ใช้เวลาเพียงไม่นานนักหนิงอ้ายมาก็ถึงเรือนพักของตนเสียที เด็กหนุ่มตั้งใจเอาไว้ว่าหลังจากที่อาบน้ำจัดการธุระส่วนตัวเสร็จเเล้วตนจะนั่งดูดซับปราณฟ้าดินพร้อมกับใช้ทรัพยากรบ่มเพาะที่ได้รับมาจากอาคารส่วนกลางของตำหนักวันก่อน เขายังไม่รู้ว่าได้รับสิ่งใดมาบ้างและมีจำนวนมากน้อยเท่าใดกัน ด้วยเพราะว่าหนิงอ้ายยังไม่มีเวลาตรวจสอบเเหวนมิติที่ตนได้รับมาในก่อนหน้านี้นั่นเอง
"หินปราณระดับกลางยี่สิบก้อน หินปราณระดับสูงสิบก้อนและหากเริ่มหลอมสร้างโอสถแล้วสามารถเบิกสมุนไพรต่าง ๆ ได้เช่นกันเดือนละสิบชุดอย่างนั้นรึ??" ตรวจดูเเล้วพบว่าตนได้สิ่งใดมาบ้างที่ได้รับมา หนิงอ้ายคิดว่าทางตำหนักได้ลงเดิมพันกับการบ่มเพาะศิษย์ในสังกัดของตนค่อนข้างที่จะสูงมาก
ดูได้จากทรัพยากรบ่มเพาะในเเต่ละเดือนที่ศิษย์เเต่ละคนในตำหนักแห่งนี้ได้รับถือว่ามีมูลค่าที่สูงมากไม่น้อย ในโลกภายนอกถึงแม้ว่าหินปราณเหล่านี้อาจจะไม่ใช่สิ่งที่หายากก็จริงเเต่ทว่าหินปราณระดับกลางขึ้นไปจนถึงระดับสูงก็มีราคาสูงมากและมักจะพบเจอตามโรงประมูลเพียงเท่านั้น
แน่นอนว่าผู้ฝึกตนทุกคนสามารถดูดซับหินปราณในระดับต่าง ๆ เหล่านี้เพื่อเพิ่มในความเเข็งแกร่งของพลังวิญญาณของตนได้เช่นกัน เป็นอีกวิธีหนึ่งที่นอกเหนือไปจากการดูดซับปราณฟ้าดิน โดยปกติเเล้วสำหรับผู้ฝึกตนทั่วไปหรือกลุ่มตระกูลอิทธิพลระดับกลาง การเตรียมทรัพยากรบ่มเพาะพื้นฐานสำหรับรุ่นเยาว์ของตนมักจะใช้หินปราณระดับต่ำและหินปราณระดับกลางด้วยเพราะหาได้ง่ายราคาไม่สูงมากนัก
ทว่ากับกลุ่มอิทธิพลชั้นเรืองนาม บรรดาตระกูลใหญ่ประจำแคว้นหรือแม้กระทั่งสำนักศึกษาที่มีชื่อเสียงนั้นมักจะนิยมใช้หินปราณระดับกลางขึ้นไปจนถึงระดับสูงกันแทบทั้งสิ้น ด้วยเหตุเพราะว่าบรรดาหินปราณในระดับเหล่านี้จะมีความบริสุทธิ์เข้มข้นที่มากกว่าหินปราณระดับต่ำหลายเท่า อีกทั้งยิ่งผู้ฝึกตนผู้นั้นหากยิ่งมีระดับพลังวิญญาณที่สูงมากเท่าใด ในการดูดซับหินปราณโดยเฉพาะหินปราณระดับต่ำนั้นเเทบจะกล่าวไม่มีผลต่อการเพิ่มระดับเลยทั้งสิ้น
จะเห็นได้ว่าในการบ่มเพาะสุดยอดรุ่นเยาว์เเต่ละคนให้เป็นชนชั้นแถวหน้าในยุทธภพ นอกจากต้องมีพรสวรรค์ความสามารถเฉพาะตัวเเล้ว ย่อมต่างที่จะใช้ทรัพยากรบ่มเพาะเหล่านี้เป็นจำนวนอย่างมากมายมหาศาล
เเต่ถึงอย่างไรการได้มาซึ่งผู้ฝึกตนระดับสูงในกลุ่มอิทธิพลปกครองของตนก็สามารถสร้างความน่านับถือ เป็นที่หวั่นเกรงกับผู้คนทั่วไปได้เช่นกัน ด้วยเพราะว่าในโลกของผู้ฝึกคนต่างมีกฎเกณฑ์ที่ถึงแม้จะไม่ได้มีการจดบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรก็ตาม
ผู้ฝึกตนในทุกกลุ่มอิทธิพลต่างรับรู้ยึดถือปฏิบัติเป็นธรรมเนียมอย่างโดยทั่วกันทั้งสิ้นว่า การล่วงเกินกลุ่มอิทธิพล ตระกูลใหญ่ของแคว้นหรือสำนักน้อยใหญ่ที่มีผู้ฝึกตนระดับสูงนั่งประจำการอยู่นั้นไม่ใช่สิ่งที่ควรทำสักเท่าไหร่นัก พึงทราบว่าในยุทธภพแห่งนี้ยังมีตัวตนประหลาดอีกมากมายที่เก็บงำประกายความสามารถเหล่านี้เอาไว้ หากคนผู้นั้นฉลาดมากพอที่จะไม่เอาตัวเองเข้าไปยุ่มย่ามท้าทายบาดหมางกันนั้นเเล้ว เภทภัยต่าง ๆ ย่อมมาไม่ถึงตัวอย่างแน่นอน...
หลังจากที่หนิงอ้ายได้ตรวจสอบเเหวนมิติที่ได้รับมาก่อนหน้าและได้รู้ว่าได้รับสิ่งใดมาเเล้วนั้น คืนนี้หนิงอ้ายจึงตั้งใจที่จะดูดซับหินปราณระดับกลางเสียก่อน ด้วยเพราะจำนวนที่ได้รับมานั้นเพียงพอสำหรับการดูดซับเป็นเวลาหนึ่งเดือนอย่างพอดีไม่ขาดไม่เกิน
จากนั้นเด็กหนุ่มจึงนั่งสมาธิบนเตียงนอนของตนพร้อมกับเริ่มดูดซับหินปราณระดับกลางก้อนเเรกนี้โดยทันที เมื่อถูกชักนำให้ไหลเวียนทั่วร่างกายไปตามเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาของตนเเล้ว หนิงอ้ายจึงพบว่าการไหลเวียนของพลังลมปราณในร่างกายของเขาในตอนนี้มีความหนักเเน่นรวดเร็วที่เพิ่มขึ้นหลายเท่า
อีกทั้งยังรู้สึกคล้ายกับว่าพลังวิญญาณระดับเทวะวิญญาณขั้นต้นที่เขาพึ่งบรรลุมาเมื่อไม่กี่วันก่อน ในตอนนี้ได้ถูกเคี่ยวกรำอย่างช้า ๆ ที่ส่งผลให้รากฐานการบ่มเพาะของเขาหลังจากนี้นั้นจะมีความบริสุทธิ์หนักแน่นกว่าผู้ฝึกตนระดับเดียวกันอีกหลายเท่าภายหลังจากนี้
บริเวณจุดตันเถียรในร่างกายของเขานั่นในตอนนี้ที่มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากการเลื่อนระดับพลังในก่อนหน้า ที่ทำหน้าที่สำคัญค่อย ๆ ดูดซับพลังวิญาณจากหินปราณเหล่านี้เอาไว้ จากความรู้สึกที่สัมผัสนี้ทำให้รับรู้ได้ว่าหินปราณระดับกลางที่ตนได้รับมานั้นมีความบริสุทธิ์มากเพียงใด
ผ่านไปถึงสองชั่วยามในการดูดซับหินปราณในคืนเเรกก็จบลงด้วยดี หนิงอ้ายรู้สึกว่าหลังจากที่ได้ดูดซับไปเเล้วคล้ายกับว่าพลังวิญญาณของเขาได้มีความเข้มข้นขึ้นมาอีกเล็กน้อยส่งผลไปถึงญาณสัมผัสที่มีความแม่นยำเพิ่มมากขึ้นจนสามารถรู้สึกได้
เห็นว่าตอนนี้เป็นยามโฉ่วเเล้ว หนิงอ้ายจึงตัดสินใจล้มตัวลงนอนข้างต้าเฮยที่ตอนนี้ขดตัวอยู่ในผ้าห่มด้วยท่าทางที่มีความสุข เพียงไม่กี่เค่อหลังจากนั้นในเรือนพักหลังได้ได้มีเสียงหายใจเป็นจังหวะสม่ำเสมอเมื่อเด็กหนุ่มได้เข้าสู่ห้วงนิทราไปเเล้วนั่นเอง...
เช้าของวันรุ่งขึ้นได้มาถึงอย่างรวดเร็วเช่นเดิมหลังจากที่หนิงอ้ายตื่นลืมตาด้วยความสดชื่นไม่รอช้าจึงจัดการตัวเองให้เรียบร้อย ตอนนี้เด็กหนุ่มได้อยู่ในชุดสีเขียวอ่อนอันเป็นชุดประจำตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาพร้อมกับที่ไม่ลืมห้อยป้ายหยกประจำตัวของตนที่ข้างเอว
ก่ อนจะก้าวเท้าออกมาจากตัวของเรือนพักในทันทีด้วยเป็นกังวลว่าท่านอาจารย์ของตนจะต้องรอนาน เพราะหากเป็นเช่นนั้นคงไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไหร่ที่ต้องให้ผู้อาวุโสต้องรอผู้เยาว์เช่นเดียวกับตน เพียงไม่ถึงหนึ่งเค่อเท่านั้นหนิงอ้ายก็มาถึงหน้าเรือนพักอาจารย์ของเขา เด็กหนุ่มก็ไม่รอช้าจึงส่งเสียงเป็นสัญญาณว่าตนได้มาถึงหน้าเรือนพักแล้วก่อนที่จะมีส่งตอบกลับมาว่าให้เด็กหนุ่มเข้ามาได้
ได้ยินเช่นนั้นหนิงอ้ายเดินเข้าไปในเรือนพักของปรมจารย์โอสถเหวินหวู่ผู้เป็นอาจารยฺ์ของตนที่บริเวณโดยรอบนี้ต่างถูกรายล้อมด้วยต้นไม้ที่ผลิดอกอย่างสวยงามราวกับแดนสวรรค์คงไม่เกินจริงไปนัก หนิงอ้ายรู้สึกได้ชัดเจนอีกอย่างนั่นคือในบริเวณนี้ช่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายของปราณฟ้าดินที่มีความบริสุทธ์อย่างเข้มข้นกว่าพื้นที่อื่นในสำนัก พอที่จะคาดเดาได้ว่าที่เป็นเช่นนี้เพราะพื้นที่ตรงนี้เปรียบดั่งจุดใจกลางของมหาค่ายกล
"ศิษย์หนิงอ้าย คำนับท่านอาจารย์เหวินหวู่ขอรับ..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับโค้งตัวยกมือประสานคำนับชายชราที่นั่งอยู่ตรงหน้าตน
"ลุกขึ้นเถอะ เจ้าไม่ต้องมากพิธีไปข้าไม่ชอบอะไรที่เป็นทางการมากนัก..." ชราชราเอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นกันเองพร้อมกับยกยิ้มออกมาเล็กน้อย
"ตอนนี้เจ้าเป็นศิษย์ของข้าเเล้วก็คิดเสียว่าข้าเป็นดั่งญาติผู้ใหญ่ของเจ้า ข้ากับตาเฒ่าหวังก็เป็นสหายกันมาหลายสิบปีเเล้ว เจ้าก็ไม่ต่างไปจากลูกหลานของข้าสักเท่าไหร่..." เหวินหวู่เอ่ยขึ้นพร้อมกับเอามือลูบศีรษะของเด็กหนุ่มด้วยความเอ็นดู
"ตอนนี้เจ้าได้ทำความรู้จักกับบรรดาศิษย์พี่ของเจ้าทุกคนเเล้วหรือยังเล่า??"
"เมื่อวานนี้หลังจากศิษย์พี่ทั้งสามกลับมาจากภารกิจที่ได้รับมอบหมาย ศิษย์พี่ไป๋ได้พาข้าไปพูดคุยทำการรู้จักกับศิษย์พี่ทุกคนแล้วขอรับท่านอาจารย์..."
"ไป๋เอ๋อร์ยังคงทำหน้าที่ของตนได้อย่างดีเยี่ยมเช่นเคย เเล้วเจ้าเล่ารู้สึกคุ้นเคยปรับตัวเข้ากับตำหนักได้กี่มากน้อยเเล้ว??"
"ศิษย์พี่ทุกคนต่างใจดีกับข้ามากอีกทั้งท่านผู้อาวุโสซุน ผู้อาวุโสเกาต่างให้การเอ็นดูข้าเช่นกัน ตอนนี้อาจจะมีความรู้สึกไม่คุ้นเคยอยู่บ้างเเต่ถือว่าปรับตัวได้มากขึ้นแล้วขอรับ...." หนิงอ้ายตอบกลับไปตามสิ่งที่ตนคิด
"ได้ยินว่าก่อนหน้านี้เจ้าเหยียนฮุ่ยได้มอบตำราสมุนไพรและได้ให้ความรู้บางส่วนกับเจ้าเเล้วใช่หรือไม่?? เช่นนั้นวันนี้ข้าจะถ่ายทอดสิ่งเหล่านี้เพิ่มเติมให้เจ้าอีกครั้ง..." เหวินหวู่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงชื่นชม ที่ผ่านมาเขาอาจจะไม่ได้อยู่ติดตำหนักของตนมากนักทว่าทุกความเป็นไปที่เกิดขึ้นเขาต่างรับรู้ได้ทั้งสิ้น
เด็กหนุ่มตรงหน้าที่มีอายุเพียงสิบห้าสิบหกปีที่ตนได้ตัดสินใจเลือกอีกฝ่ายเข้ารับเป็นศิษย์คนที่เจ็ดของตำหนักและมอบตำแหน่งศิษย์ผู้สืบทอดให้กับเด็กหนุ่มนั้นดูท่าคงจะไม่เสียเปล่า ทั้งที่ตนได้ให้เวลาอีกฝ่ายพักผ่อนเพื่อปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมเเต่ทว่าตัวคนนั้นกลับเข้าออกอาคารส่วนกลางของตำหนักเป็นว่าเล่น
และยังหยิบยืมตำราต่าง ๆ มากมายมาศึกษาเพื่อใช้เวลาที่มีอยู่อย่างคุ้มค่าที่สุด ยิ่งได้ยินมากจากเหยียนฮุ่ยว่าเด็กหนุ่มสามารถเรียนเข้าใจเกี่ยวกับตำราสมุนไพรต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ดูท่าเเล้วก่อนหน้านี้อีกฝ่ายคงได้ศึกษาตำรามาอย่างมากมาย ช่างเป็นรุ่นเยาว์ที่มากไปด้วยความพยายามอย่างเเท้จริง
จากนั้นเหวินหวู่ได้หยิบเอาตำราส่วนตัวของตนออกมาให้เด็กหนุ่มได้ศึกษา ในสมุดจดบันทึกเล่มนี้เป็นสิ่งที่เขาได้เขียนบันทึกเองทั้งสิ้นเกี่ยวกับสมุนไพร คุณสมบัติ เเหล่งที่พบเห็นล้วนเป็นรายละเอียดที่เหวินหวู่เป็นผู้จดบันทึกด้วยตนเองทั้งสิ้น ถือได้ว่าเป็นความรู้ที่มีความล่ำค่าเป็นอย่างมาก ยิ่งเมื่อได้พูดคุยถามตอยยิ่งทำให้เหวินหวู่ได้รู้ว่าหนิงอ้ายนั้นได้ศึกษาเข้าใจเกี่ยวกับสมุนไพรเหล่านี้มาอยู่ไม่น้อยหรือแม้กระทั่งสมุนไพรพิษนั้นเด็กหนุ่มก็รับรู้บ้างเช่นกัน
หลังจากถ่ายทอดสมุนไพรมาจนถึงหน้าสุดท้ายของสมุดบันทึกเเล้ว หนิงอ้ายได้ทำการคัดลอกจนเสร็จสิ้น เหวินหวู่ได้ทำการทดสอบความจำ ความเข้าใจของเด็กหนุ่ม ด้วยการเอ่ยชื่อสมุนไพรชนิดหนึ่งเเล้วให้อีกฝ่ายตอบมาว่าสมุนไพรชนิดนี้มักจะถูกพบในบริเวณใด สามารถนำมาเป็นยาชนิดใดบ้าง
สิ่งที่ขึ้นในการทดสอบนี้ก็คือหนิงอ้ายสามารถตอบข้อมูลเกี่ยวกับสมุนไพรเหล่านี้ได้ทั้งหมดอย่างไม่ขาดตกบกพร่องตามที่เขานั้นได้บันทึกไว้ในตำราทุกคำ อีกทั้งยังเสนอความคิดเห็นเล็กน้อยส่วนตัวออกมาชวนให้เหวินหวู่ประหลาดใจอีกด้วย ได้เรียกสายตาและรอยยิ้มความภาคภูมิในในศิษย์ตัวน้อยของตนคนนี้ คราเเรกเขาตั้งใจว่าเด็กหนุ่มจำได้เพียงไม่กี่ชนิดก็ถือว่ามากเเล้ว จากนั้นค่อยๆ ศึกษาจดจำต่อไป เเต่นี่เด็กหนุ่มกลับตอบได้ถูกต้องทั้งสิ้นเสียอย่างนั้น
"เจ้าช่างมากไปด้วยพรสวรรค์ ความสามารถพิเศษในการจดจำทุกสิ่งอย่างเช่นนี้นับว่าน่าชื่นชมยิ่ง!!" เหวินหวู่เอ่ยขึ้นพร้อมกับยกมือลูกศรีษะของเด็กหนุ่มไปอีกเล็กน้อย
"ตั้งเเต่ข้ายังเป็นเด็กท่านเเม่เยว่ซินได้สั่งสอนข้าเกี่ยวกับพวกสมุนไพรและมอบตำราให้ข้าศึกษาอยู่ไม่น้อย ดังนั้นศิษย์จึงพอที่จะจดจำได้อยู่บ้างขอรับ..." หนิงอ้ายตอบกลับไปด้วยความอ่อนน้อม
"ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมจริง ๆ " เหวินหวู่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงชื่นชม
ตลอดเวลาหลายชั่วยามหลังจากนี้ เหวินหวู่ได้ใช้เวลาไปกับการถ่ายทอดวิชาความรู้ทั้งหมดของตนเกี่ยวกับสมุนไพรและคุณสมบัติอีกครั้ง โดยที่ได้เพิ่มเนื้อหาในส่วนของสมุนไพรระดับสูงหายากรวมไปถึงสมุนไพรพิษด้วย เขาได้รับรู้มาจากหวังจิ่งหลงสหายของตนว่ากระดูกวิญญาณที่เด็กหนุ่มได้ประสานเข้ากับร่างกายนั้นเป็นของอสรพิษเหมันต์บรรพกาลซึ่งถือว่าเป็นสัตว์อสูรเจ้าเเห่งพิษทั้งปวง
หากเป็นเช่นนั้นจริง ดูท่าเเล้วเคล็ดวิชาและวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุพิษของตนนั้นคงมีผู้สืบทอดเสียเเล้วในตอนนี้ ด้วยเพราะความตั้งใจเเต่ในครั้งเเรกเหวินหวูู่ต้องการที่จะหาผู้สืบทอดวิชาพิษนี้ของตน ด้วยเหตุผลนี้เขาจึงตั้งใจรับหนิงอ้ายเข้ามาเป็นศิษย์ในสำนักและเลือกให้อีกฝ่ายเป็นศิษย์ผู้สืบทอดนั่นเอง
"ตอนนี้เจ้าเป็นผู้ฝึกตนระดับเทวะวิญญาณขั้นต้นแล้วอย่างนั้นรึ? มิใช่ว่าไม่กี่วันก่อนยังเป็นราชทินนามระดับจักรพรรดิวิญญาณขั้นสูงเท่านั้นเอง เฮ้อ!!ตาเฒ่าหวังช่างมีลูกหลานที่มากไปด้วยพรสวรรค์เสียจริง..." เหวินหวู่เอ่ยขึ้นถามเด็กหนุ่ม ซึ่งในใจนั้นคิดว่าหวังจิ่งหลงผู้เป็นสหายของตนในปีนั้นก็ถือว่าเป็นผู้ฝึกตนที่มากไปด้วยพรสวรรค์ที่โดดเด่นเช่นกัน
"ขอรับท่านอาจารย์ เมื่อสองวันก่อนข้าพึ่งตัดผ่านเป็นระดับเทวะวิญญาณขั้นต้น ถือว่าเป็นโชคชะตาจากสวรรค์ขอรับ..."
"ด้วยวัยเพียงสิบห้าสิบหกปีเช่นนี้เเต่กลับเป็นผู้ฝึกตนระดับเทวะวิญญาณขั้นต้นเช่นนี้ได้ หากเทียบกันเเล้วกับศิษย์ผู้สืบทอดของตำหนักทั้งสามเจ้าในตอนนี้ถือว่าก้าวหน้ากว่าพวกเขายิ่งนัก..."
"ท่านอาจารย์กล่าวชมข้าเกินไปแล้วขอรับ หากเทียบตัวข้ากับเหล่าศิษย์พี่เเล้วข้ายังต้องเรียนรู้อีกหลายสิ่งอย่าง หลังจากนี้คงต้องรบกวนท่านอาจารย์ไปอีกมากนะขอรับ..."
"ฮ่าฮ่าฮ่า ช่างเจรจาและรู้จักถ่อมตัวยิ่งนักนี่นับว่าเป็นคุณสมบัติที่ดี เจ้าจงรักษาความอ่อนน้อมถ่อมตนเช่นนี้ไว้เล่า!!!"
"ข้าจะทำตามที่ท่านอาจารย์สั่งสอนขอรับ..."
จากนั้นหนิงอ้ายและอาจารย์ของตนได้พูดคุยเเลกเปลี่ยนความคิดเห็น บางครั้งท่านอาจารย์ของเขาได้เล่าให้ฟังถึงเรื่องราวการผจญภัยต่าง ๆ ในยามที่อีกฝ่ายยังเป็นวัยหนุ่มที่ออกโลดแล่นในยุทธภพว่าได้พบเจอกับความแปลกประหลาดพิศดารมากเพียงใด
เรื่องราวน่าขบขันเกี่ยวกับท่านตาของเขาในหลาย ๆ เรื่อง บางเรื่องนั้นเขาที่ได้ยินนั้นกลับนึกภาพของท่านตาของตนในยามหนุ่มไม่ออก มากไปกว่านั้นหนิงอ้ายก็ได้รู้เเล้วว่าเเท้ที่จริงนั้นท่านตาของเขาและท่านอาจารย์ได้เป็นสหายกันมาหลายสิบปีเเล้ว
จุดเริ่มต้นคือการชอบสตรีคนเดียวกัน ทุกครั้งที่พบหน้าจะต้องมีการกระทบกระทั่งรวมไปถึงการท้าประลองหาผู้ชนะอยู่บ่อยครั้ง ท้ายที่สุดเเล้วพวกเขาทั้งสามคนต่างยึดถือกันเป็นสหายและเป็นท่านตาของเขาที่ได้ท่านยายเหมยฮวาไปครอบครองนั่นเอง...
"เจ้าถือว่าผ่านการทดสอบในเรื่องของสมุนไพรเเล้ว นับว่ามีความรวดเร็วและความก้าวหน้ากว่าศิษย์พี่ของเจ้าหลายเท่า เเต่ถึงอย่างนั้นข้าไม่อยากให้เจ้าชะล่าใจสักเท่าไหร่นักพึงรับรู้ไว้ว่าการเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด..."
ดวงตะวันคล้อยลงลาลับขอบฟ้าไปเเล้ว ส่งผลให้บรรยากาศภายในตำหนักนั้นตกอยู่ในความมืดมิดในทันที อีกทั้งยังปรากฏเป็นไอหมอกจาง ๆ ชวนให้รู้สึกเย็นสบายเป็นอย่างยิ่ง ผลของการเรียนวันเเรกนั้นจบลงด้วยความชื่นชมของเหวินหวู่อย่างมากมายที่มีให้กับศิษย์ตัวน้อยของตน ที่ในวันนี้สามารถรวบรัดเรียนรู้ในสิ่งที่หากเป็นผู้อื่นอาจจะต้องใช้เวลานานนับเดือน
เเต่กับเจ้าตัวประหลาดน้อยคนนี้นั้นกลับศึกษาจนหมดสิ้นครบถ้วนในหนึ่งวัน นี่เกินความคาดหมายของชายชราอย่างเขาไปมาก ดังนั้นเขาจึงสั่งให้เด็กหนุ่มนั้นกลับไปเรือนพักของตนเสียวันพรุ่งนี้เวลาเดิมค่อยเจอกันอีกครั้งเเล้วกัน....
หน้าที่หลักในทุกเช้าของหนิงอ้ายคือการรดน้ำ ดูเเลเเปลงสมุนไพรที่อยู่ติดกับเรือนพัก หลังจากที่ได้จัดการหน้าที่และธุระส่วนตัวทุกอย่างเสร็จสิ้นเเล้ว เด็กหนุ่มจึงเข้าไปในครัวเพื่อทำอาหารในเช้านี้ ตั้งใจว่าหากไม่มีเหตุจำเป็นอื่นเขาจะไม่ลงไปรับอาหารที่โรงครัวของทางสำนักเเล้วด้วยเพราะไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนและหลีกหนีความวุ่นวายอื่นที่อาจจะตามมาภายหลังไม่รู้ว่าลู่ซีและสหายคนอื่น ๆ จะเป็นอย่างไรบ้าง พวกเขาที่อยู่คนละตำหนัก ช่วงเเรกนี้จะเป็นการปรับพื้นฐานก่อนที่จะเรียนรู้ศาสตร์ในขั้นอื่นต่อไป ตอนนี้กลุ่มสหายของหนิงอ้ายจึงเขียนจดหมายเวทย์เพื่อถามไถ่กันเพียงเท่านั้น มีนัดหมายพบเจอกันในอีกสองวันข้างหน้าเนื่องจากเป็นวันที่ทุกตำหนักในสำนักศึกษานั้นกำหนดให้หยุดพักผ่อนนั่นเองกลิ่นหอมของข้าวผัดทรงเครื่องลอยฟุ้งไปทั่วทั้งเรือนพักหลังนี้ อีกทั้งหนิงอ้ายยังได้ทำซุปเยื่อไผ่เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเมนูเพื่อที่ตนนั้นจะได้มีน้ำซุปร้อน ๆ ไว้ซดรับกับอากาศที่หนาวเย็นสบายของเช้าวันนี้ แม้ว่าอาหารจากโรงครัวจะมีรสชาติไม่ได้แย่ก็จริงเเต่อย่างไรก็ตามเขาก็ชินรสมือของตนเสียมากกว่า ดังนั้นหนิงอ้ายจึงตั้งใจว่าหลังจากนี้
ตลอดสองวันมานี้หนิงอ้ายได้รับเคล็ดลับมากมายเกี่ยวกับการหลอมสร้างโอสถจากเหล่าศิษย์พี่ เพราะเหวินหวู่ได้ให้คำแนะนำกับเด็กหนุ่มเพิ่มเติม ว่าในการหลอมสร้างโอสถนอกจากการที่ต้องฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอจนชำนาญเเล้ว การที่ได้เห็นวิถีหลอมสร้างของนักปรุงโอสถเเต่ละคนก็ช่วยในเรื่องนี้เช่นกันความแตกต่างและเอกลักษณ์เฉพาะเหล่านี้สามารถที่จะนำมาปรับใช้ให้เข้ากับวิถีหลอมสร้างของตนเองได้ ในยุทภพเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดไปเท่าไหร่นัก หากว่านักปรุงโอสถที่มีอาจารย์สั่งสอนคนเดียวกัน เเต่ละสำนักจะมีวิถีหลอมสร้างที่ใกล้เคียงกันเพราะอย่างไรก็ตามหลังจากผ่านพ้นเป็นนักปรุงโอสถระดับสี่ การจะเป็นนักปรุงโอสถระดับห้าอย่างเต็มตัวจำเป็นจะต้องคิดค้นและมีวิถีหลอมสร้างเป็นของตัวเองหากไม่เช่นนั้นก็จะติดอยู่ในขั้นของนักปรุงโอสถระดับสี่เพียงเท่านั้นทางฝั่งของหนิงอ้ายเองที่ใช้เวลายามว่างในช่วงบ่ายหลังจากที่ช่วงเช้าที่เด็กหนุ่มรับหน้าที่ทำอาหารเช้าและดูเเลสวนสมุนไพรให้กับอาจารย์ของตน เหวินหวู่ได้มีการสอนทักษะเพิ่มเติมอันเป็นวิถีหลอมสร้างเฉพาะให้กับเด็กหนุ่มอย่างไม่หวงแหน ด้วยเพราะตำแหน่งศิษย์ผู้สืบทอดตำหนักที่เด็กหนุ่มถื
เวลาได้ผ่านไปอย่างรวดเร็วจนมาถึงในยามเว่ยแล้ว กลุ่มของหนิงอ้ายยังคงพากันพูดคุยเเลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่พวกเขาทุกคนพบเจอหลังจากได้เริ่มศึกษาไปในช่วงสี่ถึงห้าวันที่ผ่านมา บางเรื่องจะเป็นสิ่งที่พวกเขาพอรับรู้มาบ้างก่อนหน้าจึงสามารถปรับตัวกันได้อย่างง่ายดาย แต่ละตำหนักล้วนต่างมีแนวทางในการบ่มเพาะศิษย์ของตนที่แตกต่างกันออกไปทั้งสิ้นสำหรับตำหนักศาสตร์เเห่งการต่อสู้ เรียกได้ว่าการเเข่งขันภายในค่อนข้างที่จะสูงมาก บรรดาศิษย์ชายหญิงทุกคนล้วนต้องทำตัวเองให้เเข็งแกร่งต้องเตรียมความพร้อมอยู่เสมอเพราะว่าในทุกเจ็ดวันจะมีการประลองทั้งเชิงเวทย์และเชิงยุทธ์ขึ้นในตำหนัก จุดประสงค์หลักก็เพื่อให้ศิษย์เหล่านี้ตื่นตัวพร้อมกับพัฒนาตัวเองอยู่เสมอด้วยแนวคิดที่ว่าผู้ที่เเข็งแกร่งเท่านั้นที่จะเป็นผู้อยู่รอดแม้จะดูโหดร้ายเเต่นั่นก็เป็นความจริงของยุทธภพที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ การประลองเหล่านี้มีจุดหมายแฝงอยู่นั่นคือเพื่อค้นหาสุดยอดรุ่นเยาว์มากพรสวรรค์ในการเข้าร่วมสังกัดหน่วยต่าง ๆ ที่อาจเป็นกองกำลังสำคัญในอนาคตของทางสำนักได้ หนิงอ้ายแม้จะเป็นห่วงสหายของตนอยู่บ้าง เเต่เมื่อได้ยินว่าสหายของเขาทั้งอี้หลิน จินหั่ว หลี
หลังจากที่เขาได้เเยกย้ายกับเหล่าสหายของตนที่อยู่คนละตำหนัก ศิษย์พี่จางลี่ได้ฝากฝังให้ศิษย์พี่ตงหยางเดินไปส่งตนที่หน้าตำหนักเหมือนครั้งเเรกที่ได้เจอกันตรงที่ตลาด ทว่าศิษย์พี่ใหญ่โจวเซินได้ผ่านมาทางนั้นพอดีจึงอาสาเดินกลับตำหนักไปพร้อมกับตน ถึงหนิงอ้ายจะสามารถเเยกแยะได้ว่าชายหนุ่มผู้เป็นศิษย์พี่นั้นเพียงเเค่มีใบหน้าเหมือนกับเเทนไทและไม่ใช่คนเดียวกันอย่างแน่นอนหนิงอ้ายกลับมีความรู้สึกบางอย่างที่ว่าไม่ควรอยู่ใกล้กับคนนี้จะเป็นการดีที่สุด อาจจะดูเสียมารยาทไปบ้างกับศิษย์พี่โจวเซินผู้เป็นถึงศิษย์พี่ใหญ่ในตำหนักของตนก็จริง ทว่าหนิงอ้ายยังมีความรู้สึกบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ สายตาที่อีกฝ่ายมองมาชวนให้เขารู้สึกอึดอัดใจไปไม่น้อยเช่นกัน เพื่อหลีกหนีความวุ่นวายจากชายหนุ่มทั้งสองคนหนิงอ้ายจึงเลือกที่จะเดินกลับตำหนักของตนในทันทีอย่างไม่รั้งรอโดยที่ไม่ต้องให้ผู้ใดต้องมาคอยรับส่งตนทั้งสิ้นวิหคสอดแนมของหนิงอ้ายก็ได้ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม หนิงอ้ายได้รับรู้ทุกสิ่งที่ศิษย์พี่ท่านนี้ทำเป็นประจำทุกวัน ถึงแม้ว่าในตอนนี้จะยังไม่เจอความผิดปกติก็จริง เเต่ถึงอย่างไรหนิงอ้ายยังคงสั่งให้วิหคสอดแน
โอสถห้ามเลือดเป็นโอสถเเรกที่หนิงอ้ายได้ปรุงออกมาได้สำเร็จ การหลอมสร้างปรุงโอสถระดับสองวันนี้เหวินหวู่จึงให้เด็กหนุ่มได้เริ่มจากโอสถนี้อีกครั้ง สำหรับสูตรโอสถห้ามเลือดระดับสองนี้ที่ได้รับมาจากอาจารย์ของตนหนิงอ้ายเห็นว่านอกจากจะมีสมุนไพรตั้งต้นจากสูตรโอสถระดับหนึ่ง นอกจากนี้ยังได้มีการเพิ่มสมุนไพรขึ้นมาอีกหลายชนิดเช่นกันที่ล้วนเเต่มีฤทธิ์ส่งเสริมสมุนไพรก่อนหน้าทั้งสิ้น เมื่อเด็กหนุ่มได้จัดเตรียมสมุนไพรครบถ้วนตามสูตรโอสถในมือของตนแล้วจึงไม่รอช้าที่จะลงมือในทันทีหนิงอายตั้งสมาธิให้มั่นคงพร้อมกับเรียกญาณสัมผัสของตนออกมาคลอบคลุมไปทั้งทั้งเตาโอสถตรงหน้านี้ มือเรียวบางได้ตวัดเอาสมุนไพรตามสูตรโอสถลงไปในเตาหลอมก่อนที่จะเรียกวิญญาณยุทธ์ธาตุไฟของตนออกมาอย่างระมัดระวัง ความล้ำค่าของสมุนไพรตามสูตรโอสถระดับสองนี้ที่บางชนิดก็มีอายุถึงร้อยปี ดังนั้นการหลอมสร้างปรุงโอสถในครั้งนี้หนิงอ้ายจึงระวังตั้งใจเป็นอย่างมากเพราะต้องการใช้สมุนไพรเหล่านี้ให้คุ้มค่ามากที่สุดปราณธาตุไฟที่เกิดจากวิญญาณยุทธ์ของหนิงอ้ายได้ล้อมรอบเตาโอสถซึ่งเด็กหนุ่มพยายามบังคับเปลวเพลิงนี้ให้มีความสมดุลไม่เบาไม่หนักจนเกินไปเพื่อที่จะไ
วิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟที่ถูกปลดปล่อยออกมายามที่หนิงอ้ายฝึกฝนวิชายุทธได้แฝงไปด้วยความร้อนและความเเข็งแกร่งเป็นอย่างมาก บทเวทย์ต่าง ๆ ที่หนิงอ้ายถือครองอยู่นั้นเรียกได้ว่าอาณุภาพของบทเวทย์ดังกล่าวไปทบทวีคูณมากเพิ่มขึ้นหลายเท่าพื้นที่ส่วนด้านหลังเรือนพักได้แปรเปลี่ยนเป็นลานฝึกขนาดย่อม ด้วยเพราะหนิงอ้ายได้ร่ายเวทย์ป้องกันที่เสริมความเเข็งแกร่งไปอีกหลายชั้น เสียงระเบิดดังต่อเนื่องที่เกิดจากฝึกฝนเคล็ดวิชาจึงไม่อาจหลุดลอดออกไปสร้างความรำคานแก่ศิษย์พี่ท่านอื่นที่อยู่ไปไม่ไกลจากเรือนพักหนิงอ้ายมุ่งเน้นในการใช้วิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟของตนเป็นหลัก เพราะถึงอย่างไรเเล้วการเรียกใช้วิญญาณยุทธ์เเต่ละปราณธาตุนั้นล้วนต่างเหมือนกันทั้งสิ้น เพียงต้องอาศัยประสบการณ์ความคุ้นชินเสียมากกว่า แม้ว่าจะใช้ปราณธาตุน้ำตามเคล็ดวิชาคัมภีร์เบญจธาตุได้เเล้วก็จริง เเต่ถึงอย่างไรหนิงอ้ายยังต้องคอยฝึกฝนอยู่เสมอเพื่อให้เกิดความเชี่ยวชาญคุ้นชินมากกว่านี้สำหรับปราณธาตุต่อไปตามคัมภีร์เบญจธาตุที่หนิงอ้ายต้องศึกษา หลังจากปราณธาตุน้ำนั่นก็คือปราณธาตุลม เรียกได้ว่าเป็นปราณธาตุที่เป็นอิสระอย่างยิ่ง สามารถเคลื่อนไหวกระจายไปทั่วสาร
จุดบริเวณดังกล่าวเป็นแนวต้นไม้สูงใหญ่ที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับป่าโบราณที่มีอายุหลายร้อยหลายพันปี กลิ่นอายของสมุนไพรระดับสูงรวมไปถึงลมปราณฟ้าดินบริสุทธิ์ไหลเวียนอย่างเข้มข้น เห็นได้ชัดว่าโดยรอบนี้มีความอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมากมากไปกว่านั้นยังให้ความรู้สึกราวกับว่าตกอยู่ในสายตาดุร้ายไม่ประสงค์ดีที่มองมาจากทั่วทั้งสารทิศ หนิงอ้ายไม่รอช้ารีบสั่งการให้วิหคสอดแนมของตนออกมาอย่างไม่จำกัดในรัศมีพื้นที่โดยรอบ สำหรับเนตรเเห่งสวรรค์ในตอนนี้ที่หนิงอ้ายเป็นผู้ฝึกตนระดับเทวะวิญญาณขั้นต้นได้ส่งผลให้อาณุภาพยิ่งเหนือชั้นมากขึ้นดวงตาเรียวงามสีดำในรูปลักษณ์ปลอมเเปลงนี้แปรเปลี่ยนเป็นสีทองอร่ามไปชั่วครู่ก่อนที่จะกลับมาเป็นเป็นปกติ ญาณสัมผัสได้ถูกขีดเค้นออกมาถึงขีดสุดจนสามารถรับรู้ในในระยะสองลี้อย่างชัดเจน หนิงอ้ายสัมผัสได้ถึงสัตว์อสูรที่อยู่รายล้อมชวนให้น่าหวั่นเกรงอยู่ไม่น้อยสำหรับคนธรรมดาหรือผู้ฝึกตนทั่วไปเเต่ด้วยเพราะเหวินหวู่ที่เป็นผู้ฝึกตนระดับราชันวิญญาณขั้นสูง ที่อีกเพียงครึ่งก้าวก็จะบรรลุถึงระดับเทพยุทธ์วิญญาณเเล้วย่อมส่งผลให้อสูรร้ายต่าง ๆ เหล่านี้ไม่กล้าก้าวล้ำเข้ามาในบริเวณเพราะสัมผัสได้ถึงการ
หลังจากที่จัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นเรียบร้อยเเล้ว เหวินหวู่ได้พาหนิงอ้ายมายังที่หนึ่งซึ่งอยู่ห่างไปจากหมู่บ้านไร้นามเเห่งนี้ไปไม่ไกลสักเท่าไหร่นัก ตรงหน้าของเด็กหนุ่มเป็นถ้ำขนาดใหญ่ที่ภายในเต็มไปด้วยสมุนไพรที่ให้ความรู้สึกเหมือนสวนสมุนไพรข้างเรือนของอาจารย์กลิ่นอายของลมปราณฟ้าดินที่ไหลเวียนอยู่โดยรอบเข้มข้นมีความบริสุทธิ์อยู่ไม่น้อย ฟังว่าถ้ำนี้เปรียบได้กับที่พักชั่วคราวในยามที่ท่านอาจารย์ผ่านทางมายังหมู่บ้านนี้ สมุนไพรโดยรอบที่เห็นเป็นระเบียนก็เป็นฝีมือของชายชราเช่นกันที่เลือกสรรนำมาปลูกไว้ในบริเวณถ้ำดั่งกล่าวนี้นั่นเอง"เจ้าจะพักผ่อนก่อนหรือไม่?" ชายชราถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง เพราะก่อนหน้านี้อีกฝ่ายคงเสียพลังวิญญาณไปอย่างมากจากการสังหารอสูรจักรพรรดิแมงมุมรัตติกาลเหมันต์เมื่อครู่ ในความคิดของผู้ที่มีอายุมากกว่าเห็นควรว่าเด็กหนุ่มควรจะพักเสียหน่อยจะเป็นการดีที่สุด"ข้ายังไหวอยู่ขอรับท่านอาจารย์อย่างไรข้าฝากท่านด้วยนะขอรับ..." หนิงอ้ายตอบกลับไปเพื่อให้อาจารย์สบายใจ อีกทั้งยังรบกวนอีกฝ่ายไปอีกด้วยการดูดซับกระดูกวิญญาณในเเต่ละครั้งหากว่าเกิดเหตุการ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น ผู้ฝึกตนที่กำลังอยู่ใน
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต
มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล
ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย