เหล่าผู้คุ้มกันเห็นว่ารุ่นเยาว์ทั้งสี่คนเดินห่างออกไปแม้ภายนอกพวกเขาจะยังคงเต็มไปด้วยความเคร่งครึมและใบหน้าเรียบเฉย แต่ภายในกลับสื่อสารกันภายในจิตยิ่งกว่า
'เด็กคนนั้นไม่เลวเลยทีเดียว…'
'ข้าว่าปีนี้คงมีศิษย์ใหม่เข้าร่วมสำนักเยอะที่สุดในประวัติการณ์ ยังมีอีกกลุ่มหนึ่งที่กำลังมุ่งตรงเข้ามาในอีกไม่กี่ชั่วยามแล้ว...' ผู้อาวุโสคนหนึ่งที่มีญาณสัมผัสลึกล้ำเอ่ยเสริมขึ้น
'เด็กหนุ่มตัวเล็กที่สุดน่าสนใจอย่างบอกไม่ถูก ข้าว่าในปีนี้ข้าอาจจะเข้าร่วมทดสอบเป็นผู้อาวุโสฝ่ายในก็เป็นไปได้…' ชายวัยกลางคนผู้เป็นหัวหน้าคุ้มกันที่คุยกับกลุ่มของหนิงอ้ายเอ่ยขึ้นอย่างมีเลศนัย ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนเรื่องพูดคุยเป็นเรื่องอื่นที่ต่างเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในมุมมองของตนเอง
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ก็ไม่ต่างไปจากผู้อาวุโสในห้องโถงหลักของสำนักสักเท่าไหร่นัก พวกเขาทั้งหลายยังคงเฝ้ามองสิ่งที่เกิดขึ้นค่ายกลส่งภาพ ในใจพวกเขาต่างรู้สึกอยู่ในใจว่าการรับศิษย์ใหม่ในปีนี้ช่างเต็มไปด้วยเรื่องราวที่แปลกประหลาดใจเสียจริง...
ทางฝั่งกลุ่มของหนิงอ้ายทั้งสี่คนต่างพากันเดินไปไม่ไกลไปจากประตูของสำนักทางด้านฝั่งซ้ายมือ ก่อนที่จะเลือกพักกันอยู่ตรงใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง พวกเขาทั้งสี่คนมีความเห็นตรงกันว่าสภาพพวกเขาตอนนี้นับว่าดูไม่ได้เลยสักนิดราวกับว่าพึ่งผ่านศึกสงครามมาเสียอย่างนั้น ลู่ซีจึงเดินกลับไปสอบทางทางผู้คุมกันอีกครั้งจนได้รับคำตอบว่าไม่ไกลจากนี้มีลำธารอยู่ แน่นอนว่าพวกเขาทั้งสี่คนต่างมีความเห็นตรงกันว่าก่อนที่จะทำอะไรนั้นควรที่จะอาบน้ำก่อนเป็นการดีที่สุด
บริเวณข้างทางก่อนไปถึงลำธารเต็มไปด้วยป่าไผ่ขนาดน้อยใหญ่ที่ขึ้นเรียงรายเป็นซุ้มทางเดินที่สวยงามร่มรื่น แน่นอนว่าบริเวณโดยรอบนี้ต่างถือว่าเป็นเขตป่าที่อยู่ใกล้กับสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์มากที่สุด มีผู้คุ้มกันทั้งที่เปิดเผยตัวตนและมีไม่น้อยเช่นกันที่ซ่อนเร้นอยู่เป็นจำนวนมาก บริเวณดังกล่าวนี้ได้รับการดูแลปกป้องจากเหล่าผู้อาวุโสแสดงให้เห็นว่าทางสำนักศึกษาให้ความสำคัญกับศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบมากเพียงใด
กลุ่มของหนิงอ้ายใช้เวลาไปเกือบครึ่งชั่วยามในการอาบน้ำและจัดการธุระส่วนตัวของตนครั้งนี้ ก่อนกลับไปยังที่พักหนิงอ้ายสังเกตเห็นบางสิ่งอย่างก่อนที่จะเผยรอยยิ้มออกมาก่อนที่สองขาจะก้าวไปด้วยความรวดเร็วจนเห็นได้ชัด
"เจ้าจะไปไหนหนิงอ้ายเหตุใดจึงรีบร้อนเช่นนี้..." อี้หลินเอ่ยทักเด็กหนุ่มขึ้นทันทีเมื่อเห็นว่าตัวคนนั้นเดินแยกออกไปพร้อมกับไปหยุดที่กอไผ่ริมทางเดิน
"เจ้ามองหาอะไรงั้นรึให้ข้าช่วยหาหรือไม่?" จินหั่วเอ่ยถามขึ้นแม้ตนจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไรแต่แน่นอนว่าเขาย่อมพร้อมที่จะช่วยเหลือสหายของตนอย่างไม่บิดพริ้ว
"ข้ากำลังหาของอร่อยมาทำให้พวกเจ้าได้กินอย่างไรเล่า" เมื่อพูดจบหนิงอ้ายได้ใช้พลังปราณของตนผนึกขึ้นก่อนที่จะสั่งการให้ขุดไปยังสิ่งที่โผล่พ้นจากกอไผ่เพียงแค่ส่วนหัวอันน้อยนิดที่หากว่าไม่สังเกตดี ๆ แล้วย่อมไม่เห็นอย่างแน่นอน
"สิ่งนี้เรียกว่าอะไรรึ??" ลู่ซีถามขึ้นด้วยความอยากรู้ เพราะว่าบ่อยครั้งที่หนิงอ้ายมักจะหาวัตถุดิบแปลก ๆ นำมาทำเป็นอาหารซึ่งส่วนมากจะเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่คุ้นเคยสักเท่าไหร่ แต่ด้วยเพราะทุกครั้งต่างลงเอยด้วยรสชาติที่อร่อยแปลกใหม่ดังนั้นสำหรับลู่ซีแล้วเขาไม่มีปัญหาที่จะได้กินฝีมือของเด็กหนุ่ม
สิ่งที่ปรากฏขึ้นด้านหน้าของพวกเขาจะเรียกว่าอะไรนั้นพวกเขาต่างคาดเดาไม่ถูกและไม่คาดคิดว่าจากส่วนที่โผล่ขึ้นจากพื้นไม่ถึงหนึ่งฝ่ามือแต่เมื่อขุดไปแล้วกับพบว่ามีขนาดใหญ่ไปไม่ต่างจากรากไม้ขนาดใหญ่ ทั้งสามคนส่งสายตาไปยังเด็กหนุ่มคล้ายกับเป็นการถามหนิงอ้ายว่าสิ่งนี้คืออะไร
"สิ่งนี้เรียกว่าหน่อไม้ เป็นต้นอ่อนของไผ่พวกนี้ซึ่งสามารถนำไปทำอาหารได้หลากหลายเมนูบอกไปพวกเจ้าคงไม่รู้จักเอาเป็นว่าค่อยรอชิมก็แล้วกัน..." หนิงอ้ายตอบกลับทุกคนไปก่อนที่จะแปรเปลี่ยนพลังปราณของตนให้โอบอุ้มหน่อไม้อันนี้ก่อนที่จะเดินนำทุกคนไปยังที่พักใต้ต้นไม้ที่เลือกไว้ในทันที
ถึงจุดที่พักแล้วหนิงอ้ายได้จัดการเรื่องที่นอนของตนในคืนนี้เรียบร้อยแล้วด้วยการนำใบไม้มาปูเป็นชั้น ๆ เพื่อทำเป็นที่นอนชั่วคราว ระยะเวลาสิบกว่าวันผ่านมานี้หนิงอ้ายคิดถึงที่นอนอันแสนนุ่มฟูของตนเป็นอย่างมาก แต่จะให้ตอนนี้หากตนนำที่นอนและหมอนที่ตนนำออกมาทุกคนคงแตกตื่นเป็นแน่
ตั้งแต่เขาทะลุมิติมานั้นเมื่อปรับตัวได้กับโลกใบนี้และเขาไม่สามารถทำใจได้กับการนอนบนเตียงไม้แข็ง ๆ เขาจึงอ้อนให้ท่านแม้ทำที่นอนและหมอนหนุนด้วยใยฝ้ายที่หาซื้อได้โดยทั่วไปและแน่นอนว่าทั้งหมอนและที่นอนหนานุ่มเช่นนี้หนิงอ้ายล้วนอิงมาจากโลกเดิมของเขาทั้งสิ้น ซึ่งหากเขาทำขึ้นมาขายในโลกนี้คงสร้างความแตกตื่นเป็นแน่แต่นั่นก็เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ภายหลังอีกไม่กี่สิบปี...
"อี้หลิน ข้าว่าเจ้ากับจินหั่วไม่ต้องมาช่วยข้ากับลู่เกอหรอก พวกเจ้าไปดูดซับปราณฟ้าดินเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บก่อนหน้าให้หายดีเถอะ ตอนปะทะกับอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะพวกเจ้าก็ได้ฝืนใช้บทเวทย์ระดับสูงไปเช่นกัน ข้าไม่อยากให้มันส่งผลไปถึงการเพิ่มระดับของพวกเจ้าทั้งสองคนในวันข้างหน้าได้..." หนิงอ้ายบอกกับสหายทั้งสองของตนด้วยหวังยินดี
แม้ว่าทั้งสองจะได้กินโอสถรักษาไปแล้ว แต่ในความเป็นจริงหากว่าได้มีการดูดซับปราณฟ้าดินไปพร้อมกันจะช่วยให้โอสถแสดงผลที่ดีที่สุดออกมาได้ แน่นอนว่าทั้งสองคนไม่ยินยอมเท่าไหร่นักแต่ด้วยเห็นใบหน้าที่จริงจังของสหายจึงปฏิเสธไม่ได้ ก่อนที่จะยื่นคำขาดว่าในคืนนี้พวกเขาทั้งสองคนจะเฝ้ายามแทนหนิงอ้ายกับลู่ซีเองเพราะทั้งสองก็ต้องได้รับการพักผ่อนเช่นกัน
เวลาได้ผ่านไปหนึ่งชั่วยามด้วยความรวดเร็ว แน่นอนว่าหน้าที่ในการหุงข้าวย่อมเป็นลู่ซีที่ดูแลรับผิดชอบส่วนนี้ แต่สำหรับหนิงอ้ายหลังจากจัดการหั่นหน่อไม้ให้มีขนาดที่ต้องการและทำการต้มเพื่อลดความขมให้หมดไปแล้ว ต้องบอกว่าด้วยเวลาเท่านี้หนิงอ้ายได้ทำอาหารขึ้นเกือบสิบอย่าง เป็นเหมือนกับรางวัลความพยายามของพวกเขาที่มาถึงประตูทางเข้าของสำนักได้ในที่สุด
หนิงอ้ายได้ขอให้ลู่ซีนั้นไปเรียกอี้หลินและจินหั่วที่กำลังดูดซับปราณฟ้าดินอยู่อีกฝั่งหนึ่งในป่าไม่ไกลจากตรงนี้ เพราะว่าในตอนนี้อาหารทุกอย่างล้วนเสร็จแล้วทั้งสิ้นและถูกจัดเรียงไว้บนโตะอย่างดี แน่นอนว่าเมื่อทั้งสองมาถึงต่างอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกมาเสียงดัง...
