"เก่งมากหนิงอ้าย ท่านปู่ท่านยายและท่านแม่คงภูมิใจในตัวเจ้ามากเป็นแน่!!" ลู่ซีเอ่ยขึ้นพร้อมดึงหนิงอ้ายเข้ามากอด ทันทีที่เด็กหนุ่มออกจากลานพิธีมายังกลุ่มของพวกตนที่ยังยืนรออยู่
เสียงของลู่ซีนั้นเเสดงถึงความยินดีเป็นอย่างยิ่ง แต่ถึงอย่างไรนั้นเสียงขู่ฟ่อของต้าเฮยที่ดังขึ้นจากอกเสื้อของเด็กหนุ่มราวกับว่าไม่พอใจบางอย่าง ทำให้ลู่ซีมึนงงไปชั่วครู่ก่อนที่จะผละออกจากตัวของเด็กหนุ่มไป
"ลู่เกอก็เก่งมากเช่นกัน หากท่านตารู้ว่าท่านสามารถใช้สมบัติวิเศษที่ท่านตามอบให้ได้อย่างเชี่ยวชาญท่านคงภูมิใจมากเป็นแน่ อีกทั้งท่านยายและท่านแม่นั้นย่อมยินดีกับเราสองพี่น้องอย่างแน่นอนขอรับ..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับเผยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุข
ลู่ซีนับว่าอยู่กับเขามาตลอดตั้งแต่ได้มาอยู่ในโลกแห่งนี้ การที่หนิงอ้ายชมไม่ได้เพียงเพื่อเอาใจอีกฝ่ายเท่านั้นเพราะความสามารถของลู่ซีเมื่อเทียบกับเขาในโลกก่อนแล้วนับได้ว่าค่อนข้างสูสีเลยทีเดียว
"โอ้!!นี่ข้าเป็นถึงสหายของศิษย์ผู้สืบทอดตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาเลยอย่างนั้นรึ ในวันหน้าหากได้รับบาดเจ็บจากการฝึกซ้อมเจ้าต้องรักษาข้านะหนิงอ้าย..." อี้หลินเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดีก่อนที่จะโอบไหล่สหายของตนเข้ามา
"นั่นสิหนิงอ้ายหลังจากนี้หากว่าข้า อี้หลิน หลี่ซวงและจ้าวหลานได้รับบาดเจ็บจากการฝึกซ้อมหรือจากภารกิจที่ได้รับจากตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้ เจ้าต้องรักษาพวกข้าด้วยเล่า..." จินหั่วเอ่ยเสริมขึ้นในทันทีในใจนั้นเขาชื่นชมเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าผู้เป็นสหายตัวน้อยของตนเป็นอย่างยิ่ง
ด้วยวัยสิบห้าสิบหกปีเช่นเดียวกันนั้นอีกฝ่ายนับได้ว่ามากไปด้วยฝีมืออย่างแท้จริง อีกทั้งยังเพียบพร้อมไปด้วยฐานะที่ศิษย์ทุกคนต่างใฝ่ฝันนั่นคือฐานะศิษย์ผู้สืบทอด
"ข้าได้ยินว่าตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาจะมีโอสถที่สามารถช่วยเลื่อนระดับพลังวิญญาณได้ หากในวันหนึ่งเจ้าพร้อมไปด้วยคุณสมบัตินี้ สามารถหลอมสร้างปรุงโอสถนั้นมาได้อย่าได้ลืมพวกข้าเล่า??" อู๋ฮั่นเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดี ด้วยเพราะว่าในบรรดาตำหนักทั้งสี่นั้นตำหนักศาสตร์แห่งการรักษานับได้ว่าเป็นตำหนักที่ลึกลับและไม่มีผู้ใดทราบเกี่ยวกับเรื่องราวมากนัก
มีข่าวลือที่ว่าศิษย์สายในของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษา หากเพียบพร้อมไปด้วยคุณสมบัติของนักปรุงโอสถก็สามารถปรุงโอสถเลื่อนระดับพลังวิญญาณได้ เขาเชื่อว่าในสักวันหนึ่งสหายของตนผู้นี้ย่อมทำได้อย่างแน่นอน...
"ไม่ธรรมดาจริง ๆ เหมือนที่สัมผัสได้ตั้งแต่เเรก เพียงแต่ข้าคิดว่าเจ้าจะเข้าร่วมตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เช่นเดียวกับพวกข้าเสียอีก..." หลี่ซวงเอ่ยขึ้นพร้อมกับสบสายตาของเด็กหนุ่ม
เพราะทั้งแต่เเรกก่อนเป็นสหายกัน ภายใต้รูปร่างบอบบางของหนิงอ้าย เขาสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นสุดยอดรุ่นเยาว์ที่มากฝีมือคนหนึ่งเช่นกัน
ยืนยันได้จากการประลองกับศิษย์สายนอกที่อีกฝ่ายสามารถเอาชนะได้อย่างง่ายดายรวมไปถึงการถูกทดสอบโดยผู้อาวุโสเหวินหวู่ พวกเขาแม้จะถูกปกป้องด้วยม่านพลังจากผู้อาวุโสระดับสูงยังสามารถสัมผัสได้ถึงอานุภาพที่เหนือล้ำกว่าความคิดของตนไปมาก แต่ถึงอย่างนั้นอีกฝ่ายยังคงยืดยันได้อย่างมั่นคงจนท้ายที่สุดก็สามารถผ่านการทดสอบเป็นศิษย์ผู้สืบทอดได้
"ที่ข้าไม่เลือกตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้นั่นเป็นเพราะข้าไม่อยากอยู่กับอี้หลินอย่างไรเล่า โอ้ย!! ข้าเพียงหยอกเล่นเท่านั้นเจ้าตีข้าแรงเกินไปแล้ว ข้าก็บอบบางตัวเพียงเท่านี้ ฮ่าฮ่าฮ่า ที่จริงข้าสนใจในศาสตร์แห่งการรักษามาตั้งแต่เเรก" หนิงอ้ายตอบกลับหลี่ซวงไปไม่วายที่จะเอ่ยหยอกล้อสหายตัวน้อยของตนก่อนที่จะถูกกำปั้นเล็ก ๆ ของอี้หลินทุบเข้าอย่างไม่ระวัง
"เกอจำได้ ตั้งแต่ยังเด็กเจ้าก็เอาแต่ศึกษาตำราสมุนไพรและศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง จนท่านแม่นั้นยังต้องบ่นให้เจ้านั้นเลิกศึกษาและกินข้าวเสียก่อน..." ลู่ซีเอ่ยเสริมขึ้นเพราะว่าหนิงอ้ายหลังจากที่ไม่สามารถปลุกพลังวิญญาณได้เมื่อตอนอายุเจ็ดปี อีกฝ่ายได้ศึกษาตำราอย่างหลากหลายและอีกหนึ่งความสนใจของอีกฝ่ายคือตำราสมุนไพรและการเเพทย์นั่นเอง
"ข้าไม่แปลกใจแล้วหากลู่ซีเอ่ยเช่นนั้น เเต่เจ้านี่ความสามารถเกินรุ่นเดียวกันไปมากนักหากมีโอกาสข้าก็อยากประลองกับเจ้าสักครั้งเช่นกันนะ!" จ้าวหลานเอ่ยขึ้นหลังจากที่ตนพยักหน้ารับรู้จากคำกล่าวของลู่ซี
เข้าใจเเล้วว่าทำไมอีกฝ่ายจึงเลือกเข้าตำหนักศาสตร์แห่งการรักษา เพราะหากนับดูเเล้วในบรรดาห้าสำนักศึกษาที่ขึ้นชื่อและได้รับการยอมรับจากผู้ฝึกตนในมหาทวีปบูรพาแห่งนี้นั้นตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นตำหนักที่ชื่อเสียงเช่นกัน
"พวกข้าคุยกันเเล้วนะหนิงอ้าย ว่าถึงแม้พวกเราทั้งเจ็ดคนจะกระจายอยู่คนละตำหนักซึ่งมีเพียงเจ้าที่อยู่เพียงคนเดียวเท่านั้นแต่ถึงอย่างไรก็ตามในทุกช่วงเย็นของทุกวันเรามีนัดพบกันที่ห้องโถงกลางได้" อี้หลินเอ่ยขึ้นก่อนที่ทุกคนนั้นจะพยักหน้าตกลงพร้อมกับส่งรอยยิ้มแสดงความยินดีให้แก่กัน
ตอนนี้นั้นพวกเขาทั้งเจ็ดคนนับได้ว่าเป็นศิษย์ผู้หนึ่งของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์แล้ว มากไปกว่านั้นพวกเขาสามารถเข้าตำหนักที่ตนตั้งใจไว้แต่แรกได้สำเร็จ ที่สำคัญคือแม้พวกเขาจะมาจากหลากหลายที่แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็เป็นสหายกันอย่างแท้จริง
กลุ่มของหนิงอ้ายต่างพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันโดยที่ไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น แน่นอนว่าจุดรวมสายตาของทุกคนในตอนนี้นั่นคือเด็กหนุ่มนามว่าหนิงอ้ายที่เป็นศิษย์สายนอกคนใหม่ที่สามารถผ่านการทดสอบจากผู้อาวุโสเหวินหวู่จนได้รับตำแหน่งศิษย์แห่งผู้สืบทอดของตำหนัก ตำแหน่งที่พวกเขาหลายคนในที่นี้ต่างเฝ้าฝันถึงเช่นกัน
นอกจากนั้นเเล้วสหายอีกทั้งหกคนในกลุ่มหากตัดเรื่องของหน้าตาที่ดีกว่าคนทั่วไป รวมไปถึงท่าทางและการแต่งกายที่ไม่ต่างไปจากลูกหลานของตระกูลใหญ่ ฝีมือและความสามารถของอีกทั้งหกคนก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน กล่าวได้ว่ากลุ่มของหนิงอ้ายได้รวบรวมผู้ที่หน้าตาดีและเป็นกลุ่มรุ่นเยาว์ที่มากไปด้วยฝีมืออย่างแท้จริง
พิสูจน์ได้จากสายตาของศิษย์สายใน สายนอกชายหญิงที่มองไปยังจุดดังกล่าวอย่างเปิดเผย อีกทั้งมีชายหนุ่มที่หน้าตาดีและมีฐานะระดับสูงในสำนักศึกษาเช่นกันที่มองไปยังเด็กหนุ่มหนิงอ้ายและสหายตัวน้อยของเขาที่มีนามว่าอี้หลินอย่างไม่หลบสายตา จนกระทั่งเด็กหนุ่มอีกห้าคนที่เหลือต่างใช้ร่างกายสูงใหญ่ของตนบดบังสหายตัวน้อยทั้งสองที่ยังพูดคุยกันไม่หยุดราวกับว่าไม่ได้พบเจอกันเสียหลายปี
"ศิษย์ใหม่ที่เข้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้ตามข้ามาทางนี้!!!" ชายหนุ่มที่เสื้อคลุมตัวนอกเป็นสีแดงขาวได้ดังขึ้นก่อนที่ศิษย์ใหม่ของตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เกินกว่าครึ่งของศิษย์ใหม่ในปีนี้นี้ รวมไปถึงอี้หลิน หลี่ซวง จินหั่วและจ้าวหลานนั้นต่างกล่าวอำลาสหายตนเล็กน้อยกับกลุ่มหนิงอ้ายที่เหลือก่อนที่จะเเยกตัวตามศิษย์พี่ผู้นั้นไป
"ศิษย์ใหม่ที่เข้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลมาทางนี้ ข้าจะพาไปยังตำหนักของพวกเรา!!!" เสียงของสตรีที่สวมใส่เสื้อคลุมตัวนอกสีฟ้าขาวดังขึ้น ก่อนที่ศิษย์ใหม่เกือบสิบคนนั้นจะเเยกตัวตามไป ซึ่งมีเพียงลู่ซีและอู่ฮั่นเท่านั้นที่ยังคงรั้งรออยู่เพื่อคุยกับหนิงอ้ายก่อนจะแยกย้ายกันไปตำหนักสังกัด
"ลู่เกอกับอู่ฮั่นรีบตามศิษย์พี่ไปเถิด หากทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยเเล้วเราค่อยเจอกันที่โรงครัวก็ได้ไม่ต้องเป็นห่วงเลยเพราะข้ายังมีต้าเฮยอยู่ด้วยทั้งคน..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นกับลู่ซีด้วยรู้ว่าผู้ที่ตนนับถือดั่งพี่ชายนั้นเป็นห่วงตนอย่างมากซึ่งเจ้าตัวเล็กอย่างต้าเฮยนั้นโผล่ส่วนหัวขึ้นจากอกเสื้อของหนิงอ้ายก่อนที่จะขยับไปมาราวกับจะสื่อให้กับลู่ซีได้รับรู้ว่าตนนั้นจะปกป้องเด็กหนุ่มเอง
ทางฝั่งของลู่ซีเมื่อเห็นเด็กน้อยทั้งสองคนให้คำมั่นของตนแล้วจึงโล่งใจขึ้นอีกหลายส่วน พวกเขาต่างอยู่ในพื้นที่ของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์แล้ว ดังนั้นเขาจึงเอ่ยกำชับเพิ่มเติมกับเด็กหนุ่มอีกเล็กน้อยก่อนที่จะเเยกตัวไปกับอู๋ฮั่นที่กำลังยืนรอตนกับศิษย์พี่ในตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลนั่นเอง
"เอาละถึงคราวของเราแล้วต้าเฮยลุยกันเถอะ!!" หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นกับเจ้าตัวน้อยที่อยู่ในอกเสื้อคลุมของตนเบา ๆ เมื่อเห็นว่าศิษย์พี่ร่วมตำหนักซึ่งสังเกตได้จากเสื้อคลุมตัวนอกสีเขียวขาวอันเป็นสัญลักษณ์ของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษานั้นได้โบกมือทักทายมาทางเขาอย่างกระตือรือร้นก่อนที่เด็กหนุ่มจะรีบเร่งฝีเท้าไปหาอีกฝ่ายในทันที...
สำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์หลังจากเสร็จสิ้นการรับศิษย์ใหม่ของปีนี้ไปแล้ว เหล่าศิษย์สายนอกทุกคนต่างเฝ้ารอการทดสอบเลื่อนระดับเป็นศิษย์สายใน ซึ่งทุกคนต่างทราบกันดีว่าขึ้นชื่อว่าเป็นศิษย์สายนอกของสำนักที่สังกัดในแต่ละตำหนักนั้นย่อมได้รับการส่งเสริมบ่มเพาะด้วยทรัพยากรที่ล้ำค่า แต่ถึงอย่างนั้นการเป็นศิษย์สายในนั้นย่อมได้รับสิ่งเหล่านี้รวมไปถึงโอกาสต่าง ๆ มากมายมหาศาล เป้าหมายของศิษย์สายนอกนั้นคือการสอบเลื่อนระดับเป็นศิษย์สายในให้สำเร็จ
ฟังว่าสำนักศึกษาฝ่ายในที่อยู่ในม่านมิติของทางสำนัก ทิวทัศน์โดยรอบราวกับสวรรค์สรรสร้าง อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความลี้ลับและสถานที่บ่มเพาะเลื่อนระดับพลังวิญญาณให้พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด ซึ่งในการทดสอบศิษย์ใหม่ในเเต่ละปี ประตูทางเข้าของสำนักศึกษาฝ่ายในจะเปิดให้เห็นเพียงหนึ่งครั้งเท่านั้นที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้แล้ว
หากศิษย์สายนอกคนใดที่ไม่อาจผ่านการทดสอบเข้าเป็นศิษย์สายในได้ก็ไม่อาจเข้าไปยังสถานศึกษาฝ่ายในนี้ได้เช่นกัน มีโอกาสเพียงไม่กี่ครั้งที่พวกเขาเหล่านี้ได้รับโอกาสได้เห็นสำนักศึกษาฝ่ายในด้วยสายตาของตนแม้จะไม่สามารถเข้าไปได้ในตอนนี้ก็ตาม ซึ่งแน่นอนว่าในการรับศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านพ้นไปนั้น
การที่ศิษย์สายในรวมไปถึงผู้อาวุโสระดับสูงได้เข้ามารับชมการทดสอบในเเต่ละครั้งนั้นหลังจากงานพิธีต่าง ๆ เสร็จสิ้นพวกเขาเหล่านี้ล้วนหวนคืนกลับคืนสู่ที่พำนักของตน ซึ่งทางเข้าออกจะมีเพียงทางเข้าเดียวเท่านั้น และนี่จึงเป็นโอกาสที่เหล่าศิษย์ฝ่ายนอกจะได้เห็นสำนักศึกษาฝ่ายในได้นั่นเอง
บรรดาผู้อาวุโสประจำสำนักศึกษารวมไปถึงศิษย์สายในคนอื่น ๆ ล้วนแยกย้ายกันกลับไปยังที่พักของตนแล้วทั้งสิ้น เนื่องจากว่าพวกเขาเหล่านี้ต่างอาศัยอยู่ในม่านมิติพิเศษที่ถูกสร้างขึ้นจากบรรพชนผู้ก่อตั้งสำนักศึกษาแห่งนี้ ที่กล่าวกันว่าสถานที่พำนักดังกล่าวนั้นผู้ที่มีคุณสมบัติเข้าไปได้มีเพียงผู้อาวุโสระดับสูงประจำสำนักศึกษาและศิษย์สายในเท่านั้น และแน่นอนว่าตัวตนระดับสูงดังเช่นเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนักรวมไปถึงผู้อาวุโสคุมกฎทั้งสามนั้น ต่างพำนักอยู่ในม่านมิติพิเศษนี้เช่นกัน
"ศิษย์น้องหนิงอ้าย..." สตรีสวมเสื้อคลุมสีเขียวขาวเอ่ยขึ้นเมื่อเด็กหนุ่มเดินไปถึง
กล่าวได้ว่าศิษย์พี่ผู้นี้ของหนิงอ้ายนับว่าสตรีที่มีรูปงามยิ่งนัก หนิงอ้ายใช้เนตรแห่งสวรรค์ของตนสำรวจอีกฝ่ายเงียบ ๆ ข้อมูลที่ปรากฎให้เขาทราบคืออีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกตนระดับเทวะขั้นกลางคนหนึ่งและครอบครองสองปราณธาตุที่เกื้อหนุนกัน การที่สตรีสามารถมีระดับพลังวิญญาณระดับสูงเช่นนี้ด้วยวัยเพียงยี่สิบกว่าปีนั้นนับได้ว่าอีกฝ่ายเป็นสุดยอดอัจฉริยะรุ่นเยาว์คนหนึ่งเช่นกัน
"ข้าหนิงอ้ายขอรับ!!" หนิงอ้ายเอ่ยตอบรับสตรีตรงหน้าตนก่อนที่จะประสานมือโค้งตัวคำนับตามมารยาทของผู้ฝึกตนที่พึงกระทำ
"ตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาด้วยตอนนี้เจ้ามีฐานะเป็นถึงศิษย์ผู้สืบทอดของตำหนักของพวกเรา ดังนั้นฐานะของเจ้าในตอนนี้กล่าวได้ว่าเป็นรองเพียงผู้อาวุโสเหวินหวู่ เจ้าไม่ต้องมากพิธีการเช่นนี้ก็ได้ เจ้าย่อมมีสิทธินั้นเข้าใจหรือไม่??" สตรีร่างบางเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
ตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาไม่ได้รับศิษย์ใหม่เข้าตำหนักเป็นเวลาหลายปีแล้ว ในฐานะที่นางก็ถือว่าเป็นศิษย์พี่คนหนึ่งย่อมดีใจที่วันนี้มีศิษย์น้องเข้าร่วมตำหนักของตน อีกทั้งเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้านางยังดูมีนิสัยปกติน่าเข้าหาไม่เหมือนศิษย์พี่ศิษย์น้องประหลาดเช่นคนอื่น ๆ ที่นางค่อนข้างจะรับได้ยากในบางครั้ง
ความสามารถของเด็กหนุ่มนั้นก็เป็นที่ประจักษ์อย่างแท้จริง ด้วยวัยเพียงสิบห้าสิบหกปีเช่นนี้แต่กลับเป็นผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิวิญญาณที่ครอบครองกระดูกวิญญาณอายุสี่พันปี รวมไปถึงปราณธาตุไฟต้นกำเนิดนั้นยังบริสุทธ์ไปถึงสิบส่วน ด้วยพรสวรรค์เพียงเท่านี้นับได้ว่าเด็กหนุ่มเป็นสุดยอดต้นกล้าที่เหมาะสมกับการบ่มเพาะเป็นอย่างยิ่ง
มากไปกว่านั้นเด็กหนุ่มยังสามารถทำให้ท่านอาจารย์หรือผู้อาวุโสเหวินหวู่ยอมรับในตัวตนอีกฝ่ายในการเข้าเป็นศิษย์ในสำนักจนถึงขั้นมอบตำแหน่งศิษย์ผู้สืบทอดให้กับอีกฝ่ายเช่นนี้ ดูท่าแล้วเด็กหนุ่มย่อมมีสิ่งที่ท่านอาจารย์สัมผัสได้ถึงความพิเศษบางอย่างเป็นแน่ เพราะญาณสัมผัสของนางร้องบอกอยู่ในใจว่าเด็กหนุ่มคนนี้หาใช่ธรรมดาสามัญดังเช่นรูปลักษณ์ภายนอกที่บอบบางของอีกฝ่าย
"ศิษย์พี่กล่าวเกินไปขอรับ สำหรับข้าแล้วตำแหน่งผู้สืบทอดตำหนักเป็นเพียงหัวโขนหนึ่งเปรียบดั่งตัวแทนของตำหนักที่ต้องรักษาไว้ซึ่งเกียรติยศ ผู้อาวุโสเหวินหวู่ได้ไว้ใจให้ข้ารับตำแหน่งนี้ข้าย่อมจะทำให้ดีที่สุด!!"
"ที่สำคัญตัวข้ายังมีอีกฐานะหนึ่งนั่นคือฐานะเป็นศิษย์น้องของพวกท่าน ตำแหน่งผู้สืบทอดอันใดนั้นให้เป็นเรื่องสำหรับผู้คนภายนอกเถอะขอรับ ในพื้นที่ของพวกเราในตำหนักของพวกเราข้าหนิงอ้ายผู้นี้ก็เป็นเพียงศิษย์น้องร่วมตำหนักของพวกท่าน..." หนิงอ้ายเอ่ยตอบกลับอีกฝ่ายไปตามที่ใจตนคิด
เขามองว่าตำแหน่งผู้สืบทอดของตำหนักแม้จะเป็นตำแหน่งที่ศิษย์หลายคนเฝ้าฝันที่จะได้ครอบครอง แต่กับเขาที่ในชีวิตก่อนได้แบกรับทุกอย่างด้วยตัวคนเดียว เขารู้ว่าตำแหน่งนี้ย่อมมาพร้อมกับภาระหน้าที่รับผิดชอบอีกหลากหลายสิ่งเป็นแน่ แม้ว่าในชีวิตนี้เขาอยากที่จะใช้ชีวิตไปเรื่อย ๆ ตามใจของตนเพียงเท่านั้น
เมื่อได้รับความไว้ใจเช่นนี้เขาสัญญาว่าจะทำให้ดีที่สุด แม้ว่าเขาจะมีตำแหน่งศิษย์ผู้สืบทอดที่ต้องแบกรับหลังจากนี้ที่แน่นอนว่าเส้นทางดังกล่าวย่อมไม่ได้ง่ายดายดั่งใจปรารถนาเป็นแน่ แต่ถึงอย่างไรย่อมที่จะกระทำทุกสิ่งอย่างให้เหมาะสม เพราะว่าเขาเปรียบได้ดั่งเป็นตัวแทนของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาและเหล่าศิษย์พี่ทุกคน รวมไปถึงบรรพชนผู้ก่อตั้งตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาแห่งนี้
"ศิษย์พี่เพียงหยอกล้อเจ้าเท่านั้น เอาละตามศิษย์พี่มาเสียจะได้พาเจ้าไปยังตำหนักของพวกเรา!!" สตรีตรงหน้าเอ่ยขึ้นอีกครั้งก่อนที่จะหันหลังเดินนำหนิงอ้ายไปยังทางเดินหนึ่งที่ศิษย์ทุกคนนั้นล้วนมุ่งตรงไปยังทิศทางเดียวกัน...
ระหว่างการเดินทางหนิงอ้ายได้ทราบว่าสตรีผู้เป็นศิษย์พี่ของเขามีนามว่าไป๋เหลียนฮวา ผู้มีมีศักดิ์เป็นหลานของผู้อาวุโสเหวินหวู่ นางเป็นศิษย์ลำดับที่ห้าที่ได้เข้าสังกัดอยู่ในตำหนักนี้มาได้หลายปีเเล้ว ด้วยเพราะนางเป็นสตรีเพียงคนเดียวในตำหนัก ดังนั้นหน้าที่ในการดูเเลรับผิดชอบต่าง ๆ ผู้อาวุโสเหวินหวู่ได้มอบอำนาจให้นางจัดการแทบทั้งสิ้นฟังว่าศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รองออกไปทำภารกิจบางอย่างให้ผู้อาวุโสเหวินหวู่ อีกไม่นานคาดการณ์ว่าคงใกล้กลับสำนักแล้ว ทางฝั่งของศิษย์พี่สามกำลังเข้ากักตัวเนื่องจากมีสัญญาณว่าจะเลื่อนละดับในเร็ววันนี้ สำหรับศิษย์พี่สี่ด้วยเพราะมีนิสัยที่ไม่ชื่นชอบความวุ่นวายเท่าไหร่นักจึงพำนักอยู่ในเรือนของตนเพื่อศึกษาตำราและทดลองปรุงโอสถต่าง ๆดูเหมือนว่าศิษย์พี่เหล่านี้จะไม่ยินดีต้อนรับหนิงอ้ายมาเป็นศิษย์น้อง พวกเขาล้วนต่างตื่นเต้นที่จะได้ศิษย์น้องคนใหม่เข้าตำหนักของตน แต่เพราะหลายปีที่ผ่านมายังไม่มีผู้ใดเข้าตาท่านเจ้าตำหนัก จึงทำให้หลังจากการรับศิษย์ลำดับที่ห้าเมื่อหลายปีมาเเล้วนั้น บรรดาศิษย์ในตำหนักจึงเลิกให้ความสนใจและเข้าร่วมพิธีการทดสอบศิษย์ใหม่ จึงเป็นนางเองที่เป็นผู้จัดการทุ
"เจ้ากังวลใจในเรื่องนี้เองหรอกรึ?? ศิษย์พี่ผู้นี้จะบอกแก่เจ้า ความจริงแล้วก่อนหน้านี้หลายปีก่อนที่ท่านอาจารย์จะรับเจ้าเข้ามา ทางฝั่งของผู้อาวุโสระดับสูงและเจ้าตำหนักทั้งสามคนต่างกดดันอาจารย์เหวินหวู่ของพวกเราให้เลือกศิษย์คนใดคนหนึ่งเป็นศิษย์สืบทอดของตำหนักเสียทีเพราะตำแหน่งนี้ถูกว่างเว้นมาหลายปีเเล้ว...""เจ้าอาจจะพอรับรู้มาบ้างว่าเป็นธรรมเนียมที่ถูกปฏิบัติยึดถือในสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์มาอย่างช้านานตั้งแต่เริ่มต่อตั้งสำนัก นั่นคือในทุก ๆ สี่ปีตำหนักทั้งสี่จักต้องให้ศิษย์ผู้สืบทอดในตำหนักของร่วมประลองกัน ทางตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาไร้ซึ่งตำแหน่งศิษย์ผู้สืบทอดมายาวนานนับสิบปีแล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นหลังจากนั้น??" ไป๋เหลียนฮวาเอ่ยขึ้นก่อนที่จะยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย"ขอรับ..." หนิงอ้ายตอบกลับไปด้วยความไม่มั่นใจ"พวกเราทั้งหกคนต่างโยนตำแหน่งนี้ให้กันไปมาราวกับเหล็กร้อน ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างเห็นตรงกันว่าเป็นศิษย์พี่ใหญ่ที่คู่ควรกับตำแหน่งศิษย์ผู้สืบทอดแต่ทว่าศิษย์พี่ใหญ่นั้นกลับโยนให้กับศิษย์พี่รองเสียอย่างนั้น...""เจ้าน่าจะพอคาดเดาได้ว่าหลังจากนี้ได้เกิดสิ่งใดขึ้น ศิ
"ศิษย์น้องหนิงอ้ายเจ้างดงามยิ่งนัก ขนาดศิษย์พี่ที่เป็นสตรียังไม่อาจเทียบเจ้าได้เลยแม้เเต่น้อย..." ไป๋เหลียนฮวาเอ่ยขึ้นอย่างยอมรับพร้อมกับหยอกล้อเด็กหนุ่มกลับไป"ศิษย์พี่ไป๋กล่าวชมข้าเกินไปแล้วท่านก็เป็นสตรีที่งดงามมากเช่นกัน..." หนิงอ้ายตอบกลับอีกฝ่ายไปด้วยสัตย์จริง ตอนเเรกที่ตนเห็นอีกฝ่ายนั้นยอมรับว่าศิษย์พี่ของเขาผู้นี้งดงามยิ่ง แม้ในใจเขานั้นจะเอนเอียงให้มารดาของตนงดงามมากกว่าก็ตาม"ในที่สุดตำหนักของเราก็มีสิ่งที่สวยงามจริง ๆ เสียที!! ยินดีต้อนรับเจ้าอีกครั้งนะศิษย์น้อง..." บุรุษหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งเอ่ยขึ้นโดยที่ไม่ละสายตาจากเด็กหนุ่มก่อนที่จะหันไปมองสตรีเพียงคนเดียวในที่นี้แล้วหันกลับมาทันที"ศิษย์พี่เหยียนหมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ??" เป็นไป๋เหลียนฮวาที่ถามกลับไปเหยียนฮุ่ยหรือศิษย์พี่สี่ของตนด้วยท่าทางหาเรื่องชวนให้รู้สึกขบขันเป็นอย่างยิ่ง"ข้าก็หมายความอย่างที่ได้เอ่ยไปเช่นนั้น ศิษย์น้องหนิงอ้ายเพียบพร้อมไปด้วยความงามและท่าทางเรียบร้อยไม่เหมือนกับเจ้าที่เป็นสตรี เเต่ทว่าซุกซนดื้อรั้นอีกทั้งไม่สำรวมเช่นเดียวกับสตรีทั่วไป ดีเเล้วที่ได้ศิษย์น้องหนิงอ้ายเข้ามาในตำหนักหลังจากนี้ข้าคงต
หนิงอ้ายพบว่าโรงครัวที่ศิษย์พี่ของตนพามาได้ต่างไปจากสิ่งที่ตนคาดคิดเอาไว้เป็นอย่างมาก เป็นอาคารห้าเหลี่ยมหนึ่งชั้นที่มีรูปลักษณ์สวยงาม ถูกล้อมรอบไปด้วยสระบัวขนาดใหญ่ภายในถูกตกเเต่งอย่างเรียบง่ายคล้ายกับว่าเน้นไปที่การใช้งานเสียมากว่า ยามสายนี้เหล่าบรรดาศิษย์จากทุกตำหนักในสำนักศึกษาแห่งนี้ต่างนั่งกินข้าว พูดคุยกันอย่างคึกคักเเต่ก็ไม่ได้วุ่นวายสักเท่าไหร่เนื่องจากว่ามีพื้นที่กว้างขวางและมีที่นั่งเป็นสัดส่วนนั่นเองทันทีที่หนิงอ้ายได้ปรากฎตัวขึ้นพร้อมกับไป๋เหลียนฮวาผู้ที่ได้ชื่อว่างดงามเป็นอันดับหนึ่งของสำนัก ทุกความสนใจ ทุกสายสายตาต่างจับจ้องมาทางพวกเขาทั้งสองคนอย่างพร้อมเพรียง เนื่องจากว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในการทดสอบรับศิษย์ใหม่ของเมื่อวานนี้นั้นในตอนนี้ทุกคนในสำนักศึกษาต่างรับรู้โดยทั่วกันเเล้วว่าตำหนักศาสตร์แห่งการรักษานั้นในที่สุดก็มีศิษย์ผู้สืบทอดเสียสักที หลังจากที่ตำแหน่งนี้ได้ว่างเว้นมายาวนานนับสิบปีเลยทีเดียวตัวคนที่รับตำแหน่งนี้ก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุเพียงสิบห้าสิบหกปีเท่านั้น หากเทียบกับศิษย์ผู้สืบทอดอีกสามตำหนัก ที่ต่างมีอายุประมาณยี่สิบห้าปีขึ้นไปนั่นนับว่าเป็นศิษย์ผู้สืบทอ
สิ้นเสียงของชายหนุ่มที่พึ่งกล่าวจบลงไป เสื้อคลุมตัวนอกสีเเดงและพู่หยกประจำตัวที่ห้อยอยู่ตรงข้างเอวที่เห็นได้ชัด ทำให้กลุ่มของหนิงอ้ายพอที่จะคาดเดาได้ว่าผู้ที่เอ่ยถ้อยคำคล้ายกับหาเรื่องพวกเขานั้นเป็นศิษย์สายนอกของตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้คนหนึ่ง ตรงด้านหลังของอีกฝ่ายยังมีกลุ่มของชายหนุ่มที่มีอายุไล่เลี่ยกันไปอีกสี่ห้าคนที่ดูเเล้วไม่ต่างไปจากลูกสมุนติดตามสักเท่าไหร่นัก ที่ต่างพากันมองมาทางกลุ่มของพวกเขาด้วยสายตาดูถูกและไร้มรารยาทเป็นอย่างยิ่งเนตรแห่งสวรรค์ได้เเสดงให้ได้รู้ว่ากลุ่มของศิษย์พี่เหล่านี้ต่างมีรากฐานบ่มเพาะพลังวิญญาณอยู่ในระดับเทวะวิญญาณขั้นต้นกันทั้งสิ้น มีเพียงชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงด้านหน้าสุดที่พึ่งเอ่ยกับเขาไปเมื่อครู่คนเดียวเท่านั้นที่มีพลังวิญญาณอยู่ในระดับเทวะวิญญาณขั้นกลางแน่นอนว่าทางกลุ่มของหนิงอ้ายย่อมเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด บทสนทนาที่เกิดขึ้นตั้งเเต่เเรกเริ่ม ท่าทางแลน้ำเสียงของอีกฝ่ายได้เเสดงออกมาที่พูดจาดูแคลนหนิงอ้าย พวกเขาเองในตอนนี้ต่างรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมากอี้หลินคล้ายกับว่าจะพูดบางอย่างที่รุนเเรงโต้กลับกลุ่มของศิษย์พี่เหล่านี้ไป เเต่หนิงอ้ายที่เห็นท่าทางดั
เวทย์โจมตีระดับสูงที่ถูกร่ายออกมาพร้อมกันจากผู้ฝึกตนราชทินนามเทวะวิญญาณขั้นต้นถึงสองคนในคราวเดียวกัน ย่อมส่งผลให้อานุภาพของเวทย์โจมตีทั้งสองบทนี้ยิ่งทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า การจู่โจมโดยฉับพลันที่ผสานเข้าด้วยกันของเวทย์โจมตีปราณธาตุดินและปราณธาตุลมได้สร้างความเสียหายเป็นระยะกว้างในพื้นที่โดยรอบด้วยความรุนแรงที่เพิ่มทวีคูณเช่นนี้ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนในระดับเดียวกันนั้นย่อมรับมือผลจากเวทย์โจมตีไม่ได้โดยง่ายสักเท่าไหร่นัก ความแข็งแกร่งของผู้ฝึกตนราชทินนามเทวะวิญญาณนั้นมีมากมายเพียงใดทุกคนย่อมรับรู้โดยทั่ว ยิ่งกับเวทย์ต่าง ๆ ที่ถูกร่ายออกมาจากผู้ฝึกตนในระดับนี้นั้นย่อมมีอานุภาพสะเทือนฟ้าสะเทือนดินต่อให้หนิงอ้ายจะมีระดับพลังวิญญาณน้อยกว่าอีกฝ่ายไปถึงหนึ่งขั้นใหญ่ก็จริง เเต่ถึงอย่างไรก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ก็ไม่ได้ทำให้หนิงอ้ายรู้สึกกดดันเลยแม้เเต่น้อย ในทางตรงกันข้ามภายในใจของเขากลับรู้สึกตื่นเต้นเสียอย่างนั้นที่ได้ปะทะรับมือเช่นนี้ เพราะตนนั้นจะได้ฝึกฝนฝีมือและญาณสัมผัสของตนให้เฉียบคมเพิ่มขึ้น ผลแพ้ชนะนั้นหาได้วัดจากเพียงระดับพลังวิญญาณของคู่ต่อสู้เท่านั้น เพราะพลังฝีมือต่อสู้ที่เ
ไม่นานข่าวลือได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งสำนักด้วยความรวดเร็ว ที่ว่าเฉินหลานได้หาเรื่องศิษย์ใหม่ที่เป็นถึงศิษย์ผู้สืบทอดของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษา เเต่ท้ายที่สุดได้ถูกศิษย์ใหม่ผู้นั้นตอกกลับด้วยถ้อยคำที่เจ็บแสบจนทำให้อับอาย ยังดีที่กลุ่มของตงหยางและสหายทั้งสามที่ได้เข้ามาห้ามปรามตำหนิชายหนุ่มไปเช่นกันเดิมทีเฉินหลานก็ไม่ได้ชอบตงหยางมากเท่าไหร่ ด้วยเพราะบิดาและผู้อาวุโสที่อยู่ในรอบตัวมักจะเปรียบเทียบเขากับตงหยางอยู่เสมอ ยิ่งถูกอีกฝ่ายกล่าวตำหนิต่อหน้าผู้คนมากมาย เขายิ่งรู้สึกโกรธและเสียหน้าเป็นอย่างมาก อคติในใจได้โทษว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นเพราะหนิงอ้ายคนเดียวที่ทำให้ต้องอับอายเช่นนี้ เขาต้องเอาคืนอีกฝ่ายอย่างแน่นอนในสักวัน"เจ้าเด็กสารเลวนั่นหาเรื่องตายเสียแล้ว!!""ข้าจะจำเอาไว้แล้วในวันหนึ่งข้าจะทำให้เจ้าเสียใจที่ทำให้ข้าต้องอับอายเช่นนี้!!!" เฉินหลานเอ่ยสบถอย่างหัวเสีย ครั้งนี้เป็นเขาที่เสียหน้าเป็นที่อับอายไปไม่น้อยเสียงการทำลายสิ่งของดังไปทั่ว แต่ด้วยเพราะเรือนพักแต่ละหลังของตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้นั้นมีพื้นที่ส่วนตัวเป็นอย่างมาก เสียงดังที่เกิดขึ้นนี้นับว่าไม่ได้แปลกประห
หลังจากที่เดินแยกออกมาได้สักระยะหนึ่ง หนิงอ้ายยังคงรู้สึกได้ถึงสายตาของอีกฝ่ายที่มองตามหลังของเขามาอย่างไม่ลดละ ถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มจะสัมผัสไม่ได้ถึงความมุ่งร้ายของอีกฝ่ายได้เลยก็ตาม หากกล่าวตามความจริงคือพลังจิตของหนิงอ้ายนั้นไม่สามารถสัมผัสได้ถึงคลื่นอารมณ์หรือความนึกคิดของอีกฝ่ายได้เลยแม้เเต่น้อยนั่นหมายความว่าหากอีกฝ่ายไม่ได้ครอบครองของวิเศษระดับสูงที่สามารถป้องกันการรุกล้ำเหล่านี้ได้ เช่นนั้นเเล้วชายหนุ่มคงมีจิตที่กล้าเเข็งที่มากเพียงพอจึงทำให้เนตรแห่งสวรรค์ของหนิงอ้ายนั้นไม่สามารถล่วงรู้ได้ถึงอารมณ์หรือความนึกคิดของอีกฝ่ายได้นั่นเองสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้หนิงอ้ายรู้สึกหงุดหงิดและรำคานใจอยู่บ้างเช่นกัน ด้วยเพราะว่าเนตรแห่งสวรรค์ของเขานั้นมีการพัฒนาเพิ่มขึ้นจากเดิมอยู่หลายเท่า อีกทั้งยังสามารถพลิกเเพลงนำมาใช้ได้อย่างหลายหลายดั่งใจนึกคิด หนิงอ้ายมักจะใช้ทั้งสัญชาติญาณ ไหวพริบควบคู่กันอยู่เสมอ เผื่อว่าหากสิ่งใดเกิดขึ้นเขาจะได้รับมือได้อย่างทันท่วงทีและมีแผนสำรองเพื่อที่จะทำให้ตนไม่เป็นฝ่ายที่เพลี้ยงพล้ำเหตุการณ์ต่าง ๆ หรือสิ่งที่ได้เกิดขึ้น หากว่าอยู่นอกเหนือการควบคุมหรือการรับรู้ท
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต
มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล
ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย