Home / แฟนตาซี / บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ / บทที่69 ตำหนักศาสตร์แห่งการรักษา

Share

บทที่69 ตำหนักศาสตร์แห่งการรักษา

ระหว่างการเดินทางหนิงอ้ายได้ทราบว่าสตรีผู้เป็นศิษย์พี่ของเขามีนามว่าไป๋เหลียนฮวา ผู้มีมีศักดิ์เป็นหลานของผู้อาวุโสเหวินหวู่ นางเป็นศิษย์ลำดับที่ห้าที่ได้เข้าสังกัดอยู่ในตำหนักนี้มาได้หลายปีเเล้ว ด้วยเพราะนางเป็นสตรีเพียงคนเดียวในตำหนัก ดังนั้นหน้าที่ในการดูเเลรับผิดชอบต่าง ๆ ผู้อาวุโสเหวินหวู่ได้มอบอำนาจให้นางจัดการแทบทั้งสิ้น

ฟังว่าศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รองออกไปทำภารกิจบางอย่างให้ผู้อาวุโสเหวินหวู่ อีกไม่นานคาดการณ์ว่าคงใกล้กลับสำนักแล้ว ทางฝั่งของศิษย์พี่สามกำลังเข้ากักตัวเนื่องจากมีสัญญาณว่าจะเลื่อนละดับในเร็ววันนี้ สำหรับศิษย์พี่สี่ด้วยเพราะมีนิสัยที่ไม่ชื่นชอบความวุ่นวายเท่าไหร่นักจึงพำนักอยู่ในเรือนของตนเพื่อศึกษาตำราและทดลองปรุงโอสถต่าง ๆ

ดูเหมือนว่าศิษย์พี่เหล่านี้จะไม่ยินดีต้อนรับหนิงอ้ายมาเป็นศิษย์น้อง พวกเขาล้วนต่างตื่นเต้นที่จะได้ศิษย์น้องคนใหม่เข้าตำหนักของตน แต่เพราะหลายปีที่ผ่านมายังไม่มีผู้ใดเข้าตาท่านเจ้าตำหนัก จึงทำให้หลังจากการรับศิษย์ลำดับที่ห้าเมื่อหลายปีมาเเล้วนั้น บรรดาศิษย์ในตำหนักจึงเลิกให้ความสนใจและเข้าร่วมพิธีการทดสอบศิษย์ใหม่ จึงเป็นนางเองที่เป็นผู้จัดการทุกสิ่งอย่างเช่นเดิม โดยที่พวกเขาเหล่านั้นยังไม่ทราบว่าตำหนักของตนได้รับศิษย์ใหม่เสียที หากนับไปแล้วนั้นหนิงอ้ายนั้นเป็นศิษย์น้องเล็กที่อายุน้อยที่สุดที่มีอายุเพียงสิบห้าสิบหกปีเท่านั้น

ตลอดเส้นทางเดินนั้นที่หนิงอ้ายและศิษย์พี่ไป๋เหลียนฮวา พวกเขาทั้งสองคนได้เดินทางผ่านทางถนนที่ถูกปูพรมด้วยหินก้อนที่ถูกตัดด้วยรูปทรงหกเหลี่ยมที่เท่ากัน บริเวณโดยรอบตลอดเส้นทางเต็มไปด้วยอาคารจีนโบราณขนาดน้อยใหญ่ รวมไปถึงตำหนักย่อยต่าง ๆ อันเป็นสถานที่ตั้งของอีกสามตำหนักที่เหลือที่ตั้งอยู่ในแต่ละทิศ เนื่องจากว่าตำหนักศาสตร์แห่งการรักษานั้นอยู่ในพื้นที่เกือบด้านในสุดของเขตสำนักศึกษา

ไป๋เหลียนฮวาได้เอ่ยเสริมขึ้นว่าดังนั้นแล้วจึงทำให้สภาพแวดล้อมจึงเต็มไปด้วยทิวทัศน์ที่สวยงาม ถึงแม้ว่าสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์จะตั้งอยู่ในเขตทางเหนือของมหาทวีปบูรพาที่พื้นที่ส่วนใหญ่รวมไปถึงพื้นที่เกือบครึ่งหนึ่งของสำนักต่างเป็นพื้นที่ที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะเเข็งและมีสภาพหนาวเย็นที่เปรียบดั่งปราการธรรมชาติที่แข็งแกร่งพิศดารยากต่อการบุกทะลวง

ด้วยเพราะทางสำนักได้กางค่ายกลขนาดใหญ่ครอบคลุมเขตพื้นที่ฝ่ายนอกทั้งหมด ส่งผลให้บริเวณด้านในล้วนไม่ได้รับผลกระทบจากความหนาวเย็นเหล่านี้ พวกเขาทั้งคู่ใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งเค่อด้านหน้าปรากฎเป็นประตูทางเข้าที่ถูกทำขึ้นจากหินก้อนใหญ่ที่ถูกสลักอย่างสวยงามว่า ตำหนักศาสตร์แห่งการรักษา ไป๋เหลียนฮวาหันมายิ้มกับกับหนิงอ้ายเล็กน้อยก่อนที่จะเดินนำเด็กหนุ่มเข้าไป

ทันทีที่หนิงอ้ายเข้ามาในบริเวณของตำหนัก เนตรแห่งสวรรค์ส่งข้อมูลให้รับรู้ว่าพื้นที่แห่งนี้ถูกปกป้องด้วยค่ายกลเฉพาะของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษา ผู้ที่จะผ่านเข้ามาได้นั้นต้องเป็นผู้ที่ได้รับการอนุญาตจากผู้อาวุโสเหวินหวู่ผู้เป็นเจ้าตำหนัก รวมไปถึงศิษย์ของตำหนักที่มีป้ายหยกกำกับเท่านั้นจึงจะสามารถผ่านประตูส่วนหน้ามาได้ ที่โดยรอบของตำหนักนี้นั้นหนิงอ้ายสัมผัสได้ถึงปราณฟ้าดินที่หนาแน่นกว่าพื้นที่ส่วนนอกหลายเท่าเลยทีเดียว...

"พื้นที่ของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษานั้นท่านอาจารย์เหวินหวู่ได้ไหว้วานให้ผู้อาวุโสกุ้ยเจินเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลสร้างมหาค่ายกลที่สามารถดึงดูดปราณฟ้าดินเข้ามารวบรวมในพื้นที่นี้รวมไปถึงชักนำกระเเสปราณบริสุทธิ์จากสมุนไพรระดับสูงที่มีการปลูกไว้ในโรงเรือนด้านหลังเพื่อให้พื้นที่ในตำหนักของเรามีปราณฟ้าดินที่มากมายเพียงพอสำหรับสมุนไพรวิเศษและพวกเราเหล่าศิษย์ในตำหนัก..."

"แม้ว่าอีกสามตำหนักที่เหลือต่างมีมหาค่ายกลลักษณะคล้ายคลึงกันที่สามารถดึงดูดปราณฟ้าดินเช่นนี้ได้ก็จริง เเต่ถึงอย่างนั้นพวกเขายังด้อยไปด้วยสิ่งที่ส่งเสริมนั่นคือเหล่าสมุนไพรดับสูงที่ถูกปลูกไว้อย่างมากมายในตำหนักของเรา..." ไป๋เหลียนฮวาเอ่ยขึ้นกับหนิงอ้ายด้วยนางสัมผัสได้ว่าเด็กหนุ่มนั้นสัมผัสได้ถึงปราณฟ้าดินเหล่านี้ได้เช่นกันดูท่าแล้วญาณสัมผัสของศิษย์น้องผู้นี้ของนางนั้นคงเท่าเทียมกับมากกว่านางอย่างแน่นอน

"อาศัยสมุนไพรวิเศษระดับสูงชักนำกระเเสปราณฟ้าดินบริสุทธิ์ให้ไหลเวียนโดยทั่วตำหนัก อีกทั้งมหาค่ายกลผืนนี้ยังถูกเสริมไปด้วยผลึกปราณธาตุทั้งสี่ที่หาได้ยากยิ่งและเปี่ยมไปด้วยความบริสุทธิ์สิบส่วนและด้วยเหตุนี้ทั่วทั้งตำหนักจึงเต็มไปด้วยปราณฟ้าดินที่หนาแน่นเช่นนี้นั่นเอง..."หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับมองไปรอบ ๆ ด้วยความชื่นชมเป็นอย่างยิ่ง

คำกล่าวของเด็กหนุ่มทำเอาไป๋เหลียนฮวาประหลาดใจอยู่ไม่น้อย เพราะกว่าที่นางจะรู้ว่าทางตำหนักได้ใช้ผลึกปราณธาตุในการเสริมค่ายกลนี้นั้นก็ใช้เวลาไปเกือบปี แต่หนิงอ้ายที่ก้าวเท้าในตำหนักเพียงไม่กี่จิบชาเท่านั้นกลับสัมผัสได้

"ไม่คาดคิดว่าศิษย์น้องหนิงอ้ายจะรู้ได้ถึงความลับที่ซุกซ่อนอยู่และสามารถวิเคราะห์ได้อย่างแม่นยำเช่นนี้ญาณสัมผัสของเจ้านั้นนับว่าเหนือชั้นกว่ารุ่นเยาว์วัยเดียวกันยิ่งนัก..." ไป๋เหลียนฮวาเอ่ยชื่นชมเด็กหนุ่มด้วยความประทับใจในความรอบรู้ของอีกฝ่าย

"ศิษย์พี่ไป๋เหลียนฮวากล่าวชมข้าเกินไปขอรับ ลู่เกอพี่ชายของข้าที่เป็นศิษย์สายนอกของตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกล ยามว่างมักจะศึกษาตำราที่ท่านตานำมาให้เกี่ยวกับค่ายกล ข้าที่เบื่อ ๆ จึงเข้าไปก่อกวนจนท้ายที่สุดก็ถูกบังคับให้นั่งศึกษาด้วยกัน บ่อยครั้งเข้าข้าจึงพอมีความรู้เกี่ยวกับค่ายกลอยู่บ้างขอรับ...." หนิงอ้ายตอบกลับไปด้วยความสัตย์จริงเพราะก่อนหน้าที่ตอนที่อยู่ในตระกูลหวัง เมื่อท่านตาได้รู้แล้วว่าพวกเขาทั้งสองคนจะเข้าร่วมสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ท่านจึงให้ข้อมูลเกี่ยวกับตำหนักทั้งสี่

ลู่ซีที่มีความสนใจในศาสตร์แห่งค่ายกลจึงมุ่งเน้นศึกษาตำราดังกล่าว ตัวเขาในตอนนั้นแม้จะมีอ่านตำราที่เกี่ยวกับศาสตร์แห่งค่ายกลของอีกฝ่ายอยู่บ้างแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เลือกที่จะอ่านตำราของศาสตร์อื่น ๆ ไปพร้อมกัน

"ถึงที่พักของเจ้าแล้ว เรือนนี้จะเป็นเรือนที่อยู่ใกล้กับผู้อาวุโสเหวินหวู่มากที่สุด เจ้าคงเหนื่อยกับการทดสอบก่อนหน้ามากเป็นแน่เช่นนั้นแล้วเจ้าจงจัดการตัวเองให้เรียบร้อยและนอนพักเสียเถิด ยามโหย่วค่อยไปเจอกันที่เรือนรับรองแล้วกัน..." ไป๋เหลียนฮวานั้นเอ่ยกำชับเด็กหนุ่มไปอีกเล็กน้อยก่อนที่จะแยกตัวออกมาเพื่อให้อีกฝ่ายนั้นได้พักผ่อน

เรือนเล็กหลังนี้นั้นข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ นับได้ว่าเหมาะสมกับความต้องการของเขาเป็นอย่างยิ่ง เพราะปกติหนิงอ้ายไม่ชื่นชอบตัวห้องที่มีเครื่องเรือนมากมายสักเท่าไหร่ เน้นความเรียบง่ายสบายตาไปเสียมากกว่า หลังจากเดินสำรวจคร่าว ๆ จึงอดไม่ได้ที่จะระบายรอยยิ้มที่เเสดงความพึงพอใจออกมา

ตัวเรือนมีห้องนอนและห้องน้ำในตัว อีกทั้งห้องนั่งเล่นที่อยู่ริมหน้าต่างติดกับสระบัวนับว่าถูกใจเขาเป็นอย่างยิ่ง หนิงอ้ายตั้งใจว่าตนจะเก็บของสักเล็กน้อยเท่าที่จำเป็น ก่อนที่จะอาบน้ำจัดการตัวเองแล้วพักผ่อนก่อนที่จะไปตามนัดหมายที่ศิษย์พี่ไป๋ได้แจ้งแก่เขานั่นเอง

"เอาละต้าเฮยเข้ารอข้าอาบน้ำอยู่ที่นี่อย่าไปเที่ยวซนที่ไหน ข้าจะรีบออกมาหรือว่าเข้าจะเข้าไปอาบน้ำกับข้า ฮ่าฮ่าฮ่า..." หนิงอ้ายเอ่ยหยอกล้อขึ้นพร้อมกับลูบหัวเจ้าตัวน้อยที่ตอนนี้เลื้อยออกจากช่องในเสื้อคลุมก่อนที่จะชูคอให้เด็กหนุ่มลูบเบา ๆ

สิ้นเสียงคำเชิญชวนของเด็กหนุ่มอสรพิษสีดำตัวน้อยไม่รอช้ารีบเลื้อยหนีจากแขนของร่างบางไปยังเตียงนอนราวกับกลัวว่าตนจะถูกจับอาบน้ำดังคำกล่าวของเด็กหนุ่มเสียอย่างนั้นชวนให้น่าแกล้งกว่าเดิมเสียจริง หนิงอ้ายที่เห็นถึงท่าทีเขินอาย?? ของต้าเฮยนั้นถึงกับหัวเราะออกมาอีกครั้ง ก่อนที่จะหายเข้าไปในห้องอาบน้ำเพื่อจัดการตัวเองให้เรียบร้อยเสียที…

พื้นที่โดยรอบของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาถูกแบ่งการใช้งานออกเป็นสามส่วนใหญ่ ๆ ประกอบไปด้วยส่วนของเรือนพักที่มีขนาดใกล้เคียงกัน มีพื้นที่ส่วนตัวของเเต่ละเรือนที่ชัดเจนเป็นจำนวนนับสิบหลังเพียงพอกับเหล่าบรรดาศิษย์ในตำหนักทุกคน เรือนพักหลังที่ใหญ่ที่สุดตรงกลางนั้นเป็นเรือนของท่านเจ้าตำหนักแห่งนี้และตรงด้านหลังก็มีเรือนรับรองอีกสองหลังไว้สำหรับต้อนรับผู้ที่มาเยือนเช่นกัน

ส่วนที่สองจะเป็นสถานที่เกี่ยวข้องกับการรักษาทั้งสิ้น ประกอบไปด้วยหอโอสถขนาดใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่โดดเด่นภายในอาคารนั้นเต็มไปด้วยโอสถหลากหลายชนิดและสูตรโอสถที่มากมาย นอกจากนี้โรงเรือนตรงด้านข้างกันที่เป็นสถานที่จัดเก็บสมุนไพรโดยเฉพาะที่ถูกรักษาไว้เป็นอย่างดี สำหรับโอสถต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นโอสถรักษา โอสถเลื่อนระดับ หรือโอสถอื่น ๆ นั้นล้วนอยู่ในการดูเเลของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาทั้งสิ้น

สำหรับโรงเรือนรักษาจะอยู่ในพื้นที่ส่วนกลางด้านนอก เนื่องจากท่านเจ้าตำหนักเหวินหวู่ไม่ชื่นชอบให้มีคนเข้าออกในบริเวณพื้นที่ตำหนักของตนสักเท่าไหร่ นั่นหมายความว่าในเเต่ละวันนั้นศิษย์ในตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาจึงมีการจัดเวรสลับกันในการประจำการด้านนอกและรักษาศิษย์อื่นร่วมสำนักในโรงเรือนดังกล่าวนั่นเอง

สำหรับพื้นที่ส่วนสุดท้ายหรือเป็นพื้นที่ส่วนที่เหลือเกือบทั้งหมดของตำหนัก นอกจากจะมีไม้ยืนต้นขนาดต่างๆ ที่คอยให้ร่มเงาแล้วยังคงมีไม้ผลมากมายสายพันธ์ต่างออกดอกผลตลอดทั้งปีอีกด้วย แปลงสมุนไพรหลายแปลงที่ถูกดูเเลป้องกันด้วยค่ายกลชนิดหนึ่ง พื้นที่บริเวณนั้นหากเพ่งญาณสัมผัสอย่างถี่ถ้วนก็จะรับรู้ได้ว่าสมุนไพรเหล่านี้ต่างได้ปล่อยปราณฟ้าดินบริสุทธิ์อ่อน ๆ ออกมาจึงทำให้ส่วนของพื้นที่ปลูกสมุนไพรจะมีความหนาแน่นของปราณฟ้าดินที่เข้มข้นกว่าส่วนอื่นในตำหนัก ทุกสิ่งอย่างนี้ต่างล้วนมีความกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกันกับธรรมชาติได้อย่างลงตัว

"กว่าจะจัดการทุกอย่างเสร็จอีกไม่ถึงชั่วยาม ก็จะถึงเวลานัดหมายที่ศิษย์พี่ไป๋ได้บอกไว้ก่อนหน้านี้ เช่นนั้นอย่าพึ่งนอนพักก็แล้วกันจะได้ไม่ต้องเร่งรีบอีกด้วย..." หลังจากที่เขาอาบน้ำและจัดการตัวเองเสร็จแล้วหนิงอ้ายเห็นว่าเจ้าต้าเฮยเอาแต่หลบซ่อนเขาอยู่ในกองผ้าห่มเรียกเท่าใดก็ไม่ยอมออกมา

หนิงอ้ายคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่คุ้ยชินที่สักเท่าไหร่ ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงไม่เข้าไปกวนเจ้าตัวน้อยแล้วกันปล่อยให้อีกฝ่ายพักผ่อนไปเสีย ก่อนที่จะทำการดูดซับปราณฟ้าดินที่มีอยู่โดยรอบตัวเข้าสู่ร่างกายของตนเพื่อคลายความเมื่อยล้าอีกครั้ง

นอกจากดูดซับปราณฟ้าดินแล้วหนิงอ้ายได้ปล่อยวิหคสอดแนมออกไปเป็นจำนวนมาก ขอบเขตที่เขาสามารถควบคุมได้ในตอนนี้นั่นคือรัศมีสองลี้ เชื่อว่าหากเขามีระดับพลังวิญญาณที่สูงขึ้นขอบเขตของรัศมีนี้ก็จะเพิ่มขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน หนิงอ้ายยังคงเลือกใช้วิหคสอดแนมเพื่อที่เขาจะได้รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นถึงความเป็นไปต่าง ๆ ได้นั่นเอง

"ศิษย์น้องเจ้าเป็นอย่างไรบ้างทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยเเล้วใช่หรือไม่??" ไป๋เหลียนฮวาที่มาถึงหน้าเรือนพักของเด็กหนุ่มจึงร้องถามขึ้นจากด้านนอก

"ทุกอย่างเรียบร้อยถูกใจข้ายิ่ง เราจะไปตอนนี้เลยหรือไม่ขอรับ??" หนิงอ้ายถามกลับไปเพราะวิหคสอดแนมได้ส่งภาพที่อีกฝ่ายมุ่งมายังเรือนพักของเขาในก่อนหน้านี้เเล้ว

"ตอนนี้ศิษย์พี่สาม ศิษย์พี่สี่ก็มากันใกล้ครบแล้วอีกสักพักท่านอาจารย์ก็คงมาถึงเช่นกัน เจ้าจัดการตัวเองเรียบร้อยเเล้วก็ไปกันเสียเถอะ..." ไป๋เหลียนฮวาถามกลับเด็กหนุ่มอีกครั้งก่อนที่จะชักชวนให้อีกฝ่ายไปกันเสียที

"ข้ากำลังจะออกไปขอรับ" หนิงอ้ายตอบกลับอีกฝ่ายพร้อมกับสำรวจความเรียบร้อยของตนอีกครั้งก่อนที่จะเปิดประตูออกไป

หนิงอ้ายอยู่ในชุดเครื่องแบบของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาแล้วอย่างเต็มตัว ด้วยเพราะว่าข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นรวมไปถึงเสื้อผ้าต่างถูกจัดเตรียมอย่างครบถ้วนเรียบร้อย หนิงอ้ายคิดว่าอาจเป็นฝีมือของศิษย์พี่ก็เป็นไปได้ที่เข้ามาจัดการดูเเลในส่วนนี้ให้กับเขา

ภาพตรงหน้าของนางปรากฎเป็นเด็กหนุ่มรูปร่างผอมบางน่าเอ็นดูชวนให้รู้สึกทะนุถนอมเป็นอย่างยิ่ง เมื่อร่างบางสวมเสื้อตัวนอกสีเขียวขาวอันเป็นเครื่องแบบประจำตำหนักแล้วยิ่งส่งเสริมให้รูปลักษณ์ของเด็กหนุ่มราวกับคุณชายที่มากไปด้วยภูมิความรู้สติปัญญาอย่างแท้จริง สำหรับป้ายหยกสีเขียวอ่อนเหลือบสีทองที่ถูกผูกไว้ตรงข้างเอวเป็นสิ่งที่เเสดงถึงฐานะของเด็กหนุ่มที่สังกัดอยู่ในตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาแห่งนี้

ถึงอย่างไรป้ายหยกของเด็กหนุ่มก็มีความแตกต่างจากศิษย์ในตำหนักเดียวกันไปด้วยเพราะตำแหน่งผู้สืบทอดของตำหนัก เมื่อไป๋เหลียนฮวาเมื่อสำรวจเเล้วว่าเด็กหนุ่มแต่งกายครบถ้วนเรียบร้อยจึงเดินนำไปในทันที

"ศิษย์พี่ไป๋ข้าขอถามบางอย่างได้หรือไม่ขอรับ??" หนิงอ้ายเอ่ยถามอีกฝ่ายด้วยความเกรงใจและด้วยใบหน้าของอีกฝ่าย ทำเอาคู่สนธนาอย่างไป๋เหลียนฮวาถึงกับอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา

"เจ้าสงสัยสิ่งใดก็ถามมาเถิด ศิษย์พี่จะตอบในสิ่งที่พอจะตอบให้กับเจ้าได้..." ไป๋เหลียนฮวาเมื่อเห็นท่าทางที่เต็มไปด้วยความเกรงใจของเด็กหนุ่มจึงรู้สึกเอ็นดูอีกฝ่ายเป็นอย่างมาก

สตรีเช่นนางนั้นที่ต้องอยู่ในตำหนักนี้ที่มีเเต่บุรุษ ต่างมีนิสัยที่แตกต่างประหลาดกันออกไปและชอบทำให้นางโมโหเสียหลายครั้ง เช่นนั้นเเล้วเมื่อนางได้ศิษย์น้องคนนี้เข้ามาร่วมตำหนักเดียวกัน จิตใจที่ห่อเหี่ยวของนางก็รู้สึกว่าดีขึ้นมาไม่น้อยเลยทีเดียว

"ข้าที่เป็นศิษย์ใหม่ เป็นศิษย์น้องของพวกท่านเพียงเท่านั้นแต่ได้รับตำแหน่งศิษย์ผู้สืบทอดเช่นนี้บรรดาศิษย์พี่ท่านที่เหลือนั้นจะรู้สึกไม่พอใจในตัวข้าหรือไม่ขอรับ??" หนิงอ้ายเอ่ยถามขึ้นด้วยความกังวลใจ

เพราะเขาอยากมีสัมพันธ์ที่ดีกับศิษย์พี่ร่วมตำหนักทุกคน อีกทั้งตำแหน่งนี้นับได้ว่าเป็นสิ่งที่ศิษย์ทุกคนเฝ้าฝันถึง การที่ศิษย์พี่คนอื่น ๆ ที่ได้เข้าร่วมตำหนักนี้มาหลายปีแล้วเเต่กลับเป็นเขาที่พึ่งเข้ามาในปีนี้เเต่กับถูกเลือกเป็นศิษย์สืบทอด สิ่งนี้อาจทำให้ศิษย์พี่คนที่เหลือที่คาดหวังในตำแหน่งนี้คงไม่พอใจในตัวเขาก็อาจเป็นไปได้เช่นกัน...

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Related chapters

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่70 คำนับอาจารย์

    "เจ้ากังวลใจในเรื่องนี้เองหรอกรึ?? ศิษย์พี่ผู้นี้จะบอกแก่เจ้า ความจริงแล้วก่อนหน้านี้หลายปีก่อนที่ท่านอาจารย์จะรับเจ้าเข้ามา ทางฝั่งของผู้อาวุโสระดับสูงและเจ้าตำหนักทั้งสามคนต่างกดดันอาจารย์เหวินหวู่ของพวกเราให้เลือกศิษย์คนใดคนหนึ่งเป็นศิษย์สืบทอดของตำหนักเสียทีเพราะตำแหน่งนี้ถูกว่างเว้นมาหลายปีเเล้ว...""เจ้าอาจจะพอรับรู้มาบ้างว่าเป็นธรรมเนียมที่ถูกปฏิบัติยึดถือในสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์มาอย่างช้านานตั้งแต่เริ่มต่อตั้งสำนัก นั่นคือในทุก ๆ สี่ปีตำหนักทั้งสี่จักต้องให้ศิษย์ผู้สืบทอดในตำหนักของร่วมประลองกัน ทางตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาไร้ซึ่งตำแหน่งศิษย์ผู้สืบทอดมายาวนานนับสิบปีแล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นหลังจากนั้น??" ไป๋เหลียนฮวาเอ่ยขึ้นก่อนที่จะยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย"ขอรับ..." หนิงอ้ายตอบกลับไปด้วยความไม่มั่นใจ"พวกเราทั้งหกคนต่างโยนตำแหน่งนี้ให้กันไปมาราวกับเหล็กร้อน ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างเห็นตรงกันว่าเป็นศิษย์พี่ใหญ่ที่คู่ควรกับตำแหน่งศิษย์ผู้สืบทอดแต่ทว่าศิษย์พี่ใหญ่นั้นกลับโยนให้กับศิษย์พี่รองเสียอย่างนั้น...""เจ้าน่าจะพอคาดเดาได้ว่าหลังจากนี้ได้เกิดสิ่งใดขึ้น ศิ

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่71 ศิษย์พี่ร่วมตำหนัก

    "ศิษย์น้องหนิงอ้ายเจ้างดงามยิ่งนัก ขนาดศิษย์พี่ที่เป็นสตรียังไม่อาจเทียบเจ้าได้เลยแม้เเต่น้อย..." ไป๋เหลียนฮวาเอ่ยขึ้นอย่างยอมรับพร้อมกับหยอกล้อเด็กหนุ่มกลับไป"ศิษย์พี่ไป๋กล่าวชมข้าเกินไปแล้วท่านก็เป็นสตรีที่งดงามมากเช่นกัน..." หนิงอ้ายตอบกลับอีกฝ่ายไปด้วยสัตย์จริง ตอนเเรกที่ตนเห็นอีกฝ่ายนั้นยอมรับว่าศิษย์พี่ของเขาผู้นี้งดงามยิ่ง แม้ในใจเขานั้นจะเอนเอียงให้มารดาของตนงดงามมากกว่าก็ตาม"ในที่สุดตำหนักของเราก็มีสิ่งที่สวยงามจริง ๆ เสียที!! ยินดีต้อนรับเจ้าอีกครั้งนะศิษย์น้อง..." บุรุษหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งเอ่ยขึ้นโดยที่ไม่ละสายตาจากเด็กหนุ่มก่อนที่จะหันไปมองสตรีเพียงคนเดียวในที่นี้แล้วหันกลับมาทันที"ศิษย์พี่เหยียนหมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ??" เป็นไป๋เหลียนฮวาที่ถามกลับไปเหยียนฮุ่ยหรือศิษย์พี่สี่ของตนด้วยท่าทางหาเรื่องชวนให้รู้สึกขบขันเป็นอย่างยิ่ง"ข้าก็หมายความอย่างที่ได้เอ่ยไปเช่นนั้น ศิษย์น้องหนิงอ้ายเพียบพร้อมไปด้วยความงามและท่าทางเรียบร้อยไม่เหมือนกับเจ้าที่เป็นสตรี เเต่ทว่าซุกซนดื้อรั้นอีกทั้งไม่สำรวมเช่นเดียวกับสตรีทั่วไป ดีเเล้วที่ได้ศิษย์น้องหนิงอ้ายเข้ามาในตำหนักหลังจากนี้ข้าคงต

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 72 ตลาดในสำนัก

    หนิงอ้ายพบว่าโรงครัวที่ศิษย์พี่ของตนพามาได้ต่างไปจากสิ่งที่ตนคาดคิดเอาไว้เป็นอย่างมาก เป็นอาคารห้าเหลี่ยมหนึ่งชั้นที่มีรูปลักษณ์สวยงาม ถูกล้อมรอบไปด้วยสระบัวขนาดใหญ่ภายในถูกตกเเต่งอย่างเรียบง่ายคล้ายกับว่าเน้นไปที่การใช้งานเสียมากว่า ยามสายนี้เหล่าบรรดาศิษย์จากทุกตำหนักในสำนักศึกษาแห่งนี้ต่างนั่งกินข้าว พูดคุยกันอย่างคึกคักเเต่ก็ไม่ได้วุ่นวายสักเท่าไหร่เนื่องจากว่ามีพื้นที่กว้างขวางและมีที่นั่งเป็นสัดส่วนนั่นเองทันทีที่หนิงอ้ายได้ปรากฎตัวขึ้นพร้อมกับไป๋เหลียนฮวาผู้ที่ได้ชื่อว่างดงามเป็นอันดับหนึ่งของสำนัก ทุกความสนใจ ทุกสายสายตาต่างจับจ้องมาทางพวกเขาทั้งสองคนอย่างพร้อมเพรียง เนื่องจากว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในการทดสอบรับศิษย์ใหม่ของเมื่อวานนี้นั้นในตอนนี้ทุกคนในสำนักศึกษาต่างรับรู้โดยทั่วกันเเล้วว่าตำหนักศาสตร์แห่งการรักษานั้นในที่สุดก็มีศิษย์ผู้สืบทอดเสียสักที หลังจากที่ตำแหน่งนี้ได้ว่างเว้นมายาวนานนับสิบปีเลยทีเดียวตัวคนที่รับตำแหน่งนี้ก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุเพียงสิบห้าสิบหกปีเท่านั้น หากเทียบกับศิษย์ผู้สืบทอดอีกสามตำหนัก ที่ต่างมีอายุประมาณยี่สิบห้าปีขึ้นไปนั่นนับว่าเป็นศิษย์ผู้สืบทอ

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่73 หาเรื่อง

    สิ้นเสียงของชายหนุ่มที่พึ่งกล่าวจบลงไป เสื้อคลุมตัวนอกสีเเดงและพู่หยกประจำตัวที่ห้อยอยู่ตรงข้างเอวที่เห็นได้ชัด ทำให้กลุ่มของหนิงอ้ายพอที่จะคาดเดาได้ว่าผู้ที่เอ่ยถ้อยคำคล้ายกับหาเรื่องพวกเขานั้นเป็นศิษย์สายนอกของตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้คนหนึ่ง ตรงด้านหลังของอีกฝ่ายยังมีกลุ่มของชายหนุ่มที่มีอายุไล่เลี่ยกันไปอีกสี่ห้าคนที่ดูเเล้วไม่ต่างไปจากลูกสมุนติดตามสักเท่าไหร่นัก ที่ต่างพากันมองมาทางกลุ่มของพวกเขาด้วยสายตาดูถูกและไร้มรารยาทเป็นอย่างยิ่งเนตรแห่งสวรรค์ได้เเสดงให้ได้รู้ว่ากลุ่มของศิษย์พี่เหล่านี้ต่างมีรากฐานบ่มเพาะพลังวิญญาณอยู่ในระดับเทวะวิญญาณขั้นต้นกันทั้งสิ้น มีเพียงชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงด้านหน้าสุดที่พึ่งเอ่ยกับเขาไปเมื่อครู่คนเดียวเท่านั้นที่มีพลังวิญญาณอยู่ในระดับเทวะวิญญาณขั้นกลางแน่นอนว่าทางกลุ่มของหนิงอ้ายย่อมเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด บทสนทนาที่เกิดขึ้นตั้งเเต่เเรกเริ่ม ท่าทางแลน้ำเสียงของอีกฝ่ายได้เเสดงออกมาที่พูดจาดูแคลนหนิงอ้าย พวกเขาเองในตอนนี้ต่างรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมากอี้หลินคล้ายกับว่าจะพูดบางอย่างที่รุนเเรงโต้กลับกลุ่มของศิษย์พี่เหล่านี้ไป เเต่หนิงอ้ายที่เห็นท่าทางดั

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่74 ศิษย์พี่ผู้สืบทอด

    เวทย์โจมตีระดับสูงที่ถูกร่ายออกมาพร้อมกันจากผู้ฝึกตนราชทินนามเทวะวิญญาณขั้นต้นถึงสองคนในคราวเดียวกัน ย่อมส่งผลให้อานุภาพของเวทย์โจมตีทั้งสองบทนี้ยิ่งทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า การจู่โจมโดยฉับพลันที่ผสานเข้าด้วยกันของเวทย์โจมตีปราณธาตุดินและปราณธาตุลมได้สร้างความเสียหายเป็นระยะกว้างในพื้นที่โดยรอบด้วยความรุนแรงที่เพิ่มทวีคูณเช่นนี้ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนในระดับเดียวกันนั้นย่อมรับมือผลจากเวทย์โจมตีไม่ได้โดยง่ายสักเท่าไหร่นัก ความแข็งแกร่งของผู้ฝึกตนราชทินนามเทวะวิญญาณนั้นมีมากมายเพียงใดทุกคนย่อมรับรู้โดยทั่ว ยิ่งกับเวทย์ต่าง ๆ ที่ถูกร่ายออกมาจากผู้ฝึกตนในระดับนี้นั้นย่อมมีอานุภาพสะเทือนฟ้าสะเทือนดินต่อให้หนิงอ้ายจะมีระดับพลังวิญญาณน้อยกว่าอีกฝ่ายไปถึงหนึ่งขั้นใหญ่ก็จริง เเต่ถึงอย่างไรก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ก็ไม่ได้ทำให้หนิงอ้ายรู้สึกกดดันเลยแม้เเต่น้อย ในทางตรงกันข้ามภายในใจของเขากลับรู้สึกตื่นเต้นเสียอย่างนั้นที่ได้ปะทะรับมือเช่นนี้ เพราะตนนั้นจะได้ฝึกฝนฝีมือและญาณสัมผัสของตนให้เฉียบคมเพิ่มขึ้น ผลแพ้ชนะนั้นหาได้วัดจากเพียงระดับพลังวิญญาณของคู่ต่อสู้เท่านั้น เพราะพลังฝีมือต่อสู้ที่เ

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่75 คนที่ไม่ควรข้องเกี่ยว

    ไม่นานข่าวลือได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งสำนักด้วยความรวดเร็ว ที่ว่าเฉินหลานได้หาเรื่องศิษย์ใหม่ที่เป็นถึงศิษย์ผู้สืบทอดของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษา เเต่ท้ายที่สุดได้ถูกศิษย์ใหม่ผู้นั้นตอกกลับด้วยถ้อยคำที่เจ็บแสบจนทำให้อับอาย ยังดีที่กลุ่มของตงหยางและสหายทั้งสามที่ได้เข้ามาห้ามปรามตำหนิชายหนุ่มไปเช่นกันเดิมทีเฉินหลานก็ไม่ได้ชอบตงหยางมากเท่าไหร่ ด้วยเพราะบิดาและผู้อาวุโสที่อยู่ในรอบตัวมักจะเปรียบเทียบเขากับตงหยางอยู่เสมอ ยิ่งถูกอีกฝ่ายกล่าวตำหนิต่อหน้าผู้คนมากมาย เขายิ่งรู้สึกโกรธและเสียหน้าเป็นอย่างมาก อคติในใจได้โทษว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นเพราะหนิงอ้ายคนเดียวที่ทำให้ต้องอับอายเช่นนี้ เขาต้องเอาคืนอีกฝ่ายอย่างแน่นอนในสักวัน"เจ้าเด็กสารเลวนั่นหาเรื่องตายเสียแล้ว!!""ข้าจะจำเอาไว้แล้วในวันหนึ่งข้าจะทำให้เจ้าเสียใจที่ทำให้ข้าต้องอับอายเช่นนี้!!!" เฉินหลานเอ่ยสบถอย่างหัวเสีย ครั้งนี้เป็นเขาที่เสียหน้าเป็นที่อับอายไปไม่น้อยเสียงการทำลายสิ่งของดังไปทั่ว แต่ด้วยเพราะเรือนพักแต่ละหลังของตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้นั้นมีพื้นที่ส่วนตัวเป็นอย่างมาก เสียงดังที่เกิดขึ้นนี้นับว่าไม่ได้แปลกประห

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่76 อาคารส่วนกลาง

    หลังจากที่เดินแยกออกมาได้สักระยะหนึ่ง หนิงอ้ายยังคงรู้สึกได้ถึงสายตาของอีกฝ่ายที่มองตามหลังของเขามาอย่างไม่ลดละ ถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มจะสัมผัสไม่ได้ถึงความมุ่งร้ายของอีกฝ่ายได้เลยก็ตาม หากกล่าวตามความจริงคือพลังจิตของหนิงอ้ายนั้นไม่สามารถสัมผัสได้ถึงคลื่นอารมณ์หรือความนึกคิดของอีกฝ่ายได้เลยแม้เเต่น้อยนั่นหมายความว่าหากอีกฝ่ายไม่ได้ครอบครองของวิเศษระดับสูงที่สามารถป้องกันการรุกล้ำเหล่านี้ได้ เช่นนั้นเเล้วชายหนุ่มคงมีจิตที่กล้าเเข็งที่มากเพียงพอจึงทำให้เนตรแห่งสวรรค์ของหนิงอ้ายนั้นไม่สามารถล่วงรู้ได้ถึงอารมณ์หรือความนึกคิดของอีกฝ่ายได้นั่นเองสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้หนิงอ้ายรู้สึกหงุดหงิดและรำคานใจอยู่บ้างเช่นกัน ด้วยเพราะว่าเนตรแห่งสวรรค์ของเขานั้นมีการพัฒนาเพิ่มขึ้นจากเดิมอยู่หลายเท่า อีกทั้งยังสามารถพลิกเเพลงนำมาใช้ได้อย่างหลายหลายดั่งใจนึกคิด หนิงอ้ายมักจะใช้ทั้งสัญชาติญาณ ไหวพริบควบคู่กันอยู่เสมอ เผื่อว่าหากสิ่งใดเกิดขึ้นเขาจะได้รับมือได้อย่างทันท่วงทีและมีแผนสำรองเพื่อที่จะทำให้ตนไม่เป็นฝ่ายที่เพลี้ยงพล้ำเหตุการณ์ต่าง ๆ หรือสิ่งที่ได้เกิดขึ้น หากว่าอยู่นอกเหนือการควบคุมหรือการรับรู้ท

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่77 ผู้บุกรุกในยามวิกาล

    วิหคสอดแนมได้ส่งภาพบางอย่างให้เขาได้รับรู้ จากกลิ่นอายของอีกฝ่ายที่เล็ดลอดออกมาแม้จะเพียงน้อยนิดเเต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าผู้ที่ลักลอบเข้ามาในยามวิกาลเช่นนี้คงไปใครไปไม่ได้นอกจากชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าสำนักคนต่อไปที่ตนนั้นพึ่งได้พบเจอเมื่อในช่วงสายของวันนี้สิ้นเสียงของเด็กหนุ่มคล้ายกับต่อว่าผู้ที่บุกรุกเข้ามา เสียงหัวเราะชอบใจได้ดังขึ้นเบา ๆ ชวนให้รู้สึกหมั่นไส้อยู่ไม่น้อยก่อนที่ด้านหลังของหนิงอ้ายนั้นได้มีบางสิ่งอย่างที่เคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็วเข้ามาจู่โจมในทันทีพรึบ!หนิงอ้ายได้หันหลังลุกขึ้นพร้อมกับสองมือนั้นต่างตั้งรับการโจมตีของอีกฝ่ายได้อย่างทันท่วงที ทั้งสองคนต่างเเลกเปลี่ยนเชิงยุทธ์ต่อสู้กันอย่างไม่มีฝ่ายใดเพลี่ยงพล้ำสลับไปมายากจะมองเห็นตามทันสำหรับผู้ฝึกตนทั่วไป หลังจากที่เวลาได้ผ่านไปสักครู่ทั้งสองคนต่างแยกตัวออกจากกันเพื่อตั้งหลักอีกครั้ง ตรงด้านหน้าของหนิงอ้ายนั้นปรากฎเป็นชายหนุ่มในชุดดำที่รูปร่างสูงใหญ่กำยำ ที่ตอนนี้หัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนที่จะพุ่งตัวเข้าโจมตีเด็กหนุ่มอีกครั้งด้วยความรวดเร็วดวงตาเรียวเล็กของหนิงอ้ายฉายชัดถึงความเย็นชาก่อนที่ร่างบางจะเร่งญาณสัมผัสของ

    Last Updated : 2025-03-06

Latest chapter

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   ( -จบเล่ม ปฐมบท 3.2- ) บทที่ 174 ความวุ่นวายที่สิ้นสุดลง

    ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 173 สมบัติเทพมารจุติ

    ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 172 การปรากฎตัวของผู้ขายวิญญาณ

    คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 171 ผู้ท้าทายที่กล้าหาญ

    การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 170 กฎเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

    หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 169 ผู้ผ่านการทดสอบ

    ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 168 เดินทางกลับสำนักศึกษา

    มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 167 การเลื่อนระดับที่เหนือล้ำ

    ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 166 ความร่วมมือ

    ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status