"โอ้!!!เจ้าจะทำเยอะไปไหนกันหนิงอ้าย" จินหั่วเอ่ยถามขึ้นพร้อมกับมองอาหารที่แปลกตาบนโตะอาหาร
"หน้าตาของอาหารพวกนี้ไม่ต่างไปจากเหลาอาหารอันดับต้น ๆ ของแคว้นเสียด้วยซ้ำ มีของโปรดข้าด้วย!!!" อี้หลินเอ่ยชื่นชมขึ้นก่อนที่จะร้องดีใจออกมาเมื่อเห็นว่าหนึ่งในนั้นมีของโปรดของตนอยู่ด้วย
"แล้วสิ่งนั้นที่เจ้าเรียกว่าหน่อไม้ ข้าไม่เห็นจะมีมันอยู่บนโตะเลยหรือว่าเจ้าไม่ได้ทำอาหารจากสิ่งนั้นแล้ว" จินหั่วเอ่ยถามขึ้นเมื่อมองไปทั้งโตะอาหารแล้วพบว่าไม่มีสิ่งใดที่คล้ายกับสิ่งที่สหายตนเรียกว่าหน่อไม้เลยแม้แต่น้อย บนโตะอาหารเต็มไปด้วยของกินที่หลากหลายอย่าง แน่นอนว่าอาหารทั่วไปอย่างเช่นไก่ผัดถั่วลิสง ขนมจีบ ซี่โครงหมูเปรี้ยวหวาน เต้าหู้ทรงเครื่อง รวมไปถึงเกี้ยวน้ำก็มีให้เลือกทานเช่นกัน
"เจ้าทำเยอะเช่นนี้พวกเราสี่คนจะทานหมดอย่างนั้นรึ??" อี้หลินเอ่ยถามขึ้นด้วยความเสียดาย แม้ว่าเขาจะมาตระกูลใหญ่ก็จริงแต่ถ้าอาหารที่ดูน่าทานเช่นนี้หากต้องเหลือทิ้ง สำหรับผู้ที่ชื่นชอบการกินเช่นเขาแล้วนั้นย่อมเป็นสิ่งที่ปวดใจยิ่งนัก
"ดูถามเข้าข้าไม่เชื่ออว่าตัวตะกละเช่นเจ้าจะกินไม่หมดนะอี้หลินฮ่าฮ่าฮ่า" จินหั่วหยอกสหายของตนไปด้วยรู้ดีว่าเห็นอีกฝ่ายตัวเล็กเช่นนี้แต่ในเรื่องของการกินแล้วเขายังต้องยอมแพ้ไปในบางครั้ง
"เอาละ!!ก่อนที่อาหารจะเย็นไปมากกว่านี้ ข้าว่าพวกเราควรกินกันได้แล้ว..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นอีกครั้งก่อนที่จะนั่งลงด้วยท่าทางราวกับคุณชายน้อยผู้หนึ่งก่อนที่จะคีบเอาอาหารที่อยู่ด้านหน้าของตนเข้าปากไปด้วยความรวดเร็ว
อี้หลิน จินหั่ว และลู่ซีต่างไม่รอช้านั่งลงในที่ว่างก่อนที่จะเลือกคีบอาหารที่ใกล้มือตนเข้าปากไปในทันทีเช่นกัน…
"นี่มันอร่อยมาก ข้าไม่เคยกินเกี้ยวน้ำที่มีรสชาติหวานกรอบเช่นนี้มาก่อนนี่ไม่ต่างไปจากเหลาอาหารอันดับหนึ่งของแคว้น..." อี้หลินยังคงพูดไปและคีบอาหารอื่นอีกด้วยความรวดเร็วอีกทั้งดวงตาซุกซนเปิดออกกว้างเป็นอย่างยิ่ง เพราะสวรรค์สำหรับนักกินเช่นเขาการได้กินอาหารที่อร่อยก็ทำให้มีความสุขมากพอแล้ว
"ไส้ในเกี้ยวน้ำและหรือแม้จะทั่งไส้ของอย่างอื่นมีสิ่งที่เจ้าเรียกว่าหน่อไม้อยู่ใช่หรือไม่??" แน่นอนว่าจินหั่วผู้ที่ชื่นชอบในการสังเกต เห็นได้ว่าบนโตะอาหารนี้จะเป็นอาหารที่พวกเขาล้วนคุ้นหน้าตาแต่ทว่าทุกจานนั้นกลับมีเจ้าสิ่งนั้นสอดแทรกประสานไปได้อย่างลงตัวจนเรียกได้ว่าเกิดเป็นรสชาติใหม่เลยทีเดียว
บรรยากาศบนโตะอาหารของกลุ่มหนิงอ้ายทั้งสี่คนนั้นเต็มไปด้วยความสุขและสีหน้าที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจในอาหารมื้ออย่างถึงที่สุด แน่นอนว่าเหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายที่เฝ้ามองดูผ่านจากค่ายกลส่งภาพต่างท้องร้องกันออกมาเสียงดัง
จริงอยู่ที่ว่าสำหรับผู้ฝึกตนยิ่งมีระดับพลังวิญญาณสูงเท่าไหร่ ความจำเป็นในการทานอาหารอาจกล่าวได้ว่าพวกเขาสามารถอดอาหารได้เป็นหาลสิบหลายร้อยปี แต่ด้วยเพราะว่าค่ายกลส่งภาพนี้อยู่ใกล้กับพื้นที่ของสำนักศึกษาซึ่งทำให้กลิ่นหอมของอาหารพวกเขาต่างสัมผัสได้และตั้งใจว่าต้องมีสักครั้งหนึ่งที่ตนได้กินกินอาหารจากฝีมือของหนิงอ้ายผู้นี้
มีจำนวนไม่น้อยเช่นกันที่มองไปถึงว่าหากได้เด็กหนุ่มมาเป็นศิษย์ในตำหนักของตน หากจะให้อีกฝ่ายทำอาหารหน้าตาน่าทานเช่นนี้ทุกวันคงไม่ได้แปลกประหลาดอันใด ซึ่งบรรยากาศเหล่านี้ได้ผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วยามเลยทีเดียว
"สิ่งที่เจ้าเรียกว่าหน่อไม้นั้นอร่อยมาก หากข้าอยากจะขอสูตรไปให้พ่อครัวประจำตระกูลของข้าทำให้ท่านพ่อและท่านแม่กินจะได้หรือไม่?" อี้หลินเอ่ยถามสหายตัวน้อยของตนด้วยความคาดหวังเพราะระหว่างการกินอาหารนั้นหนิงอ้ายยังบอกว่าเจ้าหน่อไม้นี้ยังทำของอร่อยได้อีกมากมาย
"เอาไว้เวลาว่าง ๆ ข้าจะเขียนสูตรให้เจ้าแล้วกัน..." หนิงอ้ายตอบกลับไปอย่างไม่ได้คิดอะไรมาก สิ่งเหล่านี้ย่อมไม่ใช่ความคิดของเขาแต่แรกเพราะในโลกเดิมของเขาหน่อไม้สามารถนำมาทำอาหารและสิ่งอื่นได้อย่างมากมายสารพัดอย่าง
"ความจริงข้าอยากแนะนำให้พวกเจ้ารู้จักกับบางคนด้วย..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นหลังจากที่ทั้งอี้หลินและจินหั่ว ขอเป็นผู้รับผิดชอบในการทำความสะอาดและจัดเก็บทุกอย่างให้เรียบร้อยก่อนที่พวกเขานั้นจะมานั่งล้อมวงคุยกัน
"ใครกันรึ??? หรือว่าผู้ที่ผ่านการทดสอบที่มาถึงก่อนหน้าจะเป็นสหายของเจ้ากัน..." จินหั่วเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัยก่อนที่สายตาของเขาจะเห็นดวงตากลมโตสีแดงที่โผล่พ้นจากอกเสื้อของหนิงอ้ายที่มองมาทางเขาพอดี
แน่นอนว่าอี้หลินก็เห็นความเคลื่อนไหวนั้นเช่นกันก่อนที่จะเอ่ยสิ่งใดขึ้นมานั้นเด็กหนุ่มจึงเอ่ยขึ้นมาเสียก่อน
"คนทางขวามือคือจินหั่วส่วนทางซ้ายมือคืออี้หลิน พวกเขาคือสหายใหม่ของข้า..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับชี้ไปทางเด็กหนุ่มทั้งสอง
"ส่วนนี่คือต้าเฮย ความจริงแล้วต้าเฮยก็อยู่กับพวกเรามาตั้งแต่ต้นแล้วเพียงแต่ก่อนหน้าเวลายังไม่เหมาะสมที่จะแนะนำให้ทุกคนรู้จักสักเท่าไหร่..." สิ้นคำเอ่ยของหนิงอ้าย เจ้าตัวน้อยอสรพิษสีดำได้เลื้อยลงไปจากอกเสื้อของเขาก่อนที่จะเลื้อยไปทางเด็กหนุ่มทั้งสองก่อนที่จะกัดนิ้วชี้ของเด็กหนุ่มทั้งคู่ด้วยความรวดเร็ว และเลื้อยกลับเข้ามาในอกเสื้อของหนิงอ้ายก่อนที่ส่วนคอนั้นจะโผล่พ้นออกมา พร้อมกับดวงตาสีแดงยังจองจ้องมองไปรอบ ๆ ด้วยความตื่นเต้น
"พวกเจ้าไม่ต้องตกใจไป ต้าเฮยเพียงกัดพวกเจ้าเพื่อแทรกปราณธาตุพิษเอาไว้ หากในวันข้างหน้าหากพวกเจ้าโดนวางยาพิษหรือต้องพบเจอกับสัตว์อสูรปราณธาตุพิษสิ่งนี้จะสามารถปกป้องพวกเจ้าได้"
ไม่ทันให้เด็กหนุ่มทั้งสองคนได้ตั้งสติ ตอนแรกพวกเขาต่างตกใจในความรวดเร็วของเจ้าตัวน้อย และที่ทำให้ตกใจไปยิ่งกว่านั้นคือการแทรกปราณธาตุต้นกำเนิดเข้าสู่ร่างกายของผู้ฝึกตนเพื่อส่งมอบความสามารถการปกป้องพิษ
ความสามารถดังกล่าวนี้คงไม่ใช่สัตว์อสูรระดับต่ำทั่วไป แต่ด้วยเพราะหนิงอ้ายที่เป็นสหายที่ตนไว้ใจนั้นในเมื่ออสรพิษตัวนี้เป็นสัตว์เลี้ยงของอีกฝ่าย ดังนั้นพวกเขาทั้งสองคนก็ไว้ใจและทราบซึ้งใจเป็นอย่างมาก
"ขอบใจเจ้านะต้าเฮย เจ้าช่างดีที่สุด" เสียงของอี้หลินและจินหั่วเอ่ยขึ้นพร้อมกันจากนั้นอสรพิษตัวน้อยเจ้าของชื่อต่างชูคอขึ้นราวกับว่าตนนั้นสูงศักดิ์และเหมาะสมกับคำชมนี้มากเพียงใด เมื่อทั้งสองเห็นเป็นเช่นนั้นจึงเอ่ยชมเจ้าตัวน้อยไปอีกหลายคำ หนิงอ้ายนั้นได้แต่ส่ายหัวเบา ๆ ออกมาดูท่าแล้วต้าเฮยนี่บ้ายอไม่น้อย
พวกเขาทั้งสี่..ไม่สิตอนนี้เป็นห้าแล้วเพราะว่าต้าเฮยได้เปิดเผยตัวให้กับกลุ่มของหนิงอ้ายได้รับรู้ถึงการมีอยู่ของเจ้าตัวน้อย แน่นอนว่าผู้อาวุโสที่เฝ้ามองอยู่ก็ทราบเช่นกัน แม้จะสัมผัสได้ว่าสัตว์เลี้ยงตัวนี้ช่างเต็มไปด้วยความลึกลับเพียงใดแต่ถึงอย่างนั้นระดับของอีกฝ่ายที่สามารถสัมผัสได้ก็อยู่เพียงสัตว์อสูรระดับนภาขั้นต่ำเท่านั้น
การที่อีกฝ่ายสามารถแฝงปราณธาตุพิษไปยังเด็กหนุ่มทั้งสองคนนั้นด้วยระดับพลังเท่านี้นับว่าเกินตัวไปจนน่าเหลือเชื่อ แต่นั่นพอเข้าใจได้ว่าอสรพิษน้อยตัวนี้คงมีสายเลือดพิเศษแอบแฝงอยู่เป็นแน่ เพราะโลกแห่งผู้ฝึกตนนี้นั้นยังมีสิ่งอื่นอีกมากที่เต็มไปด้วยปริศนาเช่นกัน
"พวกเจ้าคิดว่าทางสำนักจะมีทดสอบอะไรเพิ่มเติมอีกหรือไม่??" อี้หลินเอ่ยถามความเห็นของทุกตนที่ในตอนนี้ต่างนั่งล้อมวงพูดคุยกันอย่างผ่อนคลาย
"ต้องการคำตอบแบบสบายใจหรือความจริงเล่า??" หนิงอ้ายเอ่ยถามขึ้นกลับไปยังสหายวัยเดียวกันของตน
"จริงสิ!!! ตอนนี้เรามีท่านเทพพยากรณ์หนิงอ้าย เช่นนั้นท่านเทพช่วยทำนายได้หรือไม่ว่าการทดสอบถัดไปนั้นในวันพรุ่งนี้จะเป็นอะไร??" อี้หลินยังคงพูดเล่นกับหนิงอ้าย
ถึงอย่างไรความหมายของคำถามก็เป็นสิ่งที่เขาต้องการทราบเช่นกัน เพราะก่อนหน้านี้อีกฝ่ายก็สามารถบอกเส้นทางที่ถูกต้องและพาพวกเขาทุกคนมาถึงประตูทางเข้าของสำนักได้สำเร็จ ดังนั้นสำหรับเขาแล้วหนิงอ้ายไม่ต่างไปจากท่านเทพเซียนแห่งการรอบรู้เสียคงไม่เกินจริงไปนัก...
ทางฝั่งผู้อาวุโสที่เฝ้ามองกลุ่มของหนิงอ้ายผ่านค่ายกลส่งภาพนี้ พวกเขาต่างล้วนอยากรู้ว่าเด็กหนุ่มนั้นล่วงรู้ถึงแบบทดสอบในวันพรุ่งนี้จริงหรือไม่? เพราะหากเด็กหนุ่มทราบจริงนี่ออกจะเหลือเชื่อเกินไปสักหน่อยแล้วการทดสอบครั้งถัดไปเป็นท่านเจ้าสำนักและท่านรองเจ้าสำนักเป็นผู้ดูแลด้วยตนเอง เหล่าผู้อาวุโสตอนนี้ต่างจ้องมองกลุ่มของหนิงอ้ายสลับไปมากับทางฝั่งของทั้งสองคนผู้สูงศักดิ์ในสำนักศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการทดสอบที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้…"ให้ข้าเปิดเผยความลับสวรรค์ให้เช่นนั้นรึ? หากว่าเจ้าสามารถหยุดพูดไปถึงหนึ่งเค่อข้าจักยอมทำนายให้แก่เจ้าก็แล้วกัน..." ท่าทางของหนิงอ้ายที่แสดงออกมาช่างดูเหมาะสมกับช่วงวัยสิบห้าสิบหกยิ่งท่าทางหยอกล้อที่เต็มไปด้วยความสดใสทำเอาผู้ที่แอบเฝ้ามอง? ผ่านดวงตากลมโตสีแดงชาด อดที่จะขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้ดูท่าแล้วตนคงต้องรีบไปพบเจ้ากระต่ายน้อยของตนให้เร็วที่สุด"หนิงอ้าย ไม่สิ!! เจ้าเป็นใครกันสหายของข้าไม่เคยพูดเล่นเช่นนี้ ไม่นะ!! เอาสหายข้าคืนมา..." เมื่อเห็นเด็กหนุ่มส่งมาแบบนั้นแล้ว อี้หลินจึงทำการละเล่นตอบกลับไปใหญ่โตกว่าเดิมหลายเท่า ท่ามกลางสายตาของลู่ซีและจินหั่วที่สายหัว
"หนิงอ้ายเจ้าคิดว่าปีนี้การทดสอบจะเป็นอย่างไร?" หลี่ซวงถามขึ้นหลังจากที่พวกเขาใช้เวลาพูดคุยกันไปหลายชั่วยาม นับว่าเป็นสหายที่พูดคุยกันได้ถูกคอยิ่ง"ข้าคิดว่าผู้อาวุโสที่คอยกำกับดูแลในเรื่องนี้คงไม่ได้มีการทดสอบที่ยากจนเกินไป เพราะว่าแต่ละปีจำนวนของผู้ฝึกตนที่ผ่านการทดสอบแรกก็มีจำนวนน้อยอยู่แล้ว หากหลังจากนี้การทดสอบยังเป็นสิ่งที่ยุ่งยากอีก ข้าว่าทางสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์คงไม่ได้ศิษย์ใหม่เลยซักคนเป็นแน่..." หนิงอ้ายตอบกลับไปตามความคิดของตนเพราะสำหรับจำนวนผู้ฝึกตนที่ผ่านการทดสอบแรกจนมาถึงประตูทางเข้าของสำนักก็ว่ามีจำนวนน้อยมากแล้ว หากยังมีการทดสอบที่ยุ่งยากเขาเกรงว่าสิ่งที่เขาตอบไปอาจเกิดขึ้นจริงก็เป็นได้"ก็จริงของเจ้านะหนิงอ้าย ฮ่าฮ่าฮ่า" ชายหนุ่มที่เหลือทั้งห้าคนต่างหัวเราะขึ้นเสียงดังกับคำตอบที่หนิงอ้ายได้เอ่ยจบไปเมื่อครู่อย่างอดใจไม่ได้ทางฝั่งของผู้อาวุโสที่เฝ้ามองอยู่ในค่ายกลส่งเมื่อพวกเขาคิดตามคำพูดของเด็กหนุ่มก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้เช่นกัน เรื่องของจำนวนศิษย์ใหม่ในแต่ละปีมีจำนวนน้อยเพียงใดพวกเขาต่างกระจ่างใจเป็นที่สุด...ด้วยจำนวนของผู้ผ่านการทดสอบแรกนี้มีจำนวน
เมื่อพลังวิญญาณได้ผสานลงไปในป้ายหยกที่ได้รับต่างรู้สึกได้ถึงพลังอันแปลกประหลาดอันทรงพลังแข็งแกร่ง และยังคงกลิ่นอายของความศักดิ์สิทธิ์โบราณยังคงถูกรักษาไว้ไม่ให้สูญสลายไปตามกาลเวลา พลังประหลาดนี้ได้ไหลเวียนไปทั่วทั้งร่างกายอย่างไร้ซึ่งสิ่งใดต่อต้านได้ทั้งสิ้นเพียงอึดใจเดียวแสงสว่างที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าได้กระตุ้นให้พวกเขาทุกคนต้องลืมตาขึ้น ภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าคือลานพิธีขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ปราณธาตุน้ำแข็งศักดิ์สิทธิ์ที่มีความแวววาวและมีคุณสมบัติที่คงทนเป็นอันดับต้น ๆ ในยุทธภพกล่าวว่าหาได้ยากยิ่งในการครอบครองแม้เพียงขนาดเท่ากำปั้นมือ ทว่าทางสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์เองกลับใช้แร่ปราณธาตุน้ำแข็งศักดิ์สิทธิ์นี้ในการสร้างลานพิธีแห่งนี้ขึ้น หากสังเกต ก็จะพบว่าทุกสิ่งก่อสร้างที่อยู่ในอาณาเขตของสำนักศึกษาที่สามารถสองเห็นได้นั้นต่างถูกทำขึ้นจากแร่ปราณธาตุน้ำแข็งศักดิ์สิทธิ์ไม่ต่างกันทั้งสิ้นความรู้สึกที่สัมผัสได้ทำให้ตัวตนของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ในใจของพวกเขารุ่นเยาว์ชายหญิงที่เป็นศิษย์ใหม่ต่างถูกยกสูงไปอีกไม่รู้กี่เท่า แน่นอนว่าพวกเขาต่างคิดเห็นตรงกันว่าการตัดสิน
"หากต้องการเห็นฝีมือที่แท้จริงของข้า ด้วยระดับพลังของท่านในตอนนี้ยังนับว่าไม่คู่ควรสักเท่าไหร่นัก!" หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นด้วยความเคร่งขรึมเนตรแห่งสวรรค์ส่งข้อมูลให้รับรู้ว่าเคล็ดวิชากระบี่ตรงหน้าที่ชายหนุ่มใช้กับตนนั้นเป็นหนึ่งสุดยอดเคล็ดวิชากระบี่ที่ขึ้นชื่อของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ การนำมาใช้กับศิษย์ใหม่เช่นนี้หนิงอ้ายมองว่าเป็นการรังแกกันเกินไปเสียหน่อย ดังนั้นเพื่อเเสดงให้ทุกคนเห็นว่าเขาไม่ใช่ลูกพลับนิ่มที่ทุกคนสามารถบีบได้โดยง่ายจึงต้องแสดงฝีมืออกมาเสียบ้างแล้วเคล็ดวิชากระบี่เจ็ดดาวเหนือของหนิงอ้ายได้ถูกปรับเปลี่ยนโดยการใช้อักขระเวทย์โบราณเข้าเสริมจึงทำให้เคล็ดวิชานี้มีอาณุภาพไปไม่ต่างบทเวทย์ระดับเซียนเสียด้วยซ้ำ เห็นแก่ที่ชายหนุ่มศิษย์สายนอกผู้นี้ที่อายุน้อยกว่า (อายุน้อยกว่าในโลกเดิม) เช่นนั้นเขาจะใช้พลังปราณเพียงสามสี่ส่วนเพื่อไม่ให้เป็นอันตรายต่ออีกฝ่ายไปมากนักก็แล้วกันมือขวาของหนิงอ้ายตวัดขึ้นกระบี่เล่มงามที่ถูกผนึกขึ้นจากปราณธาตุไฟก่อนหน้าได้สลายหายไปในอากาศ ก่อนที่รอบตัวของเด็กหนุ่มจะปรากฎขึ้นเป็นกระบี่เจ็ดเล่มที่แผ่กลิ่นอายความเหนือชั้นอหังการออกมา ก่อนที่หมุนวน
'ต้าเฮยเจ้าคิดว่าทั้งสี่ตำหนักข้าควรเลือกเข้าตำหนักใดดีที่สุด?' หนิงอ้ายเอ่ยถามเจ้าตัวน้อยที่ขดอยู่ในอกเสื้อของตนผ่านกระเเสจิตเพื่อถามความคิดเห็นของอีกฝ่ายเพื่อประกอบการตัดสินใจครั้งนี้'ไม่ว่าท่านจะเลือกเข้าตำหนักใดจะมีข้าที่คอยอยู่เคียงข้างและปกป้องท่านขอรับ...' ต้าเฮยตอบกลับไปตามความคิดที่มีต่อนายท่านคนงามนี้ด้วยเพราะว่าท่านประมุขกำชับมันไว้ว่าต้องดูแลนายหญิงให้ดีที่สุด'ขอบใจเจ้ามาก เอาละ! ข้าตัดสินใจได้เเล้ว...' ในที่สุดหนิงอ้ายก็สามารถตัดสินใจเลือกตำหนักที่ตนสนใจได้แล้ว"ก่อนที่เจ้าจะเลือกเข้าสังกัดตำหนักใด จงฟังข้อเสนอของพวกข้าเสียหน่อยเถิด..." ผู้อาวุโสรุ่ยเหอเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าหนิงอ้ายมีท่าทางราวกับว่าตัดสินใจได้แล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้นับว่าสร้างความประหลาดใจแก่ศิษย์ใหม่เป็นอย่างมาก แต่บรรดาผู้อาวุโสและศิษย์สายนอกและสายในตั้งแต่ปีที่สองขึ้นไปต่างเคยเห็นหรือพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนทั้งสิ้น การให้ข้อเสนอหรือการชักชวนจากเจ้าตำหนักทั้งสี่มักจะเกิดขึ้นเสมอ ในยามที่ผู้อาวุโสเหล่านี้ต้องการให้ศิษย์ที่ตนหมายตาไว้ให้เข้าร่วมสังกัดตำหนักของตนนั่นเอง"ความสามารถและญาณสัมผัสอันล
ตามกฎเกณฑ์ที่ตั้งไว้ ศิษย์ใหม่ที่สามารถเอาชนะศิษย์สายนอกได้ย่อมสามารถแจ้งความประสงค์ในการเข้าสังกัดตำหนักที่ตนสนใจได้หรือแม้กระทั่งศิษย์ใหม่ที่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไม่สามารถเอาชนะได้ก็สามารถเลือกเข้าสังกัดที่ตนสนใจได้แต่ถึงอย่างไรหากศิษย์คนดังกล่าวที่แจ้งความต้องการสำหรับเข้าสังกัดในตำหนักนั้น ๆ หากว่าท่านเจ้าตำหนักพิจารณาแล้วว่าศิษย์ใหม่ผู้นั้นไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะเข้าร่วมตำหนักของตน ท่านเจ้าตำหนักก็มีสิทธิที่จะปฏิเสธความต้องการของศิษย์ใหม่เหล่านั้นได้เช่นกันเหมือนกันกับหนิงอ้ายที่แจ้งความต้องการขอเข้าสังกัดศาสตร์แห่งการรักษา ซึ่งเป็นตำหนักที่ผู้คนภายนอกหรือแม้กระทั่งศิษย์ในสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ต่างรับรู้เรื่องราวตำหนักนี้น้อยมาก ว่ากันว่าในการทดสอบศิษย์ใหม่นับสิบปีผ่านมาทางตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาไม่ได้รับศิษย์เข้าตำหนักของตนแม้แต่คนเดียว ไม่ใช่เพราะว่าไม่มีผู้ใดไม่ต้องการเข้าร่วมตำหนักนี้ เพียงแต่ว่าเจ้าตำหนักเหวินหวู่ เป็นผู้ปฏิเสธความต้องการของเหล่าศิษย์ใหม่พวกนั้นไปเสียสิ้นด้วยนิสัยแปลกประหลาดนี่เอง หลายครั้งที่ปรมจารย์เหวินหวู่ท่านนี้เดินทางไปทั่วทั้งมหาทวีปอย่างอิ
"เก่งมากหนิงอ้าย ท่านปู่ท่านยายและท่านแม่คงภูมิใจในตัวเจ้ามากเป็นแน่!!" ลู่ซีเอ่ยขึ้นพร้อมดึงหนิงอ้ายเข้ามากอด ทันทีที่เด็กหนุ่มออกจากลานพิธีมายังกลุ่มของพวกตนที่ยังยืนรออยู่เสียงของลู่ซีนั้นเเสดงถึงความยินดีเป็นอย่างยิ่ง แต่ถึงอย่างไรนั้นเสียงขู่ฟ่อของต้าเฮยที่ดังขึ้นจากอกเสื้อของเด็กหนุ่มราวกับว่าไม่พอใจบางอย่าง ทำให้ลู่ซีมึนงงไปชั่วครู่ก่อนที่จะผละออกจากตัวของเด็กหนุ่มไป"ลู่เกอก็เก่งมากเช่นกัน หากท่านตารู้ว่าท่านสามารถใช้สมบัติวิเศษที่ท่านตามอบให้ได้อย่างเชี่ยวชาญท่านคงภูมิใจมากเป็นแน่ อีกทั้งท่านยายและท่านแม่นั้นย่อมยินดีกับเราสองพี่น้องอย่างแน่นอนขอรับ..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับเผยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุขลู่ซีนับว่าอยู่กับเขามาตลอดตั้งแต่ได้มาอยู่ในโลกแห่งนี้ การที่หนิงอ้ายชมไม่ได้เพียงเพื่อเอาใจอีกฝ่ายเท่านั้นเพราะความสามารถของลู่ซีเมื่อเทียบกับเขาในโลกก่อนแล้วนับได้ว่าค่อนข้างสูสีเลยทีเดียว"โอ้!!นี่ข้าเป็นถึงสหายของศิษย์ผู้สืบทอดตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาเลยอย่างนั้นรึ ในวันหน้าหากได้รับบาดเจ็บจากการฝึกซ้อมเจ้าต้องรักษาข้านะหนิงอ้าย..." อี้หลินเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดีก่อนที
ระหว่างการเดินทางหนิงอ้ายได้ทราบว่าสตรีผู้เป็นศิษย์พี่ของเขามีนามว่าไป๋เหลียนฮวา ผู้มีมีศักดิ์เป็นหลานของผู้อาวุโสเหวินหวู่ นางเป็นศิษย์ลำดับที่ห้าที่ได้เข้าสังกัดอยู่ในตำหนักนี้มาได้หลายปีเเล้ว ด้วยเพราะนางเป็นสตรีเพียงคนเดียวในตำหนัก ดังนั้นหน้าที่ในการดูเเลรับผิดชอบต่าง ๆ ผู้อาวุโสเหวินหวู่ได้มอบอำนาจให้นางจัดการแทบทั้งสิ้นฟังว่าศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รองออกไปทำภารกิจบางอย่างให้ผู้อาวุโสเหวินหวู่ อีกไม่นานคาดการณ์ว่าคงใกล้กลับสำนักแล้ว ทางฝั่งของศิษย์พี่สามกำลังเข้ากักตัวเนื่องจากมีสัญญาณว่าจะเลื่อนละดับในเร็ววันนี้ สำหรับศิษย์พี่สี่ด้วยเพราะมีนิสัยที่ไม่ชื่นชอบความวุ่นวายเท่าไหร่นักจึงพำนักอยู่ในเรือนของตนเพื่อศึกษาตำราและทดลองปรุงโอสถต่าง ๆดูเหมือนว่าศิษย์พี่เหล่านี้จะไม่ยินดีต้อนรับหนิงอ้ายมาเป็นศิษย์น้อง พวกเขาล้วนต่างตื่นเต้นที่จะได้ศิษย์น้องคนใหม่เข้าตำหนักของตน แต่เพราะหลายปีที่ผ่านมายังไม่มีผู้ใดเข้าตาท่านเจ้าตำหนัก จึงทำให้หลังจากการรับศิษย์ลำดับที่ห้าเมื่อหลายปีมาเเล้วนั้น บรรดาศิษย์ในตำหนักจึงเลิกให้ความสนใจและเข้าร่วมพิธีการทดสอบศิษย์ใหม่ จึงเป็นนางเองที่เป็นผู้จัดการทุ
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต
มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล
ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย