หน้าที่หลักในทุกเช้าของหนิงอ้ายคือการรดน้ำ ดูเเลเเปลงสมุนไพรที่อยู่ติดกับเรือนพัก หลังจากที่ได้จัดการหน้าที่และธุระส่วนตัวทุกอย่างเสร็จสิ้นเเล้ว เด็กหนุ่มจึงเข้าไปในครัวเพื่อทำอาหารในเช้านี้ ตั้งใจว่าหากไม่มีเหตุจำเป็นอื่นเขาจะไม่ลงไปรับอาหารที่โรงครัวของทางสำนักเเล้วด้วยเพราะไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนและหลีกหนีความวุ่นวายอื่นที่อาจจะตามมาภายหลัง
ไม่รู้ว่าลู่ซีและสหายคนอื่น ๆ จะเป็นอย่างไรบ้าง พวกเขาที่อยู่คนละตำหนัก ช่วงเเรกนี้จะเป็นการปรับพื้นฐานก่อนที่จะเรียนรู้ศาสตร์ในขั้นอื่นต่อไป ตอนนี้กลุ่มสหายของหนิงอ้ายจึงเขียนจดหมายเวทย์เพื่อถามไถ่กันเพียงเท่านั้น มีนัดหมายพบเจอกันในอีกสองวันข้างหน้าเนื่องจากเป็นวันที่ทุกตำหนักในสำนักศึกษานั้นกำหนดให้หยุดพักผ่อนนั่นเอง
กลิ่นหอมของข้าวผัดทรงเครื่องลอยฟุ้งไปทั่วทั้งเรือนพักหลังนี้ อีกทั้งหนิงอ้ายยังได้ทำซุปเยื่อไผ่เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเมนูเพื่อที่ตนนั้นจะได้มีน้ำซุปร้อน ๆ ไว้ซดรับกับอากาศที่หนาวเย็นสบายของเช้าวันนี้ แม้ว่าอาหารจากโรงครัวจะมีรสชาติไม่ได้แย่ก็จริงเเต่อย่างไรก็ตามเขาก็ชินรสมือของตนเสียมากกว่า ดังนั้นหนิงอ้ายจึงตั้งใจว่าหลังจากนี้ตนจะทำอาหารให้ตนเองและท่านอาจารย์ในทุกเช้าซึ่งหากศิษย์พี่คนอื่นต้องการเขาก็ไม่ขัดข้องที่จะเเสดงฝีมือให้ทุกคนได้ลิ้มลองเช่นกัน
หนิงอ้ายทานอาหารมื้อเช้าที่ทำขึ้นด้วยเวลาเพียงไม่นานเท่าไหร่นัก หลังจากทำความสะอาดจานชามเเล้ว เด็กหนุ่มจึงกำชับเจ้าต้าเฮยอีกครั้งว่าอย่าออกไปซุกซนที่ใด จากนั้นหนิงอ้ายจึงยกข้าวผัดทรงเครื่องพร้อมกับซุปเยื่อไผ่ที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นนี้ไปทางฝั่งเรือนพักของเหวินหวู่ผู้เป็นอาจารย์ของตน เมื่อไปถึงหนิงอ้ายก็พบว่าท่านอาจารย์ได้นั่งอยู่ตรงโตะหินอ่อนใต้ต้นไม้ใหญ่ข้างเรือนพัก หนิงอ้ายไม่รอช้าเข้าไปหาอีกฝ่ายในทันที
"อรุณสวัสดิ์ยามเช้าขอรับท่านอาจารย์ วันนี้ข้าทำอาหารมื้อเช้ามาให้ท่านด้วยขอรับ..."
"อาหารของเจ้าช่างมีกลิ่นหอมหน้าตาสวยงามแปลกตายิ่งนัก เเล้วเจ้าเล่ากินอะไรมาเเล้วหรือยัง?? หากไม่ก็มานั่งด้วยกันกับอาจารย์นี่มา..." เหวินหวู่เอ่ยขึ้นด้วยความรู้สึกเอ็นดูเด็กหนุ่มเป็นอย่างมาก ความรู้สึกที่ถูกเด็กหนุ่มเอาใจใสเช่นนี้ช่างเหมือนกับการมีลูกหลานที่คอยเป็นห่วงตนเสียจริง
"ข้าทานมาจากเรือนเเล้วเชิญท่านอาจารย์นั่งท่านได้เลยเดี๋ยวข้าขอตัวไปจัดการแปลงสมุนไพรให้ท่านอาจารย์เสียก่อน ทานให้อร่อยนะขอรับ..." หนิงอ้ายตอบกลับไปพร้อมกับเผยรอยยิ้มสดใสก่อนที่จะขอตัวเเยกไปจัดการรดน้ำดูเเลแปลงสมุนไพรให้กับอาจารย์ของตน
หนิงอ้ายและศิษย์พี่ทั้งหกรวมไปถึงทุกคนในตำหนักศาสตร์แห่งการรักษา ต่างรับทราบตรงกันว่าพื้นที่ในเรือนพักส่วนตัวของท่านอาจารย์เป็นพื้นที่หวงห้ามที่ไม่อนุญาตให้คนภายนอกเข้ามาในบริเวณดังกล่าวนี้ ดังนั้นหน้าที่ในการดูเเลความสะอาดต่าง ๆ และการดูเเลสวนสมุนไพรของท่านอาจารย์นั้นต่างเป็นศิษย์พี่เเต่ละคนของเขาที่แวะเวียนเข้ามาดูเเลอยู่เสมอ
ถึงแม้จะใช้ยันต์ทำความสะอาดได้ก็จริงเเต่กับบางสิ่งก็ยังต้องใช้กำลังคนเท่านั้น ดังเช่นการรดน้ำสวนสมุนไพรที่หนิงอ้ายกำลังจะไปจัดการตอนนี้ ใช้เวลาเพียงไม่กี่เค่อเพียงเท่านั้นทุกอย่างก็เสร็จสิ้น
"กลับมาแล้วอย่างนั้นรึ สำหรับอาหารมื้อเช้านี้ขอบใจเจ้ามากรสชาติอร่อยถูกปากอาจารย์ยิ่งนัก..." เหวินหวู่เอ่ยทักขึ้นเมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มที่ตอนเเรกได้หายไปตรงหลังเรือนฝั่งสวนสมุนไพรของตนในตอนนี้ได้กลับมาเเล้ว
"หากท่านอาจารย์ชอบ หลังจากนี้ข้าจะทำให้ท่านทานทุกมื้อเลยนะขอรับ..." หนิงอ้ายตอบกลับไปด้วยความยินดีเมื่อได้ยินคำเอ่ยชมจากอาจารย์ของตน นี่เเหละความสุขของคนทำอาหารเพียงเเค่มีคนชอบก็นับว่าดียิ่งเเล้ว
หลังจากเหวินหวู่ได้เเยกตัวเข้าไปในเรือนพักเพื่อที่เตรียมการสอน ตัวของหนิงอ้ายเองได้ขอเเยกตัวนำจานชามเหล่านี้ไปทำความสะอาดให้เรียบร้อยก่อนที่จะตามเข้ามาในภายหลัง เมื่อกลับเข้ามาก็พบว่าอาจารย์ได้นั่งรออยู่เเล้ว ตรงด้านหน้ามีเตาหลอมยาวางอยู่พร้อมกับสมุนไพรมากมายหลายชนิดที่วางอยู่ข้างกัน จากที่มองเพียงชั่วครู่หนิงอ้ายก็รับรู้ได้ว่าสมุนไพรเหล่านี้เกือบทั้งหมดเป็นสิ่งที่เขาได้เรียนรู้จากเมื่อวานนี้ทั้งสิ้นและเป็นไปได้ว่าวันนี้เขาจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการหลอมสร้างโอสถอย่างแน่นอน
"วันนี้อาจารย์จะสอนเจ้าเกี่ยวกับการหลอมสร้างโอสถ สิ่งที่เจ้าควรรู้คือโอสถระดับต่าง ๆ ที่ใช้ในตำหนักรวมไปถึงสำนักศึกษาเเห่งนี้เกือบทั้งหมดเป็นฝีมือของพวกเราตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาทั้งสิ้น เมื่อเจ้าหลอมโอสถได้นั้นนอกจากที่จะสามารถเเลกเปลี่ยนเป็นแต้มคะเเนนได้ที่อาคารส่วนกลางเเล้วเจ้ายังสามารถนำโอสถที่เจ้าหลอมสร้างได้ไปฝากขายได้เช่นกัน..."
"การหลอมสร้างโอสถจะเป็นการสร้างโอสถต่าง ๆ ขึ้นมาจากสมุนไพรที่ถูกหลอมรวมขึ้นมาในรูปเเบบของเม็ดโอสถที่เจ้าคุ้นเคย บรรดาโอสถนั้นแม้จะมีหลากหลายสูตรหลากหลายสรรพคุณก็จริง เเต่ล้วนอยู่ในกฎเกณฑ์ลำดับขั้นตั้งเเต่ระดับหนึ่งถึงระดับสิบ ความบริสุทธิ์นั้นก็เเบ่งได้เป็นความบริสุทธิ์หนึ่งส่วนไปถึงความบริสุทธิ์สิบส่วนเช่นเดียวกัน แน่นอนว่าโอสถที่ดีนั้นควรที่จะมีความบริสุทธิ์ตั้งเเต่ห้าส่วนขึ้นไปจึงจะเป็นการดีที่สุด..."
"ผู้หลอมสร้างโอสถจะต้องมีวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟเท่านั้นจึงจะผ่านเงื่อนไขเเรกในการเป็นนักหลอมสร้างโอสถได้ ถึงจะกล่าวเช่นนั้นเเต่อย่างไรก็ตามก็ใช่ว่าเพียงเเค่มีวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟก็สามารถเป็นนักหลอมสร้างโอสถได้ หากคนผู้นั้นปราศจากญาณสัมผัสที่ล้ำลึกและวิญญาณยุทธ์ธาตุไฟที่กล้าแกร่งมากพอก็ไม่สามารถเป็นนักหลอมสร้างโอสถได้เช่นกัน ในทุกปีสำหรับการประลองหลอมสร้างโอสถของทั้งหกสำนักในมหาทวีปบูรพาเเห่งนี้นั้นย่อมเป็นสำนักศึกษาของเราที่เป็นอันดับหนึ่งทั้งสิ้น เเต่ใช่ว่าจะสามารถชะล่าใจได้เพราะว่าการเเข่งขันนั้นนับได้ว่าทวีสูงขึ้นในทุกปีเช่นกัน..." เหวินหวู่อธิบายออกมาให้หนิงอ้ายได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น
"ข้าเข้าใจแล้วขอรับท่านอาจารย์..." หนิงอ้ายพยักหน้าทำความเข้าใจกับข้อมูลที่ตนได้รับรู้นี้
เมื่ออธิบายเกี่ยวกับหลักการเบื้องต้นเเล้วเหวินหวู่จึงเริ่มสอนให้หนิงอ้ายได้หลอมสร้างโอสถเสียที โดยจะเริ่มจากโอสถระดับหนึ่ง ครั้งนี้จะเป็นตนที่ทำให้เด็กหนุ่มได้ดูก่อน สำหรับโอสถเเรกที่ตั้งใจสอนนั้นจะเป็นโอสถรักษาระดับหนึ่งที่มีคุณสมบัติห้ามเลือดรักษาแผลเล็กน้อยได้ ถือว่าเป็นโอสถพื้นฐานที่นักหลอมสร้างโอสถล้วนต้องเรียนรู้เริ่มต้นจากจุดเดียวกันทั้งสิ้น
เหวินหวู่เริ่มต้นจากการหยิบสมุนไพรจำนวนตามสูตรของโอสถลงไป พริบตานั้นด้านหลังของชายชราได้ปรากฎเป็นเงาร่างสิงโตเพลิงครอบทับก่อนที่จะถูกถ่ายเทไปยังเตาหลอมสร้างที่อยู่ด้านหน้า สองมือนั้นค่อย ๆ ประคองเปลวเพลิงนี้ให้คงที่มากที่สุดในระดับที่พอดีไม่เบา ไม่หนักจนเกินไปเพื่อให้โอสถนั้นสมบูรณ์ จากนั้นสมุนไพรเหล่านี้ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นของเหลวความบริสุทธิ์ หนิงอ้ายสัมผัสได้ว่าวิญญาณยุทธ์ของท่านอาจารย์ในยามที่หลอมสร้างโอสถนั้นมีความลึกล้ำพิศดารเป็นอย่างมาก เปลวเพลิงสีแดงลุกท่วมไปทั่งทั้งเตาหลอมโอสถ
เพียงชั่วครู่กลิ่นหอมของสมุนไพรที่ถูกหลอมด้วยวิญญาณยุทธ์ธาตุไฟอันเเข็งแกร่งได้ส่งกลิ่นหอมอบอวนตลบไปทั่วทั้งห้อง จากนั้นเหวินหวู่ได้ประสานมือขึ้นด้วยท่าทางเฉพาะของตนบังคับให้สมุนไพรที่ตอนนี้อยู่ในรูปลักษณ์ของโอสถเหลวให้ถูกบีบอัดและผนึกขึ้นเป็นลักษณะกลม ที่คล้ายคลึงกับโอสถเม็ดที่พบเห็นได้ทั่วไปในที่สุด
หากพินิจดูจากกลิ่นอายที่เเผ่ออกมาจะเห็นได้ว่าโอสถที่พึ่งถูกหลอมสร้างเสร็จนั้นเป็นโอสถระดับหนึ่งที่มีความบริสุทธิ์มากถึงสิบส่วนจำนวนทั้งสิ้นห้าเม็ดที่นอนก้นอยู่ในเตาหลอมสร้างนี้
แน่นอนว่าขั้นตอนต่าง ๆ ที่ได้เห็นตั้งเเต่เเรกเริ่มจนถึงขั้นสุดท้ายได้ถูกหนิงอ้ายบันทึกไว้และทำความเข้าใจเเล้ว เหลือเเต่เพียงการลงมือทำจริงด้วยตนเองเพียงเท่านั้น การหลอมสร้างโอสถของนักปรุงยาระดับสูงเเต่ละคนถือว่าเป็นความลับเฉพาะตัวก็คงไม่เกินจริงไปนัก โดยปกตินักหลอมสร้างโอสถเเต่ละคนต่างมีวิถีที่เป็นเอกลักษณ์แตกต่างกันออกไปทั้งสิ้น ดังนั้นการที่หนิงอ้ายได้เห็นการหลอมสร้างโอสถจากนักหลอมสร้างโอสถระดับสูงเช่นนี้ย่อมเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งนัก
เหวินหวู่เห็นว่าลูกศิษย์ของตนนั้นน่าจะจดจำขั้นตอนการหลอมสร้างโอสถได้บ้างเเล้ว ครานี้จึงเรียกให้เด็กหนุ่มได้ลองทำดูบ้างเพราะหากผิดพลาดอย่างไรตนจะได้ชี้แนะให้ถูกต้องตามที่ควรจะเป็น เมื่อได้ยินเช่นนั้นหนิงอ้ายจึงขยับตัวมายังเบื้องหน้าเตาหลอม ก่อนที่จะหยิบสมุนไพรขึ้นมาตามจำนวนและชนิดที่ท่านอาจารย์ของตนได้ทำให้เห็นในก่อนหน้า
จากนั้นจึงเรียกวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟของตนออกมา พร้อมกับถ่ายเทไปยังเตาหลอมที่ตอนนี้มีสมุนไพรตามสูตรโอสถอย่างคล่องแคล่ว ขั้นตอนตั้งเเต่เเรกเริ่มจนมาถึงตอนนี้เหวินหวู่ผู้เป็นอาจารย์สอนถือได้ว่าถูกต้องครบถ้วนตามกระบวนการที่ควรจะเป็นทั้งสิ้น
เปลวเพลิงร้อนแรงอันเกิดจากวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟของเด็กหนุ่มนั้นแฝงไปด้วยกลิ่นอายของชีวิตที่เข้มข้น ความร้อนที่พุ่งปะทุก่อนที่จะถูกควบคุมด้วยญาณสัมผัสอันลึกล้ำด้วยความรวดเร็ว จากนั้นไม่ถึงหนึ่งเค่อภายในเตาหลอมได้ปรากฎเป็นโอสถขึ้นสามเม็ด ถือได้ว่าเป็นการหลอมสร้างโอสถครั้งเเรกที่เกือบจะสมบูรณ์เเบบเลยทีเดียว
เข้าใจได้เพราะเด็กหนุ่มเองพึ่งเคยหลอมสร้างโอสถเป็นครั้งเเรกถึงแม้ว่าความบริสุทธิ์ของเม็ดโอสถจะอยู่ที่ขั้นแปดถือว่าเป็นโอสอถที่มีคุณสูงก็จริงเเต่ปริมาณที่ได้กลับน้อยกว่าที่ควรจะเป็น เพียงเท่านี้ก็ถือว่าหนิงอ้ายเต็มเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์มากกว่าคนทั่วไปหลายเท่าแล้วพึงทราบว่ามีไม่น้อยเช่นกันที่หลอมสร้างโอสถครั้งเเรกเเต่ตัวเม็ดยานั้นไม่ขึ้นรูปเสียด้วยซ้ำ
"ทำได้ไม่เลว หลอมสร้างโอสถระดับหนึ่งครั้งเเรกก็มีความบริสุทธิ์มากถึงแปดส่วนเเล้ว แม้จะได้เพียงเเค่สามเม็ดผิดไปจากสูตรโอสถที่ควรจะเป็นก็จริง เเต่เพียงเท่านี้ก็ถือว่ายอดเยี่ยมเหนือว่าครั้งเเรกของศิษย์พี่ของเจ้าทุกคนเเล้ว..." เหวินหวู่เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงชื่นชมให้กำลังใจหนิงอ้าย ศิษย์ของเขาคนนี้ถึงกับทำได้ดีเช่นนี้ตั้งเเต่ครั้งเเรก นับว่ามากไปด้วยพรสวรรค์กว่าเขาไปมากนักเมื่อเทียบกับช่วงอายุเดียวกันเเล้ว
"ทั้งหมดล้วนเป็นท่านอาจารย์ที่เมตตาสั่งสอนศิษย์ขอรับ..." หนิงอ้ายตอบกลับไป
แม้จะรู้ว่าเพียงเท่านี้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จกับการหลอมสร้างโอสถในครั้งเเรกก็จริง เเต่เมื่อครู่นั้นเขาคิดว่ายังไม่แม่นยำเรื่องเวลามากเพียงพอ ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงเอ่ยกับอาจารย์ของตนว่าขอทำการหลอมสร้างโอสภใหม่อีกครั้ง เมื่อได้รับการพยักหน้ายินยอมละรอยยิ้มเอ็นดูจากชายชราเเล้วหนิงอ้ายจึงไม่รอช้าที่จะทำการหลอมสร้างโอสถขึ้นอีกครั้ง
ครั้งนี้หนิงอ้ายจดจ่อและตั้งใจเป็นอย่างมาก ญาณสัมผัสในตัวต่างถูกเรียกใช้ออกมาทั้งสิ้น เปลวเพลิงสีแดงร้อนแรงที่แฝงไปด้วยกลิ่นอายของชีวิตนั้นได้ปรากฎโฉมขึ้นมาอีกครั้ง เเต่ทว่าในครั้งนี้ได้ผลึกขึ้นเป็นบัวอัคคีขนาดใหญ่หนึ่งดอก จากนั้นหนิงอ้ายทำการโยนสมุนไพรตามสูตรโอสถไปยังใจกลางของบุปผาเพลิงนั่น
เพียงไม่ถึงเค่อสมุนไพรเหล่านี้ต่างแปรเปลี่ยนเป็นของเหลวบริสุทธิ์ทั้งสิ้น พร้อมกับยกมือประสานขึ้นมาด้วยท่าทางที่คล้ายคลึงกับอาจารย์ของตนไปหลายส่วน ก่อนที่เด็กหนุ่มจะเร่งพลังลมปราณของตนพร้อมกับบีบอัดของเหลวนั้นให้ขึ้นรูปเป็นโอสถเม็ด
จากกลิ่นอายของโอสถที่แผ่ออกมาทำให้รับรู้ได้ว่าถึงกับเป็นโอสถระดับหนึ่งจำนวนห้าเม็ดครบถ้วนที่มีความบริสุทธิ์ถึงสิบส่วน ความก้าวหน้าเช่นนี้ที่หนิงอ้ายสามารถหลอมสร้างโอสถที่มีความบริสุทธิ์ถึงสิบส่วนได้ตั้งเเต่ครั้งที่สองนี้ นับว่าเด็กหนุ่มนั้นประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากเลยทีเดียว
หลังจากที่การหลอมสร้างโอสถในครั้งที่สองนี้ได้จบลงท่ามกลางความยินดีของเด็กหนุ่มและเสียงชื่นชมจากชายชราผู้เป็นอาจารย์ เหวินหวู่ยังได้ให้คำแนะนำกับเด็กหนุ่มไปอีกเล็กน้อยในจุดที่อีกฝ่ายยังคงติดขัด
อีกทั้งยังบอกกับเด็กหนุ่มว่าอย่ากดดันตนเองมากจนเกินไปเพราะความกดดันนั้นสามารถทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้นมาได้ แน่นอนว่าหนิงอ้ายก็รู้ตัวถึงจุดบกพร่องของตนเช่นกันจึงพยักหน้ารับคำสั่งสอนของอาจารย์ตนก่อนที่จะทำการหลอมสร้างโอสถใหม่อีกครั้ง ด้วยเพราะสมุนไพรที่ถูกจัดเตรียมในการสอนครั้งนี้มีมากมายไม่ต้องกลัวหมด โอสถที่เด็กหนุ่มได้หลอมสร้างขึ้นก็สามารถนำไปเเลกเป็นแต้มคะเเนนที่อาคารส่วนกลางของตำหนักได้เช่นกัน
ตลอดระยะเวลาสามถึงเกือบสี่ชั่วยามของวันนี้หนิงอ้ายได้ใช้ไปกับการหลอมสร้างโอสถทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นโอสถห้ามเลือด โอสถรักษา โอสถเพิ่มลมปราณรวมไปถึงโอสถระดับหนึ่งอีกหลายชนิด เมื่อได้ทำการหลอมสร้างโอสถซ้ำ ๆ ไปนั้น ก็ทำให้เกิดความแม่นยำและห้วงการรับรู้การหลอมสร้างที่มากขึ้น
มากไปกว่านั้นหนิงอ้ายยังสัมผัสได้ว่าญาณสัมผัสที่ถูกเขาใช้อย่างบ้าคลั่งในวันนี้ได้ค่อย ๆ ฟื้นฟูคล้ายกับจะเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ สำหรับพลังลมปราณจำนวนมากที่สูญเสียไปในการหลอมสร้างโอสถในวันนี้ แน่นอนว่าโอสถเพิ่มพลังลมปราณที่เขาได้ปรุงขึ้นมานั้นก็ได้ถูกทดลองใช้กับตนเองทั้งสิ้น ถือว่าเป็นการทดสอบประสิทธิภาพของโอสถที่ได้หลอมสร้างขึ้นได้เช่นกัน
"เจ้าไปพักผ่อนเสียเถอะเพียงเเค่นี้ก็ถือได้ว่าเจ้าทำได้ดียิ่ง อย่างไรวันพรุ่งนี้ค่อยมาทบทวนกันอีกครั้งเเล้วกัน..." เหวินหวู่เอ่ยขึ้นชมพร้อมกับลูบหัวของเด็กหนุ่มอย่างแผ่วเบาด้วยความเอ็นดู
ศิษย์ตัวน้อยของเขาคนนี้นับว่ามากไปด้วยพรสวรรค์และมีความอดทนเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าอีกฝ่ายจะเหนื่อยล้ามากเพียงใดเเต่ยังคงตั้งใจหลอมสร้างโอสถไปเรื่อย ๆ อย่างเต็มที่อีกทั้งยังพัฒนาฝีมือของตนให้แม่นยำขึ้นในทุกครั้งซึ่งก่อนที่เด็กหนุ่มจะแยกตัวกลับเรือนพัก
เหวินหวู่ก็ได้มอบโอสถฟื้นฟูลมปราณระดับเจ็ดที่มีความบริสุทธิ์สิบส่วนให้กับเด็กหนุ่มอีกครั้งเพื่อให้เด็กหนุ่มได้ดูดซับไปพร้อมกับการเดินพลังลมปราณในคืนนี้
หนิงอ้ายเมื่อเห็นโอสถระดับสูงเช่นนี้ก็รู้สึกตื้นตันในความเมตตาของอีกฝ่ายที่มีกับตนไม่น้อย โอสถระดับเจ็ดแม้มีความบริสุทธิ์เพียงครึ่งหากมองไปทั่งทั้งยุทธภพนั้นก็ใช้ว่าจะหาได้โดยง่าย เเล้วนี่เป็นถึงโอสถระดับเจ็ดที่มีความบริสุทธิ์ถึงสิบส่วนเช่นนี้ ย่อมเป็นอาจารย์ของเขาที่เป็นปรมจารย์โอสถเท่านั้นที่จะครอบครองโอสถระดับสูงเช่นนี้ได้ ดังนั้นหนิงอ้ายจึงตั้งใจว่าตนในฐานะศิษย์ของอีกฝ่ายนั้นจะไม่ยอมให้อีกฝ่ายขายหน้าที่รับตนเป็นศิษย์ผู้สืบทอดอย่างแน่นอน..
ตลอดสองวันมานี้หนิงอ้ายได้รับเคล็ดลับมากมายเกี่ยวกับการหลอมสร้างโอสถจากเหล่าศิษย์พี่ เพราะเหวินหวู่ได้ให้คำแนะนำกับเด็กหนุ่มเพิ่มเติม ว่าในการหลอมสร้างโอสถนอกจากการที่ต้องฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอจนชำนาญเเล้ว การที่ได้เห็นวิถีหลอมสร้างของนักปรุงโอสถเเต่ละคนก็ช่วยในเรื่องนี้เช่นกันความแตกต่างและเอกลักษณ์เฉพาะเหล่านี้สามารถที่จะนำมาปรับใช้ให้เข้ากับวิถีหลอมสร้างของตนเองได้ ในยุทภพเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดไปเท่าไหร่นัก หากว่านักปรุงโอสถที่มีอาจารย์สั่งสอนคนเดียวกัน เเต่ละสำนักจะมีวิถีหลอมสร้างที่ใกล้เคียงกันเพราะอย่างไรก็ตามหลังจากผ่านพ้นเป็นนักปรุงโอสถระดับสี่ การจะเป็นนักปรุงโอสถระดับห้าอย่างเต็มตัวจำเป็นจะต้องคิดค้นและมีวิถีหลอมสร้างเป็นของตัวเองหากไม่เช่นนั้นก็จะติดอยู่ในขั้นของนักปรุงโอสถระดับสี่เพียงเท่านั้นทางฝั่งของหนิงอ้ายเองที่ใช้เวลายามว่างในช่วงบ่ายหลังจากที่ช่วงเช้าที่เด็กหนุ่มรับหน้าที่ทำอาหารเช้าและดูเเลสวนสมุนไพรให้กับอาจารย์ของตน เหวินหวู่ได้มีการสอนทักษะเพิ่มเติมอันเป็นวิถีหลอมสร้างเฉพาะให้กับเด็กหนุ่มอย่างไม่หวงแหน ด้วยเพราะตำแหน่งศิษย์ผู้สืบทอดตำหนักที่เด็กหนุ่มถื
เวลาได้ผ่านไปอย่างรวดเร็วจนมาถึงในยามเว่ยแล้ว กลุ่มของหนิงอ้ายยังคงพากันพูดคุยเเลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่พวกเขาทุกคนพบเจอหลังจากได้เริ่มศึกษาไปในช่วงสี่ถึงห้าวันที่ผ่านมา บางเรื่องจะเป็นสิ่งที่พวกเขาพอรับรู้มาบ้างก่อนหน้าจึงสามารถปรับตัวกันได้อย่างง่ายดาย แต่ละตำหนักล้วนต่างมีแนวทางในการบ่มเพาะศิษย์ของตนที่แตกต่างกันออกไปทั้งสิ้นสำหรับตำหนักศาสตร์เเห่งการต่อสู้ เรียกได้ว่าการเเข่งขันภายในค่อนข้างที่จะสูงมาก บรรดาศิษย์ชายหญิงทุกคนล้วนต้องทำตัวเองให้เเข็งแกร่งต้องเตรียมความพร้อมอยู่เสมอเพราะว่าในทุกเจ็ดวันจะมีการประลองทั้งเชิงเวทย์และเชิงยุทธ์ขึ้นในตำหนัก จุดประสงค์หลักก็เพื่อให้ศิษย์เหล่านี้ตื่นตัวพร้อมกับพัฒนาตัวเองอยู่เสมอด้วยแนวคิดที่ว่าผู้ที่เเข็งแกร่งเท่านั้นที่จะเป็นผู้อยู่รอดแม้จะดูโหดร้ายเเต่นั่นก็เป็นความจริงของยุทธภพที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ การประลองเหล่านี้มีจุดหมายแฝงอยู่นั่นคือเพื่อค้นหาสุดยอดรุ่นเยาว์มากพรสวรรค์ในการเข้าร่วมสังกัดหน่วยต่าง ๆ ที่อาจเป็นกองกำลังสำคัญในอนาคตของทางสำนักได้ หนิงอ้ายแม้จะเป็นห่วงสหายของตนอยู่บ้าง เเต่เมื่อได้ยินว่าสหายของเขาทั้งอี้หลิน จินหั่ว หลี
หลังจากที่เขาได้เเยกย้ายกับเหล่าสหายของตนที่อยู่คนละตำหนัก ศิษย์พี่จางลี่ได้ฝากฝังให้ศิษย์พี่ตงหยางเดินไปส่งตนที่หน้าตำหนักเหมือนครั้งเเรกที่ได้เจอกันตรงที่ตลาด ทว่าศิษย์พี่ใหญ่โจวเซินได้ผ่านมาทางนั้นพอดีจึงอาสาเดินกลับตำหนักไปพร้อมกับตน ถึงหนิงอ้ายจะสามารถเเยกแยะได้ว่าชายหนุ่มผู้เป็นศิษย์พี่นั้นเพียงเเค่มีใบหน้าเหมือนกับเเทนไทและไม่ใช่คนเดียวกันอย่างแน่นอนหนิงอ้ายกลับมีความรู้สึกบางอย่างที่ว่าไม่ควรอยู่ใกล้กับคนนี้จะเป็นการดีที่สุด อาจจะดูเสียมารยาทไปบ้างกับศิษย์พี่โจวเซินผู้เป็นถึงศิษย์พี่ใหญ่ในตำหนักของตนก็จริง ทว่าหนิงอ้ายยังมีความรู้สึกบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ สายตาที่อีกฝ่ายมองมาชวนให้เขารู้สึกอึดอัดใจไปไม่น้อยเช่นกัน เพื่อหลีกหนีความวุ่นวายจากชายหนุ่มทั้งสองคนหนิงอ้ายจึงเลือกที่จะเดินกลับตำหนักของตนในทันทีอย่างไม่รั้งรอโดยที่ไม่ต้องให้ผู้ใดต้องมาคอยรับส่งตนทั้งสิ้นวิหคสอดแนมของหนิงอ้ายก็ได้ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม หนิงอ้ายได้รับรู้ทุกสิ่งที่ศิษย์พี่ท่านนี้ทำเป็นประจำทุกวัน ถึงแม้ว่าในตอนนี้จะยังไม่เจอความผิดปกติก็จริง เเต่ถึงอย่างไรหนิงอ้ายยังคงสั่งให้วิหคสอดแน
โอสถห้ามเลือดเป็นโอสถเเรกที่หนิงอ้ายได้ปรุงออกมาได้สำเร็จ การหลอมสร้างปรุงโอสถระดับสองวันนี้เหวินหวู่จึงให้เด็กหนุ่มได้เริ่มจากโอสถนี้อีกครั้ง สำหรับสูตรโอสถห้ามเลือดระดับสองนี้ที่ได้รับมาจากอาจารย์ของตนหนิงอ้ายเห็นว่านอกจากจะมีสมุนไพรตั้งต้นจากสูตรโอสถระดับหนึ่ง นอกจากนี้ยังได้มีการเพิ่มสมุนไพรขึ้นมาอีกหลายชนิดเช่นกันที่ล้วนเเต่มีฤทธิ์ส่งเสริมสมุนไพรก่อนหน้าทั้งสิ้น เมื่อเด็กหนุ่มได้จัดเตรียมสมุนไพรครบถ้วนตามสูตรโอสถในมือของตนแล้วจึงไม่รอช้าที่จะลงมือในทันทีหนิงอายตั้งสมาธิให้มั่นคงพร้อมกับเรียกญาณสัมผัสของตนออกมาคลอบคลุมไปทั้งทั้งเตาโอสถตรงหน้านี้ มือเรียวบางได้ตวัดเอาสมุนไพรตามสูตรโอสถลงไปในเตาหลอมก่อนที่จะเรียกวิญญาณยุทธ์ธาตุไฟของตนออกมาอย่างระมัดระวัง ความล้ำค่าของสมุนไพรตามสูตรโอสถระดับสองนี้ที่บางชนิดก็มีอายุถึงร้อยปี ดังนั้นการหลอมสร้างปรุงโอสถในครั้งนี้หนิงอ้ายจึงระวังตั้งใจเป็นอย่างมากเพราะต้องการใช้สมุนไพรเหล่านี้ให้คุ้มค่ามากที่สุดปราณธาตุไฟที่เกิดจากวิญญาณยุทธ์ของหนิงอ้ายได้ล้อมรอบเตาโอสถซึ่งเด็กหนุ่มพยายามบังคับเปลวเพลิงนี้ให้มีความสมดุลไม่เบาไม่หนักจนเกินไปเพื่อที่จะไ
วิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟที่ถูกปลดปล่อยออกมายามที่หนิงอ้ายฝึกฝนวิชายุทธได้แฝงไปด้วยความร้อนและความเเข็งแกร่งเป็นอย่างมาก บทเวทย์ต่าง ๆ ที่หนิงอ้ายถือครองอยู่นั้นเรียกได้ว่าอาณุภาพของบทเวทย์ดังกล่าวไปทบทวีคูณมากเพิ่มขึ้นหลายเท่าพื้นที่ส่วนด้านหลังเรือนพักได้แปรเปลี่ยนเป็นลานฝึกขนาดย่อม ด้วยเพราะหนิงอ้ายได้ร่ายเวทย์ป้องกันที่เสริมความเเข็งแกร่งไปอีกหลายชั้น เสียงระเบิดดังต่อเนื่องที่เกิดจากฝึกฝนเคล็ดวิชาจึงไม่อาจหลุดลอดออกไปสร้างความรำคานแก่ศิษย์พี่ท่านอื่นที่อยู่ไปไม่ไกลจากเรือนพักหนิงอ้ายมุ่งเน้นในการใช้วิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟของตนเป็นหลัก เพราะถึงอย่างไรเเล้วการเรียกใช้วิญญาณยุทธ์เเต่ละปราณธาตุนั้นล้วนต่างเหมือนกันทั้งสิ้น เพียงต้องอาศัยประสบการณ์ความคุ้นชินเสียมากกว่า แม้ว่าจะใช้ปราณธาตุน้ำตามเคล็ดวิชาคัมภีร์เบญจธาตุได้เเล้วก็จริง เเต่ถึงอย่างไรหนิงอ้ายยังต้องคอยฝึกฝนอยู่เสมอเพื่อให้เกิดความเชี่ยวชาญคุ้นชินมากกว่านี้สำหรับปราณธาตุต่อไปตามคัมภีร์เบญจธาตุที่หนิงอ้ายต้องศึกษา หลังจากปราณธาตุน้ำนั่นก็คือปราณธาตุลม เรียกได้ว่าเป็นปราณธาตุที่เป็นอิสระอย่างยิ่ง สามารถเคลื่อนไหวกระจายไปทั่วสาร
จุดบริเวณดังกล่าวเป็นแนวต้นไม้สูงใหญ่ที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับป่าโบราณที่มีอายุหลายร้อยหลายพันปี กลิ่นอายของสมุนไพรระดับสูงรวมไปถึงลมปราณฟ้าดินบริสุทธิ์ไหลเวียนอย่างเข้มข้น เห็นได้ชัดว่าโดยรอบนี้มีความอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมากมากไปกว่านั้นยังให้ความรู้สึกราวกับว่าตกอยู่ในสายตาดุร้ายไม่ประสงค์ดีที่มองมาจากทั่วทั้งสารทิศ หนิงอ้ายไม่รอช้ารีบสั่งการให้วิหคสอดแนมของตนออกมาอย่างไม่จำกัดในรัศมีพื้นที่โดยรอบ สำหรับเนตรเเห่งสวรรค์ในตอนนี้ที่หนิงอ้ายเป็นผู้ฝึกตนระดับเทวะวิญญาณขั้นต้นได้ส่งผลให้อาณุภาพยิ่งเหนือชั้นมากขึ้นดวงตาเรียวงามสีดำในรูปลักษณ์ปลอมเเปลงนี้แปรเปลี่ยนเป็นสีทองอร่ามไปชั่วครู่ก่อนที่จะกลับมาเป็นเป็นปกติ ญาณสัมผัสได้ถูกขีดเค้นออกมาถึงขีดสุดจนสามารถรับรู้ในในระยะสองลี้อย่างชัดเจน หนิงอ้ายสัมผัสได้ถึงสัตว์อสูรที่อยู่รายล้อมชวนให้น่าหวั่นเกรงอยู่ไม่น้อยสำหรับคนธรรมดาหรือผู้ฝึกตนทั่วไปเเต่ด้วยเพราะเหวินหวู่ที่เป็นผู้ฝึกตนระดับราชันวิญญาณขั้นสูง ที่อีกเพียงครึ่งก้าวก็จะบรรลุถึงระดับเทพยุทธ์วิญญาณเเล้วย่อมส่งผลให้อสูรร้ายต่าง ๆ เหล่านี้ไม่กล้าก้าวล้ำเข้ามาในบริเวณเพราะสัมผัสได้ถึงการ
หลังจากที่จัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นเรียบร้อยเเล้ว เหวินหวู่ได้พาหนิงอ้ายมายังที่หนึ่งซึ่งอยู่ห่างไปจากหมู่บ้านไร้นามเเห่งนี้ไปไม่ไกลสักเท่าไหร่นัก ตรงหน้าของเด็กหนุ่มเป็นถ้ำขนาดใหญ่ที่ภายในเต็มไปด้วยสมุนไพรที่ให้ความรู้สึกเหมือนสวนสมุนไพรข้างเรือนของอาจารย์กลิ่นอายของลมปราณฟ้าดินที่ไหลเวียนอยู่โดยรอบเข้มข้นมีความบริสุทธิ์อยู่ไม่น้อย ฟังว่าถ้ำนี้เปรียบได้กับที่พักชั่วคราวในยามที่ท่านอาจารย์ผ่านทางมายังหมู่บ้านนี้ สมุนไพรโดยรอบที่เห็นเป็นระเบียนก็เป็นฝีมือของชายชราเช่นกันที่เลือกสรรนำมาปลูกไว้ในบริเวณถ้ำดั่งกล่าวนี้นั่นเอง"เจ้าจะพักผ่อนก่อนหรือไม่?" ชายชราถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง เพราะก่อนหน้านี้อีกฝ่ายคงเสียพลังวิญญาณไปอย่างมากจากการสังหารอสูรจักรพรรดิแมงมุมรัตติกาลเหมันต์เมื่อครู่ ในความคิดของผู้ที่มีอายุมากกว่าเห็นควรว่าเด็กหนุ่มควรจะพักเสียหน่อยจะเป็นการดีที่สุด"ข้ายังไหวอยู่ขอรับท่านอาจารย์อย่างไรข้าฝากท่านด้วยนะขอรับ..." หนิงอ้ายตอบกลับไปเพื่อให้อาจารย์สบายใจ อีกทั้งยังรบกวนอีกฝ่ายไปอีกด้วยการดูดซับกระดูกวิญญาณในเเต่ละครั้งหากว่าเกิดเหตุการ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น ผู้ฝึกตนที่กำลังอยู่ใน
โดยปกติทั่วไปนักปรุงโอสถฝึกหัดจะมีอายุตั้งเเต่สิบปีถึงยี่สิบห้าปีโดยเสียส่วนใหญ่ ขึ้นอยู่กับระดับพลังวิญญาณรวมไปถึงความเเข็งแกร่งของวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟต้นกำเนิดและจะต้องมีจิตวิญญาณของนักปรุงโอสถที่มากพอจึงจะสามารถเข้าสู่เส้นทางนี้ได้นักปรุงโอสถคนหนึ่งจะต้องประกอบไปด้วยทั้งสามสิ่งนี้ไปในทิศทางเดียวกัน หากไม่เป็นไปดังนี้เเล้วย่อมถือว่านักปรุงโอสถฝึกหัดผู้นั้นขาดคุณสมบัติที่จะเลื่อนระดับเป็นนักปรุงโอสถระดับหนึ่ง คงเป็นได้เพียงนักปรุงโอสถฝึกหัดต่อไปจนกว่าจะมีคุณสมบัติที่เพียบพร้อมในทั้งสามด้านนี้จึงจะสามารถเข้าร่วมสอบเลื่อนระดับเป็นนักปรุงโอสถระดับหนึ่งได้นั่นเองดังนั้นการที่เหวินหวู่ได้บอกแก่สหายของตนถึงเหตุผลในการเดินทางมายังสมาคมสมาพันธ์นักปรุงโอสถในครั้งนี้ ว่าต้องการพาศิษย์คนล่าสุดมาสอบเลื่อนระดับจึงสร้างความตกใจแก่จ้าวเสวี่ยถังเป็นอย่างมาก ก่อนหน้าหลายปีที่ผ่านมาอีกฝ่ายได้เคยพาศิษย์ลำดับหกที่มีอายุเพียงสิบแปดสิบเก้าปีเท่านั้นมาสอบเลื่อนระดับเป็นนักปรุงโอสถระดับหนึ่ง ก็นับว่าในตอนได้สร้างความตกตะลึงแก่ผู้คนในเมืองนี้รวมไปถึงสร้างชื่อเสียงเป็นที่ร่ำลือไปทั่วที่อีกฝ่ายสามารถบ่มเพาะ
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต
มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล
ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย