เวลาได้ผ่านไปอย่างรวดเร็วจนมาถึงในยามเว่ยแล้ว กลุ่มของหนิงอ้ายยังคงพากันพูดคุยเเลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่พวกเขาทุกคนพบเจอหลังจากได้เริ่มศึกษาไปในช่วงสี่ถึงห้าวันที่ผ่านมา บางเรื่องจะเป็นสิ่งที่พวกเขาพอรับรู้มาบ้างก่อนหน้าจึงสามารถปรับตัวกันได้อย่างง่ายดาย แต่ละตำหนักล้วนต่างมีแนวทางในการบ่มเพาะศิษย์ของตนที่แตกต่างกันออกไปทั้งสิ้น
สำหรับตำหนักศาสตร์เเห่งการต่อสู้ เรียกได้ว่าการเเข่งขันภายในค่อนข้างที่จะสูงมาก บรรดาศิษย์ชายหญิงทุกคนล้วนต้องทำตัวเองให้เเข็งแกร่งต้องเตรียมความพร้อมอยู่เสมอเพราะว่าในทุกเจ็ดวันจะมีการประลองทั้งเชิงเวทย์และเชิงยุทธ์ขึ้นในตำหนัก จุดประสงค์หลักก็เพื่อให้ศิษย์เหล่านี้ตื่นตัวพร้อมกับพัฒนาตัวเองอยู่เสมอด้วยแนวคิดที่ว่าผู้ที่เเข็งแกร่งเท่านั้นที่จะเป็นผู้อยู่รอด
แม้จะดูโหดร้ายเเต่นั่นก็เป็นความจริงของยุทธภพที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ การประลองเหล่านี้มีจุดหมายแฝงอยู่นั่นคือเพื่อค้นหาสุดยอดรุ่นเยาว์มากพรสวรรค์ในการเข้าร่วมสังกัดหน่วยต่าง ๆ ที่อาจเป็นกองกำลังสำคัญในอนาคตของทางสำนักได้ หนิงอ้ายแม้จะเป็นห่วงสหายของตนอยู่บ้าง เเต่เมื่อได้ยินว่าสหายของเขาทั้งอี้หลิน จินหั่ว หลี่ซวงกับจ้าวหลานนั้นต่างทราบข้อมูลในส่วนนี้มาบ้างและทุ่มเทฝึกซ้อมอยู่เสมอ ดังนั้นหนิงอ้ายจึงเบาใจได้ในที่สุด
ทางฝั่งของลู่ซีกับอู๋ฮั่นที่เป็นศิษย์ตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลที่สัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงจากสหายทุกคนที่ส่งมาจนรู้สึกได้ จึงตอบกลับไปให้สบายใจว่าพวกเขาทั้งสองคนไม่ได้พบเจอในเรื่องยุ่งยากทั้งสิ้น เพราะส่วนใหญ่แล้วจะมุ่งเน้นไปในทางศึกษาตำราเกี่ยวกับศาสตร์เเห่งค่ายกลรวมไปถึงการศึกษาในเรื่องของการจัดวางตำแหน่งของค่ายกลเเต่ละประเภทเสียมากกว่า ซึ่งก็ไม่ได้มากเกินไปกว่าความสามารถของทั้งสองคนที่เตรียมตัวในเรื่องเหล่านี้อยู่บ้างแล้วเช่นกัน
"สามวันข้างหน้าก็จะถึงวันเกิดข้าพอดี พวกเราจัดงานเลี้ยงสักเล็กน้อยดีหรือไม่??" อี้หลินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สดใส เพราะอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันเกิดของเขา เด็กหนุ่มจึงต้องการที่จะจัดงานเลี้ยงเล็กน้อยกับกลุ่มสหายของตน
"เเต่ถ้าพวกเจ้าไม่ว่างก็ไม่เป็นไรนะเข้าใจได้ เช่นนั้นข้าว่า..." อี้หลินเมื่อเห็นว่าทุกคนยังคงนิ่งเงียบไม่ตอบรับ เด็กหนุ่มจึงเอ่ยขึ้นอย่างติดขัดไม่น้อย
"เจ้านี่จริง ๆ เลยนะอี้หลินกับพวกข้าที่อยู่ตำหนักเดียวกันเจ้ายังไม่ยอมบอกพวกเราก่อนเสียอย่างนั้น..."
"เเล้วนี่คงคิดว่าพวกข้าไม่อยากไปร่วมงานวันเกิดของเจ้าที่เป็นสหายกันใช่หรือไม่??" หลี่ซวงเห็นท่าทางเศร้าสร้อยของสหายตัวน้อยของตนจึงคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงคิดว่าพวกตนไม่อยากไปร่วมงานวันเกิดของอีกฝ่ายเป็นแน่
"เรื่องที่สำคัญเช่นนี้เหตุใดจึงพึ่งบอกกัน ของขวัญ เเล้วของขวัญเล่า..." จ้าวหลานอดไม่ได้ที่จะบ่นออกมาเสียงดังพร้อมกับพูดกับตัวเองราวกับกำลังขบคิดบางอย่าง
"ข้าบอกเเล้วว่าทุกคนย่อมเต็มใจที่จะร่วมงานวันเกิดของเจ้า..." จินหั่วที่เป็นสหายกับอี้หลินตั้งเเต่ยังเด็กจึงพอที่จะเดาความคิดของอีกฝ่ายได้อีกทั้งสหายของเขาคนนี้ไม่ค่อยมีเพื่อนสนิทมากนัก ดังนั้นเมื่อมีเพื่อนใหม่ที่ตนสนิทใจอีกฝ่ายจึงรู้สึกลังเลว่าทุกคนจะอยากมาร่วมงานวันเกิดของตนหรือไม่
"งานเลี้ยงวันเกิดอย่างนั้นรึ ให้พวกข้าทั้งสี่คนเข้าร่วมงานนี้ได้ด้วยหรือไม่??" เสียงของโม่โฉวดังขึ้นจากทางด้านหลังเรียกความสนใจของเด็กหนุ่มทั้งเจ็ดคนรวมไปถึงศิษย์สายในศิษย์สายนอกชายหญิงที่นั่งล้อมวงพูดคุยกันไปไม่ไกลเท่าไหร่นัก
ตรงด้านหลังของชายหนุ่มนั้นตามมาด้วยศิษย์พี่จางลี่ผู้เป็นสตรีเพียงคนเดียวในกลุ่ม พร้อมกับบุรุษอีกสองคนที่เดินตามเข้ามาถึงในที่สุดนั่นคือศิษย์พี่ซุนหรานกับศิษย์พี่ตงหยาง ผู้ที่หนิงอ้ายไม่อยากพบเจอมากที่สุด...
"คำนับศิษย์พี่ทั้งสี่ขอรับ..." เสียงของกลุ่มของหนิงอ้ายได้ดังขึ้น พร้อมกับที่พวกเขาต่างขยับตัวให้เหล่าศิษย์พี่เหล่านี้นั่งร่วมโตะเดียวกันกับพวกตน
"เป็นงานวันเกิดของใครอย่างนั้นรึ??" โม่โฉวถามขึ้นด้วยความกระตือรือร้น
"เป็นวันเกิดของข้าเองขอรับศิษย์พี่..." อี้หลินตอบกลับอีกฝ่ายไปด้วยความเขินอายล็กน้อย
"เป็นวันเกิดของศิษย์น้องอี้หลินนี่เอง เเล้วนี่พวกเจ้าคิดเเล้วหรือยังว่าจะจัดงานเลี้ยงที่ใดกันให้ศิษย์พี่แนะนำพวกเจ้าดีหรือไม่??" จางลี่ผู้เป็นสตรีเพียงคนเดียวท่ามกลางบุรุษเหล่านี้จึงถามขึ้นมา เพราะนางคิดว่ารายละเอียดเล็กน้อยเช่นนี้อาจไม่ใช่เรื่องถนัดของบุรุษพวกนี้ก็เป็นไปได้
"ไม่ต้องถึงขั้นเป็นงานเลี้ยงใหญ่โตก็ได้ขอรับศิษย์พี่จางลี่ มีเพียงพวกเราเท่านี้ก็เพียงพอแล้วขอรับ..." อี้หลินตอบกลับไปตามที่ตนคิดเพราะส่วนตัวเเล้วเขาก็ไม่ค่อยชอบความวุ่นวายสักเท่าไหร่นัก
"ถึงจะเป็นอย่างนั้นเเต่ก็ต้องเลือกสถานที่ให้ดีที่สุด ข้าจะเป็นผู้ดูเเลเอง" จางลี่เอ่ยขึ้นราวกับไม่ต้องการให้อีกฝ่ายปฏิเสธ
"เอาอย่างที่จางลี่ว่านั่นเเหละ ศิษย์น้องอี้หลินอย่าได้คิดมาก" ซุนหรานเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นท่าทางเกรงอกเกรงใจของเด็กหนุ่ม ก่อนอี้หลินจะยอมรับอย่างไม่ขัดข้องเพราะเขาสัมผัสได้ว่าศิษย์พี่ต่างให้ความเป็นดูตนเป็นอย่างมาก
ทางฝั่งของหนิงอ้ายที่เห็นบทสนทนาเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นจึงเผยรอยยิ้มออกมาอย่างมีความสุข เด็กหนุ่มสัมผัสได้ว่าศิษย์พี่เหล่านี้ต่างเอ็นดูตนและสหายทุกคนเป็นอย่างมาก…
บรรยากาศของความสนุกสนานผสานกับความวุ่นวายได้เกิดขึ้นอีกครั้งเรียกสายตาของศิษย์สายใน ศิษย์สายนอกชายหญิงที่ต่างมองมาทางนี้อย่างเปิดเผย พวกเขานั้นไม่คิดว่าข่าวลือในก่อนหน้านี้ที่ว่าศิษย์น้องใหม่ที่พึ่งเข้าสำนักนั้นสนิทสนมกับว่าที่เจ้าสำนักและศิษย์ผู้สืบทอดทั้งสามตำหนัก โดยมีตัวกลางนั้นคือศิษย์ที่มีนามว่าหนิงอ้ายผู้เป็นศิษย์ผู้สืบทอดตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาที่กำลังเป็นที่รู้จักกับทุกคนในตอนนี้
"สรุปอีกสามวันข้างหน้าพวกเราจะจัดงานเลี้ยงฉลองวันเกิดให้กับอี้หลิน เเต่ว่าจะเป็นสถานที่ใดอันนี้ขอเก็บเป็นความลับเสียก่อนเเล้วกัน..." ซุนหรานเอ่ยขึ้นเมื่อในตอนนี้ได้จัดสรรเเบ่งหน้าที่กันเรียบร้อยเเล้ว
"สำหรับเครื่องดื่มในวันงานเลี้ยงตามกฎของสำนักมีข้อห้ามเกี่ยวกับสุราและของมึนเมา ดังนั้นหน้าที่ในส่วนนี้จะเป็นโม่โฉวกับศิษย์น้องจินหั่วที่รับผิดชอบดูเเลในส่วนนี้...."
"เรื่องอาหารเป็นศิษย์น้องหนิงอ้ายกับศิษย์น้องลู่ซีจะเป็นผู้รับหน้าที่ไปในส่วนนี้เพราะสหายของเจ้าต่างยืนยันว่ารสมือของศิษย์น้องดียิ่ง เจ้าสามารถเลือกลูกมือเพื่อช่วยเหลือในส่วนนี้อีกสองคนเช่นนั้นเป็นศิษย์น้องจ้าวหลานกับศิษย์น้องอู๋ฮั่นเเล้วกัน..."
"ส่วนเจ้าตงหยางหน้าที่ของเจ้าคือติดต่อประสานงานขออนุญาติใช้สถานที่กับผู้อาวุโสหงเเล้วกัน เจ้าพอคุ้นเคยอยู่บ้างน่าจะไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอะไร..."
"ส่วนข้า ซุนหรานกับศิษย์น้องหลี่ซวงจะรับดูเเลในการตกแต่งสถานที่จัดงานเเล้วกัน...อีกสามวันข้างหน้าในยามโหย่ว ให้มารวมตัวกันที่ลานตรงหน้าโรงครัวนี้..."
"ส่วนเจ้าศิษย์น้องอี้หลินเจ้าไม่ต้องทำสิ่งใดเพราะเจ้าเป็นเจ้าของวันเกิด เป็นเจ้าของงานนี้นั่นเอง..." จางลี่เอ่ยขึ้นไล่เรียงหน้าที่ของเเต่ละคนที่ถูกจัดสรรเเบ่งหน้าที่ดูเเลแตกต่างกันไปก่อนที่จะทิ้งท้ายในส่วนของอี้หลินว่าเด็กหนุ่มนั้นที่ไม่ต้องทำสิ่งใดพร้อมกับเรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนในที่นี้
เเต่เหมือนกับว่าทุกคนคล้ายกับจะหลงลืมสิ่งใดบางสิ่งที่ขี้น้อยใจอยู่เป็นแน่ เพราะเจ้าตัวถึงกับขู่ฟ่อออกมาเสียงดังพร้อมกับเลื้อยออกมาจากอกเสื้อก่อนที่จะเลื้อยไปอยู่บริเวณตรงไหล่ของเด็กหนุ่ม พร้อมกับส่งเสียงร้องประท้วงออกมาที่เรียกความสนใจจากทุกคนในที่นี้ได้อย่างชะงัก
"ต้าเฮยพวกเราไม่ได้ลืมเจ้านะ..." หลี่ซวงร้องดังขึ้นทันที
"ใช่เเล้วใครจะลืมเจ้าได้กัน อย่างนี้ดีหรือไม่หน้าที่ของเจ้าก็คือช่วยอี้หลินแกะของขวัญจากพวกเรา..." จินหั่วเอ่ยเสริมขึ้นเมื่อเห็นว่าเจ้าตัวน้อยกำลังรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก แม้ท่าทางที่เเสดงออกมาจะน่ารักมากในสายตาของตนก็ตาม
"เจ้าเป็นกำลังใจให้พวกข้าก็พอเเล้ว..." จ้าวหลานเอ่ยสำทับไปด้วยความหนักเเน่น ต้าเฮยเห็นว่าทุกคนไม่ได้หลงลืมตนไปจริง ๆ เจ้าอสรพิษตัวน้อยนี้จึงกลับมาร่าเริงอีกครั้งพร้อมกับจ้องมองไปทางฝั่งของบุรุษกับสตรีตรงหน้าที่ไม่คุ้นหน้าสักเท่าไหร่
"ข้ายังไม่เคยแนะนำให้ศิษย์พี่ได้รู้จักกับเจ้าตัวน้อยเลย นี่คือต้าเฮยขอรับเป็นสัตว์อสูรที่ข้ารับเลี้ยงขอรับ..." หนิงอ้ายแนะนำอีกฝ่ายให้กับบรรดาศิษย์พี่ของตนให้รู้จักอย่างเป็นทางการ
"ศิษย์พี่ท่านนี้คือศิษย์พี่โมโฉวศิษย์ผู้สืบทอดตำหนักศาสตร์เเห่งค่ายกลและเป็นศิษย์พี่ในตำหนักของลู่เกอกับอู๋ฮั่น..."
"ทางนี้คือศิษย์พี่จางลี่เป็นศิษย์ผู้สืบทอดตำหนักศาสตราวุธ..."
"ศิษย์พี่ท่านนี้คือศิษย์พี่ซุนหรานเป็นศิษย์ผู้สืบทอดตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เป็นศิษย์พี่ร่วมตำหนักของจินหั่ว อี้หลิน หลี่ซวงกับจ้าวหลาน..."
"ส่วนคนสุดท้ายคือศิษย์พี่ตงหยางเป็นศิษย์สายตรงของท่านเจ้าสำนักและเป็นว่าที่เจ้าสำนักคนต่อไป..." หนิงอ้ายแนะนำศิษย์พี่ทั้งสี่คนให้กับเจ้าตัวน้อยได้รู้จัก ขณะเอ่ยถึงชายหนุ่มคนสุดท้ายหนิงอ้ายแทบจะไม่มองหน้าอีกฝ่าย ในใจรู้สึกหงุดหงิดใจไม่น้อยเพราะอีกฝ่ายมาถึงก็เอาเเต่จดจ้องเขาอย่างไม่วางตา
ต้าเฮยได้ยินหนิงอ้ายแนะนำศิษย์พี่ตรงหน้าทั้งสี่คนให้ได้รู้จัก อสรพิษสีดำจึงชูคอขึ้นมาเล็กน้อย ดวงตาสีแดงเลือดนั้นจ้องมองไปยังทั้งสี่คนอย่างเงียบเชียบคล้ายกับว่ากำลังขบคิดบางอย่างอยู่ในใจ ก่อนที่พริบตานั้นตรงนิ้วชี้ของทั้งสี่คนจะปรากฏเป็นรอยฟันเล็ก ๆ สองซี่พร้อมกับความเจ็บปวดเล็กน้อยตรงจุดนั้นเเต่ก็เพียงชั่วครู่ก็ได้หายไปราวกับว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้เกิดสิ่งใดขึ้นทั้งสิ้น
"เมื่อครู่นี้เป็นเพียงการผูกมิตรในเเบบของต้าเฮยเพียงเท่านั้น ศิษย์พี่อย่าได้ถือสาเอาความเลยนะขอรับ..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นทันทีด้วยเป็นกังวลว่าเหล่าบรรดาศิษย์พี่เหล่านี้อาจจะเข้าใจในเจ้าตัวน้อยผิดไป
"ตอนเเรกที่หนิงอ้ายแนะนำต้าเฮยกับพวกข้าเขาก็ทำเช่นนี้ ศิษย์พี่อย่าได้ถือสา ต้าเฮยเลยนะขอรับ..." อี้หลินเอ่ยเสริมขึ้นเพื่อยืนยันคำพูดของหนิงอ้ายเมื่อครู่
"ก่อนหน้านี้เสี่ยวอ้ายได้บอกเอาไว้ว่าสิ่งที่ต้าเฮยทำเมื่อครู่นี้นอกจากจะเป็นการผูกมิตรและเป็นการยอมรับพวกเราเเล้วปราณพิษที่อีกฝ่ายมอบให้สามารถป้องกันพวกเราจากพิษต่าง ๆ ได้ถึงสามครั้งเลยนะขอรับ..." ลู่ซีที่ไม่ค่อยมีบทสนทนาในก่อนหน้าได้เอ่ยเสริมขึ้นเช่นกัน พร้อมกับที่เจ้าต้าเฮยนั้นรีบไปหาอีกฝ่ายพร้อมกับเอาหัวเล็กนั้นถูไปกับฝ่ามือของอีกฝ่ายที่เรียกสายตาอิจฉาจากทุกคนไม่น้อย
"ยอดเยี่ยมขนาดนั้นเชียวต้าเฮยของพวกเราช่างเก่งกาจเสียจริง..." โม่โฉวเอ่ยขึ้นด้วยความชื่นชมเจ้าตัวน้อย
"ต้าเฮยของพวกเรานั้นเก่งมาก ๆ ต่อไปคงต้องฝากให้เจ้าดูเเลพวกเราด้วยกันเล่า..." ซุนหรานเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเอาใจอีกฝ่าย ต้าเฮยก็ตอบกลับมาด้วยการขยับส่วนหัวเล็กนั้นขึ้นลงหลายครั้ง
"ศิษย์พี่ขอลองสัมผัสเจ้าต้าเฮยได้บ้างหรือไม่??" จางลี่เองแม้โดยปกตินางจะไม่ค่อยชอบสัตว์เลื้อยคลานประเภทงูสักเท่าไหร่นักตามวิสัยของสตรีทั่วไป เเต่เมื่อนางเห็นท่าทางและใบหน้าที่น่ารักของเจ้าตัวน้อยนั้นก็อดไม่ได้อยากจะลองสัมผัสสักครั้ง
ต้าเฮยที่คล้ายกับจะชื่นชมสิ่งสวยงามเป็นทุนเดิมอยู่เเล้ว เมื่ออีกฝ่ายได้ยินคำร้องขอจากสตรีเพียงหนึ่งเดียวในที่นี้ อีกทั้งยังมีความงดงามไม่ต่างจากไป๋เหลียนฮวาผู้เป็นศิษย์พี่ในตำหนักของเจ้านายตน
ดังนั้นสิ่งที่ทุกคนเห็นตอนนี้คือต้าเฮยได้ย้ายตัวเองไปอยู่บนไหล่ของอีกฝ่ายพร้อมกับเอาหัวเล็กนั่นถูไถไปกับแก้มของจางลี่เบา ๆ หลายครั้งที่เรียกทั้งสายตาอิจฉาไปไม่น้อยจากบรรดาเด็กหนุ่มที่เจ้าตัวน้อยสามารถใกล้ชิดศิษย์พี่จางลี่ได้ถึงขนาดนี้ ต้าเฮยยังได้เวียนเข้าไปทำความรู้จักคุ้นเคยกับบรรดาศิษย์พี่กับสหายของหนิงอ้ายทุกคนอย่างเท่าเทียม โดยไม่เข้าไปเฉียดใกล้ตงหยางแม้เเต่เพียงนิดเดียว
เห็นว่าสมควรแก่เวลาที่ต้องเเยกย้ายกลับเรือนพักในตำหนักของเเต่ละคนเสียที ไม่ลืมเน้นย้ำเรื่องนัดหมายในอีกสามวันข้างหน้าสำหรับงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของอี้หลิน เช่นเดิมว่าทางฝั่งของศิษย์พี่ซุนหรานก็ได้พาเด็กหนุ่มทั้งสี่คนได้แก่จินหั่ว อี้หลิน หลี่ซวงกับจ้าวหลานเเยกตัวไปทางตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้ในทันที ทางฝั่งของศิษย์พี่โม่โฉวเองก็เดินนำลู่ซีกับ อู๋ฮั่นเเยกไปทางตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกล
ตอนนี้เหลือเพียงหนิงอ้าย ศิษย์พี่จางลี่กับศิษย์พี่ตงหยางเพียงเท่านั้น หากไม่นับรวมต้าเฮยที่ตอนนี้ก็ได้กลับไปอยู่ในอกเสื้อของเด็กหนุ่มที่เป็นที่ประจำเเล้ว ด้วยเวลายามซวีแล้วหากจางลี่ที่เป็นสตรีหากต้องไปส่งเด็กหนุ่มนั้นคงไม่ใช่เรื่องที่สมควรนัก ดังนั้นนางจึงฝากฝั่งให้สหายของตนอย่างตงหยางไปส่งศิษย์น้องหนิงอ้ายถึงหน้าตำหนกเสียเเล้วกัน ก่อนร่ำลากับหนิงอ้ายกับต้าเฮยเล็กน้อยก่อนที่จะเดินเเยกตัวไปยังตำหนักศาสตราวุธ
หนิงอ้ายที่กำลังจะบอกกับชายหนุ่มตรงหน้าว่าไม่ต้องไปส่งตนก็ได้ เเต่ก่อนที่จะได้เอ่ยสิ่งใดไปนั้นก็ได้ยินเสียงหนึ่งที่คุ้นเคยดังขึ้นจากด้านหลังของตน
"ศิษย์น้องหนิงอ้ายก็กำลังจะกลับตำหนักอย่างนั้นรึ เจ้ากลับไปพร้อมกันกับศิษย์พี่เถอะ...." โจวเซินที่เมื่อกล่าวจบก็มาถึงตรงหน้าของทั้งสองคนพอดี
"ไม่รบกวนเจ้า อย่างไรข้าจะไปส่งศิษย์น้องหนิงอ้ายเอง...." ตงหยางตอบกลับอีกฝ่ายไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่ปรากฎคลื่นอารมณ์ใด
"ควรเป็นพวกข้าที่ต้องเอ่ยคำนี้เสียมากกว่า ว่าที่เจ้าสำนักคนต่อไปเช่นเจ้าคงมีธุระอีกมากเป็นแน่ พวกเราไปกันเถอะศิษย์น้องหนิงอ้าย เจ้าออกมาทั้งวันแล้วท่านอาจารย์คงเป็นห่วงเจ้าอยู่ไม่น้อย...." เมื่อได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยขึ้นเช่นนั้นหนิงอ้ายก็พยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดนี้ พร้อมกับเดินแยกออกไปในทันที
ทิ้งให้ชายหนุ่มทั้งสองมองหน้ากันอย่างไม่ละสายตา ก่อนที่โจวเซินจะยิ้มมุมปากเล็กน้อย พร้อมกับชนไหล่ของตงหยางเบา ๆ อย่างไม่สนใจ พร้อมกับเร่งฝีเท้าของตนให้เดินตามทันร่างบางที่อยู่ห่างไปไม่ไกลเท่าไหร่นัก...
หลังจากที่เขาได้เเยกย้ายกับเหล่าสหายของตนที่อยู่คนละตำหนัก ศิษย์พี่จางลี่ได้ฝากฝังให้ศิษย์พี่ตงหยางเดินไปส่งตนที่หน้าตำหนักเหมือนครั้งเเรกที่ได้เจอกันตรงที่ตลาด ทว่าศิษย์พี่ใหญ่โจวเซินได้ผ่านมาทางนั้นพอดีจึงอาสาเดินกลับตำหนักไปพร้อมกับตน ถึงหนิงอ้ายจะสามารถเเยกแยะได้ว่าชายหนุ่มผู้เป็นศิษย์พี่นั้นเพียงเเค่มีใบหน้าเหมือนกับเเทนไทและไม่ใช่คนเดียวกันอย่างแน่นอนหนิงอ้ายกลับมีความรู้สึกบางอย่างที่ว่าไม่ควรอยู่ใกล้กับคนนี้จะเป็นการดีที่สุด อาจจะดูเสียมารยาทไปบ้างกับศิษย์พี่โจวเซินผู้เป็นถึงศิษย์พี่ใหญ่ในตำหนักของตนก็จริง ทว่าหนิงอ้ายยังมีความรู้สึกบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ สายตาที่อีกฝ่ายมองมาชวนให้เขารู้สึกอึดอัดใจไปไม่น้อยเช่นกัน เพื่อหลีกหนีความวุ่นวายจากชายหนุ่มทั้งสองคนหนิงอ้ายจึงเลือกที่จะเดินกลับตำหนักของตนในทันทีอย่างไม่รั้งรอโดยที่ไม่ต้องให้ผู้ใดต้องมาคอยรับส่งตนทั้งสิ้นวิหคสอดแนมของหนิงอ้ายก็ได้ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม หนิงอ้ายได้รับรู้ทุกสิ่งที่ศิษย์พี่ท่านนี้ทำเป็นประจำทุกวัน ถึงแม้ว่าในตอนนี้จะยังไม่เจอความผิดปกติก็จริง เเต่ถึงอย่างไรหนิงอ้ายยังคงสั่งให้วิหคสอดแน
โอสถห้ามเลือดเป็นโอสถเเรกที่หนิงอ้ายได้ปรุงออกมาได้สำเร็จ การหลอมสร้างปรุงโอสถระดับสองวันนี้เหวินหวู่จึงให้เด็กหนุ่มได้เริ่มจากโอสถนี้อีกครั้ง สำหรับสูตรโอสถห้ามเลือดระดับสองนี้ที่ได้รับมาจากอาจารย์ของตนหนิงอ้ายเห็นว่านอกจากจะมีสมุนไพรตั้งต้นจากสูตรโอสถระดับหนึ่ง นอกจากนี้ยังได้มีการเพิ่มสมุนไพรขึ้นมาอีกหลายชนิดเช่นกันที่ล้วนเเต่มีฤทธิ์ส่งเสริมสมุนไพรก่อนหน้าทั้งสิ้น เมื่อเด็กหนุ่มได้จัดเตรียมสมุนไพรครบถ้วนตามสูตรโอสถในมือของตนแล้วจึงไม่รอช้าที่จะลงมือในทันทีหนิงอายตั้งสมาธิให้มั่นคงพร้อมกับเรียกญาณสัมผัสของตนออกมาคลอบคลุมไปทั้งทั้งเตาโอสถตรงหน้านี้ มือเรียวบางได้ตวัดเอาสมุนไพรตามสูตรโอสถลงไปในเตาหลอมก่อนที่จะเรียกวิญญาณยุทธ์ธาตุไฟของตนออกมาอย่างระมัดระวัง ความล้ำค่าของสมุนไพรตามสูตรโอสถระดับสองนี้ที่บางชนิดก็มีอายุถึงร้อยปี ดังนั้นการหลอมสร้างปรุงโอสถในครั้งนี้หนิงอ้ายจึงระวังตั้งใจเป็นอย่างมากเพราะต้องการใช้สมุนไพรเหล่านี้ให้คุ้มค่ามากที่สุดปราณธาตุไฟที่เกิดจากวิญญาณยุทธ์ของหนิงอ้ายได้ล้อมรอบเตาโอสถซึ่งเด็กหนุ่มพยายามบังคับเปลวเพลิงนี้ให้มีความสมดุลไม่เบาไม่หนักจนเกินไปเพื่อที่จะไ
วิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟที่ถูกปลดปล่อยออกมายามที่หนิงอ้ายฝึกฝนวิชายุทธได้แฝงไปด้วยความร้อนและความเเข็งแกร่งเป็นอย่างมาก บทเวทย์ต่าง ๆ ที่หนิงอ้ายถือครองอยู่นั้นเรียกได้ว่าอาณุภาพของบทเวทย์ดังกล่าวไปทบทวีคูณมากเพิ่มขึ้นหลายเท่าพื้นที่ส่วนด้านหลังเรือนพักได้แปรเปลี่ยนเป็นลานฝึกขนาดย่อม ด้วยเพราะหนิงอ้ายได้ร่ายเวทย์ป้องกันที่เสริมความเเข็งแกร่งไปอีกหลายชั้น เสียงระเบิดดังต่อเนื่องที่เกิดจากฝึกฝนเคล็ดวิชาจึงไม่อาจหลุดลอดออกไปสร้างความรำคานแก่ศิษย์พี่ท่านอื่นที่อยู่ไปไม่ไกลจากเรือนพักหนิงอ้ายมุ่งเน้นในการใช้วิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟของตนเป็นหลัก เพราะถึงอย่างไรเเล้วการเรียกใช้วิญญาณยุทธ์เเต่ละปราณธาตุนั้นล้วนต่างเหมือนกันทั้งสิ้น เพียงต้องอาศัยประสบการณ์ความคุ้นชินเสียมากกว่า แม้ว่าจะใช้ปราณธาตุน้ำตามเคล็ดวิชาคัมภีร์เบญจธาตุได้เเล้วก็จริง เเต่ถึงอย่างไรหนิงอ้ายยังต้องคอยฝึกฝนอยู่เสมอเพื่อให้เกิดความเชี่ยวชาญคุ้นชินมากกว่านี้สำหรับปราณธาตุต่อไปตามคัมภีร์เบญจธาตุที่หนิงอ้ายต้องศึกษา หลังจากปราณธาตุน้ำนั่นก็คือปราณธาตุลม เรียกได้ว่าเป็นปราณธาตุที่เป็นอิสระอย่างยิ่ง สามารถเคลื่อนไหวกระจายไปทั่วสาร
จุดบริเวณดังกล่าวเป็นแนวต้นไม้สูงใหญ่ที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับป่าโบราณที่มีอายุหลายร้อยหลายพันปี กลิ่นอายของสมุนไพรระดับสูงรวมไปถึงลมปราณฟ้าดินบริสุทธิ์ไหลเวียนอย่างเข้มข้น เห็นได้ชัดว่าโดยรอบนี้มีความอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมากมากไปกว่านั้นยังให้ความรู้สึกราวกับว่าตกอยู่ในสายตาดุร้ายไม่ประสงค์ดีที่มองมาจากทั่วทั้งสารทิศ หนิงอ้ายไม่รอช้ารีบสั่งการให้วิหคสอดแนมของตนออกมาอย่างไม่จำกัดในรัศมีพื้นที่โดยรอบ สำหรับเนตรเเห่งสวรรค์ในตอนนี้ที่หนิงอ้ายเป็นผู้ฝึกตนระดับเทวะวิญญาณขั้นต้นได้ส่งผลให้อาณุภาพยิ่งเหนือชั้นมากขึ้นดวงตาเรียวงามสีดำในรูปลักษณ์ปลอมเเปลงนี้แปรเปลี่ยนเป็นสีทองอร่ามไปชั่วครู่ก่อนที่จะกลับมาเป็นเป็นปกติ ญาณสัมผัสได้ถูกขีดเค้นออกมาถึงขีดสุดจนสามารถรับรู้ในในระยะสองลี้อย่างชัดเจน หนิงอ้ายสัมผัสได้ถึงสัตว์อสูรที่อยู่รายล้อมชวนให้น่าหวั่นเกรงอยู่ไม่น้อยสำหรับคนธรรมดาหรือผู้ฝึกตนทั่วไปเเต่ด้วยเพราะเหวินหวู่ที่เป็นผู้ฝึกตนระดับราชันวิญญาณขั้นสูง ที่อีกเพียงครึ่งก้าวก็จะบรรลุถึงระดับเทพยุทธ์วิญญาณเเล้วย่อมส่งผลให้อสูรร้ายต่าง ๆ เหล่านี้ไม่กล้าก้าวล้ำเข้ามาในบริเวณเพราะสัมผัสได้ถึงการ
หลังจากที่จัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นเรียบร้อยเเล้ว เหวินหวู่ได้พาหนิงอ้ายมายังที่หนึ่งซึ่งอยู่ห่างไปจากหมู่บ้านไร้นามเเห่งนี้ไปไม่ไกลสักเท่าไหร่นัก ตรงหน้าของเด็กหนุ่มเป็นถ้ำขนาดใหญ่ที่ภายในเต็มไปด้วยสมุนไพรที่ให้ความรู้สึกเหมือนสวนสมุนไพรข้างเรือนของอาจารย์กลิ่นอายของลมปราณฟ้าดินที่ไหลเวียนอยู่โดยรอบเข้มข้นมีความบริสุทธิ์อยู่ไม่น้อย ฟังว่าถ้ำนี้เปรียบได้กับที่พักชั่วคราวในยามที่ท่านอาจารย์ผ่านทางมายังหมู่บ้านนี้ สมุนไพรโดยรอบที่เห็นเป็นระเบียนก็เป็นฝีมือของชายชราเช่นกันที่เลือกสรรนำมาปลูกไว้ในบริเวณถ้ำดั่งกล่าวนี้นั่นเอง"เจ้าจะพักผ่อนก่อนหรือไม่?" ชายชราถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง เพราะก่อนหน้านี้อีกฝ่ายคงเสียพลังวิญญาณไปอย่างมากจากการสังหารอสูรจักรพรรดิแมงมุมรัตติกาลเหมันต์เมื่อครู่ ในความคิดของผู้ที่มีอายุมากกว่าเห็นควรว่าเด็กหนุ่มควรจะพักเสียหน่อยจะเป็นการดีที่สุด"ข้ายังไหวอยู่ขอรับท่านอาจารย์อย่างไรข้าฝากท่านด้วยนะขอรับ..." หนิงอ้ายตอบกลับไปเพื่อให้อาจารย์สบายใจ อีกทั้งยังรบกวนอีกฝ่ายไปอีกด้วยการดูดซับกระดูกวิญญาณในเเต่ละครั้งหากว่าเกิดเหตุการ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น ผู้ฝึกตนที่กำลังอยู่ใน
โดยปกติทั่วไปนักปรุงโอสถฝึกหัดจะมีอายุตั้งเเต่สิบปีถึงยี่สิบห้าปีโดยเสียส่วนใหญ่ ขึ้นอยู่กับระดับพลังวิญญาณรวมไปถึงความเเข็งแกร่งของวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟต้นกำเนิดและจะต้องมีจิตวิญญาณของนักปรุงโอสถที่มากพอจึงจะสามารถเข้าสู่เส้นทางนี้ได้นักปรุงโอสถคนหนึ่งจะต้องประกอบไปด้วยทั้งสามสิ่งนี้ไปในทิศทางเดียวกัน หากไม่เป็นไปดังนี้เเล้วย่อมถือว่านักปรุงโอสถฝึกหัดผู้นั้นขาดคุณสมบัติที่จะเลื่อนระดับเป็นนักปรุงโอสถระดับหนึ่ง คงเป็นได้เพียงนักปรุงโอสถฝึกหัดต่อไปจนกว่าจะมีคุณสมบัติที่เพียบพร้อมในทั้งสามด้านนี้จึงจะสามารถเข้าร่วมสอบเลื่อนระดับเป็นนักปรุงโอสถระดับหนึ่งได้นั่นเองดังนั้นการที่เหวินหวู่ได้บอกแก่สหายของตนถึงเหตุผลในการเดินทางมายังสมาคมสมาพันธ์นักปรุงโอสถในครั้งนี้ ว่าต้องการพาศิษย์คนล่าสุดมาสอบเลื่อนระดับจึงสร้างความตกใจแก่จ้าวเสวี่ยถังเป็นอย่างมาก ก่อนหน้าหลายปีที่ผ่านมาอีกฝ่ายได้เคยพาศิษย์ลำดับหกที่มีอายุเพียงสิบแปดสิบเก้าปีเท่านั้นมาสอบเลื่อนระดับเป็นนักปรุงโอสถระดับหนึ่ง ก็นับว่าในตอนได้สร้างความตกตะลึงแก่ผู้คนในเมืองนี้รวมไปถึงสร้างชื่อเสียงเป็นที่ร่ำลือไปทั่วที่อีกฝ่ายสามารถบ่มเพาะ
ครึ่งชั่วยามผ่านไปอย่างเชื่องช้าในความรู้สึกของผู้ที่รับชมการสอบเลื่อนระดับของนักปรุงโอสถฝึกหัดในครั้งนี้ ทว่ารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ที่กำลังหลอมสร้างปรุงโอสถด้วยความกดดันต่างรู้สึกว่าเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วในความรู้สึกเป็นอย่างมากเสียงระเบิดปะทุดังขึ้นจากมุมต่าง ๆ ของสนามสอบที่เกิดจากการหลอมสมุนไพรที่ผิดพลาดในการคำนวณเวลา หรือการแตกหักของเตาหลอมโอสถที่เกิดจากการใช้ความร้อนแรงของเปลวเพลิงที่มากจนเกินไปจำนวนสมุนไพรที่ได้รับในทดสอบนี้ทุกคนต่างได้รับอย่างเท่าเทียมกันเพียงสองชุด จึงต้องมีความระมัดระวังเเต่ละขั้นตอนเป็นอย่างมาก เเต่กับบางคนอาจจะด้วยความคุ้นชินหรือเพราะได้รับสูตรโอสถที่ง่ายดายจึงทำให้ด้วยเวลาที่ผ่านไปเพียงครึ่งของการทดสอบพวกเขาเหล่านี้ต่างอยู่ในขั้นตอนขึ้นรูปโอสถเม็ดกันเเล้วทั้งสิ้น โอสถเหลวในเตาหลอมได้ส่งกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของโอสถระดับหนึ่งต่าง ๆ ลอยฟุ้งไปทั่วบริเวณนี้เเต่ใช่ว่าการขึ้นรูปเม็ดโอสถจะง่ายดายตามที่สายตาของคนทั่วไปมองเห็น หากเป็นเช่นนั้นจริงขอเพียงมีวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟก็สามารถหลอมสร้างปรุงโอสถกันได้ทั้งสิ้น เเต่ละขั้นตอนของการหลอมสร้างปรุงโอสถต้อง
หลังจากการสอบเลื่อนระดับนักปรุงโอสถระดับหนึ่งได้จบลง หนิงอ้ายตั้งใจว่าจะสอบเลื่อนขั้นเป็นนักปรุงโอสถระดับสองรอบช่วงบ่ายในทันที ทางฝั่งของเหวินหวู่ผู้เป็นอาจารย์นอกจากที่จะไม่ห้ามปรามเเล้วยังส่งเสริมด้วยการมอบสูตรโอสถระดับสองให้กับเด็กหนุ่มอีกด้วยการสอบเลื่อนระดับของนักปรุงโอสถระดับสองเป็นต้นไป ผู้ที่เข้าร่วมการทดสอบจะต้องทำการปรุงโอสถระดับสองชนิดใดก็ได้ออกมาหนึ่งชนิด เงื่อนไขคือสมุนไพรที่ต้องใช้ในสูตรโอสถจะต้องจัดเตรียมมาด้วยตนเอง อีกทั้งความบริสุทธิ์ของเม็ดโอสถที่ปรุงออกมาจะต้องมีความบริสุทธิ์อยู่ที่เจ็ดส่วนเป็นต้นไปจึงจะผ่านการทดสอบเป็นนักปรุงโอสถระดับสองได้สำหรับสูตรโอสถระดับสองที่หนิงอ้ายได้รับมาจากเหวินหวู่มีนามว่าโอสถฤทัยอัคคีพิสุทธิ์ระดับสอง เป็นหนึ่งในสูตรโอสถที่ถูกบันทึกไว้และสร้างชื่อเสียงของเหวินหวู่ในฐานะของปรมจารย์โอสถระดับสูงแห่งทวีปบูรพาเเห่งนี้ แม้จะเป็นเพียงโอสถระดับสองก็จริงเเต่หากเทียบกันเเล้วไม่ต่างไปจากโอสถระดับสามขั้นต้นเสียด้วยซ้ำ เป็นโอสถที่สามารถช่วยเพิ่มให้ความเข้มข้นในวิญญาณยุทธ์ธาตุไฟมีความเข้มข้นบริสุทธิ์เพิ่มมากขึ้นพึงทราบว่านักปรุงโอสถฝึกหัด แม้จะมีคว
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต
มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล
ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย