ด้วยเพราะปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เป็นอย่างมากที่ไหลเวียนอยู่โดยรอบจึงส่งผลให้บรรยากาศภายในตำหนักเต็มไปด้วยกลิ่นอายของชีวิตที่ประสานเข้ากับความเงียบสงบได้อย่างลงตัว อีกทั้งเรือนพักเเต่ละหลังรวมไปถึงอาคารและสิ่งก่อสร้างในตำหนักนั้นต่างมีพื้นที่เป็นส่วนตัวกันอย่างมาก ถึงแม้ว่าจะมีคนรับใช้ชายหญิงที่คอยดูเเลจัดการความสะอาดเรียบร้อย
หรือหากพูดไปตามความจริงแล้วกลุ่มคนเหล่านี้ต่างมีทั้งคนธรรมดาทั่วไปรวมไปถึงผู้ฝึกตนที่มีระดับพลังวิญญาณไม่สูงมากที่เต็มใจรับจ้างทำงานเหล่านี้จากทางสำนักศึกษา
นอกจากผลตอบเเทนที่ได้รับจะเป็นเงินทองเบี้ยหวัดรายเดือนตามสมควรที่ตกลงเอาไว้ตามข้อสัญญาจ้างงาน หากมีทั้งความขยันและซื่อสัตย์ที่น่าชื่นชมบางคนนั้นถึงกับได้รับโชควาสนาเป็นผู้รับใช้ส่วนตัวของผู้อาวุโสระดับต่าง ๆ ในสำนักเลยก็มีให้เห็นไม่น้อย
ผลตอบเเทนที่ได้รับนอกจากที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้วบางคนถึงกับได้รับสิ่งตอบเเทนอื่นที่ไม่ว่าจะเป็นโอสถ อาวุธวิเศษหรือแม้กระทั่งหากผู้นั้นมีพรสวรรค์ที่เข้าตาเเล้วละก็ คนเหล่านั้นอาจจะได้รับการส่งเสริมในเรื่องของการบ่มเพาะพลังวิญญาณให้เพิ่มสูงขึ้นหรือแม้กระทั่งอาจได้เป็นคนสนิทข้างกายของผู้อาวุโสเหล่านั้นก็มีให้พบเห็นเช่นกัน
ความเป็นจริงแล้วทางสำนักศึกษารวมไปถึงตำหนักทั้งสี่ที่อยู่ภายใต้สังกัดนั้นต่างมีกฎเกณฑ์ปฏิบัติเช่นเดียวกันที่ไม่ได้เข้มงวดมากมายสักเท่าไหร่นัก เเต่ถึงอย่างไรก็ตามสิทธิพิเศษของศิษย์สายในและศิษย์สายนอกก็มีความแตกต่างกันให้เห็นอยู่บ้าง เช่นศิษย์สายนอกจะไม่ได้รับอนุญาติให้เข้าไปในพื้นที่ของสำนักศึกษาฝ่ายในไม่ว่าจะกรณีใดใดทั้งสิ้น
เเต่ในทางกลับกันทางฝั่งของศิษย์สายในนั้น สามารถไปได้ทุกพื้นที่ในสำนักแห่งนี้เพียงเเต่ว่าจะต้องใช้ป้ายหยกประจำตัวในการยืนยันตัวตนและบันทึกไว้เป็นประวัติให้รับรู้
ทางด้านการส่งเสริมในด้านต่าง ๆ นั้นศิษย์สายในย่อมได้รับทรัพยากรบ่มเพาะที่ล้ำค่ามากกว่าศิษย์ฝ่ายนอกอย่างเห็นได้ชัด ขึ้นชื่อว่าศิษย์สายในเเล้วบุคคลเหล่านี้ต่างเป็นผู้ที่มากไปด้วยคุณสมบัติและพรสวรรค์ที่ควรค่าแก่การส่งเสริมอย่างเเท้จริงเเต่ถึงอย่างไรนั้นไม่ว่าจะเป็นโอสถ ตำรา เคล็ดวิชาระดับสูงหรือแม้กระทั่งอาวุธวิเศษหากต้องการเข้าถึงทรัพยากรเหล่านี้ก็ยังคงต้องใช้แต้มคะแนนเเลกมาเช่นกัน แต้มคะเเนนเหล่านี้ก็สามารถโอนถ่ายให้กันได้
เห็นจากกลุ่มของเฉินหลานที่มักจะกลั่นแกล้งเหล่าบรรดาศิษย์ใหม่อีกทั้งยังบังคับให้อีกฝ่ายนั้นโอนคะเเนนให้กับตนและเหล่าสมุน การที่สำนักเองไม่ได้กวดขันในเรื่องนี้มากนัก อาจเป็นด้วยเพราะโลกเเห่งผู้ฝึกตนนั้นเส้นทางหาได้เรียบง่ายราวกับถูกปูพื้นด้วยดอกกุหลาบ ความเป็นจริงเเล้วผู้ที่เเข็งแกร่งเท่านั้นที่จะเอาตัวรอดได้
อาจฟังดูโหดร้ายและดูไม่ยุติธรรมไปบ้างเเต่อย่างไรก็มีข้อห้ามที่ชัดเจนในเรื่องนี้อย่างเช่นกันว่าการได้มาซึ่งแต้มคะเเนนนั้นเจ้าของจะต้องเป็นฝ่ายโอนแต้มคะแนนด้วยตนเองผู้อื่นไม่สามารถขโมยและลักลอบถ่ายโอนได้ จะเห็นว่าด้วยข้อกำหนดกว้าง ๆ เช่นนี้จึงมีผู้ที่อาศัยช่องโหว่อยู่ไม่น้อยบางทีถึงขั้นท้าประลองกันในลานยุทธ์ ผู้ชนะย่อมได้แต้มคะแนนของผู้แพ้
เเต่ก็มีกฎเหล็กเช่นกันที่ว่าคู่ท้าประลองทั้งสองคนไม่สามารถลงมือทำร้ายกันจนถึงแก่ชีวิตหรืออาจส่งผลเสียต่อรากฐานบ่มเพาะ ไม่เช่นนั้นผู้กระทำต้องได้รับโทษคืนเช่นเดียวกันที่กระทำกับอีกฝ่ายเเบบตาต่อตาฟันต่อฟัน
นอกจากนั้นเเล้วอาจจะถูกไล่ออกจากสำนักศึกษาในกรณีที่ร้ายแรงที่สุดมากไปกว่านั้นแล้วสิ่งที่ศิษย์ทุกคนในสำนักศึกษาต้องรู้และยอมรับนั่นคือ หากศิษย์สายนอกคนใดที่ไม่อาจมีรากฐานบ่มเพาะพลังวิญญาณถึงระดับราชันวิญญาณขั้นสามัญได้ก่อนอายุครบสามสิบปี ศิษย์เหล่านี้จะไม่ได้เป็นศิษย์สายนอกของสำนักศึกษาต่อไปและจำเป็นต้องออกจากสำนักศึกษาเเห่งนี้
ด้วยเพราะว่าทรัพยากรบ่มเพาะของทางสำนักศึกษาแม้จะมีมากมายมหาศาลเเต่ก็ต้องกล่าวตามจริงว่าทางสำนักนั้นย่อมทุ่มเทให้กับผู้ที่มีพรสวรรค์มากเพียงพอและไม่สามารถนำทรัพยากรเหล่านั้นมาส่งเสริมกับศิษย์ที่เกียจคร้านไม่ขยันฝึกตนได้ แม้จะฟังดูโหดร้ายเเต่นั่นก็เป็นสิ่งที่สามารถคัดสรรสุดยอดผู้ฝึกตนที่ทางสำนักศึกษาได้ขึ้นมาบ่มเพาะเพื่อเป็นกำลังกับทางสำนักในวันข้างหน้า
การที่จะผ่านการทดสอบเข้าเป็นศิษย์สายนอกของทางสำนักนับว่ายากเเล้ว เเต่การฝึกฝนและพัฒนาตนให้ผ่านเงื่อนไขดังกล่าวนี้นับได้ว่าเป็นการลงแรงที่คุ้มค่ามากเลยทีเดียว
สำหรับกลุ่มคนเหล่านี้ถึงแม้จะไม่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นศิษย์สายนอกเเล้วด้วยเพราะไม่สามารถเลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกตนระดับราชันวิญญาณขั้นต้นได้ก็จริง เเต่ว่าพวกเขายังสามารถที่จะเลือกทำงานในด้านอื่นให้กับทางสำนักศึกษาเพื่อเเลกกับทรัพยากรบ่มเพาะก็ได้เช่นกัน
ด้วยเพราะปกติหากอยู่ในสถานะของศิษย์ในสำนักไม่ว่าจะเป็นศิษย์สายในหรือศิษย์สายนอกนั้น ปกติในทุก ๆ เดือนศิษย์ทุกคนต่างได้รับสวัสดิการทรัพยากรบ่มเพาะเหล่านี้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง เเต่เมื่อตัวคนเหล่านี้ได้พ้นจากสถานะศิษย์สายนอกไปแล้ว
หากยังต้องการทรัพยากรสำหรับการเลือนระดับฝึกตนเเล้วพวกเขาต่างสามารถรับทำงานในสำนัก ไม่ว่าจะเป็นทั้งงานในโรงครัว,งานออกล่าหาทรัพยากรบ่มเพาะกับหน่วยสินทรัพย์,งานเฝ้าดูเเลความปลอดภัยในส่วนต่าง ๆ งานในอาคารส่วนต่าง ๆ หรือแม้กระทั่งการดูเเลเรือนพักอาศัยเเต่ละหลัง จะได้รับมาซึ่งแต้มคะเเนนเช่นกันแล้วเมื่อสะสมได้มากพอก็สามารถเเลกเปลี่ยนกับโอสถหรือตำรารวมไปถึงอาวุธวิเศษที่ต้องการได้
กลุ่มคนเหล่านี้ในวันข้างหน้าสามารถเลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกตนระดับราชันวิญญาณได้ พวกเขาต่างสามารถเลือกได้ว่าตนนั้นจะรับทำภารกิจเช่นเดิมหรือจะทำงานให้กับสำนักในส่วนอื่นในฐานะของผู้อาวุโสฝ่ายนอกนั่นเอง อย่างไรก็ตามการที่พวกเขามีชื่อเรียกขานต่อท้ายด้วยสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์นั้น ไม่ว่าจะเป็นชาวบ้านคนธรรมดาทั่วไปหรือแม้กระทั่งผู้ฝึกตนด้วยกันเอง ยังต้องไว้หน้าอยู่หลายส่วนด้วยเพราะบารมีจากทางสำนักที่คอยหนุนหลังอยู่นั่นเอง...
เช้าวันรุ่งขึ้นหนิงอ้ายตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกตื่นตัวเป็นอย่างมาก เด็กหนุ่มบิดตัวไล่ความขี้เกียจเล็กน้อย ก่อนที่จะตั้งสติได้แล้วจึงลุกขึ้นจากเตียงเก็บข้าวของให้เรียบร้อยอย่างแผ่วเบาเพื่อไม่ให้รบกวนเจ้าตัวน้อยที่กำลังขดตัวนอนอยู่ จากนั้นจึงตรงไปอาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย โดยที่ห้องอาบน้ำด้านหลังนั้นมีน้ำอยู่เต็มถังด้วยเพราะเขาใช้ปราณธาตุน้ำของตนในการเติมเต็ม
เวลาได้ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม หนิงอ้าบในตอนนี้ได้สวมชุดของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาพร้อมกับห้อยป้ายหยกประจำตัวของตน จากนั้นจึงใช้เวลาสำรวจตนเองอีกเล็กน้อยก่อนที่พยักหน้าชื่นชมตัวเองด้วยความพึงพอใจ จากนั้นเด็กหนุ่มจึงทำการส่งจดหมายเวทย์ที่ตนได้เขียนในช่วงกลางคืนที่ผ่านมานั้นและทำการส่งกลับไปยังตระกูลหวังของตน
"ต้าเฮยเมื่อคืนเจ้าสัมผัสสิ่งใดได้หรือไม่?" หนิงอ้ายเอ่ยถามเจ้าตัวน้อยที่ในตอนนี้ได้ชูคอออกจากผ้าห่มด้วยท่าทางสงสัยพร้อมกับเอียงคอไปมาดูน่ารักเป็นอย่างมากในสายตาของเขา ก่อนที่เจ้าตัวน้อยจะหยุดนิ่งไปสักครู่ก่อนที่ส่ายหัวไปมาราวกับว่าไม่รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้น
เห็นท่าทางเช่นนั้นหนิงอ้ายรู้สึกเเปลกใจอยู่ไม่น้อย ด้วยเพราะโดยปกตินั้นญาณสัมผัสของต้าเฮยนับว่าลึกล้ำเฉียบคมมากกว่าเขาเป็นอย่างมาก อาจด้วยเพราะอีกฝ่ายเป็นสัตว์อสูรระดับสูงจึงมีความสามารถเช่นนี้ได้ เเต่การที่อีกฝ่ายไม่สามารถล่วงรู้ถึงการมาถึงท่านเฟยหลงนั้น เเสดงว่าอีกฝ่ายคงมีของวิเศษพิศดารที่กดข่มญาณสัมผัสของสัตว์อสูรก็เป็นไปได้
"วันนี้ข้าไปอาคารส่วนกลาง ตั้งใจว่าจะไปหาตำราไว้สำหรับศึกษาเพิ่มเจ้าจักไปด้วยกันหรือไม่?" หนิงอ้ายถามอีกฝ่ายไปอีกครั้ง คำตอบที่ต้าเฮยส่งกระเเสจิตมานั่นคืออีกฝ่ายจะขอไปสำรวจพื้นที่โดยรอบนี้ซึ่งเด็กหนุ่มได้กำชับอย่างเคร่งครัดเเล้วว่าห้ามไปเกินรัศมีของเรือนนี้ ซึ่งอีกฝ่ายก็รับคำด้วยความเต็มใจ
สำหรับเจียวซิ่นนั้นเมื่อคืนนี้ที่หนิงอ้ายเข้าไปในห้วงมิติจิตของตนก็พบว่าอีกฝ่ายยังอยู่ในช่วงเลื่อนระดับ จากที่ก่อนหน้านี้ที่ได้ร่างไร้วิญญาณนักฆ่าระดับสูงพวกนั้น หนิงอ้ายคาดเดาเอาไว้ว่าหากอีกฝ่ายเลื่อนระดับสำเร็จคงระบุถึงขั้นเป็นสัตว์อสูรมายาขั้นสูงอย่างแน่นอน...
หลังจากที่มื้อเช้านี้หนิงอ้ายเลือกที่จะทำโจ้กข้าวหมูสับใส่ไข่ลวกทานง่ายๆ รองท้อง หลังจากนั้นเด็กหนุ่มจึงเดินไปยังอาคารส่วนกลางของตำหนักในทันทีเพื่อศึกษาตำราเพิ่มเติม จริงอยู่ที่ว่าท่านอาจารย์เหวินหวู่ได้ให้เวลาเขาพักผ่อนมากถึงสามวันจึงจะเริ่มเรียนรู้ตำราต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
เเต่ถึงอย่างไรเขานั้นก็คิดว่าถึงแม้หนิงอ้ายคนเก่าจะชื่นชอบศึกษาตำราเกี่ยวกับสมุนไพรหรือโอสถต่างๆ ก็จริง เเต่อย่างไรนั้นสิ่งเหล่านี้ยิ่งศึกษายิ่งเรียนรู้เพิ่มเติมก็ไม่ได้เสียหาย ดังนั้นช่วงเวลาหลังจากนี้ตนจะต้องศึกษาหาความรู้ให้ได้มากที่สุด
ใช้เวลาเพียงไม่กี่เค่อเด็กหนุ่มก็มาถึงอาคารส่วนกลางของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาเเล้วที่ด้านหน้านั้นมีผู้คุ้มกันระดับเทวะขั้นสองสองถึงสามคนที่ยืนประจำการอยู่ แน่นอนว่ายังมีอีกจำนวนมากที่แฝงเร้นคอยเฝ้าระวังอยู่โดยรอบอาคารสำคัญเเห่งนี้เเต่นั่นก็ไม่อาจลอดพ้นสายตาและการรับรู้ของวิหคสอดแนมที่ส่งภาพกลุ่มคนเหล่านี้ให้หนิงอ้ายได้รับรู้ตั้งเเต่ทีเเรก
"หนิงอ้ายคำนับผู้อาวุโสขอรับ..." เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นพร้อมกับยกมือประสานคำนับ
เนื่องจากว่าผู้อาวุโสชราท่านนี้ที่นั่งประจำการอยู่ตรงโตะด้านหน้าซึ่งเนตรเเห่งสวรรค์ก็ส่งข้อมูลให้ตนได้รับรู้ว่าเป็นใคร เเต่ถึงอย่างไรนั้นหนิงอ้ายก็พอที่จะคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายน่าจะเป็นหนึ่งในสองผู้อาวุโสที่คอยนั่งประจำการอยู่ในอาคารนี้
"เจ้าชื่อว่าหนิงอ้ายกระมัง ได้เห็นตัวจริงเจ้านับว่าตาเฒ่าเหวินหวู่นั้นสายตาแหลมคมเสียจริง...." ผู้อาวุโสชราเอ่ยขึ้นหลังจากพินิจเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าตน
"ผู้อาวุโสกล่าวชมเกินไปแล้ว ข้าน้อยเป็นเพียงเด็กคนหนึ่งที่ท่านอาจารย์เอ็นดูก็เพียงเท่านั้นเองขอรับ''
"ฮ่าฮ่าฮ่า ช่างถ่อมตัวเสียจริง คืนที่ผ่านมามีสิ่งใดขาดตกบกพร่องหรือไม่?" "ไม่เลยขอรับศิษย์พี่ไป๋ได้เตรียมทุกอย่างให้ข้าเเล้ว""เจ้าเรียกข้าว่าเหล่าจางก็ได้ ข้าเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสที่ประจำการอยู่ในอาคารหลังนี้ร่วมกับตาเฒ่าซุนนั่นแหละ..." ชายชราหรือผู้อาวุโสจางเอ่ยขึ้นอีกครั้งพร้อมกับแนะนำตัวให้เด็กหนุ่มได้รู้จักอย่างเป็นทางการ
"ข้าหนิงอ้ายขอฝากตัวกับเหล่าจาง หากมีสิ่งใดต้องการไหว้วานใช้งานข้าท่านสามารถแจ้งได้ทุกเมื่อนะขอรับ..." หนิงอ้ายตอบกลับอีกฝ่ายไปก่อนที่จะเอ่ยขอตัวแยกจากไปตรงบันไดที่จะพาไปชั้นสองซึ่งก็คือชั้นตำราต่าง ๆ
"ตำหนักของเราขาดตำแหน่งผู้สืบทอดมาหลายปี หลังจากนี้คงต้องฝากความหวังไว้กับเจ้าเเล้ว" ผู้อาวุโสจางเอ่ยขึ้นตามหลังเด็กหนุ่มไป คล้ายกับว่ากำลังคุยกับตนเองเสียอย่างนั้น
ชั้นที่สองนี้ความจริงแล้วจะเเบ่งออกเป็นหลายส่วนสำหรับระดับของตำราที่จะมีผู้คุ้มกันคอยตรวจตราอยู่อย่างเคร่งครัด เเต่ด้วยฐานะศิษย์ผู้สืบทอดของตำหนักนั้นข้อจำกัดเหล่านี้จึงไม่สามารถหยุดกั้นอีกฝ่ายได้ ตำราต่าง ๆ ในชั้นที่สองนี้จะมีตั้งเเต่ระดับต่ำไปจนถึงระดับสูง จะปรากฎให้รับทราบเพียงชื่อตำราหรือข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หากต้องการศึกษาตำราเล่มใดต้องนำตำราเหล่านี้ยื่นให้ผู้อาวุโสด้านล่างตรวจสอบและปลดผนึกตำราเล่มนั้นๆ เสียก่อน
ตำราทั่วไปจนถึงระดับกลางนั้นสามารถหยิบยืมศิษย์ในตำหนักทุกคนสามารถนำไปอ่านที่เรือนพักของตนได้แล้วจากนั้นค่อยนำมาคืนทีหลัง เเต่หากเป็นตำราระดับสูงเเล้วไม่ว่าจะเป็นศิษย์คนใดก็ตาม หลังจากที่ให้ผู้อาวุโสทั้งสองคนทำการปลดผนึกเเล้ว พวกเขาจำเป็นต้องนั่งศึกษาอยู่ในอาคารส่วนกลางนี้เท่านั้น แนอนว่าตำราทุกเล่มล้วนไม่สามารถจดคัดลอกได้ เนื่องจากมีเวทย์กำกับอยู่นั่นเอง
พอก้าวข้ามผ่านชั้นตำราต่าง ๆ ที่อยู่ด้านนอกเเล้ว ก็จะพบกับส่วนถัดไปที่เต็มไปด้วยตำราต่าง ๆ และเคล็ดวิชาเฉพาะ เเบ่งออกเป็นหมวดหมู่ที่ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยเป็นอย่างมาก บริเวณส่วนด้านในสุดนั้นก็ได้มีโตะไม้พร้อมเก้าอี้สำหรับนั่งอ่านตำราเหล่านี้ ซึ่งเมื่อมองไปนั้นได้เห็นว่ามีบุรุษคนหนึ่งนั่งหันหลังอยู่ ไม่ทันให้หนิงอ้ายต้องตรวจสอบอะไรก็มีเสียงดังขึ้นของอีกฝ่าย
"ศิษย์น้องหนิงอ้ายช่างมีใจตรงกับข้ายิ่ง ดูท่าเเล้วสวรรค์คงลิขิตให้เราคู่กันเป็นแน่..." เสียงของชายหนุ่มดังขึ้นด้วยน้ำเสียงที่คุ้นหูไม่น้อยพร้อมกับถ้อยคำหยอกล้อที่หวานเลี่ยนนั่น
ต่อให้ไม่ต้องใช้เนตรเเห่งสวรรค์หรือวิหคสอดแนมหนิงอ้ายก็รับรู้ด้วยตนเองว่าอีกฝ่ายนั้นเป็นใคร…
"ดูท่าเเล้วข้าคงดวงตกเป็นแน่ถึงได้พบเจอกันเเต่เช้าเช่นนี้ ท่านเห็นด้วยหรือไม่ขอรับศิษย์พี่ตงหยาง??" หนิงอ้ายตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงรอดไรฟันอย่างอดกลั้น ทางฝั่งของชายหนุ่มผู้ที่ถูกทักว่าเป็นสิ่งที่ทำให้ร่างบางนั้นดวงตกถึงกับหัวเราะชอบใจออกมาอย่างอดใจไม่ได้....
"ศิษย์พี่ตงหยางมาทำอันใดที่อาคารส่วนกลางตำหนักของข้าตั้งเเต่เช้าเช่นนี้หรือขอรับ??" เห็นท่าทางที่ชวนหน้าหมั่นไส้ของชายหนุ่ม เเต่ด้วยความสงสัยที่มีมากกว่าหนิงอ้ายจึงเลือกที่จะมองข้ามและถามกลับอีกฝ่ายไปด้วยความอยากรู้"ท่านเจ้าสำนักไหว้วานให้มาเอาตำราเล่มหนึ่ง ฟังว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับภารกิจสำคัญในครั้งถัดไป แล้วเจ้าเล่าเหตุใดจึงมาเเต่เช้าเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าผู้อาวุโสเหวินหวู่ให้เจ้าพักผ่อนอย่างนั้นรึ??" เฟยหลงถามกลับหนิงอ้ายไปตามสิ่งที่ตนได้รับรู้มาก่อนหน้า"ข้าพึ่งเริ่มเข้าสู่วิถีฝึกตนเพียงไม่กี่ปีความรอบรู้นับว่ายังอ่อนด้อยยิ่งนัก ดังนั้นข้าจึงอยากจะใช้ทุกเวลาที่มีให้คุ้มค่ามากที่สุดขอรับ..." เด็กหนุ่มตอบกลับไปตามที่ตนคิด เพราะทุกอย่างในโลกนี้นับว่าค่อนข้างแปลกใหม่เป็นอย่างมาก ซึ่งเขานั้นยังต้องเรียนรู้ในอีกหลายสิ่งอย่าง"ศิษย์น้องหนิงอ้ายกล่าวได้ถูกต้องผู้ที่จะประสบความสำเร็จได้คนผู้นั้นต้องใช้ทุกสิ่งอย่างที่ตนมีให้คุ้มค่ามากที่สุด..." เสียงของชายหนุ่มอีกคนดังขึ้นทางด้านหลัง เรียกความสนใจของทั้งสองคนคนให้ละสายตาจากกัน"ไม่คิดว่าจะเจอเจ้าที่นี่เเต่เช้านะตงหยาง ภารกิจจากท่านเจ้าสำนักในครั
เช้าของวันรุ่งขึ้นหนิงอ้ายกำลังนั่งดูดซับปราณฟ้าดินเหมือนดังเช่นทุกวันที่ผ่านมา ด้วยญาณสัมผัสอันลึกล้ำจึงสัมผัสรู้สึกได้ถึงบางสิ่งอย่างที่กำลังก่อตัวขึ้นตรงบริเวณเหนือจุดตันเถียร จากประสบการณ์ที่ผ่านมาเเล้วหลายครั้งทำให้รู้ได้ทันทีว่านี่เป็นสัญญาณของการเลื่อนระดับพลังวิญญาณในขั้นถัดไปหนิงอ้ายจึงรีบหลับตาลงพร้อมกับเร่งโคจรวิถีลมปราณไปทั่วทั่งร่างกายของตนด้วยความรวดเร็วพริ้วไหวเเต่หนักเเน่นล้ำลึกไปตามความพิศดารของเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆา เพียงชั่วครู่เดียวแรงบีบอัดจากภายในได้สร้างความเจ็บปวดเกินจะคาดคิดเอาไว้ ร่างบางสั่นสะท้าน ใบหน้างามบิดเบี้ยวราวกับต้องการกดข่มทุกความรู้สึก หนิงอ้ายตั้งมั่นโคจรลมปราณต่อไปไม่ให้ขาดช่วงเพราะหากพลาดโอกาสในครั้งนี้ไปแล้วไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกมากน้อยเท่าใดจึงจะสามารถสัมผัสได้ถึงประตูเลื่อนขั้นเช่นนี้ได้อีกเมื่อไหร่ แม้สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้จะได้สร้างความทรมานต่อทั้งร่างกายจิตใจไปมากเพียงใดก็ตาม ถึงอย่างไรก็ตามหนิงอ้ายเองก็รู้ดีว่าหากเขาสามารถที่จะอดทนผ่านพ้นไปได้จนสำเร็จเเล้ว สิ่งที่ได้รับคืนมาหลังจากนี้ย่อมเป็นผลดีต่อตนเองทั้งสิ้น ดังนั้นเเล้วเขาต้องตัดผ
"ศิษย์พี่จะแนะนำให้เจ้าได้รู้จักกับศิษย์พี่ทั้งสามคนอย่างเป็นทางการอีกครั้ง..." ไป๋เหลียนฮวาเอ่ยขึ้นพร้อมกับผายมือแนะนำอย่างคล่องแคล่วตรงหน้าของหนิงอ้ายเป็นชายหนุ่มสามคนนั่งหลดหลั่นกัน ต่างมีหน้าตารูปงามหล่อเหลาเป็นอย่างมาก หากเทียบกันเเล้วก็ถือได้ว่าทั้งสามคนมีความแตกต่างเฉพาะเป็นของตัวเอง หากเทียบไปเเล้วก็ให้ความรู้สึกเหมือนชายหนุ่มไอดอลชายในโลกเดิมของเขาอย่างนั้น"คนทางซ้ายมือคือศิษย์พี่สามซุนหลิง เชี่ยวชาญในเรื่องเวทย์รักษาเป็นอย่างมาก หากไม่นับท่านอาจารย์ เจ้าสามารถปรึกษานี้ศิษย์พี่สามในเรื่องนี้เป็นคนเเรก ๆ ได้ทุกเมื่อ..." ชายหนุ่มที่ถูกแนะนำนั้นได้ยกมือทักทายกับหนิงอ้ายเล็กน้อยพร้อมกับสังเกตเด็กหนุ่มตรงหน้าตนนี้ด้วยความสนใจ"คนทางขวามือคือศิษย์พี่รอง นามว่าศิษย์พี่เกาเจิน แม้การแต่งกายภายนอกจะดูแปลกประหลาดไปบ้าง เเต่ศิษย์พี่รองเชี่ยวชาญในเรื่องศาสตร์แห่งการต่อสู้เป็นอย่างมาก สามารถนำมาพลิกเเพลงกับการใช้โอสถและสมุนไพรในการต่อสู้ หากเจ้าต้องการวิถีแนวคิดผสมผสาน ข้าแนะนำเป็นศิษย์พี่รองท่านนี้..." ชายหนุ่มที่ถูกกล่าวหาว่าแต่งกายประหลาดนั้นไม่ได้รู้สึกอันใดกับถ้อยคำนี้ทั้งสิ้น หนำซ
ใช้เวลาเพียงไม่นานนักหนิงอ้ายมาก็ถึงเรือนพักของตนเสียที เด็กหนุ่มตั้งใจเอาไว้ว่าหลังจากที่อาบน้ำจัดการธุระส่วนตัวเสร็จเเล้วตนจะนั่งดูดซับปราณฟ้าดินพร้อมกับใช้ทรัพยากรบ่มเพาะที่ได้รับมาจากอาคารส่วนกลางของตำหนักวันก่อน เขายังไม่รู้ว่าได้รับสิ่งใดมาบ้างและมีจำนวนมากน้อยเท่าใดกัน ด้วยเพราะว่าหนิงอ้ายยังไม่มีเวลาตรวจสอบเเหวนมิติที่ตนได้รับมาในก่อนหน้านี้นั่นเอง"หินปราณระดับกลางยี่สิบก้อน หินปราณระดับสูงสิบก้อนและหากเริ่มหลอมสร้างโอสถแล้วสามารถเบิกสมุนไพรต่าง ๆ ได้เช่นกันเดือนละสิบชุดอย่างนั้นรึ??" ตรวจดูเเล้วพบว่าตนได้สิ่งใดมาบ้างที่ได้รับมา หนิงอ้ายคิดว่าทางตำหนักได้ลงเดิมพันกับการบ่มเพาะศิษย์ในสังกัดของตนค่อนข้างที่จะสูงมากดูได้จากทรัพยากรบ่มเพาะในเเต่ละเดือนที่ศิษย์เเต่ละคนในตำหนักแห่งนี้ได้รับถือว่ามีมูลค่าที่สูงมากไม่น้อย ในโลกภายนอกถึงแม้ว่าหินปราณเหล่านี้อาจจะไม่ใช่สิ่งที่หายากก็จริงเเต่ทว่าหินปราณระดับกลางขึ้นไปจนถึงระดับสูงก็มีราคาสูงมากและมักจะพบเจอตามโรงประมูลเพียงเท่านั้นแน่นอนว่าผู้ฝึกตนทุกคนสามารถดูดซับหินปราณในระดับต่าง ๆ เหล่านี้เพื่อเพิ่มในความเเข็งแกร่งของพลังวิญญาณของ
หน้าที่หลักในทุกเช้าของหนิงอ้ายคือการรดน้ำ ดูเเลเเปลงสมุนไพรที่อยู่ติดกับเรือนพัก หลังจากที่ได้จัดการหน้าที่และธุระส่วนตัวทุกอย่างเสร็จสิ้นเเล้ว เด็กหนุ่มจึงเข้าไปในครัวเพื่อทำอาหารในเช้านี้ ตั้งใจว่าหากไม่มีเหตุจำเป็นอื่นเขาจะไม่ลงไปรับอาหารที่โรงครัวของทางสำนักเเล้วด้วยเพราะไม่อยากตกเป็นเป้าสายตาของผู้คนและหลีกหนีความวุ่นวายอื่นที่อาจจะตามมาภายหลังไม่รู้ว่าลู่ซีและสหายคนอื่น ๆ จะเป็นอย่างไรบ้าง พวกเขาที่อยู่คนละตำหนัก ช่วงเเรกนี้จะเป็นการปรับพื้นฐานก่อนที่จะเรียนรู้ศาสตร์ในขั้นอื่นต่อไป ตอนนี้กลุ่มสหายของหนิงอ้ายจึงเขียนจดหมายเวทย์เพื่อถามไถ่กันเพียงเท่านั้น มีนัดหมายพบเจอกันในอีกสองวันข้างหน้าเนื่องจากเป็นวันที่ทุกตำหนักในสำนักศึกษานั้นกำหนดให้หยุดพักผ่อนนั่นเองกลิ่นหอมของข้าวผัดทรงเครื่องลอยฟุ้งไปทั่วทั้งเรือนพักหลังนี้ อีกทั้งหนิงอ้ายยังได้ทำซุปเยื่อไผ่เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งเมนูเพื่อที่ตนนั้นจะได้มีน้ำซุปร้อน ๆ ไว้ซดรับกับอากาศที่หนาวเย็นสบายของเช้าวันนี้ แม้ว่าอาหารจากโรงครัวจะมีรสชาติไม่ได้แย่ก็จริงเเต่อย่างไรก็ตามเขาก็ชินรสมือของตนเสียมากกว่า ดังนั้นหนิงอ้ายจึงตั้งใจว่าหลังจากนี้
ตลอดสองวันมานี้หนิงอ้ายได้รับเคล็ดลับมากมายเกี่ยวกับการหลอมสร้างโอสถจากเหล่าศิษย์พี่ เพราะเหวินหวู่ได้ให้คำแนะนำกับเด็กหนุ่มเพิ่มเติม ว่าในการหลอมสร้างโอสถนอกจากการที่ต้องฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอจนชำนาญเเล้ว การที่ได้เห็นวิถีหลอมสร้างของนักปรุงโอสถเเต่ละคนก็ช่วยในเรื่องนี้เช่นกันความแตกต่างและเอกลักษณ์เฉพาะเหล่านี้สามารถที่จะนำมาปรับใช้ให้เข้ากับวิถีหลอมสร้างของตนเองได้ ในยุทภพเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดไปเท่าไหร่นัก หากว่านักปรุงโอสถที่มีอาจารย์สั่งสอนคนเดียวกัน เเต่ละสำนักจะมีวิถีหลอมสร้างที่ใกล้เคียงกันเพราะอย่างไรก็ตามหลังจากผ่านพ้นเป็นนักปรุงโอสถระดับสี่ การจะเป็นนักปรุงโอสถระดับห้าอย่างเต็มตัวจำเป็นจะต้องคิดค้นและมีวิถีหลอมสร้างเป็นของตัวเองหากไม่เช่นนั้นก็จะติดอยู่ในขั้นของนักปรุงโอสถระดับสี่เพียงเท่านั้นทางฝั่งของหนิงอ้ายเองที่ใช้เวลายามว่างในช่วงบ่ายหลังจากที่ช่วงเช้าที่เด็กหนุ่มรับหน้าที่ทำอาหารเช้าและดูเเลสวนสมุนไพรให้กับอาจารย์ของตน เหวินหวู่ได้มีการสอนทักษะเพิ่มเติมอันเป็นวิถีหลอมสร้างเฉพาะให้กับเด็กหนุ่มอย่างไม่หวงแหน ด้วยเพราะตำแหน่งศิษย์ผู้สืบทอดตำหนักที่เด็กหนุ่มถื
เวลาได้ผ่านไปอย่างรวดเร็วจนมาถึงในยามเว่ยแล้ว กลุ่มของหนิงอ้ายยังคงพากันพูดคุยเเลกเปลี่ยนประสบการณ์ที่พวกเขาทุกคนพบเจอหลังจากได้เริ่มศึกษาไปในช่วงสี่ถึงห้าวันที่ผ่านมา บางเรื่องจะเป็นสิ่งที่พวกเขาพอรับรู้มาบ้างก่อนหน้าจึงสามารถปรับตัวกันได้อย่างง่ายดาย แต่ละตำหนักล้วนต่างมีแนวทางในการบ่มเพาะศิษย์ของตนที่แตกต่างกันออกไปทั้งสิ้นสำหรับตำหนักศาสตร์เเห่งการต่อสู้ เรียกได้ว่าการเเข่งขันภายในค่อนข้างที่จะสูงมาก บรรดาศิษย์ชายหญิงทุกคนล้วนต้องทำตัวเองให้เเข็งแกร่งต้องเตรียมความพร้อมอยู่เสมอเพราะว่าในทุกเจ็ดวันจะมีการประลองทั้งเชิงเวทย์และเชิงยุทธ์ขึ้นในตำหนัก จุดประสงค์หลักก็เพื่อให้ศิษย์เหล่านี้ตื่นตัวพร้อมกับพัฒนาตัวเองอยู่เสมอด้วยแนวคิดที่ว่าผู้ที่เเข็งแกร่งเท่านั้นที่จะเป็นผู้อยู่รอดแม้จะดูโหดร้ายเเต่นั่นก็เป็นความจริงของยุทธภพที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ การประลองเหล่านี้มีจุดหมายแฝงอยู่นั่นคือเพื่อค้นหาสุดยอดรุ่นเยาว์มากพรสวรรค์ในการเข้าร่วมสังกัดหน่วยต่าง ๆ ที่อาจเป็นกองกำลังสำคัญในอนาคตของทางสำนักได้ หนิงอ้ายแม้จะเป็นห่วงสหายของตนอยู่บ้าง เเต่เมื่อได้ยินว่าสหายของเขาทั้งอี้หลิน จินหั่ว หลี
หลังจากที่เขาได้เเยกย้ายกับเหล่าสหายของตนที่อยู่คนละตำหนัก ศิษย์พี่จางลี่ได้ฝากฝังให้ศิษย์พี่ตงหยางเดินไปส่งตนที่หน้าตำหนักเหมือนครั้งเเรกที่ได้เจอกันตรงที่ตลาด ทว่าศิษย์พี่ใหญ่โจวเซินได้ผ่านมาทางนั้นพอดีจึงอาสาเดินกลับตำหนักไปพร้อมกับตน ถึงหนิงอ้ายจะสามารถเเยกแยะได้ว่าชายหนุ่มผู้เป็นศิษย์พี่นั้นเพียงเเค่มีใบหน้าเหมือนกับเเทนไทและไม่ใช่คนเดียวกันอย่างแน่นอนหนิงอ้ายกลับมีความรู้สึกบางอย่างที่ว่าไม่ควรอยู่ใกล้กับคนนี้จะเป็นการดีที่สุด อาจจะดูเสียมารยาทไปบ้างกับศิษย์พี่โจวเซินผู้เป็นถึงศิษย์พี่ใหญ่ในตำหนักของตนก็จริง ทว่าหนิงอ้ายยังมีความรู้สึกบางอย่างที่ไม่สามารถอธิบายได้ สายตาที่อีกฝ่ายมองมาชวนให้เขารู้สึกอึดอัดใจไปไม่น้อยเช่นกัน เพื่อหลีกหนีความวุ่นวายจากชายหนุ่มทั้งสองคนหนิงอ้ายจึงเลือกที่จะเดินกลับตำหนักของตนในทันทีอย่างไม่รั้งรอโดยที่ไม่ต้องให้ผู้ใดต้องมาคอยรับส่งตนทั้งสิ้นวิหคสอดแนมของหนิงอ้ายก็ได้ทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม หนิงอ้ายได้รับรู้ทุกสิ่งที่ศิษย์พี่ท่านนี้ทำเป็นประจำทุกวัน ถึงแม้ว่าในตอนนี้จะยังไม่เจอความผิดปกติก็จริง เเต่ถึงอย่างไรหนิงอ้ายยังคงสั่งให้วิหคสอดแน
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต
มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล
ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย