แชร์

บทที่86 นักปรุงโอสถฝึกหัด

last update ปรับปรุงล่าสุด: 2025-03-06 12:40:01

หลังจากที่เขาได้เเยกย้ายกับเหล่าสหายของตนที่อยู่คนละตำหนัก ศิษย์พี่จางลี่ได้ฝากฝังให้ศิษย์พี่ตงหยางเดินไปส่งตนที่หน้าตำหนักเหมือนครั้งเเรกที่ได้เจอกันตรงที่ตลาด ทว่าศิษย์พี่ใหญ่โจวเซินได้ผ่านมาทางนั้นพอดีจึงอาสาเดินกลับตำหนักไปพร้อมกับตน ถึงหนิงอ้ายจะสามารถเเยกแยะได้ว่าชายหนุ่มผู้เป็นศิษย์พี่นั้นเพียงเเค่มีใบหน้าเหมือนกับเเทนไทและไม่ใช่คนเดียวกันอย่างแน่นอน

หนิงอ้ายกลับมีความรู้สึกบางอย่างที่ว่าไม่ควรอยู่ใกล้กับคนนี้จะเป็นการดีที่สุด อาจจะดูเสียมารยาทไปบ้างกับศิษย์พี่โจวเซินผู้เป็นถึงศิษย์พี่ใหญ่ในตำหนักของตนก็จริง ทว่าหนิงอ้ายยังมีความรู้สึกบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ สายตาที่อีกฝ่ายมองมาชวนให้เขารู้สึกอึดอัดใจไปไม่น้อยเช่นกัน เพื่อหลีกหนีความวุ่นวายจากชายหนุ่มทั้งสองคนหนิงอ้ายจึงเลือกที่จะเดินกลับตำหนักของตนในทันทีอย่างไม่รั้งรอโดยที่ไม่ต้องให้ผู้ใดต้องมาคอยรับส่งตนทั้งสิ้น

วิหคสอดแนมของหนิงอ้ายก็ได้ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม หนิงอ้ายได้รับรู้ทุกสิ่งที่ศิษย์พี่ท่านนี้ทำเป็นประจำทุกวัน ถึงแม้ว่าในตอนนี้จะยังไม่เจอความผิดปกติก็จริง เเต่ถึงอย่างไรหนิงอ้ายยังคงสั่งให้วิหคสอดแนมติดตามอีกฝ่ายต่อไปด้วยเพราะยังรู้สึกไม่วางใจ

ส่วนทางฝั่งของเฟยหลงที่อยู่ในรูปลักษณ์ของศิษย์พี่ตงหยางความรู้สึกในตอนนี้ที่มีต่ออีกฝ่ายก็เป็นเพียงเเค่ความหมั่นไส้ในความเเข็งแกร่งที่ชวนให้หงุดหงิดใจเป็นบางครั้ง สาเหตุก็เนื่องจากเนตรเเห่งสวรรค์ที่ยังไม่สามารถล่วงรู้ความลับของอีกฝ่ายได้เท่านั้นเอง

หากเฟยหลงได้ยินสาเหตุที่ร่างบางไม่ชอบหน้าตนนั้นคงจะพูดไม่ออกเลยทีเดียว...

วันพักผ่อนตามที่ทางสำนักกำหนดให้เป็นวันหยุดได้ผ่านพ้นไปอย่างรวดเร็วยิ่งนักให้ความรู้สึกเหมือนเพียงพริบตาเดียว แม้ว่าหนิงอ้ายจะใช้เวลาทั้งหมดไปกับการฝึกฝนตนแทบทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นทั้งในเชิงเวทย์ เชิงยุทธ์รวมไปถึงการหลอมสร้างโอสถระดับหนึ่งให้มีความแม่นยำที่มากยิ่งขึ้น

ทุกคืนเด็กหนุ่มยังคงดูดซับหินปราณที่ได้รับมาก่อนหน้าไปพร้อม ๆ กับการชักนำปราณฟ้าดินเข้าสู่ร่างกายของตนตามเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆา อีกทั้งยังเตรียมทำของขวัญให้กับสหายของตนอย่างอี้หลินล้วนเเต่เป็นความลับทั้งสิ้น แม้กระทั่งเจ้าต้าเฮยที่ออดอ้อนด้วยความอยากรู้มากเเค่ไหนเเต่หนิงอ้ายก็ไม่ได้บอกให้อีกฝ่ายได้รับรู้ เพียงเเต่บอกให้อีกฝ่ายร่วมลุ้นไปพร้อมกับอี้หลินในวันนั้นจะดีกว่า

เจ้าตัวน้อยพยักหน้าเข้าใจก่อนที่จะบอกว่าตนก็ควรเตรียมของขวัญบ้างเช่นกัน ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าวันหยุดที่ผ่านมาทั้งหนึ่งผู้ฝึกตนหนึ่งสัตว์อสูรต่างได้ใช้เวลาคุ้มค่าเป็นอย่างมากที่สุด...

"ศิษย์น้องหนิงอ้ายช่างมากไปด้วยพรสวรรค์ เจ้าเห็นด้วยหรือไม่??" เหยียนฮุ่ยเอ่ยถามกับไป๋เหลียนฮวา

"เพียงไม่กี่วันก็สามารถหลอมสร้างปรุงโอสถระดับหนึ่งที่มีความบริสุทธิ์ทั้งสิบส่วนเเล้ว หากศิษย์น้องหนิงอ้ายไปสอบเลื่อนระดับเป็นนักปรุงโอสถระดับหนึ่ง ด้วยวัยเพียงสิบห้าสิบหกปีเช่นนี้ ข้าว่าในบรรดาห้าสำนักที่เหลือหากทราบข่าวนี้คงไม่นิ่งนอนใจเป็นแน่..." ไป๋เหลียนฮวาเอ่ยตอบไปตามสิ่งที่ตนคิดซึ่งทุกคนในที่นี้ต่างพยักหน้าเห็นด้วยกับคำกล่าวนี้

"นอกจากฝีมือการหลอมสร้างปรุงโอสถที่เรียกว่าเก่งกาจไปมากกว่าอายุเเล้ว ความสามารถเชิงยุทธ์การต่อสู้ก็ไม่ด้อยไปเช่นกัน ฟังว่าการทดสอบเข้าสำนักนั้นกลุ่มของศิษย์น้องได้พบเจอกับสัตว์อสูรระดับสูงหลายครั้งเเต่ก็สามารถผ่านมาได้อย่างง่ายดาย..."

"ทั้งตัวของศิษย์น้องหนิงอ้ายรวมไปถึงสหายคนอื่น ๆ นับได้ว่ามากไปด้วยความสามารถทั้งในเชิงเวทย์และเชิงยุทธ์ที่มากกว่าศิษย์ใหม่ในรุ่นเดียวกันไปไม่น้อยเช่นกัน สหายเเต่ละคนยังมีวิญญาณยุทธ์เฉพาะโดดเด่นที่คาดว่าน่าจะมาจากตระกูลใหญ่เสียด้วยซ้ำ..."

"ฟังว่าเเต่ละตำหนักที่ได้สหายของศิษย์น้องไปเข้าร่วมสังกัด ต่างได้เเสดงความสามารถอันโดดเด่นเป็นประจักษ์แก่สายตา บางคนนั้นถึงกับถูกรับเป็นศิษย์สายตรงของผู้อาวุโสในตำหนักนั้นอีกด้วย ดูท่าเเล้วงานประลองระหว่างตำหนักในครั้งหน้าข้าว่าอันดับการเเข่งขันย่อมมีความเปลี่ยนเเปลงอย่างแน่นอน..."

"ช่างเป็นกลุ่มรุ่นเยาว์ที่มากไปด้วยความสามารถอย่างเเท้จริง!!"

"ตลอดหลายปีที่ผ่านมาข้าเคยคิดว่าผู้ใดกันที่จะสามารถครอบครองตำแหน่งศิษย์ผู้สืบทอดของตำหนักเราได้ จนมาถึงตอนนี้กลับกลายเป็นศิษย์น้องหนิงอ้าย ยอมรับว่าครั้งเเรกข้าประหลาดใจและรู้สึกเคลือบเเคลงใจเป็นอย่างมาก ทว่าความสำเร็จในก้าวเเรกของศิษย์น้องในวันนี้กล่าวได้ว่าเหนือชั้นกว่าข้าในช่วงอายุเดียวกันยิ่ง..."

"ทุกคนในที่นี้ก็ใช่ว่าจะธรรมดาไปเสียเมื่อไหร่ พวกเจ้าที่อายุยังไม่ถึงสามสิบปีเเต่กลับเป็นนักปรุงโอสถระดับสี่กันเเล้ว...."

"ทุกคนล้วนมีแนวทางเป็นของตน ขอเพียงพวกเจ้ามุ่งมั่นและทำอย่างเต็มที่ให้ถึงที่สุดเเล้วผลลัพธ์ที่ได้รับหลังจากนั้นย่อมเป็นผลดีต่อพวกเจ้าอย่างแน่นอน..." เกาเจินกล่าวสำทับไปอีกครั้งกับบรรดาศิษย์น้องของตน

"เมื่อวานนี้ศิษย์พี่ใหญ่ก็ได้ทำการเก็บตัวเพื่อเลื่อนระดับพลังวิญญาณ ไม่รู้ว่าในครั้งนี้จะใช้เวลานานเท่าไหร่ ฟังว่าท่านอาจารย์ได้มอบโอสถลมปราณระดับแปดให้ศิษย์พี่โจวเซินไปหนึ่งเม็ด หากว่าประสบวาสนาสวรรค์มากพอศิษย์พี่ย่อมผ่านพ้นเป็นผู้ฝึกตนระดับราชันวิญญาณขั้นสูงได้เป็นแน่..."

"ศิษย์พี่ใหญ่โจวเซินเป็นความภาคภูมิใจของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษา สามารถและพรสวรรค์ของนักปรุงโอสถระดับห้าด้วยอายุเพียงเท่านี้นับได้ว่าหาได้ยากยิ่งไม่รู้ว่าผู้ใดกันจะได้เป็นเจ้าของหัวใจดวงนี้ไป..."

"ตำหนักของพวกเราส่วนใหญ่เเล้วล้วนเป็นบุรุษทั้งสิ้น ต่อไปข้าคงต้องเรียกขานฮูหยินของศิษย์พี่เเต่ละคนว่าพี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้รอง พี่สะใภ้สาม พี่สะใภ้สี่เสียแล้วกระมัง..."

"ข้าคงจะเป็นท่านน้าเป็นท่านป้าของหลาน ๆ อีกหลายสิบคน หากเหมือนไปทางฝั่งมารดาข้าก็คงดีใจด้วยไม่น้อย เเต่หากเหมือนทางฝั่งบิดามากกว่าข้าขอสงสารพี่สะใภ้และหลานของข้าที่ต้องมีสามีและบิดาเป็นศิษย์พี่สี่อย่างแน่นอน..." เมื่อจบคำของสตรีเพียงหนึ่งเดียวในที่นี้หรือไปเหลียนฮวาก็ได้สร้างเสียงหัวเราะดังขึ้นอย่างชอบใจจากทุกคนในที่นี้

ตัวคนที่เปิดประเด็นคุยนั้นในตอนนี้ได้หลบหลังศิษย์พี่และศิษย์น้องของตนไปมา ด้วยเพราะกำลังถูกเหยียนฮุ่ยผู้ที่ถูกพาดพิงถึงนั้นกำลังวิ่งไล่จับอยู่นั่นเอง...

หนิงอ้ายที่ได้เห็นและได้ยินบทสนทนาเหล่านี้ผ่านวิหคสอดแนมของตนนั้นก็รู้สึกมีความสุขไปด้วยเช่นกัน เห็นว่าสมควรแก่เวลาตามนัดหมายที่ต้องไปหาท่านอาจารย์ของตนเพื่อเรียนรู้เนื้อหาในส่วนต่อไป หนิงอ้ายจึงตรวจสอบความเรียบร้อยของตนอีกครั้งพร้อมกับเอ่ยชวนเจ้าตัวน้อยให้ไปกับตนด้วย

ต้าเฮยก็ไม่ได้ปฏิเสธอันใดก่อนที่อีกฝ่ายจะหายไปอยู่ในอกเสื้อของเด็กหนุ่ม พร้อมกับชูคอไปมาส่งสัญญาณว่าพร้อมมากเเล้ว จากนั้นหนิงอ้ายจึงร่ายเวทย์ป้องกันคลุมทับเรือนพักหลังนี้ทันทีอย่างไรเสียปลอดภัยไว้ก่อนเป็นการดีที่สุด

ถึงหน้าเรือนพักของเหวินหวู่ผู้เป็นอาจารย์ของตนเเล้ว หนิงอ้ายได้ตั้งโตะเตรียมอาหารให้อีกฝ่ายเรียบร้อย อาหารเเต่ละวันหนิงอ้ายได้ใส่สมุนไพรบำรุงหลากหลายชนิด จุดประสงค์ก็เพื่อบำรุงร่างกายไปไม่ต่างการกินโอสถ ด้วยเพราะว่าสมุนไพรบางชนิดก็มีส่วนช่วยในการดึงรสชาติของอาหารให้อร่อยมากขึ้นเช่นกัน

เหวินหวู่ได้เห็นว่าศิษย์คนเล็กผู้นี้ได้นำความรู้เกี่ยวกับสมุนไพรที่มีคุณสมบัติประโยชน์มาใส่ลงในเมนูอาหาร ผลลัพธ์ที่ได้ก็ไม่ต่างไปจากการทานโอสถบำรุงในทุกวัน หนิงอ้ายจึงได้รับคำชมจากท่านอาจารย์ไปมากมายเลยทีเดียว

ให้เวลาท่านอาจารย์ในการทานมือเช้านี้ด้วยความไม่เร่งรีบ หนิงอ้ายจึงขอเเยกตัวไปทำหน้าที่ของตนเช่นเดิมนั่นคือการรดน้ำดูเเลสวนสมุนไพร อีกทั้งสมุนไพรเเห้งหลายสิบชนิดที่เขาได้ใช้ไปกับการหลอมสร้างโอสถในหลายวันที่ผ่านมาก็ค่อย ๆ ลดจำนวนลงไปบ้างเเล้ว เด็กหนุ่มจึงจัดการเก็บสมุนไพรเหล่านี้พร้อมกับนำมาตากเเห้งให้สนิท เพื่อที่จะได้ใช้สมุนไพรเหล่านี้ในการหลอมสร้างโอสถในครั้งต่อไป...

"ท่านอาจารย์วันนี้ข้าพาใครบางคนมารู้จักท่านด้วยนะขอรับ..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสดใส

"ต้าเฮยเป็นสัตว์อสูรที่ข้าเจอในขณะที่มันได้รับบาดเจ็บจากการไล่ล่าจากผู้ฝึกตนกลุ่มหนึ่งตรงป่าข้างเมืองหมอกทมิฬ ตอนนั้นข้าคิดเพียงจะนำอีกฝ่ายมารักษาเเต่กลายเป็นว่าเจ้าตัวน้อยนี้ถึงกับตามติดข้าไม่ห่าง จนสุดท้ายข้าจึงต้องยอมรับมันมาเป็นสัตว์เลี้ยงจนได้ขอรับ..." หนิงอ้ายเล่าที่มาของเจ้าตัวแสบนี้ให้กับอาจารย์ด้วยรอยยิ้ม

ขณะที่ย้อนคิดไปถึงตอนนี้ที่อีกฝ่ายเเสดงท่าทางประหลาดและน่ารักมากเเค่ไหนเพื่อที่ออดอ้อนให้เป็นสัตว์เลี้ยงของตน…

ทางฝั่งของเหวินหวู่ที่ได้ยินว่าอีกฝ่ายได้พาบางคนหรือบางสิ่งมาแนะนำให้ตนรู้จักนั้น เขาก็พอรับรู้ได้ว่าอาจจะเป็นสัตว์อสูรของอีกฝ่ายก็เป็นได้ กลิ่นอายของสัตว์อสูรที่เเผ่ออกมารอบตัวของเด็กหนุ่มให้ความรู้สึกไปไม่ต่างจากสิ่งป้องกันจากสัตว์อสูรระดับมายาเลยทีเดียว ศิษย์ของเขาช่างมากไปด้วยวาสนาเสียจริงที่สามารถครอบครองสัตว์อสูรระดับสูงเช่นนี้ได้

เเต่เมื่อตนได้เห็นเจ้าก้อนสีดำในมือศิษย์ของตน พร้อมกับถ้อยคำแนะนำที่บรรยายไปถึงความน่ารักของสัตว์เลี้ยงตัวนี้ เพียงเเค่มองครั้งเดียวเหวินหวู่ก็รู้ได้ทันทีว่าลูกศิษย์ของตนนั้นคงถูกหลอกหรือเต็มใจให้หลอกจากท่าทางและรูปลักษณ์ไปแล้วอย่างแน่นอน

ลักษณะภายนอกของสัตว์เลี้ยงที่เด็กหนุ่มตั้งชื่อให้ว่าต้าเฮยก็ช่างดูพอเหมาะเข้ากันเสียจริง ลำตัวเรียวยาวที่เต็มไปด้วยเกล็ดสีดำเลื่อมระยิบระดับ ดวงตากลมโตสีเเดงฉานนั้นดูดุดันเป็นอย่างยิ่ง เเต่เมื่อมือของเด็กหนุ่มผู้เป็นดั่งเจ้านายของมันลูบส่วนหัว จากท่าทางข่มขวัญเมื่อครู่กลับแปรเปลี่ยนเป็นท่าทางออดอ้อนไปเสียอย่างนั้น ส่วนที่ยื่นออกมาคล้ายกับเขาเล็ก ๆ บนหัวยิ่งตอกย้ำว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นสิ่งใด

ไม่ผิด...ไม่ผิดแน่ นี่คืออสรพิษผู้เป็นดั่งมือขวาของท่านผู้นั้น เเล้วเหตุใดจึงได้ปรากฏตัวอยู่ข้างกายของเด็กหนุ่มได้กัน เเล้วการที่อีกฝ่ายถึงกับละทิ้งซึ่งศักดิ์ศรี ยอมเป็นสัตว์เลี้ยงให้กับลูกศิษย์ของตนนั้นมีความหมายใดมากว่านี้หรือไม่กันนะ...

คล้ายกับว่าจะล่วงรู้ความคิดของอีกฝ่าย ทันใดนั้นได้ปรากฏเสียงหนึ่งดังขึ้น มีเพียงชายชราผู้เดียวเท่านั้นที่ได้ยิน

'ตาเฒ่าเหวินไม่พบเจอกันนานสบายดีหรือไม่?? นายท่านมีคำสั่งให้ข้าคุ้มครองนายหญิงเเต่เพียงเท่านั้น ที่สำคัญอย่าได้แพร่งพรายออกไปว่าข้านั้นเป็นผู้ใดเเล้วกัน...'

ถ้อยคำข่มขู่อย่างอุกอาจที่ถูกส่งตรงให้กับชายชราผู้เป็นเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการรักษานั้น ช่างเป็นการข่มขวัญเอ่อ...เป็นการพูดคุยที่ดูราวกับว่าสนิทสนมกันเสียจริง

ทางฝั่งของหนิงอ้ายที่ไม่ได้ยินหรือสัมผัสถคงบรรยากาศที่เปลี่ยนไปเพียงชั่วขณะ ก็ยังคงพูดถึงความน่ารักของเจ้าตัวน้อยให้อาจารย์ของตนได้ฟัง พร้อมกับเอ่ยสำทับไปหลายครั้งว่าต้าเฮยสัตว์เลี้ยงของตนนั้นน่ารักเป็นที่สุด

เหวินหวู่รู้สึกราวกับถูกทุบอย่างตั้งตัวไม่ทันเสียอย่างนั้น อันใดกันคือปกป้องนายหญิง เเล้วนี่ศิษย์คนเล็กของเขาไปข้องเกี่ยวกับท่านผู้นั้นได้อย่างไร แม้ว่าจะเต็มไปด้วยคำถามในตอนนี้เเต่เขาที่พอรู้จักและได้ยินกิตติศัพท์ของท่านผู้นั้นมาไม่น้อย ดังนั้นการไม่สงสัยจะเป็นการดีที่สุด

เขาทำได้เพียงเป็นห่วงเด็กหนุ่มตรงหน้าตนยิ่งนัก ไม่รู้ว่าไปทำสิ่งใดให้ท่านผู้นั้นถูกใจได้จนถึงขั้นสั่งการให้มือขวาคนสนิทที่มักจะเคลื่อนไหวในภารกิจที่สำคัญเท่านั้นต้องมาแฝงตัวอยู่เคียงข้างเช่นนี้ได้...

หลังจากที่ฝืนตัวทำปกติราวกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นทั้งสิ้น ได้ทำการรู้จักต้าเฮยที่เป็นสัตว์เลี้ยงของลูกศิษย์ของตนเเล้วนั้น เหวินหวู่จึงได้ออกปากอนุญาตให้ต้าเฮยสามารถเที่ยวเล่นทุกพื้นที่ในตำหนักศาสตร์แห่งการรักษานี้ได้เพียงเเต่อย่าสร้างความวุ่นวายแก่ผู้อื่นก็เพียงพอเเล้ว

กล่าวจบชายชราก็ได้เห็นใบหน้าซาบซึ้งของเด็กหนุ่มตนที่มองมาไปพร้อม ๆ กับใบหน้าที่เชิดขึ้นของอสรพิษตัวน้อยนี้ ที่ส่งเสียงตอบกลับมาว่าหากไม่อนุญาตก็ไม่คิดจะฟังอยู่แล้วเช่นกัน

"ตอนนี้เจ้าจะสามารถปรุงโอสถระดับหนึ่งความบริสุทธิ์สิบส่วนได้เเล้วก็จริง เเต่ถึงอย่างไรนเจ้าก็ยังไม่ได้เป็นนักปรุงโอสถระดับหนึ่งเต็มตัว เนื่องจากเจ้ายังไม่ได้ไปสอบเลื่อนระดับที่สำนักโอสถอาจารย์จะพาเจ้าไปเอง อย่างไรก็เตรียมตัวและวันพรุ่งนี้ให้เจ้ามาเเต่เช้าเล่า..." เหวินหวู่เอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าในตอนนี้สัตว์อสูรตัวน้อยได้ขอเด็กหนุ่มออกไปเที่ยวเล่นด้านนอก ปล่อยให้หนิงอ้ายอยู่กับอาจารย์สองคนในห้องนี้

"ขอรับท่านอาจารย์..."

"อาจจะดูรวดเร็วและข้ามขั้นไปบ้าง เเต่ด้วยความสามารถของเจ้าเเล้วในวันนี้อาจารย์จะสอนเจ้าให้หลอมสร้างปรุงโอสถระดับสองเสียเเล้วกัน..." เหวินหวู่เอ่ยขึ้นพร้อมกับภายมือตวัดสมุนไพรที่จำเป็นในโอสถระดับสองออกมาจากเเหวนมิติของตน

"โอสถระดับสองล้วนมีขั้นตอนและวิธีการเช่นเดียวกันกับการหลอมสร้างปรุงโอสถระดับที่หนึ่ง เพียงเเต่ว่าผู้ที่จะสามารถปรุงโอสถระดับสองขึ้นมาได้นั้นจะต้องเป็นผู้ฝึกตนระดับเทวะวิญญาณขึ้นไป ส่วนรายละเอียดย่อยที่เหลือนั้นข้าจะบอกเจ้าอีกทีเเล้วกัน..."

เหวินหวู่ก็ได้ใช้เตาโอสถเดิมก่อนหน้า ตวัดเรียกสมุนไพรที่ต้องการนั้นลงไปยังเตาโอสถทันที วิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟอันเป็นเปลงเพลิงประจำตัวนั้นได้แผดเผาสมุนไพรเหล่านี้ด้วยความรวดเร็ว เพียงหนึ่งเค่อเท่านั้นสมุนไพรที่ได้เห็นก่อนหน้าก็แปรเปลี่ยนโอสถระดับสองจำนวนสองเม็ด ความบริสุทธิ์สิบส่วนนอนก้นอยู่ในเตาโอสถเป็นที่เรียบร้อย

"โอสถระดับสองที่เจ้าปรุงได้ในวันนี้จะมอบคืนให้เจ้าทั้งหมด อาจารย์อยากจะให้เจ้านำโอสถระดับสองเหล่านี้ไปเเลกเป็นแต้มคะแนนพร้อมกับขอเเลกเป็นสมุนไพรตามที่เจ้าต้องการที่อาคารส่วนกลางได้..." เหวินหวู่เอ่ยขึ้นพร้อมกับมองหน้าเด็กหนุ่มด้วยความเอ็นดู

"ข้าจะทำตามที่ท่านอาจารย์แนะนำขอรับ..." หนิงอ้ายตอบกลับไปด้วยความมุ่งมั่น เมื่อทบทวนขั้นตอนการหลอมสร้างปรุงโอสถระดับสองที่อาจารย์ของตนได้เเสดงให้เห็นเมื่อครู่เเล้วนั้น เด็กหนุ่มจึงนั่งอยู่หน้าเตาโอสถและพร้อมที่จะหลอมสร้างปรุงโอสถเสียที...

อ่านหนังสือเล่มนี้ต่อได้ฟรี
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทที่เกี่ยวข้อง

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่87 โอสถห้ามเลือด

    โอสถห้ามเลือดเป็นโอสถเเรกที่หนิงอ้ายได้ปรุงออกมาได้สำเร็จ การหลอมสร้างปรุงโอสถระดับสองวันนี้เหวินหวู่จึงให้เด็กหนุ่มได้เริ่มจากโอสถนี้อีกครั้ง สำหรับสูตรโอสถห้ามเลือดระดับสองนี้ที่ได้รับมาจากอาจารย์ของตนหนิงอ้ายเห็นว่านอกจากจะมีสมุนไพรตั้งต้นจากสูตรโอสถระดับหนึ่ง นอกจากนี้ยังได้มีการเพิ่มสมุนไพรขึ้นมาอีกหลายชนิดเช่นกันที่ล้วนเเต่มีฤทธิ์ส่งเสริมสมุนไพรก่อนหน้าทั้งสิ้น เมื่อเด็กหนุ่มได้จัดเตรียมสมุนไพรครบถ้วนตามสูตรโอสถในมือของตนแล้วจึงไม่รอช้าที่จะลงมือในทันทีหนิงอายตั้งสมาธิให้มั่นคงพร้อมกับเรียกญาณสัมผัสของตนออกมาคลอบคลุมไปทั้งทั้งเตาโอสถตรงหน้านี้ มือเรียวบางได้ตวัดเอาสมุนไพรตามสูตรโอสถลงไปในเตาหลอมก่อนที่จะเรียกวิญญาณยุทธ์ธาตุไฟของตนออกมาอย่างระมัดระวัง ความล้ำค่าของสมุนไพรตามสูตรโอสถระดับสองนี้ที่บางชนิดก็มีอายุถึงร้อยปี ดังนั้นการหลอมสร้างปรุงโอสถในครั้งนี้หนิงอ้ายจึงระวังตั้งใจเป็นอย่างมากเพราะต้องการใช้สมุนไพรเหล่านี้ให้คุ้มค่ามากที่สุดปราณธาตุไฟที่เกิดจากวิญญาณยุทธ์ของหนิงอ้ายได้ล้อมรอบเตาโอสถซึ่งเด็กหนุ่มพยายามบังคับเปลวเพลิงนี้ให้มีความสมดุลไม่เบาไม่หนักจนเกินไปเพื่อที่จะไ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่88 หมู่บ้านไร้นาม

    วิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟที่ถูกปลดปล่อยออกมายามที่หนิงอ้ายฝึกฝนวิชายุทธได้แฝงไปด้วยความร้อนและความเเข็งแกร่งเป็นอย่างมาก บทเวทย์ต่าง ๆ ที่หนิงอ้ายถือครองอยู่นั้นเรียกได้ว่าอาณุภาพของบทเวทย์ดังกล่าวไปทบทวีคูณมากเพิ่มขึ้นหลายเท่าพื้นที่ส่วนด้านหลังเรือนพักได้แปรเปลี่ยนเป็นลานฝึกขนาดย่อม ด้วยเพราะหนิงอ้ายได้ร่ายเวทย์ป้องกันที่เสริมความเเข็งแกร่งไปอีกหลายชั้น เสียงระเบิดดังต่อเนื่องที่เกิดจากฝึกฝนเคล็ดวิชาจึงไม่อาจหลุดลอดออกไปสร้างความรำคานแก่ศิษย์พี่ท่านอื่นที่อยู่ไปไม่ไกลจากเรือนพักหนิงอ้ายมุ่งเน้นในการใช้วิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟของตนเป็นหลัก เพราะถึงอย่างไรเเล้วการเรียกใช้วิญญาณยุทธ์เเต่ละปราณธาตุนั้นล้วนต่างเหมือนกันทั้งสิ้น เพียงต้องอาศัยประสบการณ์ความคุ้นชินเสียมากกว่า แม้ว่าจะใช้ปราณธาตุน้ำตามเคล็ดวิชาคัมภีร์เบญจธาตุได้เเล้วก็จริง เเต่ถึงอย่างไรหนิงอ้ายยังต้องคอยฝึกฝนอยู่เสมอเพื่อให้เกิดความเชี่ยวชาญคุ้นชินมากกว่านี้สำหรับปราณธาตุต่อไปตามคัมภีร์เบญจธาตุที่หนิงอ้ายต้องศึกษา หลังจากปราณธาตุน้ำนั่นก็คือปราณธาตุลม เรียกได้ว่าเป็นปราณธาตุที่เป็นอิสระอย่างยิ่ง สามารถเคลื่อนไหวกระจายไปทั่วสาร

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่89 อสูรจักรพรรดิแมงมุมรัตติกาลเหมันต์

    จุดบริเวณดังกล่าวเป็นแนวต้นไม้สูงใหญ่ที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับป่าโบราณที่มีอายุหลายร้อยหลายพันปี กลิ่นอายของสมุนไพรระดับสูงรวมไปถึงลมปราณฟ้าดินบริสุทธิ์ไหลเวียนอย่างเข้มข้น เห็นได้ชัดว่าโดยรอบนี้มีความอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมากมากไปกว่านั้นยังให้ความรู้สึกราวกับว่าตกอยู่ในสายตาดุร้ายไม่ประสงค์ดีที่มองมาจากทั่วทั้งสารทิศ หนิงอ้ายไม่รอช้ารีบสั่งการให้วิหคสอดแนมของตนออกมาอย่างไม่จำกัดในรัศมีพื้นที่โดยรอบ สำหรับเนตรเเห่งสวรรค์ในตอนนี้ที่หนิงอ้ายเป็นผู้ฝึกตนระดับเทวะวิญญาณขั้นต้นได้ส่งผลให้อาณุภาพยิ่งเหนือชั้นมากขึ้นดวงตาเรียวงามสีดำในรูปลักษณ์ปลอมเเปลงนี้แปรเปลี่ยนเป็นสีทองอร่ามไปชั่วครู่ก่อนที่จะกลับมาเป็นเป็นปกติ ญาณสัมผัสได้ถูกขีดเค้นออกมาถึงขีดสุดจนสามารถรับรู้ในในระยะสองลี้อย่างชัดเจน หนิงอ้ายสัมผัสได้ถึงสัตว์อสูรที่อยู่รายล้อมชวนให้น่าหวั่นเกรงอยู่ไม่น้อยสำหรับคนธรรมดาหรือผู้ฝึกตนทั่วไปเเต่ด้วยเพราะเหวินหวู่ที่เป็นผู้ฝึกตนระดับราชันวิญญาณขั้นสูง ที่อีกเพียงครึ่งก้าวก็จะบรรลุถึงระดับเทพยุทธ์วิญญาณเเล้วย่อมส่งผลให้อสูรร้ายต่าง ๆ เหล่านี้ไม่กล้าก้าวล้ำเข้ามาในบริเวณเพราะสัมผัสได้ถึงการ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่90 ทักษะวิญญาณที่เพิ่มขึ้น

    หลังจากที่จัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นเรียบร้อยเเล้ว เหวินหวู่ได้พาหนิงอ้ายมายังที่หนึ่งซึ่งอยู่ห่างไปจากหมู่บ้านไร้นามเเห่งนี้ไปไม่ไกลสักเท่าไหร่นัก ตรงหน้าของเด็กหนุ่มเป็นถ้ำขนาดใหญ่ที่ภายในเต็มไปด้วยสมุนไพรที่ให้ความรู้สึกเหมือนสวนสมุนไพรข้างเรือนของอาจารย์กลิ่นอายของลมปราณฟ้าดินที่ไหลเวียนอยู่โดยรอบเข้มข้นมีความบริสุทธิ์อยู่ไม่น้อย ฟังว่าถ้ำนี้เปรียบได้กับที่พักชั่วคราวในยามที่ท่านอาจารย์ผ่านทางมายังหมู่บ้านนี้ สมุนไพรโดยรอบที่เห็นเป็นระเบียนก็เป็นฝีมือของชายชราเช่นกันที่เลือกสรรนำมาปลูกไว้ในบริเวณถ้ำดั่งกล่าวนี้นั่นเอง"เจ้าจะพักผ่อนก่อนหรือไม่?" ชายชราถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง เพราะก่อนหน้านี้อีกฝ่ายคงเสียพลังวิญญาณไปอย่างมากจากการสังหารอสูรจักรพรรดิแมงมุมรัตติกาลเหมันต์เมื่อครู่ ในความคิดของผู้ที่มีอายุมากกว่าเห็นควรว่าเด็กหนุ่มควรจะพักเสียหน่อยจะเป็นการดีที่สุด"ข้ายังไหวอยู่ขอรับท่านอาจารย์อย่างไรข้าฝากท่านด้วยนะขอรับ..." หนิงอ้ายตอบกลับไปเพื่อให้อาจารย์สบายใจ อีกทั้งยังรบกวนอีกฝ่ายไปอีกด้วยการดูดซับกระดูกวิญญาณในเเต่ละครั้งหากว่าเกิดเหตุการ์ที่ไม่คาดฝันขึ้น ผู้ฝึกตนที่กำลังอยู่ใน

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่91 สอบเลื่อนระดับ

    โดยปกติทั่วไปนักปรุงโอสถฝึกหัดจะมีอายุตั้งเเต่สิบปีถึงยี่สิบห้าปีโดยเสียส่วนใหญ่ ขึ้นอยู่กับระดับพลังวิญญาณรวมไปถึงความเเข็งแกร่งของวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟต้นกำเนิดและจะต้องมีจิตวิญญาณของนักปรุงโอสถที่มากพอจึงจะสามารถเข้าสู่เส้นทางนี้ได้นักปรุงโอสถคนหนึ่งจะต้องประกอบไปด้วยทั้งสามสิ่งนี้ไปในทิศทางเดียวกัน หากไม่เป็นไปดังนี้เเล้วย่อมถือว่านักปรุงโอสถฝึกหัดผู้นั้นขาดคุณสมบัติที่จะเลื่อนระดับเป็นนักปรุงโอสถระดับหนึ่ง คงเป็นได้เพียงนักปรุงโอสถฝึกหัดต่อไปจนกว่าจะมีคุณสมบัติที่เพียบพร้อมในทั้งสามด้านนี้จึงจะสามารถเข้าร่วมสอบเลื่อนระดับเป็นนักปรุงโอสถระดับหนึ่งได้นั่นเองดังนั้นการที่เหวินหวู่ได้บอกแก่สหายของตนถึงเหตุผลในการเดินทางมายังสมาคมสมาพันธ์นักปรุงโอสถในครั้งนี้ ว่าต้องการพาศิษย์คนล่าสุดมาสอบเลื่อนระดับจึงสร้างความตกใจแก่จ้าวเสวี่ยถังเป็นอย่างมาก ก่อนหน้าหลายปีที่ผ่านมาอีกฝ่ายได้เคยพาศิษย์ลำดับหกที่มีอายุเพียงสิบแปดสิบเก้าปีเท่านั้นมาสอบเลื่อนระดับเป็นนักปรุงโอสถระดับหนึ่ง ก็นับว่าในตอนได้สร้างความตกตะลึงแก่ผู้คนในเมืองนี้รวมไปถึงสร้างชื่อเสียงเป็นที่ร่ำลือไปทั่วที่อีกฝ่ายสามารถบ่มเพาะ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่92 นักปรุงโอสถระดับหนึ่ง

    ครึ่งชั่วยามผ่านไปอย่างเชื่องช้าในความรู้สึกของผู้ที่รับชมการสอบเลื่อนระดับของนักปรุงโอสถฝึกหัดในครั้งนี้ ทว่ารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ที่กำลังหลอมสร้างปรุงโอสถด้วยความกดดันต่างรู้สึกว่าเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วในความรู้สึกเป็นอย่างมากเสียงระเบิดปะทุดังขึ้นจากมุมต่าง ๆ ของสนามสอบที่เกิดจากการหลอมสมุนไพรที่ผิดพลาดในการคำนวณเวลา หรือการแตกหักของเตาหลอมโอสถที่เกิดจากการใช้ความร้อนแรงของเปลวเพลิงที่มากจนเกินไปจำนวนสมุนไพรที่ได้รับในทดสอบนี้ทุกคนต่างได้รับอย่างเท่าเทียมกันเพียงสองชุด จึงต้องมีความระมัดระวังเเต่ละขั้นตอนเป็นอย่างมาก เเต่กับบางคนอาจจะด้วยความคุ้นชินหรือเพราะได้รับสูตรโอสถที่ง่ายดายจึงทำให้ด้วยเวลาที่ผ่านไปเพียงครึ่งของการทดสอบพวกเขาเหล่านี้ต่างอยู่ในขั้นตอนขึ้นรูปโอสถเม็ดกันเเล้วทั้งสิ้น โอสถเหลวในเตาหลอมได้ส่งกลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ของโอสถระดับหนึ่งต่าง ๆ ลอยฟุ้งไปทั่วบริเวณนี้เเต่ใช่ว่าการขึ้นรูปเม็ดโอสถจะง่ายดายตามที่สายตาของคนทั่วไปมองเห็น หากเป็นเช่นนั้นจริงขอเพียงมีวิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟก็สามารถหลอมสร้างปรุงโอสถกันได้ทั้งสิ้น เเต่ละขั้นตอนของการหลอมสร้างปรุงโอสถต้อง

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่93 โอสถฤทัยอัคคีพิสุทธิ์

    หลังจากการสอบเลื่อนระดับนักปรุงโอสถระดับหนึ่งได้จบลง หนิงอ้ายตั้งใจว่าจะสอบเลื่อนขั้นเป็นนักปรุงโอสถระดับสองรอบช่วงบ่ายในทันที ทางฝั่งของเหวินหวู่ผู้เป็นอาจารย์นอกจากที่จะไม่ห้ามปรามเเล้วยังส่งเสริมด้วยการมอบสูตรโอสถระดับสองให้กับเด็กหนุ่มอีกด้วยการสอบเลื่อนระดับของนักปรุงโอสถระดับสองเป็นต้นไป ผู้ที่เข้าร่วมการทดสอบจะต้องทำการปรุงโอสถระดับสองชนิดใดก็ได้ออกมาหนึ่งชนิด เงื่อนไขคือสมุนไพรที่ต้องใช้ในสูตรโอสถจะต้องจัดเตรียมมาด้วยตนเอง อีกทั้งความบริสุทธิ์ของเม็ดโอสถที่ปรุงออกมาจะต้องมีความบริสุทธิ์อยู่ที่เจ็ดส่วนเป็นต้นไปจึงจะผ่านการทดสอบเป็นนักปรุงโอสถระดับสองได้สำหรับสูตรโอสถระดับสองที่หนิงอ้ายได้รับมาจากเหวินหวู่มีนามว่าโอสถฤทัยอัคคีพิสุทธิ์ระดับสอง เป็นหนึ่งในสูตรโอสถที่ถูกบันทึกไว้และสร้างชื่อเสียงของเหวินหวู่ในฐานะของปรมจารย์โอสถระดับสูงแห่งทวีปบูรพาเเห่งนี้ แม้จะเป็นเพียงโอสถระดับสองก็จริงเเต่หากเทียบกันเเล้วไม่ต่างไปจากโอสถระดับสามขั้นต้นเสียด้วยซ้ำ เป็นโอสถที่สามารถช่วยเพิ่มให้ความเข้มข้นในวิญญาณยุทธ์ธาตุไฟมีความเข้มข้นบริสุทธิ์เพิ่มมากขึ้นพึงทราบว่านักปรุงโอสถฝึกหัด แม้จะมีคว

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่94 นักปรุงโอสถระดับสอง

    หลังจากที่หนิงอ้ายผ่านการสอบเลื่อนระดับเป็นนักปรุงโอสถระดับสองและได้ป้ายหยกประจำตัวเสร็จเรียบร้อยเเล้วท่ามกลางความตกตะลึงไปทั่วทั้งสนามสอบเเห่งนี้ เส้นทางของนักปรุงโอสถกว่าจะผ่านแต่ละระดับได้ย่อมมีหลายปัจจัยที่เข้ามาข้องเกี่ยวอยู่ไม่น้อย จะเห็นว่าแม้ในยุทธภพจะสามารถพบเห็นตัวตนของนักปรุงโอสถฝึกหัดหรือนักปรุงโอสถระดับหนึ่งได้ไม่ยากนักก็จริง เเต่ทว่าสำหรับนักปรุงโอสถระดับสองเป็นต้นไปนั้นกว่าที่จะบ่มเพาะออกมาได้เเต่ละคนนั้นย่อมใช้เวลาหลายปีเลยทีเดียวมีจำนวนไม่น้อยในกลุ่มผู้ที่ร่วมการสอบเลื่อนระดับในครั้งนี้ที่เคยสอบเลื่อนระดับเป็นนักปรุงโอสถระดับสองมาเเล้วหลายครั้ง บ้างก็ใช้เวลาหลายปีกว่าที่จะเข้าใจในเเต่ละขั้นตอนของการหลอมสร้างปรุงโอสถ อีกทั้งยังต้องอาศัยความร้อนแรงของเปลวเพลิงและความละเอียดอ่อนในญาณสัมผัสเป็นอย่างยิ่งแน่นอนว่าต่อให้พวกเขาเหล่านี้จะซุ่มฝึกซ้อมอย่างหนักหน่วงตลอดหลายปีที่ผ่านมาหรือก็ต่างมั่นใจเป็นอย่างมากว่าตนนั้นจะประสบความสำเร็จในการสอบเลื่อนระดับครั้งนี้ เเต่ถึงอย่างไรก็ตามระดับพลังวิญญาณก็เป็นตัวแปรที่สำคัญไม่แพ้กัน ด้วยเพราะว่าการจะเป็นนักปรุงโอสถระดับสองได้นั้นนอกจ

    ปรับปรุงล่าสุด : 2025-03-06

บทล่าสุด

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   ( -จบเล่ม ปฐมบท 3.2- ) บทที่ 174 ความวุ่นวายที่สิ้นสุดลง

    ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 173 สมบัติเทพมารจุติ

    ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 172 การปรากฎตัวของผู้ขายวิญญาณ

    คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 171 ผู้ท้าทายที่กล้าหาญ

    การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 170 กฎเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

    หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 169 ผู้ผ่านการทดสอบ

    ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 168 เดินทางกลับสำนักศึกษา

    มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 167 การเลื่อนระดับที่เหนือล้ำ

    ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 166 ความร่วมมือ

    ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย

สำรวจและอ่านนวนิยายดีๆ ได้ฟรี
เข้าถึงนวนิยายดีๆ จำนวนมากได้ฟรีบนแอป GoodNovel ดาวน์โหลดหนังสือที่คุณชอบและอ่านได้ทุกที่ทุกเวลา
อ่านหนังสือฟรีบนแอป
สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status