความสามารถนี้

ทำให้เขานั้นเห็นว่าจากจุดปัจจุบันที่เขายืนอยู่นับว่าไม่ไกล้ ไม่ไกลจากทางเข้าของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์เเล้ว เพียงแต่ว่าเส้นทางที่อยู่ใกล้ที่สุดในตอนนี้นั้นมีเพียงสามเส้นทางเท่านั้น แต่ถึงอย่างไรก็ตามการไปถึงสำนักศึกษาให้เร็วย่อมเป็นการดีที่สุดในความคิดของเขา

"ข้ามีบางอย่างที่จะเสนอให้ทุกคนได้ฟังก่อนได้หรือไม่?" หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางจริงจังกว่าปกติ

"จากป่าบริเวณนี้ที่เรานั่งพักกันอยู่ถือได้ว่าไม่ไกล้ไม่ไกลจากประตูของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์เท่าไหร่ ข้าเชื่อว่าด้วยเวลาที่เหลืออีกสี่วันย่อมไปทันอย่างแน่นอน..." เมื่อหนิงอ้ายเอ่ยจบก่อนที่จะนิ่งเงียบไปชั่วครู่

จินหั่วและอี้หลินนั้นเมื่อได้ฟังเพียงส่วนแรกนั้นต่างแสดงความดีใจอย่างปิดไม่มิด เพราะหากพวกเขาสามารถไปถึงประตูสำนักได้ทัน ย่อมหมายความว่าพวกเขาผ่านการทดสอบเป็นศิษย์ใหม่ของสำนักศึกษานั่นเอง

"มีสิ่งอื่นที่เจ้าอยากจะบอกเพิ่มอีกใช่หรือไม่เสี่ยวอ้าย?" ลู่ซีเอ่ยถามกลับไปด้วยเพราะเชื่อว่าคำกล่าวของเด็กหนุ่มนั้นได้แฝงอะไรซ่อนไว้ในนั้นบางอย่าง

"ทางที่อยู่ใกล้ที่สุดมีเพียงสามทางเท่านั้น ทางแรกเป็นทางที่เต็มไปด้วยค่ายกลระดับสูงแม้จะดูไม่อันตรายมากนักแต่กล่าวได้ว่าเป็นทางที่ไกลที่สุดเมื่อเทียบกับอีกสองทางที่เหลือ…"

"ทางที่สองจะเป็นทางขนานไปกับแนวเทือกเขาเร้นลับอสูรซึ่งระหว่างทางนั้นจะต้องผ่านอาณาเขตสัตว์อสูรระดับเทวะแม้จะฟังว่าอันตรายเป็นอย่างมากเเต่ถึงอย่างไรก็ตามนับว่าเป็นเส้นทางที่ใกล้ที่สุดในสามเส้นทางนี้... "

"และทางสุดท้ายจะต้องทะลุผ่านใจกลางของป่าสีขาวอันขึ้นชื่อของสำนักที่มีนามว่าป่าไป๋เซินหลิน เส้นทางนี้เป็นหนึ่งในการทดสอบที่ทางสำนักศึกษาได้ทำขึ้นเช่นเดียวกับทางแรก แม้ดูเหมือนจะไม่มีอันตรายที่แน่ชัดแต่ข้าเชื่อว่าฝ่ายที่ดูแลในการทดสอบครั้งนี้ย่อมไม่ใจดีกับพวกเราว่าที่ศิษย์ใหม่เป็นแน่..."

หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับส่งสายตาสอบถามความคิดเห็นของทั้งสามคนว่ามีความคิดเห็นกันอย่างไร

"ข้าว่าทางแรกที่มีค่ายกลระดับสูงควรที่จะหลีกเลี่ยงเป็นการดีที่สุด เนื่องจากว่าศาสตร์นี้เต็มไปด้วยความลึกลับพิสดาร พวกเราต่างไม่รู้ว่าค่ายกลที่ถูกสอดแทรกอยู่ในนั้นมีค่ายกลแปลก ๆ อยู่หรือไม่ เพราะในสำนักข้าได้ยินว่าผู้อาวุโสท่านหนึ่งซึ่งเป็นเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลความชื่นชอบของท่านนั้น เอ่อ นับว่าค่อนข้างที่พิเศษเกินไปสักหน่อย..." อี้หลินเอ่ยขึ้นตามความคิดของตน

แน่นอนว่าก่อนที่พวกเขาจะเดินทางเข้าร่วมสำนักย่อมมีการศึกษาหาข้อมูลก่อนหน้า ทางสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์เต็มไปด้วยผู้ฝึกตนที่มีชื่อเสียงในโลกผู้ฝึกตน อีกทั้งชื่อของผู้อาวุโสแห่งตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลนับว่าค่อนข้างพิเศษยิ่ง ดังนั้นควรที่จะหลีกเลี่ยงเป็นการดีที่สุด

แน่นอนว่าด้วยถ้อยคำวิเคราะห์ของรุ่นเยาว์คนนี้นั้นทำเอาเจ้าตัวที่นั่งมองจากค่ายกลส่งภาพนั้นถึงกับยิ้มกระตุกเลยทีเดียว ท่ามกลางของเสียงหัวเราะอย่างชอบใจของทุกคนในห้องโถงแห่งนี้...

"สำหรับทางที่สอง ข้าเชื่อว่าพวกเจ้าทั้งสามคงมีความเห็นตรงกันว่าควรหลีกเลี่ยงเช่นกัน เพราะก่อนหน้าที่ต้องรับมือกับอสูรเสือดาวลมกรดที่มีระดับนภาขั้นสูงพวกข้าสองคนยังเกือบตายตกไปหากไม่ได้รับการช่วยเหลือจากพวกเจ้า แม้ข้าจะเชื่อมั่นในฝีมือของหนิงอ้ายก็จริงแต่ความต่างชั้นของสัตว์อสูรระดับมายานั้นด้วยระดับจักรพรรดิวิญญาณของพวกเราในตอนนี้ย่อมไม่ต่างไปจากการเอาไข่ไปทุบก่อนหินไร้ซึ่งหนทางชนะอย่างแน่นอน..." จินหั่วพูดจบลงพร้อมกับทุกคนพยักหน้าอย่างเห็นด้วยไม่ขัดข้อง

แม้ว่าหนิงอ้ายจะมีพลังแห่งสายเลือดจะทำให้เขานั้นมีความแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิวิญญาณด้วยกันและสามารถต่อสู้ผู้ฝึกตนระดับเทวะขั้นสามัญที่รากฐานไม่หนาแน่นบางคนก็ย่อมได้ แต่หากว่าต้องปะทะรับมือกับอสูรระดับมายาโดยตรง ด้วยพลังและฝีมือของเขาในตอนนี้ย่อมยังไม่สามารถทำได้ เอาไว้เป็นเรื่องของวันข้างหน้าแล้วกัน

"ข้าขอสรุปว่าทุกคนน่าจะคิดเห็นตรงกันว่าควรเดินทางด้วยทางที่สามไม่แน่ว่าเมื่อไปถึงคงเจอเหล่าผู้เข้าร่วมทดสอบจำนวนมาก..." ลู่ซีสรุปออกมาซึ่งทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยในที่สุด

"แต่ที่ข้าอยากรู้มากที่สุดก็คือหนิงอ้ายเจ้ารู้ได้อย่างไรว่ามีเพียงสามเส้นทางใกล้ที่สุดในการมุ่งตรงไปยังสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ราวกับว่าเจ้ามีตาวิเศษเสียอย่างนั้น?" อี้หลินถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ ทางจินหั่วเมื่อคิดได้ดังสหายของตนจึงพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

"ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าเพียงได้รับข้อมูลมาจากท่านตาเพียงเล็กน้อย พวกเราอย่าเสียเวลากันอีกเลยรีบเดินทางกันเถอะ!!" หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นหลีกเลี่ยงดึงความสนใจของทุกคนจากนั้นพวกเขาทั้งสี่คนต่างสำรวจความเรียบร้อยของตนอีกครั้งก่อนที่จะมุ่งตรงไปยังเขตป่าไป๋เซินหลินด้วยเคล็ดวิชาตัวเบาประจำตัวของตนด้วยความรวดเร็ว...

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Related chapters

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่56 อสูรอสรพิษราชันย์สุริยันจันทราทมิฬ

    ค่ายกลส่งภาพนับได้ว่าเป็นผลงานอีกชิ้นหนึ่งที่ขึ้นชื่อของทางตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลของสำนักศึกษา มีประโยชน์ในหลากหลายด้านรวมไปถึงความสะดวกในการใช้งานที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพมากกว่าค่ายกลแบบเดียวกันหลายเท่า แต่ถึงอย่างไรก็ตามขีดจำกัดและข้อด้อยของค่ายกลนี้ก็มีอยู่ให้เห็นเช่นกันแม้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในระยะการทำงานของค่ายกลส่งภาพนี้ไม่ว่าจะเป็นทั้งภาพเหตุการณ์และเสียงสนทนาจะถูกส่งมายังผู้ใช้ค่ายกลโดยตรงก็ตามแต่เนื่องจากว่าในการทดสอบครั้งนี้ได้ใช้พื้นที่ป่าของเทือกเขาเร้นลับอสูรเป็นบริเวณกว้างดังนั้นด้วยความผันแปรของปราณฟ้าดินในแต่ละบริเวณที่มีความหนาแน่นแตกต่างกัน จึงส่งผลให้ในบางพื้นที่นั้นค่ายกลส่งภาพไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพสักเท่าไหร่ สังเกตได้จากจอภาพของค่ายกลส่งภาพอันนั้นมักจะมีคลื่นเสียงรบกวนอยู่เสมอ บ้างก็กลายเป็นจอดำสนิทและมีจำนวนไม่น้อยเช่นกันที่สัญญาณมาขาด ๆ หาย ๆค่ายกลส่งภาพนี้ในปัจจุบันผู้ฝึกตนระดับสูงรวมไปถึงผู้ฝึกตนที่มากไปด้วยญาณสัมผัสต่างรับรู้ถึงการมีอยู่ของค่ายกลนี้ ทางตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลได้ทำการศึกษาแก้ไขอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ในอนาคตค่ายกลส่งภาพนี้จะออกมาสม

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่57 อันตรายในป่าไป๋เซินหลิน

    เหตุการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นผู้อาวุโสแต่ละตำหนักตัวแทนเข้าร่วมดูแลการทดสอบครั้งนี้ได้มีการถกเถียงถึงในเรื่องราวต่าง ๆ ที่เป็นไปได้ เจียงเฉิงที่มีฐานะสูงสุดในที่นี้นั่นคือเจ้าสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ แม้ภายนอกจะดูนิ่งเฉยไม่ได้เอ่ยเสริมอะไรขึ้น แต่สายตายังคงจ้องเด็กหนุ่มที่ตอนนี้กำลังปกปิดอาการแตกตื่นดังกล่าวอย่างนิ่งสงบ ด้วยอายุเพียงสิบห้าสิบหกเพียงเท่านี้ของอีกฝ่ายแต่กลับสามารถควบคุมสติได้มั่นคงหนักแน่น เขาอยากรู้นักว่าอีกฝ่ายรวมไปถึงสหายอีกทั้งสามคนจะสามารถผ่านการทดสอบเป็นศิษย์ของสำนักได้หรือไม่เทือกเขาเร้นลับอสูรที่อยู่โดยรอบของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์มีพื้นที่กว้างใหญ่เป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงเต็มไปด้วยสัตว์อสูรมากมาย ที่กระทั่งฝ่ายสำรวจของทางสำนักที่มีการเก็บรวมรวมข้อมูลมาหลายพันปีตั้งแต่เริ่มก่อตั้งสำนัก แม้ข้อมูลที่อยู่ในมือนั้นจะมีมากมายแต่ถึงอย่างนั้นยังไม่ถึงกับครอบคลุมทั้งหมด สัตว์อสูรบางสายพันธ์นั้นถึงกับมีสายเลือดบรรพกาลไหลเวียนอยู่หรือบ้างก็มีความเป็นมาที่ลึกลับ อีกทั้งยิ่งกับสัตว์อสูรระดับสูงที่สามารถเปิดสติปัญญาได้นั้นมักจะมีการแบ่งพื้นที่เขตปกครอง

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่58 อสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะ

    "ยังมีเวลาอีกมากในการเพิ่มระดับฝีมือของตนให้เพิ่มสูงขึ้น ตอนนี้พวกเราสองคนควรรีบออกไปช่วยหนิงอ้ายกับลู่ซีกันได้แล้ว..." ไม่รอช้าทั้งสองจึงได้สลายเวทย์ป้องกันพร้อมกับพุ่งตัวไปยังด้านข้างของหนิงอ้ายกับลู่ซีในทันที"กลุ่มคนพวกนี้เป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมการทดสอบศิษย์ใหม่ของทางสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งมีจำนวนผู้เข้าร่วมทดสอบมากเท่าไหร่ จำนวนของผู้ถูกสะกดจิตด้วยอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น...""บรรดาผู้ฝึกตนชายหญิงในตอนนี้ หากกล่าวตามตรงคงไม่แตกต่างไปจากหุ่นเชิดไร้ซึ่งสตินึกคิดคงไม่เกินจริงไปนัก..." เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังลมปราณอันคุ้นเคยของสองคนที่ตามมาสมทบแล้วนั้น หนิงอ้ายจึงบอกให้ได้รับรู้ในทันทีแม้ว่าทุกคนในที่นี้อาจพอคาดเดาได้บ้างแล้วก็ตาม"ก็พอเข้าใจได้อยู่บ้าง เฮ้อ!! หากตัดผ่านตรงนี้ไปอีกไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็จะถึงทางเข้าของสำนักศึกษาแล้ว..." อี้หลินเอ่ยเบา ๆ ด้วยความเสียดายเล็กน้อย เพราะตามที่หนิงอ้ายได้บอกก่อนหน้าว่าอีกไม่ไกลก็จะถึงทางเข้าของสำนักศึกษาแล้ว แต่พวกเขากลับต้องมาพบเหตุการณ์ความวุ่นวายดังกล่าว อีกทั้งการทดสอบของสำนักศึกษาครั้งนี้มีเรื่องกำหนดเวลา

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   ( -จบเล่ม 1- ) บทที่59 หนึ่งท่าพิฆาตสังหาร

    คลื่นวายุสังหารนับไม่ถ้วนถูกพ่นจู่โจมอย่างต่อเนื่อง หากหนิงอ้ายไม่ได้ใช้วิชาตัวเบาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ประสานไปกับพลังวิญญาณของตนจนทำให้ระดับความเร็วของเขาเป็นที่น่าตกตะลึงแล้วคงยากที่จะรอดพ้นไปจากการโจมตีจากสัตว์อสูรตรงหน้านี้ได้ แน่นอนว่าหนิงอ้ายย่อมไม่ใช่ลูกพลับนิ่มที่ปล่อยให้อีกฝ่ายมีโอกาศโจมตีตนได้ฝ่ายเดียว เพราะเขาก็ได้ใช้บทเวทย์โจมตีของตนโต้กลับไปในทุกครั้งที่มีโอกาสเช่นกันมหาบุปผชาติเหมันต์จำแลงลักษณ์!ตู้ม! ตู้ม!ทุกครั้งที่หนิงอ้ายหลบหลีกและส่งการโจมตีโต้กลับไปยังอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะ ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไหร่โทสะของสัตว์อสูรยิ่งเพิ่มขึ้น มันไม่คาดคิดว่าการปะทะกับผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิวิญญาณคนหนึ่งจะทำให้มันสูญเสียลมปราณในร่างกายไปได้มากถึงเพียงนี้พรึบ!ชายผ้าคลุมสีเขียวอ่อนปลิวไหวสะบัดไปตามแรงลมที่ต้านปะทะ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายสูญเสียจังหวะไม่รอให้อีกฝ่ายตั้งตัว หนิงอ้ายเร่งเร้าพลังลมปราณทั่วทั้งร่ายกาย ก่อนที่แขนขวานั้นสะสะบัดออกเบื้องหน้า ขณะใช้ออกด้วยท่าร่างเคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ เข็มโลหะสีเงินทั้งเก้าพุ่งทะยานผ่านอากาศจนเกิดเสียง ต้าเฮยที่ซ่อนตัวอยู่ได้ประสานปร

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่60 ถึงจุดหมายในที่สุด

    ทางฝั่งผู้อาวุโสของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งใจ เมื่อพวกเขาเห็นว่ากลุ่มของหนิงอ้ายทั้งสี่คนสามารถจัดการอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะได้สำเร็จ แม้ว่าตอนนี้จะยังมีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ชายหญิงมากกว่าหลายสิบคนที่ยังไม่ฟื้นคืนสติก็ตามอำนาจสะกดใจที่เคยควบคุมไม่ต่างหุ่นเชิดไร้ซึ่งแรงต้านทาน เมื่อสัตว์อสูรนายแห่งพันธะดังกล่าวได้ตกตายไป ร่างกายของพวกเขาจะไม่ได้รับผลกระทบต่อวิถีทางแห่งผู้ฝึกตนในวันข้างหน้า หลังจากนี้เพียงไม่กี่ชั่วยามย่อมที่จะฟื้นสติกลับมาได้ดังเดิม หากว่ากลุ่มของรุ่นเยาว์เหล่านี้สามารถเดินทางมาถึงประตูทางเข้าของสำนักศึกษาได้สำเร็จ นั่นเท่ากับว่าในปีนี้ทางสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ได้รับศิษย์ใหม่มากที่สุดของทางสำนักเลยทีเดียว"ในที่สุดพวกเขาทั้งสี่คนก็มาถึงประตูทางเข้าของสำนักได้เสียที บอกตามตรงว่าที่ผ่านมาในตำแหน่งผู้อาวุโสของสำนัก ได้เห็นการคัดเลือกศิษย์ใหม่มามากมายนับไม่ถ้วน ทว่าไม่มีครั้งใดซักครั้งที่ทำให้ข้าเกือบหัวใจจะวายเช่นนี้ได้!!" ผู้อาวุโสชราร่างเล็กคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเสียงดังราวกับอัดอั้นมาแสนนาน พร้อมกับถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกที่เด็

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่61 ท่านเทพพยากรณ์

    เหล่าผู้คุ้มกันเห็นว่ารุ่นเยาว์ทั้งสี่คนเดินห่างออกไปแม้ภายนอกพวกเขาจะยังคงเต็มไปด้วยความเคร่งครึมและใบหน้าเรียบเฉย แต่ภายในกลับสื่อสารกันภายในจิตยิ่งกว่า'เด็กคนนั้นไม่เลวเลยทีเดียว…''ข้าว่าปีนี้คงมีศิษย์ใหม่เข้าร่วมสำนักเยอะที่สุดในประวัติการณ์ ยังมีอีกกลุ่มหนึ่งที่กำลังมุ่งตรงเข้ามาในอีกไม่กี่ชั่วยามแล้ว...' ผู้อาวุโสคนหนึ่งที่มีญาณสัมผัสลึกล้ำเอ่ยเสริมขึ้น'เด็กหนุ่มตัวเล็กที่สุดน่าสนใจอย่างบอกไม่ถูก ข้าว่าในปีนี้ข้าอาจจะเข้าร่วมทดสอบเป็นผู้อาวุโสฝ่ายในก็เป็นไปได้…' ชายวัยกลางคนผู้เป็นหัวหน้าคุ้มกันที่คุยกับกลุ่มของหนิงอ้ายเอ่ยขึ้นอย่างมีเลศนัย ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนเรื่องพูดคุยเป็นเรื่องอื่นที่ต่างเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในมุมมองของตนเองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ก็ไม่ต่างไปจากผู้อาวุโสในห้องโถงหลักของสำนักสักเท่าไหร่นัก พวกเขาทั้งหลายยังคงเฝ้ามองสิ่งที่เกิดขึ้นค่ายกลส่งภาพ ในใจพวกเขาต่างรู้สึกอยู่ในใจว่าการรับศิษย์ใหม่ในปีนี้ช่างเต็มไปด้วยเรื่องราวที่แปลกประหลาดใจเสียจริง...ทางฝั่งกลุ่มของหนิงอ้ายทั้งสี่คนต่างพากันเดินไปไม่ไกลไปจากประตูของสำนักทางด้านฝั่งซ้ายมือ ก่อนที่จะเลือ

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่62 สิ้นสุดการทดสอบแรก

    ทางฝั่งผู้อาวุโสที่เฝ้ามองกลุ่มของหนิงอ้ายผ่านค่ายกลส่งภาพนี้ พวกเขาต่างล้วนอยากรู้ว่าเด็กหนุ่มนั้นล่วงรู้ถึงแบบทดสอบในวันพรุ่งนี้จริงหรือไม่? เพราะหากเด็กหนุ่มทราบจริงนี่ออกจะเหลือเชื่อเกินไปสักหน่อยแล้วการทดสอบครั้งถัดไปเป็นท่านเจ้าสำนักและท่านรองเจ้าสำนักเป็นผู้ดูแลด้วยตนเอง เหล่าผู้อาวุโสตอนนี้ต่างจ้องมองกลุ่มของหนิงอ้ายสลับไปมากับทางฝั่งของทั้งสองคนผู้สูงศักดิ์ในสำนักศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการทดสอบที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้…"ให้ข้าเปิดเผยความลับสวรรค์ให้เช่นนั้นรึ? หากว่าเจ้าสามารถหยุดพูดไปถึงหนึ่งเค่อข้าจักยอมทำนายให้แก่เจ้าก็แล้วกัน..." ท่าทางของหนิงอ้ายที่แสดงออกมาช่างดูเหมาะสมกับช่วงวัยสิบห้าสิบหกยิ่งท่าทางหยอกล้อที่เต็มไปด้วยความสดใสทำเอาผู้ที่แอบเฝ้ามอง? ผ่านดวงตากลมโตสีแดงชาด อดที่จะขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้ดูท่าแล้วตนคงต้องรีบไปพบเจ้ากระต่ายน้อยของตนให้เร็วที่สุด"หนิงอ้าย ไม่สิ!! เจ้าเป็นใครกันสหายของข้าไม่เคยพูดเล่นเช่นนี้ ไม่นะ!! เอาสหายข้าคืนมา..." เมื่อเห็นเด็กหนุ่มส่งมาแบบนั้นแล้ว อี้หลินจึงทำการละเล่นตอบกลับไปใหญ่โตกว่าเดิมหลายเท่า ท่ามกลางสายตาของลู่ซีและจินหั่วที่สายหัว

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่63 ศิษย์ใหม่

    "หนิงอ้ายเจ้าคิดว่าปีนี้การทดสอบจะเป็นอย่างไร?" หลี่ซวงถามขึ้นหลังจากที่พวกเขาใช้เวลาพูดคุยกันไปหลายชั่วยาม นับว่าเป็นสหายที่พูดคุยกันได้ถูกคอยิ่ง"ข้าคิดว่าผู้อาวุโสที่คอยกำกับดูแลในเรื่องนี้คงไม่ได้มีการทดสอบที่ยากจนเกินไป เพราะว่าแต่ละปีจำนวนของผู้ฝึกตนที่ผ่านการทดสอบแรกก็มีจำนวนน้อยอยู่แล้ว หากหลังจากนี้การทดสอบยังเป็นสิ่งที่ยุ่งยากอีก ข้าว่าทางสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์คงไม่ได้ศิษย์ใหม่เลยซักคนเป็นแน่..." หนิงอ้ายตอบกลับไปตามความคิดของตนเพราะสำหรับจำนวนผู้ฝึกตนที่ผ่านการทดสอบแรกจนมาถึงประตูทางเข้าของสำนักก็ว่ามีจำนวนน้อยมากแล้ว หากยังมีการทดสอบที่ยุ่งยากเขาเกรงว่าสิ่งที่เขาตอบไปอาจเกิดขึ้นจริงก็เป็นได้"ก็จริงของเจ้านะหนิงอ้าย ฮ่าฮ่าฮ่า" ชายหนุ่มที่เหลือทั้งห้าคนต่างหัวเราะขึ้นเสียงดังกับคำตอบที่หนิงอ้ายได้เอ่ยจบไปเมื่อครู่อย่างอดใจไม่ได้ทางฝั่งของผู้อาวุโสที่เฝ้ามองอยู่ในค่ายกลส่งเมื่อพวกเขาคิดตามคำพูดของเด็กหนุ่มก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้เช่นกัน เรื่องของจำนวนศิษย์ใหม่ในแต่ละปีมีจำนวนน้อยเพียงใดพวกเขาต่างกระจ่างใจเป็นที่สุด...ด้วยจำนวนของผู้ผ่านการทดสอบแรกนี้มีจำนวน

    Last Updated : 2025-03-06

Latest chapter

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   ( -จบเล่ม ปฐมบท 3.2- ) บทที่ 174 ความวุ่นวายที่สิ้นสุดลง

    ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 173 สมบัติเทพมารจุติ

    ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 172 การปรากฎตัวของผู้ขายวิญญาณ

    คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 171 ผู้ท้าทายที่กล้าหาญ

    การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 170 กฎเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

    หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 169 ผู้ผ่านการทดสอบ

    ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 168 เดินทางกลับสำนักศึกษา

    มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 167 การเลื่อนระดับที่เหนือล้ำ

    ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 166 ความร่วมมือ

    ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status