Home / แฟนตาซี / บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ / บทที่81 ศิษย์พี่ทั้งสาม

Share

บทที่81 ศิษย์พี่ทั้งสาม

"ศิษย์พี่จะแนะนำให้เจ้าได้รู้จักกับศิษย์พี่ทั้งสามคนอย่างเป็นทางการอีกครั้ง..." ไป๋เหลียนฮวาเอ่ยขึ้นพร้อมกับผายมือแนะนำอย่างคล่องแคล่ว

ตรงหน้าของหนิงอ้ายเป็นชายหนุ่มสามคนนั่งหลดหลั่นกัน ต่างมีหน้าตารูปงามหล่อเหลาเป็นอย่างมาก หากเทียบกันเเล้วก็ถือได้ว่าทั้งสามคนมีความแตกต่างเฉพาะเป็นของตัวเอง หากเทียบไปเเล้วก็ให้ความรู้สึกเหมือนชายหนุ่มไอดอลชายในโลกเดิมของเขาอย่างนั้น

"คนทางซ้ายมือคือศิษย์พี่สามซุนหลิง เชี่ยวชาญในเรื่องเวทย์รักษาเป็นอย่างมาก หากไม่นับท่านอาจารย์ เจ้าสามารถปรึกษานี้ศิษย์พี่สามในเรื่องนี้เป็นคนเเรก ๆ ได้ทุกเมื่อ..." ชายหนุ่มที่ถูกแนะนำนั้นได้ยกมือทักทายกับหนิงอ้ายเล็กน้อยพร้อมกับสังเกตเด็กหนุ่มตรงหน้าตนนี้ด้วยความสนใจ

"คนทางขวามือคือศิษย์พี่รอง นามว่าศิษย์พี่เกาเจิน แม้การแต่งกายภายนอกจะดูแปลกประหลาดไปบ้าง เเต่ศิษย์พี่รองเชี่ยวชาญในเรื่องศาสตร์แห่งการต่อสู้เป็นอย่างมาก สามารถนำมาพลิกเเพลงกับการใช้โอสถและสมุนไพรในการต่อสู้ หากเจ้าต้องการวิถีแนวคิดผสมผสาน ข้าแนะนำเป็นศิษย์พี่รองท่านนี้..." ชายหนุ่มที่ถูกกล่าวหาว่าแต่งกายประหลาดนั้นไม่ได้รู้สึกอันใดกับถ้อยคำนี้ทั้งสิ้น หนำซ้ำอีกฝ่ายยังคงยกคิ้วกลับมาให้ศิษย์น้องหญิงคนเดียวของตำหนักอย่างขี้เล่น ชวนให้สตรีสาวถึงกับถอนหายใจออกมาอย่างปลดปลง

"ผู้ที่อยู่ตรงกลางนั่นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากศิษย์พี่ใหญ่โจวเซิน หลังจากนี้หากเจ้าจะไม่ค่อยได้พบหน้าก็อย่าได้เเปลกประหลาดใจไป ด้วยเพราะว่าหน้าที่สำคัญส่วนใหญ่ของตำหนักล้วนเป็นศิษย์พี่ที่ได้รับมอบหมายจากท่านอาจารย์ทั้งสิ้น หากถามว่าศิษย์พี่ใหญ่นั้นเชี่ยวชาญสิ่งใดมากที่สุด ข้าก็ตอบได้อย่างไม่เอนเอียงว่าคงเชี่ยวชาญทุกด้านเสียกระมัง...'' ไป๋เหลียนฮวาเอ่ยขึ้นแนะนำทีละคนจนมาถึงศิษย์พี่ใหญ่ของตนซึ่งคำกล่าวนั้นไม่เกินจริงเท่าไหร่ไปนัก อีกฝ่ายเพียบพร้อมไปด้วยหน้าตา ชาติตระกูลและคุณสมบัติในทุกด้าน ดังนั้นในวันข้างหน้าเส้นทางหลังจากนี้คงรุ่งโรจน์ไปเป็นอย่างมาก

ขณะที่ไป๋เหลียนฮวาได้แนะนำศิษย์พี่ทั้งสามคนให้ตนได้รู้จักนั้น หนิงอ้ายที่ลอบมองบุรุษทั้งสามคนตรงหน้าพร้อมกับใช้วิชาเนตรเเห่งสวรรค์ตรวจสอบเพิ่มเติม ข้อมูลที่ปรากฎขึ้นต่างเป็นสิ่งที่เขาพอรับรู้มาบ้างในก่อนหน้าทั้งสิ้น เเต่ถึงอย่างไรนั้นก็มีรายละเอียดอีกเล็กน้อยที่ได้รู้เพิ่มเติมอยู่บ้าง

หนิงอ้ายยอมกับจากใจจริงว่า ทั้งหน้าตาท่าท่างหรือแม้กระทั่งเสียงของศิษย์พี่ใหญ่โจวเซินนั้นช่างเหมือนกับเเทนไทเป็นอย่างมาก หนิงอ้ายครุ่นคิดถึงทุกอย่างที่สามารถเกิดขึ้นได้ ว่าอีกฝ่ายอาจจะทะลุมิติมาที่นี่เหมือนกับตน หรือว่าอาจจะบังเอิญเป็นคนหน้าเหมือนก็เเค่นั้น หนิงอ้ายเอาเเต่ครุ่นคิดจนตกอยู่ในภวังค์ที่ตัวเองสร้างขึ้นไปชั่วขณะ อย่างเหม่อลอย ภาพความทรงจำในโลกเดิมที่เขาพยายามที่จะลืมมาตลอดสองปีที่ผ่านมา ได้ถูกฉายซ้ำอย่างชัดเจนราวกับต้องการตอกย้ำว่าเขาไม่เคยลืมอีกฝ่ายได้เลย

"ศิษย์น้องหนิงอ้ายเจ้าคิดสิ่งใดอยู่งั้นรึ?? ได้ยินที่ศิษย์พี่รองเอ่ยถามเจ้าหรือไม่??" ไป๋เหลียนฮวาเข้ามาสะกิดเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มนั่งนิ่งไม่ตอบสนองอันใด

"ขออภัยขอรับ ศิษย์พี่รองว่าอย่างไรหรือขอรับ" เมื่อตั้งสติได้หนิงอ้ายจึงถามกลับไปในทันที

"ศิษย์พี่รองถามเจ้าว่าที่เรือนพักทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่หรือไม่?" เกาเจินถามเด็กหนุ่มผู้เป็นศิษย์น้องของตนอีกครั้ง

"ทุกอย่างเรียบร้อยดีขอรับศิษย์พี่รอง..." หนิงอ้ายตอบกลับไปพร้อมกับส่งยิ้มไปเล็กน้อย

"ไม่คิดเลยว่าท่านอาจารย์ของเราจะรับศิษย์ใหม่ที่อายุน้อยปานนี้ เจ้าพึ่งมีอายุเพียงสิบห้าสิบหกปีเท่านั้นเองใช่หรือไม่??"

"ปีนั้นที่ท่านอาจารย์รับศิษย์น้องหกหลิวหลวนที่อายุเพียงสิบแปดปีก็นับว่าอายุน้อยเเล้ว เเต่เมื่อเทียบกับศิษย์น้องหนิงอ้าย เฮ้อ ข้าไม่อยากจะคิดว่าตัวเองมีอายุมากกว่าถึงสิบปี..." ซุนหลิงเอ่ยขึ้น สร้างเสียงหัวเราะจากทุกคนในที่นี้ เพราะว่าพวกเขาต่างมีอายุกันมากกว่ายี่สิบห้ายี่สิบหกปีกันเเล้วเกือบทั้งสิ้น

"ฟังว่าศิษย์น้องมีปราณธาตุไฟที่บริสุทธิ์ถึงสิบส่วน สมกับเป็นคนตระกูลหวังเสียจริงท่านหวังจิ่งหลงและฮูหยินเหมยสบายดีหรือไม่??" เสียงของเกาเจินถามเด็กหนุ่มขึ้นอีกครั้ง

"ศิษย์พี่รองรู้จักท่านตาของข้าด้วยรึขอรับ? ท่านตา ท่านยายของข้าสบายดีขอรับ..."

"บิดาของศิษย์พี่เป็นสหายคนหนึ่งของตาเจ้า เอาไว้มีโอกาสจะเข้าไปเยี่ยมเยียนที่ตระกูลหวังพร้อมกับบิดาข้าเสียเเล้วกัน..."

"เสียดายที่พวกเรามาไม่ทันการทดสอบเมื่อวันก่อน ฟังว่าศิษย์น้องหนิงอ้ายสามารถต้านรับพิษของท่านอาจารย์ได้ ฝีมือเจ้าไม่อาจดูเบาได้จริง ๆ " ซุนหลิงเอ่ยชมเด็กหนุ่มเมื่อนึกขึ้นได้

"ศิษย์พี่หลินเอ่ยชมข้าเกินไปแล้วขอรับ เป็นท่านอาจารย์ที่ยั้งมือเพียงเท่านั้น หากว่าเป็นพลังทั้งสิบส่วนจริงข้าเองก็ไม่รอดขอรับ..." หนิงอ้ายตอบกลับไปอย่างถ่อมตัว ที่เรียกสายตาเอ็นดูจากทุกคนในที่นี้

"เป็นไปได้อย่างไรกัน!! ศิษย์น้องหนิงอ้ายบรรลุถึงระดับเทวะวิญญาณขั้นต้นแล้วอย่างนั้นรึ??" หลิวหลวนหรือศิษย์ลำดับที่หกเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ ญาณสัมผัสของเขาละเอียดอ่อนมากกว่าผู้ฝึกตนทั่วไปด้วยเคล็ดวิชาประจำตระกูลหลิว ดังนั้นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้จึงสังเกตได้อยู่บ้างไม่มากก็น้อย

"ไม่จริงน่าเมื่อสองวันก่อนเจ้าพึ่งอยู่ในระดับจักรพรรดิวิญญาณขั้นสูงมิใช่รึ เพียงสองวัน สองวันเท่านั้น!!!''

"ศิษย์น้องช่างมากไปด้วยพรสวรรค์อย่างเเท้จริง บางคนนั้นต้องใช้เวลาหลายเดือนเลยทีเดียวกว่าจะบรรลุขั้นใหญ่ระดับเทวะวิญญาณเช่นนี้ได้ เจ้านี่สมกับเป็นตัวประหลาดน้อยที่ท่านอาจารย์คัดเลือกมาเสียจริง..."

"เเล้วเจ้าได้ทำการผนึกจิตวิญญาณปราณธาตุของเจ้าเเล้วหรือไม่??" ซุนหลิงเอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง

"ทุกอย่างเรียบร้อยขอรับเพียงเเต่ข้าอาจต้องใช่เวลาในการปรับตัวอีกสักเล็กน้อยเท่านั้น..."

"จริงสิ!!!ข้ามีบางคนที่อยากจะแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักขอรับ..." สิ้นเสียงของหนิงอ้ายนั่น ต้าเฮยที่ซ่อนตัวอยู่ในอกเสื้อด้านในของเด็กหนุ่มได้เลื้อยพันก่อนที่จะขดตัวคออยู่บนมือของหนิงอ้ายราวกับว่ากำลังรอคอยเวลานี้มาอย่างยาวนาน

"นี่คือต้าเฮยเป็นสัตว์เลี้ยงขอข้าเอง ต้าเฮยทำความรู้จักกับศิษย์พี่ของข้าเสียสิ...''

"ยินดีที่ได้รู้จักกับเหล่าศิษย์พี่ของหนิงอ้ายทุกคน หวังว่าทุกคนจะช่วยกันปกป้องหนิงอ้ายไปด้วยกันหลังจากนี้..." ต้าเฮยส่งกระเเสจิตตอบกลับไปพร้อมกับส่งสายตาอสรพิษจ้องมองทุกคนราวกับต้องการเอ่ยย้ำให้รับรู้

สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำเอาทุกคนตกใจเป็นอย่างมาก เพราะความสามารถเช่นนี้จะปรากฎขึ้นกับสัตว์อสูรมายาระดับกลางขึ้นไปเท่านั้น การศิษย์น้องของพวกเขาสามารถครอบครองสัตว์อสูรที่มีระดับพลังที่ไม่ธรรมดาเช่นนี้ นับว่าเกิดความคาดหมายของพวกเขายิ่ง

ที่สำคัญระดับพลังของอีกฝ่ายที่พวกเขาไม่สามารถสัมผัสรับรู้ได้ หมายความว่าอีกฝ่ายคงไม่ใช่เพียงสัตว์อสูรระดับมายาขั้นกลางเพียงเท่านั้น พวกเขาต่างคิดว่าหากเจ้าตัวน้อยนี้อยู่เหนือขั้นไปจากนี้จริง นับว่านี่เป็นสิ่งที่สร้างความตกตะลึงได้เป็นอย่างมาก

"ต้าเฮยอาจจะซนไปบ้างขอศิษย์พี่อย่าได้ถือสาเอาความนะขอรับ อย่างไรเจ้าตัวน้อยก็เป็นตัวขี้เกียจตัวหนึ่งเเค่นั้นเอง..." หนิงอ้ายเมื่อเห็นว่าเจ้าตัวน้อยน่าจะส่งกระเเสจิตบางอย่างกับศิษย์พี่ของตนโดยที่ไม่ให้เขาได้รับรู้ พร้อมกับจ้องมองทุกคนอย่างไม่ละสายตา เขาจึงเอ่ยหยอกล้ออีกฝ่ายไป ทางฝั่งของต้าเฮยที่ได้ยินดังนั้นส่งเสียงขู่ฟ่อประท้วงเล็กน้อยก่อนที่จะเลื้อยหายเข้าไปในอกเสื้อของเด็กหนุ่มตามเดิม

หนิงอ้ายก็ได้เล่าเรื่องราวบางส่วนของตนให้ศิษย์พี่ของตนในที่นี้ได้รับรู้ บ้างก็มีบ้างที่ทุกคนต่างพูดคุยเเลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเรื่องต่าง ๆ อย่างคึกคัก ด้วยเพราะว่าโดยปกติทุกคนต่างเก็บตัวอยู่ในเรือนพักของตนจึงไม่ค่อยได้พบปะกันมากนัก โอกาสที่ดีเช่นนี้พวกเขาจึงได้ใช้เวลาตลอดช่วงบ่ายนี้ได้การพูดคุยกัน

หนิงอ้ายสัมผัสได้ว่าเหล่าบรรดาศิษย์พี่ของเขาเเต่ละคน แม้จะเป็นชายหนุ่มที่อาจจะไม่ได้มีความละเอียดอ่อนลึกซึ้งมากมายสักเท่าใด ทว่ากับเต็มเปี่ยมไปด้วยความจริงใจเป็นอย่างมาก เเต่ละคนล้วนเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นทั่งจากอดีตหรือปัจจุบันที่ต่างเรียกเสียงหัวเราะจากทุกคนในที่นี้

บรรยากาศในตอนเเรกที่อาจจะดูเหินห่างกันไปบ้าง เเต่ในตอนนี้กลับมีความสนิทสนมที่เพิ่มมากขึ้นหลากหลายเท่า จากการพูดคุยนี้นั้นทำให้หนิงอ้ายได้รับรู้เพิ่มขึ้นว่าศิษย์พี่ของพวกเขาทุกคนในที่นี้ต่างล้วนมาจากตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงกันทั้งสิ้น บ้างก็เป็นตระกูลชาตินักรบ บ้างก็เป็นตระกูลขุนนาง

เเต่เมื่อมาอยู่ร่วมกันในตำหนักเเห่งนี้แล้ว พวกเขาทุกคนต่างโยนทิ้งหัวโขนที่มีอยู่ไปทั้งสิ้น จุดหมายปลายทางของเเต่ละคนยังมีอยู่ที่เดิม เพียงเเต่ว่าสิ่งที่มีเพิ่มขึ้นนั้นคือ เพื่อน พี่น้อง มิตรสหายที่ไว้ใจกันได้

"ศิษย์พี่ขอเป็นตัวเเทนของทุกคน พวกเรายินดีและภูมิใจเป็นอย่างมากที่ท่านอาจารย์ได้เลือกเจ้าเป็นศิษย์ผู้สืบทอดตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาของพวกเรา..."

"ไม่ต้องคิดว่าการมาของเจ้านั้นเป็นการแย่งชิงโอกาสของใคร เพราะทุกคนต่างมีหน้าที่เป็นของตัวเองทั้งสิ้น สุดท้ายนี้ ในสายตาของคนอื่นนอกตำหนักเจ้าอาจจะเป็นศิษย์ผู้สืบทอดของตำหนักก็จริง เเต่สำหรับเหล่าศิษย์พี่ทุกคนนั้นเจ้าก็เป็นศิษย์น้องเล็กของพวกข้า เป็นศิษย์น้องร่วมอาจารย์เดียวกัน"

"มีคำกล่าวที่ว่ากราบอาจารย์หนึ่งวัน นับถือเป็นบิดาตลอดไป พวกเราทุกคนในที่นี้ต่างยึดถือตนนับถือและกราบไหว้ท่านอาจารย์กันทั้งสิ้น เช่นนั้นพวกเราก็ไม่ต่างไปต่างครอบครัวใหญ่ที่มีสายใหญ่พันผูกร่วมกัน ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นความสัมพันธ์นี้จะไม่มีทางเปลี่ยนไป..." โจวเซินเอ่ยถ้อยคำที่ยาวนานเเต่ทว่ากลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นคง

ตลอดทุกคำพูดของอีกฝ่ายนั้น พวกเขาต่างจับมือมองหน้ากันคล้ายกับเป็นสัญญาว่าพวกเขานั่นจะยึดถือสายใยนี้ตลอดไป...

เวลาได้ผันผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพราะอีกไม่กี่ชั่วจิบชาก็จะถึงยามซวีแล้ว ทุกคนในที่นี้ต่างมีความคิดเห็นตรงกันว่าสมควรแก่เวลาที่จะต้องเลิกลาการพูดคุยในครั้งนี้เสียที วันพรุ่งนี้ก็จะเป็นวันเเรกที่หนิงอ้ายจะได้รับการสั่งสอนจากท่านอาจารย์เเบบตัวต่อตัวเเล้ว จึงสมควรที่จะให้เด็กหนุ่มได้พักผ่อนเก็บแรงสำหรับไว้ใช้ในวันพรุ่งนี้ ทุกคนจึงเอ่ยคำลากันเล็กน้อยก่อนที่จะหายไปตามทิศทางที่เป็นที่ตั้งเรือนพักของตน

"ศิษย์น้องหนิงอ้ายเจ้ากลับคนเดียวได้อยู่ใช่หรือไม่??? ศิษย์พี่ต้องไปจัดการธุระอีกสักเล็กน้อยให้ท่านอาจารย์ที่อาคารส่วนกลางของเรา..." ไป๋เหลียนฮวาเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วง

"ศิษย์พี่ไป๋ไม่ต้องเป็นกังวล ข้าสามารถกลับเรือนพักเองได้ขอรับ..." หนิงอ้ายตอบกลับไปให้คลายความเป็นห่วง

"ศิษย์น้องไป๋วางใจเถอะ เดี๋ยวศิษย์พี่จะเป็นผู้ไปส่งเอง...'' โจวเซินที่ได้ยินบทสนทนาของศิษย์น้องของตนทั้งคู่ จึงอาสาเป็นผู้ไปส่งด้วยตนเอง

"เรือนพักของศิษย์พี่ใหญ่ไปทางเดียวกันกับเรือนพักของศิษย์น้องหนิงอ้าย ข้าฝากด้วยนะเจ้าคะ...'' เมื่อกล่าวจบร่างกายบอบบาวของสตรีสาวหนึ่งเดียวในตำหนักก็ได้หายไปด้วยความรวดเร็ว

"เอ่อ...ไม่รบกวนศิษย์พี่ใหญ่ขอรับ'' หนิงอ้ายพยายามปฏิเสธอีกฝ่ายด้วยความรวดเร็ว เพราะตั้งเเต่ที่ศิษย์พี่ไป๋ได้แนะนำให้ตนได้รู้จักอีกฝ่ายเเล้วนั้น เป็นเขาเองที่ไม่ค่อยกล้าสบตาที่อีกฝ่ายส่งมาสักเท่าไหร่

"เจ้าอย่าได้คิดมาก มาเถอะ โอ้ย!!!" เสียงร้องของชายหนุ่มดังขึ้น เมื่อพินิจดูดี ๆ แล้วจะเห็นว่ามีรอยฟันที่ถูกกัดจนเลือดไหลออกมา

"ต้าเฮยเด็กดื้อ เจ้าขอโทษศิษย์พี่ใหญ่เดี๋ยวนี้เลยนะ!!" หนิงอ้ายร้องขึ้นอย่างตกใจพน้อมกับดุเจ้าตัวน้อยที่ตอนนี้ทำหน้าตาไม่รับรู้ตีมึนน่าหมั่นเขี้ยวยิ่งนัก

"ศิษย์พี่ใหญ่เป็นอะไรมากไหมขอรับ ยังไงข้าจะสั่งสอนเจ้าตัวดื้อให้รู้ความมากกว่านี้..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับมือหนาของอีกฝ่ายขึ้นมาดูรอยกัดดังกล่าว ยังดีที่เจ้าตัวน้อยไม่ปล่อยพิษลงไปด้วยไม่เช่นนั้นเรื่องราวคงไม่เป็นเช่นนี้

"ศิษย์น้องอย่าเป็นกังวลไป เจ้าลืมแล้วอย่างนั้นรึ?? สิ่งที่พวกเราไม่ขาดเเคลนคือโอสถรักษา เจ้าทำใจให้สบายเสียเถอะ ที่สำคัญอย่าได้ดุเจ้าต้าเฮยอีกฝ่ายคงหวงเจ้าที่เป็นเจ้านายเพียงเท่านั้น..." กล่าวจบโจวเซินก็ได้หยิบโอสถรักษาภายนอกเทใส่บริเวณที่ถูกกัด เพียงชั่วครู่รอยกัดนั้นก็หายวับไปราวกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น

"เช่นนั้นก็ลากันตรงนี้..." โจวเซินเอ่ยย้ำอีกครั้งพร้อมกับแตะไหล่ของเด็กหนุ่มเบา ๆ ก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินเเยกหายไปทางฝั่งเรือนพักของตนด้วยความรวดเร็ว

ทางฝั่งของหนิงอ้ายเมื่อเห็นคนที่หน้าตาเหมือนกับคนในความทรงจำของตนเดินห่างออกไปแล้วจึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมาเบา ๆ ใบหน้าของอีกฝ่ายที่เหมือนกับเเทนไทช่างทำให้หัวใจของเขาทำงานหนักเสียจริง

เด็กหนุ่มสะบัดหัวไล่ความคิดไร้สาระนี้ให้ออกไปทั้งสิ้น ก่อนที่ร่างบางจะเริ่มบ่นเจ้าตัวดื้อที่เก็บตัวเงียบในอกเสื้อของตนโดยที่ไม่ทันได้สังเกตว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ล้วนตกอยู่ในสายตาของใครบางคนทั้งสิ้น...

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Related chapters

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่82 ก้าวหน้า

    ใช้เวลาเพียงไม่นานนักหนิงอ้ายมาก็ถึงเรือนพักของตนเสียที เด็กหนุ่มตั้งใจเอาไว้ว่าหลังจากที่อาบน้ำจัดการธุระส่วนตัวเสร็จเเล้วตนจะนั่งดูดซับปราณฟ้าดินพร้อมกับใช้ทรัพยากรบ่มเพาะที่ได้รับมาจากอาคารส่วนกลางของตำหนักวันก่อน เขายังไม่รู้ว่าได้รับสิ่งใดมาบ้างและมีจำนวนมากน้อยเท่าใดกัน ด้วยเพราะว่าหนิงอ้ายยังไม่มีเวลาตรวจสอบเเหวนมิติที่ตนได้รับมาในก่อนหน้านี้นั่นเอง"หินปราณระดับกลางยี่สิบก้อน หินปราณระดับสูงสิบก้อนและหากเริ่มหลอมสร้างโอสถแล้วสามารถเบิกสมุนไพรต่าง ๆ ได้เช่นกันเดือนละสิบชุดอย่างนั้นรึ??" ตรวจดูเเล้วพบว่าตนได้สิ่งใดมาบ้างที่ได้รับมา หนิงอ้ายคิดว่าทางตำหนักได้ลงเดิมพันกับการบ่มเพาะศิษย์ในสังกัดของตนค่อนข้างที่จะสูงมากดูได้จากทรัพยากรบ่มเพาะในเเต่ละเดือนที่ศิษย์เเต่ละคนในตำหนักแห่งนี้ได้รับถือว่ามีมูลค่าที่สูงมากไม่น้อย ในโลกภายนอกถึงแม้ว่าหินปราณเหล่านี้อาจจะไม่ใช่สิ่งที่หายากก็จริงเเต่ทว่าหินปราณระดับกลางขึ้นไปจนถึงระดับสูงก็มีราคาสูงมากและมักจะพบเจอตามโรงประมูลเพียงเท่านั้นแน่นอนว่าผู้ฝึกตนทุกคนสามารถดูดซับหินปราณในระดับต่าง ๆ เหล่านี้เพื่อเพิ่มในความเเข็งแกร่งของพลังวิญญาณของ

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่83 หลอมสร้างปรุงโอสถ

    หน้าที่หลักในทุกเช้าของหนิงอ้ายคือการรดน้ำ ดูเเลเเปลงสมุนไพรที่อยู่ติดกับเรือนพัก หลังจากที่ได้จัดการหน้าที่และธุระส่วนตัวทุกอย่างเสร็จสิ้นเเล้ว เด็กหนุ่มจึงเข้าไปในครัวเพื่อทำอาหารในเช้านี้ ตั้งใจว่าหากไม่มีเหตุจำเป็นอื่นเขาจะไม่ลงไปรับอาหารที่โรงครัวของทางสำนักเเล้วด้วยเพราะไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนและหลีกหนีความวุ่นวายอื่นที่อาจจะตามมาภายหลังไม่รู้ว่าลู่ซีและสหายคนอื่น ๆ จะเป็นอย่างไรบ้าง พวกเขาที่อยู่คนละตำหนัก ช่วงเเรกนี้จะเป็นการปรับพื้นฐานก่อนที่จะเรียนรู้ศาสตร์ในขั้นอื่นต่อไป ตอนนี้กลุ่มสหายของหนิงอ้ายจึงเขียนจดหมายเวทย์เพื่อถามไถ่กันเพียงเท่านั้น มีนัดหมายพบเจอกันในอีกสองวันข้างหน้าเนื่องจากเป็นวันที่ทุกตำหนักในสำนักศึกษานั้นกำหนดให้หยุดพักผ่อนนั่นเองกลิ่นหอมของข้าวผัดทรงเครื่องลอยฟุ้งไปทั่วทั้งเรือนพักหลังนี้ อีกทั้งหนิงอ้ายยังได้ทำซุปเยื่อไผ่เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเมนูเพื่อที่ตนนั้นจะได้มีน้ำซุปร้อน ๆ ไว้ซดรับกับอากาศที่หนาวเย็นสบายของเช้าวันนี้ แม้ว่าอาหารจากโรงครัวจะมีรสชาติไม่ได้แย่ก็จริงเเต่อย่างไรก็ตามเขาก็ชินรสมือของตนเสียมากกว่า ดังนั้นหนิงอ้ายจึงตั้งใจว่าหลังจากนี้

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่84 พบเจอสหาย

    ตลอดสองวันมานี้หนิงอ้ายได้รับเคล็ดลับมากมายเกี่ยวกับการหลอมสร้างโอสถจากเหล่าศิษย์พี่ เพราะเหวินหวู่ได้ให้คำแนะนำกับเด็กหนุ่มเพิ่มเติม ว่าในการหลอมสร้างโอสถนอกจากการที่ต้องฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอจนชำนาญเเล้ว การที่ได้เห็นวิถีหลอมสร้างของนักปรุงโอสถเเต่ละคนก็ช่วยในเรื่องนี้เช่นกันความแตกต่างและเอกลักษณ์เฉพาะเหล่านี้สามารถที่จะนำมาปรับใช้ให้เข้ากับวิถีหลอมสร้างของตนเองได้ ในยุทภพเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดไปเท่าไหร่นัก หากว่านักปรุงโอสถที่มีอาจารย์สั่งสอนคนเดียวกัน เเต่ละสำนักจะมีวิถีหลอมสร้างที่ใกล้เคียงกันเพราะอย่างไรก็ตามหลังจากผ่านพ้นเป็นนักปรุงโอสถระดับสี่ การจะเป็นนักปรุงโอสถระดับห้าอย่างเต็มตัวจำเป็นจะต้องคิดค้นและมีวิถีหลอมสร้างเป็นของตัวเองหากไม่เช่นนั้นก็จะติดอยู่ในขั้นของนักปรุงโอสถระดับสี่เพียงเท่านั้นทางฝั่งของหนิงอ้ายเองที่ใช้เวลายามว่างในช่วงบ่ายหลังจากที่ช่วงเช้าที่เด็กหนุ่มรับหน้าที่ทำอาหารเช้าและดูเเลสวนสมุนไพรให้กับอาจารย์ของตน เหวินหวู่ได้มีการสอนทักษะเพิ่มเติมอันเป็นวิถีหลอมสร้างเฉพาะให้กับเด็กหนุ่มอย่างไม่หวงแหน ด้วยเพราะตำแหน่งศิษย์ผู้สืบทอดตำหนักที่เด็กหนุ่มถื

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่85 เรื่องราวที่เกิดขึ้น

    เวลาได้ผ่านไปอย่างรวดเร็วจนมาถึงในยามเว่ยแล้ว กลุ่มของหนิงอ้ายยังคงพากันพูดคุยเเลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่พวกเขาทุกคนพบเจอหลังจากได้เริ่มศึกษาไปในช่วงสี่ถึงห้าวันที่ผ่านมา บางเรื่องจะเป็นสิ่งที่พวกเขาพอรับรู้มาบ้างก่อนหน้าจึงสามารถปรับตัวกันได้อย่างง่ายดาย แต่ละตำหนักล้วนต่างมีแนวทางในการบ่มเพาะศิษย์ของตนที่แตกต่างกันออกไปทั้งสิ้นสำหรับตำหนักศาสตร์เเห่งการต่อสู้ เรียกได้ว่าการเเข่งขันภายในค่อนข้างที่จะสูงมาก บรรดาศิษย์ชายหญิงทุกคนล้วนต้องทำตัวเองให้เเข็งแกร่งต้องเตรียมความพร้อมอยู่เสมอเพราะว่าในทุกเจ็ดวันจะมีการประลองทั้งเชิงเวทย์และเชิงยุทธ์ขึ้นในตำหนัก จุดประสงค์หลักก็เพื่อให้ศิษย์เหล่านี้ตื่นตัวพร้อมกับพัฒนาตัวเองอยู่เสมอด้วยแนวคิดที่ว่าผู้ที่เเข็งแกร่งเท่านั้นที่จะเป็นผู้อยู่รอดแม้จะดูโหดร้ายเเต่นั่นก็เป็นความจริงของยุทธภพที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ การประลองเหล่านี้มีจุดหมายแฝงอยู่นั่นคือเพื่อค้นหาสุดยอดรุ่นเยาว์มากพรสวรรค์ในการเข้าร่วมสังกัดหน่วยต่าง ๆ ที่อาจเป็นกองกำลังสำคัญในอนาคตของทางสำนักได้ หนิงอ้ายแม้จะเป็นห่วงสหายของตนอยู่บ้าง เเต่เมื่อได้ยินว่าสหายของเขาทั้งอี้หลิน จินหั่ว หลี

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่86 นักปรุงโอสถฝึกหัด

    หลังจากที่เขาได้เเยกย้ายกับเหล่าสหายของตนที่อยู่คนละตำหนัก ศิษย์พี่จางลี่ได้ฝากฝังให้ศิษย์พี่ตงหยางเดินไปส่งตนที่หน้าตำหนักเหมือนครั้งเเรกที่ได้เจอกันตรงที่ตลาด ทว่าศิษย์พี่ใหญ่โจวเซินได้ผ่านมาทางนั้นพอดีจึงอาสาเดินกลับตำหนักไปพร้อมกับตน ถึงหนิงอ้ายจะสามารถเเยกแยะได้ว่าชายหนุ่มผู้เป็นศิษย์พี่นั้นเพียงเเค่มีใบหน้าเหมือนกับเเทนไทและไม่ใช่คนเดียวกันอย่างแน่นอนหนิงอ้ายกลับมีความรู้สึกบางอย่างที่ว่าไม่ควรอยู่ใกล้กับคนนี้จะเป็นการดีที่สุด อาจจะดูเสียมารยาทไปบ้างกับศิษย์พี่โจวเซินผู้เป็นถึงศิษย์พี่ใหญ่ในตำหนักของตนก็จริง ทว่าหนิงอ้ายยังมีความรู้สึกบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ สายตาที่อีกฝ่ายมองมาชวนให้เขารู้สึกอึดอัดใจไปไม่น้อยเช่นกัน เพื่อหลีกหนีความวุ่นวายจากชายหนุ่มทั้งสองคนหนิงอ้ายจึงเลือกที่จะเดินกลับตำหนักของตนในทันทีอย่างไม่รั้งรอโดยที่ไม่ต้องให้ผู้ใดต้องมาคอยรับส่งตนทั้งสิ้นวิหคสอดแนมของหนิงอ้ายก็ได้ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม หนิงอ้ายได้รับรู้ทุกสิ่งที่ศิษย์พี่ท่านนี้ทำเป็นประจำทุกวัน ถึงแม้ว่าในตอนนี้จะยังไม่เจอความผิดปกติก็จริง เเต่ถึงอย่างไรหนิงอ้ายยังคงสั่งให้วิหคสอดแน

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่87 โอสถห้ามเลือด

    โอสถห้ามเลือดเป็นโอสถเเรกที่หนิงอ้ายได้ปรุงออกมาได้สำเร็จ การหลอมสร้างปรุงโอสถระดับสองวันนี้เหวินหวู่จึงให้เด็กหนุ่มได้เริ่มจากโอสถนี้อีกครั้ง สำหรับสูตรโอสถห้ามเลือดระดับสองนี้ที่ได้รับมาจากอาจารย์ของตนหนิงอ้ายเห็นว่านอกจากจะมีสมุนไพรตั้งต้นจากสูตรโอสถระดับหนึ่ง นอกจากนี้ยังได้มีการเพิ่มสมุนไพรขึ้นมาอีกหลายชนิดเช่นกันที่ล้วนเเต่มีฤทธิ์ส่งเสริมสมุนไพรก่อนหน้าทั้งสิ้น เมื่อเด็กหนุ่มได้จัดเตรียมสมุนไพรครบถ้วนตามสูตรโอสถในมือของตนแล้วจึงไม่รอช้าที่จะลงมือในทันทีหนิงอายตั้งสมาธิให้มั่นคงพร้อมกับเรียกญาณสัมผัสของตนออกมาคลอบคลุมไปทั้งทั้งเตาโอสถตรงหน้านี้ มือเรียวบางได้ตวัดเอาสมุนไพรตามสูตรโอสถลงไปในเตาหลอมก่อนที่จะเรียกวิญญาณยุทธ์ธาตุไฟของตนออกมาอย่างระมัดระวัง ความล้ำค่าของสมุนไพรตามสูตรโอสถระดับสองนี้ที่บางชนิดก็มีอายุถึงร้อยปี ดังนั้นการหลอมสร้างปรุงโอสถในครั้งนี้หนิงอ้ายจึงระวังตั้งใจเป็นอย่างมากเพราะต้องการใช้สมุนไพรเหล่านี้ให้คุ้มค่ามากที่สุดปราณธาตุไฟที่เกิดจากวิญญาณยุทธ์ของหนิงอ้ายได้ล้อมรอบเตาโอสถซึ่งเด็กหนุ่มพยายามบังคับเปลวเพลิงนี้ให้มีความสมดุลไม่เบาไม่หนักจนเกินไปเพื่อที่จะไ

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่88 หมู่บ้านไร้นาม

    วิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟที่ถูกปลดปล่อยออกมายามที่หนิงอ้ายฝึกฝนวิชายุทธได้แฝงไปด้วยความร้อนและความเเข็งแกร่งเป็นอย่างมาก บทเวทย์ต่าง ๆ ที่หนิงอ้ายถือครองอยู่นั้นเรียกได้ว่าอาณุภาพของบทเวทย์ดังกล่าวไปทบทวีคูณมากเพิ่มขึ้นหลายเท่าพื้นที่ส่วนด้านหลังเรือนพักได้แปรเปลี่ยนเป็นลานฝึกขนาดย่อม ด้วยเพราะหนิงอ้ายได้ร่ายเวทย์ป้องกันที่เสริมความเเข็งแกร่งไปอีกหลายชั้น เสียงระเบิดดังต่อเนื่องที่เกิดจากฝึกฝนเคล็ดวิชาจึงไม่อาจหลุดลอดออกไปสร้างความรำคานแก่ศิษย์พี่ท่านอื่นที่อยู่ไปไม่ไกลจากเรือนพักหนิงอ้ายมุ่งเน้นในการใช้วิญญาณยุทธ์ปราณธาตุไฟของตนเป็นหลัก เพราะถึงอย่างไรเเล้วการเรียกใช้วิญญาณยุทธ์เเต่ละปราณธาตุนั้นล้วนต่างเหมือนกันทั้งสิ้น เพียงต้องอาศัยประสบการณ์ความคุ้นชินเสียมากกว่า แม้ว่าจะใช้ปราณธาตุน้ำตามเคล็ดวิชาคัมภีร์เบญจธาตุได้เเล้วก็จริง เเต่ถึงอย่างไรหนิงอ้ายยังต้องคอยฝึกฝนอยู่เสมอเพื่อให้เกิดความเชี่ยวชาญคุ้นชินมากกว่านี้สำหรับปราณธาตุต่อไปตามคัมภีร์เบญจธาตุที่หนิงอ้ายต้องศึกษา หลังจากปราณธาตุน้ำนั่นก็คือปราณธาตุลม เรียกได้ว่าเป็นปราณธาตุที่เป็นอิสระอย่างยิ่ง สามารถเคลื่อนไหวกระจายไปทั่วสาร

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่89 อสูรจักรพรรดิแมงมุมรัตติกาลเหมันต์

    จุดบริเวณดังกล่าวเป็นแนวต้นไม้สูงใหญ่ที่ให้ความรู้สึกเหมือนกับป่าโบราณที่มีอายุหลายร้อยหลายพันปี กลิ่นอายของสมุนไพรระดับสูงรวมไปถึงลมปราณฟ้าดินบริสุทธิ์ไหลเวียนอย่างเข้มข้น เห็นได้ชัดว่าโดยรอบนี้มีความอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างมากมากไปกว่านั้นยังให้ความรู้สึกราวกับว่าตกอยู่ในสายตาดุร้ายไม่ประสงค์ดีที่มองมาจากทั่วทั้งสารทิศ หนิงอ้ายไม่รอช้ารีบสั่งการให้วิหคสอดแนมของตนออกมาอย่างไม่จำกัดในรัศมีพื้นที่โดยรอบ สำหรับเนตรเเห่งสวรรค์ในตอนนี้ที่หนิงอ้ายเป็นผู้ฝึกตนระดับเทวะวิญญาณขั้นต้นได้ส่งผลให้อาณุภาพยิ่งเหนือชั้นมากขึ้นดวงตาเรียวงามสีดำในรูปลักษณ์ปลอมเเปลงนี้แปรเปลี่ยนเป็นสีทองอร่ามไปชั่วครู่ก่อนที่จะกลับมาเป็นเป็นปกติ ญาณสัมผัสได้ถูกขีดเค้นออกมาถึงขีดสุดจนสามารถรับรู้ในในระยะสองลี้อย่างชัดเจน หนิงอ้ายสัมผัสได้ถึงสัตว์อสูรที่อยู่รายล้อมชวนให้น่าหวั่นเกรงอยู่ไม่น้อยสำหรับคนธรรมดาหรือผู้ฝึกตนทั่วไปเเต่ด้วยเพราะเหวินหวู่ที่เป็นผู้ฝึกตนระดับราชันวิญญาณขั้นสูง ที่อีกเพียงครึ่งก้าวก็จะบรรลุถึงระดับเทพยุทธ์วิญญาณเเล้วย่อมส่งผลให้อสูรร้ายต่าง ๆ เหล่านี้ไม่กล้าก้าวล้ำเข้ามาในบริเวณเพราะสัมผัสได้ถึงการ

    Last Updated : 2025-03-06

Latest chapter

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   ( -จบเล่ม ปฐมบท 3.2- ) บทที่ 174 ความวุ่นวายที่สิ้นสุดลง

    ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 173 สมบัติเทพมารจุติ

    ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 172 การปรากฎตัวของผู้ขายวิญญาณ

    คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 171 ผู้ท้าทายที่กล้าหาญ

    การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 170 กฎเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

    หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 169 ผู้ผ่านการทดสอบ

    ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 168 เดินทางกลับสำนักศึกษา

    มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 167 การเลื่อนระดับที่เหนือล้ำ

    ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 166 ความร่วมมือ

    ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status