ครึ่งชั่วยามผ่านไปอย่างเชื่องช้าในความรู้สึกของผู้ที่รับชมการสอบเลื่อนระดับของนักปรุงโอสถฝึกหัดในครั้งนี้ ทว่ารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ที่กำลังหลอมสร้างปรุงโอสถด้วยความกดดันต่างรู้สึกว่าเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วในความรู้สึกเป็นอย่างมาก
เสียงระเบิดปะทุดังขึ้นจากมุมต่าง ๆ ของสนามสอบที่เกิดจากการหลอมสมุนไพรที่ผิดพลาดในการคำนวณเวลา หรือการแตกหักของเตาหลอมโอสถที่เกิดจากการใช้ความร้อนแรงของเปลวเพลิงที่มากจนเกินไป
จำนวนสมุนไพรที่ได้รับในทดสอบนี้ทุกคนต่างได้รับอย่างเท่าเทียมกันเพียงสองชุด จึงต้องมีความระมัดระวังเเต่ละขั้นตอนเป็นอย่างมาก เเต่กับบางคนอาจจะด้วยความคุ้นชินหรือเพราะได้รับสูตรโอสถที่ง่ายดายจึงทำให้ด้วยเวลาที่ผ่านไปเพียงครึ่งของการทดสอบพวกเขาเหล่านี้ต่างอยู่ในขั้นตอนขึ้นรูปโอสถเม็ดกันเเล้วทั้งสิ้น โอสถเหลวในเตาหลอมได้ส่งกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของโอสถระดับหนึ่งต่าง ๆ ลอยฟุ้งไปทั่วบริเวณนี้
เเต่ใช่ว่าการขึ้นรูปเม็ดโอสถจะง่ายดายตามที่สายตาของคนทั่วไปมองเห็น หากเป็นเช่นนั้นจริงขอเพียงมีวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟก็สามารถหลอมสร้างปรุงโอสถกันได้ทั้งสิ้น เเต่ละขั้นตอนของการหลอมสร้างปรุงโอสถต้องประกอบไปด้วยญาณสัมผัสอันละเอียดอ่อนรวมไปถึงความสมดุลในการควบคุมเปลวเพลิงในขณะหลอมสร้างหรือขึ้นรูปโอสถ
สิ่งต่างๆ เหล่านี้จึงเป็นสิ่งสำคัญหรือเป็นคุณสมบัติที่นักปรุงโอสถฝึกหัดทุกคนควรมีเพราะไม่เช่นนั้นแล้วคงไม่สามารถเลื่อนขั้นเป็นนักปรุงโอสถระดับหนึ่งหรือราชทินนามปัญญาจารย์โอสถได้นั่นเอง...
ทางฝั่งของเหวินหวู่ที่เพียงเเค่เห็นบรรดาสมุนไพรต่าง ๆ ของหนิงอ้ายที่อีกฝ่ายได้รับมาในการสอบเลื่อนระดับในครั้งเเรกนี้ ชายชราก็รับรู้ได้ทันทีว่านี่คือสมุนไพรตามสูตรโอสถอนันตวิถีระดับหนึ่งที่กล่าวได้ว่าโอสถนี้ไม่ต่างไปจากโอสถระดับสองเสียด้วยซ้ำ ด้วยเพราะสมุนไพรตามสูตรส่วนใหญ่มีฤทธิ์ต่อต้านเปลวเพลิงเป็นอย่างมาก cม้ว่าก่อนหน้าเด็กหนุ่มจะเคยปรุงโอสถระดับสองมาบ้างก็จริงเเต่นั่นก็เป็นเพียงโอสถพื้นฐานทั่วไปเพียงเท่านั้น
เขาที่เป็นอาจารย์จะกังวลใจมากเเค่ไหน ถึงอย่างไรทุกขั้นตอนในการหลอมสร้างปรุงโอสถของหนิงอ้ายก็ถือว่าได้ทำตามขั้นตอนตามหลักการอย่างถูกต้องตามที่ควรจะเป็นทั้งสิ้น แม้ว่าอีกฝ่ายอาจจะไม่โชคดีสักเท่าไหร่นักที่ได้สูตรโอสถที่ยากเช่นนี้เเต่หากหนิงอ้ายสามารถปรุงโอสถอนันตวิถีระดับหนึ่งออกมาได้สำเร็จนี่จะเป็นสิ่งที่การันตรีได้ถึงความสามารถและพรสวรรค์ของเด็กหนุ่มเช่นกัน
"ศิษย์ของเจ้าได้สูตรโอสถอนันตวิถีระดับหนึ่ง นับได้ว่ายากที่สุดในบรรดาสูตรโอสถของการทดสอบครั้งนี้ มีไม่ถึงสิบคนเท่านั้นที่ได้รับสูตรโอสถนี้ไปและเกือบครึ่งหนึ่งในจำนวนนี้ก็ได้ออกการทดสอบไปเเล้ว ข้าหวังว่าเขาจะหลอมสร้างปรุงโอสถนี้ออกมาได้สำเร็จ..." จ้าวเสวี่ยถังเอ่ยขึ้นกับเหวินหวู่ที่นั่งอยู่ข้าง สูตรโอสถที่ศิษย์ของอีกฝ่ายได้รับในการทดสอบนี้กล่าวได้ว่าค่อนข้างท้าทายความสามารถของนักปรุงโอสถฝึกหัดเช่นเด็กหนุ่มและคนอื่นอยู่ไม่น้อย
"ถึงแม้ว่าสูตรโอสถนี้จะเหนือความคาดหมายไปบ้างเเต่ข้าเชื่อว่าเขาทำได้อย่างแน่นอน..." เหวินหวู่ตอบกลับสหายของตนไปก่อนที่จะให้ความสนใจกลับไปที่เด็กหนุ่มอีกครั้ง
"ดูเหมือนว่านักปรุงโอสถฝึกหัดจะสามารถเลื่อนระดับขึ้นเป็นนักปรุงโอสถระดับหนึ่งในมากกว่าทุกครั้ง อีกไม่นานโอสถในเตาหลอมเหล่านี้ก็จะสามารถขึ้นรูปเป็นเม็ดโอสถได้เเล้ว..." ชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้น จากป้ายหยกข้างเอวทำให้รับรู้ว่าตัวคนเป็นนักปรุงโอสถระดับสี่คนหนึ่งเลยทีเดียว
"นับว่าเป็นเรื่องที่ดีเจ้าว่าหรือไม่?? เหล่านักปรุงโอสถฝึกหัดเหล่านี้หากสามารถสอบเลื่อนระดับเป็นนักปรุงโอสถระดับหนึ่งได้ ย่อมสามารถเป็นกำลังให้กับพวกเราเป็นอย่างมากในวันข้างหน้า ว่าไปแล้วเห็นพวกเขาเหล่านี้ทำให้นึกถึงตัวเองในยามนั้นยิ่งนัก..." หญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่ข้างกันเอ่ยเสริมขึ้น ด้วยเพราะทุกคนที่ในนี้ที่ต่างล้วนเป็นนักปรุงโอสถทั้งสิ้นพวกเขาจึงต่างพูดคุยเเลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างคึกคัก
"เด็กหนุ่มนั่นสวมชุดของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษา คงเป็นศิษย์คนล่าสุดของปรมจารย์โอสถเหวินหวู่เป็นแน่ ทว่าโอสถที่เขาได้รับกลับเป็นสูตรโอสถอนันตวิถีระดับหนึ่งที่กล่าวว่าไม่ต่างไปจากโอสถระดับสองก็ไม่เกินจริงไปนัก ไม่รู้ว่าเขาจะสามารถหลอมสร้างปรุงโอสถนี้ออกมาได้สำเร็จหรือไม่??" ชายวัยกลางคนอีกคนเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบา พร้อมกับมองไปทางฝั่งของเหวินหวู่ที่นั่งห่างออกไปไม่ไกลนัก ด้วยสีหน้านิ่งสงบที่ไม่สามารถคาดเดาสิ่งใดได้
"เด็กนั่นมีนามว่าหนิงอ้าย นอกจากจะได้รับเลือกเป็นศิษย์ในตำหนักเเล้วยังได้รับเป็นฐานะศิษย์ผู้สืบทอดอีกด้วย ไม่รู้ว่าท่านปรมจารย์โอสถเหวินหวู่คิดสิ่งใดอยู่กันทั้ง ๆ ที่ในตำหนักศาสตร์แห่งการรักษานั้นกล่าวได้ว่าเต็มไปด้วยศิษย์ชายหญิงที่มากไปด้วยความสามารถอย่างเเท้จริง ตำแหน่งศิษย์ผู้สืบทอดนี้ในคราเเรกข้าคิดว่าจะตกเป็นของโจวเซินศิษย์ลำดับหนึ่งของตำหนักเสียด้วยซ้ำ..."
"ผู้ใดกันจะสามารถคาดเดาความคิดของท่านปรมจารย์โอสถเหวินหวู่ได้ เเต่ข้าเชื่อท่านนั้นต้องเห็นความพิเศษบางอย่างในตัวของเด็กหนุ่มเป็นแน่ เจ้าดูนั่น!!!"
ปัง!
ตู้ม!
เสียงระเบิดปะทุดังขึ้นได้เรียกความสนใจจากทุกคนโดยรอบ เมื่อพินิจดูก็พบว่าต้นเสียงดังกล่าวมาจากทิศทางหนึ่งที่เป็นที่นั่งของเด็กหนุ่มที่มีนามว่าหนิงอ้ายผู้เป็นศิษย์ของปรมจารย์โอสถเหวินหวู่
เสียงพูดคุยพร้อมกับเสียงหัวเราะให้ได้ยินตามมาชวนให้คิดไปได้ในทิศทางเดียวกันว่าเด็กหนุ่มคงพลาดในการปรุงโอสถครั้งนี้เสียเเล้ว หากต้องหลอมสมุนไพรใหม่อีกครั้งเวลาคงไม่พอเป็นแน่ คิดเช่นนี้ได้พวกเขาเหล่านี้จึงรู้สึกสะใจเป็นอย่างมากที่จะได้เห็นความอับทายของเด็กหนุ่ม เเต่ทว่าเมื่อหมอกควันตรงจุดนั่นได้สลายหายไปทุกคนต่างตกตะลึงกันทั้งสิ้น
โอสถอนันตวิถีระดับหนึ่งที่คาดว่าเด็กหนุ่มน่าจะทำผิดพลาดจนเกิดการระเบิดไปไม่ครู่ กลับกลายเป็นว่าในตอนนี้โอสถเหลวได้ลอยอยู่ตรงหน้าของอีกฝ่ายที่ดูเเล้วมีความบริสุทธิ์ยิ่งพร้อมกับกลิ่นหอมของโอสถที่ได้ลอยฟุ้งไปทั่ว อีกทั้งวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟของเด็กหนุ่มที่ถูกเรียกออกมาในตอนนี้ปรากฎเป็นรูปลักษณ์ของปักษาเพลิงที่มีความร้อนเเรงกว่าเดิมหลายเท่า
มือเรียวบางทั้งสองข้างตวัดขึ้นเป็นท่วงท่าพิศดารที่ดูไปเเล้วคล้ายคลึงกับเหวินหวู่ผู้เป็นอาจารย์ไปเสียหลายส่วน นี่จึงทำให้ทุกคนในที่นี้ต่างรับรู้ได้ว่าหนิงอ้ายผู้นี้ได้รับความไว้วางใจเป็นอย่างมากจนถึงขั้นที่ปรมจารย์โอสถเหวินหวู่ถึงกับถ่ายทอดทักษะการหลอมสร้างปรุงโอสถเฉพาะของตนให้กับเด็กหนุ่มผู้นี้
ทางฝั่งของหนิงอ้ายด้วยญาณสัมผัสที่แผ่ออกมาอย่างเข้มข้นจึงทำให้รู้ได้ว่าโอสถของตนกำลังอยู่ในขั้นตอนสำคัญที่สุด นั่นคือขั้นตอนผนึกโอสถเหลวเป็นโอสถเม็ด เด็กหนุ่มลอบปาดเหงื่ออยู่ในใจด้วยเพราะโอสถชนิดนี้นับได้ว่ามีความยากกว่าโอสถระดับหนึ่งที่เขาเคยได้ปรุงมาก่อนหน้าหรืออาจเหนือกว่าโอสถระดับสองบางสูตรเสียด้วยซ้ำ
เมื่อครู่ที่เตาหลอมโอสถของเขาระเบิดยังดีที่เขาสามารถโอบอุ้มโอสถเหลวเหล่านั้นไว้ได้ทัน ก่อนที่จะเรียกวิญญาณยุทธ์ของตนออกมาให้ช่วยผนึกโอสถให้เป็นเม็ดในขั้นตอนสุดท้าย
เด็กหนุ่มยังคงเร่งญาณสัมผัสของตนออกมาอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้น แม้ว่าอาจจะสิ้นเปลืองพลังปราณมากเพียงใดก็ตามเเต่เด็กหนุ่มไม่หวั่นเกรงสิ่งใดทั้งสิ้น ปักษาเพลิงที่เกิดจากวิญญาณยุทธ์ของเขานั้นได้พ่นเปลวไฟที่เต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของชีวิตออกมา
จุดหมายนั่นคือโอสถเหลวที่ใกล้จะขึ้นรูปแล้ว มือขวาของเด็กหนุ่มได้ตวัดขึ้นอีกครั้งพร้อมกับใช้พลังลมปราณบีบอัดโอสถเหลวก่อนที่รูปลักษณ์ของโอสถเม็ดจะค่อย ๆ ปรากฎขึ้นท่ามกลางสายตาลุ้นระทึกของทุกคนในที่นี้ เม็ดโอสถสีเหลืองอำพันได้เปล่งประกายเงางามที่สามารถคาดเดาได้ว่าย่อมมีความบริสุทธิ์อย่างมาก เสียงถอนหายใจของหนิงอ้ายดังขึ้นพร้อมกับหลายคน เพราะต่างเห็นตรงกันว่าสูตรโอสถที่เด็กหนุ่มได้รับว่าถือได้ว่ามีความยากเป็นอย่างยิ่ง
นอกจากนั้นเเล้วบรรดานักปรุงโอสถฝึกหัดคนอื่นจำนวนเกือบครึ่งต่างได้หลอมสร้างปรุงโอสถตามสูตรที่ตนได้รับมาเป็นเม็ดโอสถ ต่างได้สูตรโอสถที่ไม่ได้มีความยุ่งยากซับซ้อนสักเท่าไหร่นัก เเต่ถึงอย่างไรก็ตามแม้จะปรุงโอสถออกมาได้สำเร็จก็จริงเเต่หากมีความบริสุทธิ์น้อยกว่าหกส่วนก็ถือว่ายังไม่ผ่านการทดสอบครั้งนี้
จังหวะเวลาที่ใกล้จะหมดเวลาในการสอบเลื่อนระดับ ยังคงเหลือรุ่นเยาว์ชายหญิงนักปรุงโอสถฝึกหัดเกือบสิบคน กลุ่มคนเหล่านี้ต่างมีผู้ที่ได้รับสูตรโอสถอนันตวิถีระดับหนึ่งเช่นกันกับหนิงอ้าย มีบางคนที่ได้ทำผิดพลาดไปแล้วก่อนหน้า ดังนั้นพวกเขาจึงเหลือโอกาสสุดท้ายนี้เพียงเท่านั้นที่จะชี้วัดได้ว่าจะผ่านการสอบเลื่อนระดับครั้งนี้หรือไม่...
เสียงสัญญาณได้ดังขึ้นในอีกหลายอึดใจต่อมา เป็นดั่งสัญญาณว่าการสอบเลื่อนระดับของนักปรุงโอสถฝึกหัดครั้งนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว ท่ามกลางความยินดีของบรรดาอาจารย์และศิษย์ที่เข้าร่วมในการทดสอบรวมไปถึงผู้ที่รับชมอยู่โดยรอบ แม้ว่าจะมีนักปรุงโอสถฝึกหัดที่ไม่ผ่านเช่นกันเเต่หากเทียบสัดส่วนไปแล้วถือได้ว่าการสอบเลื่อนระดับในครั้งนี้สามารถเก็บเกี่ยวนักปรุงโอสถระดับหนึ่งไปได้ไม่น้อย
เกือบครึ่งหนึ่งของผู้ที่ไม่ผ่านการทดสอบหากว่ามีการเพิ่มเวลาไปอีกเพียงนิดพวกเขาเหล่านี้ย่อมผ่านการทดสอบ หรือหากได้สูตรโอสถที่ง่ายหรือตรงตามที่ได้ฝึกฝนมานั้นก็คงผ่านการทดสอบไปได้เช่นกัน เเต่นั่นก็เป็นเรื่องของเวลาเท่านั้นการฝึกฝนตนด้วยการกำหนดเวลาในการหลอมสร้างปรุงโอสถจะช่วยให้พวกเรามีความคุ้นชินมากกว่านี้ การสอบเลื่อนระดับในปีถัดไปพวกเขาย่อมทำได้อย่างแน่นอน
ในมือของหนิงอ้ายถือขวดแก้วที่ภายในบรรจุโอสถอนันตวิถีระดับหนึ่งเอาไว้จำนวนทั้งสิ้นห้าเม็ด นับว่าเป็นจำนวนที่ควรเป็นไปตามสมุนไพรที่ได้รับมาในการสอบเลื่อนระดับครั้งนี้ ตรงด้านหน้าสนามการทดสอบที่มีจ้าวเสวี่ยถังที่เป็นหนึ่งในสามผู้นำสุงสุดของสมาคมสมาพันธ์นักปรุงโอสถแห่งนี้ เหวินหวู่ผู้เป็นอาจารย์ของหนิงอ้ายและยังมีผู้อาวุโสระดับสูงอีกสิบคนที่นั่งอยู่ลดหลั่นกันมาที่เป็นกรรมการในการสอบเลื่อนระดับครั้งนี้
รุ่นเยาว์ชายหญิงนักปรุงโอสถฝึกหัดที่สามารถหลอมสร้างปรุงโอสถได้เสร็จทันเวลาต่างยืนเรียงแถวเพื่อนำโอสถของตนตรวจสอบพร้อมกับรับป้ายหยกรับรองว่าพวกเขานั้นเป็นนักปรุงโอสถระดับหนึ่งอย่างเต็มภาคภูมิเเล้วนั่นเอง
แม้จะกล่าวว่ามีจำนวนไม่น้อยที่สามารถหลอมสร้างปรุงโอสถขึ้นมาได้ก็จริง เเต่ถึงอย่างไรตัวชี้วัดว่าจะผ่านการเลื่อนระดับหรือไม่นั่นคือความบริสุทธิ์ของเม็ดโอสถที่ได้ปรุงขึ้น เพราะว่าความบริสุทธิ์ของเม็ดโอสถ นอกจากจะขึ้นอยู่กับความเเข็งแกร่งของวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟประจำตัวเเล้ว
ความละเอียดอ่อนในการควบคุมสมดุลของเปลวเพลิงหรือแม้กระทั่งญาณสัมผัสที่ละเอียดอ่อนก็เป็นสิ่งที่ชี้วัดได้เช่นกัน ตามหลักเกณฑ์ในครั้งนี้นั่นคือนอกจากจะเป็นโอสถระดับหนึ่งตามสูตรที่ได้รับความบริสุทธิ์ของเม็ดโอสถจะต้องอยู่ที่หกส่วนขึ้นไปจึงจะถือว่าผ่านการทดสอบครั้งนี้
เพียงไม่กี่เค่อหลังจากนั้นก็เป็นหนิงอ้ายที่ต้องนำโอสถที่ตนได้ปรุงขึ้นมาให้กับกรรการเหล่านี้ตรวจสอบเสียที หนิงอ้ายได้หันมองไปยังที่นั่งตรงด้านหลังที่มีเหวินหวู่ผู้เป็นอาจารย์ของตนที่ส่งรอยยิ้มมาให้ เด็กหนุ่มเรียกความมั่นใจของตนกลับมาได้อีกครั้งก่อนที่จะส่งขวดแก้วที่บรรจุโอสถที่เขาได้ปรุงขึ้นพร้อมกับส่งให้กับผู้อาวุโสจ้าวเสวี่ยถังได้ตรวจสอบ ชายชรานั้นก็ได้ถือขึ้นมาพร้อมกับพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ก่อนที่จะส่งต่อให้กับกับกรรมการคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านหลังให้ได้ร่วมตัดสินใจไปด้วยกัน
"โอสถอนันตวิถีระดับหนึ่งเม็ดนี้พวกเราเหล่านักปรุงโอสถต่างรู้โดยทั่วกันว่าความล้ำค่ารวมไปขึ้นขั้นตอนการหลอมสร้างปรุงโอสถไม่ต่างไปจากโอสถระดับสองขั้นต่ำเสียด้วยซ้ำ ถือว่าเป็นสูตรโอสถที่ยากที่สุดในครั้งนี้เเต่เจ้ากลับมาสามารถปรุงออกมาตามขั้นตอนที่ถูกต้องและมีความบริสุทธิ์ถึงสิบส่วน สมเเล้วกับฐานะศิษย์ของปรมจารย์โอสถเหวินหวู่..." ผู้อาวุโสหนึ่งในสิบประจำสมาคมนั้นเอ่ยชมขึ้น
ด้วยไม่คาดคิดว่าเด็กหนุ่มที่มีอายุเพียงสิบห้าสิบหกปีเเต่กลับมีคุณสมบัติที่เพียบพร้อมไปด้วยฐานะของนักปรุงโอสถระดับหนึ่งอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ สมกับเป็นศิษย์ของท่านผู้นั้นเสียจริง
"ข้าไม่เคยเห็นโอสถอนันตวิถีระดับหนึ่งที่ถูกหลอมสร้างขึ้นจากนักปรุงโอสถฝึกหัดเเล้วมีความบริสุทธิ์ได้ถึงสิบส่วนเช่นนี้ พรสวรรค์ของเขานั้นช่างลึกล้ำยิ่งนัก..." หนึ่งในผู้อาวุโสที่เป็นกรรมการเช่นกันได้เอ่ยเสริมขึ้น
"เป็นเรื่องที่น่ายินดีกับสมาคมสมาพันธ์นักปรุงโอสถทวีปบูรพาเป็นอย่างยิ่ง นักปรุงโอสถระดับหนึ่งที่มีอายุเพียงสิบห้าสิบหกปีเช่นนี้กล่าวได้ว่าหาได้ยากในรอบหลายร้อยปีเสียด้วยซ้ำหลังจบการสอบเลื่อนระดับในครั้งนี้ย่อมสร้างชื่อเสียงกับสมาคมของพวกเรามากเป็นแน่..." ผู้อาวุโสคนเดิมเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ทุกคนต่างพยักหน้าเห็นด้วยกับถ้อยคำนี้และเมื่อได้ตรวจสอบคุณภาพโอสถที่อยู่ในขวดแก้วที่ได้รับมาจากเด็กหนุ่ม ต่างมีความคิดเห็นเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้งสิ้น...
"โอสถอนันตวิถีระดับหนึ่งนี้ที่เจ้าได้ปรุงขึ้นมานั้นถือได้ว่าผ่านเกณฑ์คุณสมบัติทั้งสามข้อดังนี้
หนึ่ง เม็ดโอสถมีสีเหลืองอำพันมีความแวววาวตามที่ควรจะเป็น
สอง จากกลิ่นหอมของโอสถได้เเสดงให้เห็นว่าทุกขั้นตอนได้ถูกปรุงขึ้นตามขั้นตอนที่ถูกต้องแม่นยำ
สาม โอสถเม็ดนี้ถือได้ว่ามีความบริสุทธิ์สูงสุดในการสอบเลื่อนระดับในครั้งนี้เพราะว่ามีความบริสุทธิ์ถึงสิบส่วน…"
"ด้วยคุณสมบัติของโอสถทั้งสามข้อนี้ เจ้าถือว่าเป็นนักปรุงโอสถระดับหนึ่ง ถือได้ว่าเป็นสมญานามปัญญาจารย์โอสถอายุน้อยที่เคยมีการจัดทดสอบขึ้นในรอบหลายร้อยหลายพันปี!!" เมื่อพิจารณาปรึกษากันเสร็จสิ้นแล้ว จึงเป็นจ้าวเสวี่ยถังที่เอ่ยขึ้นกับเด็กหนุ่มด้วยความยินดี พร้อมกับยื่นป้ายหยกเเสดงตัวตนของนักปรุงโอสถระดับหนึ่งให้กับอีกฝ่าย ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคนที่อยู่โดยรอบสนามสอบเเห่งนี้...
'เจ้าได้ยินเหมือนกันกับข้าหรือไม่? โอสถอนัตวิถีระดับหนึ่งที่เด็กคนนั้นปรุงขึ้นไม่ใช่เพียงถูกต้องตามขั้นตอน เเต่นี่ถึงกับมีความบริสุทธิ์ถึงสิบส่วนเสียด้วยซ้ำ!!'
'โอสถนี้ถือได้ว่าปรุงค่อนข้างยากเเต่ละขั้นตอนยังซับซ้อนอยู่ไม่น้อย ฟังว่านักปรุงโอสถระดับสองบางคนยังไม่สามารถปรุงออกมาได้สำเร็จหรือหากขึ้นรูปเป็นเม็ดโอสถได้ก็มีความบริสุทธิ์เพียงไม่กี่ส่วนเท่านั้น เเต่กับศิษย์ของปรมจารย์โอสถเหวินหวู่ถึงกับทำออกมาได้สมบูรณ์ยิ่ง...'
เหล่านักปรุงโอสถระดับต่าง ๆ รวมไปถึงผู้ที่รับชมอยู่โดยรอบต่างพูดคุยกันอย่างคึกคัก ทันทีที่ได้ยินว่าเด็กหนุ่มนามว่าหนิงอ้ายผู้เป็นศิษย์คนล่าสุดของปรมจารย์โอสถเหวินหวู่ ที่อีกฝ่ายเป็นผู้ที่ได้รับสูตรโอสถที่ยากที่สุดในการสอบเลื่อนระดับในครั้งนี้ขณะเดียวกันก็เป็นผู้ที่ทำผลงานได้ดีที่สุดเช่นกัน
เด็กหนุ่มคนนี้ถึงกับมากไปด้วยความสามารถและพรสวรรค์ในการหลอมสร้างปรุงโอสถอย่างเเท้จริง ด้วยการเป็นผู้ที่ทำผลงานได้ดีที่สุดสามารถปรุงโอสถที่มีความบริสุทธิ์ถึงสิบส่วนออกมาได้ นักปรุงโอสถระดับหนึ่งด้วยอายุที่ยังน้อยเช่นนี้ย่อมการันตรีได้ว่าวันข้างหน้าของเด็กหนุ่มผู้นี้นั้นย่อมไม่ธรรมดาสามัญอย่างแน่นอน
การสอบเลื่อนระดับของนักปรุงโอสถฝึกหัดได้จบลงท่ามกลางความชื่นชมยินดีจากหลากหลายฝ่าย ดูเหมือนว่าจะมีนักปรุงโอสถฝึกหัดจำนวนไม่น้อยที่ผ่านการสอบเลื่อนระดับในครั้งนี้ เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าการจะเป็นนักปรุงโอสถนั้นหาใช่ว่าอยากจะเป็นก็สามารถที่จะเป็นได้โดยง่ายดั่งใจนึก
ตัวตนของนักปรุงโอสถที่แม้จะเป็นเพียงระดับหนึ่งเเต่ถึงอย่างไรย่อมได้รับการยำเกรงอยู่ไม่น้อย ไม่นับรวมไปถึงนักปรุงโอสถระดับสูงที่ย่อมครอบครองโอสถล้ำค่าต่าง ๆ มากมายที่ไม่สามารถประเมินค่าได้ ดังนั้นเเล้วตัวตนของนักปรุงโอสถจึงถือได้ว่าอยู่เหนือกว่าผู้ฝึกตนทั่วไปอยู่หนึ่งขั้นอย่างเเท้จริง...
หลังจากการสอบเลื่อนระดับนักปรุงโอสถระดับหนึ่งได้จบลง หนิงอ้ายตั้งใจว่าจะสอบเลื่อนขั้นเป็นนักปรุงโอสถระดับสองรอบช่วงบ่ายในทันที ทางฝั่งของเหวินหวู่ผู้เป็นอาจารย์นอกจากที่จะไม่ห้ามปรามเเล้วยังส่งเสริมด้วยการมอบสูตรโอสถระดับสองให้กับเด็กหนุ่มอีกด้วยการสอบเลื่อนระดับของนักปรุงโอสถระดับสองเป็นต้นไป ผู้ที่เข้าร่วมการทดสอบจะต้องทำการปรุงโอสถระดับสองชนิดใดก็ได้ออกมาหนึ่งชนิด เงื่อนไขคือสมุนไพรที่ต้องใช้ในสูตรโอสถจะต้องจัดเตรียมมาด้วยตนเอง อีกทั้งความบริสุทธิ์ของเม็ดโอสถที่ปรุงออกมาจะต้องมีความบริสุทธิ์อยู่ที่เจ็ดส่วนเป็นต้นไปจึงจะผ่านการทดสอบเป็นนักปรุงโอสถระดับสองได้สำหรับสูตรโอสถระดับสองที่หนิงอ้ายได้รับมาจากเหวินหวู่มีนามว่าโอสถฤทัยอัคคีพิสุทธิ์ระดับสอง เป็นหนึ่งในสูตรโอสถที่ถูกบันทึกไว้และสร้างชื่อเสียงของเหวินหวู่ในฐานะของปรมจารย์โอสถระดับสูงแห่งทวีปบูรพาเเห่งนี้ แม้จะเป็นเพียงโอสถระดับสองก็จริงเเต่หากเทียบกันเเล้วไม่ต่างไปจากโอสถระดับสามขั้นต้นเสียด้วยซ้ำ เป็นโอสถที่สามารถช่วยเพิ่มให้ความเข้มข้นในวิญญาณยุทธ์ธาตุไฟมีความเข้มข้นบริสุทธิ์เพิ่มมากขึ้นพึงทราบว่านักปรุงโอสถฝึกหัด แม้จะมีคว
หลังจากที่หนิงอ้ายผ่านการสอบเลื่อนระดับเป็นนักปรุงโอสถระดับสองและได้ป้ายหยกประจำตัวเสร็จเรียบร้อยเเล้วท่ามกลางความตกตะลึงไปทั่วทั้งสนามสอบเเห่งนี้ เส้นทางของนักปรุงโอสถกว่าจะผ่านแต่ละระดับได้ย่อมมีหลายปัจจัยที่เข้ามาข้องเกี่ยวอยู่ไม่น้อย จะเห็นว่าแม้ในยุทธภพจะสามารถพบเห็นตัวตนของนักปรุงโอสถฝึกหัดหรือนักปรุงโอสถระดับหนึ่งได้ไม่ยากนักก็จริง เเต่ทว่าสำหรับนักปรุงโอสถระดับสองเป็นต้นไปนั้นกว่าที่จะบ่มเพาะออกมาได้เเต่ละคนนั้นย่อมใช้เวลาหลายปีเลยทีเดียวมีจำนวนไม่น้อยในกลุ่มผู้ที่ร่วมการสอบเลื่อนระดับในครั้งนี้ที่เคยสอบเลื่อนระดับเป็นนักปรุงโอสถระดับสองมาเเล้วหลายครั้ง บ้างก็ใช้เวลาหลายปีกว่าที่จะเข้าใจในเเต่ละขั้นตอนของการหลอมสร้างปรุงโอสถ อีกทั้งยังต้องอาศัยความร้อนแรงของเปลวเพลิงและความละเอียดอ่อนในญาณสัมผัสเป็นอย่างยิ่งแน่นอนว่าต่อให้พวกเขาเหล่านี้จะซุ่มฝึกซ้อมอย่างหนักหน่วงตลอดหลายปีที่ผ่านมาหรือก็ต่างมั่นใจเป็นอย่างมากว่าตนนั้นจะประสบความสำเร็จในการสอบเลื่อนระดับครั้งนี้ เเต่ถึงอย่างไรก็ตามระดับพลังวิญญาณก็เป็นตัวแปรที่สำคัญไม่แพ้กัน ด้วยเพราะว่าการจะเป็นนักปรุงโอสถระดับสองได้นั้นนอกจ
หนิงอ้ายเกือบลืมไปเเล้วว่าโลกยุทธภพนี้นอกจากจะเเบ่งการปกครองดูเเลเป็นเมืองน้อยใหญ่ที่อยู่ภายใต้การดูเเลของเเต่ละแคว้นในมหาทวีปทั้งหกแห่งนี้เเล้ว ประชากรส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้ฝึกตนชาวยุทธภพรวมไปถึงชาวบ้านธรรมดาที่ตั้งรกรากอาศัยกันมาอย่างยาวนานนับร้อยนับพันปี ซึ่งเป็นพื้นที่ราบลุ่มหรือพื้นที่ติดเเม่น้ำสายใหญ่เกือบทั้งหมดตามแนวเทือกเขาสูงหรือตามมหาพงไพรต่าง ๆ ล้วนเป็นถิ่นอาศัยของสัตว์ป่าหรือสัตว์อสูรกันทั้งสิ้น ได้เเบ่งเขตการปกครองไปไม่ต่างจากเมืองผู้ฝึกตนสักเท่าไหร่นัก อีกทั้งยังคงยึดตามหลักของธรรมชาติที่ว่าผู้ที่เเข็งแกร่งเท่านั้น จึงจะอยู่รอดถือได้ว่าเป็นการคัดสรรจากธรรมชาติอย่างเเท้จริงยังเชื่อกันว่าตรงพื้นที่สุดชายแดนทางใต้เป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าปีศาจอสูรชั้นต่ำ เหล่าหมู่มารระดับสูง ได้มีบันทึกเอาไว้ว่าในครั้งอดีตกาลตั้งเเต่ยุคเเรกเริ่ม ว่าในครั้งนั้นผู้ฝึกตนและเหล่ามารปีศาจต่างได้อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างผาสุกปรองดอง เเต่ด้วยสัญชาติญาณดั้งเดิมจึงหล่อหลอมให้เหล่ามารปีศาจได้เสพติดการฆ่าฟันเป็นอย่างมากแม้ว่าในช่วงเเรกจะเป็นเพียงการสังหารเหล่าสัตว์อสูรเพื่อนำมาเป็นอาหารหรือการต่อสู้แย่งชิ
สายตาของศิษย์สายในศิษย์สายนอกชายหญิงโดยรอบต่างพากันจ้องมองเด็กหนุ่ม เนื่องจากในตอนนี้ข่าวลือที่ว่าศิษย์คนล่าสุดของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาที่เพียงเข้าสำนักได้เพียงไม่กี่วันเเต่อีกฝ่ายกลับสามารถสอบเลื่อนระดับเป็นนักปรุงโอสถระดับสองได้สำเร็จครั้งเเรกข่าวคราวนี้ไม่ได้มีคนเชื่อเท่าไหร่นักเพราะถึงแม้พวกเขาจะยึดถือเส้นทางของผู้ฝึกตนเเต่ก็พอรับรู้อยู่บ้างว่าเส้นทางของนักปรุงโอสถนั้นหาได้ง่ายดาย และสำหรับที่ว่าอีกฝ่ายเป็นนักปรุงโอสถระดับสองก็คงเป็นเพียงเรื่องขบขันเท่านั้นทว่าการปรากฏตัวของเด็กหนุ่มร่างบางที่นอกจากจะมีป้ายหยกเเสดงเเทนฐานะศิษย์ผู้สืบทอดเเล้ว อีกป้ายหยกที่แขวนคู่กันก็ดึงดูดสายตาไปไม่แพ้กันที่เมื่อพบเห็นต่างหลุดอาการกันทั้งสิ้น พึงทราบว่าขอเพียงเเต่ก้าวเท้าเข้ามากลายเป็นผู้ฝึกตนได้สำเร็จ แม้จะเป็นเพียงระดับก่อเกิดเเต่ก็ทำให้ญาณสัมผัสทั้งห้าอยู่เหนือชั้นกว่าคนธรรมดาทั้งสิ้นดังนั้นแล้วจึงไม่ผิดแน่เด็กหนุ่มนามว่าหนิงอ้ายผู้นี้เป็นนักปรุงโอสถระดับสองอย่างเเท้จริง ด้วยเพราะมีป้ายหยกยืนยัน มีตราประทับของสมาคมสมาพันธ์นักปรุงโอสถเเห่งทวีปบูรพาอยู่นั่นเอง…ถึงอย่างไรก็ตามหนิงอ้ายกับลู่
เวลาได้หมุนเวียนเปลี่ยนผันไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้หนิงอ้ายถือได้ว่าเป็นศิษย์ของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ เป็นศิษย์ลำดับที่เจ็ดและศิษย์ผู้สืบทอดของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาครบสามเดือนเต็มเเล้ว เเต่ละวันหนิงอ้ายได้จัดสรรเเบ่งเวลาอย่างเป็นระเบียบเเบบแผนช่วงเช้าหลังจากที่ดูเเลสวนสมุนไพรที่ข้างเรือนเสร็จก็จะฝึกฝนเชิงยุทธ์รวมไปถึงเคล็ดวิชาตให้ความคล่องแคล่วมากยิ่งขึ้นโดยใช้เวลาไปจนถึงช่วงเย็น ยามกลางคืนนอกจากดูดซับหินปราณที่ได้รับมาก่อนหน้าและโคจรลมปราณตามเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาเเล้ว อีกฝ่ายได้นำโอสถระดับหนึ่ง โอสถระดับสองที่ได้ปรุงขึ้น เเลกเป็นสมุนไพรจากอาคารส่วนกลางของตำหนักเพื่อนำสมุนไพรเหล่านี้กลับมาหลอมเป็นโอสถตามสูตรต่าง ๆ รวมไปถึงเด็กหนุ่มได้ฝากผู้อาวุโสซุนให้นำโอสถไปขายที่เมืองหมอกทมิฬอีกด้วยนอกจากนั้นหนิงอ้ายยังคงศึกษาเรียนรู้ในเรื่องของสมุนไพรต่าง ๆ รวมไปถึงฝึกฝนการหลอมสร้างปรุงโอสถอย่างสม่ำเสมอ กล่าวได้ว่ายิ่งลงมือฝึกฝนมากเท่าใด ตอนนี้อีกฝ่ายยิ่งมีความคุ้นเคยเชี่ยวชาญในการปรุงโอสถระดับสองมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสามารถปรุงโอสถระดับสามบางชนิดได้แล้วเช่นกัน ถือได้ว่าด้วยระยะเวลาเ
"ภายในม่านมิติเต็มไปด้วยศาสตราวุธ เคล็ดวิชาล้ำค่า โอสถระดับสูงหายาก เตาหลอมโอสถระดับวิญญาณและสิ่งของวิเศษอีกมากมายยากที่จะคาดเดาได้ว่าท้ายที่สุดแล้วเขาจะได้ครอบครองสิ่งใด ด้วยระยะเวลาที่จำกัดเพียงหนึ่งชั่วยามในการเข้าไปในม่านมิติพิเศษนี้ หากมีโชควาสนามากเพียงพอ เขาย่อมได้รับการยอมรับจากเตาหลอมโอสถวิญญาณอย่างแน่นอน...""จะว่าไปข้าไม่คิดเลยว่าด้วยระยะเวลาเพียงสามเดือน ศิษย์ผู้นี้ก็ครบถ้วนด้วยคุณสมบัติของนักปรุงโอสถระดับสามได้เสียเเล้ว ความก้าวหน้าเช่นนี้กล่าวได้ว่าเหนือชั้นกว่าเจ้าโจวเซินศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าในช่วงอายุเดียวกันยิ่งนัก...." ซุนเกาเอ่ยขึ้นอย่างชื่นชมบรรดาลูกศิษย์ของเหวินหวู่เเต่ละคนล้วนมากไปด้วยความสามารถที่โดดเด่นแตกต่างกันออกไปและได้สร้างชื่อเสียงเป็นที่ประจักษ์ให้แก่ตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาเป็นอย่างมาก หรือแม้กระทั่งกับหนิงอ้ายที่เป็นศิษย์คนล่าสุด ก่อนหน้าเด็กหนุ่มสามารถสอบเลื่อนระดับจากนักปรุงโอสถฝึกหัดเป็นนักปรุงโอสถระดับหนึ่ง ภายในวันเดียวกันก็สามารถสอบเลื่อนขั้นเป็นนักปรุงโอสถระดับสองได้สำเร็จ กล่าวว่าครั้งนั้นชื่อเสียงของเด็กหนุ่มได้เป็นที่รู้จักอย่างมากในหมู่นัก
ใช้เวลาเพียงไม่นานนักก็มาถึงพื้นที่ส่วนนอกในบริเวณชั้นหนึ่งของอาคารส่วนกลางหลังนี้เเล้ว หนิงอ้ายกับไป๋เหลียนฮวาประสานมือคำนับผู้อาวุโสซุนที่อีกฝ่ายเสียสละเวลาเป็นธุระให้กับพวกเขาทั้งสองในครั้งนี้ หนิงอ้ายไม่ลืมนำโอสถระดับหนึ่ง โอสถระดับสองและโอสถระดับสามบางชนิดที่ตนได้ปรุงขึ้นในช่วงก่อนหน้าออกมานอกจากจะนำไปฝากขายเเล้วยังได้เเบ่งโอสถส่วนหนึ่งสำหรับการเเลกเปลี่ยนเป็นสมุนไพรต่าง ๆ ตามสูตรโอสถระดับสามที่ตนต้องการฝึกฝนหลังจากนี้ เพราะเด็กหนุ่มตั้งใจว่าอีกไม่กี่เดือนหลังจากนี้เมื่อถึงกำหนดการณ์ของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาที่ศิษย์เเต่ละคนต้องออกไปทำภารกิจด้านนอกสำนักเพื่อช่วยเหลือผู้คนและฝึกฝนตนเองเป็นเวลาหนึ่งปีก่อนที่จะกลับคืนสำนักตามที่ได้ยึดถือปฏิบัติกันมาอย่างยาวนานหนิงอ้ายวางแผนเอาไว้ว่าในระหว่างการเดินทางครั้งนี้เขาจะไปสอบเลื่อนขั้นเป็นนักปรุงโอสถระดับสามให้สำเร็จ อีกทั้งยังตั้งใจว่าจะแวะกลับไปเยือนยังตระกูลหวังที่แคว้นเต่าดำอีกด้วย แม้ว่าในครั้งนี้ลู่ซีอาจจะไม่ได้กลับไปพร้อมกันก็ตาม เพราะตอนนี้อีกฝ่ายได้เป็นศิษย์สายตรงของผู้อาวุโสสูงสุดในตำหนักของค่ายกลฟังว่าหลังจากนี้ต้องเก็บตัวศึ
ทางฝั่งของเฟยหลงที่ได้ยินหนิงอ้ายตอบกลับมาคล้ายกับว่าอีกฝ่ายกำลังแง่งอนเสียอย่างนั้นในความรู้สึกที่สัมผัสได้ ชายหนุ่มจึงรู้สึกหมั่นเขี้ยวเด็กหนุ่มไปไม่น้อย ร่างกายสูงใหญ่ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของบุรุษเพศอันมากล้นได้ค่อย ๆ ก้าวเท้ามุ่งเดินตรงมาพร้อมกับเอ่ยหยอกล้อร่างบางกลับไป"เพียงไม่กี่วันที่ไม่พบเจอกัน ไม่คิดว่าเสี่ยวอ้ายจะคิดถึงข้าเช่นนี้?" เฟยหลงเอ่ยขึ้นพร้อมกับนั่งลงตรงที่นั่งที่อยู่ไม่ห่าง"ใครคิดถึงท่านกัน หึ!! ช่างหน้าหนาเสียจริง..." หนิงอ้ายตอบกลับอีกฝ่ายไปอย่างหงุดหงิด ยิ่งเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มตรงหน้าได้เผยรอยยิ้มกว้างออกมา ช่างเป็นบุรุษที่มีความสามารถในการยั่วโมโหยิ่ง"เป็นข้าที่เข้าใจผิดเอง..." เป็นเฟยหลงที่ยอมแพ้ไปก่อนในท้ายที่สุด"ท่านมีสิ่งใดก็กล่าวออกมาได้แล้ว หวังว่าจะสำคัญมากพอเเล้วกัน..." หนิงอ้ายที่ได้ยินเสียงคล้ายกับสำนึกผิดของชายหนุ่ม จึงมองหน้าเพื่อพูดคุยกับอีกฝ่าย ด้วยเพราะเขาก็ต้องการทราบเช่นกันว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นบ้างในช่วงนี้เป็นเวลาเกือบสองชั่วยามที่หนิงอ้ายกับเฟยหลงได้นั่งพูดคุยกันถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นไม่ต่างไปจากที่เด็กหนุ่มคาดการณ์เอาไว้ไปสั
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต
มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล
ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย