ใช้เวลาเพียงไม่นานนักก็มาถึงพื้นที่ส่วนนอกในบริเวณชั้นหนึ่งของอาคารส่วนกลางหลังนี้เเล้ว หนิงอ้ายกับไป๋เหลียนฮวาประสานมือคำนับผู้อาวุโสซุนที่อีกฝ่ายเสียสละเวลาเป็นธุระให้กับพวกเขาทั้งสองในครั้งนี้ หนิงอ้ายไม่ลืมนำโอสถระดับหนึ่ง โอสถระดับสองและโอสถระดับสามบางชนิดที่ตนได้ปรุงขึ้นในช่วงก่อนหน้าออกมา
นอกจากจะนำไปฝากขายเเล้วยังได้เเบ่งโอสถส่วนหนึ่งสำหรับการเเลกเปลี่ยนเป็นสมุนไพรต่าง ๆ ตามสูตรโอสถระดับสามที่ตนต้องการฝึกฝนหลังจากนี้ เพราะเด็กหนุ่มตั้งใจว่าอีกไม่กี่เดือนหลังจากนี้เมื่อถึงกำหนดการณ์ของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาที่ศิษย์เเต่ละคนต้องออกไปทำภารกิจด้านนอกสำนักเพื่อช่วยเหลือผู้คนและฝึกฝนตนเองเป็นเวลาหนึ่งปีก่อนที่จะกลับคืนสำนักตามที่ได้ยึดถือปฏิบัติกันมาอย่างยาวนาน
หนิงอ้ายวางแผนเอาไว้ว่าในระหว่างการเดินทางครั้งนี้เขาจะไปสอบเลื่อนขั้นเป็นนักปรุงโอสถระดับสามให้สำเร็จ อีกทั้งยังตั้งใจว่าจะแวะกลับไปเยือนยังตระกูลหวังที่แคว้นเต่าดำอีกด้วย แม้ว่าในครั้งนี้ลู่ซีอาจจะไม่ได้กลับไปพร้อมกันก็ตาม เพราะตอนนี้อีกฝ่ายได้เป็นศิษย์สายตรงของผู้อาวุโสสูงสุดในตำหนักของค่ายกล
ฟังว่าหลังจากนี้ต้องเก็บตัวศึกษาที่ได้รับการถ่ายทอดโดยตรง สหายคนอื่นของหนิงอ้ายทุกคนในตอนนี้ต่างได้เป็นศิษย์สายตรงของผู้อาวุโสในตำหนักที่สังกัดกันทั้งสิ้น เส้นทางหลังจากนี้ของเเต่ละคนย่อมโดดเด่นไม่ธรรมดาสามัญอย่างแน่นอน
"ศิษย์น้องหนิงอ้าย เจ้าได้รับสิ่งใดมาอย่างนั้นรึ??" ไป๋เหลียนฮวาถามขึ้นขณะที่ทั้งสองคนได้เดินออกมาได้สักพักเเล้ว
"ข้าได้เเหวนหยกวิเศษระดับเทวะขอรับศิษย์พี่..." หนิงอ้ายตอบกลับไปพร้อมกับยกยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมกับยกนิ้วที่สวมเเหวนให้อีกฝ่ายได้เห็น
"อย่างนั้นรึ?? อาวุธหรือสิ่งของวิเศษต่าง ๆ ที่อยู่ภายในมิติล้วนเป็นสมบัติระดับสูงที่บรรดาเหล่าบรรพชนได้เป็นผู้รวบรวมจากทั่วทุกสารทิศ นำมาเก็บรักษาและส่งต่อให้กับศิษย์ในตำหนักที่คู่ควรจากรุ่นสู่รุ่น"
"สำหรับเตาหลอมโอสถวิญญาณนั้นยากยิ่งที่จะครอบครองได้โดยง่าย ครั้งนั้นศิษย์พี่ก็ไม่ถูกเลือกจากเตาหลอมโอสถวิญญาณเช่นกัน เเต่ก็ได้รับมาเป็นศาสตราวุธระดับเทวะไม่ต่างไปกับเจ้าครั้งนี้..." ไป๋เหลียนฮวาตอบกลับไปพร้อมกับเรียกกระบี่ของตนออกมาในทันที
พรึบ!
ซ้ายมือของนางปรากฎเป็นกระบี่สีขาวมุกที่แผ่กลิ่นอายความสูงศักดิ์ออกมาอย่างปิดไม่มิด ตรงด้ามจับของกระบี่ได้ถูกสลักเป็นลวดลายแปลกตาเเต่ทว่ากลับยิ่งส่งเสริมให้กระบี่เล่มนี้มีความงดงามเป็นอย่างมาก ฟังว่าศาสตราวุธเทวะนั้นจะมีเพียงเจ้าของพันธะที่สามารถเรียกใช้งานได้ อีกทั้งยังสามารถประสานเข้ากับการโจมตีจากทางวิญญาณยุทธ์ได้อีกด้วย เห็นได้ว่าศาสตราวุธระดับเทวะนั้นจะมีความลึกล้ำพิศดารกว่าอาวุธทั่วไปหลายเท่าเลยทีเดียว
"กระบี่เล่มนี้มีนามว่า ลี่จิ่น (ความหนักเเน่นอันงดงาม) เป็นหนึ่งในกระบี่วิญญาณที่สามารถประสานเข้ากับวิญญาณยุทธ์เกิดเป็นเพลงกระบี่ที่ยากที่จะต้านทานได้เลยทีเดียว..."
"เป็นนามอันไพเราะยิ่งนักขอรับศิษย์พี่..." หนิงอ้ายตอบกลับไปพร้อมกับมองกระบี่ในมือของอีกฝ่ายด้วยความชื่นชม ในการเรียกใช้อาวุธระดับเทวะเเต่ละประเภทล้วนขึ้นอยู่กับความเเข็งแกร่งของวิญญาณยุทธ์ต้นกำเนิดของผู้ถือครองหรือผู้ผูกพันธะอย่างเเท้จริง
"อีกไม่กี่เดือนก็จะถึงกำหนดในการทำภารกิจที่ด้านนอกสำนักเเล้ว ศิษย์น้องหนิงอ้ายจงเตรียมตัวให้พร้อมด้วยเล่า..." ไป๋เหลียนฮวาเอ่ยย้ำเด็กหนุ่มไปอีกครั้ง แม้ศิษย์น้องผู้นี้จะมากไปด้วยความสามารถก็จริง
อย่างไรเด็กหนุ่มก็พึ่งเข้าศึกษาเป็นช่วงเวลาที่ไม่มากสักเท่าไหร่นัก ด้วยกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่ยึดถือปฏิบัติกันมาในตำหนักศาสตร์แห่งการรักษา ศิษย์ทุกคนในตำหนักต้องออกเดินทางไปทำภารกิจ และต้องช่วยเหลือเอาตัวรอดกลับสำนักตามกำหนดเวลาให้ได้ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งเส้นทางในการฝึกฝนเช่นกัน
ตอนเเรกที่ท่านอาจารย์ได้เอ่ยว่าจะให้ศิษย์น้องผู้นี้ได้ทำภารกิจนอกสำนักพร้อมกัน ทั้งนางเองรวมไปถึงศิษย์พี่ ศิษย์น้องคนอื่น ๆ ต่างคัดค้านกันทั้งสิ้น เพราะตามหลักเเล้วต้องเป็นศิษย์ชั้นปีที่สองเป็นต้นไปเท่านั้นจึงจะสามารถออกนอกสำนักหรือทำภารกิจเช่นนี้ได้
เเต่ถึงอย่างนั้นท่านอาจารย์ก็ตอบกลับมาเพียงเเต่ว่าได้ครุ่นคิดมาอย่างดีเเล้ว พวกเขาจึงไม่สามารถโต้แย้งสิ่งใดได้ เพราะในตำหนักศาสตร์แห่งการรักษานี้ทุกคนล้วนถือว่าคำกล่าวของเหวินหวู่ผู้เป็นเจ้าตำหนัก นั้นเปรียบได้ดั่งคำประกาศิตนั่นเอง
"ข้าจะฝึกฝนให้มากขึ้นเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมมากที่สุดในการออกไปทำภารกิจในครั้งนี้และจะกลับมาอย่างปลอดภัยให้ได้ขอรับ..." หนิงอ้ายสัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงของอีกฝ่าย อย่างไรแล้วเส้นทางของผู้ฝึกตนหาได้โรยด้วยดอกกุหลาบไม่ การข้ามผ่านอุปสรรคต่าง ๆ ที่ได้ประสบพบเจอย่อมทำให้เเข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
"ได้ยินเช่นนี้ศิษย์พี่ก็วางใจ เอาละ!! อย่าหักโหมตนเองเกินไปนักเล่า..." ไป๋เหลียนฮวารับรู้ได้ว่าศิษย์น้องหนิงอ้ายค่อนข้างที่จะกดดันตัวเองมากกว่าผู้ฝึกตนในช่วงวัยเดียวกัน
เห็นว่าเด็กหนุ่มได้พยักหน้ารับเเล้ว นางจึงเอ่ยลาอีกสักเล็กน้อยก่อนที่จะขอตัวแยกกลับไปยังเรือนพักของตนซึ่งหนิงอ้ายได้ประสานมือขอบคุณอีกฝ่ายที่เป็นธุระให้กับเขาในวันนี้ก่อนที่เด็กหนุ่มจะมุ่งตรงกลับไปยังเรือนพักของตนเช่นกัน...
ยามค่ำคืนอันเงียบสงบของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษา หนิงอ้ายยังคงนั่งสมาธิดูดซับลมปราณฟ้าดินตามเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาที่ได้ชักนำพลังลมปราณอันบริสุทธิ์ที่อยู่ในบริเวณโดยรอบให้หลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของเด็กหนุ่มด้วยความรวดเร็วอย่างสม่ำเสมอสมดุลต่อเนื่อง จี้หยกโลหิตที่สวมใส่นั้นยังคงแสดงความพิศดารชักนำลมปราณบริสุทธิ์ เป็นกระแสไหลเวียนอย่างเข้มข้นอยู่โดยรอบเรือนพักหลังนี้
ยามปกติหนิงอ้ายยังคงสามารถดูดซับพลังปราณโดยรอบได้โดยที่ไม่ต้องนั่งสมาธิรวบรวมและชักนำเข้าสู่ร่างกายด้วยเพราะความลึกล้ำพิเศษเฉพาะ คล้ายกับว่ายิ่งเด็กหนุ่มมีพลังวิญญาณที่เพิ่มสูงขึ้น ความสามารถในการบัญชาการเคล็ดวิชานี้ก็ยิ่งเพิ่มทวีเป็นส่วนหนึ่งอันเดียวกันที่ไม่ต่างไปจากลมหายใจเข้าออกปกติเสียด้วยซ้ำ ด้วยเพราะเหตุนี้จึงส่งผลให้หนิงอ้ายมีความก้าวหน้าที่รวดเร็วในการพัฒนาพลังวิญญาณมากกว่าผู้อื่นไปถึงสองหรือสามส่วนเลยทีเดียว
หนิงอ้ายสัมผัสได้ว่าหลังจากที่ได้ดูดซับกระดูกวิญญาณของมังกรผีเสื้อจักรพรรดิจรัสแสงนิรันดร์ไปโดยไร้ซึ่งเเรงต่อต้านที่ควรเกิดขึ้นใดใดทั้งสิ้นนั้น กระดูกวิญญาณอายุแสนปีนี้ได้ปรับเปลี่ยนเป็นกระดูกวิญญาณอายุแปดพันปีตามที่ผู้ฝึกตนระดับเทวะวิญญาณสามารถดูดซับได้ จึงทำให้หนิงอ้ายถือได้ว่าเป็นผู้ฝึกตนระดับเทวะวิญญาณขั้นกลางอย่างเต็มภาคภูมิเเล้ว
หากบรรลุถึงเขตขั้นราชทินนามราชันวิญญาณแล้ว ทักษะวิญญาณที่สี่ ที่เขาได้รับมาคงต้องใช้เวลาในการฝึกฝนให้คุ้นชินอยู่ไม่น้อย เเต่ถึงอย่างไรหนิงอ้ายก็เชื่อมั่นว่าตนสามารถฝึกฝนและใช้งานได้อย่างสำเร็จอย่างแน่นอน
"การดูดซับพลังลมปราณมีความรวดเร็วมากขึ้นกว่าเดิม อาจด้วยเพราะแรงหนุนของกระดูกวิญญาณอายุล้านปีของอสรพิษเหมัตน์บรรพกาล รวมไปถึงกระดูกวิญญาณอายุแสนปีของสัตว์อสูรอื่น ๆ ยิ่งไปกว่านั้นสายเลือดของหงส์เพลิงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์ที่ถูกปลุกกระตุ้นขึ้น สิ่งเหล่านี้ได้หล่อหลอมให้ร่างกายมีความกล้าแกร่งเหนือชั้น พลังวิญญาณก็เพิ่มขึ้นไปด้วยเช่นนี้ การหลอมโอสถระดับหนึ่ง โอสถระดับสองคงใช้เวลาลดน้อยลงกว่าเดิมเป็นแน่..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นด้วยความยินดี จากนั้นจึงพินิจเเหวนหยกที่ได้รับมาพร้อมกับเรียกใช้เนตรเเห่งสวรรค์ของตนตรวจสอบอีกครั้ง
ใช้เวลาเพียงชั่วครู่ก็ทำให้หนิงอ้ายได้รับรู้ว่าเเหวนทองที่อยู่ในมือตนตอนนี้เป็นเพียงหนึ่งในรูปแบบของระดับตำนานที่มีนามว่าศาสตราอนันต์ลักษณ์ ความพิเศษพิศดารที่ปรากฎจะผันแปรไปตามลักษณะศาสตราวุธเหล่านั้นที่ถูกเรียกออกมาใช้งาน หมายเหตุตรงด้านล่างที่ปรากฎทำให้ได้รับรู้ว่านอกจากการประทับตราวิญญาณกำกับลงไปเเล้ว ศาสตราอนันต์ลักษณ์ชิ้นนี้เจ้าของพันธะจะต้องทำการเเลกเปลี่ยนอย่างเท่าเทียมโดยการสังเวยด้วยโลหิตและพลังวิญญาณอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาสามสิบวันเป็นอย่างน้อยหรือจนกว่าอาวุธวิญญาณชิ้นนี้จะปฏิเสธรับการสังเวยดังกล่าว
หลังจากกระบวนการเหล่านี้สิ้นสุดลง การสลับแปรเปลี่ยนเป็นอาวุธและของวิเศษในรูปลักษณ์ต่าง ๆ ได้เพียงเเค่หนิงอ้ายคิดในใจเพียงเท่านั้นก็สามารถผันแปรเป็นได้ทุกสิ่งอย่างตามที่ต้องการ อีกทั้งสิ่งของหรืออาวุธเเต่ละรูปแบบที่ถูกเรียกออกมาใช้ล้วนต่างมีอาณุภาพเหนือชั้นไปไม่ต่างจากอาวุธของวิเศษตำนานประเภทอื่นเสียด้วยซ้ำ
ฟังดูว่าจะเต็มไปด้วยจุดเด่นมากมาย เเต่ถึงอย่างไรศาสตราอนันต์ลักษณ์ชิ้นนี้ก็มีเงื่อนไขจุดเสียเปรียบที่ปรากฎเช่นกัน นั่นคือในยามเรียกใช้ในเเต่ละครั้งจะกลืนกินพลังลมปราณในร่างกายเป็นจำนวนมาก แม้อาจจะใช้เป็นไม้ตายในการปกป้องตัวเองให้แคล้วคลาดปลอดภัยได้ก็จริง เเต่หากว่าในขณะนั้นได้สูญสิ้นพลังลมปราณในร่างกายไปหมดสิ้นก็คงไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่ ทว่าจุดด้อยนี้กลับไม่ส่งผลกับหนิงอ้ายผู้ที่ร่างกายสามารถดูดซับปราณฟ้าดินได้ทั้งในยามตื่นรวมไปถึงยามนอนเช่นนี้ กล่าวได้ว่าเป็นต่างส่งเสริมนำพากันทั้งสิ้น
ตลอดทั้งคืนหนิงอ้ายได้ทำการดูดซับลมปราณฟ้าดินอย่างไม่หยุดพักจนถึงในช่วงเช้าของอีกวันด้วยความรวดเร็วในความรู้สึก เด็กหนุ่มยังคงดูเเลสวนสมุนไพรข้างเรือนของตนเช่นเดิมเหมือนทุกวันที่ผ่านมาตลอดหลายเดือนมานี้ เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้วจึงได้ลงมือทำข้าวต้มทรงเครื่องสำหรับมื้อเช้านี้ให้กับตนเอง เนื่องจากเป็นอีกวันที่อาจารย์ของตนไม่ได้กลับมายังเรือนพักในตำหนัก หนิงอ้ายครุ่นคิดด้วยเพราะไม่รู้ว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรบ้าง ทางฝั่งของเฟยหลงที่ในยามปกติมักจะเข้ามาวุ่นวายลักลอบเข้ามาหาเขาในเรือนพักก็ได้หายไปหลายวันแล้วเช่นกัน...
เวลาได้ล่วงเลยผ่านมาจนถึงยามเว่ย เเสงแดดอันร้อนแรงได้สาดส่องไปทั่วทั้งบริเวณ ทว่าอากาศภายในตำหนักศาสตร์แห่งการรักษานั้นยังคงมีสายลมพัดผ่านให้ความรู้สึกเย็นสบายเป็นอย่างยิ่ง เช้าที่ผ่านมาหนิงอ้ายได้ใช้เวลาไปกับการฝึกฝนทั้งในเชิงยุทธ์เพื่อเป็นการฝึกปรือฝีมือของตนให้พัฒนาอยู่เสมอ ช่วงบ่ายนี้หนิงอ้ายตั้งใจว่าเขาจะฝึกฝนปรุงโอสถระดับสาม เป็นโอสถสูตรใหม่ที่ได้รับมาจากท่านอาจารย์ก่อนหน้า
ดวงตาคู่งามได้จดจ้องไปยังบันทึกเล่มหนาที่ได้จดเอาไว้ถึงสมุนไพรวิเศษที่ต้องใช้ในการหลอมสร้างปรุงโอสถครั้งนี้ พินิจไปเเล้วด้วยระดับพลังวิญญาณที่เพิ่มขึ้นมาถึงสองขั้นย่อย อาจดูเล็กน้อยเเต่ทว่าผู้ฝึกตนส่วนมากย่อมใช้เวลาในการเลื่อนระดับเป็นเวลาหลายเดือนหรือนับปีเสียด้วยซ้ำ
เมื่อจดจำได้ถึงขั้นตอนหลอมสร้างปรุงโอสถสูตรนี้ รวมไปถึงสมุนไพรที่ต้องใช้ตามสูตรโอสถก็ครบถ้วนแล้วเช่นกัน หนิงอ้ายจึงไม่รอช้าที่จะเริ่มต้นปรุงโอสถนี้ออกมาในทันทีเพื่อไม่ให้เสียเวลาไปมากกว่านี้ เพียงมือขวาที่เรียวบางได้ยกตวัดขึ้น ตรงด้านหน้าของเด็กหนุ่ม ได้ปรากฎเป็นเตาหลอมโอสถที่เคยใช้มาก่อนหน้าซึ่งมีขนาดที่พอดีไม่ใหญ่และไม่เล็กจนเกินไป ผิวด้านนอกเตากลอมเป็นสีน้ำเงินครามที่เต็มไปด้วยลวดลายของเกลียวคลื่นสมุทรที่เปล่งประกายราวกับดวงดาวบนท้องฟ้าที่ทอเเสงวิบวับงดงามเเปลกตายิ่งนัก
โอสถระดับสามที่หนิงอ้ายกำลังจะปรุงขึ้นมีนามว่า โอสถจัตตุวสันต์ระดับสาม เป็นโอสถที่สามารถรักษาบาดแผลที่เกิดจากอสูรที่มีขั้นต่ำกว่าระดับมายาได้ทั้งสิ้น โอสถนี้นอกจากจะมีคุณสมบัติในการรักษาบาดแผลเเล้ว ยังสามารถเพิ่มพลังลมปราณไปพร้อมกันอีกด้วย
ไม่รอช้าหนิงอ้ายได้ปลดปล่อยวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟของตนออกมาที่ชั่วพริบตานั้นได้แปรเปลี่ยนเป็นเปลวเพลิงอันร้อนระอุ ก่อนที่เด็กหนุ่มจะเเผ่ญาณสัมผัสอันลึกล้ำของตนออกมาเพื่อกำกับเปลวเพลิงนี้ให้หล่อเลี้ยงโดยรอบเตาหลอมโอสถตรงหน้าด้วยความสมดุล ก่อนที่มืออีกข้างนั้นจะตวัดเอาสมุนไพรตามสูตรโอสถนี้ที่ได้เตรียมไว้ก่อนหน้าให้เข้าไปในเตาหลอมนี้โดยทันที
เปลวเพลิงได้แผดเผาสมุนไพรเหล่านี้ด้วยความรวดเร็ว เป็นไปตามที่หนิงอ้ายได้คาดคิดเอาไว้ก่อนหน้า ระยะเวลาในการหลอมกลั่นสมุนไพรได้ใช้เวลาลดลงไปเป็นอย่างมาก ญาณสัมผัสที่เเข็งแกร่งขึ้นได้ส่งผลไปถึงการควบคุมเปลวเพลิงจากวิญญาณยุทธ์นี้ให้แม่นยำที่เพิ่มมากขึ้น สมุนไพรเเต่ละชนิดจะใช้ความแรงของเปลวเพลิงที่แตกต่างกันก็ตาม อย่างไรนั้นทุกสิ่งอย่างก็เป็นไปตามขั้นตอนที่ควรจะเป็นอย่างสมบูรณ์
จากนั้นอีกเพียงหนึ่งเค่อ สมุนไพรต่าง ๆ ที่แปรเปลี่ยนคล้ายกับโอสถเหลวที่นอนก้นอยู่ในเตาหลอม สองมือประสานเป็นท่วงท่าที่คล้ายคลึงกับเหวินหวู่ผู้เป็นอาจารย์ไปมากถึงเจ็ดส่วน เด็กหนุ่มไม่ลืมที่จะผ่อนปรนความร้อนแรงของเปลวเพลิงที่เรียกใช้ไปมากกว่าครึ่ง โอสถเหลวนี้ได้ค่อยหมุนวนไปรอบ ๆ เตาหลอมก่อนที่จะถูกบางสิ่งชักนำให้เป็นหนึ่งเดียวกัน
ผนึก!
หนิงอ้ายเอ่ยออกมาด้วยความมั่นใจ ตอนนี้โอสถเหลวเหล่านี้ได้หลอมรวมกันก่อนที่จะแยกตัวออกจากกันอีกครั้ง ขนาดของโอสถนี้ได้ลดลงไปเรื่อย ๆ พร้อมไปกับกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ได้ลอยฟุ้งกระจายออกมาเป็นดั่งสัญญาที่ว่าขั้นตอนสุดท้ายได้เข้ามาถึงเเล้ว
เพียงเเค่สะบัดมือเบา ๆ อีกครั้ง เปลวเพลิงจากวิญญาณยุทธ์ต้นกำเนิดปราณธาตุไฟได้ถูกเรียกคืนกลับไปพร้อมกับที่เม็ดโอสถทั้งห้าได้ปรากฎอยู่เหนือเตาหลอมนี้เป็นที่เรียบร้อย สำหรับโอสถจัตตุวสันต์ระดับสามในการปรุงขึ้นมาครั้งเเรก มีความบริสุทธิ์มากถึงแปดส่วนเช่นนี้ก็จัดได้ว่าเป็นโอสถระดับสามขั้นสูงเเล้ว
เเต่ถึงอย่างไรนั้นหนิงอ้ายยังรับรู้อยู่แก่ใจว่าเมื่อครู่นั้นตนได้ผิดพลาดไปตรงจุดใดบ้าง ดังนั้นตลอดช่วงบ่ายนี้ไปจนถึงยามกลางคืนสิ้นเเสงสว่าง หนิงอ้ายจึงตัดสินใจว่าในวันนี้ควรที่จะหยุดไว้เเต่เพียงเท่านี้เสียก่อนจะดีกว่า เพราะยังเหลือเวลาอีกมากในการฝึกฝน
หลังจากที่หนิงอ้ายได้จัดการตัวเองเรียบร้อย คืนนี้เขาได้ตั้งใจเอาไว้ว่าจะนั่งสมาธิดูดซับหินปราณพร้อมกับดูดซับปราณฟ้าดินเพียงสองชั่วยามก็เพียงพอเเล้ว เเต่ก่อนที่จะได้ทำตามสิ่งที่ได้คิดไว้ ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งที่คุ้นเคยดังขึ้นจากทางด้านหลัง
"คิดถึงข้าหรือไม่เสี่ยวอ้าย..." เสียงของบุรุษผู้หนึ่งได้เอ่ยขึ้นที่แฝงไปด้วยความออดอ้อน ชวนให้คนฟังอย่างหนิงอ้ายอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนที่จะหันหลังพร้อมกับตอบกลับไปด้วยใบหน้านิ่งสงบไม่ปรากฎคลื่นอารมณ์ใดใดทั้งสิ้น…
ทางฝั่งของเฟยหลงที่ได้ยินหนิงอ้ายตอบกลับมาคล้ายกับว่าอีกฝ่ายกำลังแง่งอนเสียอย่างนั้นในความรู้สึกที่สัมผัสได้ ชายหนุ่มจึงรู้สึกหมั่นเขี้ยวเด็กหนุ่มไปไม่น้อย ร่างกายสูงใหญ่ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของบุรุษเพศอันมากล้นได้ค่อย ๆ ก้าวเท้ามุ่งเดินตรงมาพร้อมกับเอ่ยหยอกล้อร่างบางกลับไป"เพียงไม่กี่วันที่ไม่พบเจอกัน ไม่คิดว่าเสี่ยวอ้ายจะคิดถึงข้าเช่นนี้?" เฟยหลงเอ่ยขึ้นพร้อมกับนั่งลงตรงที่นั่งที่อยู่ไม่ห่าง"ใครคิดถึงท่านกัน หึ!! ช่างหน้าหนาเสียจริง..." หนิงอ้ายตอบกลับอีกฝ่ายไปอย่างหงุดหงิด ยิ่งเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มตรงหน้าได้เผยรอยยิ้มกว้างออกมา ช่างเป็นบุรุษที่มีความสามารถในการยั่วโมโหยิ่ง"เป็นข้าที่เข้าใจผิดเอง..." เป็นเฟยหลงที่ยอมแพ้ไปก่อนในท้ายที่สุด"ท่านมีสิ่งใดก็กล่าวออกมาได้แล้ว หวังว่าจะสำคัญมากพอเเล้วกัน..." หนิงอ้ายที่ได้ยินเสียงคล้ายกับสำนึกผิดของชายหนุ่ม จึงมองหน้าเพื่อพูดคุยกับอีกฝ่าย ด้วยเพราะเขาก็ต้องการทราบเช่นกันว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นบ้างในช่วงนี้เป็นเวลาเกือบสองชั่วยามที่หนิงอ้ายกับเฟยหลงได้นั่งพูดคุยกันถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นไม่ต่างไปจากที่เด็กหนุ่มคาดการณ์เอาไว้ไปสั
ขบวนคาราวานรถม้านับสิบคันรถได้มุ่งตรงสู่ทางสายหลัก เพื่อค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างแคว้นอันเป็นจุดหมายปลายทางในครั้งนี้ ทว่าเมื่อออกจากเมืองหลวงของแคว้นได้เพียงไม่กี่ชั่วยาม นายกองผู้ควบคุมรวมไปถึงบรรดาผู้คุ้มกันนับครึ่งร้อยชีวิตต่างตกอยู่ในสภาวะตึงเครียดอย่างเสียไม่ได้เส้นทางรถม้าที่เคยผ่านไปกลับนับร้อย นับพันครั้ง เพื่อขนส่งสินค้าไปยังหัวเมืองตามแคว้นต่าง ๆ ใกล้เคียง ครั้งนี้กลับรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างที่ผิดแปลกไป หนึ่งชั่วยามให้หลังมานี้ผืนป่าในช่วงกลางวันอันเป็นช่วงเวลาแห่งการใช้ชีวิตของทุกสรรพสิ่งทว่ากลับไร้ซึ่งเสียงขับขานดังกล่าว บรรยากาศโดยรอบถูกโอบล้อมด้วยหมอกควันสีขาวลอยต่ำ ความเย็นยะเยือกที่สายลมได้พัดพากระทบให้รู้สึกนั้นชวนให้หวาดกลัวยิ่ง"พวกเจ้าทุกคนเฝ้าระวังให้ดี อย่าได้ประมาทเป็นอันขาด!!!" เสียงทุ้มต่ำจากชายวัยกลางคนผู้เป็นหัวหน้าขบวนคาราวานรถม้าขนส่งสินค้า ได้เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง เพื่อเน้นย้ำว่าสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนี้หาใช่เรื่องปกติไม่อากาศที่ลดลงอย่างฉับพลัน พร้อมกับกลุ่มหมอกควันหนาสีขาวได้ลอยต่ำลงจนแสงสว่างใดก็ไม่อาจเล็ดลอดจากยอดไม้สูงทั้งสิ้น เสียง
หนิงอ้ายในตอนนี้แม้จะถึงพร้อมด้วยคุณสมบัติของผู้ฝึกตนราชทินนามเทวะวิญญาณขั้นต้น ประกอบกับร่างกายนี้ได้ประสานไปกับกระดูกวิญญาณล้ำค่า ยิ่งส่งผลให้ยามออกท่าร่างเคล็ดวิชาตัวเบาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้จึงมีความรวดเร็วเหนือชั้นกว่าผู้ฝึกตนระดับขั้นเดียวกันหลายเท่า เวลาที่ผ่านไปเพียงหนึ่งเค่อตามกำหนด เงาร่างของเฟยหลงกลับพุ่งทะยานล้ำหน้าผ่านร่างบางไปด้วยความเร็วที่เหนือชั้นยิ่งกว่าเห็นรอยยิ้มที่อีกฝ่ายมอบให้ เขาชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าการแข่งขันครั้งนี้คุ้มค่ากับการลงแรงไปหรือไม่ ยิ่งเงื่อนไขที่ว่าผู้ชนะสามารถร้องขอสิ่งหนึ่งจากผู้แพ้แล้ว ครั้งนี้เป็นเขาเองที่ประมาทเสียท่าหลงเชื่อคำที่มากไปด้วยเล่ห์กลของอีกฝ่ายเข้าจนได้ เนตรแห่งสวรรค์ส่งข้อมูลให้รับรู้ว่าอีกฝ่ายได้ควบคุมพลังปราณให้เหลือเพียงเขตขั้นเทวะวิญญาณขั้นต้นเพียงเท่านั้น ย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดเคล็ดวิชาตัวเบาที่มีความรวดเร็วเป็นอันดับต้น ๆ ในมหาพิภพ ทว่าเคล็ดวิชาของอีกฝ่ายนั้นดูเหนือชั้นไปกว่ามาก เคล็ดวิชาก็เป็นเพียงส่วนหนึ่ง อย่างไรก็ตามรากฐานการบ่มเพาะก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เสริมให้เกิดความได้เปรียบเช่นนี้"แม้จะล
กระบี่สีขาวบริสุทธิ์ในมือถูกกระชับให้มั่นคงพร้อมต้านรับกระบี่ที่โหมโรมรันเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง เสียงของคมกระบี่ปะทะกันดังขึ้นไปทั่วทั้งผืนป่าที่เงียบสงบ ชายชุดดำที่หนิงอ้ายกำลังรับมืออยู่นี้เป็นถึงราชทินนามเทวะวิญญาณขั้นสูงผู้หนึ่ง ถือได้ว่าเหนือชั้นกว่าเขาไปถึงสองขั้นย่อยเลยทีเดียว แต่ถึงอย่างไรเคล็ดวิชากระบี่สักกะดารารายของหนิงอ้ายมีความเหนือชั้นกว่าเพลงกระบี่ของฝ่ายศัตรูเป็นอย่างมาก ดังนั้นความเสียเปรียบของระดับพลังวิญญาณนับว่าไม่ส่งผลสักเท่าไหร่นักการสับประยุทธ์ของเพลงกระบี่ได้ดำเนินผันผ่านเกินกว่าสองเค่อ ยิ่งเวลาผ่านไปดูเหมือนว่าเรี่ยวแรงของเด็กหนุ่มนั้นหาได้ลดลงตามไม่ ผิดกับชายชุดดำที่มีร่างกายสูงใหญ่แข็งแกร่ง ที่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าความเหนื่อยล้าเริ่มปรากฏขึ้นมาบ้างแล้ว หนิงอ้ายที่แผ่ญาณสัมผัสออกไปโดยรอบจึงรับรู้ได้ทุกการเคลื่อนไหวเหล่านี้และสามารถส่งการโจมตีกลับพร้อมใช้ท่าร่างวิชาตัวเบาหลบออกมาด้านข้างเพื่อหลบหลีกการโจมตีโดยไม่พลาดพลั้ง"ไม่คิดว่าศิษย์ของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์จะมากไปด้วยฝีมือเช่นนี้ ช่างน่าชื่นชมเสียจริง..." ชายชุดดำที่รับมือกับหนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้
"เป็นฝีมือของผู้ใดกันที่ลักลอบกระทำต่ำช้าเช่นนี้ จงเปิดเผยตัวมาเสีย!!!" เฟยหลงคำรามสุดเสียงด้วยความโกรธก่อนจะตบเท้าขึ้นกลางอากาศ สองมือพลันลุกโหมด้วยเปลงเพลิงสีดำทมิฬก่อนจะฟาดไปยังจุดบริเวณที่หนิงอ้ายหายตัวไปเมื่อครู่ พลานุภาพแห่งเปลวเพลิงสีนิลนี้กร้าวแกร่งถึงขีดสุดด้วยพลังที่ลึกล้ำเหนือระดับราชันวิญญาณขั้นต้นกำลังสั่นสะเทือนพื้นที่โดยรอบอย่างไม่ยั้งมือเวลาเพียงไม่กี่สิบรอบลมหายใจต่อมา ห้วงมิติผันผวนตรงหน้าได้แตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ ก่อนที่ทุกสิ่งอย่างจะกลับมาสงบเงียบราวกับว่าเมื่อครู่นั้นไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น สีหน้าตื่นตะลึงของเฟยหลงปรากฎขึ้นอย่างไม่ปิดบังเลยสักนิด แม้ว่าร่างกายหนังมนุษย์นี้จะถูกจำกัดพลังวิญญาณเพียงเขตขั้นราชันวิญญาณขั้นต้น ทว่าความแข็งแกร่งมีมากเพียงใดเขาย่อมเป็นผู้ที่รับรู้ดีที่สุด สิ่งที่เกิดขึ้นกล่าวได้ว่าเป็นการแหวกมิติชั้นสูงที่ไม่ธรรมดาสามัญทั่วไปอย่างแท้จริงก่อนหน้านี้ทุกการกระทำของหนิงอ้ายล้วนอยู่ในสายตาและการรับรู้ของเขาทั้งสิ้น แต่เพียงอึดใจเดียวที่ทันไม่ระวังเท่านั้น ร่างบางกลับหายลับไปโดยไร้ซึ่งร่อยรอยใดให้ติดตาม เฟยหลงรีบหันซ้ายขวามองหาอีกฝ่ายในทันทีอย่าง
ชายหนุ่มผู้หนึ่งก้าวเดินออกจากโรงเตี๊ยมด้วยความมั่นคง ชายเสื้ออาภรณ์สีเขียวขาวโดดเด่นสะอาดตาแก่ผู้พบเห็น ป้ายหยกที่แขวนห้อยอยู่ตรงข้างเอวนั่นเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าเป็นถึงนักปรุงโอสถระดับสี่ สมญานามวิญญาจารย์โอสถ แน่นอนว่าด้วยฐานะตำแหน่งนี้ไม่อาจดูเบาได้เพียงนิด แม้แต่เจ้าเมืองปกครองหากต้องพบเจอยังต้องไว้หน้ามากกว่าสามส่วนเลยทีเดียวชายหนุ่มผู้นี้เป็นถึงหนึ่งในศิษย์ของปรมจารย์โอสถเหวินหวู่ นักปรุงโอสถระดับเจ็ดเพียงหนึ่งเดียวในมหาทวีปบูรพาแห่งนี้ นามของชายหนุ่มนั่นคือเหยียนฮุ่ย ศิษย์ลำดับที่สามนั่นเองตั้งแต่วันที่ศิษย์ทุกคนของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาต้องออกเดินทางจากสำนักเพื่อเสาะหาประสบการณ์เป็นเวลาหนึ่งปี จากวันนั้นถึงวันนี้ก็เป็นเวลาถึงหนึ่งเดือนมาแล้ว เหยียนฮุ่ยได้ตั้งต้นการเดินทางไปยังทิศตะวันตกของสำนักศึกษา ด้วยเหตุผลสำคัญคือตรงบริเวณนั้นเต็มไปด้วยเขตแนวเทือกเขาสูงอุดมด้วยสมุนไพรระดับต่าง ๆ อย่างนับไม่ถ้วนระหว่างการเดินทางนอกจากที่เขาจะช่วยเหลือชาวบ้านที่เดือดร้อนหรือผู้ป่วยที่ต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างเร่งด่วนแล้ว เขาไม่ลืมที่จะฝึกตนทั้งการปรุงโอสถตามเคล็ดวิถีเฉพาะแห่งตน อี
กองกำลังที่หวังจิ่งหลงส่งเทียบเชิญมานั้น ทุกคนล้วนเป็นผู้ฝึกตนที่แกร่งกล้าที่เคยมีหนี้น้ำใจต่อกันทั้งสิ้น ขุมกำลังระดับนี้กล่าวว่าเหนือชั้นกว่ากองกำลังของกลุ่มอิทธิพลทั่วไปอย่างแท้จริง สำหรับสถานที่ตั้งของสำนักเทพมารทมิฬนั้นจริงอยู่ที่พวกเขาพอรับรู้ถึงบริเวณดังกล่าว แต่ใคร่จะไปเยือนโดยง่ายก็หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ พึงทราบว่าทุกกลุ่มอิทธิพลในมหาทวีปบูรพาแห่งนี้นล้วนมีม่านปราการป้องกันการรุกล้ำกันทั้งสิ้นผ่านไปเป็นเวลาหลายชั่วยามในการเคลื่อนทัพตามเส้นทางที่ถูกกำหนด ตรงเบื้องหน้าได้ปรากฎเป็นผืนป่าขนาดใหญ่ที่เงียบสงบไร้ซึ่งเสียงแห่งชีวิตของทุกสรรพสิ่ง ยามราตรีกาลอันมืดมิดเช่นนี้มีเพียงแสงจากจันทราเท่านั้นที่ยังคงสาดส่องทอแสงให้พอเห็นอยู่เรือนลาง แต่ถึงอย่างไรแล้วความเงียบสงบจนน่าผิดวิสัยเช่นนี้ย่อมบ่งชี้ได้ว่าสถานที่ดังกล่าวหาใช่สถานที่ธรรมดาดั่งที่เห็น"เรียนท่านหวังจิ่งหลง ตอนนี้กองกำลังของพวกเราได้มาถึงเขตป่าชั้นนอกที่เปรียบได้ดั่งค่ายกลธรรมชาติที่คอยคุ้มครองสำนักเทพมารทมิฬแล้วขอรับ..." หวังฮุ่ยเอ่ยขึ้นกับนายเหนือหัวของตนด้วยความยำเกรง โทสะของท่านประมุขนั้นหาสงบลงได้โดยง่ายแล้วในยามนี้ส
ท่ามกลางลานต่อสู้กลางท้องฟ้า กระแสพลังปราณธรมชาตินับไม่ถ้วนกระหน่ำเข้าจู่โจมเหล่าผู้แกร่งกล้าทั้งสิบที่กำลังร่วมมือทำลายหมุดค่ายกลตรงหน้านี้อย่างไม่ลดละ อย่างไรก็ตามพวกเขาเหล่านี้ก็เป็นถึงราชทินนามเทวะวิญญาณขั้นสูงย่างก้าวราชันวิญญาณขั้นต้นกันทั้งสิ้น พลังฝีมือแต่ละคนดุดันน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง แม้ไม่ได้ทุ่มเทพลังปราณทั้งหมดก็สามารถสร้างแรงสะเทือนทำลายไปได้ไม่น้อย สิ่งนี้อาศัยแต่เพียงเวลาเท่านั้นเสาศิลาอันเป็นหมุดค่ายกลจากธรรมชาตินี้คล้ายกับปราการป้องกันอันแข็งแกร่งของทางสำนักเทพมารทมิฬคงไม่เกินจริงไปนัก แต่ถึงอย่างไรนั้นสุดยอดพลังปราณทำลายล้างที่ถาโถมเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้งได้กระหน่ำลงไปยังพสุธาเบื้องล่างอย่างไม่ขาดสาย ส่งผลให้พลังปราณธรรมชาติที่คอยค้ำจุนเสาศิลาหมุดค่ายกลนี้ถูกขัดขวางไหลเวียนไม่ราบรื่น เสาศิลาบังเกิดเป็นรอยร้าวที่เริ่มถูกกะเทาะแตกขึ้นเรื่อย ๆ แล้วยามนี้"เสริมพลังปราณค้ำจุนเสาหลักหมุดค่ายกลนี้สุดกำลัง ค้ำยันม่านพลังป้องกันนี้ให้นานที่สุดเท่าที่จะกระทำได้!!!" ชายวัยกลางคนที่คาดว่าอาจเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสสำคัญของทางสำนักเทพมารทมิฬร้องตะโกนขึ้นสิ้นเสียงคำสั่งดังกล่าว
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต
มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล
ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย