ตามกฎเกณฑ์ที่ตั้งไว้ ศิษย์ใหม่ที่สามารถเอาชนะศิษย์สายนอกได้ย่อมสามารถแจ้งความประสงค์ในการเข้าสังกัดตำหนักที่ตนสนใจได้หรือแม้กระทั่งศิษย์ใหม่ที่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไม่สามารถเอาชนะได้ก็สามารถเลือกเข้าสังกัดที่ตนสนใจได้
แต่ถึงอย่างไรหากศิษย์คนดังกล่าวที่แจ้งความต้องการสำหรับเข้าสังกัดในตำหนักนั้น ๆ หากว่าท่านเจ้าตำหนักพิจารณาแล้วว่าศิษย์ใหม่ผู้นั้นไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะเข้าร่วมตำหนักของตน ท่านเจ้าตำหนักก็มีสิทธิที่จะปฏิเสธความต้องการของศิษย์ใหม่เหล่านั้นได้เช่นกัน
เหมือนกันกับหนิงอ้ายที่แจ้งความต้องการขอเข้าสังกัดศาสตร์แห่งการรักษา ซึ่งเป็นตำหนักที่ผู้คนภายนอกหรือแม้กระทั่งศิษย์ในสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ต่างรับรู้เรื่องราวตำหนักนี้น้อยมาก ว่ากันว่าในการทดสอบศิษย์ใหม่นับสิบปีผ่านมาทางตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาไม่ได้รับศิษย์เข้าตำหนักของตนแม้แต่คนเดียว ไม่ใช่เพราะว่าไม่มีผู้ใดไม่ต้องการเข้าร่วมตำหนักนี้ เพียงแต่ว่าเจ้าตำหนักเหวินหวู่ เป็นผู้ปฏิเสธความต้องการของเหล่าศิษย์ใหม่พวกนั้นไปเสียสิ้น
ด้วยนิสัยแปลกประหลาดนี่เอง หลายครั้งที่ปรมจารย์เหวินหวู่ท่านนี้เดินทางไปทั่วทั้งมหาทวีปอย่างอิสระ ไม่ค่อยประจำอยู่ในสำนักศึกษา หากว่าได้พบเห็นรุ่นเยาว์มากพรสวรรค์คนใดที่เข้าตาแล้วละก็ ท่านมักจะเชิญชวนให้รุ่นเยาว์ผู้นั้นเข้ามาเป็นศิษย์ในตำหนักของตน
นั่นจึงทำให้ในบรรดาตำหนักทั้งสี่ที่อยู่ภายใต้สำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์มีเพียงตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาเท่านั้น ศิษย์สายในและศิษย์สายนอกของตำหนักมีทั้งผู้ที่ผ่านการทดสอบของทางสำนักที่ได้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี รวมไปถึงการทดสอบนอกที่ผู้อาวุโสเหวินหวู่เป็นผู้ทดสอบศิษย์ผู้นั้นด้วยตนเอง
ดังนั้นด้วยทั้งหมดนี้สิ่งที่จ้าวหลานเอ่ยขึ้นอย่างเป็นกังวลใจนั้นจึงเป็นสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้เช่นกัน กลุ่มของหนิงอ้ายต่างภาวนาให้ท่านเจ้าตำหนักเหวินหวู่เมตตาสหายของตนและรับหนิงอ้ายเข้าเป็นศิษย์ในตำหนักตามความตั้งใจของอีกฝ่ายจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุด...
เปรี้ยง!
ตู้ม!
เสียงระเบิดดังขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัวทำให้ศิษย์ทุกคนในที่นี้ต่างหูตาพร่ามัวไปชั่วขณะ เพียงชั่วครู่สายตาของทุกคนต่างมองไปยังจุดเดียวกันคือกลางสนามประลองที่ในตอนนี้เด็กหนุ่มนามว่าหนิงอ้ายยืนอยู่ไร้ซึ่งรอยขีดข่วนภายในปราการบทเวทย์ป้องกันของตน นี่จึงทำให้ทุกคนพอที่จะคาดเดาได้ว่าเมื่อครู่นั้นอีกฝ่ายพึ่งตั้งรับกับบางสิ่งเหนือญาณสัมผัสรับรู้ของพวกเขา
ที่น่าแปลกใจว่าเด็กหนุ่มคนนี้อายุเพียงสิบห้าสิบหกปีแต่กลับไปด้วยญาณสัมผัส ดูไปแล้วหากศิษย์น้องถูกปฏิเสธจากท่านเจ้าตำหนักเหวินหวู่พวกตนจะไม่รอช้าชักชวนอีกฝ่ายให้เขาร่วมสังกัดในตำหนักของตนอย่างแน่นอน
เปรี้ยง!
ตู้ม!
"ปราการมหาอัคคีอหังการ!!!!"
เสียงปะทะกันของบทเวทย์โจมตีที่เป้าหมายคือเด็กหนุ่มที่อยู่ในปราการของเวทย์ป้องกันนั้นยังคงดังขึ้นอย่างต่อเนื่องแม้จะดูยาวนานแต่ความจริงเป็นเพียงไม่กี่จิบชาเท่านั้น ทุกการโจมตีแฝงไปด้วยความรุนแรงและไม่ทิ้งช่วงให้ได้หายใจได้สร้างความกดดันแก่ผู้ที่ได้พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง
แต่ถึงอย่างนั้นแล้วเด็กหนุ่มยังคงตั้งรับด้วยท่าทางสงบนิ่งแสดงความจริงจังเพิ่มขึ้นหลายส่วน ก่อนที่กลางสนามประลองจะปรากฎเป็นหมอกพิษสีดำที่ส่งเสียงน่ากลัวออกมาก่อนที่ศิษย์สายในและสายนอกที่อยู่ใกล้บริเวณนั้นต่างหลบหลีกจากพื้นที่นั้นอย่างรวดเร็ว หมอกพิษพิพากษาสวรรค์ ของผู้อาวุโสเหวินหวู่ที่ทุกคนต่างทราบดีว่านี่เป็นอีกทักษะวิญญาณที่สร้างชื่อแก่ท่านเป็นอย่างมาก
หากสัมผัสพิษนี้เพียงเศษเสี้ยวแต่หากไม่ได้รับการถอนพิษอย่างทันท่วงทีนั้น แม้จะเป็นถึงผู้ฝึกตนระดับเทพยุทธ์วิญญาณแล้วยังต้องหวั่นเกรงอานุภาพของหมอกพิษนี้ไปหลายส่วนเลยทีเดียว
วิญญาณยุทธ์ปักษาเพลิงศักดิ์สิทธิ์ ทักษะวิญญาณที่หนึ่งสรรพธาตุหมื่นเทวะโลหิตอัคคีมายา โจมตี!!
หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นทันทีเมื่อเห็นว่าเวทย์ป้องกันของตนไม่สามารถตั้งรับการโจมตีนี้ได้แล้ว อีกทั้งพิษดังกล่าวได้เข้าแทรกซึมม่านปราการป้องกันของเขาไปบางส่วนแล้ว หากยังคงประวิงเวลาต่อไปนานเท่าใดเขาย่อมถูกพิษนี้เป็นแน่ มือเรียวงามของเด็กหนุ่มได้กางขึ้นพร้อมกันพร้อมกับประสานเป็นท่าทางแปลกตายิ่ง
วงแหวนวิญญาณสีเขียวเข้มสองวงแหวนได้ปรากฏขึ้นตรงด้านหลังของหนิงอ้าย เป็นที่รับรู้ว่าเด็กหนุ่มได้ครอบครองกระดูกวิญญาณอายุสี่พันปีถึงสองวงแหวนเลยทีเดียวนับว่าโดดเด่นยิ่งนัก แม้ว่าผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิวิญญาณสามารถดูดซับกระดูกวิญญาณจากสัตว์อสูรอายุสี่พันปีได้ แต่ไม่เคยปรากฏให้เห็นว่าด้วยวัยเพียงสิบห้าสิบหกปีกลับครอบครองกระดูกวิญญาณสี่พันปีถึงสองวงแหวนเช่นนี้
ก่อนที่จะปรากฏร่างจำแลงของอสูรราชันย์วิหคอัคคีมายาขนาดใหญ่ที่ครอบทับตัวของเด็กหนุ่มในทันที หนิงอ้ายเร่งเร้าพลังลมปราณออกมาเพิ่มขึ้นส่งผลให้ร่างจำแลงของอสูรราชันย์วิหคอัคคีมายานี้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมสองถึงสามเท่า ก่อนที่ร่างจำแลงนี้ได้พุ่งรับการโจมตีจากหมอกพิษดังกล่าวจนเกิดเสียงดังไปทั่วทั้งบริเวณ
เผชิญหน้ากับผู้ฝึกตนระดับสูงที่ไม่อาจคาดเดาระดับพลังฝีมือได้รวมไปถึงหมอกพิษที่มีความลึกล้ำพิศดารเช่นนี้แล้วใบหน้าของเด็กหนุ่มเริ่มแสดงอาการเคร่งเครียด หนิงอ้ายเลือกที่จะไม่เปิดเผยทักษะวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุพิษในยามนี้
แม้ว่าวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟที่ได้ดูดซับกระดูกวิญญาณของอสูรราชันย์วิหคอัคคีมายาไป แต่หากเทียบกับทักษะวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุพิษของผู้อาวุโสเหวินหวู่ที่มีระดับพลังวิญญาณมากกว่าเขาสองถึงสามขั้นใหญ่ แม้จะเป็นเพียงแค่หนึ่งส่วนแต่กลับสร้างความกดดันเช่นนี้ได้ นับว่าอีกฝ่ายเป็นสุดยอดฝีมือระดับแนวหน้าอย่างแท้จริง
ใบหน้าของหนิงอ้ายเริ่มซีดขาวลงด้วยเพราะสูญเสียพลังวิญญาณพร้อมกันไปในครั้งเดียวอย่างมหาศาล ความกดดันเช่นนี้ส่งผลไปโดยรอบจนทำให้ศิษย์สายนอกบางคนที่มีพลังวิญญาณระดับต่ำเริ่มที่จะหายใจไม่ออกเลยทีเดียว ก่อนที่ทุกสิ่งจะสลายหายไปราวกับว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดสิ่งใดขึ้น
"ไม่เลว! ไม่เลว! ญาณสัมผัสเช่นนี้หาได้ยากยิ่ง ในเมื่อความต้องการของเจ้าเป็นเช่นนั้นแล้วข้าเหวินหวู่เจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาจะรับเจ้าเป็นศิษย์ในตำหนักของข้าตามที่เจ้าต้องการ!!"
"ข้าขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกันว่าหนิงอ้ายผู้นี้เป็นศิษย์ผู้สืบทอดของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาและจะมีพิธีอย่างเป็นทางการภายหลังอีกครั้ง!!!" สิ้นคำเอ่ยของผู้อาวุโสเหวินหวู่ในรูปลักษณ์ของชายชราได้หายไปในทันที
ทำให้ทราบว่าผู้ที่นั่งอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เเรกเป็นเพียงร่างจิตวิญญาณเท่านั้น เพียงไม่กี่จิบชาทุกสิ่งอย่างได้กลับมาสงบนิ่งราวกับว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยเกิดสิ่งใดขึ้นทั้งสิ้นโดยท่านเจ้าสำนักเจียงเฉิงหมายความว่าการทดสอบดังกล่าวได้ถูกยอมรับจากท่านเจ้าสำนักและเจ้าตำหนักอีกทั้งสามท่านแล้วนั่นเอง
ก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะเป็นเจียงเฉิงผู้เป็นเจ้าสำนักศึกษา รุ่ยเหอรองเจ้าสำนักและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้ กุ้ยเจินเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกล เฉิงห่าวเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งศาสตราวุธ ผู้อาวุโสคุมกฎทั้งสาม ผู้อาวุโสระดับสูงในสำนัก รวมไปถึงผู้อาวุโสประจำตำหนักต่าง ๆ อีกทั้งเหล่าบรรดาศิษย์สายใน ศิษย์สายนอกต่างรู้สึกตกใจเป็นอย่างยิ่งที่ผู้อาวุโสเหวินหวู่นั้นถึงกับเรียกทักษะวิญญาณหมอกพิษพิพากษาสวรรค์ออกมาเพื่อทดสอบรุ่นเยาว์คนหนึ่ง
ทว่าเด็กหนุ่มกลับสามารถตั้งรับได้อย่างท่วงทีอีกทั้งยังโต้กลับด้วยทักษะวิญญาณปราณธาตุไฟที่แม้จะอ่อนด้อยไปในยามนี้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าในวันข้างหน้าจะไม่แข็งแกร่งขึ้น เพราะหากพิจารณาจากความล้ำลึกของกลิ่นอายของวงแหวนวิญญาณอายุสี่พันปีที่พวกเขานั้นสัมผัสได้ ด้วยอายุเพียงสิบห้าสิบหกปีเช่นนี้แต่กลับมากไปด้วยพรสวรรค์และความโดดเด่นนับว่าอีกฝ่ายเป็นอีกหนึ่งรุ่นเยาว์น่าชื่นชมอย่างยิ่ง
แต่ถึงอย่างไรฐานะของศิษย์ผู้สืบทอดตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาที่ผู้อาวุโสเจ้าตำหนักเหวินหวู่มอบให้กับอีกฝ่ายนับว่าเป็นสิ่งที่เกิดคาดเดาไปเป็นอย่างมาก จริงอยู่ที่ว่าตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาแม้ไม่มีศิษย์ใหม่เข้าสังกัดในทุกปี ส่งผลให้ในตอนนี้มีศิษย์สายในที่อยู่ในสังกัดตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาเพียงหกคน เท่ากับว่าหนิงอ้ายผู้นี้คือศิษย์ลำดับที่เจ็ดและมีฐานะเป็นถึงศิษย์ผู้สืบทอดของตำหนัก
ความกดดันที่เกิดขึ้นจากทักษะวิญญาณอันเลื่องชื่อของผู้อาวุโสเหวินหวู่ผู้เป็นเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการรักษา ทดสอบศิษย์คนหนึ่งซึ่งเป็นเพียงรุ่นเยาว์อายุเพียงสิบห้าสิบหกปีเท่านั้น สิ่งที่สร้างความแปลกประหลาดใจแก่ทุกคนคือด้วยวัยเพียงเท่านี้ทว่าเด็กหนุ่มรูปร่างบอบบางไปไม่ต่างจากสตรีกลับสามารถบัญชาการวงแหวนวิญญาณที่ถูกประสานเข้ากับร่างกายตนได้อย่างเชี่ยวชาญและตั้งรับการโจมตีของผู้อาวุโสเหวินหวู่ได้อย่างน่าชื่นชม
ทางฝั่งของหนิงอ้ายที่ก่อนหน้านี้เขาต้องรีดเค้นพลังปราณในร่างกายเป็นอย่างมากในการเรียกใช้ทักษะวิญญาณเพื่อตั้งรับการโจมตีจากผู้ฝึกตนระดับสูงมากกว่าตนถึงสองถึงสามขั้นใหญ่ จึงส่งผลให้ใบหน้าเล็กของอีกฝ่ายนั้นขาวซีดจนน่าเป็นห่วงยิ่งนักในสายตาของผู้อาวุโส
ศิษย์สายใน ศิษย์สายนอกที่อยู่ด้านข้างสนามประลองรวมไปถึงกลุ่มสหายของเด็กหนุ่ม เมื่อได้มีเวลาพักหายใจมากขึ้น ร่างกายของหนิงอ้ายที่คุ้นชินกับเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาแล้วจึงดูดซับปราณธรรมชาติที่มีอยู่ในรอบตัวเข้ามาในร่างกายแทนส่วนที่ถูกดึงใช้ไปในทันทีพร้อมกับแรงหนุนจากจี้หยกโลหิตที่ใส่อยู่ไม่ห่างตัว ก่อนที่จะพิจารณาคำกล่าวของผู้อาวุโสเหวินหวู่ที่ว่าได้รับตนนั้นเข้าเป็นศิษย์ผู้สืบทอดของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษา นับว่าค่อนข้างเกินความคาดคิดของเขาไปมากเลยทีเดียว
ตำแหน่งศิษย์ผู้สืบทอดตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาหนิงอ้ายไม่คาดคิดว่าจะต้องเป็นเขาเสียด้วยซ้ำ เหตุผลหลักที่เขาเลือกเข้าตำหนักศาสตร์แห่งการรักษา นอกจากจะมุ่งเน้นไปในเรื่องของโอสถและสมุนไพรแล้ว ผู้อาวุโสเหวินหวู่ยังเชี่ยวชาญในเรื่องของพิษอีกด้วย การที่หนิงอ้ายตัดสินใจเลือกเข้าสังกัดอยู่ในตำหนักนี้เป็นเพราะวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุพิษที่เขาถือครองอยู่ ดังนั้นหากเขาจะมีความรู้และความสามารถที่ข้องเกี่ยวกับปราณธาตุพิษคงไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกประหลาดอันใด
ด้วยระดับพลังวิญญาณในตอนนี้หนิงอ้ายยอมรับว่ายังมีผู้ฝึกตนที่มีระดับพลังวิญญาณระดับสูงที่เหนือชั้นกว่าเขามากและยังไม่นับรวมตาเฒ่าประหลาดที่หลีกเร้นกายในมหาทวีปแห่งนี้ แม้ว่าเขาจะครอบครองวิญญาณยุทธ์มากกว่าหนึ่ง แต่นี่ยังไม่ใช่เวลาที่ต้องเปิดเผยนักเมื่อถึงวันหนึ่งที่ตัวเขานั้นมั่นใจว่าตนอยู่เหนือสุดยอดของผู้ฝึกตนด้วยกัน ที่เขานั้นสามารถปกป้องตนเองและคนที่ตนรักได้ หนิงอ้ายพร้อมที่จะเปิดเผยเช่นกัน…
เสียงพูดคุยของศิษย์สายในและศิษย์สายนอกกันอย่างคึกคักโดยรอบของลานพิธี ตำแหน่งศิษย์ผู้สืบทอดตำหนักนับว่าเป็นอีกหนึ่งฐานะสำคัญสามารถสร้างชื่อเสียงแก่ตนเองและวงศ์ตระกูลได้ แน่นอนว่าทั้งสามตำหนักที่เหลือไม่ว่าจะเป็นตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้ ตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลรวมไปถึงศาสตร์แห่งศาสตราวุธต่างมีศิษย์ผู้สืบทอดไปแล้วทั้งสิ้น
ทางสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์โดยปกติแล้ว นอกจากการทดสอบศิษย์สายนอกเพื่อเป็นศิษย์สายในที่จะถูกจัดขึ้นในทุก ๆ ปีเเล้ว การประลองระหว่างตำหนักในสำนักศึกษาก็ถูกจัดขึ้นเป็นประจำทุกปีเช่นกัน
แต่ความพิเศษมีอยู่ว่าตั้งแต่เเรกเริ่มก่อตั้งสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์มานับพันนับหมื่นปีศิษย์ผู้สืบทอดของทั้งสี่ตำหนักต่างต้องลงประลองเช่นกันในทุก ๆ สี่ปีถือว่าเป็นธรรมเนียมปฎิบัติที่สืบทอดกันมาอย่างยาวนาน ตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาตำแหน่งศิษย์ผู้สืบทอดไว้ว่างเว้นไว้หลังจากที่ศิษย์สืบทอดคนสุดท้ายจะหายสาบสูญไปอย่างปริศนาในช่วงสิบปีที่ผ่านมา
ดังนั้นแล้วการที่เด็กหนุ่มนามว่าหนิงอ้ายได้ถูกทดสอบและคัดเลือกจากท่านผู้อาวุโสเจ้าตำหนักเหวินหวู่ และถูกประกาศให้ทุกคนได้รับรู้โดยทั่วกันว่าเด็กหนุ่มเป็นศิษย์ผู้สืบทอดของตำหนักแล้ว หากนับตามกำหนดเวลาจึงเหลืออีกเพียงสองปีเท่านั้นในการประลองระหว่างศิษย์ผู้สืบทอดทั้งสี่ สำหรับพิธีการรับศิษย์ผู้สืบทอดจะถูกจัดขึ้นภายในตำหนักไม่สามารถให้บุคคลภายนอกเข้ามาร่วมพิธีดังกล่าวได้ ว่ากันว่าอาจจะมีการทดสอบจากบรรพชนผู้ก่อตั้งตำหนัก แต่ถึงอย่างไรทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องลับทั้งสิ้น
หนิงอ้ายโค้งตัวคำนับไปทางฝั่งของผู้อาวุโสเหวินหวู่ ผู้เป็นเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการรักษา จากนั้นเด็กหนุ่มไม่รอช้าโค้งตัวคำนับทำความเคารพไปยังเจ้าสำนักเจียงเฉิงรวมไปถึงเจ้าตำหนักทั้งสามท่านที่เมตตา ด้วยท่าทางที่นอบนอบเช่นนี้เป็นที่ถูกใจแก่พวกเขาเหล่านี้รวมไปถึงผู้อาวุโสในสำนักเป็นอย่างยิ่ง
เพราะค่อนข้างหาได้ยากเลยทีเดียวกับการที่ผู้ฝึกตนอายุน้อยแต่กลับมากไปด้วยฝีมือและพรสวรรค์ อีกทั้งยังได้รับตำแหน่งศิษย์ผู้สืบทอดของตำหนักที่กล่าวได้ว่าเป็นรองเพียงเจ้าสำนักศึกษา เจ้าตำหนักทั้งสี่ รวมไปถึงผู้อาวุโสคุมกฎทั้งสามแต่เพียงเท่านั้น แม้กระทั้งศิษย์สายใน ศิษย์สายนอกแม้จะมีอายุมากกว่าอีกฝ่าย
แต่ถึงอย่างไรย่อมต้องเกรงให้กับตำแหน่งนี้ของเด็กหนุ่มทั้งสิ้น แทนที่อีกฝ่ายจะมีท่าทีที่หยิ่งผยองลำพองตน แต่กลับกลายเป็นว่าเด็กหนุ่มยังคงเปี่ยมไปด้วยท่าทางสุภาพอ่อนน้อมตามมารยาทของผู้ฝึกตนที่ได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี
"ยินดีกับพวกเจ้ารุ่นเยาว์ชายหญิงทุกคนที่ผ่านการทดสอบ หลังจากนี้เป็นต้นไปนามของพวกเจ้าทุกคนจะถูกบันทึกเอาไว้ในนามของศิษย์สายนอกของสำนักศึกษา!!" เสียงของผู้อาวุโสผู้คุมกฎกล่าวขึ้นเเสดงความยินดีกับรุ่นเยาว์ทั้งห้าสิบกว่าคนในที่นี้แม้ในการทดสอบที่ผ่านมาจะมีการแพ้ชนะไปบ้างนับว่าเป็นเรื่องปกติ
เหตุการณ์ความวุ่นวายนั้นยังคงเกิดขึ้นไปอีกราว ๆ เกือบหนึ่งเค่อ ก่อนที่ท่านเจ้าสำนักและผู้อาวุโสคุมกฎทั้งสามจะออกไปจากลานพิธีแห่งนี้ เจ้าตำหนักทั้งสามต่างเรียกศิษย์ผู้สืบทอดของตนพร้อมกับสั่งการบางสิ่งอย่าง ศิษย์ผู้สืบทอดทั้งสามคนนั้นจะมองมาทางเด็กหนุ่มเพียงเล็กน้อยก่อนที่จะโค้งตัวคำนับเจ้าตำหนักของตน ผู้อาวุโสเจ้าตำหนักทั้งสามได้หันมายิ้มเล็กน้อยให้กับหนิงอ้ายก่อนที่จะเเยกย้ายหายไป...
"เก่งมากหนิงอ้าย ท่านปู่ท่านยายและท่านแม่คงภูมิใจในตัวเจ้ามากเป็นแน่!!" ลู่ซีเอ่ยขึ้นพร้อมดึงหนิงอ้ายเข้ามากอด ทันทีที่เด็กหนุ่มออกจากลานพิธีมายังกลุ่มของพวกตนที่ยังยืนรออยู่เสียงของลู่ซีนั้นเเสดงถึงความยินดีเป็นอย่างยิ่ง แต่ถึงอย่างไรนั้นเสียงขู่ฟ่อของต้าเฮยที่ดังขึ้นจากอกเสื้อของเด็กหนุ่มราวกับว่าไม่พอใจบางอย่าง ทำให้ลู่ซีมึนงงไปชั่วครู่ก่อนที่จะผละออกจากตัวของเด็กหนุ่มไป"ลู่เกอก็เก่งมากเช่นกัน หากท่านตารู้ว่าท่านสามารถใช้สมบัติวิเศษที่ท่านตามอบให้ได้อย่างเชี่ยวชาญท่านคงภูมิใจมากเป็นแน่ อีกทั้งท่านยายและท่านแม่นั้นย่อมยินดีกับเราสองพี่น้องอย่างแน่นอนขอรับ..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับเผยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุขลู่ซีนับว่าอยู่กับเขามาตลอดตั้งแต่ได้มาอยู่ในโลกแห่งนี้ การที่หนิงอ้ายชมไม่ได้เพียงเพื่อเอาใจอีกฝ่ายเท่านั้นเพราะความสามารถของลู่ซีเมื่อเทียบกับเขาในโลกก่อนแล้วนับได้ว่าค่อนข้างสูสีเลยทีเดียว"โอ้!!นี่ข้าเป็นถึงสหายของศิษย์ผู้สืบทอดตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาเลยอย่างนั้นรึ ในวันหน้าหากได้รับบาดเจ็บจากการฝึกซ้อมเจ้าต้องรักษาข้านะหนิงอ้าย..." อี้หลินเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดีก่อนที
ระหว่างการเดินทางหนิงอ้ายได้ทราบว่าสตรีผู้เป็นศิษย์พี่ของเขามีนามว่าไป๋เหลียนฮวา ผู้มีมีศักดิ์เป็นหลานของผู้อาวุโสเหวินหวู่ นางเป็นศิษย์ลำดับที่ห้าที่ได้เข้าสังกัดอยู่ในตำหนักนี้มาได้หลายปีเเล้ว ด้วยเพราะนางเป็นสตรีเพียงคนเดียวในตำหนัก ดังนั้นหน้าที่ในการดูเเลรับผิดชอบต่าง ๆ ผู้อาวุโสเหวินหวู่ได้มอบอำนาจให้นางจัดการแทบทั้งสิ้นฟังว่าศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รองออกไปทำภารกิจบางอย่างให้ผู้อาวุโสเหวินหวู่ อีกไม่นานคาดการณ์ว่าคงใกล้กลับสำนักแล้ว ทางฝั่งของศิษย์พี่สามกำลังเข้ากักตัวเนื่องจากมีสัญญาณว่าจะเลื่อนละดับในเร็ววันนี้ สำหรับศิษย์พี่สี่ด้วยเพราะมีนิสัยที่ไม่ชื่นชอบความวุ่นวายเท่าไหร่นักจึงพำนักอยู่ในเรือนของตนเพื่อศึกษาตำราและทดลองปรุงโอสถต่าง ๆดูเหมือนว่าศิษย์พี่เหล่านี้จะไม่ยินดีต้อนรับหนิงอ้ายมาเป็นศิษย์น้อง พวกเขาล้วนต่างตื่นเต้นที่จะได้ศิษย์น้องคนใหม่เข้าตำหนักของตน แต่เพราะหลายปีที่ผ่านมายังไม่มีผู้ใดเข้าตาท่านเจ้าตำหนัก จึงทำให้หลังจากการรับศิษย์ลำดับที่ห้าเมื่อหลายปีมาเเล้วนั้น บรรดาศิษย์ในตำหนักจึงเลิกให้ความสนใจและเข้าร่วมพิธีการทดสอบศิษย์ใหม่ จึงเป็นนางเองที่เป็นผู้จัดการทุ
"เจ้ากังวลใจในเรื่องนี้เองหรอกรึ?? ศิษย์พี่ผู้นี้จะบอกแก่เจ้า ความจริงแล้วก่อนหน้านี้หลายปีก่อนที่ท่านอาจารย์จะรับเจ้าเข้ามา ทางฝั่งของผู้อาวุโสระดับสูงและเจ้าตำหนักทั้งสามคนต่างกดดันอาจารย์เหวินหวู่ของพวกเราให้เลือกศิษย์คนใดคนหนึ่งเป็นศิษย์สืบทอดของตำหนักเสียทีเพราะตำแหน่งนี้ถูกว่างเว้นมาหลายปีเเล้ว...""เจ้าอาจจะพอรับรู้มาบ้างว่าเป็นธรรมเนียมที่ถูกปฏิบัติยึดถือในสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์มาอย่างช้านานตั้งแต่เริ่มต่อตั้งสำนัก นั่นคือในทุก ๆ สี่ปีตำหนักทั้งสี่จักต้องให้ศิษย์ผู้สืบทอดในตำหนักของร่วมประลองกัน ทางตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาไร้ซึ่งตำแหน่งศิษย์ผู้สืบทอดมายาวนานนับสิบปีแล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นหลังจากนั้น??" ไป๋เหลียนฮวาเอ่ยขึ้นก่อนที่จะยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย"ขอรับ..." หนิงอ้ายตอบกลับไปด้วยความไม่มั่นใจ"พวกเราทั้งหกคนต่างโยนตำแหน่งนี้ให้กันไปมาราวกับเหล็กร้อน ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างเห็นตรงกันว่าเป็นศิษย์พี่ใหญ่ที่คู่ควรกับตำแหน่งศิษย์ผู้สืบทอดแต่ทว่าศิษย์พี่ใหญ่นั้นกลับโยนให้กับศิษย์พี่รองเสียอย่างนั้น...""เจ้าน่าจะพอคาดเดาได้ว่าหลังจากนี้ได้เกิดสิ่งใดขึ้น ศิ
"ศิษย์น้องหนิงอ้ายเจ้างดงามยิ่งนัก ขนาดศิษย์พี่ที่เป็นสตรียังไม่อาจเทียบเจ้าได้เลยแม้เเต่น้อย..." ไป๋เหลียนฮวาเอ่ยขึ้นอย่างยอมรับพร้อมกับหยอกล้อเด็กหนุ่มกลับไป"ศิษย์พี่ไป๋กล่าวชมข้าเกินไปแล้วท่านก็เป็นสตรีที่งดงามมากเช่นกัน..." หนิงอ้ายตอบกลับอีกฝ่ายไปด้วยสัตย์จริง ตอนเเรกที่ตนเห็นอีกฝ่ายนั้นยอมรับว่าศิษย์พี่ของเขาผู้นี้งดงามยิ่ง แม้ในใจเขานั้นจะเอนเอียงให้มารดาของตนงดงามมากกว่าก็ตาม"ในที่สุดตำหนักของเราก็มีสิ่งที่สวยงามจริง ๆ เสียที!! ยินดีต้อนรับเจ้าอีกครั้งนะศิษย์น้อง..." บุรุษหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งเอ่ยขึ้นโดยที่ไม่ละสายตาจากเด็กหนุ่มก่อนที่จะหันไปมองสตรีเพียงคนเดียวในที่นี้แล้วหันกลับมาทันที"ศิษย์พี่เหยียนหมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ??" เป็นไป๋เหลียนฮวาที่ถามกลับไปเหยียนฮุ่ยหรือศิษย์พี่สี่ของตนด้วยท่าทางหาเรื่องชวนให้รู้สึกขบขันเป็นอย่างยิ่ง"ข้าก็หมายความอย่างที่ได้เอ่ยไปเช่นนั้น ศิษย์น้องหนิงอ้ายเพียบพร้อมไปด้วยความงามและท่าทางเรียบร้อยไม่เหมือนกับเจ้าที่เป็นสตรี เเต่ทว่าซุกซนดื้อรั้นอีกทั้งไม่สำรวมเช่นเดียวกับสตรีทั่วไป ดีเเล้วที่ได้ศิษย์น้องหนิงอ้ายเข้ามาในตำหนักหลังจากนี้ข้าคงต
หนิงอ้ายพบว่าโรงครัวที่ศิษย์พี่ของตนพามาได้ต่างไปจากสิ่งที่ตนคาดคิดเอาไว้เป็นอย่างมาก เป็นอาคารห้าเหลี่ยมหนึ่งชั้นที่มีรูปลักษณ์สวยงาม ถูกล้อมรอบไปด้วยสระบัวขนาดใหญ่ภายในถูกตกเเต่งอย่างเรียบง่ายคล้ายกับว่าเน้นไปที่การใช้งานเสียมากว่า ยามสายนี้เหล่าบรรดาศิษย์จากทุกตำหนักในสำนักศึกษาแห่งนี้ต่างนั่งกินข้าว พูดคุยกันอย่างคึกคักเเต่ก็ไม่ได้วุ่นวายสักเท่าไหร่เนื่องจากว่ามีพื้นที่กว้างขวางและมีที่นั่งเป็นสัดส่วนนั่นเองทันทีที่หนิงอ้ายได้ปรากฎตัวขึ้นพร้อมกับไป๋เหลียนฮวาผู้ที่ได้ชื่อว่างดงามเป็นอันดับหนึ่งของสำนัก ทุกความสนใจ ทุกสายสายตาต่างจับจ้องมาทางพวกเขาทั้งสองคนอย่างพร้อมเพรียง เนื่องจากว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในการทดสอบรับศิษย์ใหม่ของเมื่อวานนี้นั้นในตอนนี้ทุกคนในสำนักศึกษาต่างรับรู้โดยทั่วกันเเล้วว่าตำหนักศาสตร์แห่งการรักษานั้นในที่สุดก็มีศิษย์ผู้สืบทอดเสียสักที หลังจากที่ตำแหน่งนี้ได้ว่างเว้นมายาวนานนับสิบปีเลยทีเดียวตัวคนที่รับตำแหน่งนี้ก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุเพียงสิบห้าสิบหกปีเท่านั้น หากเทียบกับศิษย์ผู้สืบทอดอีกสามตำหนัก ที่ต่างมีอายุประมาณยี่สิบห้าปีขึ้นไปนั่นนับว่าเป็นศิษย์ผู้สืบทอ
สิ้นเสียงของชายหนุ่มที่พึ่งกล่าวจบลงไป เสื้อคลุมตัวนอกสีเเดงและพู่หยกประจำตัวที่ห้อยอยู่ตรงข้างเอวที่เห็นได้ชัด ทำให้กลุ่มของหนิงอ้ายพอที่จะคาดเดาได้ว่าผู้ที่เอ่ยถ้อยคำคล้ายกับหาเรื่องพวกเขานั้นเป็นศิษย์สายนอกของตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้คนหนึ่ง ตรงด้านหลังของอีกฝ่ายยังมีกลุ่มของชายหนุ่มที่มีอายุไล่เลี่ยกันไปอีกสี่ห้าคนที่ดูเเล้วไม่ต่างไปจากลูกสมุนติดตามสักเท่าไหร่นัก ที่ต่างพากันมองมาทางกลุ่มของพวกเขาด้วยสายตาดูถูกและไร้มรารยาทเป็นอย่างยิ่งเนตรแห่งสวรรค์ได้เเสดงให้ได้รู้ว่ากลุ่มของศิษย์พี่เหล่านี้ต่างมีรากฐานบ่มเพาะพลังวิญญาณอยู่ในระดับเทวะวิญญาณขั้นต้นกันทั้งสิ้น มีเพียงชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงด้านหน้าสุดที่พึ่งเอ่ยกับเขาไปเมื่อครู่คนเดียวเท่านั้นที่มีพลังวิญญาณอยู่ในระดับเทวะวิญญาณขั้นกลางแน่นอนว่าทางกลุ่มของหนิงอ้ายย่อมเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด บทสนทนาที่เกิดขึ้นตั้งเเต่เเรกเริ่ม ท่าทางแลน้ำเสียงของอีกฝ่ายได้เเสดงออกมาที่พูดจาดูแคลนหนิงอ้าย พวกเขาเองในตอนนี้ต่างรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมากอี้หลินคล้ายกับว่าจะพูดบางอย่างที่รุนเเรงโต้กลับกลุ่มของศิษย์พี่เหล่านี้ไป เเต่หนิงอ้ายที่เห็นท่าทางดั
เวทย์โจมตีระดับสูงที่ถูกร่ายออกมาพร้อมกันจากผู้ฝึกตนราชทินนามเทวะวิญญาณขั้นต้นถึงสองคนในคราวเดียวกัน ย่อมส่งผลให้อานุภาพของเวทย์โจมตีทั้งสองบทนี้ยิ่งทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า การจู่โจมโดยฉับพลันที่ผสานเข้าด้วยกันของเวทย์โจมตีปราณธาตุดินและปราณธาตุลมได้สร้างความเสียหายเป็นระยะกว้างในพื้นที่โดยรอบด้วยความรุนแรงที่เพิ่มทวีคูณเช่นนี้ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนในระดับเดียวกันนั้นย่อมรับมือผลจากเวทย์โจมตีไม่ได้โดยง่ายสักเท่าไหร่นัก ความแข็งแกร่งของผู้ฝึกตนราชทินนามเทวะวิญญาณนั้นมีมากมายเพียงใดทุกคนย่อมรับรู้โดยทั่ว ยิ่งกับเวทย์ต่าง ๆ ที่ถูกร่ายออกมาจากผู้ฝึกตนในระดับนี้นั้นย่อมมีอานุภาพสะเทือนฟ้าสะเทือนดินต่อให้หนิงอ้ายจะมีระดับพลังวิญญาณน้อยกว่าอีกฝ่ายไปถึงหนึ่งขั้นใหญ่ก็จริง เเต่ถึงอย่างไรก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ก็ไม่ได้ทำให้หนิงอ้ายรู้สึกกดดันเลยแม้เเต่น้อย ในทางตรงกันข้ามภายในใจของเขากลับรู้สึกตื่นเต้นเสียอย่างนั้นที่ได้ปะทะรับมือเช่นนี้ เพราะตนนั้นจะได้ฝึกฝนฝีมือและญาณสัมผัสของตนให้เฉียบคมเพิ่มขึ้น ผลแพ้ชนะนั้นหาได้วัดจากเพียงระดับพลังวิญญาณของคู่ต่อสู้เท่านั้น เพราะพลังฝีมือต่อสู้ที่เ
ไม่นานข่าวลือได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งสำนักด้วยความรวดเร็ว ที่ว่าเฉินหลานได้หาเรื่องศิษย์ใหม่ที่เป็นถึงศิษย์ผู้สืบทอดของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษา เเต่ท้ายที่สุดได้ถูกศิษย์ใหม่ผู้นั้นตอกกลับด้วยถ้อยคำที่เจ็บแสบจนทำให้อับอาย ยังดีที่กลุ่มของตงหยางและสหายทั้งสามที่ได้เข้ามาห้ามปรามตำหนิชายหนุ่มไปเช่นกันเดิมทีเฉินหลานก็ไม่ได้ชอบตงหยางมากเท่าไหร่ ด้วยเพราะบิดาและผู้อาวุโสที่อยู่ในรอบตัวมักจะเปรียบเทียบเขากับตงหยางอยู่เสมอ ยิ่งถูกอีกฝ่ายกล่าวตำหนิต่อหน้าผู้คนมากมาย เขายิ่งรู้สึกโกรธและเสียหน้าเป็นอย่างมาก อคติในใจได้โทษว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นเพราะหนิงอ้ายคนเดียวที่ทำให้ต้องอับอายเช่นนี้ เขาต้องเอาคืนอีกฝ่ายอย่างแน่นอนในสักวัน"เจ้าเด็กสารเลวนั่นหาเรื่องตายเสียแล้ว!!""ข้าจะจำเอาไว้แล้วในวันหนึ่งข้าจะทำให้เจ้าเสียใจที่ทำให้ข้าต้องอับอายเช่นนี้!!!" เฉินหลานเอ่ยสบถอย่างหัวเสีย ครั้งนี้เป็นเขาที่เสียหน้าเป็นที่อับอายไปไม่น้อยเสียงการทำลายสิ่งของดังไปทั่ว แต่ด้วยเพราะเรือนพักแต่ละหลังของตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้นั้นมีพื้นที่ส่วนตัวเป็นอย่างมาก เสียงดังที่เกิดขึ้นนี้นับว่าไม่ได้แปลกประห
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต
มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล
ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย