ชายหนุ่มผู้หนึ่งก้าวเดินออกจากโรงเตี๊ยมด้วยความมั่นคง ชายเสื้ออาภรณ์สีเขียวขาวโดดเด่นสะอาดตาแก่ผู้พบเห็น ป้ายหยกที่แขวนห้อยอยู่ตรงข้างเอวนั่นเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าเป็นถึงนักปรุงโอสถระดับสี่ สมญานามวิญญาจารย์โอสถ แน่นอนว่าด้วยฐานะตำแหน่งนี้ไม่อาจดูเบาได้เพียงนิด แม้แต่เจ้าเมืองปกครองหากต้องพบเจอยังต้องไว้หน้ามากกว่าสามส่วนเลยทีเดียว
ชายหนุ่มผู้นี้เป็นถึงหนึ่งในศิษย์ของปรมจารย์โอสถเหวินหวู่ นักปรุงโอสถระดับเจ็ดเพียงหนึ่งเดียวในมหาทวีปบูรพาแห่งนี้ นามของชายหนุ่มนั่นคือเหยียนฮุ่ย ศิษย์ลำดับที่สามนั่นเอง
ตั้งแต่วันที่ศิษย์ทุกคนของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาต้องออกเดินทางจากสำนักเพื่อเสาะหาประสบการณ์เป็นเวลาหนึ่งปี จากวันนั้นถึงวันนี้ก็เป็นเวลาถึงหนึ่งเดือนมาแล้ว เหยียนฮุ่ยได้ตั้งต้นการเดินทางไปยังทิศตะวันตกของสำนักศึกษา ด้วยเหตุผลสำคัญคือตรงบริเวณนั้นเต็มไปด้วยเขตแนวเทือกเขาสูงอุดมด้วยสมุนไพรระดับต่าง ๆ อย่างนับไม่ถ้วน
ระหว่างการเดินทางนอกจากที่เขาจะช่วยเหลือชาวบ้านที่เดือดร้อนหรือผู้ป่วยที่ต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างเร่งด่วนแล้ว เขาไม่ลืมที่จะฝึกตนทั้งการปรุงโอสถตามเคล็ดวิถีเฉพาะแห่งตน อีกทั้งยังได้บ่มเพาะเพิ่มพูนพลังฝีมือ พลังลมปราณให้มีความก้าวหน้าในทุกด้านที่มากยิ่งขึ้น จนในตอนนี้เขาสามารถเลื่อนระดับเป็นผู้ฝึกตนราชทินนามราชันวิญญาณขั้นต้นได้อย่างสมบูรณ์แล้ว
หากพูดถึงในเรื่องของการออกเดินทางจากสำนักเพื่อเสาะหาประสบการณ์ กล่าวได้ว่าสิ่งนี้ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติยึดถือของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษามาอย่างช้านานหรืออาจตั้งแต่แรกเริ่มก่อตั้งตำหนักเสียแล้วด้วยซ้ำ
ระยะเวลาเพียงหนึ่งปีนั้น ความสำเร็จในการฝึกฝนที่ศิษย์แต่ละคนในตำหนักจะบรรลุย่อมแตกต่างกันไปทั้งสิ้น ความพยายามและพรสวรรค์นับได้ว่าเป็นอีกหนึ่งตัวแปรที่สำคัญเช่นกัน อย่างไรก็ตามเมื่อได้เลือกเดินเข้าสู่เส้นทางนี้แล้วหนทางข้างหน้าย่อมไม่ราบเรียบดั่งใจนึก อุปสรรคและปัญหาที่ได้ประสบรับมือจะช่วยให้พัฒนาตนเองได้มากขึ้น…
สายลมเย็นพัดผ่านชวนให้ใจรู้สึกสงบ ไอหมอกหนาแห่งฤดูเหมันต์ยังคงปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองแห่งนี้ เสียงพูดคุยของผู้คนมากมายที่ออกมาจับจ่ายซื้อของกันอย่างคึกคัก ไอควันสีขาวลอยขึ้นสูงเป็นสิ่งมี่มองเห็นได้ตามปกติสำหรับร้านค้าของกินริมข้างทางที่ทอดยาวส่งกลิ่นหอมเย้ายวนชวนให้รู้สึกหิวอยู่ไม่น้อย อย่างไรก็ตามเมืองแห่งนี้นับว่าเป็นเมืองขนาดกลางที่ตั้งอยู่ห่างสำนักศึกษาที่หากจะกล่าวว่าไม่ใกล้ไม่ไกลคงไม่เกินไปมากนัก เพราะอย่างไรเจ้าเมืองปกครองนี้นับว่าเคยเป็นศิษย์ที่เคยศึกษาเล่าเรียนในสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน
ยามฤดูเหมันต์มาเยือนในแต่ละปีเมืองหมอกธาราแห่งนี้จะถูกปกคลุมด้วยอากาศที่หนาวเย็นยิ่ง ทว่ายังมีไม้ชนิดหนึ่งที่ยังคงยืนต้นอยู่อย่างมั่นคงสวยงามอีกทั้งยังคงผลิดอกไม้สีชมพูสวย ที่ร่วงหล่มยามเมื่อสายลมพัดมา กล่าวได้ว่าช่างเป็นบรรยากาศที่ชวนให้รู้สึกน่าพักผ่อนไม่น้อยเลยทีเดียว
เหยียนฮุ่ยยังคงเดินเที่ยวชมบรรยากาศในเมืองนี้อย่างไม่เร่งรีบ ชายหนุ่มได้เดินมาถึงส่วนท้ายของตลาดที่มีแผงลอยอันเต็มไปด้วยผู้คนมากมายหนาแน่น เมืองหมอกธาราแห่งนี้แม้ไม่ได้เป็นเมืองหน้าด่านหรือเป็นเมืองใหญ่ก็จริง ทว่ายังมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ต่างเดินทางผ่านเส้นทางของเมืองนี้ ดังนั้นแล้วบรรดาพ่อค้าแม่ค้าย่อมมีมาก สินค้าให้เลือกซื้อก็มีหลากหลาย บ้างก็มีทั้งราตาสูงหรือราคาต่ำสลับกันไป
ด้วยญาณสัมผัสอันลึกล้ำเฉพาะของนักปรุงโอสถ นอกจากจะช่วยเหลือยามเมื่อต้องหลอมสร้างปรุงโอสถแล้วนั้น ญาณสัมผัสเหล่านี้ยังช่วยคัดแยกสิ่งของล้ำค่าหายากที่ไม่สามารถเล็ดลอดสายตาและการรับรู้ของเขาไปได้
ท่วงท่าเคล็ดวิชาตัวเบายามเมื่อโคจรพลังลมปราณขับเคลื่อน ยามเมื่อเป็นถึงราชทินนามราชันวิญญาณเช่นนี้แล้วย่อมสามารถสำแดงความพิศดารออกมาได้เป็นอย่างดี อย่างไรแล้วเคล็ดวิชาตัวเบาประจำตระกูลใหญ่เช่นนี้ย่อมไม่ธรรมดาสามัญอย่างแท้จริง ฝีเท้าของเหยียนฮุ่ยนับว่าว่องไวยิ่งนัก เพียงไม่กี่ชั่วยามก็มาถึงเขตป่าส่วนนอกที่อยู่ไกลจากเมืองหมอกธารานี้ไม่น้อย ดวงตะวันเคลื่อนคล้อยปรากฎแสงสีแดงส้มในยามอัสดง ด้วยความเร็วในการเดินทางเช่นนี้ไม่เกินหนึ่งเดือนให้หลังเขาย่อมไปถึงเขตพื้นที่เทือกเขาอันเป็นจุดหมายปลายทางในครั้งนี้ได้เป็นแน่
"นี่มัน!!!" เหยียนฮุ่ยร้องออกมาด้วยความตกใจ
สิ่งที่ปรากฎขึ้นตรงหน้าคือหยกสื่อสารที่ศิษย์ในตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาล้วนได้รับจากเหวินหวู่ผู้เป็นอาจารย์ทั้งสิ้น หยกสื่อสารนี้การใช้งานย่อมเป็นไปดังชื่อเรียกขาน ทว่าอย่างไรก็ตามสิ่งมี่เกิดนี้กล่าวได้ว่ามีความผิดปกติเป็นอย่างยิ่ง
"ยกเลิกภารกิจออกเดินทางหาประสบการณ์ในครั้งนี้ ศิษย์ทุกคนรีบกลับสำนักศึกษาให้เร็วที่สุด..." ด้วยข้อจำกัดของหยกสื่อสารนั้น สารที่ต้องส่งต่อยังปลายทางนั้นยังคงถูกจำกัดไปไม่น้อย ดังนั้นข้อความที่ถูกส่งต่อจึงสั้นและเน้นเฉพาะความสำคัญเพียงนี้
เหยียนฮุ่ยที่ได้ยินดังนั้นจึงรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก ใช่ว่าตลอดการเดินทางที่ผ่านมาเขาจะไม่รับรู้ถึงข่าวลือที่เกิดขึ้นในมหาทวีปนี้เสียเมื่อไหร่ การหายตัวไปอย่างปริศนาของผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ชายหญิง รวมไปถึงการตายอย่างผิดธรรมชาติที่ไม่อาจระบุสาเหตุหรือผู้กระทำได้ ดูท่าแล้วเหตุการณ์ในตอนนี้ไม่อาจวางใจได้อย่างแท้จริง…
ห้วงอากาศพลันสั่นสะเทือนเลือนลั่นอย่างรุนแรงด้วยการกระทำของสมบัติวิเศษที่ถูกเรียกใช้ด้วยผู้ฝึกตนระดับสูงลึกลับ กลิ่นอายอหังการระเบิดออกทะลักทะลายทั่วทุกสารทิศ แสงสีเหลืองเข้มประกายส้มอันแสดงถึงวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟขั้นสูงของผู้บัญชาการเบื้องหลังได้พวยพุ่งขยายออกเป็นช่องว่างขนาดใหญ่ยิ่ง
ราวกับว่าทุกสิ่งอย่างถูกจัดสรรเฉพาะแม่นยำราวกับจับวางคงไม่เกินจริงไปนัก ห้วงมิติพิศดารนี้ถึงกับจงใจเลือกปรากฎตรงด้านหลังของหนิงอ้ายเพียงคนเดียวเท่านั้น พริบตานั้นสมบัติวิเศษได้ขยายแหวกมิติดูดเอาทุกสรรพสิ่งกลืนหายเข้าไปด้านในอย่างกระหาย กระแสพลังนี้ได้สะกดข่มพลังลมปราณ พลังของสายเลือดรวมไปถึงสมบัติวิเศษที่ตกอยู่ภายใต้อาณาเขตนี้ แรงดึงดูดด้านในมหาศาลเหนี่ยวรั้งจนไม่อาจต้านทานได้เพียงนิด
เฟยหลงย่อมจดจำได้ดีว่าในตอนนั้น เขาไม่รอช้ารีดเค้นพลังลมปราณที่ถูกสะกดข่มออกมาถึงขีดสุดพร้อมกับเรียกใช้ทักษะวิญญาณยุทธ์ลับออกมาอย่างไม่ลังเล หากเป้าหมายของการกระทำชั่วช้าลับหลังนี้เป็นหนิงอ้ายแล้ว ขอเพียงเขาทำการสลับตัวกับอีกฝ่ายได้สำเร็จแผนการนี้ย่อมไม่อาจลุล่วงสำเร็จไปได้โดยง่าย
คล้ายกับหนิงอ้ายสามารถคาดเดาถึงการกระทำของเฟยหลงที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ ใบหน้างามของเด็กหนุ่มนั้นบิดเบี้ยวราวกับเผชิญกับความเจ็บปวดอย่างสุดประมาณแสนสาหัส กลิ่นอายพลังแห่งสายเลือดบริสุทธิ์เข้มข้นที่ยังสามารถฝ่าฝืนดื้อรั้นบัญชาการอย่างยากลำบากทรมาน ยามถูกเรียกใช้ออกมาได้ปรากฎเป็นเงาปีกปักษาเพลิงสีแดงทองขนาดใหญ่สยายออกด้านข้างก่อนจะคลุมปกปิดเรือนร่างราวกับกำลังปกป้องสิ่งของสำคัญล้ำค่าหวงแหน เส้นผมแต่เดิมที่ถูกปกปิดด้วยบทเวทย์ปลอมแปลงได้แปรเปลี่ยนเป็นสีขาวเงินบริสุทธิ์อีกครั้ง ดวงตาสีฟ้าราวกับอัญมณีล้ำค่าไหววูบเป็นสีทองอร่ามสว่างวาบชวนให้แปลกใจยิ่งนัก
เพียงประกายแสงสีทองตกกระทบถึงชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงเบื้องหน้า ร่างกายของเฟยหลง กลับไร้ซึ่งเรี่ยวแรงอย่างสมบูรณ์และไม่อาจขยับเคลื่อนร่างกายดั่งใจนึกใจได้ ชายหนุ่มย่อมรู้ดีว่า หนิงอ้ายนั้นมีความพิเศษไม่สามัญที่ลึกล้ำกว่าผู้ฝึกตนระดับเดียวกันเป็นอย่างมาก แต่เขาไม่คาดคิดว่าทักษะเมื่อครู่เพียงแค่เขาจ้องมองดวงตาของอีกฝ่ายนั้น คล้ายกับมีพลังอันแข็งแกร่งสายหนึ่งที่เข้าลุกล้ำบังคับร่างกายให้หยุดนิ่งโดยฉับพลัน เวลานี้เขาไม่อาจขยับร่างกายได้แล้ว ก่อนจะปรากฎกรงเล็บสีดำทมิฬนับไม่ถ้วนคล้ายกับจะคว้าบางสิ่งอย่างตามบัญชาการของผู้เป็นนาย…
ครืน!!
ทันทีที่ร่างกายของหนิงอ้ายถูกกระชากหายไป ห้วงมิติกระแสพิศดารได้สั่นสะเทือนอย่างรุนแรงเลือนลั่น แสงสีเหลืองเข้มประกายส้มทอแสงสว่างสาดซัดออกไปเป็นรัศมีวงกว้างอีกครั้งก่อนจะตวัดกลับหมุนเข้าสู่ภายในสมบัติวิเศษนี้ในพริบตา พร้อมกับเสียงคำรามลั่นดังสะท้อนไปทั่วก่อนจะเงียบหายไปในที่สุด
การสูญเสียสิ่งสำคัญไปอีกครั้ง ยังคงวนเวียนคอยตอกย้ำเฟยหลงให้กล่าวโทษตัวเองไม่รู้จบสิ้น...
นับเป็นเวลาสามวันแล้วที่หนิงอ้ายได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยโดยที่ไม่อาจสืบเสาะค้นหาได้เลยเพียงนิด สำหรับการประชุมของทั้งห้าสำนักศึกษาที่พึ่งจบลงไปในวันนี้ได้ข้อสรุปปฏิบัติเป็นแนวทางเดียวกัน นั่นคือสมควรที่จะเปิดเผยเรื่องราวความวุ่นวายที่กำลังเกิดขึ้น เพื่อให้บรรดาสำนักศึกษาต่าง ๆ บรรดาตระกูลผู้ฝึกตนชนชั้นเรืองนามรวมไปถึงผู้ฝึกตนและชาวบ้านธรรมดาทั่วไปได้เตรียมพร้อมตระหนักรับมือสิ่งที่กำลังจะตามมาหลังจากนี้
เหตุการณ์การหายตัวไปของรุ่นเยาว์ชายหญิงจากตระกูลผู้ฝึกตนที่มีชื่อเสียง ศิษย์ประจำสำนักศึกษาที่ออกเดินทางทำภารกิจที่หายตัวไปอย่างลึกลับหรือแม้กระทั่งผู้ฝึกตนธรรมดาและชาวบ้านที่ตกตายไปอย่างผิดธรรมชาติระยะหลังมานี้ แม้พวกเขาต่างพอคาดเดาได้อยู่บ้างแล้วว่าผู้ใดกันอยู่เบื้องหลังอยู่บ้างแต่ไม่คิดว่าจะกระทำอุกอาจไม่หวั่นเกรงอำนาจใดทั้งสิ้น
เมื่อข่าวคราวนี้ได้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งมหาทวีปบูรพาราวกับไฟลามทุ่ง กล่าวได้ว่าสุดยอดต้นกล้ารุ่นเยาว์ที่สุญเสียไปอย่างไม่หวนคืนยิ่งส่งผลให้ขั้วอำนาจย่อมสั่นคลอนไปบ้างไม่มากก็น้อย พึงทราบว่ากว่าจะบ่มเพาะรุ่นเยาว์ในตระกูลหรือศิษย์ในสำนักให้เพิ่มพูนทักษะไปด้วยฝีมือนั้นหาใช่ต้องอาศัยเพียงแค่เวลาเท่านั้น เพราะว่าทั้งสมบัติวิเศษ โอสถล้ำค่า ตำราเคล็ดวิชาหายากล้วนเป็นส่วนประกอบ การเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงได้เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เสียแล้ว...
"หนิงอ้ายหายตัวไปอย่างนั้นรึ!!" เสียงของหวังจิ่งหลงดังขึ้นอย่างแข็งกร้าวดุดัน กลิ่นอายเฉพาะอหังการของผู้ฝึกตนราชทินนามราชันวิญญาณขั้นสูงย่างก้าวราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณไม่อาจดูเบาได้เพียงนิด เปลวเพลิงสีส้มอันเป็นปราณธาตุประจำตัวลุกประกายพวยพุ่งแผ่ซ่านออกมาถึงขีดสุด
หวังหนิงอ้ายหลานของเขานับเป็นสุดยอดรุ่นเยาว์ผู้เป็นความหวังของตระกูลหวังอย่างแท้จริง เด็กหนุ่มสามารถปลุกพลังสายเลือดของพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์ที่หายสาปสูญนับพันปีหรือหลายพันปี มากไปกว่านั้นยังเป็นถึงผู้ครอบครองวิญญาณยุทธ์มากกว่าหนึ่ง ประกอบด้วยปราณธาตุที่หลากหลายสามารถบัญชาการได้อย่างเชี่ยวชาญงดงามน่าอัศจรรย์
ฟังว่าเด็กหนุ่มพึ่งเข้าสำนักศึกษาได้เพียงไม่นานแต่กลับสามารถสอบเลื่อนระดับเป็นนักปรุงโอสถระดับสอง สมญานามปัญญาจารย์โอสถด้วยวัยเพียงสิบหกปีนับว่ายอดเยี่ยมมากยิ่ง แน่นอนว่าเรื่องพลังฝีมือการต่อสู้ก็เลิศล้ำไปไม่แพ้กัน ฐานะตำแหน่งเจ้าแห่งยุทธภพรุ่นเยาว์คนล่าสุดย่อมการันตรีสิ่งนี้โดยไร้คำโต้แย้ง และยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงฐานะว่าที่ประมุขตระกูลหวังคนต่อไปที่ควรค่าแก่การปกป้องดูแลแล้ว
"หนิงเอ๋อร์..." เยว่ซินร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจ ก่อนหน้านี้ได้เกิดลางบอกเหตุนั่นคือป้ายหยกวิญญาณประจำตัวของหนิงอ้ายที่อยู่ในศาลบรรพชนของตระกูลหวังได้บังเกิดเป็นรอยร้าว จนมาถึงวันนี้จึงได้รู้ถึงสาเหตุในที่สุด
หวังจิ่งหลงมองภาพตรงหน้าด้วยความคับแค้นใจ ซ่งเหมยฮวา ภรรยาคู่ชีวิตของเขากำลังนั่งกอดปลอบประโลมเยว่ซินผู้เป็นบุตรสาวที่กำลังเศร้าโศกปวดร้าวอย่างถึงที่สุด จวนตระกูลหวังของเขาพึ่งได้อยู่พร้อมหน้าได้เพียงไม่นานแต่กลับเกิดเรื่องราวเช่นนี้ จะไม่ให้รู้สึกเดือดดาลได้อย่างไร
"ทางสำนักหาได้นิ่งนอนใจไม่ ตอนนี้ท่านเจ้าสำนักได้เพิ่มกองกำลังติดตามฝีมือดีขยายเขตพื้นที่ตามหาไปถึงรอยต่อของมหาทวีปทักษิณแล้ว อย่างไรข้าย่อมไม่ยินยอมให้ศิษย์สืบทอดของข้าเป็นอันใดไปอย่างแน่นอน" เงาร่างของเหวินหวู่ที่ปรากฏขึ้นบนหยกสื่อสารเอ่ยย้ำกับสหายของตนอีกครั้ง ก่อนจะพูดคุยในเรื่องราวอีกเล็กน้อยเพื่อเตรียมการบางสิ่งอย่างหลังจากนี้
ใช้เวลาเพียงไม่นานกลุ่มอิทธิพลอันเป็นพันธมิตรกับตระกูลหวังรวมไปถึงตัวตนลึกลับที่มีความข้องเกี่ยวในตระกูลหวังสายหลัก สายรองต่าง ๆ ล้วนได้รับเทียบเชิญกันทั้งสิ้น คุณชายหวังหนิงอ้ายผู้เป็นว่าที่ประมุขตระกูลหวังคนต่อไปได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยไม่อาจสืบเสาะได้ แน่นอนว่าความโกรธเกรี้ยวได้บังเกิดก่อตัวขึ้นภายในใจอย่างไม่ยินยอม
คนภายนอกอาจมองว่าตระกูลหวังที่เป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำอาจเป็นเพียงลูกพลับนิ่มที่อาศัยบุญบารมีเก่าจากท่านบรรพชนผู้ก่อตั้งตระกูลจึงสามารถตั้งหลักมั่นคงบนแคว้นเต้าดำเช่นนี้ แต่ความจริงหาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ผู้แกร่งกล้ามากมายนับไม่ถ้วนที่ไม่อาจประมาณจำนวนได้ต่างรวมตัวกันตรงพื้นที่ของตระกูลหวัง กลิ่นอายพิศดารของผู้ฝึกตนระดับสูงที่ไม่อาจคาดเดาระดับพลังวิญญาณได้นั้นสร้างความหวั่นเกรงแก่ผู้คนในมหานครแคว้นเต่าดำเป็นอย่างมาก ตอนนี้พวกเขาล้วนกระจ่างแก่ใจแล้วว่ายามเมื่อมังกรถูกย้อนเกล็ดนั้นเป็นอย่างไร
สาเหตุที่กลุ่มอิทธิพลชนชั้นเรืองนามทราบเรื่องนี้นั่นก็เป็นเพราะหวังจิ่งหลงได้ประกาศกร้าวแพร่กระจายข่าวออกไปอย่างรวดเร็วเพื่อเป็นการรวมกลุ่มออกตามหาหนิงอ้ายผู้เป็นหลานของตน ไม่เพียงเท่านั้นหวังจิ่งหลงยังได้ประกาศล่าตามตัวหาผู้ที่ลงมือกระทำชั่วช้าลับหลังเช่นนี้ หน่วยข่าวกรองสืบเสาะจนได้รับรู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นเป็นฝีมือของของนักฆ่าสังกัดสำนักพยัคฆ์ทมิฬ หนึ่งในตัวตนดำมืดที่มีอิทธิพลกว้างขวาง เมื่อทราบผู้ลงมือกระทำดังนั้นแล้วเป้าหมายคือการเยือนถิ่นตั้งของสำนักชั่วช้าดังกล่าว ไม่ว่าใครที่ให้ความช่วยเหลือทั้งทางตรงหรือทางอ้อมล้วนถูกจัดการไปพร้อมกันทั้งสิ้น
วาจาของหวังจิ่งหลงนั้นประหนึ่งคำประกาศสงครามคงไม่เกินจริงไปนัก การกระทำนี้หาได้ต้องการดึงผู้อื่นเข้ามายุ่งเกี่ยวใดใดทั้งสิ้น นั่นหมายความว่าทุกสิ่งอย่างที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ตระกูลหวังจะเป็นผู้แบกรับทั้งหมดด้วยตนเอง
ก่อนหน้านี้บรรดาสามตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำต่างแจ้งความประสงค์ที่จะยื่นมือให้ความช่วยเหลือตระกูลหวังในครั้งนี้เช่นกัน ทว่าหวังจิ่งหลงได้เอ่ยปฏิเสธไปพร้อมกับให้เหตุผลแต่เพียงว่านี่เป็นความบาดหมางของตระกูลหวังกับสำนักเทพมารทมิฬเพียงเท่านั้น สำหรับน้ำใจที่หยิบยื่นให้ในครั้งนี้ทางตระกูลหวังย่อมตอบแทนคืนในสักวันอย่างแน่นอน
"ท่านหวังจิ่งหลง บรรดาผู้แข็งแกร่งที่ได้รับการเชื้อเชิญทุกคนมาถึงพร้อมกันแล้วขอรับ!!" ตรงลานรับรองด้านนอกของจวนตระกูลหวังสายหลัก บัดนี้ได้มีกลุ่มคนจำนวนไม่น้อยที่หยัดยืนกันอย่างเนืองแน่น กลิ่นอายของแต่ละคนที่แผ่ซ่านออกมานั้นล้วนเป็นบรรดาผู้กล้าชนชั้นเรืองนาม บ้างก็เป็นผู้ฝึกตนของตระกูลหวังที่เร้นกายจากมหาทวีปแห่งนี้ไปเนิ่นนานแล้ว เพียงแค่เทียบเชิญเดียวกลับเรียกระดมกองกำลังสนับสนุนได้มากถึงเพียงนี้
ผู้คนที่อาศัยในมหานครแคว้นเต่าดำล้วนตกตะลึงกันเป็นอย่างมาก เพราะกองกำลังของผู้ฝึกตนที่ทางตระกูลหวังเรียกระดมเข้าร่วมนั้นหาได้ธรรมดาสามัญอย่างแท้จริง บรรดาผู้ฝึกตนที่กล้าแกร่งเหล่านี้ต่างหลั่งไหลมาจากทั่วทั้งสารทิศ คิดไม่ถึงว่าด้วยนะยะเวลาที่สั้นเพียงนี้จะสามารถรวบรวมเป็นกองกำลังใหญ่ที่อหังการปานนี้ได้
"สำนักเทพมารทมิฬเป็นกลุ่มอิทธิพลต่ำช้าที่คอยสร้างความวุ่นวายแก่ทวีปบูรพามาอย่างยาวนาน ครั้งนี้ถึงกับกล้าจับตัวหลานชายของข้าไป เช่นนั้นแล้วอย่าหวังว่าจะรอดไปโดยง่าย!!" หวังจิ่งหลงประกาศกร้าวออกมา ดวงตาวาวโรจน์ประกายความคับแค้น กองกำลังที่สามารถรวบรวมอย่างเร่งด่วนครั้งนี้ล้วนเป็นยอดฝีมือที่มีพลังวิญญาณไม่ต่ำกว่าราชทินนามเทวะวิญญาณทั้งสิ้น
"มุ่งหน้าสู่ตำหนักเทพมารทมิฬ ไม่ว่าผู้ใดเข้ามาขัดขวาง จงสังหารเข่นฆ่าให้ตายตกไปทั้งสิ้น!!" เสียงของหวังจิ่งหลงเอ่ยขึ้นสะท้อนดังไปทั่ว ขบวนกองกำลังที่ไม่ธรรมดาสามัญนี้ต่างเคลื่อนขยับเดินทางมุ่งตรงอย่างไม่หวั่นเกรงทั้งสิ้น ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของผู้คนที่อยู่โดยรอบอย่างแท้จริง...
กองกำลังที่หวังจิ่งหลงส่งเทียบเชิญมานั้น ทุกคนล้วนเป็นผู้ฝึกตนที่แกร่งกล้าที่เคยมีหนี้น้ำใจต่อกันทั้งสิ้น ขุมกำลังระดับนี้กล่าวว่าเหนือชั้นกว่ากองกำลังของกลุ่มอิทธิพลทั่วไปอย่างแท้จริง สำหรับสถานที่ตั้งของสำนักเทพมารทมิฬนั้นจริงอยู่ที่พวกเขาพอรับรู้ถึงบริเวณดังกล่าว แต่ใคร่จะไปเยือนโดยง่ายก็หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ พึงทราบว่าทุกกลุ่มอิทธิพลในมหาทวีปบูรพาแห่งนี้นล้วนมีม่านปราการป้องกันการรุกล้ำกันทั้งสิ้นผ่านไปเป็นเวลาหลายชั่วยามในการเคลื่อนทัพตามเส้นทางที่ถูกกำหนด ตรงเบื้องหน้าได้ปรากฎเป็นผืนป่าขนาดใหญ่ที่เงียบสงบไร้ซึ่งเสียงแห่งชีวิตของทุกสรรพสิ่ง ยามราตรีกาลอันมืดมิดเช่นนี้มีเพียงแสงจากจันทราเท่านั้นที่ยังคงสาดส่องทอแสงให้พอเห็นอยู่เรือนลาง แต่ถึงอย่างไรแล้วความเงียบสงบจนน่าผิดวิสัยเช่นนี้ย่อมบ่งชี้ได้ว่าสถานที่ดังกล่าวหาใช่สถานที่ธรรมดาดั่งที่เห็น"เรียนท่านหวังจิ่งหลง ตอนนี้กองกำลังของพวกเราได้มาถึงเขตป่าชั้นนอกที่เปรียบได้ดั่งค่ายกลธรรมชาติที่คอยคุ้มครองสำนักเทพมารทมิฬแล้วขอรับ..." หวังฮุ่ยเอ่ยขึ้นกับนายเหนือหัวของตนด้วยความยำเกรง โทสะของท่านประมุขนั้นหาสงบลงได้โดยง่ายแล้วในยามนี้ส
ท่ามกลางลานต่อสู้กลางท้องฟ้า กระแสพลังปราณธรมชาตินับไม่ถ้วนกระหน่ำเข้าจู่โจมเหล่าผู้แกร่งกล้าทั้งสิบที่กำลังร่วมมือทำลายหมุดค่ายกลตรงหน้านี้อย่างไม่ลดละ อย่างไรก็ตามพวกเขาเหล่านี้ก็เป็นถึงราชทินนามเทวะวิญญาณขั้นสูงย่างก้าวราชันวิญญาณขั้นต้นกันทั้งสิ้น พลังฝีมือแต่ละคนดุดันน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง แม้ไม่ได้ทุ่มเทพลังปราณทั้งหมดก็สามารถสร้างแรงสะเทือนทำลายไปได้ไม่น้อย สิ่งนี้อาศัยแต่เพียงเวลาเท่านั้นเสาศิลาอันเป็นหมุดค่ายกลจากธรรมชาตินี้คล้ายกับปราการป้องกันอันแข็งแกร่งของทางสำนักเทพมารทมิฬคงไม่เกินจริงไปนัก แต่ถึงอย่างไรนั้นสุดยอดพลังปราณทำลายล้างที่ถาโถมเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้งได้กระหน่ำลงไปยังพสุธาเบื้องล่างอย่างไม่ขาดสาย ส่งผลให้พลังปราณธรรมชาติที่คอยค้ำจุนเสาศิลาหมุดค่ายกลนี้ถูกขัดขวางไหลเวียนไม่ราบรื่น เสาศิลาบังเกิดเป็นรอยร้าวที่เริ่มถูกกะเทาะแตกขึ้นเรื่อย ๆ แล้วยามนี้"เสริมพลังปราณค้ำจุนเสาหลักหมุดค่ายกลนี้สุดกำลัง ค้ำยันม่านพลังป้องกันนี้ให้นานที่สุดเท่าที่จะกระทำได้!!!" ชายวัยกลางคนที่คาดว่าอาจเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสสำคัญของทางสำนักเทพมารทมิฬร้องตะโกนขึ้นสิ้นเสียงคำสั่งดังกล่าว
"ข้าคงไม่ได้ออกมาต้อนรับช้าไปใช่หรือไม่?" หมอกควันสีดำอันเป็นสัญลักษณ์ของปราณมารแผ่ซ่านพวยพุ่งออกมาเป็นแส้กระดูกนับร้อยสาย ขุมพลังที่แผ่ซ่านกำจายนี้เพียงพอทัดเทียมกับหวังจิ่งหลงได้อย่างไม่ต้องสงสัย เพียงมันปรากฏขึ้นก็มีเสียงโหยหวนแพร่ะสะพัดดังระงมเสียงอันน่าสะพรึงกลัวนี้ล้วนมาจากเศษเสี้ยวดวงจิตสุดท้ายที่ยังหลงเหลืออยู่คล้ายกับบรรดาเหล่าทาสวิญญาณก่อนหน้าที่ถูกนำมาหลอมสร้างด้วยกลวิธีแปลกประหลาด อาณุภาพของแส้กระดูกพิศดารนี้เหนือล้ำยิ่ง ต่อให้ราชทินนามเทวะวิญญาณหลายสิบคนร่วมมือกันทำลายก็ไม่อาจสมหวังได้โดยง่าย"เทพมารแส้โลหิตกระดูกขาวคลั่ง หนึ่งในสี่ผู้พิทักษ์จอมมารครั้งอดีตกาล ไม่คาดคิดว่าเบื้องหลังของสำนักต่ำทรามนี้จะเป็นท่าน!!!" หวังจิ่งหลงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด เทพมารผู้นี้ครั้งหนึ่งถึงกับขึ้นชื่อเป็นอันดับต้น ๆ เป็นที่น่าหวั่นเกรงยิ่ง ในมหาศึกสงครามสุดท้ายระหว่างผู้ฝึกตนกับเหล่ามารครั้งนั้นฟังว่าอีกฝ่ายได้ถูกสังหารไปแล้ว ทว่าอย่างไรแล้วจากตำราบันทึกเก่าก่อนย่อมชี้ชัดได้ว่าไม่ผิดตัว มารผู้นี้ย่อมเป็นมารชั้นสูงเรืองนามผู้นั้นเป็นแน่ การปรากฏตัวของอีกฝ่ายไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่น
อัสนีบาตสีทองก่อตัวเป็นมหาวังวนขนาดใหญ่ฉีกกระชากห้วงมิติชั้นสูงอันพิศดารนี้แหวกออกเป็นช่องทางขนาดมหึมา เงาร่างหลายสายพุ่งทะยานก้าวเดินออกมาพร้อมกับกลิ่นอายลึกล้ำไม่แตกต่างจากกองกำลังที่หวังจิ่งหลงรวบรวมมาได้ก่อนหน้าพลังปราณอหังการรุนแรงสะกดข่มลงมาจากทั่วทุกสารทิศ ลานต่อสู้เหนือตำหนักของสำนักเทพมารทมิฬล้วนตกอยู่ภายใต้พลังกดดันอันแรงกล้าของผู้มาเยือน กลิ่นอายของโอสถระดับสูงที่ไม่อ่อนด้อยไปกว่าโอสถระดับเจ็ดได้แผ่ซ่านกำจายปกคลุมไปทั่ว พร้อมกับอานุภาพของสมบัติวิเศษระดับสูงที่ล้นทะลักออกมาถึงขีดสุด ทำให้บรรดาผู้แกร่งกล้าของกองกำลังหวังจิ่งหลงนั้นสามารถโคจรพลังปราณดูดซับฤทธิ์ของโอสถรักษาที่ผสานเข้ากับสมบัติวิเศษได้อย่างลงตัวผู้แกร่งกล้าบางคนย่อมไม่ทราบว่าผู้มาเยือนนั้นเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่มากเพียงใด พวกเขาต่างทราบเพียงว่ากลิ่นอายที่คนผู้นี้ปลดปล่อยนั้นเหนือล้ำจนไม่อาจบรรยายได้ หากเทียบกับประมุขตระกูลหวังผู้เป็นถึงราชทินนามราชันวิญญาณขั้นสูงย่างก้าวราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นต้นยังไม่อาจเปรียบเทียบได้เพียงนิดแต่สำหรับผู้แกร่งกล้าที่พอทราบว่าคนผู้นี้เป็นใครก็ถึงกับตกตะลึงกันไปเลยทีเดียว เดิม
เทือกเขาไท่หลุนเทือกเขาไท่หลุนเป็นแนวเทือกเขาโบราณขนาดใหญ่กินพื้นที่ผืนป่าไปทั้งแถบบริเวณนี้ ตั้งอยู่ใจกลางระหว่างเขตพื้นที่รอยต่อของสองมหาทวีปนั่นคือมหาทวีปประจิมและมหาทวีปทักษิณ ด้วยเพราะคงอยู่มาหลายร้อย หลายพันปีแล้ว กล่าวได้ว่าเทือกเขาไท่หลุนนี้จึงเต็มไปด้วยสรรพสิ่งมีชีวิตที่หลากหลายสายพันธ์ อีกทั้งยังเต็มไปด้วยกลิ่นอายลมปราณฟ้าดินที่บริสุทธิ์ยิ่งแน่นอนว่าด้วยความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าบริเวณเทือกเขาไท่หลุนนี้เอง จึงทำให้มีผู้ฝึกตนและชาวบ้านธรรมดาจำนวนไม่น้อยที่ต่างตั้งรกรากปักถิ่นฐานตั้งตัวเป็นหมู่บ้านน้อยใหญ่อยู่โดยรอบบริเวณป่าชั้นนอกกันอยู่อย่างหน้าแน่น หนึ่งในนั้นถึงกับนำชื่อของเทือกเขาแห่งนี้ตั้งชื่อเป็นหมู่บ้านเลยทีเดียวดังเช่นหมู่บ้านไท่หลุนแห่งนี้ที่มีอาณาเขตติดกับแนวเทือกเขามากที่สุด กล่าวได้ว่าหากผู้ฝึกตนหรือกลุ่มอิทธิพลใดที่ต้องการเสาะหาแสวงโชค ทั้งในการเสาะหาสมุนไพรวิเศษ การหาสัตว์อสูรในการผูกพันธะ หรือแม้กระทั่งการไล่ล่าสังหารสัตว์อสูรเพื่อช่วงชิงกระดูกวิญญาณ ล้วนต้องผ่านเข้าออกหมู่บ้านไท่หลุนนี้กันทั้งสิ้นทว่าในช่วงไม่กี่เดือนมานี้ หมู่บ้านไท่หลุนแห่งนี้กลับเกิดเหตุ
"ทุกคนถ่ายเทพลังปราณลงในสมบัติวิเศษชิ้นนี้ หากร่วมมือกันคงพอต้านรับหมอกสีนิลอำพันมรณะนี้ได้!!!" จบคำนั้นหานเมิ่งได้เรียกสมบัติวิเศษที่มีรูปร่างคล้ายกับร่มไม้สีทองสามชั้นชิ้นหนึ่งออกมา เมื่อได้รับการถ่ายเทพลังลมปราณแล้วนั้นจึงลอยขึ้นพร้อมกับขยายขนาดขึ้นพรวดพราด จากนั้นอักขระสีทองที่ถูกสลักอยู่ได้หมุนวนด้วยวิถีพิศดารก่อนจะแผ่ซ่านม่านพลังคุ้มครองออกมาอย่างทันท่วงที..."ม่านพลังป้องกันจากสมบัติวิเศษของศิษย์หานพี่น่าจะรับมือไม่ไหวแล้ว..." หลังจากผ่านไปเพียงหนึ่งเค่อ หมอกควันสีดำประหลาดนี้ได้ลอยอยู่ไม่ไกลส่วนศีรษะแล้ว ศิษย์ชายคนหนึ่งจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด"ทำอย่างไรดีขอรับศิษย์พี่หาน หากต่อสู้กับพวกสำนักเทพมารโลหิตกับเหล่าปีศาจข้าไม่กังวลเลยแม้แต่น้อย แต่กับเจ้าหมอกสีดำพวกนี้..." ศิษย์อีกคนเอ่ยเสริมขึ้นด้วยความกังวลไปไม่ต่างกันแม้สมบัติวิเศษร่มสามชั้นนี้จะเป็นสมบัติวิเศษระดับสูง สามารถขับไล่ความมืดมิดหรือปราณมารได้ก็จริง ทว่าม่านปราการปกป้องนี้หาได้ป้องกันพวกเขาจากหมอกควันสีดำนี้เท่านั้น ยามนี้กลิ่นอายความตาย ความชั่วร้ายได้แผ่กระจายออกเป็นระลอกคลื่นท้องฟ้าเหนือหมู่บ้านไท่หลุน
โอสถสลายปราณระดับสี่ถือเป็นโอสถที่มีฤทธิ์ร้ายสมชื่ออย่างแท้จริง หากผู้ฝึกตนที่มีปราณธาตุทั่วไปย่อมไม่อาจต้านทานได้โดยง่าย ทว่ากับหนิงอ้ายที่ครอบครองปราณธาตุพิษอันเกิดจากกระดูกวิญญาณอายุล้านปีของอสูรอสรพิษเหมันต์บรรพกาลแล้วโอสถนี้จึงไม่ต่างจากของเล่นเด็กคงไม่เกินจริงไปนัก ยามนี้พิษจากโอสถสลายลมปราณเริ่มถูกทำลายไปทีละส่วน พลังลมปราณที่เคยถดถอยในก่อนหน้าค่อยฟื้นคืนมากกว่าห้าถึงหกส่วนแล้ว อีกไม่เกินหนึ่งชั่วยามย่อมกลับมาสมบูรณ์พร้อมอีกครั้งไม่รอช้าหนิงอ้ายแผ่พลังปราณส่วนหนึ่งบัญชาการวิหคสอดแนมให้กระจายออกไปมากยิ่งขึ้น เภทภัยครั้งนี้ไม่อาจรับมือได้ง่ายด้วยเหตุปัจจัยหลายอย่าง แม้ว่าบรรดาผู้ฝึกตนที่ถูกจับตัวมาอย่างไม่ยินยอมนี้ล้วนเป็นราชทินนามเทวะวิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะที่ไม่ธรรมดาสามัญก็จริง อีกทั้งผู้อาวุโสชายสามท่านฝั่งนั้นก็เป็นถึงเป็นราชทินนามราชันวิญญาณขั้นต้นถือเป็นผู้แกร่งกล้าที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อย แต่หากเทียบกับผู้ควบคุมที่ใส่หน้ากากสีดำที่มีรากฐานอย่างน้อยที่เป็นถึงราชทินนามเทวะวิญญาณ และด้วยจำนวนนับไม่ถ้วนที่อยู่โดยรอบนี้ หากเกิดการปะทะต่อสู้สังหารขึ้นพวกเขาย่อมเป็นฝ่
ผู้ควบคุมทั้งสองตรงด้านหลังไม่รอช้าพุ่งเข้าโจมตีหนิงอ้ายด้วยความรวดเร็วเหนือกว่าผู้ฝึกตนทั่วไปสมกับเป็นเผ่าพันธ์ปีศาจที่มากไปด้วยความแข็งแกร่ง ทว่ากับหนิงอ้ายที่มีวิหคสอดแนมคอยสอดส่องอยู่อย่างเฝ้าระวัง อีกทั้งญาณสัมผัสอันลึกล้ำของนักปรุงโอสถจึงล่วงรู้และคาดเดาได้ถึงการเคลื่อนไหวนี้จึงส่งการโจมตีกลับไปอย่างไม่ยั้งมือหัตถ์หยกบุษกรพุทธอัคคีพิโรธ!!!!ตู้ม!!!!สิ้นเสียงดังกล่าว ฝ่ามือเพลิงอหังการสีแดงส้มประกายได้ปรากฏขึ้นขยายใหญ่พรวดพราดก่อนจะพุ่งเข้าซัดปีศาจระดับต่ำทั้งสองอย่างหนักหน่วงจนกระเด็กออกไปกระแทกเข้ากับบ้านเรือนจนเกิดเสียงดังสนั่นเลือนลั่นไปทั่ว ทุกคนล้วนตกตะลึงเป็นอย่างยิ่งไม่คาดว่าเพียงหนึ่งวิชายุทธ์พิฆาตนี้จะสังหารปีศาจระดับต่ำให้ตายตกไปอย่างง่ายดายปานนี้ ใครจะเชื่อกันว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือของเด็กหนุ่มที่อายุเพียงสิบห้าสิบหกปีที่เป็นเพียงราชทินนามเทวะวิญญาณขั้นต้นเท่านั้นศาสตราอนันต์ลักษณ์ จำแลง!!!!หนิงอ้ายเรียกแหวนหยกที่ได้รับจากผู้อาวุโสซีซวนออกมา ก่อนจะบัญชาการเปลี่ยนเป็นกระถางสามขาลวดลายสีดำทองที่มีเปลวเพลิงจากวิญญาณยุทธ์สีแดงประกายส้มลุกโชนอย่างอหังการ เพียงปรากฏ
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต
มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล
ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย