ขบวนคาราวานรถม้านับสิบคันรถได้มุ่งตรงสู่ทางสายหลัก เพื่อค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างแคว้นอันเป็นจุดหมายปลายทางในครั้งนี้ ทว่าเมื่อออกจากเมืองหลวงของแคว้นได้เพียงไม่กี่ชั่วยาม นายกองผู้ควบคุมรวมไปถึงบรรดาผู้คุ้มกันนับครึ่งร้อยชีวิตต่างตกอยู่ในสภาวะตึงเครียดอย่างเสียไม่ได้
เส้นทางรถม้าที่เคยผ่านไปกลับนับร้อย นับพันครั้ง เพื่อขนส่งสินค้าไปยังหัวเมืองตามแคว้นต่าง ๆ ใกล้เคียง ครั้งนี้กลับรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างที่ผิดแปลกไป หนึ่งชั่วยามให้หลังมานี้ผืนป่าในช่วงกลางวันอันเป็นช่วงเวลาแห่งการใช้ชีวิตของทุกสรรพสิ่งทว่ากลับไร้ซึ่งเสียงขับขานดังกล่าว บรรยากาศโดยรอบถูกโอบล้อมด้วยหมอกควันสีขาวลอยต่ำ ความเย็นยะเยือกที่สายลมได้พัดพากระทบให้รู้สึกนั้นชวนให้หวาดกลัวยิ่ง
"พวกเจ้าทุกคนเฝ้าระวังให้ดี อย่าได้ประมาทเป็นอันขาด!!!" เสียงทุ้มต่ำจากชายวัยกลางคนผู้เป็นหัวหน้าขบวนคาราวานรถม้าขนส่งสินค้า ได้เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง เพื่อเน้นย้ำว่าสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนี้หาใช่เรื่องปกติไม่
อากาศที่ลดลงอย่างฉับพลัน พร้อมกับกลุ่มหมอกควันหนาสีขาวได้ลอยต่ำลงจนแสงสว่างใดก็ไม่อาจเล็ดลอดจากยอดไม้สูงทั้งสิ้น เสียงสวบสาบอันไร้ซึ่งที่มาได้สร้างความหวั่นวิตกหวาดกลัวกัดกินในใจเหล่าบุรุษผู้กล้าในขบวนรถม้านี้ได้ไม่น้อย สองมือหยาบกร้านได้บีบกระชับกระบี่ในมืออย่างมั่นคง ท่ามกลางความสงบนิ่งไร้ซึ่งสรรพสิ่งใดเคลื่อนไหว ทุกสายตาต่างสอดส่องระวังอย่างไม่ยอมให้สิ่งใดคาดสายตาไปได้
เสียงร้องตะโกนอย่างสุดเสียงที่ดังขึ้นด้วยความตกใจสะท้อนไปทั่วทั้งบริเวณแห่งนี้ก่อนจะพุ่งเข้าโจมตีเป้าหมาย นั่นคือบรรดาผู้คุ้มกันและผู้ร่วมเดินทางในคาราวานขบวนรถม้าครั้งนี้ เมื่อเข้ารัดร่างเป้าหมายตามที่ต้องการแล้วจึงตวัดเส้นใยดึงเป้าหมายเหล่านี้ลอยหายไปในความมืดมิดอนันตกาลนี้ ก่อนที่เสียงร้องทรมานโหยหวนจะเงียบหายไปในระยะที่ห่างไปก่อนจะเงียบหายลงไปในที่สุด
"ปล่อยข้านะ!!! โอ้ย ช่วยข้าด้วย!!!" เสียงร้องอย่างเสียขวัญดังสะท้อนไปทั่วทั้งคาราวานขบวนรถม้า แม้จะขัดขืนด้วยพละกำลัง หรือต่อต้านด้วยพลังโจมตีต่าง ๆ ก็ไม่อาจหยุดเหตุร้ายในครั้งนี้ได้โดยง่าย
เสียงโหยหวนอ้อนวอนร้องขอชีวิตดังขึ้น ก่อนจะเงียบลงเมื่อลมหายใจสุดท้ายได้ถูกมัจจุราชพิพากษาให้ดับสูญไปอย่างไม่หวนกลับ ความหวังสุดท้ายที่จะมีชีวิตรอดเพื่อบอกลาบุคคลอันเป็นที่รักได้ถูกทำลายไปสิ้น ร่างกายที่เคยแข็งแกร่งสมบูรณ์ได้แปรเปลี่ยนเป็นเหี่ยวแห้งซูบผอมย่นติดกระดูก
เงาร่างสีดำทมิฬได้ส่งเสียงหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ ปราณมารนับสิบสายได้พุ่งเข้าทะลุพร้อมกับดูดกลืนพลังวิญญาณด้วยความรวดเร็วหิวกระหาย ก่อนที่จะตวัดร่างไร้วิญญาณที่ถูกดูดกลืนพลังชีวิตไปจนหมดสิ้นแล้วไปกองทับทมรวมกันตรงด้านหนึ่งกับผู้เคราะห์ร้ายก่อนหน้านี้ เพียงไม่ถึงเค่อเท่านั้นขบวนคาราวานรถม้าที่แต่เดิมมีผู้ร่วมเดินทางนับร้อยชีวิต ทว่าบัดนี้กลับไร้ซึ่งสัญญาณของชีวิตใดให้สัมผัสได้อีก
"ท่านนี่มันช่างน่ารังเกียจไม่เปลี่ยนเลยเสียจริง ความตะกละหิวกระหายโดยไร้ซึ่งความพอดีเช่นนี้ ช่างสิ้นเปลืองเกินความจำเป็นยิ่ง" เสียงหวานใสเอ่ยนำขึ้น ก่อนที่จะปรากฏเงาร่างที่งดงามน่าพิศมัย ทุกย่างก้าวเท้าเดินเต็มไปด้วยท่วงท่าที่ทรงเสน่ห์ยิ่ง
"มารราคะเช่นเจ้าอย่าได้สอดรู้ เที่ยวสั่งสอนผู้อื่นเช่นนี้ บุรุษนับน้อยนับพันที่เจ้าสะสมเป็นร่างสถิตมารในยามบำเรอนั่น ไม่แตกต่างจากข้าไปเท่าไหร่นัก!!" น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโมโหส่งตรงไปถึงร่างงามของผู้ที่มาเยือน
"วาจาของมารฝันเหตุใดจึงทำร้ายจิตใจอันบอบบางของข้ายิ่ง ช่างไม่รู้จักรักหยกถนอมบุปผาเสียจริง..." ดวงหน้าที่งามล้ำเกินกว่ามนุษย์แสร้งเง้างอนอย่างมีจริต เมื่อเห็นว่ามารหนุ่มตรงหน้าไร้ซึ่งบทสนทนาตอบกลับมา นางจึงหยุดกิริยายั่วยวนไปเสียในที่สุด
เพียงแค่มารหนุ่มตวัดมือเพียงครั้ง ร่างไร้วิญญาณอันเหี่ยวย่นของผู้เคราะห์ร้ายที่เข้าร่วมในขบวนคาราวานรถม้าครั้งนี้ ที่กองพะเนินอยู่ไม่ไกลนั้นได้สูญสลายเป็นฝุ่นละอองไปสิ้น ไม่เหลือหลักฐานในให้ได้สืบสาวได้ถึง เสียงหัวเราะอย่างมีจริตของมารสาวจะดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่เงาร่างของทั้งสองจะปรากฎอยู่ในที่คุ้นตา
มารหนุ่มได้ทรุดตัวนั่งลงบัลลังก์ที่มองไปแล้วคล้ายคลึงกับกองกระดูกสีดำวับ สายตาอันเฉยชาจ้องมองมารสาวที่ตอนนี้กำลังใช้มือเรียวงามของนางลูบไล้ตรงแผ่นอกอย่างมีความหมายโดยนัย นางผู้นี้แม้ภายนอกจะงดงามเพียงใดแต่นั่นเป็นเพียงเปลือกนอกที่ทำจากหนังมนุษย์เท่านั้น เพราะภายในที่แท้จริงนั่นคือมารราคะผู้มีศักดิ์เป็นถึงหนึ่งในสามผู้นำลัทธิมารสาขาย่อย ผู้ชื่นชอบสูบกลืนพลังชีวิตจากเหยื่อบุรุษผ่านการเสพสังวาส เมื่อเห็นว่ามารหนุ่มไร้ซึ่งอารมณ์ร่วมด้วย นางจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"ท่านใจร้อนเกินไปรู้หรือไม่? พึ่งจบงานประลองของแคว้นเพียงไม่กี่เดือนเท่านั้น ทว่ารุ่นเยาว์ชายหญิงมากความสามารถที่เข้าร่วมลงประลองต่างหายตัวไปอย่างปริศนา แม้สิ่งนี้จะสามารถเพิ่มพูนพลังปราณแก่นายท่านได้ก็จริง แต่ด้วยความผิดปกติจนสังเกตเห็นในระยะหลังนี้พวกมันจึงได้เพิ่มการระวังมากขึ้นหลายเท่าเลยทีเดียว..." สายตาอันทรงเสน่ห์จ้องมองไปทั่วทั้งร่างกายของมารหนุ่มอีกครั้ง มือเรียวบางลูบไล้เปิดเผยอกแกร่งที่ถูกซ่อนไว้ใต้ร่มผ้า ใบหน้างามวางทาบทับโน้มลงอย่างหมิ่นเหม่
"นายท่านส่งสารแจ้งว่าช่วงนี้ให้เหล่ามารจงปิดด่านเก็บตัวให้ข่าวลือในยุทธภพจางหายไปเสียก่อน และเมื่อถึงตอนนั้นแล้ว ทุกความแค้นใดที่ท่านต้องการชำระ ข้าผู้นี้ล้วนสนับสนุนท่านทั้งสิ้น!!!" เสียงอันเย้ายวนปลอบประโลมอีกครั้ง ก่อนที่เงาร่างทั้งสองจะเลือนหายไปในที่สุด...
ระยะเวลาหนึ่งเดือนมานี้บรรดาศิษย์พี่ร่วมตำหนักศาสตร์แห่งการรักษา ต่างทยอยออกเดินทางจากสำนักกันเกือบทุกคนแล้ว คงเหลือแต่เพียงศิษย์พี่ใหญ่โจวเซิน ศิษย์พี่ห้าไป๋เหลียนฮวา ศิษย์พี่หกหลิวหลวน ส่วนหนิงอ้ายที่เป็นศิษย์ผู้สืบทอด ศิษย์ลำดับที่เจ็ดคนสุดท้ายนั้นด้วยเพราะการตัดผ่านเลื่อนระดับราชทินนามเทวะวิญญาณช่วงที่ผ่านมา จึงถือว่ามีคุณสมบัติเฉกเช่นเดียวกับศิษย์พี่อื่น ๆ
ศิษย์พี่โจวเซินนั้นหนิงอ้ายรับรู้เพียงว่าไม่กี่เดือนก่อนอีกฝ่ายได้เข้าด่านเก็บตัวเพื่อเตรียมความพร้อมในการเลื่อนขั้นตัดผ่านเป็นผู้ฝึกตนราชทินนามขั้นสูงอย่างเต็มตัว สำหรับศิษย์พี่หลิวหลวนอีกไม่ถึงสิบวันอีกฝ่ายก็จะเริ่มออกเดินทางแล้วเช่นกัน เนื่องจากว่าตอนนี้อีกฝ่ายสามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามราชันวิญญาณขั้นต้นได้แล้วนั่นเอง
แน่นอนว่าศิษย์พี่ไป๋ หรือไป๋เหลียนฮวาด้วยเพราะเป็นสตรี ดังนั้นกฎเกณฑ์ที่ถูกยึดถือปฏิบัติจึงมีความแตกต่างออกไป ครั้งอดีตตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาก็เคยรับศิษย์เป็นสตรีเช่นกันด้วยความสามารถพรสวรรค์อันโดดเด่น อีกฝ่ายจึงได้รับเลือกจากท่านบรรพชนเจ้าตำหนักในขณะนั้น นางจึงเป็นศิษย์ผู้สืบทอดและเป็นเจ้าตำหนัก ผู้เป็นสตรีเพียงหนึ่งเดียวในประวัติศาสตร์ที่ถูกบันทึกไว้
นางจึงได้บัญญัติถึงข้อปฏิบัติเพิ่มเติมว่า ศิษย์ผู้เป็นบุรุษยังคงต้องกระทำตามธรรมเนียมเดิมนั่นคือหลังจากบรรลุถึงเขตขั้นราชทินนามต่อไปแล้ว ศิษย์คนดังกล่าวจะต้องออกจากสำนักเป็นเวลาหนึ่งปี เพื่อนำวิชาความรู้ที่ได้รับการสั่งสอนจากสำนัก ใช้สิ่งนี้เพื่อช่วยเหลือผู้คนให้ได้มากที่สุด แน่นอนว่าศิษย์ที่มีคุณสมบัติ สมควรแก่การปฏิบัติเช่นนี้ต้องเป็นผู้ฝึกตนราชทินนามเทวะวิญญาณเป็นต้นไป
สำหรับศิษย์ผู้เป็นสตรีสังกัดในตำหนักจะต้องอยู่ประจำการในตำหนัก มิต้องออกจากสำนักเพื่อทำภารกิจใด เพียงแต่หน้าที่ในการดูแลความเรียบร้อยของตำหนัก ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีให้หลังจะต้องเป็นผู้กำกับดูแลด้วยตนเองทั้งสิ้น และในทุก ๆ สามสิบวันจะต้องออกเดินทางไปยังเมืองหมอกทมิฬ อันเป็นเมืองปกครองภายใต้การดูแลของทางสำนักศึกษา เพื่อช่วยดูแลในเรื่องของการรักษานั่นเอง
วันคืนได้สลับหมุนเวียนเปลี่ยนผ่าน หนิงอ้ายยังคงฝึกฝนเคล็ดวิชาต่าง ๆ ที่ถือครองอยู่เพื่อให้เกิดความคุ้นชิน นอกจากนั้นแล้วในตอนนี้โอสถระดับสามที่หนิงอ้ายได้ปรุงขึ้นมานั้นถือได้ว่ามีความบริสุทธิ์ไม่น้อยกว่าแปดส่วนเลยทีเดียว อีกทั้งระยะเวลาในการหลอมโอสถนั้นยังใช้เวลาที่น้อยลงทว่ายังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพทั้งสิ้น
เหวินหวู่ผู้เป็นอาจารย์ ผู้เป็นเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการรักษานี้ คล้ายกับว่าเหตุการณ์ความวุ่นวายก่อนหน้าถือว่าคลี่คลายลงไปบ้างแล้ว จากที่ศิษย์พี่เฟยหลงได้บอกให้รับรู้ ตอนนี้ศิษย์ที่ถูกปราณมารนั้นได้รับการช่วยเหลือจนฟื้นคืนสติแล้ว จนสามารถให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ไปไม่น้อยทีเดียว
ดังนั้นก่อนที่หนิงอ้ายจะต้องออกจากสำนักเพื่อออกทำภารกิจดังเช่นศิษย์พี่ท่านอื่นที่ได้ล่วงหน้าเดินทางไปก่อนแล้ว เหวินหวู่ผู้เป็นอาจารย์ได้เร่งสั่งสอนและถ่ายทอดสิ่งที่คาดว่าจำเป็นให้แก่หนิงอ้ายทั้งสิ้น ยิ่งล่วงความลับที่ว่าศิษย์ผู้สืบทอดของตนได้สิ่งใดจากมิติพิเศษของตำหนักแล้ว เขาจึงไม่หวงสิ่งที่เขาได้เรียนรู้ตลอดหลายสิบปีนี้
หนิงอ้ายถือได้ว่าระยะเวลาเพียงครึ่งปีเท่านั้น ก็ครบถ้วนไปด้วยคุณสมบัติของสมญานามปัญญาจารย์โอสถขั้นสูงแล้ว โอสถระดับสามในยามนี้หาใช่เรื่องยากสำหรับเด็กหนุ่มอีกต่อไป ดังนั้นเหวินหวู่จึงเริ่มสั่งสอนการหลอมสร้างปรุงโอสถระดับสี่ไปบางชนิด พร้อมกับถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรพิษพื้นฐานทั้งหมด รวมไปถึงโอสถพิษแปลกประหลาดต่าง ๆ ยิ่งหนิงอ้ายมีการตอบรับและเรียนรู้ได่อย่างรวดเร็วมากเท่าใด ชายชรายิ่งรู้สึกภูมิใจในตัวของเด็กหนุ่มผู้เป็นศิษย์ผู้สืบทอดของตนมากเท่านั้น
"วันนี้อาจารย์รบกวนเจ้าไปยังร้านขายยาของสำนักประจำเมืองหมอกทมิฬให้อาจารย์ได้หรือไม่ มีสมุนไพรบางสิ่งที่จำเป็นต่อสูตรโอสถระดับสี่ที่อาจารย์ต้องสั่งสอนให้แก่เจ้า..." เหวินหวู่แจ้งกับเด็กหนุ่มที่กำลังจัดเก็บสมุนไพรทั้งแบบสดและแบบแห้งที่อีกฝ่ายถือว่าเป็นผู้รับผิดชอบดูแลในระยะหลังมานี้
"ได้ขอรับท่านอาจารย์ สักยามเว่ย (13.00-14.59) ข้าจะจัดการธุระสิ่งนี้ให้เรียบร้อยนะขอรับ..." หนิงอ้ายรับคำดังกล่าว พร้อมกับรับกระดาษแผ่นหนึ่งที่จดสิ่งที่ชายชราผู้เป็นอาจารย์ของตนต้องการ เขารับรู้จากวิหคสอดแนมก่อนหน้านี้แล้วว่าวันนี้จะมีการเรียกประชุมหารือระหว่างท่านเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักปกครองทั้งสี่ ผู้อาวุโสคุมกฎสูงสุด รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ที่มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบสำคัญในสำนัก
หลังจากแยกตัวจากเรือนพักส่วนตัวของเหวินหวู่ผู้เป็นอาจารย์แล้ว หนึ่งผู้ฝึกตน หนึ่งสัตว์อสูรต่างมุ่งตรงกลับเรือนพักติดป่าไผ่ของตน ครั้งนี้ต้าเฮยบอกให้รับรู้ว่าอีกฝ่ายขอไปสำรวจตรงพื้นที่ส่วนด้านหลังของสำนัก หนิงอ้ายจึงเอ่ยเน้นย้ำให้อีกฝ่ายระวังตัว หากพบเจอสิ่งผิดปกติแล้วให้รีบถอยห่างในทันที แน่นอนว่าอสรพิษตัวน้อยได้พยักหน้ารับรู้พร้อมกับรับคำอย่างแข็งขันก่อนที่จะไปในเงามือทันที
หนิงอ้ายที่บรรลุถึงเขตขั้นราชทินนามเทวะวิญญาณ อีกทั้งได้ประสานร่างกายเข้ากับเสี้ยวดวงจิตของอสูรวิญญาณมังกรผีเสื้อจักรพรรดินิรันดร์รัตติกาลไป คล้ายกับว่าสายเลือดของพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์จะเข้มข้นขึ้นอีกเล็กน้อย สิ่งเหล่านี้จึงยิ่งส่งเสริมให้เนตรแห่งสวรรค์ของหนิงอ้ายสามารถมองทะลุทลวงได้มากยิ่งขึ้นหลายเท่า
เด็กหนุ่มจึงรับรู้ได้ว่าต้าเฮยนั้นถึงกับเป็นสัตว์อสูรตำนานระดับสูงที่มีเศษเสี้ยวของสายเลือดบรรพกาลไหลเวียนอยู่ ด้วยสังกัดปราณรัตติกาลธาตุของเจ้าอสรพิษตัวน้อยนี้จึงสามารถเคลื่อนไหวแฝงไปกับเงาได้อย่างอิสระ รวมไปถึงความสามารถทักษะเฉพาะตัว ดังนั้นหนิงอ้ายจึงมั่นใจว่าต้าเฮยย่อมไม่ตกอยู่ในอันตรายได้โดยง่าย ลูกไม้ในแขนเสื้อของอีกฝ่ายที่ถูกเก็บซ่อนไว้ไม่อาจดูเบาได้เพียงนิด
หลังจากปรับเปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าสีเขียวขาว อันเป็นสัญลักษณ์ของศิษย์ประจำตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาแล้ว หนิงอ้ายไม่ลืมห้อยป้ายหยกสำคัญระบุตัวตนทั้งสอง หนึ่งคือป้ายหยกประจกตัวของศิษย์ผู้สืบทอดตำหนักศาสตร์แห่งการรักษา สองนั่นคือป้ายหยกสีเขียวอ่อนที่ได้รับมาจากสมาคมสมาพันธ์นักปรุงยา ที่แสดงถึงสมญานามปัญญาจารย์โอสถขั้นกลาง หรือนักปรุงโอสถระดับสองนั่นเอง
เพียงหนึ่งเค่อให้หลัง หนิงอ้ายก็มาถึงประตูทางออกของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาแล้ว สองเท้าก้าวเดินผ่านอาคารต่าง ๆ ภายในตำหนัก ก่อนที่ตรงประตูทางออกนั้นจะปรากฏเป็นสองบุรุษกำลังมุ่งตรงมาทางนี้ หนึ่งในนั้นคือชายหนุ่มผู้มีใบหน้าคุ้นเคย อีกหนึ่งบุรุษวัยกลางคนท่าทางภูมิฐานนั้นย่อมเป็นท่านเจียงเฉิง ผู้เป็นเจ้าสำนักศึกษาแห่งนี้
"หนิงอ้าย คำนับท่านเจ้าสำนักศึกษาเจียงเฉิงขอรับ!!" หนิงอ้ายประสานมือโค้งคำนับด้วยมารยาทของผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่พึงกระทำต่อผู้อาวุโส
"เป็นอย่างไรบ้างเจ้า มีสิ่งใดขาดตกบกพร่องอย่างไรหรือไม่??" เจียงเฉิงเอ่ยถามด้วยความเอ็นดู เขาย่อมรับรู้ถึงภูมิหลังของเด็กหนุ่มตรงหน้ามาบ้างแล้วเช่นกันจากคำบอกเล่าของผู้อาวุโสเหวินหวู่ผู้เป็นอาจารย์ของอีกฝ่าย กริยาท่าทางสุภาพอ่อนน้อมช่างสมกับเป็นลูกหลานของตระกูลหวังเสียจริง
ความก้าวหน้าของระดับพลังวิญญาณจากราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณขั้นสูง ด้วยระยะเวลาเพียงเท่านี้กลับบรรลุถึงเขตขั้นเทวะวิญญาณขั้นต้นได้อย่างสมบูรณ์ ความเลิศล้ำทางด้านโอสถยังกล่าวว่าเป็นสิ่งน่าชื่นชมยกย่องไปไม่แพ้กัน เพราะเด็กหนุ่มสามารถสอบเลื่อนระดับเป็นนักปรุงโอสถระดับสองได้สำเร็จด้วยช่วงวัยสิบห้าสิบหกปีเช่นนี้ สมญานามปัญญาจารย์โอสถที่อายุน้อยที่สุดในมหาทวีปบูรพาแห่งนี้ในรอบร้อยปี พันปี คงไม่เกินจริงไปนัก
ฐานะศิษย์ผู้สืบทอดตำหนักศาสตร์แห่งการรักษา หนึ่งในสี่ตำหนักปกครองของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ กล่าวได้ว่าความสำเร็จของเด็กหนุ่มได้สร้างชื่อเสียงแก่สำนักเป็นอย่างมาก หลังจากทางสมาคมสมาพันธ์นักปรุงโอสถได้ประกาศให้รับรู้โดยทั่วกัน ทางสำนักศึกษาต่างได้รับความสนใจ ได้รับแรงสนับสนุนจากหลากหลายทางไปไม่น้อยเลยทีเดียว
"ทุกอย่างล้วนเป็นไปด้วยดีขอรับ ท่านอาจารย์รวมไปถึงศิษย์พี่ท่านอื่นล้วนเมตตาเอ็นดูข้าเป็นอย่างยิ่ง" หนิงอ้ายตอบกลับไปพร้อมกับยกยิ้มเล็กน้อย
เนตรแห่งสวรรค์ทำให้รับรู้ว่าภายนอกที่อาจดูว่าเป็นเพียงชายวัยกลางคนท่าทางใจดีทั่วไป ทว่าความจริงแล้วอีกฝ่ายเป็นถึงราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นต้นผู้หนึ่งเพียงครึ่งก้าวก็จะบรรลุถึงเขตขั้นกลางได้แล้ว นับว่าเป็นอีกหนึ่งผู้ฝึกตนที่มีความแข็งแกร่งอย่างแท้จริง มากกว่านั้นท่านเจ้าสำนักเจียงเฉิงผู้นี้ ยังเป็นอีกหนึ่งในผู้ฝึกตนที่สามารถเรียกใช้สองวิญญาณยุทธ์ สองปราณธาตุได้เช่นกัน
"อย่างไรข้าต้องขอแสดงความยินดีกับเจ้าด้วยอีกครั้ง สมญานามปัญญาจารย์โอสถ นักปรุงโอสถระดับสองที่อายุน้อยปานนี้ เส้นทางเดินในฐานะนักปรุงโอสถของเจ้าหลังจากนี้ย่อมโดดเด่นไม่แพ้ผู้อาวุโสเหวินหวู่ ผู้เป็นอาจารย์ของเจ้าอย่างแน่นอน..."
"ทุกอย่างล้วนเป็นความเมตตาที่ท่านอาจารย์คอยสั่งสอนแก่ข้าขอรับ!!" หนิงอ้ายยิ้มรับคำด้วยรอยยิ้ม กว่าครึ่งของความสำเร็จนี้ล้วนเป็นความรู้และประสบการณ์ที่สั่งสมมายาวนานหลายสิบปีของชายชราที่ถ่ายทอดแก่เขาทั้งสิ้น
"ช่างนอบน้อมถ่อมตนยิ่งนัก...แล้วนี่เจ้าคงต้องจัดการบางสิ่งอย่างให้กับอาจารย์ใช่หรือไม่?"
"เป็นเช่นนั้นขอรับ ท่านอาจารย์ไหว้วานให้ข้าไปหาซื้อสมุนไพรรวมไปถึงสิ่งของจำเป็นอื่น ๆ ที่เมืองหมอกทมิฬขอรับ... "
"เช่นนั้นข้าไม่รบกวนเวลาเจ้าแล้ว รีบไปจัดการธุระให้ผู้อาวุโสเหวินหวู่เสียเถอะจะได้เสร็จก่อนมืดค่ำ อย่างไรให้เจ้าตงหยางไปด้วยเสียแล้วกัน..." แม้ว่าเมืองหมอกทมิฬจะเป็นเมืองปกครองของทางสำนักศึกษาก็จริง ระยะทางไปกลับจะกล่าวว่าไม่ใกล้ไม่ไกลก็ไม่เชิง
"ท่านอาจารย์ไม่ต้องเป็นกังวล ข้าจะดูแลศิษย์น้องให้เป็นอย่างดีขอรับ..." เจียงเฉิงพยักหน้ารับรู้ก่อนจะมุ่งตรงไปยังทางเข้าของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษา คาดว่าคงมีธุระจัดการบางอย่างกับเหวินหวู่ผู้เป็นเจ้าตำหนักอย่างแน่นอน
"ข้าสะดวกเดินทางเพียงผู้เดียว ไม่รบกวนศิษย์พี่ตงหยางขอรับ" แน่นอนว่าผู้อื่นยังไม่ทราบถึงตัวตนของชายหนุ่มตรงหน้า ดังนั้นการเรียกขานยามพบเจอกันข้างนอก หนิงอ้ายจึงเรียกชื่อเจ้าของร่างของอีกฝ่ายแทน
"ไม่ถือว่าเป็นการรบกวนแต่อย่างใด อีกอย่างท่านเจ้าสำนักได้ฝากฝังศิษย์น้องไว้กับศิษย์พี่แล้ว ย่อมไม่สามารถปฏิเสธได้" เฟยหลงตอบกลับไปพร้อมกับยกยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมาให้หนิงอ้ายเห็นแต่เพียงผู้เดียว ก่อนที่จะเดินนำอีกฝ่ายไปในทันที
"นี่ท่าน!!" หนิงอ้ายย่อมรู้ดีที่สุดว่าชายหนุ่มตรงหน้านั้นเอาแต่ใจเพียงใด
ภาพของศิษย์พี่ตงหยาง ผู้เป็นศิษย์สืบทอดของท่านเจ้าสำนักเจียงเฉิง หรืออีกหนึ่งฐานะที่ทุกคนล้วนกระจ่างแก่ใจว่าศิษย์พี่ผู้นี้คือว่าที่เจ้าสำนักศึกษาคนต่อไปในวันข้างหน้า ท่าทางคุ้นเคยสนิทสนมที่ชายหนุ่มมอบให้กับศิษย์ใหม่นามว่าหนิงอ้าย ศิษย์ผู้สืบทอดตำหนักศาสตร์แห่งการรักษานั้น ล้วนเป็นการกระทำที่เรียกความสนใจแก่ผู้คนโดยรอบอย่างแท้จริง
ก่อนหน้านี้เรื่องราวของเด็กหนุ่มนามว่าหนิงอ้ายต่างเป็นที่พูดถึงเป็นอย่างมาก ฐานะศิษย์ผู้สืบทอดที่อีกฝ่ายได้รับมาในช่วงไม่กี่เดือนนับว่าเป็นเรื่องน่าแปลกประหลาดใจแล้ว ยิ่งกับข่าวลือที่ว่าหลังจากจบการทดสอบเข้าสำนักศึกษาได้เพียงไม่ถึงหนึ่งเดือน อีกฝ่ายกลับสามารถสอบเลื่อนระดับเป็นนักปรุงโอสถระดับสอง สมญานามปัญญาจารย์โอสถได้สำเร็จ สิ่งนี้ล้วนน่าเหลือเชื่อเกินไปในความรู้สึก ทว่าเมื่อเห็นเด็กหนุ่มปรากฏตัวขึ้นในวันนี้ ตรงข้างเอวนั่นป้ายหยกอันแสดงตัวตนของนักปรุงโอสถระดับสองที่ไม่อาจปลอมแปลงได้โดยง่าย นับว่าเป็นการตอกย้ำว่าข่าวลือที่พูดถึงอีกฝ่ายในระยะหลังมานี้ล้วนเป็นจริงทั้งสิ้น
ใช้เวลาเพียงไม่นานทั้งสองคนก้มาถึงบริเวณทางออกของสำนักศึกษาแล้ว ผู้อาวุโสท่านหนึ่งที่ดูแลประจำการในวันนี้ได้พูดคุยกับเฟยหลงอย่างถูกคอก่อนที่จะเอ่ยลากันเล็กน้อย จากนั้นหนิงอ้ายกับเฟยหลงจึงมุ่งตรงไปยังเส้นทางตรงหน้า นับว่าเป็นเส้นทางสายหลักที่ใกล้ที่สุดในการเดินทางไปยังเมืองหมอกทมิฬ แม้จะอยู่ห่างไปถึงร้อยลี้แต่ยังนับได้ว่าเมืองนี้นั้นถือว่าอยู่ใกล้กับสำนักศึกษามากที่สุดเช่นกัน
"จากตรงนี้หากใช้วิชาตัวเบาคงใช้เวลาไม่เกินหนึ่งชั่วยาม ศิษย์น้องสนใจแข่งกับข้าหรือไม่?? ผู้ชนะสามารถร้องขอบางสิ่งกับผู้แพ้ได้หนึ่งประการ" เฟยหลงเอ่ยขึ้นพร้อมกับยกยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา
"ฟังดูแล้วเหมือนกับว่าข้าเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบไปไม่น้อย หวังว่าท่านจะไม่ใช้กลโกงพิศดารใดในครั้งนี้..." จนถึงตอนนี้เนตรแห่งสวรรค์ยังไม่อาจรับรู้ได้ถึงระดับพลังวิญญาณของอีกฝ่ายได้ สิ่งนี้จึงได้สร้างความรำคานใจแก่เขาไปไม่น้อย
"ฮ่าฮ่าฮ่า ครั้งนี้ข้าจะใช้เพียงเคล็ดวิชาตัวเบาขั้นพื้นฐานแต่เพียงเท่านั้น และให้หนิงเอ๋อร์ล่วงหน้าไปก่อนข้าสักหนึ่งเค่อ..."
"ท่านเอ่ยแล้วอย่าได้คืนคำเป็นอันขาด เช่นนั้นตามข้าให้ทันแล้วกัน!!" หนิงอ้ายตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสดใส
ไม่รอช้าเคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ในยามถูกเรียกใช้ด้วยระดับพลังเทวะวิญญาณเช่นนี้ กล่าวได้ว่าไม่อาจดูเบาได้ ร่างบางของเด็กหนุ่มพุ่งทะยานไปเบื้องหน้าด้วยความรวดเร็ว เฟยหลงได้แต่ยกยิ้มชอบใจออกมา นิสัยชอบแข่งขันของอีกฝ่ายนั้นยังคงเป็นสิ่งที่สร้างความประทับใจแก่เขาไม่รู้ลืม
เวลาผันผ่านครบกำหนดถึงหนึ่งเค่อ เฟยหลงเร่งเร้าพลังลมปราณระดับราชันวิญญาณที่ถูกสะกดข่มให้อยู่เพียงเขตขั้นดังกล่าว หลังจากโคจรเร่งเร้าลมปราณประสานเข้ากับเคล็ดวิชาตัวเบาแล้ว จึงรีบเร่งไล่ตามหลังหนิงอ้ายไปตามเส้นทางในทันที ครั้งนี้เป็นเขาที่ต้องเป็นฝ่ายชนะเท่านั้น แม้จะพุ่งทะยานด้วยความรวดเร็วมาก ทว่าภายในใจของชายหนุ่มยังคงเฝ้าครุ่นคิดว่าคำขอหนึ่งประการนั้นเป็นควรเป็นสิ่งใด...
หนิงอ้ายในตอนนี้แม้จะถึงพร้อมด้วยคุณสมบัติของผู้ฝึกตนราชทินนามเทวะวิญญาณขั้นต้น ประกอบกับร่างกายนี้ได้ประสานไปกับกระดูกวิญญาณล้ำค่า ยิ่งส่งผลให้ยามออกท่าร่างเคล็ดวิชาตัวเบาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้จึงมีความรวดเร็วเหนือชั้นกว่าผู้ฝึกตนระดับขั้นเดียวกันหลายเท่า เวลาที่ผ่านไปเพียงหนึ่งเค่อตามกำหนด เงาร่างของเฟยหลงกลับพุ่งทะยานล้ำหน้าผ่านร่างบางไปด้วยความเร็วที่เหนือชั้นยิ่งกว่าเห็นรอยยิ้มที่อีกฝ่ายมอบให้ เขาชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าการแข่งขันครั้งนี้คุ้มค่ากับการลงแรงไปหรือไม่ ยิ่งเงื่อนไขที่ว่าผู้ชนะสามารถร้องขอสิ่งหนึ่งจากผู้แพ้แล้ว ครั้งนี้เป็นเขาเองที่ประมาทเสียท่าหลงเชื่อคำที่มากไปด้วยเล่ห์กลของอีกฝ่ายเข้าจนได้ เนตรแห่งสวรรค์ส่งข้อมูลให้รับรู้ว่าอีกฝ่ายได้ควบคุมพลังปราณให้เหลือเพียงเขตขั้นเทวะวิญญาณขั้นต้นเพียงเท่านั้น ย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดเคล็ดวิชาตัวเบาที่มีความรวดเร็วเป็นอันดับต้น ๆ ในมหาพิภพ ทว่าเคล็ดวิชาของอีกฝ่ายนั้นดูเหนือชั้นไปกว่ามาก เคล็ดวิชาก็เป็นเพียงส่วนหนึ่ง อย่างไรก็ตามรากฐานการบ่มเพาะก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เสริมให้เกิดความได้เปรียบเช่นนี้"แม้จะล
กระบี่สีขาวบริสุทธิ์ในมือถูกกระชับให้มั่นคงพร้อมต้านรับกระบี่ที่โหมโรมรันเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง เสียงของคมกระบี่ปะทะกันดังขึ้นไปทั่วทั้งผืนป่าที่เงียบสงบ ชายชุดดำที่หนิงอ้ายกำลังรับมืออยู่นี้เป็นถึงราชทินนามเทวะวิญญาณขั้นสูงผู้หนึ่ง ถือได้ว่าเหนือชั้นกว่าเขาไปถึงสองขั้นย่อยเลยทีเดียว แต่ถึงอย่างไรเคล็ดวิชากระบี่สักกะดารารายของหนิงอ้ายมีความเหนือชั้นกว่าเพลงกระบี่ของฝ่ายศัตรูเป็นอย่างมาก ดังนั้นความเสียเปรียบของระดับพลังวิญญาณนับว่าไม่ส่งผลสักเท่าไหร่นักการสับประยุทธ์ของเพลงกระบี่ได้ดำเนินผันผ่านเกินกว่าสองเค่อ ยิ่งเวลาผ่านไปดูเหมือนว่าเรี่ยวแรงของเด็กหนุ่มนั้นหาได้ลดลงตามไม่ ผิดกับชายชุดดำที่มีร่างกายสูงใหญ่แข็งแกร่ง ที่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าความเหนื่อยล้าเริ่มปรากฏขึ้นมาบ้างแล้ว หนิงอ้ายที่แผ่ญาณสัมผัสออกไปโดยรอบจึงรับรู้ได้ทุกการเคลื่อนไหวเหล่านี้และสามารถส่งการโจมตีกลับพร้อมใช้ท่าร่างวิชาตัวเบาหลบออกมาด้านข้างเพื่อหลบหลีกการโจมตีโดยไม่พลาดพลั้ง"ไม่คิดว่าศิษย์ของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์จะมากไปด้วยฝีมือเช่นนี้ ช่างน่าชื่นชมเสียจริง..." ชายชุดดำที่รับมือกับหนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้
"เป็นฝีมือของผู้ใดกันที่ลักลอบกระทำต่ำช้าเช่นนี้ จงเปิดเผยตัวมาเสีย!!!" เฟยหลงคำรามสุดเสียงด้วยความโกรธก่อนจะตบเท้าขึ้นกลางอากาศ สองมือพลันลุกโหมด้วยเปลงเพลิงสีดำทมิฬก่อนจะฟาดไปยังจุดบริเวณที่หนิงอ้ายหายตัวไปเมื่อครู่ พลานุภาพแห่งเปลวเพลิงสีนิลนี้กร้าวแกร่งถึงขีดสุดด้วยพลังที่ลึกล้ำเหนือระดับราชันวิญญาณขั้นต้นกำลังสั่นสะเทือนพื้นที่โดยรอบอย่างไม่ยั้งมือเวลาเพียงไม่กี่สิบรอบลมหายใจต่อมา ห้วงมิติผันผวนตรงหน้าได้แตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ ก่อนที่ทุกสิ่งอย่างจะกลับมาสงบเงียบราวกับว่าเมื่อครู่นั้นไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น สีหน้าตื่นตะลึงของเฟยหลงปรากฎขึ้นอย่างไม่ปิดบังเลยสักนิด แม้ว่าร่างกายหนังมนุษย์นี้จะถูกจำกัดพลังวิญญาณเพียงเขตขั้นราชันวิญญาณขั้นต้น ทว่าความแข็งแกร่งมีมากเพียงใดเขาย่อมเป็นผู้ที่รับรู้ดีที่สุด สิ่งที่เกิดขึ้นกล่าวได้ว่าเป็นการแหวกมิติชั้นสูงที่ไม่ธรรมดาสามัญทั่วไปอย่างแท้จริงก่อนหน้านี้ทุกการกระทำของหนิงอ้ายล้วนอยู่ในสายตาและการรับรู้ของเขาทั้งสิ้น แต่เพียงอึดใจเดียวที่ทันไม่ระวังเท่านั้น ร่างบางกลับหายลับไปโดยไร้ซึ่งร่อยรอยใดให้ติดตาม เฟยหลงรีบหันซ้ายขวามองหาอีกฝ่ายในทันทีอย่าง
ชายหนุ่มผู้หนึ่งก้าวเดินออกจากโรงเตี๊ยมด้วยความมั่นคง ชายเสื้ออาภรณ์สีเขียวขาวโดดเด่นสะอาดตาแก่ผู้พบเห็น ป้ายหยกที่แขวนห้อยอยู่ตรงข้างเอวนั่นเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าเป็นถึงนักปรุงโอสถระดับสี่ สมญานามวิญญาจารย์โอสถ แน่นอนว่าด้วยฐานะตำแหน่งนี้ไม่อาจดูเบาได้เพียงนิด แม้แต่เจ้าเมืองปกครองหากต้องพบเจอยังต้องไว้หน้ามากกว่าสามส่วนเลยทีเดียวชายหนุ่มผู้นี้เป็นถึงหนึ่งในศิษย์ของปรมจารย์โอสถเหวินหวู่ นักปรุงโอสถระดับเจ็ดเพียงหนึ่งเดียวในมหาทวีปบูรพาแห่งนี้ นามของชายหนุ่มนั่นคือเหยียนฮุ่ย ศิษย์ลำดับที่สามนั่นเองตั้งแต่วันที่ศิษย์ทุกคนของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาต้องออกเดินทางจากสำนักเพื่อเสาะหาประสบการณ์เป็นเวลาหนึ่งปี จากวันนั้นถึงวันนี้ก็เป็นเวลาถึงหนึ่งเดือนมาแล้ว เหยียนฮุ่ยได้ตั้งต้นการเดินทางไปยังทิศตะวันตกของสำนักศึกษา ด้วยเหตุผลสำคัญคือตรงบริเวณนั้นเต็มไปด้วยเขตแนวเทือกเขาสูงอุดมด้วยสมุนไพรระดับต่าง ๆ อย่างนับไม่ถ้วนระหว่างการเดินทางนอกจากที่เขาจะช่วยเหลือชาวบ้านที่เดือดร้อนหรือผู้ป่วยที่ต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างเร่งด่วนแล้ว เขาไม่ลืมที่จะฝึกตนทั้งการปรุงโอสถตามเคล็ดวิถีเฉพาะแห่งตน อี
กองกำลังที่หวังจิ่งหลงส่งเทียบเชิญมานั้น ทุกคนล้วนเป็นผู้ฝึกตนที่แกร่งกล้าที่เคยมีหนี้น้ำใจต่อกันทั้งสิ้น ขุมกำลังระดับนี้กล่าวว่าเหนือชั้นกว่ากองกำลังของกลุ่มอิทธิพลทั่วไปอย่างแท้จริง สำหรับสถานที่ตั้งของสำนักเทพมารทมิฬนั้นจริงอยู่ที่พวกเขาพอรับรู้ถึงบริเวณดังกล่าว แต่ใคร่จะไปเยือนโดยง่ายก็หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ พึงทราบว่าทุกกลุ่มอิทธิพลในมหาทวีปบูรพาแห่งนี้นล้วนมีม่านปราการป้องกันการรุกล้ำกันทั้งสิ้นผ่านไปเป็นเวลาหลายชั่วยามในการเคลื่อนทัพตามเส้นทางที่ถูกกำหนด ตรงเบื้องหน้าได้ปรากฎเป็นผืนป่าขนาดใหญ่ที่เงียบสงบไร้ซึ่งเสียงแห่งชีวิตของทุกสรรพสิ่ง ยามราตรีกาลอันมืดมิดเช่นนี้มีเพียงแสงจากจันทราเท่านั้นที่ยังคงสาดส่องทอแสงให้พอเห็นอยู่เรือนลาง แต่ถึงอย่างไรแล้วความเงียบสงบจนน่าผิดวิสัยเช่นนี้ย่อมบ่งชี้ได้ว่าสถานที่ดังกล่าวหาใช่สถานที่ธรรมดาดั่งที่เห็น"เรียนท่านหวังจิ่งหลง ตอนนี้กองกำลังของพวกเราได้มาถึงเขตป่าชั้นนอกที่เปรียบได้ดั่งค่ายกลธรรมชาติที่คอยคุ้มครองสำนักเทพมารทมิฬแล้วขอรับ..." หวังฮุ่ยเอ่ยขึ้นกับนายเหนือหัวของตนด้วยความยำเกรง โทสะของท่านประมุขนั้นหาสงบลงได้โดยง่ายแล้วในยามนี้ส
ท่ามกลางลานต่อสู้กลางท้องฟ้า กระแสพลังปราณธรมชาตินับไม่ถ้วนกระหน่ำเข้าจู่โจมเหล่าผู้แกร่งกล้าทั้งสิบที่กำลังร่วมมือทำลายหมุดค่ายกลตรงหน้านี้อย่างไม่ลดละ อย่างไรก็ตามพวกเขาเหล่านี้ก็เป็นถึงราชทินนามเทวะวิญญาณขั้นสูงย่างก้าวราชันวิญญาณขั้นต้นกันทั้งสิ้น พลังฝีมือแต่ละคนดุดันน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง แม้ไม่ได้ทุ่มเทพลังปราณทั้งหมดก็สามารถสร้างแรงสะเทือนทำลายไปได้ไม่น้อย สิ่งนี้อาศัยแต่เพียงเวลาเท่านั้นเสาศิลาอันเป็นหมุดค่ายกลจากธรรมชาตินี้คล้ายกับปราการป้องกันอันแข็งแกร่งของทางสำนักเทพมารทมิฬคงไม่เกินจริงไปนัก แต่ถึงอย่างไรนั้นสุดยอดพลังปราณทำลายล้างที่ถาโถมเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้งได้กระหน่ำลงไปยังพสุธาเบื้องล่างอย่างไม่ขาดสาย ส่งผลให้พลังปราณธรรมชาติที่คอยค้ำจุนเสาศิลาหมุดค่ายกลนี้ถูกขัดขวางไหลเวียนไม่ราบรื่น เสาศิลาบังเกิดเป็นรอยร้าวที่เริ่มถูกกะเทาะแตกขึ้นเรื่อย ๆ แล้วยามนี้"เสริมพลังปราณค้ำจุนเสาหลักหมุดค่ายกลนี้สุดกำลัง ค้ำยันม่านพลังป้องกันนี้ให้นานที่สุดเท่าที่จะกระทำได้!!!" ชายวัยกลางคนที่คาดว่าอาจเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสสำคัญของทางสำนักเทพมารทมิฬร้องตะโกนขึ้นสิ้นเสียงคำสั่งดังกล่าว
"ข้าคงไม่ได้ออกมาต้อนรับช้าไปใช่หรือไม่?" หมอกควันสีดำอันเป็นสัญลักษณ์ของปราณมารแผ่ซ่านพวยพุ่งออกมาเป็นแส้กระดูกนับร้อยสาย ขุมพลังที่แผ่ซ่านกำจายนี้เพียงพอทัดเทียมกับหวังจิ่งหลงได้อย่างไม่ต้องสงสัย เพียงมันปรากฏขึ้นก็มีเสียงโหยหวนแพร่ะสะพัดดังระงมเสียงอันน่าสะพรึงกลัวนี้ล้วนมาจากเศษเสี้ยวดวงจิตสุดท้ายที่ยังหลงเหลืออยู่คล้ายกับบรรดาเหล่าทาสวิญญาณก่อนหน้าที่ถูกนำมาหลอมสร้างด้วยกลวิธีแปลกประหลาด อาณุภาพของแส้กระดูกพิศดารนี้เหนือล้ำยิ่ง ต่อให้ราชทินนามเทวะวิญญาณหลายสิบคนร่วมมือกันทำลายก็ไม่อาจสมหวังได้โดยง่าย"เทพมารแส้โลหิตกระดูกขาวคลั่ง หนึ่งในสี่ผู้พิทักษ์จอมมารครั้งอดีตกาล ไม่คาดคิดว่าเบื้องหลังของสำนักต่ำทรามนี้จะเป็นท่าน!!!" หวังจิ่งหลงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด เทพมารผู้นี้ครั้งหนึ่งถึงกับขึ้นชื่อเป็นอันดับต้น ๆ เป็นที่น่าหวั่นเกรงยิ่ง ในมหาศึกสงครามสุดท้ายระหว่างผู้ฝึกตนกับเหล่ามารครั้งนั้นฟังว่าอีกฝ่ายได้ถูกสังหารไปแล้ว ทว่าอย่างไรแล้วจากตำราบันทึกเก่าก่อนย่อมชี้ชัดได้ว่าไม่ผิดตัว มารผู้นี้ย่อมเป็นมารชั้นสูงเรืองนามผู้นั้นเป็นแน่ การปรากฏตัวของอีกฝ่ายไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่น
อัสนีบาตสีทองก่อตัวเป็นมหาวังวนขนาดใหญ่ฉีกกระชากห้วงมิติชั้นสูงอันพิศดารนี้แหวกออกเป็นช่องทางขนาดมหึมา เงาร่างหลายสายพุ่งทะยานก้าวเดินออกมาพร้อมกับกลิ่นอายลึกล้ำไม่แตกต่างจากกองกำลังที่หวังจิ่งหลงรวบรวมมาได้ก่อนหน้าพลังปราณอหังการรุนแรงสะกดข่มลงมาจากทั่วทุกสารทิศ ลานต่อสู้เหนือตำหนักของสำนักเทพมารทมิฬล้วนตกอยู่ภายใต้พลังกดดันอันแรงกล้าของผู้มาเยือน กลิ่นอายของโอสถระดับสูงที่ไม่อ่อนด้อยไปกว่าโอสถระดับเจ็ดได้แผ่ซ่านกำจายปกคลุมไปทั่ว พร้อมกับอานุภาพของสมบัติวิเศษระดับสูงที่ล้นทะลักออกมาถึงขีดสุด ทำให้บรรดาผู้แกร่งกล้าของกองกำลังหวังจิ่งหลงนั้นสามารถโคจรพลังปราณดูดซับฤทธิ์ของโอสถรักษาที่ผสานเข้ากับสมบัติวิเศษได้อย่างลงตัวผู้แกร่งกล้าบางคนย่อมไม่ทราบว่าผู้มาเยือนนั้นเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่มากเพียงใด พวกเขาต่างทราบเพียงว่ากลิ่นอายที่คนผู้นี้ปลดปล่อยนั้นเหนือล้ำจนไม่อาจบรรยายได้ หากเทียบกับประมุขตระกูลหวังผู้เป็นถึงราชทินนามราชันวิญญาณขั้นสูงย่างก้าวราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นต้นยังไม่อาจเปรียบเทียบได้เพียงนิดแต่สำหรับผู้แกร่งกล้าที่พอทราบว่าคนผู้นี้เป็นใครก็ถึงกับตกตะลึงกันไปเลยทีเดียว เดิม
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต
มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล
ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย