เวทย์โจมตีระดับสูงที่ถูกร่ายออกมาพร้อมกันจากผู้ฝึกตนราชทินนามเทวะวิญญาณขั้นต้นถึงสองคนในคราวเดียวกัน ย่อมส่งผลให้อานุภาพของเวทย์โจมตีทั้งสองบทนี้ยิ่งทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า การจู่โจมโดยฉับพลันที่ผสานเข้าด้วยกันของเวทย์โจมตีปราณธาตุดินและปราณธาตุลมได้สร้างความเสียหายเป็นระยะกว้างในพื้นที่โดยรอบ
ด้วยความรุนแรงที่เพิ่มทวีคูณเช่นนี้ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนในระดับเดียวกันนั้นย่อมรับมือผลจากเวทย์โจมตีไม่ได้โดยง่ายสักเท่าไหร่นัก ความแข็งแกร่งของผู้ฝึกตนราชทินนามเทวะวิญญาณนั้นมีมากมายเพียงใดทุกคนย่อมรับรู้โดยทั่ว ยิ่งกับเวทย์ต่าง ๆ ที่ถูกร่ายออกมาจากผู้ฝึกตนในระดับนี้นั้นย่อมมีอานุภาพสะเทือนฟ้าสะเทือนดิน
ต่อให้หนิงอ้ายจะมีระดับพลังวิญญาณน้อยกว่าอีกฝ่ายไปถึงหนึ่งขั้นใหญ่ก็จริง เเต่ถึงอย่างไรก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ก็ไม่ได้ทำให้หนิงอ้ายรู้สึกกดดันเลยแม้เเต่น้อย ในทางตรงกันข้ามภายในใจของเขากลับรู้สึกตื่นเต้นเสียอย่างนั้นที่ได้ปะทะรับมือเช่นนี้ เพราะตนนั้นจะได้ฝึกฝนฝีมือและญาณสัมผัสของตนให้เฉียบคมเพิ่มขึ้น ผลแพ้ชนะนั้นหาได้วัดจากเพียงระดับพลังวิญญาณของคู่ต่อสู้เท่านั้น เพราะพลังฝีมือต่อสู้ที่เเท้จริงไม่อาจวัดได้จากเรื่องพวกนี้ได้อย่างแน่นอน
ปราการมหาอัคคีอหังการ!
ตู้ม!
หนิงอ้ายได้ร่ายเวทย์ป้องกันของตนขึ้นมาเพื่อตั้งรับการโจมตีอีกครั้ง เเต่ครานี้เขานั้นได้เพิ่มความเข้มข้นของปราณธาตุไฟประสานเข้ากับปราการป้องกันนี้ขึ้นเพื่อตั้งรับบทเวทย์โจมตีระดับสูงทั้งคู่นี้อย่างทันท่วงที
แต่เดิมเวทย์ป้องกันปราการมหาอัคคีอหังการจัดได้ว่าอยู่ในบทเวทย์ป้องกันระดับต่ำเสียด้วยซ้ำที่หนิงอ้ายได้ซื้อมาจากหอประมูลพยัคฆ์คำรามในตอนที่ยังอยู่แคว้นหงส์แดงเมื่อเกือบสองปีก่อนหลังจากที่เขานั้นพึ่งปลุกพลังวิญาณสำเร็จตอนใหม่ ๆ
ต่อมาในภายหลังเวทย์บทนี้ได้ถูกหนิงอ้ายนั้นแก้ไขจัดวางตำแหน่งที่ถูกต้องเหมาะสมจึงทำให้มีอานุภาพเทียบเท่าไม่ต่างไปจากบทเวทย์ระดับเทวะบทหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นหลังจากที่หนิงอ้ายได้ศึกษาตำราเกี่ยวกับอักขระเวทย์โบราณที่ได้รับมาจากท่านตาหวังจิ่งหลงแล้วเด็กหนุ่มได้ทำการแก้ไขบทเวทย์ที่มีอยู่คิดค้นบทเวทย์ใหม่ขึ้นมาอยู่เสมอ
ทุกบทเวทย์ของเขาต่างมีโครงสร้างของบทเวทย์และตำแหน่งที่ประกอบไปด้วยด้วยอักขระเวทย์โบราณที่ส่งเสริมกันอย่างสมดุล บทเวทย์ที่หนิงอ้ายถือครองอยู่ในตอนนี้ทั้งหมดนับได้ว่ามีอานุภาพเทียบเท่าได้กับบทเวทย์ระดับเทวะเเล้วนั่นเอง
ด้านหน้าของหนิงอ้ายได้ปรากฎเป็นม่านอัคคีสีแดงประกายส้มขนาดใหญ่ที่มีความเเข็งแกร่งอีกทั้งยังแผ่กลิ่นอายความล้ำลึกอย่างที่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเวทย์ป้องกันที่ถูกร่ายขึ้นมาด้วยผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิวิญญาณขั้นสูงคนหนึ่งเพียงเท่านั้น
เวทย์โจมตีระดับสูงจากผู้ฝึกตนระดับเทวะวิญญาณขั้นต้นทั้งสองคนได้พุ่งตรงเข้ามาด้วยความรวดเร็วเป็นอย่างมาก เมื่อล่วงล้ำเข้ามาในขอบเขตของปราการป้องกันของเด็กหนุ่ม เสียงปะทะระหว่างของบทเวทย์อหังการทั้งสามบทนี้ได้ดังก้องขึ้นสะท้อนไปทั่วพร้อมกับมีคลื่นของเวทย์กระแทกไปทั่วทั้งบริเวณโดยรอบก่อนที่จะสลายหายไปราวกับว่าไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้นในชั่วพริบตา
ตู้ม! ตู้ม!
สิ่งที่เกิดตรงหน้านี้นได้เรียกความสนใจของศิษย์ทุกคนที่เดินเที่ยวเล่นอยู่ในตลาดแห่งนี้เป็นอย่างมาก สายตาหลายคู่ต่างจับจ้องมายังกลุ่มศิษย์ใหม่ทั้งเจ็ดคนโดยเฉพาะเด็กหนุ่มที่มีนามว่าหนิงอ้าย ที่ตอนนี้พวกเราต่างรับรู้กันว่าเด็กหนุ่มคนนี้เป็นถึงศิษย์ผู้สืบทอดของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษา หลายคนนั้นถึงกับตกตะลึงในความรุนแรงของเวทย์โจมตีจากปราณธาตุดินและปราณธาตุน้ำที่ถูกร่ายขึ้นพร้อมกันจึงได้มีอานุภาพที่เพิ่มทวีคูณเช่นนี้
เเต่ก็มีหลายคนเช่นกันที่กำลังอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงประหลาดใจที่เห็นว่ากลุ่มของศิษย์ใหม่ที่ถูกหาเรื่องนั้นสามารถตั้งรับเวทย์โจมตีระดับสูงจากผู้ฝึกตนราชทินนามเทวะวิญญาณขั้นต้นได้อย่างง่ายดายยิ่งนัก
ถึงแม้ว่าจะเกิดความโกลาหลและสับสนที่เกิดขึ้นแต่หนิงอ้ายยังคงสงบนิ่งและมีสมาธิอีกทั้งยังแผ่ซ่านญาณสัมผัสไปโดยรอบเพิ่มขึ้นอย่างระแวดระวัง เพราะว่าอีกฝ่ายนั้นอาจจะใช้โอกาสจากความวุ่นวายที่เกิดขึ้นนี้ทำร้ายเขาและสหายที่อยู่ด้านหลังของตนได้
สหายของหนิงอ้ายที่เหลือนั้นล้วนตั้งท่าเตรียมต่อสู้อย่างพร้อมเพรียงกัน ทุกคนต่างมีความเห็นตรงกันว่าในเมื่อพวกเขานั้นเป็นสหายกันเเล้วย่อมควรที่จะช่วยเหลือกันเป็นการดีที่สุดและไม่มีวันทอดทิ้งสหายของตนให้เผชิญปัญหาโดยลำพังอย่างแน่นอน แม้พวกเขานั้นจะมั่นใจว่าหนิงอ้ายยังคงสามารถช่วงชิงความได้เปรียบจากเหตุการณ์ปะทะของบทเวทย์เมื่อครู่
เเต่ถึงอย่างไรนั้นพวกศิษย์พี่เหล่านี้ต่างเป็นศิษย์ในตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้ทั้งสิ้น อีกทั้งยังมีพลังวิญญาณอยู่ในระดับเทวะวิญญาณแล้วฝีมือของอีกฝ่ายนั้นย่อมไม่ธรรมสามัญ
อาจจะดูเสียเปรียบไปบ้างด้วยความแตกต่างของพลังวิญญาณของพวกเขาหากต้องรับมือจริงๆ นับว่าคงตึงมืออยู่ไม่น้อยเเต่ถึงอย่างไรนั้นหากอีกฝ่ายส่งการโจมตีมาอีกครั้งพวกเขาก็จะลงมือในทันทีเช่นกัน
ทางฝั่งของบรรดาเหล่าศิษย์ชายหญิงที่อยู่โดยรอบนั้นแม้จะเป็นผู้ฝึกตน เป็นศิษย์ร่วมสำนักศึกษาเดียวกันก็จริง เเต่ถึงอย่างไรนั้นเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้พวกเขาล้วนต่างไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดใดทั้งสิ้น เพื่อความปลอดภัยของตนเองเหล่าศิษย์ที่มุงอยู่พวกนี้จึงขยับถอยห่างออกไปในระยะที่เหมาะสมด้วยเพราะไม่อยากโดนลูกหลงจากการปะทะของทั้งสองกลุ่มนี้นั่นเอง ซึ่งในขณะที่สถานการณ์นั้นเริ่มตึงเครียดเพิ่มมากขึ้น ก่อนที่จะมีฝ่ายใดที่ได้ร่ายเวทย์โจมตีออกมานั้นก็ได้มีเสียงดังขึ้นท่ามกลาวความเงียบสงบเหล่านี้
"โอ้! ข้าพึ่งรู้ว่าตลาดแห่งนี้เป็นสนามประลองอีกแห่งของสำนักศึกษาของเรามีเรื่องราวที่น่าสนุกเช่นนี้เหตุใดชักชวนข้าด้วยเล่า?" เสียงของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้นโดยที่ยังไม่ปรากฎตัวคนเสียซ้ำ
"สร้างความวุ่นวายในพื้นที่ตลาดแห่งนี้ ไม่รู้อย่างนั้นหรือว่าที่นี่มีกฎเกณฑ์เช่นไร!" เสียงของสตรีผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นพร้อมกับเดินฝ่าวงล้อมเข้ามาตรงด้านหลังของนางนั้นยังมีชายหนุ่มอีกสามคนที่เร่งฝีเท้าเข้ามาเมื่อมาถึงเเล้วนั้นจึงมองไปทางฝั่งของหนิงอ้ายและเฉินหลานด้วยสายตาตำหนิอย่างชัดเจน
"เฉินหลานเจ้าเป็นศิษย์พี่ที่เข้าศึกษาอยู่ในสำนักศึกษามาหลายปี กฎเกณฑ์เหล่านี้เจ้าคงคุ้นชินอยู่ไม่น้อยเเต่เหตุใดวันนี้พวกเจ้าจึงหาเรื่องเหล่าบรรดาศิษย์น้องพวกเล่า?" เสียงของชายหนุ่มอีกคนที่มีรูปร่างผอมบางได้เอ่ยเสริมขึ้น ทำเอาเจ้าของชื่ออย่างเฉินหลานนั้นถึงกับขบฟันด้วยความโกรธและอับอายที่ถูกต่อว่าราวกับเขานั้นไม่สนใจเมินเฉยกับข้อห้ามเหล่านี้
"ส่วนเจ้าคงเป็นศิษย์ใหม่ของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษานามว่าหนิงอ้ายกระมัง พวกเจ้าอาจจะพึ่งเข้าศึกษาในสำนักแห่งนี้จึงไม่รู้ว่าพื้นที่ตลาดนั้นห้ามไม่ให้ผู้ใดก่อความวุ่นวายได้อย่างเด็ดขาด หากต้องการประลองนั้นสามารถแจ้งผู้อาวุโสฉู่เหิงเพื่อขอใช้สนามประลองดังกล่าวนั้นได้ทุกเมื่อ เข้าใจเเล้วหรือไม่?" เสียงของชายหนุ่มอีกคนเอ่ยขึ้นพร้อมกับมองหนิงอ้ายอย่างถี่ถ้วน
เพราะเมื่อวานนี้ตนได้มีโอกาสเห็นศิษย์น้องผู้นี้เเต่เพียงไกล ๆ เท่านั้นซึ่งเมื่อได้มาเห็นอีกฝ่ายในระยะที่ใกล้เช่นนี้จึงทำให้ได้รู้ว่าตัวคนนั้นรูปร่างบอบบางยิ่งนัก ตรงกันข้ามกับความสามารถของอีกฝ่ายที่ตนได้เห็นในเมื่อวานนี้อย่างสิ้นเชิง
"คำนับศิษย์พี่ขอรับ..." กลุ่มของหนิงอ้ายทั้งเจ็ดคนได้เอ่ยขึ้นพร้อมกับประสานมือคำนับกลุ่มศิษย์พี่ที่มาใหม่ซึ่งด้วยกลิ่นอายที่เเข็งแกร่งเช่นนี้ในใจของพวกเขานั้นย่อมสามารถคาดเดาได้ว่าเป็นสุดยอดระดับหัวกะทิของทางสำนักอย่างแน่นอน
"เจ้ากล่าวเกินไปแล้วจางลี่ ข้าเพียงทักทายศิษย์น้องใหม่เเต่เพียงเท่านั้น เมื่อครู่ก็เป็นเพียงการทดสอบเล็ก ๆ น้อย ๆ เรื่องราวกระชับมิตรของบุรุษนั่นหากพูดไปแล้วเจ้าคงไม่เข้าใจเป็นแน่..."
เฉินหลานตอบกลับไปพร้อมกับจ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาโลมเลีย ด้วยเพราะสตรีที่มีนามว่าจางลี่นั้นมีรูปโฉมที่งดงามเป็นอันดับต้น ๆ ของสำนักไปไม่ต่างจากไป๋เหลียนฮวาจากตำหนักศาสตร์แห่งการรักษา
"ส่วนเจ้าตงหยางอย่าคิดว่าการที่เจ้าได้เป็นศิษย์สายตรงของท่านเจ้าสำนักเจียงเฉิงแล้วจะทำให้เจ้านั้นอยู่เหนือไปกว่าข้า จำเอาไว้คนที่ไม่มีหัวนอนปลายเท้าเช่นเจ้าต่อให้มีตำแหน่งที่สูงส่งเเค่ไหนก็เป็นเพียงคนไร้ค่าในสายตาของข้าก็เพียงเท่านั้น!!" เฉินหลานเอ่ยขึ้นพร้อมกับจ้องไปทางชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ที่มีนามว่าตงหยางด้วยอารมณ์โมโหอย่างถึงขีดสุด
ยิ่งเมื่อเห็นสายตาเรียบเฉยของอีกฝ่ายที่มองมายังตนที่ราวกับว่าทุกสิ่งอย่างนั้นหาได้เป็นเรื่องที่ต้องสนใจอันใดสักเท่าไหร่นัก ในใจยิ่งนึกเกลียดคนผู้นี้ไปอีกมากมายหลายเท่า
"พวกข้าเสียเวลามากแล้วคงไม่ขออยู่เสวนากับพวกเจ้าต่อเเล้วกัน ส่วนเจ้าหนิงอ้ายหลังจากนี้ข้าย่อมได้เจอเจ้าอีกเป็นแน่ ระวังตัวไว้ให้ดี!!" เฉินหลานเอ่ยขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์
ถ้อยคำสุดท้ายนั้นเขาตั้งใจที่จะหันหน้าไปคุยกับเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าด้วยถ้อยคำที่มีความหมายโดยนัย แต่ถึงอย่างไรนั่นก็ได้รับแววตาที่นิ่งเฉยของอีกฝ่ายที่มองกลับมาก็เพียงเท่านั้น
"กลับ!!!" สิ้นเสียงของเฉินหลานชายหนุ่มนั้นได้หันหลังกลับเดินตรงไปด้วยท่าทางข่มขวัญจนเหล่าศิษย์ที่มุงอยู่ในบริเวณนั้นต้องหลีกทางให้อีกฝ่าย จากนั้นบรรดาชายหนุ่มอีกสี่ห้าคนที่เป็นดั่งผู้ติดตามจึงรีบได้เดินตามหลังของอีกฝ่ายด้วยความรวดเร็ว เพียงชั่วครู่ก็ไม่เห็นพวกเขานั้นอยู่ในตลาดแห่งนี้เเล้ว
"นึกว่าจะแน่!!!" อี้หลินบ่นขึ้นมาอย่างเสียไม่ได้
"เจ้านี่นะอี้หลิน ไม่เกิดเรื่องก็ดีเเล้วไม่ใช่งั้นรึ??" หนิงอ้ายเมื่อได้ยินสหายของตนเอ่ยพึมพำขึ้นเเบบนั้นจึงอดที่จะหัวเราออกมาไม่ได้
"เเต่ข้าเห็นด้วยกับศิษย์น้องนะ หากว่าจางลี่และตงหยางไม่เอ่ยห้ามขึ้นข้าอาจจะได้เห็นฝีมือของศิษย์น้องหนิงอ้ายมากกว่านี้ก็เป็นไปได้..." ชายหนุ่มที่ตัวเล็กท่าทางเต็มไปด้วยความอารมณ์ดีนั้นเอ่ยเสริมขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เสียดายเป็นอย่างมาก
"โม่โฉวข้าเบื่อที่จะพูดกับเจ้าเเล้ว อย่าลืมว่าอย่างไรกฎก็ต้องเป็นกฎพื้นที่ตรงนี้เป็นตลาดหาใช่สนามประลองไม่??" จางลี่เอ่ยขึ้นกับชายหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านข้างตน
"สตรีเช่นเจ้าไม่รู้จักความสนุกสนานเสียจริงช่างเหมาะสมกับเจ้าตงหยางนี้ยิ่ง!!!" ศิษย์พี่ที่มีนามว่าโม่โฉวบ่นขึ้นพร้อมกับถอนหายใจออกมาเสียงดังให้ได้ยินอย่างชัดเจน
"ใครจะติดเล่นเช่นเจ้าเล่าโม่โฉวจำได้หรือไม่ที่ก่อนหน้านี้..." สตรีที่มีนามว่าจางลี่โต้กลับไปแต่ก่อนที่เรื่องราวจะเกินเลยไปมากกว่านี้ก็ได้มีเสียงดังจากกลุ่มเด็กหนุ่มตรงหน้าตนเสียก่อน
"ศิษย์พี่ขอรับพวกท่าน..." เสียงของจินหั่วเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบาเมื่อเห็นว่าเหล่าศิษย์พี่ตรงหน้าตนนั้นคล้ายกับว่าจะทะเลาะกันเสียเเล้ว เเต่ถึงอย่างไรนั้นด้วยความที่พวกเขาในที่นี้ต่างเป็นผู้ฝึกตนระดับสูงจึงได้ยินถ้อยคำที่แผ่วเบานี้ได้อย่างชัดเจน
"ศิษย์พี่ลืมแนะนำตัวไปข้ามีนามว่า จางลี่ เป็นศิษย์ผู้สืบทอดของตำหนักศาสตราวุทธ ส่วนเจ้านี่มีนามว่าโม่โฉว เป็นศิษย์ผู้สืบทอดของตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกล บุรุษผู้นี้เป็นศิษย์ผู้สืบทอดของตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้ ซุนหราน ส่วนคนสุดท้ายมีนามว่า ตงหยาง เป็นศิษย์ของท่านเจ้าสำนักเจียงเฉิง"
"อาจจะไม่เคยเห็นหน้าหรือคุ้นหน้าพวกข้ามาก่อนเพราะก่อนหน้านี้พวกเราทั้งสี่คนได้ออกไปทำภารกิจลับของสำนักและได้เดินทางกลับมาถึงเมื่อวานนี้ และทันเห็นการทดสอบของพวกเจ้าทุกคนพอดี พวกเจ้าทุกคนเป็นศิษย์ใหม่ที่มีความสามารถเป็นอย่างยิ่งถือได้ว่าสำนักศึกษาของพวกเราโชคดีที่ได้พวกเจ้าเข้ามาอยู่ในสำนักเดียวกัน..." จางลี่เอ่ยขึ้นพร้อมกับส่งสายตาชื่นชมไปยังศิษย์น้องที่อยู่ตรงหน้าของตนทุกคนก่อนที่สายตานั้นจะหยุดไปที่เด็กหนุ่มร่างบางที่ยืนอยู่ด้านหน้า
"โดยเฉพาะเจ้าศิษย์น้องหนิงอ้าย ศิษย์พี่ขอต้อนรับเจ้าในฐานะผู้สืบทอดตำแหน่งศาสตร์แห่งการรักษาหากมีสิ่งใดที่ต้องการความช่วยเหลือเจ้าสามารถบอกกล่าวกับพวกศิษย์พี่ทุกคนตรงนี้ได้ทุกเมื่อรวมไปถึงพวกเจ้าเช่นกันนะ..." จางลี่เอ่ยกับหนิงอ้ายโดยตรงก่อนที่ประโยคท้ายนั่นจะเผื่อเเผ่ไปถึงกลุ่มสหายของศิษย์น้องเพราะนางนั้นรู้สึกถูกชะตากับศิษย์น้องพวกนี้อย่างบอกไม่ถูก
"ข้าไม่คิดเลยว่าตำหนักศาสตร์แห่งการรักษานั้นจะมีผู้สืบทอดเป็นเด็กหนุ่มที่มีอายุเพียงสิบห้าสิบหกปี้เช่นนี้ ตัวข้าในตอนที่อายุเท่ากับเจ้านั้นไม่รู้ว่ามัวแต่ทำสิ่งใดกัน ฮ่าฮ่าฮ่า!!!" โม่โฉวเอ่ยขึ้นด้วยความชื่นชม ด้วยตัวของเขานั้นที่เป็นศิษย์ในตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลคนหนึ่งย่อมสัมผัสพลังปราณที่แกร่งกล้าของศิษย์น้องคนนี้
"ส่วนเจ้าทั้งสองคนข้าขอต้อนรับในฐานะศิษย์พี่ร่วมตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลแม้ข้านั้นอาจจะทำตัวราวกับว่างงานเช่นนี้เเต่หากพวกเจ้าทั้งสองมีข้อสงสัยในสิ่งที่เรียนพวกเจ้าสามารถสอบถามข้าได้ทุกเมื่อ" จากนั้นโม่โฉวได้หันหน้าไปคุยกับเด็กหนุ่มทั่งสองคนนั่นคือลู่ซีกับอู๋ฮั่นซึ่งทั้งสองคนนั้นได้ชื่อว่าเป็นศิษย์น้องร่วมตำหนักของตนเเล้วนั่นเอง
"ศิษย์น้องหนิงอ้ายเจ้าเหมาะสมเเล้วกับตำแหน่งนี้ ที่สำคัญข้าดีใจมากเช่นกันที่ได้เป็นศิษย์พี่ร่วมตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้ของพวกเจ้าทั้งสี่คน..." ซุนหรานเอ่ยชื่นชมหนิงอ้ายด้วยความจริงใจก่อนที่จะหันไปคุยกับอี้หลิน จินหั่ว หลี่ซวงและจ้าวหลานซึ่งทั้งสี่คนนั้นมีศักดิ์เป็นศิษย์น้องร่วมตำหนักของตนซึ่งเขาต่างสัมผัสได้ว่าเหล่าศิษย์น้องเหล่านี้มากไปด้วยพรสวรรค์อย่างเเท้จริง
"ตงหยางเเล้วเจ้าไม่มีสิ่งใดจะเอ่ยกับศิษย์น้องเหล่านี้อย่างนั้นรึเจ้านี่ช่างเย็นชาพูดน้อยเสียจริงศิษย์น้องอย่าได้คิดมากเล่าเจ้าตงหยางก็เป็นเช่นนี้เเหละ" โม่โฉวที่เห็นสหายของตนไม่เอ่ยคำใดออกมานั้นเขาจึงตำหนิอีกฝ่ายอย่างไม่จริงจังสักเท่าไหร่นักก่อนที่จะหันได้บอกกับศิษย์น้องตรงหน้าพร้อมกับบ่นบางสิ่งออกมา
"ข้าในฐานะศิษย์พี่ของพวกเจ้า ยินดีที่ได้รู้จักหากว่าหลังจากนี้มีสิ่งใดขาดเหลือสามารถบอกกล่าวกับข้าได้ทุกเมื่อ..." ตงหยางเอ่ยขึ้นอย่างหนักเเน่นพร้อมกับมองไปยังศิษย์น้องที่อยู่ตรงหน้าของก่อนก่อนที่จะหยุดสายตาชั่วครู่ที่หนิงอ้ายก่อนที่จะถอนสายตาออกมาด้วยความรวดเร็วที่ไม่อาจเล็ดลอดสายตาของเด็กหนุ่มได้
"ข้าหนิงอ้ายขอเป็นตัวเเทนเอ่ยขอบคุณพวกท่านที่ยื่นมือมาช่วยเหลือขอรับ..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับประสานมือคำนับศิษย์พี่ทั้งสี่คนตรงหน้าของตนอีกครั้ง ก่อนที่ข้อมูลของเนตรเเห่งสวรรค์ที่ปรากฎขึ้นให้เขาได้รับรู้จะทำให้เขานั้นรู้สึกตกใจมากเลยทีเดียว...
ไม่นานข่าวลือได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งสำนักด้วยความรวดเร็ว ที่ว่าเฉินหลานได้หาเรื่องศิษย์ใหม่ที่เป็นถึงศิษย์ผู้สืบทอดของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษา เเต่ท้ายที่สุดได้ถูกศิษย์ใหม่ผู้นั้นตอกกลับด้วยถ้อยคำที่เจ็บแสบจนทำให้อับอาย ยังดีที่กลุ่มของตงหยางและสหายทั้งสามที่ได้เข้ามาห้ามปรามตำหนิชายหนุ่มไปเช่นกันเดิมทีเฉินหลานก็ไม่ได้ชอบตงหยางมากเท่าไหร่ ด้วยเพราะบิดาและผู้อาวุโสที่อยู่ในรอบตัวมักจะเปรียบเทียบเขากับตงหยางอยู่เสมอ ยิ่งถูกอีกฝ่ายกล่าวตำหนิต่อหน้าผู้คนมากมาย เขายิ่งรู้สึกโกรธและเสียหน้าเป็นอย่างมาก อคติในใจได้โทษว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นเพราะหนิงอ้ายคนเดียวที่ทำให้ต้องอับอายเช่นนี้ เขาต้องเอาคืนอีกฝ่ายอย่างแน่นอนในสักวัน"เจ้าเด็กสารเลวนั่นหาเรื่องตายเสียแล้ว!!""ข้าจะจำเอาไว้แล้วในวันหนึ่งข้าจะทำให้เจ้าเสียใจที่ทำให้ข้าต้องอับอายเช่นนี้!!!" เฉินหลานเอ่ยสบถอย่างหัวเสีย ครั้งนี้เป็นเขาที่เสียหน้าเป็นที่อับอายไปไม่น้อยเสียงการทำลายสิ่งของดังไปทั่ว แต่ด้วยเพราะเรือนพักแต่ละหลังของตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้นั้นมีพื้นที่ส่วนตัวเป็นอย่างมาก เสียงดังที่เกิดขึ้นนี้นับว่าไม่ได้แปลกประห
หลังจากที่เดินแยกออกมาได้สักระยะหนึ่ง หนิงอ้ายยังคงรู้สึกได้ถึงสายตาของอีกฝ่ายที่มองตามหลังของเขามาอย่างไม่ลดละ ถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มจะสัมผัสไม่ได้ถึงความมุ่งร้ายของอีกฝ่ายได้เลยก็ตาม หากกล่าวตามความจริงคือพลังจิตของหนิงอ้ายนั้นไม่สามารถสัมผัสได้ถึงคลื่นอารมณ์หรือความนึกคิดของอีกฝ่ายได้เลยแม้เเต่น้อยนั่นหมายความว่าหากอีกฝ่ายไม่ได้ครอบครองของวิเศษระดับสูงที่สามารถป้องกันการรุกล้ำเหล่านี้ได้ เช่นนั้นเเล้วชายหนุ่มคงมีจิตที่กล้าเเข็งที่มากเพียงพอจึงทำให้เนตรแห่งสวรรค์ของหนิงอ้ายนั้นไม่สามารถล่วงรู้ได้ถึงอารมณ์หรือความนึกคิดของอีกฝ่ายได้นั่นเองสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้หนิงอ้ายรู้สึกหงุดหงิดและรำคานใจอยู่บ้างเช่นกัน ด้วยเพราะว่าเนตรแห่งสวรรค์ของเขานั้นมีการพัฒนาเพิ่มขึ้นจากเดิมอยู่หลายเท่า อีกทั้งยังสามารถพลิกเเพลงนำมาใช้ได้อย่างหลายหลายดั่งใจนึกคิด หนิงอ้ายมักจะใช้ทั้งสัญชาติญาณ ไหวพริบควบคู่กันอยู่เสมอ เผื่อว่าหากสิ่งใดเกิดขึ้นเขาจะได้รับมือได้อย่างทันท่วงทีและมีแผนสำรองเพื่อที่จะทำให้ตนไม่เป็นฝ่ายที่เพลี้ยงพล้ำเหตุการณ์ต่าง ๆ หรือสิ่งที่ได้เกิดขึ้น หากว่าอยู่นอกเหนือการควบคุมหรือการรับรู้ท
วิหคสอดแนมได้ส่งภาพบางอย่างให้เขาได้รับรู้ จากกลิ่นอายของอีกฝ่ายที่เล็ดลอดออกมาแม้จะเพียงน้อยนิดเเต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าผู้ที่ลักลอบเข้ามาในยามวิกาลเช่นนี้คงไปใครไปไม่ได้นอกจากชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าสำนักคนต่อไปที่ตนนั้นพึ่งได้พบเจอเมื่อในช่วงสายของวันนี้สิ้นเสียงของเด็กหนุ่มคล้ายกับต่อว่าผู้ที่บุกรุกเข้ามา เสียงหัวเราะชอบใจได้ดังขึ้นเบา ๆ ชวนให้รู้สึกหมั่นไส้อยู่ไม่น้อยก่อนที่ด้านหลังของหนิงอ้ายนั้นได้มีบางสิ่งอย่างที่เคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็วเข้ามาจู่โจมในทันทีพรึบ!หนิงอ้ายได้หันหลังลุกขึ้นพร้อมกับสองมือนั้นต่างตั้งรับการโจมตีของอีกฝ่ายได้อย่างทันท่วงที ทั้งสองคนต่างเเลกเปลี่ยนเชิงยุทธ์ต่อสู้กันอย่างไม่มีฝ่ายใดเพลี่ยงพล้ำสลับไปมายากจะมองเห็นตามทันสำหรับผู้ฝึกตนทั่วไป หลังจากที่เวลาได้ผ่านไปสักครู่ทั้งสองคนต่างแยกตัวออกจากกันเพื่อตั้งหลักอีกครั้ง ตรงด้านหน้าของหนิงอ้ายนั้นปรากฎเป็นชายหนุ่มในชุดดำที่รูปร่างสูงใหญ่กำยำ ที่ตอนนี้หัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนที่จะพุ่งตัวเข้าโจมตีเด็กหนุ่มอีกครั้งด้วยความรวดเร็วดวงตาเรียวเล็กของหนิงอ้ายฉายชัดถึงความเย็นชาก่อนที่ร่างบางจะเร่งญาณสัมผัสของ
ด้วยเพราะปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เป็นอย่างมากที่ไหลเวียนอยู่โดยรอบจึงส่งผลให้บรรยากาศภายในตำหนักเต็มไปด้วยกลิ่นอายของชีวิตที่ประสานเข้ากับความเงียบสงบได้อย่างลงตัว อีกทั้งเรือนพักเเต่ละหลังรวมไปถึงอาคารและสิ่งก่อสร้างในตำหนักนั้นต่างมีพื้นที่เป็นส่วนตัวกันอย่างมาก ถึงแม้ว่าจะมีคนรับใช้ชายหญิงที่คอยดูเเลจัดการความสะอาดเรียบร้อยหรือหากพูดไปตามความจริงแล้วกลุ่มคนเหล่านี้ต่างมีทั้งคนธรรมดาทั่วไปรวมไปถึงผู้ฝึกตนที่มีระดับพลังวิญญาณไม่สูงมากที่เต็มใจรับจ้างทำงานเหล่านี้จากทางสำนักศึกษานอกจากผลตอบเเทนที่ได้รับจะเป็นเงินทองเบี้ยหวัดรายเดือนตามสมควรที่ตกลงเอาไว้ตามข้อสัญญาจ้างงาน หากมีทั้งความขยันและซื่อสัตย์ที่น่าชื่นชมบางคนนั้นถึงกับได้รับโชควาสนาเป็นผู้รับใช้ส่วนตัวของผู้อาวุโสระดับต่าง ๆ ในสำนักเลยก็มีให้เห็นไม่น้อยผลตอบเเทนที่ได้รับนอกจากที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้วบางคนถึงกับได้รับสิ่งตอบเเทนอื่นที่ไม่ว่าจะเป็นโอสถ อาวุธวิเศษหรือแม้กระทั่งหากผู้นั้นมีพรสวรรค์ที่เข้าตาเเล้วละก็ คนเหล่านั้นอาจจะได้รับการส่งเสริมในเรื่องของการบ่มเพาะพลังวิญญาณให้เพิ่มสูงขึ้นหรือแม้กระทั่งอาจได้เป็นคนสนิทข้างกายขอ
"ศิษย์พี่ตงหยางมาทำอันใดที่อาคารส่วนกลางตำหนักของข้าตั้งเเต่เช้าเช่นนี้หรือขอรับ??" เห็นท่าทางที่ชวนหน้าหมั่นไส้ของชายหนุ่ม เเต่ด้วยความสงสัยที่มีมากกว่าหนิงอ้ายจึงเลือกที่จะมองข้ามและถามกลับอีกฝ่ายไปด้วยความอยากรู้"ท่านเจ้าสำนักไหว้วานให้มาเอาตำราเล่มหนึ่ง ฟังว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับภารกิจสำคัญในครั้งถัดไป แล้วเจ้าเล่าเหตุใดจึงมาเเต่เช้าเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าผู้อาวุโสเหวินหวู่ให้เจ้าพักผ่อนอย่างนั้นรึ??" เฟยหลงถามกลับหนิงอ้ายไปตามสิ่งที่ตนได้รับรู้มาก่อนหน้า"ข้าพึ่งเริ่มเข้าสู่วิถีฝึกตนเพียงไม่กี่ปีความรอบรู้นับว่ายังอ่อนด้อยยิ่งนัก ดังนั้นข้าจึงอยากจะใช้ทุกเวลาที่มีให้คุ้มค่ามากที่สุดขอรับ..." เด็กหนุ่มตอบกลับไปตามที่ตนคิด เพราะทุกอย่างในโลกนี้นับว่าค่อนข้างแปลกใหม่เป็นอย่างมาก ซึ่งเขานั้นยังต้องเรียนรู้ในอีกหลายสิ่งอย่าง"ศิษย์น้องหนิงอ้ายกล่าวได้ถูกต้องผู้ที่จะประสบความสำเร็จได้คนผู้นั้นต้องใช้ทุกสิ่งอย่างที่ตนมีให้คุ้มค่ามากที่สุด..." เสียงของชายหนุ่มอีกคนดังขึ้นทางด้านหลัง เรียกความสนใจของทั้งสองคนคนให้ละสายตาจากกัน"ไม่คิดว่าจะเจอเจ้าที่นี่เเต่เช้านะตงหยาง ภารกิจจากท่านเจ้าสำนักในครั
เช้าของวันรุ่งขึ้นหนิงอ้ายกำลังนั่งดูดซับปราณฟ้าดินเหมือนดังเช่นทุกวันที่ผ่านมา ด้วยญาณสัมผัสอันลึกล้ำจึงสัมผัสรู้สึกได้ถึงบางสิ่งอย่างที่กำลังก่อตัวขึ้นตรงบริเวณเหนือจุดตันเถียร จากประสบการณ์ที่ผ่านมาเเล้วหลายครั้งทำให้รู้ได้ทันทีว่านี่เป็นสัญญาณของการเลื่อนระดับพลังวิญญาณในขั้นถัดไปหนิงอ้ายจึงรีบหลับตาลงพร้อมกับเร่งโคจรวิถีลมปราณไปทั่วทั่งร่างกายของตนด้วยความรวดเร็วพริ้วไหวเเต่หนักเเน่นล้ำลึกไปตามความพิศดารของเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆา เพียงชั่วครู่เดียวแรงบีบอัดจากภายในได้สร้างความเจ็บปวดเกินจะคาดคิดเอาไว้ ร่างบางสั่นสะท้าน ใบหน้างามบิดเบี้ยวราวกับต้องการกดข่มทุกความรู้สึก หนิงอ้ายตั้งมั่นโคจรลมปราณต่อไปไม่ให้ขาดช่วงเพราะหากพลาดโอกาสในครั้งนี้ไปแล้วไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกมากน้อยเท่าใดจึงจะสามารถสัมผัสได้ถึงประตูเลื่อนขั้นเช่นนี้ได้อีกเมื่อไหร่ แม้สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้จะได้สร้างความทรมานต่อทั้งร่างกายจิตใจไปมากเพียงใดก็ตาม ถึงอย่างไรก็ตามหนิงอ้ายเองก็รู้ดีว่าหากเขาสามารถที่จะอดทนผ่านพ้นไปได้จนสำเร็จเเล้ว สิ่งที่ได้รับคืนมาหลังจากนี้ย่อมเป็นผลดีต่อตนเองทั้งสิ้น ดังนั้นเเล้วเขาต้องตัดผ
"ศิษย์พี่จะแนะนำให้เจ้าได้รู้จักกับศิษย์พี่ทั้งสามคนอย่างเป็นทางการอีกครั้ง..." ไป๋เหลียนฮวาเอ่ยขึ้นพร้อมกับผายมือแนะนำอย่างคล่องแคล่วตรงหน้าของหนิงอ้ายเป็นชายหนุ่มสามคนนั่งหลดหลั่นกัน ต่างมีหน้าตารูปงามหล่อเหลาเป็นอย่างมาก หากเทียบกันเเล้วก็ถือได้ว่าทั้งสามคนมีความแตกต่างเฉพาะเป็นของตัวเอง หากเทียบไปเเล้วก็ให้ความรู้สึกเหมือนชายหนุ่มไอดอลชายในโลกเดิมของเขาอย่างนั้น"คนทางซ้ายมือคือศิษย์พี่สามซุนหลิง เชี่ยวชาญในเรื่องเวทย์รักษาเป็นอย่างมาก หากไม่นับท่านอาจารย์ เจ้าสามารถปรึกษานี้ศิษย์พี่สามในเรื่องนี้เป็นคนเเรก ๆ ได้ทุกเมื่อ..." ชายหนุ่มที่ถูกแนะนำนั้นได้ยกมือทักทายกับหนิงอ้ายเล็กน้อยพร้อมกับสังเกตเด็กหนุ่มตรงหน้าตนนี้ด้วยความสนใจ"คนทางขวามือคือศิษย์พี่รอง นามว่าศิษย์พี่เกาเจิน แม้การแต่งกายภายนอกจะดูแปลกประหลาดไปบ้าง เเต่ศิษย์พี่รองเชี่ยวชาญในเรื่องศาสตร์แห่งการต่อสู้เป็นอย่างมาก สามารถนำมาพลิกเเพลงกับการใช้โอสถและสมุนไพรในการต่อสู้ หากเจ้าต้องการวิถีแนวคิดผสมผสาน ข้าแนะนำเป็นศิษย์พี่รองท่านนี้..." ชายหนุ่มที่ถูกกล่าวหาว่าแต่งกายประหลาดนั้นไม่ได้รู้สึกอันใดกับถ้อยคำนี้ทั้งสิ้น หนำซ
ใช้เวลาเพียงไม่นานนักหนิงอ้ายมาก็ถึงเรือนพักของตนเสียที เด็กหนุ่มตั้งใจเอาไว้ว่าหลังจากที่อาบน้ำจัดการธุระส่วนตัวเสร็จเเล้วตนจะนั่งดูดซับปราณฟ้าดินพร้อมกับใช้ทรัพยากรบ่มเพาะที่ได้รับมาจากอาคารส่วนกลางของตำหนักวันก่อน เขายังไม่รู้ว่าได้รับสิ่งใดมาบ้างและมีจำนวนมากน้อยเท่าใดกัน ด้วยเพราะว่าหนิงอ้ายยังไม่มีเวลาตรวจสอบเเหวนมิติที่ตนได้รับมาในก่อนหน้านี้นั่นเอง"หินปราณระดับกลางยี่สิบก้อน หินปราณระดับสูงสิบก้อนและหากเริ่มหลอมสร้างโอสถแล้วสามารถเบิกสมุนไพรต่าง ๆ ได้เช่นกันเดือนละสิบชุดอย่างนั้นรึ??" ตรวจดูเเล้วพบว่าตนได้สิ่งใดมาบ้างที่ได้รับมา หนิงอ้ายคิดว่าทางตำหนักได้ลงเดิมพันกับการบ่มเพาะศิษย์ในสังกัดของตนค่อนข้างที่จะสูงมากดูได้จากทรัพยากรบ่มเพาะในเเต่ละเดือนที่ศิษย์เเต่ละคนในตำหนักแห่งนี้ได้รับถือว่ามีมูลค่าที่สูงมากไม่น้อย ในโลกภายนอกถึงแม้ว่าหินปราณเหล่านี้อาจจะไม่ใช่สิ่งที่หายากก็จริงเเต่ทว่าหินปราณระดับกลางขึ้นไปจนถึงระดับสูงก็มีราคาสูงมากและมักจะพบเจอตามโรงประมูลเพียงเท่านั้นแน่นอนว่าผู้ฝึกตนทุกคนสามารถดูดซับหินปราณในระดับต่าง ๆ เหล่านี้เพื่อเพิ่มในความเเข็งแกร่งของพลังวิญญาณของ
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต
มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล
ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย