Share

บทที่79 ศึกษาตำรา

"ศิษย์พี่ตงหยางมาทำอันใดที่อาคารส่วนกลางตำหนักของข้าตั้งเเต่เช้าเช่นนี้หรือขอรับ??" เห็นท่าทางที่ชวนหน้าหมั่นไส้ของชายหนุ่ม เเต่ด้วยความสงสัยที่มีมากกว่าหนิงอ้ายจึงเลือกที่จะมองข้ามและถามกลับอีกฝ่ายไปด้วยความอยากรู้

"ท่านเจ้าสำนักไหว้วานให้มาเอาตำราเล่มหนึ่ง ฟังว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับภารกิจสำคัญในครั้งถัดไป แล้วเจ้าเล่าเหตุใดจึงมาเเต่เช้าเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าผู้อาวุโสเหวินหวู่ให้เจ้าพักผ่อนอย่างนั้นรึ??" เฟยหลงถามกลับหนิงอ้ายไปตามสิ่งที่ตนได้รับรู้มาก่อนหน้า

"ข้าพึ่งเริ่มเข้าสู่วิถีฝึกตนเพียงไม่กี่ปีความรอบรู้นับว่ายังอ่อนด้อยยิ่งนัก ดังนั้นข้าจึงอยากจะใช้ทุกเวลาที่มีให้คุ้มค่ามากที่สุดขอรับ..." เด็กหนุ่มตอบกลับไปตามที่ตนคิด เพราะทุกอย่างในโลกนี้นับว่าค่อนข้างแปลกใหม่เป็นอย่างมาก ซึ่งเขานั้นยังต้องเรียนรู้ในอีกหลายสิ่งอย่าง

"ศิษย์น้องหนิงอ้ายกล่าวได้ถูกต้องผู้ที่จะประสบความสำเร็จได้คนผู้นั้นต้องใช้ทุกสิ่งอย่างที่ตนมีให้คุ้มค่ามากที่สุด..." เสียงของชายหนุ่มอีกคนดังขึ้นทางด้านหลัง เรียกความสนใจของทั้งสองคนคนให้ละสายตาจากกัน

"ไม่คิดว่าจะเจอเจ้าที่นี่เเต่เช้านะตงหยาง ภารกิจจากท่านเจ้าสำนักในครั้งก่อนเรียบร้อยดีใช่หรือไม่??" ชายหนุ่มในชุดสีเดียวกันกับหนิงอ้ายได้เอ่ยถามขึ้น

"ทุกอย่างเรียบร้อยดีเเต่ข้าก็ไม่คิดว่าจะเจอเจ้าที่นี่นะเหยียนฮุ่ย ตำรากับเจ้าเป็นสิ่งที่ข้าคาดเดาไม่ถึงเลยทีเดียว" ตงหยางตอบกลับไปพร้อมกับตบไหล่ของอีกฝ่ายอย่างหยอกล้อ

"คำนับศิษย์พี่สี่ขอรับ!!" หนิงอ้ายทักทายศิษย์พี่ของตนพร้อมกับสังเกตท่าทางสนิทสนมของสองคนตรงหน้าที่ดูท่าเเล้วอีกฝ่ายคงแอบอ้างนามของศิษย์พี่ตงหยางมานานเเล้ว ซึ่งคงมากพอที่จะผูกมิตรกับคนมากหน้าหลายตา นับว่าเป็นการแฝงตัวสืบค้นข้อมูลที่แนบเนียนเสียจริง

"เจ้าทั้งสองรู้จักกันแล้วอย่างนั้นรึศิษย์น้องหนิงอ้าย??" เหยียนฮุ่ยถามด้วยความแปลกใจเพราะไม่คิดว่าศิษย์น้องของเขาที่พึ่งเข้าสำนักได้เพียงไม่กี่วันกลับรู้จักเจ้าตงหยางสหายของตนผู้นี้เสียเเล้ว อย่างน้อยหากเกิดอะไรขึ้นเขาจะได้ฝากฝังกับเจ้านี่ให้ดูเเลศิษย์น้องเเทนตนได้ในวันข้างหน้า

"เมื่อวานหลังจากที่ศิษย์พี่ไป๋พาข้าไปโรงครัวและพบกับสหาย บังเอิญว่าเกิดเรื่องนิดหน่อยแล้วศิษย์พี่ตงหยางกับสหายได้ยื่นมือมาช่วยพวกข้าขอรับ..."

"มีเรื่องนิดหน่อยมีคนหาเรื่องศิษย์น้องอย่างนั่นรึ??" เหยียนฮุ่ยถามกลับเด็กหนุ่มไป

"เป็นเฉินหลาน..." สิ้นเสียงของตงหยางที่ตอบเเทนเด็กหนุ่ม ทำเอาเหยียนฮุ่ยที่ได้ยินเช่นนั้นรู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก

"เจ้าอันตพาลแซ่เฉินนั่นถึงกับหาเรื่องศิษย์น้องเล็กของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาอย่างนั้นรึ?? เเล้วเจ้าได้รับบาดเจ็บตรงที่ใดหรือไม่??"

"ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวลเป็นศิษย์พี่ตงหยางและสหายที่เข้ามาช่วยพวกข้าได้ทัน ต่อไปข้าจะระวังตัวให้มากขึ้นขอรับ..."หนิงอ้ายตอบกลับศิษย์พี่ของตนไป

"ตงหยางข้าฝากเจ้าดูเเลศิษย์น้องเล็กของพวกข้าด้วยเล่า..." เมื่อได้ยินคำตอบที่น่าพึงพอใจจากหนิงอ้ายเเล้ว เหยียนฮุ่ยจึงหันหน้าคุยกับตงหยางราวกับว่าต้องการฝากฝังสิ่งนี้ ทางหนิงอ้ายที่ได้ยินเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะเข่นหัวเราะออกมาเบา ๆ ใครจะต้องการให้คนตรงหน้าตนนี้มาคอยดูเเลกัน

"ข้าไม่รบกวนเวลาของพวกเจ้า ได้ตำราที่ต้องการมาเเล้วข้าควรที่จะกลับไปเสียที..."

"ไว้ค่อยเจอกันเหยียนฮุ่ย ศิษย์น้องหนิงอ้าย" ตงหยางกล่าวลาเล็กน้อยพร้อมกับขอเเยกตัวจากไป ตามความคิดของหนิงอ้าย เขารับรู้ได้เลยว่าความหมายของคำว่าเจอกันใหม่ที่อีกฝ่ายได้เอ่ยขึ้นกับเขาและศิษย์พี่เหยียนฮุ่ยนั้น คงแตกต่างกันเป็นอย่างมาก

เอาวันคืนที่สงบคืนข้ามาเสียเถอะ หรือว่าเขาจะลองเขียนบทเวทย์คลุมทับเรือนพักของตนดีกัน ศิษย์พี่ตัวปลอมหน้าเหม็นผู้นี้จักได้ไม่ต้องมารบกวนตน...

"ศิษย์พี่เหยียนฮุ่ยมาทำอะไรที่นี่เเต่เช้าเหมือนกันขอรับหรือท่านก็มาเลือกเอาตำราไปศึกษาเช่นกัน..." หนิงอ้ายถามชายหนุ่มไปเพราะพึ่งนึกขึ้นได้

"ศิษย์น้องอย่าได้กล่าวคำที่น่ากลัวเช่นนี้ศิษย์พี่ของเจ้ากับตำรานั้นควรที่จะอยู่เเยกกันไปเป็นการดีที่สุดเจ้ารู้หรือไม่..."

"ก่อนหน้าศิษย์พี่ไปหาเจ้าที่เรือนพักมา บรรดาคนรับใช้แถวนั้นบอกว่าเจ้ามาทางนี้ เลยคาดเดาว่าจุดหมายน่าจะเป็นอาคารส่วนกลางเเห่งนี้ เเล้วเจ้าได้ตำราที่สนใจไปแล้วหรือยังเล่า??"

"เหล่าศิษย์พี่ได้ปรึกษากันถึงแม้ท่านอาจารย์จะให้เวลาเจ้าพักผ่อนในช่วงนี้ก่อนที่จะเข้าสู่การเรียนรู้อย่างเต็มตัว..."

"เเต่ถึงอย่างไรนั้นเจ้าก็ควรที่จะมีพื้นฐานของความรู้และความเข้าใจอยู่บ้าง เช่นนั้นเวลาหลังจากนี้เหล่าศิษย์พี่เเต่ละคนจะช่วยเจ้าในเรื่องนี้เอง..."

"ศิษย์น้องไปดูตำราที่สนใจก่อนเถิดเดี๋ยวศิษย์พี่จะไปรอเจ้าที่ชั้นล่างจะไปคุยกับเหล่าซุนเรื่องโอสถสำหรับฝากขายอีกด้วย" เอ่ยจบร่างกายสูงใหญ่ของอีกฝ่ายนั้นได้ส่งยิ้มเอ็นดูให้เด็กหนุ่ม ก่อนที่ตัวคนนั้นจะหันหลังละตรงไปยังบันไดเพื่อไปชั้นล่าง

เขาโชคดีมากที่ได้เป็นศิษย์ในตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาเเห่งนี้ ศิษย์พี่ของเขาเเต่ละคนนั้นต่างเป็นคนดี แม้จะมีนิสัยเเปลกประหลาดไปบ้างในความรู้สึก อย่างไรนั้นหนิงอ้ายก็รอโอกาสที่จะได้เจอ ศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รองและศิษย์พี่สามของตนว่าจะเป็นเช่นไร โดยเฉพาะศิษย์พี่ใหญ่นั้นทางศิษย์พี่ไป๋เองที่ไม่ค่อยเอ่ยถึงบุรุษสักเท่าใด ยังบอกกับเขาว่าศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเขานั้นหล่อเหลาและเป็นที่หมายปองเป็นอย่างมากไม่น้อยไปกว่าศิษย์พี่ตงหยางเลยทีเดียว

เวลาได้ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยามหนิงอ้ายในตอนนี้ในแขนทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มที่โอบอุ้มอยู่ที่ต่างเต็มไปด้วยตำราต่าง ๆ ที่เด็กหนุ่มสนใจ ไม่ว่าจะเป็นประวัติความเป็นมาของสำนัก ข้อมูลที่เกี่ยวข้องของบรรพชนผู้ก่อตั้งรวมไปถึงเจ้าเเห่งตำหนักทั้งสี่ ตำราสมุนไพรวิเศษหาได้ยากและยังมีอีกหบายเล่มที่ดูจากปกนั้นกล่าวได้ว่าคงมีอายุไม่ต่ำกว่าร้อยปี

เนตรเเห่งสวรรค์ทำให้เขาได้รับรู้ว่าเป็นตำราระดับสูงโบราณเล่มหนึ่ง แม้เขาเองจะเเปลกใจที่เห็นมันในชั้นหนังสือธรรมดาซึ่งคล้ายกับมีแรงดึงดูดที่น่าประหลาด จนท้ายที่สุดหนิงอ้ายก็เลือกหยิบตำราเล่มนี้เสียจนได้...

"ศิษย์น้องเรียบร้อยเเล้วใช่หรือไม่?? เเล้วนั่นเจ้าอย่าได้ฝืนตัวเองมากเล่า อะไรที่ตึงเกินไปย่อมไม่ใช่สิ่งที่ดีนัก..." เหยียนฮุ่ยที่เห็นว่าศิษย์น้องของตนลงมาจากชั้นสองเเล้ว ทั้งสองแขนของเด็กหนุ่มก็เต็มไปด้วยตำรามากมายนับสิบเล่ม จึงอดไม่ได้ที่จะเตือนอีกฝ่าย ก่อนที่จะมีเสียงเคาะดังขึ้นพร้อมกับเสียงที่เจ็บปวดของชายหนุ่ม

"โอ้ย...เหล่าซุนเขกหัวข้าทำไมขอรับ??"

"ก็เขกหัวให้เจ้าตั้งสติอย่างไร ตนเองเกลียดตำราแล้วจะให้ศิษย์น้องเป็นไปตามตนเองอย่างนั้นรึ??"กล่าวจบชาบชราทำท่าจะเขกหัวชายหนุ่มอีกครั้ง ทำเอาร่างสูงใหญ่นั้นหลบหลีกแทบไม่ทัน

"เจ้าอย่าไปเชื่อศิษย์พี่แสนขี้เกียจคนนี้ของเจ้ามากนักเล่า ความรู้มีค่ามากกว่าทรัพย์สิน มีค่ามากอนันต์ ยิ่งศึกษาเท่าใดก็ยิ่งเพิ่มคุณค่าจดจำเอาไว้เสียเล่า..."

"วางตำราทั้งหมดที่เจ้าเลือกมาไว้บนโตะเเล้วเอาป้ายหยกประจำตัวของเจ้ามาด้วย ข้าจะได้คลายผนึกบนตำราในเเต่ละเล่มนี้ จะมีเพียงเจ้าที่ศึกษาได้...."

"หากจะกล่าวให้ถูกคือตำราทุกเล่มกรือทุกสิ่งที่อยู่ในอาคารเเห่งนี้ ผู้ที่ได้รับสิทธิย่อมเป็นพวกเจ้าศิษย์ทั้งสิบสามคนของตำหนักและผู้อาวุโสบางท่านเท่านั้น ตำราหรือสิ่งที่อยู่ในตำราเนื้อหาเหล่านี้นั้นพวกเจ้าจะไม่สามารถถ่ายทอดหรือจดบันทึกเพื่อส่งต่อให้คนภายนอกที่ไม่ข้องเกี่ยวกันให้รับรู้ได้ไม่ต่างกัน"

เมื่อได้ป้ายหยกประจำตัวของหนิงอ้ายแล้ว ชายชราจึงวาดมือขึ้นลงตวัดด้วยท่วงท่าที่ประหลาด กลิ่นอายที่เล็ดลอดออกทำให้หนิงอ้ายรู้ได้ว่านี่เป็นค่ายกลปลดผนึกบทหนึ่งที่มีความเก่าแก่เป็นอย่างมาก ความพิศดารเหล่านี้ต่างได้จุดประกายบางสิ่งอย่างที่หนิงอ้ายจะนำมาผสานเป็นสิ่งใหม่ที่ใกล้เคียงกันนี้ เเต่นั่นเป็นเรื่องของอนาคตอีกหลายปีจากนี้

ใช้เวลาเพียงหนึ่งเค่อ ผู้อาวุโสซุนก็ได้จัดการทุกอย่างเสร็จสิ้นพร้อมกับส่งคืนป้ายประจำตัวให้กับเด็กหนุ่มรวมไปถึงตำราสิบกว่าเล่มที่ได้เลือกไว้ จากนั้นทั้งเหยียนฮุ่ยกับหนิงอ้ายเองจึงเอ่ยลาพร้อมกับคำนับผู้อาวุโส ก่อนที่ทั้งสองจะเดินมุ่งตรงไปยังเรือนพักของหนิงอ้ายที่อยู่ไม่ไกลนักไปทางฝั่งขวามือของอาคารเเห่งนี้

"เรือนพักของศิษย์น้องร่มรื่นยิ่งนัก ดูแนวป่าไผ่ที่ขึ้นเป็นดั่งซุ้มทางเดินนั่นช่างดูงดงามเสียจริง..." เหยียนฮุ่ยเมื่อมาถึงหน้าเรือนพักของเด็กหนุ่มจึงมองไปรอบ ๆ ก่อนที่จะเอ่ยชื่นชมออกมา

หนิงอ้ายยิ้มรับคำชมนั้นโดยที่ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมา ก่อนที่เด็กหนุ่มจะขอตัวสักครู่ไปเก็บตำราที่ตนหยิบยืมมาให้เรียบร้อยก่อนที่จะบอกให้ศิษย์พี่ของตนนั้นนั่งรอตนที่ศาลากลางทุ่งสวนไม้

"ตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาฟังชื่อดูเเล้วเหมือนว่าจะเป็นเพียงเรื่องของสมุนไพร โอสถหรือการรักษาอาการบาดเจ็บ เเต่นั่นเป็นสิ่งที่คนภายนอกได้รับรู้หรือจะบอกว่าเป็นสิ่งที่พวกเราต้องการให้รู้เช่นนั้นก็ไม่เกินจริงไปนัก..."

"ความจริงเเล้วทุกสิ่งอย่างที่อยู่โดยรอบตัวเรานั้นสามารถนำมาปรับใช้เข้ากับการรักษาได้ทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นทั้งปราณฟ้าดินบริสุทธิ์ สมุนไพรต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งเครื่องดนตรีก็สามารถนำมาใช้ได้เช่นกัน"

"แน่นอนว่าพื้นฐานนั่นยังคงเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณในการรักษาที่ทั้งสามารถใช้ได้โดยตรงหรือต้องการหลอมรวมเป็นโอสถเสียก่อน วันนี้ศิษย์พี่จะสอนเจ้าเกี่ยวกับสมุนไพรทุกชนิดทั้งในเรื่องของพื้นที่เติบโต สรรพคุณทางการรักษา การดูเเลสมุนไพรต่าง ๆ ถือเป็นความรู้พื้นฐานที่ในวันข้างหน้าเจ้าสามารถนำมาใช้กับการหลอมสร้างโอสถของเจ้าได้...." เหยียนฮุ่ยเอ่ยขึ้นกับเด็กหนุ่มด้วยท่าทางที่จริงจังผิดกับในยามปกติ ด้วยเพราะว่าหากนับดูเเล้ว เรื่องราวที่เกี่ยวข้องของสมุนไพรนั้นย่อมเป็นเขาที่คุ่นชินมากกว่าทุกคนในที่นี้

ด้วยเพราะตระกูลของเขาต่างอยู่ในเส้นสายที่มีอาชีพเป็นหมอรักษามายาวนานหลายร้อยปี รวมไปถึงมีร้านค้าสมุนไพรและโอสถที่มากมายหลายสาขา ดังนั้นในฐานะที่เขาเป็นนายน้อยของตระกูลที่ในวันข้างหน้าจักต้องขึ้นปกครองตระกูลต่อไป

ตั้งเเต่เด็กเขาจึงคลุกคลีศึกษาเรื่องราวของสมุนไพร และโอสถมาไม่น้อย เเต่ถึงอย่างไรนั้นการที่เขาได้เป็นศิษย์ในตำหนักนี้ย่อมเปิดประสบการณ์เป็นอย่างมาก ยามปกติหากเขาไม่ออกท่องยุทธภพเพื่อหาสมุนไพรต่าง ๆ เพื่อบันทึกเป็นความรู้เเล้ว บางครั้งเขาก็จะเก็บตัวอยู่เเต่เรือนพักของตนด้วยเพราะคิดค้นและทดลองหลอมสร้างโอสถอยู่เสมอ

เวลาได้ผ่านไปหลายชั่วยามจนถึงขั้นที่ว่าเเสงสีส้มทองอันเป็นสัญลักษณ์ก่อนที่ดวงอาทิตย์จะลาลับอัสดงได้ปรากฎขึ้นโดยรอบ ทุกสิ่งอย่างที่เหยียนฮุ่ยได้ศึกษามาตลอดกลายสิบปีต่างถูกถ่ายทอดให้เด็กหนุ่มตรงหน้า ผู้เป็นศิษย์น้องของตนอย่างไม่ปิดกั้น

จนมาถึงในตอนนี้ความกังขาเล็ก ๆ ในใจของชายหนุ่มได้หายไปสิ้น ยอมรับอย่างลูกผู้ชายว่าก่อนหน้านี้ เขาเองนั้นก็สบประมาทเด็กหนุ่มคนนี้อยู่บ้าง ด้วยเพราะอีกฝ่ายอายุเพียงสิบห้าสิบหกปีเท่านั้น หากตัวคนเป็นเพียงศิษย์น้องเล็กของตนก็คงไม่รู้สึกกังขาเช่นนี้ ออกจะยินดีมากเสียกว่าด้วยซ้ำ

ทว่าเด็กหนุ่มน้อยคนนี้กลับถูกท่านอาจารย์เลือกให้เป็นถึงศิษย์ผู้สืบทอดของตำหนัก เป็นตำแหน่งที่ถูกว่างเว้นมาหลายปีเเล้ว ในความเห็นคิดว่าตำแหน่งนี้ควรจะเป็นของศิษย์พี่ใหญ่ของเขาเสียมากกว่า เพราะอีกฝ่ายนั้นถือว่าเป็นสุดยอดรุ่นเยาว์คนหนึ่งที่มากไปด้วยพรสวรรค์ยิ่ง

หลายชั่วยามที่ผ่านมานี้ เด็กหนุ่มตรงหน้าได้สร้างความประหลาดใจและประทับใจแก่เขาเป็นอย่างมาก ไม่น่าเชื่อว่าความรู้ ความเข้าใจรวมไปถึงประสบการณ์ที่ผ่านมาหลายปีของตนนั้น กลับถูกถ่ายทอดให้เด็กหนุ่มจนหมดสิ้น ครั้นเมื่อตนถามสิ่งใดไปเด็กหนุ่มกลับตอบได้อย่างละเอียดแม่นยำ เมื่อเทียบกับเขาในช่วงอายุเดียวกันนั้นเขาจะนับเป็นอะไรได้กัน

"ศิษย์น้องเจ้าทำเอาข้าละอายเสียจริง ตอนที่อายุเท่ากันกับเจ้าข้ากำลังทำอะไรอยู่กัน วันนี้ถือว่าก้าวหน้ามากเเล้ว อย่างไรวันนี้ก็จบเเต่เพียงเท่านี้เถอะ..."

"ขอบคุณสำหรับวันนี้ขอรับศิษย์พี่ ข้าสัญญาว่าจะเรียนรู้และจะศึกษาให้มากขึ้นขอรับ..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับประสานมือให้อีกฝ่าย

เมื่อศิษย์พี่ของตนเดินจากไปแล้ว ในใจของหนิงอ้ายนั้นถือถืออีกฝ่ายมากขึ้นอีกหลายเท่า แม้ว่าภายนอกของศิษย์พี่ของเขานั้นจะดูทำตัวแปลกปละหลาดไปบ้าง เเต่เขานั้นกลับสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่อีกฝ่ายต้องเเบกรับ ซึ่งเขาเองก็เข้าใจได้เพราะเเต่ละคนนั้นย่อมมีวิธีจัดการเป็นของตัวเอง ดั่งคำที่ว่าคนเราไม่สามารถตัดสินผู้อื่นได้จากภายนอก

กลับเข้าในเรือนพักของตนเเล้วหนิงอ้ายไม่รอช้าที่จะอาบน้ำและจัดการตัวเองให้เรียบร้อย เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นหนิงอ้ายก็พบว่าในตอนนี้เจ้าต้าเฮยได้ขดตัวอยู่บนกองผ้าบนเตียง คอยาวยืดของอีกฝ่ายขยับไปมาชวนให้รู้สึกเอ็นดูยิ่ง ก่อนที่หนิงอ้ายนั้นจะห่มผ้าให้กับเจ้าตัวน้อยก่อนที่จะกลับไปด้วยความอ่อนเพลีย...

ช่วงกลางดึกนั้น ดวงตาสีเเดงฉานนั้นได้ลืมตาขึ้นมาในความมืด ก่อนที่จะหลับตาลงไปอีกครั้ง...

''ต่อไปนี้เจ้าจงอยู่ข้างกายคอยปกป้องหนิงอ้ายให้ดี อย่าปล่อยให้ชายใดเข้าใกล้นายหญิงของเจ้ามากกว่าที่จำเป็นเข้าใจหรือไม่??''

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terkait

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่80 จิตวิญญาณแห่งปราณธาตุ

    เช้าของวันรุ่งขึ้นหนิงอ้ายกำลังนั่งดูดซับปราณฟ้าดินเหมือนดังเช่นทุกวันที่ผ่านมา ด้วยญาณสัมผัสอันลึกล้ำจึงสัมผัสรู้สึกได้ถึงบางสิ่งอย่างที่กำลังก่อตัวขึ้นตรงบริเวณเหนือจุดตันเถียร จากประสบการณ์ที่ผ่านมาเเล้วหลายครั้งทำให้รู้ได้ทันทีว่านี่เป็นสัญญาณของการเลื่อนระดับพลังวิญญาณในขั้นถัดไปหนิงอ้ายจึงรีบหลับตาลงพร้อมกับเร่งโคจรวิถีลมปราณไปทั่วทั่งร่างกายของตนด้วยความรวดเร็วพริ้วไหวเเต่หนักเเน่นล้ำลึกไปตามความพิศดารของเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆา เพียงชั่วครู่เดียวแรงบีบอัดจากภายในได้สร้างความเจ็บปวดเกินจะคาดคิดเอาไว้ ร่างบางสั่นสะท้าน ใบหน้างามบิดเบี้ยวราวกับต้องการกดข่มทุกความรู้สึก หนิงอ้ายตั้งมั่นโคจรลมปราณต่อไปไม่ให้ขาดช่วงเพราะหากพลาดโอกาสในครั้งนี้ไปแล้วไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกมากน้อยเท่าใดจึงจะสามารถสัมผัสได้ถึงประตูเลื่อนขั้นเช่นนี้ได้อีกเมื่อไหร่ แม้สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้จะได้สร้างความทรมานต่อทั้งร่างกายจิตใจไปมากเพียงใดก็ตาม ถึงอย่างไรก็ตามหนิงอ้ายเองก็รู้ดีว่าหากเขาสามารถที่จะอดทนผ่านพ้นไปได้จนสำเร็จเเล้ว สิ่งที่ได้รับคืนมาหลังจากนี้ย่อมเป็นผลดีต่อตนเองทั้งสิ้น ดังนั้นเเล้วเขาต้องตัดผ

    Terakhir Diperbarui : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่81 ศิษย์พี่ทั้งสาม

    "ศิษย์พี่จะแนะนำให้เจ้าได้รู้จักกับศิษย์พี่ทั้งสามคนอย่างเป็นทางการอีกครั้ง..." ไป๋เหลียนฮวาเอ่ยขึ้นพร้อมกับผายมือแนะนำอย่างคล่องแคล่วตรงหน้าของหนิงอ้ายเป็นชายหนุ่มสามคนนั่งหลดหลั่นกัน ต่างมีหน้าตารูปงามหล่อเหลาเป็นอย่างมาก หากเทียบกันเเล้วก็ถือได้ว่าทั้งสามคนมีความแตกต่างเฉพาะเป็นของตัวเอง หากเทียบไปเเล้วก็ให้ความรู้สึกเหมือนชายหนุ่มไอดอลชายในโลกเดิมของเขาอย่างนั้น"คนทางซ้ายมือคือศิษย์พี่สามซุนหลิง เชี่ยวชาญในเรื่องเวทย์รักษาเป็นอย่างมาก หากไม่นับท่านอาจารย์ เจ้าสามารถปรึกษานี้ศิษย์พี่สามในเรื่องนี้เป็นคนเเรก ๆ ได้ทุกเมื่อ..." ชายหนุ่มที่ถูกแนะนำนั้นได้ยกมือทักทายกับหนิงอ้ายเล็กน้อยพร้อมกับสังเกตเด็กหนุ่มตรงหน้าตนนี้ด้วยความสนใจ"คนทางขวามือคือศิษย์พี่รอง นามว่าศิษย์พี่เกาเจิน แม้การแต่งกายภายนอกจะดูแปลกประหลาดไปบ้าง เเต่ศิษย์พี่รองเชี่ยวชาญในเรื่องศาสตร์แห่งการต่อสู้เป็นอย่างมาก สามารถนำมาพลิกเเพลงกับการใช้โอสถและสมุนไพรในการต่อสู้ หากเจ้าต้องการวิถีแนวคิดผสมผสาน ข้าแนะนำเป็นศิษย์พี่รองท่านนี้..." ชายหนุ่มที่ถูกกล่าวหาว่าแต่งกายประหลาดนั้นไม่ได้รู้สึกอันใดกับถ้อยคำนี้ทั้งสิ้น หนำซ

    Terakhir Diperbarui : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่82 ก้าวหน้า

    ใช้เวลาเพียงไม่นานนักหนิงอ้ายมาก็ถึงเรือนพักของตนเสียที เด็กหนุ่มตั้งใจเอาไว้ว่าหลังจากที่อาบน้ำจัดการธุระส่วนตัวเสร็จเเล้วตนจะนั่งดูดซับปราณฟ้าดินพร้อมกับใช้ทรัพยากรบ่มเพาะที่ได้รับมาจากอาคารส่วนกลางของตำหนักวันก่อน เขายังไม่รู้ว่าได้รับสิ่งใดมาบ้างและมีจำนวนมากน้อยเท่าใดกัน ด้วยเพราะว่าหนิงอ้ายยังไม่มีเวลาตรวจสอบเเหวนมิติที่ตนได้รับมาในก่อนหน้านี้นั่นเอง"หินปราณระดับกลางยี่สิบก้อน หินปราณระดับสูงสิบก้อนและหากเริ่มหลอมสร้างโอสถแล้วสามารถเบิกสมุนไพรต่าง ๆ ได้เช่นกันเดือนละสิบชุดอย่างนั้นรึ??" ตรวจดูเเล้วพบว่าตนได้สิ่งใดมาบ้างที่ได้รับมา หนิงอ้ายคิดว่าทางตำหนักได้ลงเดิมพันกับการบ่มเพาะศิษย์ในสังกัดของตนค่อนข้างที่จะสูงมากดูได้จากทรัพยากรบ่มเพาะในเเต่ละเดือนที่ศิษย์เเต่ละคนในตำหนักแห่งนี้ได้รับถือว่ามีมูลค่าที่สูงมากไม่น้อย ในโลกภายนอกถึงแม้ว่าหินปราณเหล่านี้อาจจะไม่ใช่สิ่งที่หายากก็จริงเเต่ทว่าหินปราณระดับกลางขึ้นไปจนถึงระดับสูงก็มีราคาสูงมากและมักจะพบเจอตามโรงประมูลเพียงเท่านั้นแน่นอนว่าผู้ฝึกตนทุกคนสามารถดูดซับหินปราณในระดับต่าง ๆ เหล่านี้เพื่อเพิ่มในความเเข็งแกร่งของพลังวิญญาณของ

    Terakhir Diperbarui : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่83 หลอมสร้างปรุงโอสถ

    หน้าที่หลักในทุกเช้าของหนิงอ้ายคือการรดน้ำ ดูเเลเเปลงสมุนไพรที่อยู่ติดกับเรือนพัก หลังจากที่ได้จัดการหน้าที่และธุระส่วนตัวทุกอย่างเสร็จสิ้นเเล้ว เด็กหนุ่มจึงเข้าไปในครัวเพื่อทำอาหารในเช้านี้ ตั้งใจว่าหากไม่มีเหตุจำเป็นอื่นเขาจะไม่ลงไปรับอาหารที่โรงครัวของทางสำนักเเล้วด้วยเพราะไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนและหลีกหนีความวุ่นวายอื่นที่อาจจะตามมาภายหลังไม่รู้ว่าลู่ซีและสหายคนอื่น ๆ จะเป็นอย่างไรบ้าง พวกเขาที่อยู่คนละตำหนัก ช่วงเเรกนี้จะเป็นการปรับพื้นฐานก่อนที่จะเรียนรู้ศาสตร์ในขั้นอื่นต่อไป ตอนนี้กลุ่มสหายของหนิงอ้ายจึงเขียนจดหมายเวทย์เพื่อถามไถ่กันเพียงเท่านั้น มีนัดหมายพบเจอกันในอีกสองวันข้างหน้าเนื่องจากเป็นวันที่ทุกตำหนักในสำนักศึกษานั้นกำหนดให้หยุดพักผ่อนนั่นเองกลิ่นหอมของข้าวผัดทรงเครื่องลอยฟุ้งไปทั่วทั้งเรือนพักหลังนี้ อีกทั้งหนิงอ้ายยังได้ทำซุปเยื่อไผ่เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเมนูเพื่อที่ตนนั้นจะได้มีน้ำซุปร้อน ๆ ไว้ซดรับกับอากาศที่หนาวเย็นสบายของเช้าวันนี้ แม้ว่าอาหารจากโรงครัวจะมีรสชาติไม่ได้แย่ก็จริงเเต่อย่างไรก็ตามเขาก็ชินรสมือของตนเสียมากกว่า ดังนั้นหนิงอ้ายจึงตั้งใจว่าหลังจากนี้

    Terakhir Diperbarui : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่84 พบเจอสหาย

    ตลอดสองวันมานี้หนิงอ้ายได้รับเคล็ดลับมากมายเกี่ยวกับการหลอมสร้างโอสถจากเหล่าศิษย์พี่ เพราะเหวินหวู่ได้ให้คำแนะนำกับเด็กหนุ่มเพิ่มเติม ว่าในการหลอมสร้างโอสถนอกจากการที่ต้องฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอจนชำนาญเเล้ว การที่ได้เห็นวิถีหลอมสร้างของนักปรุงโอสถเเต่ละคนก็ช่วยในเรื่องนี้เช่นกันความแตกต่างและเอกลักษณ์เฉพาะเหล่านี้สามารถที่จะนำมาปรับใช้ให้เข้ากับวิถีหลอมสร้างของตนเองได้ ในยุทภพเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดไปเท่าไหร่นัก หากว่านักปรุงโอสถที่มีอาจารย์สั่งสอนคนเดียวกัน เเต่ละสำนักจะมีวิถีหลอมสร้างที่ใกล้เคียงกันเพราะอย่างไรก็ตามหลังจากผ่านพ้นเป็นนักปรุงโอสถระดับสี่ การจะเป็นนักปรุงโอสถระดับห้าอย่างเต็มตัวจำเป็นจะต้องคิดค้นและมีวิถีหลอมสร้างเป็นของตัวเองหากไม่เช่นนั้นก็จะติดอยู่ในขั้นของนักปรุงโอสถระดับสี่เพียงเท่านั้นทางฝั่งของหนิงอ้ายเองที่ใช้เวลายามว่างในช่วงบ่ายหลังจากที่ช่วงเช้าที่เด็กหนุ่มรับหน้าที่ทำอาหารเช้าและดูเเลสวนสมุนไพรให้กับอาจารย์ของตน เหวินหวู่ได้มีการสอนทักษะเพิ่มเติมอันเป็นวิถีหลอมสร้างเฉพาะให้กับเด็กหนุ่มอย่างไม่หวงแหน ด้วยเพราะตำแหน่งศิษย์ผู้สืบทอดตำหนักที่เด็กหนุ่มถื

    Terakhir Diperbarui : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่85 เรื่องราวที่เกิดขึ้น

    เวลาได้ผ่านไปอย่างรวดเร็วจนมาถึงในยามเว่ยแล้ว กลุ่มของหนิงอ้ายยังคงพากันพูดคุยเเลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่พวกเขาทุกคนพบเจอหลังจากได้เริ่มศึกษาไปในช่วงสี่ถึงห้าวันที่ผ่านมา บางเรื่องจะเป็นสิ่งที่พวกเขาพอรับรู้มาบ้างก่อนหน้าจึงสามารถปรับตัวกันได้อย่างง่ายดาย แต่ละตำหนักล้วนต่างมีแนวทางในการบ่มเพาะศิษย์ของตนที่แตกต่างกันออกไปทั้งสิ้นสำหรับตำหนักศาสตร์เเห่งการต่อสู้ เรียกได้ว่าการเเข่งขันภายในค่อนข้างที่จะสูงมาก บรรดาศิษย์ชายหญิงทุกคนล้วนต้องทำตัวเองให้เเข็งแกร่งต้องเตรียมความพร้อมอยู่เสมอเพราะว่าในทุกเจ็ดวันจะมีการประลองทั้งเชิงเวทย์และเชิงยุทธ์ขึ้นในตำหนัก จุดประสงค์หลักก็เพื่อให้ศิษย์เหล่านี้ตื่นตัวพร้อมกับพัฒนาตัวเองอยู่เสมอด้วยแนวคิดที่ว่าผู้ที่เเข็งแกร่งเท่านั้นที่จะเป็นผู้อยู่รอดแม้จะดูโหดร้ายเเต่นั่นก็เป็นความจริงของยุทธภพที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ การประลองเหล่านี้มีจุดหมายแฝงอยู่นั่นคือเพื่อค้นหาสุดยอดรุ่นเยาว์มากพรสวรรค์ในการเข้าร่วมสังกัดหน่วยต่าง ๆ ที่อาจเป็นกองกำลังสำคัญในอนาคตของทางสำนักได้ หนิงอ้ายแม้จะเป็นห่วงสหายของตนอยู่บ้าง เเต่เมื่อได้ยินว่าสหายของเขาทั้งอี้หลิน จินหั่ว หลี

    Terakhir Diperbarui : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่86 นักปรุงโอสถฝึกหัด

    หลังจากที่เขาได้เเยกย้ายกับเหล่าสหายของตนที่อยู่คนละตำหนัก ศิษย์พี่จางลี่ได้ฝากฝังให้ศิษย์พี่ตงหยางเดินไปส่งตนที่หน้าตำหนักเหมือนครั้งเเรกที่ได้เจอกันตรงที่ตลาด ทว่าศิษย์พี่ใหญ่โจวเซินได้ผ่านมาทางนั้นพอดีจึงอาสาเดินกลับตำหนักไปพร้อมกับตน ถึงหนิงอ้ายจะสามารถเเยกแยะได้ว่าชายหนุ่มผู้เป็นศิษย์พี่นั้นเพียงเเค่มีใบหน้าเหมือนกับเเทนไทและไม่ใช่คนเดียวกันอย่างแน่นอนหนิงอ้ายกลับมีความรู้สึกบางอย่างที่ว่าไม่ควรอยู่ใกล้กับคนนี้จะเป็นการดีที่สุด อาจจะดูเสียมารยาทไปบ้างกับศิษย์พี่โจวเซินผู้เป็นถึงศิษย์พี่ใหญ่ในตำหนักของตนก็จริง ทว่าหนิงอ้ายยังมีความรู้สึกบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ สายตาที่อีกฝ่ายมองมาชวนให้เขารู้สึกอึดอัดใจไปไม่น้อยเช่นกัน เพื่อหลีกหนีความวุ่นวายจากชายหนุ่มทั้งสองคนหนิงอ้ายจึงเลือกที่จะเดินกลับตำหนักของตนในทันทีอย่างไม่รั้งรอโดยที่ไม่ต้องให้ผู้ใดต้องมาคอยรับส่งตนทั้งสิ้นวิหคสอดแนมของหนิงอ้ายก็ได้ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม หนิงอ้ายได้รับรู้ทุกสิ่งที่ศิษย์พี่ท่านนี้ทำเป็นประจำทุกวัน ถึงแม้ว่าในตอนนี้จะยังไม่เจอความผิดปกติก็จริง เเต่ถึงอย่างไรหนิงอ้ายยังคงสั่งให้วิหคสอดแน

    Terakhir Diperbarui : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่87 โอสถห้ามเลือด

    โอสถห้ามเลือดเป็นโอสถเเรกที่หนิงอ้ายได้ปรุงออกมาได้สำเร็จ การหลอมสร้างปรุงโอสถระดับสองวันนี้เหวินหวู่จึงให้เด็กหนุ่มได้เริ่มจากโอสถนี้อีกครั้ง สำหรับสูตรโอสถห้ามเลือดระดับสองนี้ที่ได้รับมาจากอาจารย์ของตนหนิงอ้ายเห็นว่านอกจากจะมีสมุนไพรตั้งต้นจากสูตรโอสถระดับหนึ่ง นอกจากนี้ยังได้มีการเพิ่มสมุนไพรขึ้นมาอีกหลายชนิดเช่นกันที่ล้วนเเต่มีฤทธิ์ส่งเสริมสมุนไพรก่อนหน้าทั้งสิ้น เมื่อเด็กหนุ่มได้จัดเตรียมสมุนไพรครบถ้วนตามสูตรโอสถในมือของตนแล้วจึงไม่รอช้าที่จะลงมือในทันทีหนิงอายตั้งสมาธิให้มั่นคงพร้อมกับเรียกญาณสัมผัสของตนออกมาคลอบคลุมไปทั้งทั้งเตาโอสถตรงหน้านี้ มือเรียวบางได้ตวัดเอาสมุนไพรตามสูตรโอสถลงไปในเตาหลอมก่อนที่จะเรียกวิญญาณยุทธ์ธาตุไฟของตนออกมาอย่างระมัดระวัง ความล้ำค่าของสมุนไพรตามสูตรโอสถระดับสองนี้ที่บางชนิดก็มีอายุถึงร้อยปี ดังนั้นการหลอมสร้างปรุงโอสถในครั้งนี้หนิงอ้ายจึงระวังตั้งใจเป็นอย่างมากเพราะต้องการใช้สมุนไพรเหล่านี้ให้คุ้มค่ามากที่สุดปราณธาตุไฟที่เกิดจากวิญญาณยุทธ์ของหนิงอ้ายได้ล้อมรอบเตาโอสถซึ่งเด็กหนุ่มพยายามบังคับเปลวเพลิงนี้ให้มีความสมดุลไม่เบาไม่หนักจนเกินไปเพื่อที่จะไ

    Terakhir Diperbarui : 2025-03-06

Bab terbaru

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   ( -จบเล่ม ปฐมบท 3.2- ) บทที่ 174 ความวุ่นวายที่สิ้นสุดลง

    ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 173 สมบัติเทพมารจุติ

    ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 172 การปรากฎตัวของผู้ขายวิญญาณ

    คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 171 ผู้ท้าทายที่กล้าหาญ

    การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 170 กฎเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

    หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 169 ผู้ผ่านการทดสอบ

    ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 168 เดินทางกลับสำนักศึกษา

    มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 167 การเลื่อนระดับที่เหนือล้ำ

    ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 166 ความร่วมมือ

    ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย

Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status