เวลาได้หมุนเวียนเปลี่ยนผันไปอย่างรวดเร็ว ตอนนี้หนิงอ้ายถือได้ว่าเป็นศิษย์ของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ เป็นศิษย์ลำดับที่เจ็ดและศิษย์ผู้สืบทอดของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาครบสามเดือนเต็มเเล้ว เเต่ละวันหนิงอ้ายได้จัดสรรเเบ่งเวลาอย่างเป็นระเบียบเเบบแผน
ช่วงเช้าหลังจากที่ดูเเลสวนสมุนไพรที่ข้างเรือนเสร็จก็จะฝึกฝนเชิงยุทธ์รวมไปถึงเคล็ดวิชาตให้ความคล่องแคล่วมากยิ่งขึ้นโดยใช้เวลาไปจนถึงช่วงเย็น ยามกลางคืนนอกจากดูดซับหินปราณที่ได้รับมาก่อนหน้าและโคจรลมปราณตามเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาเเล้ว อีกฝ่ายได้นำโอสถระดับหนึ่ง โอสถระดับสองที่ได้ปรุงขึ้น เเลกเป็นสมุนไพรจากอาคารส่วนกลางของตำหนักเพื่อนำสมุนไพรเหล่านี้กลับมาหลอมเป็นโอสถตามสูตรต่าง ๆ รวมไปถึงเด็กหนุ่มได้ฝากผู้อาวุโสซุนให้นำโอสถไปขายที่เมืองหมอกทมิฬอีกด้วย
นอกจากนั้นหนิงอ้ายยังคงศึกษาเรียนรู้ในเรื่องของสมุนไพรต่าง ๆ รวมไปถึงฝึกฝนการหลอมสร้างปรุงโอสถอย่างสม่ำเสมอ กล่าวได้ว่ายิ่งลงมือฝึกฝนมากเท่าใด ตอนนี้อีกฝ่ายยิ่งมีความคุ้นเคยเชี่ยวชาญในการปรุงโอสถระดับสองมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสามารถปรุงโอสถระดับสามบางชนิดได้แล้วเช่นกัน ถือได้ว่าด้วยระยะเวลาเพียงเท่านี้เพียงไม่กี่เดือน เเต่เด็กหนุ่มกลับมีความก้าวหน้ามากเลยทีเดียว
หลังจากงานวันเกิดของอี้หลินที่ผ่านมากลุ่มของหนิงอ้ายไม่ได้นัดพบเจอกันช่วงวันหยุดที่ทางสำนักได้กำหนดไว้เพราะต่างมีเรื่องต้องทำมากมายในช่วงนี้ ถึงอย่างไรพวกเขายังคงส่งจดหมายเวทย์ถามไถ่กันอยู่เสมอ เนื่องจากสหายเเต่ละคนของหนิงอ้ายต่างมีความสามารถที่โดดเด่นเมื่อเทียบกับศิษย์สายนอกที่พึ่งเข้ามาพร้อมกัน
ดังนั้นทุกคนจึงถูกผู้อาวุโสสูงสุดของเเต่ละตำหนักรับเข้าเป็นศิษย์สายตรงของตนทั้งสิ้น ส่งผลให้ต้องทุ่มเทไปกับการศึกษาเรียนรู้เเบบตัวต่อตัวอย่างเต็มที่ให้สมกับโอกาสที่ได้รับมา การเป็นศิษย์สายตรงของผู้อาวุโสสูงสุดประจำตำหนัก ย่อมการันตรีได้ถึงเส้นทางอันรุ่งโรจน์ในวันข้างหน้าของพวกเขาเหล่านี้ที่ไม่ธรรมดาสามัญอย่างแน่นอน...
แม้ว่าทุกอย่างจะเป็นไปอย่างราบรื่นปกติเเต่หนิงอ้ายยังคงไม่วางใจสักเท่าไหร่นัก วิหคสอดแนมถูกเรียกออกมาอย่างไม่จำกัดเพื่อให้เด็กหนุ่มได้รับรู้ในทุกความเป็นไปที่เกิดขึ้น คล้ายกับว่าอีกฝ่ายซ่อนตัวได้อย่างแนบเนียนเพราะในตอนนี้ยังไม่สามารถพบเจอสิ่งผิดปกติ ศิษย์ที่ยังไม่ฟื้นคืนสติอาการก็ยังไม่ดีขึ้น เหวินหวู่อาจารย์ของเขาก็ไม่ได้กลับมายังเรือนพักในตำหนักหลายวันแล้ว คาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงพบเจอเรื่องยุ่งยากในการปรุงโอสถรักษาอาการดังกล่าวนี้เป็นแน่
ช่วงเช้าที่ผ่านมาหนิงอ้ายได้รับจดหมายเวทย์จากท่านอาจารย์ว่าในยามยามซื่อให้ตนไปรอพบที่เรือนพักของอีกฝ่าย ซึ่งเหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งชั่วยามก็จะถึงเวลานัดหมายเเล้ว เด็กหนุ่มจึงรีบจัดการตัวเองพร้อมกับแต่งกายให้เรียบร้อย ป้ายหยกทั้งสองที่ระบุตัวตนได้ถูกแขวนห้อยอยู่ตรงข้างเอวเหมือนเช่นทุกครั้ง ด้วยระยะทางที่ไม่ไกลเพียงหนึ่งเค่อหนิงอ้ายก็มาถึงเรือนพักอาจารย์ของตนเเล้ว ไม่รอช้าเด็กหนุ่มจึงเดินตรงไปยังห้องรับรองของเรือนในทันที
"คำนับท่านอาจารย์ขอรับ..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับประสานมือคำนับตัว เมื่อเห็นว่าชายชราผู้เป็นอาจารย์ได้นั่งรอตนอยู่เเล้ว
"ไม่ต้องมากพิธีไป ไหนเล่าให้อาจารย์ฟังว่าหลังจากการสอบเลื่อนระดับเจ้าทำสิ่งใดบ้างในที่ผ่านมา..." เหวินหวู่เอ่ยขึ้นพร้อมกับมองเด็กหนุ่มผู้เป็นศิษย์คนเล็กของตนด้วยความเอ็นดู
"หลังจากที่สอบเลื่อนระดับในครั้งนั้น ข้าได้..." หนิงอ้ายได้เล่าให้กับอาจารย์ของตนว่าในเเต่ละวันเขาได้ทำสิ่งใดไปบ้าง อีกทั้งยังเก็บข้อสงสัยในยามที่ตนได้ฝึกฝนปรุงโอสถระดับสองก่อนหน้าสอบถามอาจารย์ตนอีกครั้งให้ได้รับคำตอบที่ถูกต้องอละสามารถนำไปปรับใช้ต่อไปได้
เหวินหวู่ที่ได้ยินเสียงของเด็กหนุ่มเอ่ยให้ตนได้ฟังถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นตลอดระยะเวลาสามเดือนมานี้ พลันทำให้ความรู้สึกเคร่งเครียดที่ผ่านมานี้ลดลงไปเป็นอย่างมาก จากสิ่งต่าง ๆ ที่ฟังมาได้เเสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายสามารถจัดสรรเเบ่งเวลาได้อย่างถูกต้อง แม้จะทุ่มเทไปกับการฝึกฝนหลอมสร้างปรุงโอสถเเต่ก็ไม่ละทิ้งการฝึกฝนตามวิถีของผู้ฝึกตน อาจมีคำกล่าวที่ว่าโดยทั่วไปเเล้วนักปรุงโอสถจะอ่อนด้อยในเชิงยุทธ์อยู่บ้างหากเทียบไปกับผู้ฝึกตนในระดับพลังวิญญาณขั้นเดียวกัน เเต่ทว่าถ้อยคำเหล่านี้ย่อมใช้ไม่ได้กับศิษย์เขาผู้นี้
เด็กหนุ่มตรงหน้าช่างเหมาะสมกับเป็นลูกหลานตระกูลหวังเสียจริง คิดไปเเล้วก็อิจฉาตาเฒ่าหวังสหายของตนที่มีหลานชายที่มากไปด้วยความสามารถเช่นนี้ แม้กระทั่งเด็กหนุ่มที่มีนามว่าลู่ซีผู้เป็นหลานบุญธรรมของอีกฝ่ายเช่นกัน ฟังว่าตอนนี้อีกฝ่ายก็ได้รับเลือกเป็นศิษย์สายตรงของหนึ่งในผู้อาวุโสสูงสุดของตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลไปเเล้ว เด็กหนุ่มทั้งสองคนช่างมากไปด้วยพรสวรรค์อย่างเเท้จริง
"เจ้ามีคุณสมบัติของนักปรุงโอสถระดับสามเเล้ว ดังนั้นสมควรที่จะมีเตาหลอมโอสถประจำตัวเสียที อาจารย์จะให้ศิษย์พี่ห้าของเจ้าพาไปเลือกเตาหลอมโอสสประจำตัวที่อาคารส่วนกลางของตำหนักเราเสียเเล้วกัน..." เหวินหวู่เอ่ยขึ้น
"นักปรุงโอสถระดับสามขึ้นไปสมควรมีเตาหลอมโอสถประจำตัว หากกล่าวว่าวิญญาณยุทธ์สามารถชี้ชัดได้ถึงตัวตนเเล้วนั้น เตาหลอมโอสถก็สามารถชี้ชัดได้ถึงนักปรุงโอสถเช่นกัน ความแตกต่างนั่นคือวิญญาณยุทธ์จะเป็นสิ่งที่ติดตัวมาเเต่กำเนิด เเต่เตาหลอมโอสถวิญญาณจะเป็นฝ่ายเลือกผู้ครอบครองเสียมากกว่าเชื่อกันว่าต่างมีจิตวิญญาณเป็นของตนทั้งสิ้น..." เหวินหวู่เอ่ยเสริมให้เด็กหนุ่มเข้าใจมากยิ่งขึ้น
"เช่นนั้นเเล้วมีนักปรุงโอสถไม่สามารถครอบครองเตาหลอมโอสถวิญญาณบ้างหรือไม่ขอรับ??" หนิงอ้ายถามกลับไปด้วยความสงสัย
"ย่อมมีอยู่เเล้ว ใช่ว่านักปรุงโอสถทุกคนจะสามารถครอบครองเตาหลอมโอสถวิญญาณได้ เเต่ก็ยังคงสามารถเป็นนักปรุงโอสถและใช้งานเตาหลอมโอสถทั่วไปได้ เพียงเเต่ว่าเม็ดโอสถที่ถูกปรุงขึ้นจากเตาหลอมโอสถวิญญาณจะมีความล้ำค่ามีความบริสุทธิ์มากกว่าเตาหลอมโอสถธรรมดา..." เหวินหวู่เอ่ยเสริมขึ้นอีกครั้ง
"หากศิษย์เดาไม่ผิดเตาหลอมโอสถที่ท่านอาจารย์ใช้ก่อนหน้าไม่ใช่เตาหลอมโอสถวิญญาณใช่หรือไม่ขอรับ??"
"เจ้าเข้าใจถูกต้อง นี่คือเตาหลอมโอสถวิญญาณของอาจารย์..." เหวินหวู่ตอบกลับไปพร้อมกับเรียกเตาหลอมโอสถวิญญาณประจำตัวออกมาให้เด็กหนุ่มได้ชม
พรึบ!!!
เตาหลอมโอสถสีขาวบริสุทธิ์ที่อยู่ตรงหน้า กลิ่นอายความบริสุทธิ์ผสานไปกับกลิ่นหอมประหลาดออกมา บนตัวเตาหลอมถูกสลักเป็นลวดลายก้อนเมฆ กระเเสลมปราณอ่อน ๆ ออกมาโดยรอบไปทั่วทั้งบริเวณ ฐานที่รองรับด้านล่างก็เป็นสีขาวเช่นกันซึ่งมีความงดงามเป็นอย่างมาก
"เตาหลอมหมื่นดาราจรัสเมฆานี้ อาจารย์ประสบพบวาสนาได้ครอบครองเมื่อหลายสิบปีก่อน ฟังว่าเป็นหนึ่งในสิบสุดยอดเตาหลอมโอสถวิญญาณเเห่งยุคเมื่อหลายร้อยปีมาเเล้ว เเรงกดดันอ่อน ๆ นี้แม้จะส่งผลกับนักปรุงโอสถหรือผู้ฝึกตนที่มีพลังวิญญาณอ่อนด้อยอยู่บ้างก็จริง เเต่มีผลโดยตรงกับสมุนไพรที่มีจิตวิญญาณหรือแก่นเเท้อสูรที่ยังมีจิตอาฆาต เมื่อเจอกับความพิศดารล้ำลึกเฉพาะตัวสิ่งเหล่านี้ล้วนไม่ได้เป็นอุปสรรคในการปรุงโอสถเเต่อย่างใด..." เหวินหวู่เอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม
หนิงอ้ายที่ได้ยินก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจสักเท่าไหร่นัก เนตรเเห่งสวรรค์ได้ส่งข้อมูลให้ตนได้รับรู้มาบ้างเเล้วในตอนที่เตาหลอมโอสถนี้ได้ปรากฎขึ้นตรงหน้า อย่างไรหนิงอ้ายก็มีความเชื่อว่าต่อให้สามารถครอบครองอาวุธวิเศษหรือเตาหลอมที่ล้ำค่ามากเพียงใดเเต่หากผู้ครอบครองไร้ซึ่งความสามารถเเล้ว สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ต่างไปจากสิ่งของธรรมดาก็เพียงเท่านั้น
เหวินหวู่ยังคงนั่งพูดคุยกับหนิงอ้ายในเรื่องราวต่าง ๆ พร้อมกับมอบสูตรโอสถระดับสามให้กับเด็กหนุ่ม พร้อมกับแนะนำว่าหากพลังวิญญาณอยู่ในระดับเทวะวิญญาณขั้นที่สี่สิบห้าขึ้นไปสมควรที่จะสอบเลื่อนระดับเป็นนักปรุงโอสถระดับสามได้เเล้ว
หนิงอ้ายน้อมรับคำแนะนำจากอาจารย์ด้วยรู้ว่าอีกฝ่ายหวังดีและเอ็นดูตนเป็นอย่างมากจากนั้นเหวินหวู่จึงฝากฝังให้ไป๋เหลียนฮวาดูเเลเด็กหนุ่มให้ดีก่อนที่ชายชราจะหายเข้าไปจัดการธุระบางอย่างในเรือนพักของตน
"ศิษย์พี่ไป๋สบายดีใช่หรือไม่ขอรับ??" หนิงอ้ายเอ่ยถามศิษย์พี่ที่เดินอยู่ข้างตน เนื่องจากสามเดือนที่ผ่านมานี้เขาแทบไม่ได้ออกจากบริเวณเรือนพัก มีบ้างที่ไปรับทรัพยากรบ่มเพาะและนำโอสถไปเเลกเปลี่ยนที่อาคารส่วนกลางของตำหนัก เเต่เขาก็ไม่ได้พบเจอกับอีกฝ่ายเลยสักครั้งเช่นกัน
"ศิษย์พี่สบายดี อาจวุ่นวายไปบ้างเพราะต้องจัดการหลายสิ่งเเทนท่านอาจารย์และเหล่าศิษย์พี่คนอื่น ๆ เเล้วศิษย์น้องเล่าเห็นว่าเก็บตัวฝึกฝนปรุงโอสถในช่วงนี้..." ไป๋เหลียนฮวาถามกลับไป
"ตอนนี้ข้าสามารถปรุงโอสถระดับสองด้วยเวลาที่ลดลงและมีความบริสุทธิ์ที่มากขึ้นเเล้ว อย่างไรข้ายังคงต้องฝึกฝนอีกมากกว่าจะเชี่ยวชาญดั่งเช่นศิษย์พี่ไป๋และศิษย์พี่ท่านอื่นขอรับ..."
"ด้วยระยะเวลาเพียงสามเดือนเจ้าสามารถทำได้เช่นนี้ก็นับว่ามากพรสวรรค์เเล้ว อย่างไรอย่าหักโหมกดดันตัวเองมากนักเล่า..."
"ขอรับศิษย์พี่..." หนิงอ้ายตอบกลับอีกฝ่ายไปอีกครั้งก่อนที่จะมุ่งเดินตรงไปซึ่งจุดหมายนั่นคืออาคารส่วนกลางของตำหนัก
ไป๋เหลียนฮวาได้บอกกับหนิงอ้ายว่าเตาหลอมโอสถวิญญาณที่ทางตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาครอบครองอยู่ เกิดจากการที่เหล่าบรรพจารย์หรือเหล่าเจ้าตำหนักได้เก็บรวบรวมนำมาเก็บไว้ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่นให้กับอนุชนรุ่นหลังนักปรุงโอสถในตำหนักที่มีความสามารถคู่ควรในการครอบครองเตาหลอมโอสถเหล่านี้
ใช่ว่าศิษย์ทุกคนจะสมหวังอย่างที่ทราบกันดีว่าสำหรับเตาหลอมโอสถทั่วไปทั้งระดับต่ำหรือระดับสูงล้วนเป็นนักปรุงโอสถที่เป้นฝ่ายเลือกทั้งสิ้น ทางกลับกันเตาหลอมโอสถวิญญาณจะเลือกเจ้าของที่เหมาะสมคู่ควรเท่านั้น
บรรดาศิษย์พี่ทั้งหกของหนิงอ้าย มีเพียงศิษย์พี่ใหญ่โจวเซินเท่านั้นที่ครอบครองเตาหลอมโอสถวิญญาณได้ สำหรับศิษย์พี่ท่านอื่นแม้ไม่ได้ครอบครองสุดยอดเตาหลอมโอสถเหล่านี้ก็จริง เเต่ด้วยภายในห้องจัดเก็บยังมีเตาหลอมโอสถระดับสูงอยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้นแม้จะพลาดโอกาสครอบครองเตาหลอมโอสถวิญญาณเเต่ทว่ายังสามารถเลือกหยิบเตาโอสถชิ้นใดก็ได้ในห้องนั้นมาใช้หากว่าผ่านการเห็นชอบจากท่านอาจารย์และผู้อาวุโสทั้งสอง
สิ่งที่ท่านอาจารย์เน้นย้ำอยู่เสมอนั่นคือ หัวใจหลักของนักปรุงโอสถหาใช่อยู่ที่เตาหลอมโอสถเเต่อย่างใด เพราะท้ายที่สุดแล้วหากนักปรุงโอสถผู้นั้นไร้ซึ่งญาณสัมผัสและวิญญาณยุทธ์ธาตุไฟที่เเข็งแกร่ง ต่อให้นักปรุงโอสถสามารถครอบครองใช้เตาหลอมโอสถระดับสูงหรือเตาหลอมโอสถวิญญาณ ย่อมไม่สามารถเเสดงความลึกล้ำพิเศษออกมาได้เช่นกัน
ดังนั้นเเล้วการครอบครองเตาหลอมโอสถวิญญาณหาใช่สิ่งที่ชี้ชัดว่านักปรุงโอสถผู้นั้นเป็นนักปรุงโอสถที่มากความสามารถ การครอบครองสูตรโอสถระดับสูงหรือการเป็นนักปรุงโอสถที่มีป้ายยืนยันรับรอง นี่จึงสามารถเรียกได้ว่าสุดยอดนักปรุงโอสถที่เเท้จริง
"คำนับเหล่าซุนขอรับ/เจ้าค่ะ" หนิงอ้ายกับไป๋เหลียนฮวาเอ่ยขึ้นพร้อมกับประสานมือโค้งตัวลงเล็กน้อยเพื่อทำการเคารพผู้อาวุโสตรงหน้า
"ไม่คิดว่าด้วยระยะเวลาเพียงสามเดือนเจ้ากลับมีคุณสมบัติเลือกเตาหลอมโอสถวิญญาณเเล้ว ไม่ธรรมดา..." ผู้อาวุโสซุนเอ่ยชมเด็กหนุ่มก่อนที่จะเดินนำทั้งสองไปยังเขตหวงห้าม
แม้กระทั่งกับไป๋เหลียนฮวาเองที่เป็นศิษย์ในตำหนักมาหลายปี ยังได้รับอนุญาตให้มายังพื้นที่ลับส่วนนี้เพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น
"ศิษย์ในสำนักไม่ว่าจะเป็นศิษย์สายใน ศิษย์สายนอกของเเต่ละตำหนักหรือแม้กระทั่งผู้อาวุโสบางคนต่างรับรู้เพียงเเต่ว่าอาคารส่วนกลางของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาถูกเเบ่งออกโดยมีวัตถุประสงค์ใช้งานแตกต่างกันไป เเต่คนนอกเหล่านี้หารู้ไม่ว่าสุดยอดขุมทรัพย์ที่เเท้จริงได้ถูกจัดเก็บในนี้..." ซุนเกาเอ่ยขึ้นด้วยความภูมิใจก่อนที่จะใช้สิ่งที่คล้ายกับกุญแจปักลงไปในพื้นที่ว่างหนึ่งพร้อมกับถ่ายเทลมปราณออกมา
หนิงอ้ายสัมผัสได้ว่านอกจากจะมีลมปราณของผู้อาวุโสซุนเเล้ว ยังมีลมปราณของผู้อาวุโสและลมปราณที่สามที่ตนคุ้ยเคยอยู่ไม่น้อย เนื่องจากเป็นของเหวินหวู่ผู้เป็นอาจารย์ของตนนั่นเอง
ชั่วพริบตาได้ปรากฎหมอกควันหนาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์โบราณสายหนึ่งพร้อมกับกลิ่นหอมประหลาดเเผ่กำจายไปทั่วทั้งบริเวณ เมื่อม่านหมอกสลายหายไปเเล้ว ตรงหน้าของพวกเขาทั้งสามคนได้ปรากฏเป็นประตูสีดำที่ถูกสลักลวดลายด้วยอักขระเวทย์โบราณที่ หนิงอ้ายยังไม่เคยเห็นมาก่อนเสียด้วยซ้ำ เเต่ละอักขระเวทย์ได้ถูกเรียงร้อยสอดประสานเข้ากันอย่างสมดุลและได้รับการป้องกันที่เเน่นหนาเป็นอย่างมาก เพราะแม้เเต่เนตรเเห่งสวรรค์ยังไม่สามารถให้ข้อมูลรายละเอียดที่มากไปกว่านี้ได้เลยเสียด้วยซ้ำ
"เมื่อเข้าไปเเล้ว เจ้าจงตั้งสมาธิกำหนดจิตใจให้นิ่ง จากนั้นให้ใช้ญาณสัมผัสของตนเเผ่ออกมาเรียกหาเตาหลอมโอสถวิญญาณ..."
"และจงจำไว้ว่า ท้ายที่สุดทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นภายในนั้นเจ้าไม่สามารถเป็นผู้ชี้ชะตากำหนดได้ ข้าหวังว่าสิ่งที่เจ้ามีอยู่ที่เรียกว่าวาสนาสวรรค์จะทำให้เจ้าสมดั่งใจในครั้งนี้..." ซุนเก่าเอ่ยอวยพรเด็กหนุ่ม ก่อนที่จะย้ายตนยืนด้านข้างเพื่อให้เด็กหนุ่มได้เปิดประตูเข้าไปในห้องลับ
"ศิษย์พี่ขออวยพรให้เจ้าสมหวังตามที่ต้องการ" ไป๋เหลียนฮวาได้เอ่ยอวยพรเด็กหนุ่มไปเช่นกัน
"เข้าไปเถิดทำตามที่ข้าบอกเพียงเท่านั้น เมื่อได้รับเตาโอสถมาเเล้ว ค่ายกลด้านในจะส่งตัวเจ้าออกมาในทันที..." ซุนเกาได้เน้นย้ำเด็กหนุ่มไปอีกครั้ง
"ขอรับ" หนิงอ้ายตอบกลับ ในขณะเดียวกันร่างบางของเด็กหนุ่มก็ได้หายเข้าไปในทันที...
"ภายในม่านมิติเต็มไปด้วยศาสตราวุธ เคล็ดวิชาล้ำค่า โอสถระดับสูงหายาก เตาหลอมโอสถระดับวิญญาณและสิ่งของวิเศษอีกมากมายยากที่จะคาดเดาได้ว่าท้ายที่สุดแล้วเขาจะได้ครอบครองสิ่งใด ด้วยระยะเวลาที่จำกัดเพียงหนึ่งชั่วยามในการเข้าไปในม่านมิติพิเศษนี้ หากมีโชควาสนามากเพียงพอ เขาย่อมได้รับการยอมรับจากเตาหลอมโอสถวิญญาณอย่างแน่นอน...""จะว่าไปข้าไม่คิดเลยว่าด้วยระยะเวลาเพียงสามเดือน ศิษย์ผู้นี้ก็ครบถ้วนด้วยคุณสมบัติของนักปรุงโอสถระดับสามได้เสียเเล้ว ความก้าวหน้าเช่นนี้กล่าวได้ว่าเหนือชั้นกว่าเจ้าโจวเซินศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้าในช่วงอายุเดียวกันยิ่งนัก...." ซุนเกาเอ่ยขึ้นอย่างชื่นชมบรรดาลูกศิษย์ของเหวินหวู่เเต่ละคนล้วนมากไปด้วยความสามารถที่โดดเด่นแตกต่างกันออกไปและได้สร้างชื่อเสียงเป็นที่ประจักษ์ให้แก่ตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาเป็นอย่างมาก หรือแม้กระทั่งกับหนิงอ้ายที่เป็นศิษย์คนล่าสุด ก่อนหน้าเด็กหนุ่มสามารถสอบเลื่อนระดับจากนักปรุงโอสถฝึกหัดเป็นนักปรุงโอสถระดับหนึ่ง ภายในวันเดียวกันก็สามารถสอบเลื่อนขั้นเป็นนักปรุงโอสถระดับสองได้สำเร็จ กล่าวว่าครั้งนั้นชื่อเสียงของเด็กหนุ่มได้เป็นที่รู้จักอย่างมากในหมู่นัก
ใช้เวลาเพียงไม่นานนักก็มาถึงพื้นที่ส่วนนอกในบริเวณชั้นหนึ่งของอาคารส่วนกลางหลังนี้เเล้ว หนิงอ้ายกับไป๋เหลียนฮวาประสานมือคำนับผู้อาวุโสซุนที่อีกฝ่ายเสียสละเวลาเป็นธุระให้กับพวกเขาทั้งสองในครั้งนี้ หนิงอ้ายไม่ลืมนำโอสถระดับหนึ่ง โอสถระดับสองและโอสถระดับสามบางชนิดที่ตนได้ปรุงขึ้นในช่วงก่อนหน้าออกมานอกจากจะนำไปฝากขายเเล้วยังได้เเบ่งโอสถส่วนหนึ่งสำหรับการเเลกเปลี่ยนเป็นสมุนไพรต่าง ๆ ตามสูตรโอสถระดับสามที่ตนต้องการฝึกฝนหลังจากนี้ เพราะเด็กหนุ่มตั้งใจว่าอีกไม่กี่เดือนหลังจากนี้เมื่อถึงกำหนดการณ์ของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาที่ศิษย์เเต่ละคนต้องออกไปทำภารกิจด้านนอกสำนักเพื่อช่วยเหลือผู้คนและฝึกฝนตนเองเป็นเวลาหนึ่งปีก่อนที่จะกลับคืนสำนักตามที่ได้ยึดถือปฏิบัติกันมาอย่างยาวนานหนิงอ้ายวางแผนเอาไว้ว่าในระหว่างการเดินทางครั้งนี้เขาจะไปสอบเลื่อนขั้นเป็นนักปรุงโอสถระดับสามให้สำเร็จ อีกทั้งยังตั้งใจว่าจะแวะกลับไปเยือนยังตระกูลหวังที่แคว้นเต่าดำอีกด้วย แม้ว่าในครั้งนี้ลู่ซีอาจจะไม่ได้กลับไปพร้อมกันก็ตาม เพราะตอนนี้อีกฝ่ายได้เป็นศิษย์สายตรงของผู้อาวุโสสูงสุดในตำหนักของค่ายกลฟังว่าหลังจากนี้ต้องเก็บตัวศึ
ทางฝั่งของเฟยหลงที่ได้ยินหนิงอ้ายตอบกลับมาคล้ายกับว่าอีกฝ่ายกำลังแง่งอนเสียอย่างนั้นในความรู้สึกที่สัมผัสได้ ชายหนุ่มจึงรู้สึกหมั่นเขี้ยวเด็กหนุ่มไปไม่น้อย ร่างกายสูงใหญ่ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของบุรุษเพศอันมากล้นได้ค่อย ๆ ก้าวเท้ามุ่งเดินตรงมาพร้อมกับเอ่ยหยอกล้อร่างบางกลับไป"เพียงไม่กี่วันที่ไม่พบเจอกัน ไม่คิดว่าเสี่ยวอ้ายจะคิดถึงข้าเช่นนี้?" เฟยหลงเอ่ยขึ้นพร้อมกับนั่งลงตรงที่นั่งที่อยู่ไม่ห่าง"ใครคิดถึงท่านกัน หึ!! ช่างหน้าหนาเสียจริง..." หนิงอ้ายตอบกลับอีกฝ่ายไปอย่างหงุดหงิด ยิ่งเมื่อเห็นว่าชายหนุ่มตรงหน้าได้เผยรอยยิ้มกว้างออกมา ช่างเป็นบุรุษที่มีความสามารถในการยั่วโมโหยิ่ง"เป็นข้าที่เข้าใจผิดเอง..." เป็นเฟยหลงที่ยอมแพ้ไปก่อนในท้ายที่สุด"ท่านมีสิ่งใดก็กล่าวออกมาได้แล้ว หวังว่าจะสำคัญมากพอเเล้วกัน..." หนิงอ้ายที่ได้ยินเสียงคล้ายกับสำนึกผิดของชายหนุ่ม จึงมองหน้าเพื่อพูดคุยกับอีกฝ่าย ด้วยเพราะเขาก็ต้องการทราบเช่นกันว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นบ้างในช่วงนี้เป็นเวลาเกือบสองชั่วยามที่หนิงอ้ายกับเฟยหลงได้นั่งพูดคุยกันถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นไม่ต่างไปจากที่เด็กหนุ่มคาดการณ์เอาไว้ไปสั
ขบวนคาราวานรถม้านับสิบคันรถได้มุ่งตรงสู่ทางสายหลัก เพื่อค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างแคว้นอันเป็นจุดหมายปลายทางในครั้งนี้ ทว่าเมื่อออกจากเมืองหลวงของแคว้นได้เพียงไม่กี่ชั่วยาม นายกองผู้ควบคุมรวมไปถึงบรรดาผู้คุ้มกันนับครึ่งร้อยชีวิตต่างตกอยู่ในสภาวะตึงเครียดอย่างเสียไม่ได้เส้นทางรถม้าที่เคยผ่านไปกลับนับร้อย นับพันครั้ง เพื่อขนส่งสินค้าไปยังหัวเมืองตามแคว้นต่าง ๆ ใกล้เคียง ครั้งนี้กลับรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างที่ผิดแปลกไป หนึ่งชั่วยามให้หลังมานี้ผืนป่าในช่วงกลางวันอันเป็นช่วงเวลาแห่งการใช้ชีวิตของทุกสรรพสิ่งทว่ากลับไร้ซึ่งเสียงขับขานดังกล่าว บรรยากาศโดยรอบถูกโอบล้อมด้วยหมอกควันสีขาวลอยต่ำ ความเย็นยะเยือกที่สายลมได้พัดพากระทบให้รู้สึกนั้นชวนให้หวาดกลัวยิ่ง"พวกเจ้าทุกคนเฝ้าระวังให้ดี อย่าได้ประมาทเป็นอันขาด!!!" เสียงทุ้มต่ำจากชายวัยกลางคนผู้เป็นหัวหน้าขบวนคาราวานรถม้าขนส่งสินค้า ได้เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง เพื่อเน้นย้ำว่าสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นนี้หาใช่เรื่องปกติไม่อากาศที่ลดลงอย่างฉับพลัน พร้อมกับกลุ่มหมอกควันหนาสีขาวได้ลอยต่ำลงจนแสงสว่างใดก็ไม่อาจเล็ดลอดจากยอดไม้สูงทั้งสิ้น เสียง
หนิงอ้ายในตอนนี้แม้จะถึงพร้อมด้วยคุณสมบัติของผู้ฝึกตนราชทินนามเทวะวิญญาณขั้นต้น ประกอบกับร่างกายนี้ได้ประสานไปกับกระดูกวิญญาณล้ำค่า ยิ่งส่งผลให้ยามออกท่าร่างเคล็ดวิชาตัวเบาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้จึงมีความรวดเร็วเหนือชั้นกว่าผู้ฝึกตนระดับขั้นเดียวกันหลายเท่า เวลาที่ผ่านไปเพียงหนึ่งเค่อตามกำหนด เงาร่างของเฟยหลงกลับพุ่งทะยานล้ำหน้าผ่านร่างบางไปด้วยความเร็วที่เหนือชั้นยิ่งกว่าเห็นรอยยิ้มที่อีกฝ่ายมอบให้ เขาชักเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าการแข่งขันครั้งนี้คุ้มค่ากับการลงแรงไปหรือไม่ ยิ่งเงื่อนไขที่ว่าผู้ชนะสามารถร้องขอสิ่งหนึ่งจากผู้แพ้แล้ว ครั้งนี้เป็นเขาเองที่ประมาทเสียท่าหลงเชื่อคำที่มากไปด้วยเล่ห์กลของอีกฝ่ายเข้าจนได้ เนตรแห่งสวรรค์ส่งข้อมูลให้รับรู้ว่าอีกฝ่ายได้ควบคุมพลังปราณให้เหลือเพียงเขตขั้นเทวะวิญญาณขั้นต้นเพียงเท่านั้น ย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดเคล็ดวิชาตัวเบาที่มีความรวดเร็วเป็นอันดับต้น ๆ ในมหาพิภพ ทว่าเคล็ดวิชาของอีกฝ่ายนั้นดูเหนือชั้นไปกว่ามาก เคล็ดวิชาก็เป็นเพียงส่วนหนึ่ง อย่างไรก็ตามรากฐานการบ่มเพาะก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เสริมให้เกิดความได้เปรียบเช่นนี้"แม้จะล
กระบี่สีขาวบริสุทธิ์ในมือถูกกระชับให้มั่นคงพร้อมต้านรับกระบี่ที่โหมโรมรันเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง เสียงของคมกระบี่ปะทะกันดังขึ้นไปทั่วทั้งผืนป่าที่เงียบสงบ ชายชุดดำที่หนิงอ้ายกำลังรับมืออยู่นี้เป็นถึงราชทินนามเทวะวิญญาณขั้นสูงผู้หนึ่ง ถือได้ว่าเหนือชั้นกว่าเขาไปถึงสองขั้นย่อยเลยทีเดียว แต่ถึงอย่างไรเคล็ดวิชากระบี่สักกะดารารายของหนิงอ้ายมีความเหนือชั้นกว่าเพลงกระบี่ของฝ่ายศัตรูเป็นอย่างมาก ดังนั้นความเสียเปรียบของระดับพลังวิญญาณนับว่าไม่ส่งผลสักเท่าไหร่นักการสับประยุทธ์ของเพลงกระบี่ได้ดำเนินผันผ่านเกินกว่าสองเค่อ ยิ่งเวลาผ่านไปดูเหมือนว่าเรี่ยวแรงของเด็กหนุ่มนั้นหาได้ลดลงตามไม่ ผิดกับชายชุดดำที่มีร่างกายสูงใหญ่แข็งแกร่ง ที่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าความเหนื่อยล้าเริ่มปรากฏขึ้นมาบ้างแล้ว หนิงอ้ายที่แผ่ญาณสัมผัสออกไปโดยรอบจึงรับรู้ได้ทุกการเคลื่อนไหวเหล่านี้และสามารถส่งการโจมตีกลับพร้อมใช้ท่าร่างวิชาตัวเบาหลบออกมาด้านข้างเพื่อหลบหลีกการโจมตีโดยไม่พลาดพลั้ง"ไม่คิดว่าศิษย์ของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์จะมากไปด้วยฝีมือเช่นนี้ ช่างน่าชื่นชมเสียจริง..." ชายชุดดำที่รับมือกับหนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้
"เป็นฝีมือของผู้ใดกันที่ลักลอบกระทำต่ำช้าเช่นนี้ จงเปิดเผยตัวมาเสีย!!!" เฟยหลงคำรามสุดเสียงด้วยความโกรธก่อนจะตบเท้าขึ้นกลางอากาศ สองมือพลันลุกโหมด้วยเปลงเพลิงสีดำทมิฬก่อนจะฟาดไปยังจุดบริเวณที่หนิงอ้ายหายตัวไปเมื่อครู่ พลานุภาพแห่งเปลวเพลิงสีนิลนี้กร้าวแกร่งถึงขีดสุดด้วยพลังที่ลึกล้ำเหนือระดับราชันวิญญาณขั้นต้นกำลังสั่นสะเทือนพื้นที่โดยรอบอย่างไม่ยั้งมือเวลาเพียงไม่กี่สิบรอบลมหายใจต่อมา ห้วงมิติผันผวนตรงหน้าได้แตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ ก่อนที่ทุกสิ่งอย่างจะกลับมาสงบเงียบราวกับว่าเมื่อครู่นั้นไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น สีหน้าตื่นตะลึงของเฟยหลงปรากฎขึ้นอย่างไม่ปิดบังเลยสักนิด แม้ว่าร่างกายหนังมนุษย์นี้จะถูกจำกัดพลังวิญญาณเพียงเขตขั้นราชันวิญญาณขั้นต้น ทว่าความแข็งแกร่งมีมากเพียงใดเขาย่อมเป็นผู้ที่รับรู้ดีที่สุด สิ่งที่เกิดขึ้นกล่าวได้ว่าเป็นการแหวกมิติชั้นสูงที่ไม่ธรรมดาสามัญทั่วไปอย่างแท้จริงก่อนหน้านี้ทุกการกระทำของหนิงอ้ายล้วนอยู่ในสายตาและการรับรู้ของเขาทั้งสิ้น แต่เพียงอึดใจเดียวที่ทันไม่ระวังเท่านั้น ร่างบางกลับหายลับไปโดยไร้ซึ่งร่อยรอยใดให้ติดตาม เฟยหลงรีบหันซ้ายขวามองหาอีกฝ่ายในทันทีอย่าง
ชายหนุ่มผู้หนึ่งก้าวเดินออกจากโรงเตี๊ยมด้วยความมั่นคง ชายเสื้ออาภรณ์สีเขียวขาวโดดเด่นสะอาดตาแก่ผู้พบเห็น ป้ายหยกที่แขวนห้อยอยู่ตรงข้างเอวนั่นเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าเป็นถึงนักปรุงโอสถระดับสี่ สมญานามวิญญาจารย์โอสถ แน่นอนว่าด้วยฐานะตำแหน่งนี้ไม่อาจดูเบาได้เพียงนิด แม้แต่เจ้าเมืองปกครองหากต้องพบเจอยังต้องไว้หน้ามากกว่าสามส่วนเลยทีเดียวชายหนุ่มผู้นี้เป็นถึงหนึ่งในศิษย์ของปรมจารย์โอสถเหวินหวู่ นักปรุงโอสถระดับเจ็ดเพียงหนึ่งเดียวในมหาทวีปบูรพาแห่งนี้ นามของชายหนุ่มนั่นคือเหยียนฮุ่ย ศิษย์ลำดับที่สามนั่นเองตั้งแต่วันที่ศิษย์ทุกคนของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาต้องออกเดินทางจากสำนักเพื่อเสาะหาประสบการณ์เป็นเวลาหนึ่งปี จากวันนั้นถึงวันนี้ก็เป็นเวลาถึงหนึ่งเดือนมาแล้ว เหยียนฮุ่ยได้ตั้งต้นการเดินทางไปยังทิศตะวันตกของสำนักศึกษา ด้วยเหตุผลสำคัญคือตรงบริเวณนั้นเต็มไปด้วยเขตแนวเทือกเขาสูงอุดมด้วยสมุนไพรระดับต่าง ๆ อย่างนับไม่ถ้วนระหว่างการเดินทางนอกจากที่เขาจะช่วยเหลือชาวบ้านที่เดือดร้อนหรือผู้ป่วยที่ต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างเร่งด่วนแล้ว เขาไม่ลืมที่จะฝึกตนทั้งการปรุงโอสถตามเคล็ดวิถีเฉพาะแห่งตน อี
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต
มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล
ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย