หนิงอ้ายพบว่าโรงครัวที่ศิษย์พี่ของตนพามาได้ต่างไปจากสิ่งที่ตนคาดคิดเอาไว้เป็นอย่างมาก เป็นอาคารห้าเหลี่ยมหนึ่งชั้นที่มีรูปลักษณ์สวยงาม ถูกล้อมรอบไปด้วยสระบัวขนาดใหญ่
ภายในถูกตกเเต่งอย่างเรียบง่ายคล้ายกับว่าเน้นไปที่การใช้งานเสียมากว่า ยามสายนี้เหล่าบรรดาศิษย์จากทุกตำหนักในสำนักศึกษาแห่งนี้ต่างนั่งกินข้าว พูดคุยกันอย่างคึกคักเเต่ก็ไม่ได้วุ่นวายสักเท่าไหร่เนื่องจากว่ามีพื้นที่กว้างขวางและมีที่นั่งเป็นสัดส่วนนั่นเอง
ทันทีที่หนิงอ้ายได้ปรากฎตัวขึ้นพร้อมกับไป๋เหลียนฮวาผู้ที่ได้ชื่อว่างดงามเป็นอันดับหนึ่งของสำนัก ทุกความสนใจ ทุกสายสายตาต่างจับจ้องมาทางพวกเขาทั้งสองคนอย่างพร้อมเพรียง เนื่องจากว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในการทดสอบรับศิษย์ใหม่ของเมื่อวานนี้นั้นในตอนนี้ทุกคนในสำนักศึกษาต่างรับรู้โดยทั่วกันเเล้วว่าตำหนักศาสตร์แห่งการรักษานั้นในที่สุดก็มีศิษย์ผู้สืบทอดเสียสักที หลังจากที่ตำแหน่งนี้ได้ว่างเว้นมายาวนานนับสิบปีเลยทีเดียว
ตัวคนที่รับตำแหน่งนี้ก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุเพียงสิบห้าสิบหกปีเท่านั้น หากเทียบกับศิษย์ผู้สืบทอดอีกสามตำหนัก ที่ต่างมีอายุประมาณยี่สิบห้าปีขึ้นไปนั่นนับว่าเป็นศิษย์ผู้สืบทอดที่มีอายุน้อยเช่นนี้นับว่าเป็นสิ่งที่น่าสนใจ สร้างความประหลาดใจแก่ผู้ที่ได้รับรู้กันแทบทั้งสิ้น ทุกคนในที่นี้ต่างรับรู้โดยทั่วกันว่าในทุก ๆ สี่ปีนั้นศิษย์ผู้สืบทอดทั้งสี่คนต้องประลองกันตามกฎสืบทอดของสำนักศึกษาที่มีมาอย่างยาวนานหลายร้อยหลายพันปีตั้วแต่แรกเริ่มก่อตั้งสำนัก
ฐานะศิษย์ผู้สืบทอดต่างเป็นฐานะที่ศิษย์ทุกคนนั้นต้องการเป็นอย่างยิ่งเพราะว่าผู้ที่ได้รับฐานะตำแหน่งนี้นอกจากจะได้รับทรัพยากรสนับสนุนที่มากกว่าศิษย์คนอื่นเเล้วนั้น ตำแหน่งนี้ยังการันตรีได้ว่าในวันข้างหน้าศิษย์ผู้สืบทอดผู้นั้นจะได้เป็นศิษย์สายในได้อย่างแน่นอน
แน่นอนว่าย่อมมีการถกเถียงกันเกิดขึ้นเป็นอย่างมาก การที่เด็กหนุ่มที่อายุยังน้อยอีกทั้งยังมีรูปร่างที่บอบบางไปไม่ต่างจากสตรีสามารถผ่านการทดสอบจากผู้อาวุโสเหวินหวู่ผู้เป็นเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการรักษา พวกเขาอยากจะรู้ยิ่งว่าเด็กหนุ่มคนนี้มีดีอย่างไรกันถึงสามารถครอบครองตำแหน่งดังกล่าวได้กัน ด้วยเพราะมีหลายคนในที่นี้ที่ไม่ได้เข้าร่วมรับชมการทดสอบศิษย์ใหม่ในเมื่อวานนี้ จึงทำให้บางคนนั้นเชื่อว่านี่คงเป็นเรื่องเล่าที่แต่งสีเติมไข่ไปเสียมากกว่า
สายตาของทุกคนที่มองมาต่างเเสดงให้เห็นถึงความรู้สึกที่หลากหลายทั้งในเชิงบวกและเชิงลบ เนตรแห่งสวรรค์ของหนิงอ้ายนั้นสัมผัสได้ถึงความคิดของทุกคนที่มีต่อเขานั้นก็ไม่ได้ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกโมโหหรือว่าเสียใจเเต่เป็นอย่างใด ในโลกเดิมของเขานั้นคนประเภทนี้ก็อยู่มากเช่นกัน
ดังนั้นเเล้วหนิงอ้ายจึงไม่ได้สนใจกลุ่มคนเหล่านี้สักเท่าไหร่นักเพราะว่าพวกเขาเหล่านี้ไม่มีค่ามากพอที่จะต้องใส่ใจอันใด จากนั้นทั้งสองคนมุ่งตรงเดินเข้ามาอย่างมั่นคงก่อนที่จะเห็นว่ามีโตะว่างอยู่ ไป๋เหลียนฮวาจึงพาหนิงอ้ายไปยังที่นั่งยาวนั้นในทันที เเต่ทว่าก่อนที่เด็กหนุ่มจะนั่งลงไปได้มีเสียงดังจากด้านหลังขึ้น
"หนิงอ้ายเจ้าลงมาแล้วอย่างนั้นรึ?? พวกข้าตั้งใจว่าจะไปหาเจ้าที่ตำหนัก ดีแล้วที่ได้พบเจอเจ้าที่นี่จะได้ไม่ต้องเทียวไปเทียวมา..." เสียงของอี้หลินดังขึ้นก่อนจะเห็นตัวเสียอีกจากทางด้านหลังตามมาด้วยจินหั่ว หลี่ซวงและจ้าวหลาน เมื่อเดินมาถึงเเล้วทั้งสามคนจึงทำการโอบไหล่หนิงอ้ายด้วยความสนิทสนม
"ก่อนหน้านี้ตั้งเเต่แยกย้ายกันไปในเมื่อวานนี้อี้หลินบ่นถึงเจ้าเเต่เช้ายังไม่หยุด เจ้าคงคิดไม่ออกว่าพวกข้านั้นรู้สึกเช่นไร ฮ่าฮ่าฮ่า" หลี่ซวงเอ่ยขึ้นพร้อมกับหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนที่เจ้าของชื่ออย่างอี้หลินนั้นจะเข้ามาทุบหลังสหายของตนเสียงดังจนน่ากลัว
"เจ้าหุบปากไปเลย ที่สำคัญอย่ามาโอบไหล่หนิงอ้ายของข้านะ!!!" หลังจากสัมผัสสหายตัวโตของตนไปด้วยความแผ่วเบา? เเล้วนั้นอี้หลินจึงผลักอีกฝ่ายออกไปก่อนที่จะคล้องเเขนสหายตัวน้อยของตนในทันที เสียงของกลุ่มของหนิงอ้ายดังขึ้นอย่างมีความสุข
"ลู่เกอกับอู๋ฮั่นยังไม่มาอย่างนั้นรึ?? เช่นนั้นพวกเราไปตามที่ตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลดีหรือไม่??" หนิงอ้ายเอ่ยถามขึ้นกับทุกคนเมื่อเห็นว่าทั้งสองคนนั้นยังไม่ปรากฎตัวในโรงครัวเเห่งนี้
"พวกข้าได้แวะไปหาพวกเขาทั้งสองคนเเล้วเห็นว่าทางตำหนักมีการเรียกรวมตัวกันอยู่อีกสักพักคงตามมา นั่นไงพูดถึงก็มาพอดี..." จ้าวหลานตอบกลับหนิงอ้ายไปก่อนที่จะเห็นว่าสหายทั้งสองของตนนั้นได้มาถึงแล้วจึงเอ่ยเสริมขึ้นพร้อมกับหัวเราะออกมาเบา ๆ
"ลู่ซี อู๋ฮั่นพวกข้ากำลังรอพวกเจ้าทั้งสองคนพอดี มานั่งกันได้เเล้ว" จินหั่วเอ่ยทักสหายทั้งสองคนขึ้นเมื่อเห็นว่ามาถึงเเล้วพร้อมกับจัดแจงที่นั่งในทันที
"ก่อนหน้านี้ท่านอาจารย์เรียกคุยเล็กน้อย เเล้วนี่พวกเจ้ามาถึงกันนานเเล้วหรือ?? หนิงอ้ายเเล้วเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง??" ลู่ซีเอ่ยบอกกับสหายของตนก่อนที่จะถามเด็กหนุ่มตรงหน้าอีกครั้งด้วยความเป็นห่วง
"ข้าสบายดีขอรับลู่เกอท่านไม่ต้องเป็นห่วง ศิษย์พี่ทุกคนและท่านอาจารย์ใจดีกับข้ามาก ท่านนี้คือศิษย์พี่ห้าไป๋เหลียนฮวาขอรับ!!" หนิงอ้ายตอบกลับลู่ซีไปพร้อมกับส่งยิ้มเล็กน้อยเพื่อยืนยันสิ่งที่พูดไปก่อนที่จะนึกได้ว่ายังไม่ได้แนะนำให้สหายได้รู้จักศิษย์พี่ของตน
"คำนับศิษย์พี่ไป๋เหลียนฮวาขอรับ!!!" ชายหนุ่มทั้งหกคนเอ่ยขึ้นพร้อมกันพร้อมกับใบหน้าขึ้นสีเล็กน้อย
พวกเขาทุกคนในที่นี้นั้นย่อมได้ยินชื่อเสียงของศิษย์พี่ไป๋เหลียนฮวาผู้ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสตรีที่งดงามที่สุดในสำนักกันมาก่อน เมื่อได้เห็นในระยะที่ใกล้เช่นนี้เเล้วนับได้ว่าคำกล่าวนี้ไม่ได้เกินจริงไปเสียด้วยซ้ำ
ทว่ากับลู่ซีที่เคยเห็นรูปลักษณ์ที่เเท้จริงของหนิงอ้ายเเล้ว ตัวเขาเองย่อมมีแรงต้านทานในเรื่องของความงามอยู่บ้างไม่น้อย ถึงอย่างไรนั้นก็ต้องยอมรับว่าศิษย์พี่ไป๋เหลียนฮวานั้นนับว่าเป็นสตรีผู้หนึ่งที่งดงามสมคำร่ำลือที่เคยได้ยินมา
"พวกเจ้าเป็นสหายของศิษย์น้องหนิงอ้าย เช่นนั้นแล้วเรียกข้าว่าศิษย์พี่ไป๋เถิด ไม่ต้องมากพิธีอันใดไป..." เห็นท่าทางที่น่าเอ็นดูของเด็กหนุ่มเหล่านี้นางอดที่จะเผยรอยยิ้มออกมาไม่ได้
สหายของศิษย์น้องหนิงอ้าย นับได้ว่าเป็นผู้ที่มากไปด้วยหน้าตาและความโดดเด่นเสียจริง โดยเฉพาะเด็กหนุ่มที่มีนามว่าลู่ซีที่ศิษย์น้องของนางเรียกนับถืออีกฝ่ายว่าพี่ชายของตน ในการทดสอบก่อนหน้านางสัมผัสได้ว่าเด็กหนุ่มนั้นมากไปด้วยฝีมือพรสวรรค์ที่โดดเด่น ดูท่าเเล้วเด็กหนุ่มทั้งสองคนคงได้รับการบ่มเพาะที่ดีจากตระกูลหวังกันอย่างแน่นอน
กลุ่มของหนิงอ้ายเมื่อมาพร้อมหน้ากันแล้วจึงต่างพากันเเยกย้ายไปรับอาหาร โดยที่ศิษย์พี่ไป๋เหลียนฮวาได้ขอเเยกตัวออกไปทำธุระที่ท่านอาจารย์ได้มอบหมายไว้ก่อนจะทิ้งให้เด็กหนุ่มนั่งอยู่ด้วยกันเพราะนางวางใจเเล้วว่าศิษย์น้องของนางย่อมไม่เหงาเป็นแน่เมื่อได้อยู่กับสหายของตน อีกทั้งยังแนะนำว่าหากเบื่อหน่ายก็สามารถไปเดินเที่ยวเล่นตลาดที่อยู่ไปไม่ไกลจากตรงนี้ได้เช่นกัน
"ศิษย์พี่ไป๋ช่างงดงามสมคำร่ำลือที่เคยได้ยินมาตอนนี้ข้าเริ่มรู้สึกอิจฉาเจ้าเเล้วนะหนิงอ้ายที่มีศิษย์พี่งดงามเช่นนี้ ที่ตำหนักข้ามีเเต่บุรุษตัวโตทั้งนั้นส่วนศิษย์พี่หญิงนั้นก็ตัวโตมากกว่าข้ากับเจ้าเสียอีก..." อี้หลินเอ่ยขึ้นมาพร้อมกับมองตามหลังศิษย์พี่ร่วมตำหนักสหายของตนด้วยแววตารำพึงรำพัน
"ศิษย์พี่ไป๋หาได้มีเพียงความงามเท่านั้น นางเป็นถึงกับหลานของท่านเจ้าตำหนักเหวินหวู่อีกทั้งฝีมือปรุงโอสถของนางนั้นนับได้ว่าขึ้นชื่อเป็นอันดับต้น ๆ เช่นกัน..." หลี่ซวงเอ่ยเสริมขึ้นด้วยน้ำเสียงชื่นชม ด้วยเพราะก่อนเข้าสำนักศึกษานั้นเขาย่อมรู้ข้อมูลเกี่ยวกับสำนักและศิษย์ที่มีชื่อเสียงของเเต่ละตำหนักทั้งสี่เขาย่อมรับรู้และได้ยินมาบ้างเช่นกัน
"เเล้วลู่เกอกับอู่ฮั่นเล่าทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่หรือไม่??" หนิงอ้ายถามกลับไปยังทั้งสองคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับตน
"ทุกอย่างเรียบร้อยเพียงเเต่ด้วยเพราะปีนี้ทางตำหนักได้รับศิษย์ใหม่เข้ามาเป็นจำนวนมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ดังนั้นที่พักจึงไม่เพียงพอจึงทำให้มีการเเบ่งศิษย์ใหม่สองคนพักอยู่ในเรือนพักหนึ่งหลัง เกอกับอู๋ฮั่นได้จับคู่กันพอดี..." ลู่ซีตอบกลับหนิงอ้ายไปก่อนที่อู่ฮั่นนั้นจะพยักหน้าอย่างเห็นด้วยเพราะทุกอย่างลงตัวอย่างพอดีราวกับถูดจัดวาง
"ดีจริงที่พวกเจ้าทั้งสองคนได้พักด้วยกัน พวกข้านั้นต้องจับกลุ่มสี่คนต่อเรือนพักหนึ่งหลังเเล้วเจ้าคิดดูเสียเถอะ ข้าที่ตัวเล็กเพียงนี้เเต่ต้องอยู่กับพวกตัวโตทั้งสามคนเหล่านี้พูดไปเเล้วก็สงสารตัวเองเสียจริง..." อี้หลินเอ่ยขึ้นไปด้วยน้ำเสียงตัดพ้อก่อนที่จ้าวหลานที่นั่งอยู่ข้างกันจะจับหัวของเด็กหนุ่มไปมาจนมีเสียงโวยวายดังขึ้นตามหลังที่เรียกเสียงหัวเราได้เป็นอย่างดี
"เรือนพักของตำหนักพวกเราหลังใหญ่มากเพียงพอสำหรับสี่คน เจ้าอย่าไปสนใจคำของอี้หลินเลยเขาบ่นไปอย่างนั้นเเหละ..." จินหั่วเอ่ยเสริมไปพร้อมกันหันหน้าคุยกับหนิงอ้ายเพราะเขาเป็นสหายของอี้หลินตั้งเเต่อีกฝ่ายยังเด็กจึงทำให้รู้ถึงนิสัยช่างหยอกของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี
หนิงอ้ายพยักหน้ารับรู้อย่างว่าง่าย ก่อนที่ทุกคนจะพากันกินอาหารที่ตนไปรับมาในทันที อาหารในโรงครัวนั้นถือว่ามีรสชาติที่ดีมาก นับว่าเกินความคาดหมายจากที่คิดไว้เลยทีเดียว เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นเเล้วนั้นจึงตกลงกันว่าจะไปเดินเล่นกันเสียหน่อยนั่นคือตลาดที่ศิษย์พี่ไป๋แนะนำนั่นเอง
เเต่ละร้านค้าก็คือบรรดาศิษย์สายในและศิษย์สายนอกในสำนักทั้งสิ้น แน่นอนว่าตัวของสินค้านั้นก็มีหลากหลายตามไปด้วย อี้หลินที่เป็นคนที่ชื่นชอบในการพูดคุย ดังนั้นตลอดเส้นทางเดินจึงเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยหัวเราะในบางครั้ง พวกเขาเองต่างเป็นผู้รับฟังบ้างก็โต้ตอบกลับไปตามความคิดเห็นของตนเช่นกัน
ใช้เวลาเพียงหนึ่งเค่อก็ไปถึงพื้นที่ที่ถูกเรียกว่าตลาดเเล้ว มีพื้นที่ขนาดใหญ่กว้างขวางเลยทีเดียว ด้วยความที่สำนักสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์มีมหาค่ายกลระดับสูงที่ถูกร่ายกับกำกับไว้ จึงส่งผลให้อากาศภายในเขตพื้นที่แม้จะเป็นช่วงเวลาที่สายมากเเล้วเเต่อากาศยังคงเย็นสบาย ตลาดแห่งนี้มีศิษย์พี่สายใน ศิษย์พี่สายนอกมากหน้าหลายตาที่ต่างพากันตั้งร้านขายของกันอยู่เต็มไปหมด ภาพบรรยากาศนี้ทำให้หนิงอ้ายนึกถึงตลาดนัดในโลกเดิมของตนเป็นอย่างมาก เสียงร้องตะโกนดังขึ้นจากทั่วทั้งพื้นตลาดที่ดังขึ้นยิ่งทำให้พวกเขานั้นต่างรู้สึกตื่นเต้นคึกคักอยู่ไม่น้อย
"ไม่น่าเชื่อว่าในสำนักของเราจะมีตลาดเช่นนี้ในตลาดนัดครั้งถัดไปข้าอาจจะหาของมาตั้งขายด้วยก็เป็นได้"อี้หลินเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดีพร้อมกับขบคิดว่าตนนั้นจะเอาของสิ่งใดมาขายกัน"
"จากที่ศิษย์พี่ไป๋เหลียนฮวาได้บอกไว้ ตลาดนัดนี้จะมีขึ้นในทุก ๆ เจ็ดวัน ซึ่งจะเป็นศิษย์ในสำนักของพวกเรานี้เเหละที่เป็นพ่อค้าเเม่ค้าและเป็นลูกค้าด้วยกันเอง เนื่องจากว่าศิษย์สายใน ศิษย์สายนอกที่อยู่ในระดับชั้นปีสองเป็นต้นไปจะสามารถเข้ารับภารกิจกับทางสำนักได้ หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจ ศิษย์เหล่านั้นจึงมีข้าวของมากมายที่นำมาวางขายเเลกเปลี่ยนกันได้อย่างมากมายเช่นนี้..." จ้าวหลานเอ่ยเสริมขึ้นพร้อมกับมองไปโดยรอบด้วยความสนใจเช่นกัน
กลุ่มของหนิงอ้ายต่างเดินเที่ยวในพื้นที่ตลาดอย่างไม่รีบเร่ง อีกทั้งยังพูดคุยกันอย่างคึกคัก เสียงหัวเราะดังขึ้นเบาอย่าง ๆ สม่ำเสมอต่างได้เรียกสายตาจากผู้คนโดยรอบให้จ้องมองมาพร้อมกันหันหลังคุยกัน ด้วยเพราะเกือบทุกคนในนี้ต่างอยู่ในงานทดสอบศิษย์ใหม่เมื่อวานนี้
ทุกคนต่างจดจำกลุ่มของหนิงอ้ายได้เป็นอย่างดีด้วยเพราะเเต่ละคนนั้นมีฝีมือที่โดดเด่นที่สามารถเอาชนะศิษย์สายนอกผู้เป็นคู่ประลองได้อย่างง่ายดาย โดยเฉพาะกับเด็กหนุ่มร่างบางที่มีนามว่าหนิงอ้ายนั้นก็มีฐานะเป็นถึงศิษย์ผู้สืบทอดของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาเลยทีเดียว ข่าวลือในเรื่องนี้จึงเป็นที่รับรู้กันโดยทั่วของสำนัก จุดสนใจของทุกคนในตลาดนี้นั้นคือกลุ่มของเด็กหนุ่มนี้นั่นเอง
"เจ้าคือศิษย์ตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาที่นามว่าหนิงอ้ายใช่หรือไม่???" เสียงของบุรุษคนหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังของกลุ่มหนิงอ้ายที่ยังคงพูดคุยกันและเลือกหาซื้อสินค้า
เสียงของบุรุษที่ดังขึ้นคล้ายกับจะหาเรื่องนั้นส่งผลให้กลุ่มของหนิงอ้ายทั้งเจ็ดคนพร้อมกันหันหลังกลับมองไปยังต้นเสียงในทันที จากนั้นจึงเห็นว่ากลุ่มของชายหนุ่มประมาณสี่ถึงห้าคนที่เดินมุ่งตรงเข้ามานั้นเสื้อคลุมตัวนอกสีเเดงทำให้รับรู้ได้ว่าเป็นศิษย์สายนอกรุ่นพี่จากตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้นั่นเอง
"ข้าหนิงอ้ายศิษย์ลำดับที่เจ็ดของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาพวกท่านมีธุระอันใดกับข้าเช่นนั้นรึ?" หนิงอ้ายตอบกลับไปพร้อมกับมองไปยังกลุ่มบุรุษที่เป็นศิษย์พี่ร่วมตำหนักของสหายตน
จากเนตรเเห่งสวรรค์ทำให้หนิงอ้ายรู้ว่ากลุ่มคนเหล่านี้ต่างเป็นศิษย์สายนอกของตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้มาหลายปีเเล้ว เเต่ละคนนั้นมีอายุยี่สิบห้ายี่สิบหกปีขึ้นไปและต่างมีรากฐานบ่มเพาะพลังวิญญาณอยู่ในระดับเทวะวิญญาณขั้นต้นทั้งสิ้น นับได้ว่าเป็นผู้ฝึกตนที่มีฝีมืออยู่บ้างเช่นกัน
"พวกเจ้าทั้งสี่คนนับว่าเป็นศิษย์น้องร่วมตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้ เหตุใดพวกเจ้าจึงคบหากับสหายที่ดูอ่อนแอดั่งสตรีในห้องหอเช่นนี้เล่า..." เสียงของบุรุษคนหนึ่งในกลุ่มของศิษย์พี่สายนอกพวกนั้นเอ่ยขึ้นอย่างไร้มารยาทพร้อมกับหัวเราะออกมาเสียงดัง
"ดูท่าเเล้วตำแหน่งผู้สืบทอดของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาที่เจ้าได้มานั้นคงได้มาจากใบหน้าล่อลวงดั่งนางจิ้งจอกของเจ้าเสียแล้วกระมัง ราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณเพียงเท่านี้หาได้คู่ควรกับตำแหน่งที่เจ้าได้รับไม่!!!" ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่หน้าตาดุดันเอ่ยขึ้น
ดูจากท่าทางแล้วน่าจะเป็นหัวหน้าของกลุ่มนี้ เพราะหลังจากจบคำกล่าวนั้นคนที่เหลือต่างพยักหน้าเห็นด้วยก่อนที่จะหัวเราะออกมาเสียงดังเรียกทุกสายตาให้มองมายังจุดนี้อย่างพร้อมเพรียงกัน ที่บ้างก็ขบขัน บ้างก็พยักหน้าเห็นด้วยบ้างก็มองมาอย่างคาดหวังว่าหลังจากนี้จะมีเรื่องสนุกเกิดขึ้น...
สิ้นเสียงของชายหนุ่มที่พึ่งกล่าวจบลงไป เสื้อคลุมตัวนอกสีเเดงและพู่หยกประจำตัวที่ห้อยอยู่ตรงข้างเอวที่เห็นได้ชัด ทำให้กลุ่มของหนิงอ้ายพอที่จะคาดเดาได้ว่าผู้ที่เอ่ยถ้อยคำคล้ายกับหาเรื่องพวกเขานั้นเป็นศิษย์สายนอกของตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้คนหนึ่ง ตรงด้านหลังของอีกฝ่ายยังมีกลุ่มของชายหนุ่มที่มีอายุไล่เลี่ยกันไปอีกสี่ห้าคนที่ดูเเล้วไม่ต่างไปจากลูกสมุนติดตามสักเท่าไหร่นัก ที่ต่างพากันมองมาทางกลุ่มของพวกเขาด้วยสายตาดูถูกและไร้มรารยาทเป็นอย่างยิ่งเนตรแห่งสวรรค์ได้เเสดงให้ได้รู้ว่ากลุ่มของศิษย์พี่เหล่านี้ต่างมีรากฐานบ่มเพาะพลังวิญญาณอยู่ในระดับเทวะวิญญาณขั้นต้นกันทั้งสิ้น มีเพียงชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงด้านหน้าสุดที่พึ่งเอ่ยกับเขาไปเมื่อครู่คนเดียวเท่านั้นที่มีพลังวิญญาณอยู่ในระดับเทวะวิญญาณขั้นกลางแน่นอนว่าทางกลุ่มของหนิงอ้ายย่อมเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด บทสนทนาที่เกิดขึ้นตั้งเเต่เเรกเริ่ม ท่าทางแลน้ำเสียงของอีกฝ่ายได้เเสดงออกมาที่พูดจาดูแคลนหนิงอ้าย พวกเขาเองในตอนนี้ต่างรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมากอี้หลินคล้ายกับว่าจะพูดบางอย่างที่รุนเเรงโต้กลับกลุ่มของศิษย์พี่เหล่านี้ไป เเต่หนิงอ้ายที่เห็นท่าทางดั
เวทย์โจมตีระดับสูงที่ถูกร่ายออกมาพร้อมกันจากผู้ฝึกตนราชทินนามเทวะวิญญาณขั้นต้นถึงสองคนในคราวเดียวกัน ย่อมส่งผลให้อานุภาพของเวทย์โจมตีทั้งสองบทนี้ยิ่งทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า การจู่โจมโดยฉับพลันที่ผสานเข้าด้วยกันของเวทย์โจมตีปราณธาตุดินและปราณธาตุลมได้สร้างความเสียหายเป็นระยะกว้างในพื้นที่โดยรอบด้วยความรุนแรงที่เพิ่มทวีคูณเช่นนี้ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนในระดับเดียวกันนั้นย่อมรับมือผลจากเวทย์โจมตีไม่ได้โดยง่ายสักเท่าไหร่นัก ความแข็งแกร่งของผู้ฝึกตนราชทินนามเทวะวิญญาณนั้นมีมากมายเพียงใดทุกคนย่อมรับรู้โดยทั่ว ยิ่งกับเวทย์ต่าง ๆ ที่ถูกร่ายออกมาจากผู้ฝึกตนในระดับนี้นั้นย่อมมีอานุภาพสะเทือนฟ้าสะเทือนดินต่อให้หนิงอ้ายจะมีระดับพลังวิญญาณน้อยกว่าอีกฝ่ายไปถึงหนึ่งขั้นใหญ่ก็จริง เเต่ถึงอย่างไรก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ก็ไม่ได้ทำให้หนิงอ้ายรู้สึกกดดันเลยแม้เเต่น้อย ในทางตรงกันข้ามภายในใจของเขากลับรู้สึกตื่นเต้นเสียอย่างนั้นที่ได้ปะทะรับมือเช่นนี้ เพราะตนนั้นจะได้ฝึกฝนฝีมือและญาณสัมผัสของตนให้เฉียบคมเพิ่มขึ้น ผลแพ้ชนะนั้นหาได้วัดจากเพียงระดับพลังวิญญาณของคู่ต่อสู้เท่านั้น เพราะพลังฝีมือต่อสู้ที่เ
ไม่นานข่าวลือได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งสำนักด้วยความรวดเร็ว ที่ว่าเฉินหลานได้หาเรื่องศิษย์ใหม่ที่เป็นถึงศิษย์ผู้สืบทอดของตำหนักศาสตร์แห่งการรักษา เเต่ท้ายที่สุดได้ถูกศิษย์ใหม่ผู้นั้นตอกกลับด้วยถ้อยคำที่เจ็บแสบจนทำให้อับอาย ยังดีที่กลุ่มของตงหยางและสหายทั้งสามที่ได้เข้ามาห้ามปรามตำหนิชายหนุ่มไปเช่นกันเดิมทีเฉินหลานก็ไม่ได้ชอบตงหยางมากเท่าไหร่ ด้วยเพราะบิดาและผู้อาวุโสที่อยู่ในรอบตัวมักจะเปรียบเทียบเขากับตงหยางอยู่เสมอ ยิ่งถูกอีกฝ่ายกล่าวตำหนิต่อหน้าผู้คนมากมาย เขายิ่งรู้สึกโกรธและเสียหน้าเป็นอย่างมาก อคติในใจได้โทษว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นเพราะหนิงอ้ายคนเดียวที่ทำให้ต้องอับอายเช่นนี้ เขาต้องเอาคืนอีกฝ่ายอย่างแน่นอนในสักวัน"เจ้าเด็กสารเลวนั่นหาเรื่องตายเสียแล้ว!!""ข้าจะจำเอาไว้แล้วในวันหนึ่งข้าจะทำให้เจ้าเสียใจที่ทำให้ข้าต้องอับอายเช่นนี้!!!" เฉินหลานเอ่ยสบถอย่างหัวเสีย ครั้งนี้เป็นเขาที่เสียหน้าเป็นที่อับอายไปไม่น้อยเสียงการทำลายสิ่งของดังไปทั่ว แต่ด้วยเพราะเรือนพักแต่ละหลังของตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้นั้นมีพื้นที่ส่วนตัวเป็นอย่างมาก เสียงดังที่เกิดขึ้นนี้นับว่าไม่ได้แปลกประห
หลังจากที่เดินแยกออกมาได้สักระยะหนึ่ง หนิงอ้ายยังคงรู้สึกได้ถึงสายตาของอีกฝ่ายที่มองตามหลังของเขามาอย่างไม่ลดละ ถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มจะสัมผัสไม่ได้ถึงความมุ่งร้ายของอีกฝ่ายได้เลยก็ตาม หากกล่าวตามความจริงคือพลังจิตของหนิงอ้ายนั้นไม่สามารถสัมผัสได้ถึงคลื่นอารมณ์หรือความนึกคิดของอีกฝ่ายได้เลยแม้เเต่น้อยนั่นหมายความว่าหากอีกฝ่ายไม่ได้ครอบครองของวิเศษระดับสูงที่สามารถป้องกันการรุกล้ำเหล่านี้ได้ เช่นนั้นเเล้วชายหนุ่มคงมีจิตที่กล้าเเข็งที่มากเพียงพอจึงทำให้เนตรแห่งสวรรค์ของหนิงอ้ายนั้นไม่สามารถล่วงรู้ได้ถึงอารมณ์หรือความนึกคิดของอีกฝ่ายได้นั่นเองสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้หนิงอ้ายรู้สึกหงุดหงิดและรำคานใจอยู่บ้างเช่นกัน ด้วยเพราะว่าเนตรแห่งสวรรค์ของเขานั้นมีการพัฒนาเพิ่มขึ้นจากเดิมอยู่หลายเท่า อีกทั้งยังสามารถพลิกเเพลงนำมาใช้ได้อย่างหลายหลายดั่งใจนึกคิด หนิงอ้ายมักจะใช้ทั้งสัญชาติญาณ ไหวพริบควบคู่กันอยู่เสมอ เผื่อว่าหากสิ่งใดเกิดขึ้นเขาจะได้รับมือได้อย่างทันท่วงทีและมีแผนสำรองเพื่อที่จะทำให้ตนไม่เป็นฝ่ายที่เพลี้ยงพล้ำเหตุการณ์ต่าง ๆ หรือสิ่งที่ได้เกิดขึ้น หากว่าอยู่นอกเหนือการควบคุมหรือการรับรู้ท
วิหคสอดแนมได้ส่งภาพบางอย่างให้เขาได้รับรู้ จากกลิ่นอายของอีกฝ่ายที่เล็ดลอดออกมาแม้จะเพียงน้อยนิดเเต่นั่นก็เป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าผู้ที่ลักลอบเข้ามาในยามวิกาลเช่นนี้คงไปใครไปไม่ได้นอกจากชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าสำนักคนต่อไปที่ตนนั้นพึ่งได้พบเจอเมื่อในช่วงสายของวันนี้สิ้นเสียงของเด็กหนุ่มคล้ายกับต่อว่าผู้ที่บุกรุกเข้ามา เสียงหัวเราะชอบใจได้ดังขึ้นเบา ๆ ชวนให้รู้สึกหมั่นไส้อยู่ไม่น้อยก่อนที่ด้านหลังของหนิงอ้ายนั้นได้มีบางสิ่งอย่างที่เคลื่อนไหวด้วยความรวดเร็วเข้ามาจู่โจมในทันทีพรึบ!หนิงอ้ายได้หันหลังลุกขึ้นพร้อมกับสองมือนั้นต่างตั้งรับการโจมตีของอีกฝ่ายได้อย่างทันท่วงที ทั้งสองคนต่างเเลกเปลี่ยนเชิงยุทธ์ต่อสู้กันอย่างไม่มีฝ่ายใดเพลี่ยงพล้ำสลับไปมายากจะมองเห็นตามทันสำหรับผู้ฝึกตนทั่วไป หลังจากที่เวลาได้ผ่านไปสักครู่ทั้งสองคนต่างแยกตัวออกจากกันเพื่อตั้งหลักอีกครั้ง ตรงด้านหน้าของหนิงอ้ายนั้นปรากฎเป็นชายหนุ่มในชุดดำที่รูปร่างสูงใหญ่กำยำ ที่ตอนนี้หัวเราะออกมาเบา ๆ ก่อนที่จะพุ่งตัวเข้าโจมตีเด็กหนุ่มอีกครั้งด้วยความรวดเร็วดวงตาเรียวเล็กของหนิงอ้ายฉายชัดถึงความเย็นชาก่อนที่ร่างบางจะเร่งญาณสัมผัสของ
ด้วยเพราะปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เป็นอย่างมากที่ไหลเวียนอยู่โดยรอบจึงส่งผลให้บรรยากาศภายในตำหนักเต็มไปด้วยกลิ่นอายของชีวิตที่ประสานเข้ากับความเงียบสงบได้อย่างลงตัว อีกทั้งเรือนพักเเต่ละหลังรวมไปถึงอาคารและสิ่งก่อสร้างในตำหนักนั้นต่างมีพื้นที่เป็นส่วนตัวกันอย่างมาก ถึงแม้ว่าจะมีคนรับใช้ชายหญิงที่คอยดูเเลจัดการความสะอาดเรียบร้อยหรือหากพูดไปตามความจริงแล้วกลุ่มคนเหล่านี้ต่างมีทั้งคนธรรมดาทั่วไปรวมไปถึงผู้ฝึกตนที่มีระดับพลังวิญญาณไม่สูงมากที่เต็มใจรับจ้างทำงานเหล่านี้จากทางสำนักศึกษานอกจากผลตอบเเทนที่ได้รับจะเป็นเงินทองเบี้ยหวัดรายเดือนตามสมควรที่ตกลงเอาไว้ตามข้อสัญญาจ้างงาน หากมีทั้งความขยันและซื่อสัตย์ที่น่าชื่นชมบางคนนั้นถึงกับได้รับโชควาสนาเป็นผู้รับใช้ส่วนตัวของผู้อาวุโสระดับต่าง ๆ ในสำนักเลยก็มีให้เห็นไม่น้อยผลตอบเเทนที่ได้รับนอกจากที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้วบางคนถึงกับได้รับสิ่งตอบเเทนอื่นที่ไม่ว่าจะเป็นโอสถ อาวุธวิเศษหรือแม้กระทั่งหากผู้นั้นมีพรสวรรค์ที่เข้าตาเเล้วละก็ คนเหล่านั้นอาจจะได้รับการส่งเสริมในเรื่องของการบ่มเพาะพลังวิญญาณให้เพิ่มสูงขึ้นหรือแม้กระทั่งอาจได้เป็นคนสนิทข้างกายขอ
"ศิษย์พี่ตงหยางมาทำอันใดที่อาคารส่วนกลางตำหนักของข้าตั้งเเต่เช้าเช่นนี้หรือขอรับ??" เห็นท่าทางที่ชวนหน้าหมั่นไส้ของชายหนุ่ม เเต่ด้วยความสงสัยที่มีมากกว่าหนิงอ้ายจึงเลือกที่จะมองข้ามและถามกลับอีกฝ่ายไปด้วยความอยากรู้"ท่านเจ้าสำนักไหว้วานให้มาเอาตำราเล่มหนึ่ง ฟังว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับภารกิจสำคัญในครั้งถัดไป แล้วเจ้าเล่าเหตุใดจึงมาเเต่เช้าเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าผู้อาวุโสเหวินหวู่ให้เจ้าพักผ่อนอย่างนั้นรึ??" เฟยหลงถามกลับหนิงอ้ายไปตามสิ่งที่ตนได้รับรู้มาก่อนหน้า"ข้าพึ่งเริ่มเข้าสู่วิถีฝึกตนเพียงไม่กี่ปีความรอบรู้นับว่ายังอ่อนด้อยยิ่งนัก ดังนั้นข้าจึงอยากจะใช้ทุกเวลาที่มีให้คุ้มค่ามากที่สุดขอรับ..." เด็กหนุ่มตอบกลับไปตามที่ตนคิด เพราะทุกอย่างในโลกนี้นับว่าค่อนข้างแปลกใหม่เป็นอย่างมาก ซึ่งเขานั้นยังต้องเรียนรู้ในอีกหลายสิ่งอย่าง"ศิษย์น้องหนิงอ้ายกล่าวได้ถูกต้องผู้ที่จะประสบความสำเร็จได้คนผู้นั้นต้องใช้ทุกสิ่งอย่างที่ตนมีให้คุ้มค่ามากที่สุด..." เสียงของชายหนุ่มอีกคนดังขึ้นทางด้านหลัง เรียกความสนใจของทั้งสองคนคนให้ละสายตาจากกัน"ไม่คิดว่าจะเจอเจ้าที่นี่เเต่เช้านะตงหยาง ภารกิจจากท่านเจ้าสำนักในครั
เช้าของวันรุ่งขึ้นหนิงอ้ายกำลังนั่งดูดซับปราณฟ้าดินเหมือนดังเช่นทุกวันที่ผ่านมา ด้วยญาณสัมผัสอันลึกล้ำจึงสัมผัสรู้สึกได้ถึงบางสิ่งอย่างที่กำลังก่อตัวขึ้นตรงบริเวณเหนือจุดตันเถียร จากประสบการณ์ที่ผ่านมาเเล้วหลายครั้งทำให้รู้ได้ทันทีว่านี่เป็นสัญญาณของการเลื่อนระดับพลังวิญญาณในขั้นถัดไปหนิงอ้ายจึงรีบหลับตาลงพร้อมกับเร่งโคจรวิถีลมปราณไปทั่วทั่งร่างกายของตนด้วยความรวดเร็วพริ้วไหวเเต่หนักเเน่นล้ำลึกไปตามความพิศดารของเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆา เพียงชั่วครู่เดียวแรงบีบอัดจากภายในได้สร้างความเจ็บปวดเกินจะคาดคิดเอาไว้ ร่างบางสั่นสะท้าน ใบหน้างามบิดเบี้ยวราวกับต้องการกดข่มทุกความรู้สึก หนิงอ้ายตั้งมั่นโคจรลมปราณต่อไปไม่ให้ขาดช่วงเพราะหากพลาดโอกาสในครั้งนี้ไปแล้วไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกมากน้อยเท่าใดจึงจะสามารถสัมผัสได้ถึงประตูเลื่อนขั้นเช่นนี้ได้อีกเมื่อไหร่ แม้สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้จะได้สร้างความทรมานต่อทั้งร่างกายจิตใจไปมากเพียงใดก็ตาม ถึงอย่างไรก็ตามหนิงอ้ายเองก็รู้ดีว่าหากเขาสามารถที่จะอดทนผ่านพ้นไปได้จนสำเร็จเเล้ว สิ่งที่ได้รับคืนมาหลังจากนี้ย่อมเป็นผลดีต่อตนเองทั้งสิ้น ดังนั้นเเล้วเขาต้องตัดผ
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต
มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล
ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย