Home / แฟนตาซี / บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ / บทที่60 ถึงจุดหมายในที่สุด

Share

บทที่60 ถึงจุดหมายในที่สุด

ทางฝั่งผู้อาวุโสของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งใจ เมื่อพวกเขาเห็นว่ากลุ่มของหนิงอ้ายทั้งสี่คนสามารถจัดการอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะได้สำเร็จ แม้ว่าตอนนี้จะยังมีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ชายหญิงมากกว่าหลายสิบคนที่ยังไม่ฟื้นคืนสติก็ตาม

อำนาจสะกดใจที่เคยควบคุมไม่ต่างหุ่นเชิดไร้ซึ่งแรงต้านทาน เมื่อสัตว์อสูรนายแห่งพันธะดังกล่าวได้ตกตายไป ร่างกายของพวกเขาจะไม่ได้รับผลกระทบต่อวิถีทางแห่งผู้ฝึกตนในวันข้างหน้า หลังจากนี้เพียงไม่กี่ชั่วยามย่อมที่จะฟื้นสติกลับมาได้ดังเดิม หากว่ากลุ่มของรุ่นเยาว์เหล่านี้สามารถเดินทางมาถึงประตูทางเข้าของสำนักศึกษาได้สำเร็จ นั่นเท่ากับว่าในปีนี้ทางสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ได้รับศิษย์ใหม่มากที่สุดของทางสำนักเลยทีเดียว

"ในที่สุดพวกเขาทั้งสี่คนก็มาถึงประตูทางเข้าของสำนักได้เสียที บอกตามตรงว่าที่ผ่านมาในตำแหน่งผู้อาวุโสของสำนัก ได้เห็นการคัดเลือกศิษย์ใหม่มามากมายนับไม่ถ้วน ทว่าไม่มีครั้งใดซักครั้งที่ทำให้ข้าเกือบหัวใจจะวายเช่นนี้ได้!!" ผู้อาวุโสชราร่างเล็กคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเสียงดังราวกับอัดอั้นมาแสนนาน พร้อมกับถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกที่เด็กพวกนี้สามารถผ่านมาได้อย่างปลอดภัย

"ไม่ว่าจะเป็นอสูรเสือดาวลมกรด อสูรอสรพิษราชันย์สุริยันจันทราทมิฬที่ปรากฎตัวให้เห็นรอบหลายร้อยปี และสุดท้ายอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะที่เข้ามาแทรกแซงการทดสอบของสำนักครั้งนี้ แต่ละสิ่งอย่างที่รุ่นเยาว์ทั้งสี่คนได้พบเจอในการทดสอบข้าพูดได้เลยว่าแทบไม่ต่างไปจากการออกไปทำภารกิจของสำนักเสียด้วยซ้ำ..." หญิงชราคนหนึ่งเอ่ยเสริมขึ้นมาในทันที

"หนึ่งเคล็ดวิชาฝ่ามือบัญชาการ ด้วยอายุเพียงสิบห้าสิบหกปีเช่นนี้นับว่ารุนแรงยิ่งนัก ข้าพอสัมผัสได้ว่านั้นกระดูกวิญญาณชิ้นย่อมมีอายุไม่ต่ำกว่าสี่พันปีเป็นแน่ หากเทียบไปกับระดับพลังวิญญาณแล้ว ไม่แน่ใจว่าเด็กคนนี้ได้ประสานกระดูกวิญญาณเข้ากับร่างกายโดยไร้ซึ่งผลกระทบใดใด ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก!!" ผู้อาวุโสชายวัยกลางคนที่ชื่นชอบสังเกตรายละเอียดสิ่งต่าง ๆ อดไม่ได้ที่จะเอ่ยขึ้นในข้อข้องใจนี้

"บทเวทย์ที่เรียกใช้นั้นก็เต็มเปี่ยมด้วยอานุภาพที่น่าชื่นชม กล่าวได้ว่ามีส่วนด้อยกว่าบทเวทย์ระดับเทวะเพียงไม่กี่ขั้น แต่นั่นพอเข้าใจได้ว่าผู้ใช้บทเวทย์เป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิวิญญาณเท่านั้น จากที่ข้าพอคุ้นเคยกับสหายจึงทำให้พอที่จะสัมผัสได้ว่าเวทย์ดังกล่าวนี้นั้นได้ถูกประสานไปกับอักขระเวทย์โบราณได้อย่างลงตัว จึงส่งผลให้มีอาณุภาพความรุนแรงมีมากกว่าเวทย์ในปราณธาตุเดียวกันอย่างเห็นได้ชัด..." ผู้อาวุโสที่นั่งอยู่ในส่วนมุมด้านข้างห้องได้เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงชื่นชม

"จะว่าไปแล้วข้านั้นชอบเด็กหนุ่มที่มีนามว่าลู่ซีไม่น้อย ด้วยช่วงอายุเพียงเท่านี้แต่กลับสามารถควบคุมอารมณ์ที่มีมีความเป็นผู้นำและผู้ตามที่ดี อีกทั้งเคล็ดวิชากระบี่ของเขาน่าสนใจมาก ไม่น่าเชื่อว่าด้วยวัยเพียงสิบหกปีเท่านี้จะสามารถใช้เพลงกระบี่ได้ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายเสียอย่างนั้น หากได้รับการขัดเกลาจากข้าอีกสักหน่อยอีกฝ่ายคงสามารถยืนอยู่แถวหน้าของตำหนักศาสตร์แห่งต่อสู้ได้อย่างแน่นอน..." โจวเซินผู้เป็นหนึ่งในผู้อาวุโสสุงสุดของตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยขึ้นพร้อมกับหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ แสดงให้ทุกคนในที่นี้รับรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการให้เด็กหนุ่มที่มีนามว่าลู่ซีมาอยู่ในสังกัดตำหนักของตนมากเพียงใด

"แต่สำหรับข้ากลับชื่นชอบเด็กหนุ่มที่มีนามว่าจินหั่วมากกว่า เด็กหนุ่มผู้นี้ได้ถูกวางตัวไว้ในตำแหน่งที่สูงสุดนั้นคือฐานะว่าที่ประมุขตระกูลจินคนต่อไป ตระกูลจินนั้นก็เป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้น หากสร้างความสัมพันธ์ที่ดีได้ในวันข้างหน้าที่อีกฝ่ายขึ้นเป็นประมุขตระกูลคนต่อไปขุมพลังหนุนหลังของสำนักศึกษาเราก็จะแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม..." ผู้อาวุโสชายอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้นพร้อมกับคาดการณ์ถึงสิ่งที่อาจเป็นได้ในวันข้างหน้าที่ส่งผลดีกับทางสำนักโดยตรง

"ข้ากลับคิดว่าเจ้าเด็กอี้หลินคนนี้นั่นก็ไม่เลว ดูไปแล้วปราณธาตุไฟต้นกำเนิดนั้นมีความแตกต่างไปบางส่วนจากประมุขตระกูลอี้ในปัจจุบัน ด้วยเพราะการที่มารดาของเขาหรือฮูหยินรุ่ยเป็นชาวเผ่าที่มีความเป็นมาลึกลับไม่ทราบที่มาอันชัดเจน ด้วยวัยเพียงสิบห้าสิบหกปีเช่นนี้ หากว่าทางสำนักศึกษาของเราสามารถบ่มเพาะให้เขานั้นไปถึงจุดขีดสุดความสามารถของตนเองได้ข้าว่าเด็กคนนี้ย่อมเป็นอีกหนึ่งกำลังที่สำคัญไม่แพ้กัน..." ผู้อาวุโสที่มีรูปลักษณ์ภายนอกเป็นเพียงชายหนุ่มทั่วไป แต่ด้วยเคล็ดวิชาเฉพาะของอีกฝ่ายจึงทำให้เมื่อบรรลุเคล็ดวิชาในระดับที่สูงขึ้น ร่างกายภายนอกได้แปรเปลี่ยนดูอ่อนเยาว์ลง ไม่ต่างไปจากตาเฒ่าประหลาดก็ว่าได้

"การเลือกศิษย์ใหม่เข้าศึกษาในตำหนักของแต่ละคนนั้นข้าว่าไว้เราค่อยพูดคุยปรึกษากันภายหลังดีหรือไม่?? ตอนนี้เราควรตรวจสอบในงานของวันพรุ่งนี้ที่ตามกำหนดเวลาการทดสอบยังมีสิ่งใดขาดตกบกพร่อง และยังอาจต้องเพิ่มระดับการป้องกันอีกหลายส่วนจะเป็นการดีที่สุด..."

กลุ่มของหนิงอ้ายทั้งสี่คนพวกเขาต่างมองหน้ากันและกระโดดกอดกันด้วยความรู้สึกยินดีเพราะว่าสิ่งที่พวกเขาตั้งใจเพียรพยายามมาตั้งแต่เเรกในที่สุดก็สัมฤทธิ์ผล ภาพที่อยู่ด้านหน้าของพวกเขาคือประตูทางเข้าของสำนักที่ถูกทำขึ้นจากหินแกะสลักเป็นสีขาวดำที่เป็นลวดลายสวยงามที่มีสัญลักษณ์เป็นรูปหยดน้ำแปดแฉกอยู่ตรงกลาง ตรงด้านข้างของแท่งเสาหินที่รองรับป้ายชื่อของสำนักนั้นเป็นผู้คุ้มกันจำนวนหลายคน

หนิงอ้ายปล่อยวิหคสอดแนมไปยังรัศมีสองลี้ของขอบเขตการรับรู้ ก่อนที่เนตรแห่งสวรรค์จะส่งข้อมูลให้เขาได้รับรู้ว่าประตูหินทางเข้าของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์นั้นทำมาจาก ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้า แร่หินที่หาได้ยากยิ่งในยุทธภพ ฟังว่าเพียงขนาดหัวนิ้วมือนั้นก็มีมูลค่าไปหลายล้านเหรียญทองแล้ว

แต่นี่ทางสำนักศึกษากลับนำเอาผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้านี้ใช้ทำเป็นประตูของสำนัก ความรุ่งเรืองของสำนักศึกษาที่มีความเป็นมานับหลายพันปี ความมั่งคั่งเช่นนี้สมกับเป็นหนึ่งในห้าของสำนักศึกษาระดับต้น ๆ ของมหาทวีปบูรพานี้ได้อย่างแท้จริง

ผู้คุ้มกันเกือบสิบคนที่ยืนประจำการอยู่ตรงด้านข้างประตูทางเข้าสำนักนั้นต่างล้วนเป็นผู้ฝึกตนที่มีพลังวิญญาณไม่น้อยกว่าระดับเทวะวิญญาณแทบทั้งสิ้น หนิงอ้ายถึงกับคิดอยู่ในใจว่าทางสำนักถึงกับมีตัวตนระดับเทวะวิญญาณเป็นผู้คุ้มกันเช่นนี้ ไม่รู้ว่าในสำนักนั้นจะมีเสือซ่อนเล็บที่เปี่ยมไปด้วยอยู่มากน้อยสักเพียงใด หนิงอ้ายก็พอเข้าใจได้ สำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นหนึ่งในห้าของสำนักศึกษาที่ได้รับการยอมรับในบูรพาทวีป แน่นอนว่าที่แห่งนี้ยังขึ้นชื่อในเรื่องความปลอดภัยมากที่สุดอีกสถานที่หนึ่งเช่นกัน

"ค่ายกลของสำนักศึกษาดูคล้ายกับว่าเป็นค่ายกลที่แฝงไปด้วยพลังกดดันบางอย่างแค่เพียงมองก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันให้ไม่น้อยไม่รู้ว่าซุกซ่อนไปด้วยกลพิศดารอันใดกัน..." ลู่ซีเอ่ยขึ้นอย่างความสงสัยด้วยเพราะเขาชื่นชอบในเรื่องราวเกี่ยวข้องศาสตร์แห่งค่ายกล ดังนั้นเมื่อได้เห็นค่ายกลระดับสูงเช่นนี้แล้วจึงอดไม่ได้ที่จะวิเคราะห์ออกมา

"เจ้าชื่นชอบศาสตร์แห่งค่ายกลเช่นนั้นรึลู่ซี?? สำหรับข้าเรื่องเช่นนี้ช่างละเอียดอ่อนเกินไปกว่าที่ข้าจะเรียบรู้ได้ อีกอย่างอย่างข้านั้นล้วนแต่เหมาะสมกับการต่อยตีเป็นที่สุด!!!" อี้หลินเอ่ยขึ้น เขาที่มีฐานะเป็นนายน้อยของตระกูลอี้ ย่อมหนีไม่พ้นต้องเรียนรู้ทุกศาสตร์อย่างคล่องแคล่ว แน่นอนว่าศาสตร์ใดที่ต้องข้องเกี่ยวกับความจำหรือความละเอียดอ่อนย่อมไม่ใช่ทางของเขาทั้งสิ้น

"เจ้าก็เป็นเช่นนี้เสมออี้หลิน ข้ายังจำได้ในตอนเด็กที่เจ้าถูกท่านน้ารุ่ยมารดาของเจ้าสั่งให้บ่าวรับใช้จับตัวเจ้าอาบน้ำแต่งตัว เพราะเจ้าไม่ยอมเข้าเรียนเสริม ฮ่าฮ่าฮ่า!!!" จินหั่วเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดีเมื่อนึกถึงวีรกรรมของอีกฝ่าย อี้หลินที่ยืนอยู่ไม่ไกลได้ฝากรอยมือไว้กลางหลังของเด็กหนุ่มด้วยความรักดั่งสหายไปหนึ่งที ทำเอาจินหั่วนั้นถึงกับปวดหลังอยู่เป็นครู่ใหญ่เลยทีเดียว

"เจ้าคิดเห็นเป็นอย่างไรบ้างหนิงอ้าย??"

"ค่ายกลนี้มีชื่อว่า มหาจตุรทิศวิถีประสานโลกา นับได้ว่าเป็นอีกมหาค่ายกลที่ขึ้นชื่อของทางสำนักศึกษาที่ถูกคิดค้นด้วยบรรพชนผู้ก่อตั้งสำนัก ฟังว่าในทุกสี่ปีวนเวียนมาถึงนั้นเจ้าแห่งสำนักในแต่ละรุ่นจะต้องถ่ายเทลมปราณไม่น้อยกว่าสองถึงสามส่วนเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งของมหาค่ายกลแห่งนี้ อีกทั้งยังมีพลังลึกลับบางอย่างที่ไหลเวียนอยู่จึงทำให้ค่ายกลมีความลี้ลับบางอย่าง อาจถูกกระตุ้นใช้งานได้ในยามที่ทางสำนักถูกโจมตีหรืออาจด้วยเหตุผลอื่นก็เป็นไปได้เช่นกัน..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นตามข้อมูลที่เนตรแห่งสวรรค์บอกให้รับรู้

"ข้าคิดว่ามหาค่ายกลนี้ได้ถูกเสริมความแข็งแกร่งด้วยพลังวิญญาณต้นกำเนิดของท่านผู้ก่อตั้งและท่านเจ้าสำนักในแต่ละรุ่นมายาวนานตลอดหลายพันปีที่ผ่านมา หากจะกล่าวว่ามหาค่ายกลนี้เป็นหนึ่งในค่ายกลที่แข็งแกร่งต้น ๆ ในยุทธภพ ย่อมไม่เกินจริงไปซักเท่าไหร่นักขอรับ..." สิ้นคำของหนิงอ้ายนอกจากจะทำให้เด็กหนุ่มทั้งสามคนชื่นชมในความรอบรู้ของสหายตัวน้อยแล้ว ทางฝั่งของผู้อาวุโสที่สังเกตการณ์จากค่ายกลส่งภาพโดยเฉพาะทางฝั่งของเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลต่างรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย

ความลี้ลับของมหาค่ายกลที่ถูกซุกซ่อนไว้ เขายังต้องใช้เวลาครึ่งปีกว่าจะรับรู้ถึงสิ่งนี้ ในฐานะเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลตลอดหลายปีมานี้ กล่าวได้ว่าเขายังไม่สามารถไขความลับของมหาค่ายกลของสำนักได้หมดเสียที ดูท่าแล้วคงต้องหาเวลาพูดคุยกับเด็กหนุ่มคนนี้เสียแล้ว

ทางฝั่งของเจียงเฉิงที่เป็นเจ้าสำนักเขาเองก็รู้สึกประหลาดใจไปไม่ต่างกัน ที่เด็กหนุ่มถึงกับล่วงรู้ได้ว่ามหาค่ายกลมหาจตุรทิศวิถีประสานโลกานี้ เจ้าสำนักในแต่และรุ่นต้องคอยถ่ายเทพลังวิญญาณในทุกสี่ปีเพื่อเสริมความแข็งแกร่ง

ความลับพิศดารเช่นนี้หากไม่ใช่เป็นเจ้าสำนักหรือเป็นศิษย์สืบทอดโดยตรงย่อมไม่มีผู้ใดรับรู้เป็นแน่ ผู้อาวุโสหลายคนที่อยากรู้ว่าเด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นมานั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่ เมื่อเห็นว่าเจ้าสำนักไม่ได้เอ่ยแย้งสิ่งใดขึ้นมาจึงทำให้พวกเขาพอรับรู้ได้ว่าสิ่งที่เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นมานั้นเป็นเรื่องจริง

หากเป็นเช่นนั้นแล้วการที่เด็กหนุ่มหนิงอ้ายสามารถรับรู้ถึงปริศนาความลับนี้ทั้งที่ยังไม่ได้ก้าวเท้าเข้ามาในสำนักเสียเลยด้วยซ้ำ อาศัยเพียงแค่การมองเห็นและญาณสัมผัสก็ทำให้รับรู้ได้ถึงสิ่งเหล่านี้ได้ราวกับว่ามีดวงตาที่สาม แต่หากจะให้พวกเขาไปคาดคั้นเด็กหนุ่มคงไม่ใช่เรื่องควรกระทำสักเท่าไหร่ เพราะในโลกแห่งผู้ฝึกตนนี้ทุกคนต่างมีไพ่ลับในมือหรือมีความลับที่ไม่อาจให้ล่วงรู้ได้ไม่ต่างกัน...

"ข้าอยากพักผ่อนจะแย่อยู่แล้ว..." อี้หลินบ่นขึ้นพร้อมกับเดินนำทุกคนไปยังทางเข้าสำนักในทันทีเมื่อไปถึงจึงได้เอ่ยถามผู้คุ้มกันท่านหนึ่งที่ดูใจดีว่า

"พวกข้ามาถึงทางเข้าของสำนักแล้ว ต้องทำสิ่งอื่นอีกหรือไม่ขอรับ??" ลู่ซีเอ่ยถามพร้อมกับยกมือประสานขึ้นด้วยมารยาทของผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่พึงกระทำต่อผู้อาวุโสด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนแม้ว่าผู้อาวุโสท่านนี้เป็นเพียงผู้คุมกันทางเข้าของประตูสำนักศึกษาเท่านั้น

สิ่งนี้ที่ปรากฎแก่สายตาของผู้คุ้มกันทั้งหมดและผู้ที่สังเกตการณ์จากค่ายกลส่งภาพนั้นต่างพยักหน้าและมีความเห็นตรงกันด้วยเพราะสิ่งที่ชายหนุ่มทั้งสี่คนกระทำต่อกลุ่มผู้คุมกันเหล่านี้ที่เต็มไปด้วยมารยาทที่พึงมี ย่อมแสดงให้เห็นการอบรมจากตระกูลและนิสัยส่วนตัวของอีกฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด

หัวหน้าผู้คุ้มกันท่านนั้นและผู้คุ้มกันใกล้เคียงที่เห็นท่าทางดังกล่าวต่างรู้สึกดีกับเด็กหนุ่มทั้งสี่คนตรงหน้าขึ้นหลายส่วน ใบหน้าหล่อเหลาสมกับวัยดูอ่อนลงกว่าเดิม แววตาที่ทอดมองมายังพวกกลุ่มของหนิงอ้ายเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกเอ็นดูอย่างบอกไม่ถูก

ทุกปีของการเปิดรับศิษย์ใหม่เข้าสำนักศึกษา เหล่าบรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงที่มาจากตระกูลใหญ่ที่มีชื่อเสียงของแต่ละแคว้นต่างเดินเข้ามาร่วมทดสอบการเป็นศิษย์กันไม่น้อย ความหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีย่อมมีอย่างเต็มเปี่ยมอย่างแน่นอนยิ่งลำดับชั้นวรรณะเห็นได้ชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง การที่รุ่นเยาว์เหล่านั้นจะแสดงกริยาท่าทางราวกับพวกเขาเป็นเพียงข้ารับใช้ พวกเขาได้แต่นิ่งอดทนเพราะถือว่านี่เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ตนสามารถตอบแทนสำนักศึกษาแห่งนี้ได้

ด้วยสิ่งเหล่านี้จึงทำให้ผู้คุมกันหลายคนในที่นี้หลายคนจึงไม่ค่อยชื่นชอบรุ่นเยาว์ที่เป็นศิษย์ใหม่มากนัก แม้ว่าเมื่อพวกเขาหากได้เข้าสำนักไปแล้ว กริยาท่าทางเหล่านี้จะหายไปบ้างแต่นั้นก็ทำให้ความรู้สึกแรกที่พวกเขาทุกคนในที่นี้ที่มีต่อผู้เข้าร่วมการทดสอบย่อมไม่ค่อยดีซักเท่าไหร่

ผู้คุมกันเหล่านี้ล้วนต่างเคยเป็นศิษย์สายนอกของทางสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด แต่อาจด้วยเพราะถึงช่วงอายุกำหนดเเล้วยังไม่สามารถเลื่อนเป็นศิษย์สายในได้หรือบ้างก็มีเหตุผลส่วนตัวที่จำเป็นพวกเขาจึงเลือกที่จะทำหน้าที่นี้ซึ่งไม่ต่างไปจากผู้อาวุโสสายนอกของทางสำนัก แม้จะดูว่าเป็นเพียงผู้อาวุโสศิษย์สายนอก แต่สำหรับเมืองใกล้เคียงในการปกครองของสำนักศึกษาแล้วกลุ่มคนเหล่านี้ล้วนมีน้ำหนักในใจหลายส่วนเลยทีเดียว

"ขอแสดงความยินดีกับพวกเจ้าทั้งสี่คนที่สามารถผ่านการทดสอบมาจนถึงทางสำนักศึกษาได้สำเร็จ วันพรุ่งนี้จะเป็นวันสุดท้ายของกำหนดการรับศิษย์ใหม่ในปีนี้แล้ว รายละเอียดเพิ่มเติมจะมีผู้อาวุโสฝ่ายในจะแจ้งให้ทราบโดยทั่วกันอีกครั้ง เวลาที่เหลือก่อนถึงวันพรุ่งพวกเจ้าสามารถพักผ่อนอยู่ในบริเวณนี้ได้..." หัวหน้าผู้คุ้มกันท่านเดิมเอ่ยขึ้นพร้อมกับแนะนำไปด้วยความหวังดี

"ผู้อาวุโส ก่อนหน้านี้มีผู้ผ่านการทดสอบมาถึงที่นี่กี่คนแล้วหรือขอรับ??" อี้หลินถามขึ้นด้วยความอยากรู้ เพราะว่าก่อนหน้านี้หนิงอ้ายได้บอกให้รับรู้ว่าปีนี้มีรุ่นเยาว์ชายหญิงที่โดดเด่นหลายคน หากมีนิสัยที่เข้ากันได้แน่นอนว่าการผูกมิตรย่อมเป็นสิ่งที่ดีเช่นกัน

"ปีนี้ทางสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์นับว่าได้รุ่นเยาว์ชายหญิงที่โดดเด่นหลายคนเลยทีเดียว ก่อนหน้าที่พวกเจ้าจะมาถึง มีรุ่นเยาว์ที่ผ่านการทดสอบเป็นชายไปแล้วหกคน หญิงอีกสามคน ดูจากท่าทางแล้วคงผ่านเรื่องราวลำบากในการทดสอบมาไม่น้อยกว่าพวกเจ้าไปสักเท่าไหร่..." หัวหน้าผู้คุมกันตอบกลับไปให้คลายสงสัย

"ขอบคุณผู้อาวุโส เช่นนั้นพวกข้าขอตัวแยกย้ายไปพักผ่อนนะขอรับ" กลุ่มของหนิงอ้ายทั้งสี่คนได้ยินคำตอบจึงหายความสงสัยแล้ว จากนั้นพวกเขาได้โค้งตัวคำนับก่อนที่จะมุ่งตรงไปยังต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลห่างไปนัก...

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Related chapters

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่61 ท่านเทพพยากรณ์

    เหล่าผู้คุ้มกันเห็นว่ารุ่นเยาว์ทั้งสี่คนเดินห่างออกไปแม้ภายนอกพวกเขาจะยังคงเต็มไปด้วยความเคร่งครึมและใบหน้าเรียบเฉย แต่ภายในกลับสื่อสารกันภายในจิตยิ่งกว่า'เด็กคนนั้นไม่เลวเลยทีเดียว…''ข้าว่าปีนี้คงมีศิษย์ใหม่เข้าร่วมสำนักเยอะที่สุดในประวัติการณ์ ยังมีอีกกลุ่มหนึ่งที่กำลังมุ่งตรงเข้ามาในอีกไม่กี่ชั่วยามแล้ว...' ผู้อาวุโสคนหนึ่งที่มีญาณสัมผัสลึกล้ำเอ่ยเสริมขึ้น'เด็กหนุ่มตัวเล็กที่สุดน่าสนใจอย่างบอกไม่ถูก ข้าว่าในปีนี้ข้าอาจจะเข้าร่วมทดสอบเป็นผู้อาวุโสฝ่ายในก็เป็นไปได้…' ชายวัยกลางคนผู้เป็นหัวหน้าคุ้มกันที่คุยกับกลุ่มของหนิงอ้ายเอ่ยขึ้นอย่างมีเลศนัย ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนเรื่องพูดคุยเป็นเรื่องอื่นที่ต่างเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในมุมมองของตนเองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ก็ไม่ต่างไปจากผู้อาวุโสในห้องโถงหลักของสำนักสักเท่าไหร่นัก พวกเขาทั้งหลายยังคงเฝ้ามองสิ่งที่เกิดขึ้นค่ายกลส่งภาพ ในใจพวกเขาต่างรู้สึกอยู่ในใจว่าการรับศิษย์ใหม่ในปีนี้ช่างเต็มไปด้วยเรื่องราวที่แปลกประหลาดใจเสียจริง...ทางฝั่งกลุ่มของหนิงอ้ายทั้งสี่คนต่างพากันเดินไปไม่ไกลไปจากประตูของสำนักทางด้านฝั่งซ้ายมือ ก่อนที่จะเลือ

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่62 สิ้นสุดการทดสอบแรก

    ทางฝั่งผู้อาวุโสที่เฝ้ามองกลุ่มของหนิงอ้ายผ่านค่ายกลส่งภาพนี้ พวกเขาต่างล้วนอยากรู้ว่าเด็กหนุ่มนั้นล่วงรู้ถึงแบบทดสอบในวันพรุ่งนี้จริงหรือไม่? เพราะหากเด็กหนุ่มทราบจริงนี่ออกจะเหลือเชื่อเกินไปสักหน่อยแล้วการทดสอบครั้งถัดไปเป็นท่านเจ้าสำนักและท่านรองเจ้าสำนักเป็นผู้ดูแลด้วยตนเอง เหล่าผู้อาวุโสตอนนี้ต่างจ้องมองกลุ่มของหนิงอ้ายสลับไปมากับทางฝั่งของทั้งสองคนผู้สูงศักดิ์ในสำนักศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการทดสอบที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้…"ให้ข้าเปิดเผยความลับสวรรค์ให้เช่นนั้นรึ? หากว่าเจ้าสามารถหยุดพูดไปถึงหนึ่งเค่อข้าจักยอมทำนายให้แก่เจ้าก็แล้วกัน..." ท่าทางของหนิงอ้ายที่แสดงออกมาช่างดูเหมาะสมกับช่วงวัยสิบห้าสิบหกยิ่งท่าทางหยอกล้อที่เต็มไปด้วยความสดใสทำเอาผู้ที่แอบเฝ้ามอง? ผ่านดวงตากลมโตสีแดงชาด อดที่จะขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้ดูท่าแล้วตนคงต้องรีบไปพบเจ้ากระต่ายน้อยของตนให้เร็วที่สุด"หนิงอ้าย ไม่สิ!! เจ้าเป็นใครกันสหายของข้าไม่เคยพูดเล่นเช่นนี้ ไม่นะ!! เอาสหายข้าคืนมา..." เมื่อเห็นเด็กหนุ่มส่งมาแบบนั้นแล้ว อี้หลินจึงทำการละเล่นตอบกลับไปใหญ่โตกว่าเดิมหลายเท่า ท่ามกลางสายตาของลู่ซีและจินหั่วที่สายหัว

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่63 ศิษย์ใหม่

    "หนิงอ้ายเจ้าคิดว่าปีนี้การทดสอบจะเป็นอย่างไร?" หลี่ซวงถามขึ้นหลังจากที่พวกเขาใช้เวลาพูดคุยกันไปหลายชั่วยาม นับว่าเป็นสหายที่พูดคุยกันได้ถูกคอยิ่ง"ข้าคิดว่าผู้อาวุโสที่คอยกำกับดูแลในเรื่องนี้คงไม่ได้มีการทดสอบที่ยากจนเกินไป เพราะว่าแต่ละปีจำนวนของผู้ฝึกตนที่ผ่านการทดสอบแรกก็มีจำนวนน้อยอยู่แล้ว หากหลังจากนี้การทดสอบยังเป็นสิ่งที่ยุ่งยากอีก ข้าว่าทางสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์คงไม่ได้ศิษย์ใหม่เลยซักคนเป็นแน่..." หนิงอ้ายตอบกลับไปตามความคิดของตนเพราะสำหรับจำนวนผู้ฝึกตนที่ผ่านการทดสอบแรกจนมาถึงประตูทางเข้าของสำนักก็ว่ามีจำนวนน้อยมากแล้ว หากยังมีการทดสอบที่ยุ่งยากเขาเกรงว่าสิ่งที่เขาตอบไปอาจเกิดขึ้นจริงก็เป็นได้"ก็จริงของเจ้านะหนิงอ้าย ฮ่าฮ่าฮ่า" ชายหนุ่มที่เหลือทั้งห้าคนต่างหัวเราะขึ้นเสียงดังกับคำตอบที่หนิงอ้ายได้เอ่ยจบไปเมื่อครู่อย่างอดใจไม่ได้ทางฝั่งของผู้อาวุโสที่เฝ้ามองอยู่ในค่ายกลส่งเมื่อพวกเขาคิดตามคำพูดของเด็กหนุ่มก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้เช่นกัน เรื่องของจำนวนศิษย์ใหม่ในแต่ละปีมีจำนวนน้อยเพียงใดพวกเขาต่างกระจ่างใจเป็นที่สุด...ด้วยจำนวนของผู้ผ่านการทดสอบแรกนี้มีจำนวน

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่64 การทดสอบเข้าตำหนัก

    เมื่อพลังวิญญาณได้ผสานลงไปในป้ายหยกที่ได้รับต่างรู้สึกได้ถึงพลังอันแปลกประหลาดอันทรงพลังแข็งแกร่ง และยังคงกลิ่นอายของความศักดิ์สิทธิ์โบราณยังคงถูกรักษาไว้ไม่ให้สูญสลายไปตามกาลเวลา พลังประหลาดนี้ได้ไหลเวียนไปทั่วทั้งร่างกายอย่างไร้ซึ่งสิ่งใดต่อต้านได้ทั้งสิ้นเพียงอึดใจเดียวแสงสว่างที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าได้กระตุ้นให้พวกเขาทุกคนต้องลืมตาขึ้น ภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าคือลานพิธีขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ปราณธาตุน้ำแข็งศักดิ์สิทธิ์ที่มีความแวววาวและมีคุณสมบัติที่คงทนเป็นอันดับต้น ๆ ในยุทธภพกล่าวว่าหาได้ยากยิ่งในการครอบครองแม้เพียงขนาดเท่ากำปั้นมือ ทว่าทางสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์เองกลับใช้แร่ปราณธาตุน้ำแข็งศักดิ์สิทธิ์นี้ในการสร้างลานพิธีแห่งนี้ขึ้น หากสังเกต ก็จะพบว่าทุกสิ่งก่อสร้างที่อยู่ในอาณาเขตของสำนักศึกษาที่สามารถสองเห็นได้นั้นต่างถูกทำขึ้นจากแร่ปราณธาตุน้ำแข็งศักดิ์สิทธิ์ไม่ต่างกันทั้งสิ้นความรู้สึกที่สัมผัสได้ทำให้ตัวตนของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ในใจของพวกเขารุ่นเยาว์ชายหญิงที่เป็นศิษย์ใหม่ต่างถูกยกสูงไปอีกไม่รู้กี่เท่า แน่นอนว่าพวกเขาต่างคิดเห็นตรงกันว่าการตัดสิน

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่65 การตัดสินใจ

    "หากต้องการเห็นฝีมือที่แท้จริงของข้า ด้วยระดับพลังของท่านในตอนนี้ยังนับว่าไม่คู่ควรสักเท่าไหร่นัก!" หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นด้วยความเคร่งขรึมเนตรแห่งสวรรค์ส่งข้อมูลให้รับรู้ว่าเคล็ดวิชากระบี่ตรงหน้าที่ชายหนุ่มใช้กับตนนั้นเป็นหนึ่งสุดยอดเคล็ดวิชากระบี่ที่ขึ้นชื่อของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ การนำมาใช้กับศิษย์ใหม่เช่นนี้หนิงอ้ายมองว่าเป็นการรังแกกันเกินไปเสียหน่อย ดังนั้นเพื่อเเสดงให้ทุกคนเห็นว่าเขาไม่ใช่ลูกพลับนิ่มที่ทุกคนสามารถบีบได้โดยง่ายจึงต้องแสดงฝีมืออกมาเสียบ้างแล้วเคล็ดวิชากระบี่เจ็ดดาวเหนือของหนิงอ้ายได้ถูกปรับเปลี่ยนโดยการใช้อักขระเวทย์โบราณเข้าเสริมจึงทำให้เคล็ดวิชานี้มีอาณุภาพไปไม่ต่างบทเวทย์ระดับเซียนเสียด้วยซ้ำ เห็นแก่ที่ชายหนุ่มศิษย์สายนอกผู้นี้ที่อายุน้อยกว่า (อายุน้อยกว่าในโลกเดิม) เช่นนั้นเขาจะใช้พลังปราณเพียงสามสี่ส่วนเพื่อไม่ให้เป็นอันตรายต่ออีกฝ่ายไปมากนักก็แล้วกันมือขวาของหนิงอ้ายตวัดขึ้นกระบี่เล่มงามที่ถูกผนึกขึ้นจากปราณธาตุไฟก่อนหน้าได้สลายหายไปในอากาศ ก่อนที่รอบตัวของเด็กหนุ่มจะปรากฎขึ้นเป็นกระบี่เจ็ดเล่มที่แผ่กลิ่นอายความเหนือชั้นอหังการออกมา ก่อนที่หมุนวน

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่66 ข้าเลือก...

    'ต้าเฮยเจ้าคิดว่าทั้งสี่ตำหนักข้าควรเลือกเข้าตำหนักใดดีที่สุด?' หนิงอ้ายเอ่ยถามเจ้าตัวน้อยที่ขดอยู่ในอกเสื้อของตนผ่านกระเเสจิตเพื่อถามความคิดเห็นของอีกฝ่ายเพื่อประกอบการตัดสินใจครั้งนี้'ไม่ว่าท่านจะเลือกเข้าตำหนักใดจะมีข้าที่คอยอยู่เคียงข้างและปกป้องท่านขอรับ...' ต้าเฮยตอบกลับไปตามความคิดที่มีต่อนายท่านคนงามนี้ด้วยเพราะว่าท่านประมุขกำชับมันไว้ว่าต้องดูแลนายหญิงให้ดีที่สุด'ขอบใจเจ้ามาก เอาละ! ข้าตัดสินใจได้เเล้ว...' ในที่สุดหนิงอ้ายก็สามารถตัดสินใจเลือกตำหนักที่ตนสนใจได้แล้ว"ก่อนที่เจ้าจะเลือกเข้าสังกัดตำหนักใด จงฟังข้อเสนอของพวกข้าเสียหน่อยเถิด..." ผู้อาวุโสรุ่ยเหอเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าหนิงอ้ายมีท่าทางราวกับว่าตัดสินใจได้แล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้นับว่าสร้างความประหลาดใจแก่ศิษย์ใหม่เป็นอย่างมาก แต่บรรดาผู้อาวุโสและศิษย์สายนอกและสายในตั้งแต่ปีที่สองขึ้นไปต่างเคยเห็นหรือพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนทั้งสิ้น การให้ข้อเสนอหรือการชักชวนจากเจ้าตำหนักทั้งสี่มักจะเกิดขึ้นเสมอ ในยามที่ผู้อาวุโสเหล่านี้ต้องการให้ศิษย์ที่ตนหมายตาไว้ให้เข้าร่วมสังกัดตำหนักของตนนั่นเอง"ความสามารถและญาณสัมผัสอันล

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่67 ศิษย์ผู้สืบทอด

    ตามกฎเกณฑ์ที่ตั้งไว้ ศิษย์ใหม่ที่สามารถเอาชนะศิษย์สายนอกได้ย่อมสามารถแจ้งความประสงค์ในการเข้าสังกัดตำหนักที่ตนสนใจได้หรือแม้กระทั่งศิษย์ใหม่ที่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไม่สามารถเอาชนะได้ก็สามารถเลือกเข้าสังกัดที่ตนสนใจได้แต่ถึงอย่างไรหากศิษย์คนดังกล่าวที่แจ้งความต้องการสำหรับเข้าสังกัดในตำหนักนั้น ๆ หากว่าท่านเจ้าตำหนักพิจารณาแล้วว่าศิษย์ใหม่ผู้นั้นไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะเข้าร่วมตำหนักของตน ท่านเจ้าตำหนักก็มีสิทธิที่จะปฏิเสธความต้องการของศิษย์ใหม่เหล่านั้นได้เช่นกันเหมือนกันกับหนิงอ้ายที่แจ้งความต้องการขอเข้าสังกัดศาสตร์แห่งการรักษา ซึ่งเป็นตำหนักที่ผู้คนภายนอกหรือแม้กระทั่งศิษย์ในสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ต่างรับรู้เรื่องราวตำหนักนี้น้อยมาก ว่ากันว่าในการทดสอบศิษย์ใหม่นับสิบปีผ่านมาทางตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาไม่ได้รับศิษย์เข้าตำหนักของตนแม้แต่คนเดียว ไม่ใช่เพราะว่าไม่มีผู้ใดไม่ต้องการเข้าร่วมตำหนักนี้ เพียงแต่ว่าเจ้าตำหนักเหวินหวู่ เป็นผู้ปฏิเสธความต้องการของเหล่าศิษย์ใหม่พวกนั้นไปเสียสิ้นด้วยนิสัยแปลกประหลาดนี่เอง หลายครั้งที่ปรมจารย์เหวินหวู่ท่านนี้เดินทางไปทั่วทั้งมหาทวีปอย่างอิ

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่68 เส้นทางที่เลือก

    "เก่งมากหนิงอ้าย ท่านปู่ท่านยายและท่านแม่คงภูมิใจในตัวเจ้ามากเป็นแน่!!" ลู่ซีเอ่ยขึ้นพร้อมดึงหนิงอ้ายเข้ามากอด ทันทีที่เด็กหนุ่มออกจากลานพิธีมายังกลุ่มของพวกตนที่ยังยืนรออยู่เสียงของลู่ซีนั้นเเสดงถึงความยินดีเป็นอย่างยิ่ง แต่ถึงอย่างไรนั้นเสียงขู่ฟ่อของต้าเฮยที่ดังขึ้นจากอกเสื้อของเด็กหนุ่มราวกับว่าไม่พอใจบางอย่าง ทำให้ลู่ซีมึนงงไปชั่วครู่ก่อนที่จะผละออกจากตัวของเด็กหนุ่มไป"ลู่เกอก็เก่งมากเช่นกัน หากท่านตารู้ว่าท่านสามารถใช้สมบัติวิเศษที่ท่านตามอบให้ได้อย่างเชี่ยวชาญท่านคงภูมิใจมากเป็นแน่ อีกทั้งท่านยายและท่านแม่นั้นย่อมยินดีกับเราสองพี่น้องอย่างแน่นอนขอรับ..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับเผยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุขลู่ซีนับว่าอยู่กับเขามาตลอดตั้งแต่ได้มาอยู่ในโลกแห่งนี้ การที่หนิงอ้ายชมไม่ได้เพียงเพื่อเอาใจอีกฝ่ายเท่านั้นเพราะความสามารถของลู่ซีเมื่อเทียบกับเขาในโลกก่อนแล้วนับได้ว่าค่อนข้างสูสีเลยทีเดียว"โอ้!!นี่ข้าเป็นถึงสหายของศิษย์ผู้สืบทอดตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาเลยอย่างนั้นรึ ในวันหน้าหากได้รับบาดเจ็บจากการฝึกซ้อมเจ้าต้องรักษาข้านะหนิงอ้าย..." อี้หลินเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดีก่อนที

    Last Updated : 2025-03-06

Latest chapter

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   ( -จบเล่ม ปฐมบท 3.2- ) บทที่ 174 ความวุ่นวายที่สิ้นสุดลง

    ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 173 สมบัติเทพมารจุติ

    ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 172 การปรากฎตัวของผู้ขายวิญญาณ

    คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 171 ผู้ท้าทายที่กล้าหาญ

    การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 170 กฎเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

    หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 169 ผู้ผ่านการทดสอบ

    ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 168 เดินทางกลับสำนักศึกษา

    มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 167 การเลื่อนระดับที่เหนือล้ำ

    ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 166 ความร่วมมือ

    ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status