คลื่นวายุสังหารนับไม่ถ้วนถูกพ่นจู่โจมอย่างต่อเนื่อง หากหนิงอ้ายไม่ได้ใช้วิชาตัวเบาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ประสานไปกับพลังวิญญาณของตนจนทำให้ระดับความเร็วของเขาเป็นที่น่าตกตะลึงแล้วคงยากที่จะรอดพ้นไปจากการโจมตีจากสัตว์อสูรตรงหน้านี้ได้ แน่นอนว่าหนิงอ้ายย่อมไม่ใช่ลูกพลับนิ่มที่ปล่อยให้อีกฝ่ายมีโอกาศโจมตีตนได้ฝ่ายเดียว เพราะเขาก็ได้ใช้บทเวทย์โจมตีของตนโต้กลับไปในทุกครั้งที่มีโอกาสเช่นกัน
มหาบุปผชาติเหมันต์จำแลงลักษณ์!
ตู้ม! ตู้ม!
ทุกครั้งที่หนิงอ้ายหลบหลีกและส่งการโจมตีโต้กลับไปยังอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะ ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไหร่โทสะของสัตว์อสูรยิ่งเพิ่มขึ้น มันไม่คาดคิดว่าการปะทะกับผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิวิญญาณคนหนึ่งจะทำให้มันสูญเสียลมปราณในร่างกายไปได้มากถึงเพียงนี้
พรึบ!
ชายผ้าคลุมสีเขียวอ่อนปลิวไหวสะบัดไปตามแรงลมที่ต้านปะทะ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายสูญเสียจังหวะไม่รอให้อีกฝ่ายตั้งตัว หนิงอ้ายเร่งเร้าพลังลมปราณทั่วทั้งร่ายกาย ก่อนที่แขนขวานั้นสะสะบัดออกเบื้องหน้า ขณะใช้ออกด้วยท่าร่างเคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ เข็มโลหะสีเงินทั้งเก้าพุ่งทะยานผ่านอากาศจนเกิดเสียง ต้าเฮยที่ซ่อนตัวอยู่ได้ประสานปราณธาตุพิษอันเข้มข้นไปด้วย
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!
เสียงจากเข็มโลหะสีเงินกระทบจนเกิดเสียงดัง เข็มเงินนี้ที่ถูกแฝงเร้นไปด้วยพลังลมปราณของหนิงอ้ายและปราณธาตุพิษของต้าเฮยกระแทกเข้ากับเกล็ดผิวหนังสีแดงมันวาวนั่น แม้จะอาบเคลือบด้วยพลังลมปราณของราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณเฉกเช่นหนิงอ้าย แต่ก็ไม่อาจเจาะทะลุเกล็ดของอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะไปได้ ไม่คาดคิดว่าจะมีความแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้
แรกเริ่มก่อนหน้าเหตุการณ์ปะทะนั้น ต้าเฮยได้บอกถึงความต้องการกับเด็กหนุ่มแล้วว่ามันสามารถที่จะสังหารสัตว์อสูรตรงหน้านี้ได้ด้วยเวลาไม่ถึงหนึ่งเค่อเสียด้วยซ้ำ แต่หนิงอ้ายที่ต้องการทดสอบความสามารถขีดจำกัดฝีมือของตัวเองจึงได้แต่สั่งการให้เจ้าตัวน้อยไม่ต้องเคลื่อนไหวอันใด พร้อมกับมอบหมายหน้าที่ให้เฝ้าระวังความปลอดภัยกับลู่ซี อี้หลินและจินหั่วด้วย
เจ้าตัวน้อยเมื่อเห็นว่ามันสามารถทำประโยชน์ให้กับหนิงอ้ายได้ มันจึงตั้งใจทำตามคำสั่งอย่างแข็งขัน ยามเมื่อสัตว์อสูรที่เป็นลูกน้องของอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะประมาทไม่ระวัง ตัว มันจึงจัดการสังหารโดยในทันที...
แต่ใช่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจะไม่มีผู้ใดรับรู้ เพราะว่ากลโกงอุบายที่เกิดขึ้นย่อมไม่หลุดพ้นสายตาอันแหลมคมของเจียงเฉิงหรือเจ้าสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ เขาไม่คาดคิดว่าหนิงอ้ายจะมีสัตว์อสูรระดับสูงเช่นนี้อยู่ในการครอบครองได้ ช่างเป็นเด็กหนุ่มที่น่าสนใจเสียจริง ถึงแม้ว่าในใจยังคงรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย ว่าเหตุใดกลิ่นอายของสัตว์อสูรตัวนี้เขาจึงคุ้นชินอย่างบอกไม่ถูกเช่นนี้ได้กัน...
"วันนี้พวกเจ้าทั้งหมดอย่าหวังว่าจะรอดจากข้าไปได้!!" เสียงของอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะเอ่ยขึ้นด้วยโทสะสูงสุด ภาพตรงหน้าที่เหล่าสัตว์อสูรภายใต้บังคับบัญชาที่ต่างทยอยตกตายไปเช่นนี้นับได้ว่าเป็นการสูญเสียที่เกินจะรับไหวด้วยเพราะมันมีความหลังที่ไม่ดีกับผู้ฝึกตนสักเท่าไหร่ ดังนั้นในการทดสอบเข้าสำนักในครั้งนี้มันจึงจงใจแทรกแซงเพื่อไม่ให้รุ่นเยาว์เหล่านี้เข้าร่วมเป็นศิษย์ในสำนักได้สำเร็จและต้องการให้รุ่นเยาว์เหล่านี้เข่นฆ่ากันเพื่อความสนุกของมันที่เป็นดั่งเจ้าของชีวิตก็เท่านั้น
สิ้นเสียงของอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะแสงสีน้ำตาลเข้มทอประกายความลึกล้ำอย่างถึงที่สุด เหล่ามวลมหาวายุจากทั่วทั้งสารทิศต่างถูกชักนำมายังบริเวณนี้อย่างฉับพลันจนสามารถสังเกตได้ พริบตานั้นปรากฎเป็นร่างจำแลงของจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะสีน้ำตาลเข้มที่มีวายุคลั่งหมุนเวียนวนอยู่โดยรอบ เพียงชั่วอึดใจเดียวสิ่งนี้ได้พุ่งเข้าโจมตีหนิงอ้ายโดยทันที
"หนิงอ้าย!!!" เสียงของลู่ซี อี้หลินและจินหั่วดังขึ้นพร้อมกันด้วยความตกใจ
ร่างจำแลงของจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะได้พุ่งเข้าโจมตีสหายของพวกเราด้วยความรวดเร็วเกินกว่าที่ผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิวิญญาณจะสามารถหลบพ้นได้ทันท่วงที แม้ว่าพวกเขาทั้งสามคนอยากเข้าช่วยเหลือหนิงอ้ายมากเพียงใด แต่บรรดาสัตว์อสูรที่รายล้อมพวกเขาด้วยอำนาจแห่งมนต์สะกดใจของสัตว์อสูรระดับสูงเช่นนี้ ไหนเลยจะสามารถปลีกตัวไปได้โดยง่ายกัน
ตู้ม!
"ฮ่าฮ่าฮ่า สาแก่ใจข้ายิ่งนัก!!! เป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิวิญญาณแต่บังอาจหลบหลู่ข้า สมควรแล้วที่ต้องตกตายไปเช่นนี้..."
"..."
"มองหน้าข้าเยี่ยงนี้หมายถึงอย่างไร? พวกเจ้าทั้งสามและคนที่เหลือก็อย่าหวังว่าจะรอดไปได้!!" อสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะเอ่ยขึ้นพร้อมกับตวัดสายตามองไปโดยรอบ ในที่สุดมันก็สามารถเป็นฝ่ายชนะจนได้ แน่นอนว่ารุ่นเยาว์ที่เหลือนี้มันย่อมไม่มีทางปล่อยผ่านไปเช่นกัน
"พวกข้ามีป้ายหยกของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ สัตว์อสูรระดับนภาขั้นสูงเยี่ยงเจ้าจะรับมือกับเหล่าผู้อาวุโสของสำนักได้อย่างไร!!" สิ้นเสียงเอ่ยของลู่ซี เสียงแตกหักของป้ายหยกที่อยู่ในมือของทั้งสามคนได้ถูกบีบแตกด้วยความคับแค้นใจ ทว่าผ่านไปหลายจิบชาแล้วยังไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
"เด็กน้อย...เจ้าคิดว่าป้ายหยกนั่นจะสามารถใช้การได้ในอาณาเขตของข้าอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะผู้นี้เช่นนั้นรึ? หรือเจ้าเด็กที่ตกตายไปเมื่อครู่มันไม่ได้บอกพวกเจ้ากันว่าในบริเวณนี้ไม่สามารถใช้ป้ายหยกและทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับมิติได้ กว่าพวกน่าชังนั่นจะมาถึงพวกเจ้าคงได้ตายไปพร้อมกับเจ้าหนุ่มอวดดีคนนั้นเสียแล้วกระมัง ฮ่าฮ่าฮ่า..."
.......................................
ไม่ผิดไปจากคำพูดของอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะไปเท่าไหร่นัก บรรดาเหล่าผู้อาวุโสในห้องโถงที่เฝ้าดูเหตุการณ์ตั้งแต่ต้น ในตอนแรกที่กลุ่มรุ่นเยาว์เหล่านี้ต่างถูกสะกดไปไม่ต่างไปจากหุ่นเชิด พวกเขาต่างมีความเห็นที่ตรงกันว่าหากครบกำหนดการเข้าร่วมทดสอบแล้วพวกเขาจะส่งคนไปช่วยเหลือบรรดาเหล่ารุ่นเยาว์เหล่านี้ที่ไม่สามารถผ่านการทดสอบเป็นศิษย์เข้าร่วมสำนักในครั้งนี้
ไม่คาดคิดว่ากลุ่มของหนิงอ้ายทั้งสี่คนได้ผ่านมายังเส้นทางนี้เช่นกัน แต่ถึงอย่างไรพวกเขาต่างเชื่อมั่นว่าด้วยพรสวรรค์ของรุ่นเยาว์ทั้งสี่คนนี้ย่อมรอดพ้นไปจากการสะกดจิตของอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะและสามารถผ่านเข้ามาถึงทางเข้าของสำนักศึกษาที่อยู่ไม่ไกลแล้วจากที่ตรงนี้ได้เป็นแน่
แต่กลับคาดไม่ถึงว่ารุ่นเยาว์ทั้งสี่คนจะมีน้ำใจช่วยเหลือบรรดารุ่นเยาว์ที่ถูกสะกดจิต ด้วยการกระทำเช่นนี้ต่างถูกใจบรรดาผู้อาวุโสของแต่ละตำหนักยิ่งนัก ความมีน้ำใจในเพื่อนมนุษย์กล่าวได้ว่าเป็นอีกคุณสมบัติที่เยี่ยมยอดของผู้ฝึกตนคนหนึ่ง แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาต่างไม่คาดคิดว่ากลุ่มของหนิงอ้ายทั้งสี่คนจะตั้งใจท้าชนกับอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะเช่นนี้ นับได้ว่าเต็มไปด้วยความกล้าหาญไม่น้อย
ภาพเหตุการณ์ที่รุ่นเยาว์ทั้งสี่คนได้สอดประสานรับมือกับสัตว์อสูรอย่างเป็นหนึ่งใจเดียวกันนับว่าน่าชื่นชมยิ่ง แน่นอนว่ากลิ่นอายของวิเศษที่มีความสามารถลึกล้ำพิศดารรวมไปถึงทักษะวิญญาณยุทธ์ที่ปรากฎขึ้นของพวกเขาทั้งสี่คนเช่นนี้ นับว่าทางสำนักศึกษาได้เก็บเกี่ยวต้นกล้าที่มีความสามารถและเป็นกองกำลังอันมั่นคงของสำนักในอนาคตได้
โดยเฉพาะประสาทสัมผัสอันลึกล้ำกว่ารุ่นเยาว์ช่วงอายุเดียวกัน รวมไปถึงบทเวทย์โจมตีที่คาดว่าน่าจะเป็นระดับเทวะขึ้นไปของเด็กหนุ่มที่มีนามว่าหนิงอ้ายนั้น กลิ่นอายอันลึกล้ำของบทเวทย์ที่สัมผัสได้ย่อมเป็นเวทย์ระดับเทวะแต่ใครจะคาดคิดว่าผู้บัญชาการจะเป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิวิญญาณคนหนึ่งที่มีอายุเพียงสิบห้าสิบหกปี นี่ช่างเป็นเรื่องที่น่าแปลกประหลาดใจเสียจริง
แม้จะเป็นห่วงเด็กหนุ่มทั้งสี่คนรวมไปถึงรุ่นเยาว์ที่หมดสติไปอีกหลายสิบชีวิต ที่ตอนนี้ได้อยู่ในม่านปราการป้องกันของสมบัติวิเศษระดับสูงชิ้นหนึ่ง หากไม่ผิดไปแล้วละก็กลิ่นอายที่พวกเขาสัมผัสได้นั้นย่อมเป็นสมบัติวิเศษประจำตระกูลจินเป็นแน่ ดูแล้วเด็กหนุ่มที่มีนามว่าจินหั่วนั้นคงเป็นว่าที่ผู้สืบทอดตระกูลจินคนต่อไป จึงทำให้สามารถครอบครองสมบัติประจำตระกูลเช่นนี้ได้
สำหรับเด็กหนุ่มที่มีนามว่าอี้หลินแม้ว่าในยามปกติจะเต็มไปด้วยความซุกซนสมกับวัย แต่เมื่อต้องปะทะรับมือหรือพบกับสถานการณ์ตึงเครียด ตัวคนนั้นกลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความจริงจังไร้ซึ่งความโลเลอีกต่อไป กลิ่นอายของอัคคีเพลิงที่ปลดปล่อยออกมาย่อมเป็นสุดยอดวิชาของตระกูลอี้อย่างแน่นอน เช่นนั้นแล้วเด็กหนุ่มคนนี้ฐานะในตระกูลคงไม่ธรรมดาสามัญเป็นแน่เพราะถึงกับสามารถบัญชาการและเรียนรู้อัคคีเพลิงของตระกูลได้อย่างเชี่ยวชาญยิ่งนัก
กับเด็กหนุ่มที่มีนามว่าลู่ซี การปรากฏขึ้นของสมบัติวิเศษระดับสูงดั่งเช่นบัญชาการแห่งเทพอสูรอันเป็นสมบัติวิเศษอันสร้างชื่อของประมุขตระกูลหวังจิ่งหลง ย่อมคาดเดาได้ถึงน้ำหนักในใจของเด็กหนุ่มคนนี้ที่มีต่อประมุขของตระกูลไม่น้อย เพราะการจะมอบสมบัติวิเศษประจำตัวให้กับผู้ใดนั้นย่อมหมายถึงว่าคนผู้นั้นย่อมมีความสำคัญมากเพียงใด
ด้วยสมบัติวิเศษระดับสูงรวมไปถึงบทเวทย์อหังการที่ผู้เรียกใช้โดยเด็กหนุ่มทั้งสามคนย่อมทำให้พวกเขาคลายกังวลใจไปไม่น้อย พร้อมกันนั้นพวกเขาต่างลุ้นเอาใจช่วยอีกฝ่าย ทว่าทางฝั่งของเด็กหนุ่มนามว่าหนิงอ้ายเป็นจังหวะเดียวกันที่พวกเขาได้เห็นท่าไม้ตายของอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะเข้าโจมตีอย่างรวดเร็ว ที่ว่าด้วยความเร็วของผู้ฝึกตนระดับเทวะวิญญาณก็ใช่ว่าจะสามารถหลบหนีได้โดยง่าย
พลังโจมตีอันอหังการได้เข้าโจมตีเด็กหนุ่มจนเกิดเสียงดังลั่นและเต็มไปด้วยฝุ่นควันที่ไม่อาจรับรู้ได้ว่าเด็กหนุ่มจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร เสียงตะโกนอันกราดเกลี่ยวของรุ่นเยาว์ทั้งสามคนดังขึ้นพร้อมกับเสียงแตกหักของป้ายหยกประจำตัวชั่วคราวได้ดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง ผู้อาวุโสคุมกฎหนึ่งที่เตรียมตัวแต่แรกพร้อมจะเข้าไปในค่ายกลส่งภาพแต่กลับไม่สามารถเข้าไปได้ พวกเขาจึงได้รับรู้โดยพร้อมกันว่า ในบริเวณแห่งนั้นได้ถูกปิดกั้นจากอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะไปแล้ว
สายตาของทุกคนต่างทอดมองไปยังเจียงเฉิงผู้เป็นเจ้าสำนักสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ แต่ทว่าไม่มีสิ่งใดที่ถูกเอ่ยขึ้นเเต่อย่างใด รวมไปถึงท่าทางภายนอกยังแสดงออกมาอย่างไรความวิตกกังวลต่อสถานการณ์ตรงหน้า เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วเหล่าผู้อาวุโสที่ในตอนแรกต่างจะเอ่ยขึ้นบางสิ่งอย่างแต่กลับถูกเสียงหนึ่งขัดจังหวะขึ้นมาเสียก่อน
"พวกท่านดูตรงนั้น!!!"
..................................
"วาจาใหญ่โตจริงตาเฒ่า คิดจะสังหารสหายของข้าหนิงอ้ายผู้นี้ เจ้าถึงพร้อมไปด้วยความสามารถเช่นนั้นรึ??"
"อย่างนี้ดีหรือไม่? หากตาเฒ่ายินยอมตกลงเป็นสัตว์อสูรในพันธะให้กับสหายของข้า...เช่นนั้นแล้วข้าจะละเว้นโทษตายของเจ้าดีหรือไม่??" เสียงของหนิงอ้ายดังขึ้น ก่อนที่ร่างของเด็กหนุ่มได้ทะยานขึ้นจากหลุมลึกโดยไร้ซึ่งรอยขีดข่วนใด ที่ปรากฎเป็นเพียงรอยเปื้อนบนเสื้อผ้าเท่านั้นสิ่งนี้จึงทำสหายทั้งสามคน รวมไปถึงผู้ที่เฝ้ามองเหตุการณ์อยู่ต่างตกใจเป็นอย่างมาก ที่เด็กหนุ่มไม่เป็นอะไรจากโจมตีเมื่อครู่
"ตัวข้าเป็นถึงราชาผู้ปกครอง ผู้สืบเชื้อสายจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะ แม้จะมีสายเลือดบรรพกาลเพียงเศษเสี้ยวแต่ก็ถือว่าเต็มไปด้วยศักดิ์ศรีและความเหนือชั้นกว่าเผ่าพันธ์เดียวกัน เด็กน้อยเช่นเจ้าอาจหาญถึงเพียงนี้เชียวรึ? ช่างใจกล้าเสียจริง!!!" เสียงของอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะตวาดกร้าวเสียงแข็ง มันไม่คาดคิดว่าความแข็งแกร่งของสายเลือดที่มันภาคภูมิใจจะถูกทำลายลงด้วยฝีมือของรุ่นเยาว์คนหนึ่ง
"หนิงอ้ายผู้นี้ย่อมเต็มไปด้วยคุณสมบัติจะเอ่ยกับท่านเช่นนี้ได้ ข้าให้โอกาสตาเฒ่าอีกครั้งในการตอบรับคำเชิญ เจ้าจักยินยอมตกลงเป็นสัตว์อสูรในพันธะของสหายข้าหรือไม่!!!" หนิงอ้ายยกยิ้มมุมปากพร้อมกับเอ่ยออกไปพร้อมกับจิตสังหารอันกร้าวแข็ง ไม่คาดคิดสิ่งนี้จะเกิดขึ้นจากเด็กหนุ่มที่อายุเพียงสิบห้าสิบหกนี้ชวนให้ทุกคนต่างตกตะลึงเป็นอย่างยิ่ง
"โอหังยิ่ง!!! ต่อให้เป็นตายอย่างไรข้าก็ไม่ยอมไปเป็นสัตว์อสูรรับใช้อย่างแน่นอน เช่นนั้นก็ตายเสียเถอะพวกเจ้าทั้งหมด!!!" อสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะตะโกนดังก้องไปทั่วทั้งผืนฟ้า ก่อนที่จะสังเวยอายุขัยหลายร้อยปีเพื่อแลกกับพลังตบะทะลุขอบขั้นไปถึงระดับมายาขั้นต่ำที่เทียบเท่าได้กับราชทินนามเทวะวิญญาณขั้นสามัญผู้หนึ่ง ด้วยหมายที่จะทำลายทุกสิ่งในบริเวณแห่งนี้ให้หมดไปสิ้น
"เช่นนั้นตาเฒ่าเช่นเจ้าจงตกตายไปพร้อมกับความอวดดีเช่นนี้เถอะ!!" หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นอย่างเลือดเย็น
หนิงอ้ายหลับตาเพ่งสมาธิ ก่อนจะโคจรพลังลมปราณตามสุดยอดเคล็ดวิชาที่ตนคุ้นเคยเป็นอย่างดี ลมปราณกล้าแกร่งได้พวยพุ่งโดยรอบตัวจากนั้นวงแหวนวิญญาณสีเหลืองเข้มซ้อนกันสามวงด้านหลังเปรียบดั่งสัญลักษณ์ของราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณขั้นสูง กลิ่นอายของกระดูกวิญญาณอายุสี่พันปีได้สร้างความตกตะลึงแก่ผู้พบเห็น ก่อนที่จะปรากฏร่างจำแลงของอสูรแมงป่องแปดขามัจจุราชขนาดใหญ่ที่ครอบทับตัวของเด็กหนุ่มในทันที
"วิญญาณยุทธ์พัดหยกห้าเซียนมรกตเร้นลับ ทักษะวิญญาณผันแปรที่หนึ่งราชันย์แมงป่องอสรพิษมัจจุราชมรณะ สำแดงเดช!!"
สิ้นเสียงของหนิงอ้ายร่างจำแลงอันเกิดจากกระดูกวิญญาณอายุสี่พันปี เงาร่างของอสูรแมงป่องแปดขามัจจุราชที่ถูกเสริมความแข็งแกร่งจากกระดูกวิญญาณอสรพิษเหมันต์บรรพกาลจนเกิดเป็นทักษะวิญญาณผันแปรที่แข็งกร้าวยิ่ง ไม่รั้งรอให้หนิงอ้ายบัญชาการ สุดยอดเงาร่างที่ถูกสอดประสานนี้ได้พุ่งเข้าโจมตีอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะอย่างไม่ทันตั้งตัว
ลิ่มเหล็กในสีเขียวดำนับร้อยนับพันปรากฎขึ้นจากพื้นที่ว่างเปล่าโดยรอบพุ่งเข้าโจมตีอย่างรวดเร็วพร้อมกับกลิ่นคาวเลี่ยนของพิษอหังการ เมื่อตกกระทบสิ่งใดล้วนต่างระเหยกลายเป็นไอพิษทั้งสิ้น ก่อนที่ส่วนหางที่มีลิ่มเหล็กในฝังอยู่จะตวัดพุ่งตรงไปยังจุดตันเถียรของอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะที่เป็นดั่งจุดกลางของพลังวิญญาณบ่มเพาะตบะของสัตว์อสูรได้ถูกทำลายลงร่างกายของอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะไม่ต่างไปจากสัตว์อสูรทั่วไปคงไม่เกินจริงไปนัก
"หัตถ์หยกบุษกรพุทธอัคคีพิโรธ!!"
หนิงอ้ายเลือกจบชีวิตของอีกฝ่ายที่กำลังดีดดิ้นทรมานนี้ด้วยสุดยอดเคล็ดวิชาฝ่ามือของเขา เด็กหนุ่มสูญเสียพลังวิญญาณไปอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ร่ายบทเวทย์โจมตีระดับเทวะ รวมไปถึงการฝืนใช้ทักษะวิญญาณผันแปรที่พึ่งฝึกฝนสำเร็จเมื่อไม่นานมานี้ ยามร่างกายมีพลังลมปราณไม่พร้อมย่อมส่งผลเสียต่ออีกฝ่ายไม่น้อย
"หนิงอ้ายเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง??"เสียงของลู่ซีถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง แม้ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาจะตกใจกับความอหังการของเด็กหนุ่มเมื่อครู่แต่ถึงอย่างไรความเป็นห่วงที่มีต่ออีกฝ่ายก็มีมากกว่าเช่นกัน
หลังจากที่อสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะตายตกไปบรรดาสัตว์อสูรที่ต่างถูกสะกดจิตในก่อนหน้าต่างฟื้นคืนสติและหนีหายไปสิ้น ดังนั้นพวกเขาทั้งสามคนจึงสลายเวทย์ป้องกันและสมบัติวิเศษก่อนที่จะเข้ามาถามสหายของตนด้วยความเป็นห่วง
"ทุกคนสบายใจได้ข้าปลอดภัยดีไม่ต้องเป็นห่วง อสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะได้ตายตกไปแล้วอีกไม่นานกลุ่มคนเหล่านี้ย่อมกลับมาฟื้นสติเช่นเดิมข้าว่าพวกเรารีบเดินทางไปยังทางเข้าของสำนักศึกษากันก่อนดีกว่า จากนั้นค่อยพูดคุยกันดีหรือไม่??"
เมื่อเด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นมาอย่างนั้นแล้ว พวกเขาทั้งสามคนต่างส่งสายตาสำรวจอีกฝ่ายด้วยความเป็นห่วงหนิงอ้ายเห็นท่าทางเช่นนี้อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ แน่นอนว่าเขาไม่ลืมเก็บกระดูกวิญญาณของสัตว์อสูรตรงหน้าพร้อมกับร่างไร้วิญญาณนี้ ก่อนที่ร่างบางจะพุ่งตัวออกไปด้วยเคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ในทันที
ใช้เวลาไปไม่ถึงครึ่งชั่วยามเท่านั้นจากจุดที่พวกเขาทั้งสี่คนรับมือกับอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะ คาดเดาได้ว่าน่าจะผ่านพ้นเขตป่าไป๋เซินหลินแล้ว เพราะบริเวณโดยรอบนี้ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้รวมไปถึงทุกสิ่งอย่างได้กลับมามีสีสันเขียวขจีอย่างที่ควรจะเป็นแล้ว เมื่อมองไปไม่ไกลเห็นป้ายหยกแกะสลักนามของสำนักศึกษา
"ในที่สุดพวกเราก็มาถึงทางเข้าของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์เสียที..."
ทางฝั่งผู้อาวุโสของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งใจ เมื่อพวกเขาเห็นว่ากลุ่มของหนิงอ้ายทั้งสี่คนสามารถจัดการอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะได้สำเร็จ แม้ว่าตอนนี้จะยังมีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ชายหญิงมากกว่าหลายสิบคนที่ยังไม่ฟื้นคืนสติก็ตามอำนาจสะกดใจที่เคยควบคุมไม่ต่างหุ่นเชิดไร้ซึ่งแรงต้านทาน เมื่อสัตว์อสูรนายแห่งพันธะดังกล่าวได้ตกตายไป ร่างกายของพวกเขาจะไม่ได้รับผลกระทบต่อวิถีทางแห่งผู้ฝึกตนในวันข้างหน้า หลังจากนี้เพียงไม่กี่ชั่วยามย่อมที่จะฟื้นสติกลับมาได้ดังเดิม หากว่ากลุ่มของรุ่นเยาว์เหล่านี้สามารถเดินทางมาถึงประตูทางเข้าของสำนักศึกษาได้สำเร็จ นั่นเท่ากับว่าในปีนี้ทางสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ได้รับศิษย์ใหม่มากที่สุดของทางสำนักเลยทีเดียว"ในที่สุดพวกเขาทั้งสี่คนก็มาถึงประตูทางเข้าของสำนักได้เสียที บอกตามตรงว่าที่ผ่านมาในตำแหน่งผู้อาวุโสของสำนัก ได้เห็นการคัดเลือกศิษย์ใหม่มามากมายนับไม่ถ้วน ทว่าไม่มีครั้งใดซักครั้งที่ทำให้ข้าเกือบหัวใจจะวายเช่นนี้ได้!!" ผู้อาวุโสชราร่างเล็กคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเสียงดังราวกับอัดอั้นมาแสนนาน พร้อมกับถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกที่เด็
เหล่าผู้คุ้มกันเห็นว่ารุ่นเยาว์ทั้งสี่คนเดินห่างออกไปแม้ภายนอกพวกเขาจะยังคงเต็มไปด้วยความเคร่งครึมและใบหน้าเรียบเฉย แต่ภายในกลับสื่อสารกันภายในจิตยิ่งกว่า'เด็กคนนั้นไม่เลวเลยทีเดียว…''ข้าว่าปีนี้คงมีศิษย์ใหม่เข้าร่วมสำนักเยอะที่สุดในประวัติการณ์ ยังมีอีกกลุ่มหนึ่งที่กำลังมุ่งตรงเข้ามาในอีกไม่กี่ชั่วยามแล้ว...' ผู้อาวุโสคนหนึ่งที่มีญาณสัมผัสลึกล้ำเอ่ยเสริมขึ้น'เด็กหนุ่มตัวเล็กที่สุดน่าสนใจอย่างบอกไม่ถูก ข้าว่าในปีนี้ข้าอาจจะเข้าร่วมทดสอบเป็นผู้อาวุโสฝ่ายในก็เป็นไปได้…' ชายวัยกลางคนผู้เป็นหัวหน้าคุ้มกันที่คุยกับกลุ่มของหนิงอ้ายเอ่ยขึ้นอย่างมีเลศนัย ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนเรื่องพูดคุยเป็นเรื่องอื่นที่ต่างเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในมุมมองของตนเองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ก็ไม่ต่างไปจากผู้อาวุโสในห้องโถงหลักของสำนักสักเท่าไหร่นัก พวกเขาทั้งหลายยังคงเฝ้ามองสิ่งที่เกิดขึ้นค่ายกลส่งภาพ ในใจพวกเขาต่างรู้สึกอยู่ในใจว่าการรับศิษย์ใหม่ในปีนี้ช่างเต็มไปด้วยเรื่องราวที่แปลกประหลาดใจเสียจริง...ทางฝั่งกลุ่มของหนิงอ้ายทั้งสี่คนต่างพากันเดินไปไม่ไกลไปจากประตูของสำนักทางด้านฝั่งซ้ายมือ ก่อนที่จะเลือ
ทางฝั่งผู้อาวุโสที่เฝ้ามองกลุ่มของหนิงอ้ายผ่านค่ายกลส่งภาพนี้ พวกเขาต่างล้วนอยากรู้ว่าเด็กหนุ่มนั้นล่วงรู้ถึงแบบทดสอบในวันพรุ่งนี้จริงหรือไม่? เพราะหากเด็กหนุ่มทราบจริงนี่ออกจะเหลือเชื่อเกินไปสักหน่อยแล้วการทดสอบครั้งถัดไปเป็นท่านเจ้าสำนักและท่านรองเจ้าสำนักเป็นผู้ดูแลด้วยตนเอง เหล่าผู้อาวุโสตอนนี้ต่างจ้องมองกลุ่มของหนิงอ้ายสลับไปมากับทางฝั่งของทั้งสองคนผู้สูงศักดิ์ในสำนักศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการทดสอบที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้…"ให้ข้าเปิดเผยความลับสวรรค์ให้เช่นนั้นรึ? หากว่าเจ้าสามารถหยุดพูดไปถึงหนึ่งเค่อข้าจักยอมทำนายให้แก่เจ้าก็แล้วกัน..." ท่าทางของหนิงอ้ายที่แสดงออกมาช่างดูเหมาะสมกับช่วงวัยสิบห้าสิบหกยิ่งท่าทางหยอกล้อที่เต็มไปด้วยความสดใสทำเอาผู้ที่แอบเฝ้ามอง? ผ่านดวงตากลมโตสีแดงชาด อดที่จะขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้ดูท่าแล้วตนคงต้องรีบไปพบเจ้ากระต่ายน้อยของตนให้เร็วที่สุด"หนิงอ้าย ไม่สิ!! เจ้าเป็นใครกันสหายของข้าไม่เคยพูดเล่นเช่นนี้ ไม่นะ!! เอาสหายข้าคืนมา..." เมื่อเห็นเด็กหนุ่มส่งมาแบบนั้นแล้ว อี้หลินจึงทำการละเล่นตอบกลับไปใหญ่โตกว่าเดิมหลายเท่า ท่ามกลางสายตาของลู่ซีและจินหั่วที่สายหัว
"หนิงอ้ายเจ้าคิดว่าปีนี้การทดสอบจะเป็นอย่างไร?" หลี่ซวงถามขึ้นหลังจากที่พวกเขาใช้เวลาพูดคุยกันไปหลายชั่วยาม นับว่าเป็นสหายที่พูดคุยกันได้ถูกคอยิ่ง"ข้าคิดว่าผู้อาวุโสที่คอยกำกับดูแลในเรื่องนี้คงไม่ได้มีการทดสอบที่ยากจนเกินไป เพราะว่าแต่ละปีจำนวนของผู้ฝึกตนที่ผ่านการทดสอบแรกก็มีจำนวนน้อยอยู่แล้ว หากหลังจากนี้การทดสอบยังเป็นสิ่งที่ยุ่งยากอีก ข้าว่าทางสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์คงไม่ได้ศิษย์ใหม่เลยซักคนเป็นแน่..." หนิงอ้ายตอบกลับไปตามความคิดของตนเพราะสำหรับจำนวนผู้ฝึกตนที่ผ่านการทดสอบแรกจนมาถึงประตูทางเข้าของสำนักก็ว่ามีจำนวนน้อยมากแล้ว หากยังมีการทดสอบที่ยุ่งยากเขาเกรงว่าสิ่งที่เขาตอบไปอาจเกิดขึ้นจริงก็เป็นได้"ก็จริงของเจ้านะหนิงอ้าย ฮ่าฮ่าฮ่า" ชายหนุ่มที่เหลือทั้งห้าคนต่างหัวเราะขึ้นเสียงดังกับคำตอบที่หนิงอ้ายได้เอ่ยจบไปเมื่อครู่อย่างอดใจไม่ได้ทางฝั่งของผู้อาวุโสที่เฝ้ามองอยู่ในค่ายกลส่งเมื่อพวกเขาคิดตามคำพูดของเด็กหนุ่มก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้เช่นกัน เรื่องของจำนวนศิษย์ใหม่ในแต่ละปีมีจำนวนน้อยเพียงใดพวกเขาต่างกระจ่างใจเป็นที่สุด...ด้วยจำนวนของผู้ผ่านการทดสอบแรกนี้มีจำนวน
เมื่อพลังวิญญาณได้ผสานลงไปในป้ายหยกที่ได้รับต่างรู้สึกได้ถึงพลังอันแปลกประหลาดอันทรงพลังแข็งแกร่ง และยังคงกลิ่นอายของความศักดิ์สิทธิ์โบราณยังคงถูกรักษาไว้ไม่ให้สูญสลายไปตามกาลเวลา พลังประหลาดนี้ได้ไหลเวียนไปทั่วทั้งร่างกายอย่างไร้ซึ่งสิ่งใดต่อต้านได้ทั้งสิ้นเพียงอึดใจเดียวแสงสว่างที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าได้กระตุ้นให้พวกเขาทุกคนต้องลืมตาขึ้น ภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าคือลานพิธีขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ปราณธาตุน้ำแข็งศักดิ์สิทธิ์ที่มีความแวววาวและมีคุณสมบัติที่คงทนเป็นอันดับต้น ๆ ในยุทธภพกล่าวว่าหาได้ยากยิ่งในการครอบครองแม้เพียงขนาดเท่ากำปั้นมือ ทว่าทางสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์เองกลับใช้แร่ปราณธาตุน้ำแข็งศักดิ์สิทธิ์นี้ในการสร้างลานพิธีแห่งนี้ขึ้น หากสังเกต ก็จะพบว่าทุกสิ่งก่อสร้างที่อยู่ในอาณาเขตของสำนักศึกษาที่สามารถสองเห็นได้นั้นต่างถูกทำขึ้นจากแร่ปราณธาตุน้ำแข็งศักดิ์สิทธิ์ไม่ต่างกันทั้งสิ้นความรู้สึกที่สัมผัสได้ทำให้ตัวตนของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ในใจของพวกเขารุ่นเยาว์ชายหญิงที่เป็นศิษย์ใหม่ต่างถูกยกสูงไปอีกไม่รู้กี่เท่า แน่นอนว่าพวกเขาต่างคิดเห็นตรงกันว่าการตัดสิน
"หากต้องการเห็นฝีมือที่แท้จริงของข้า ด้วยระดับพลังของท่านในตอนนี้ยังนับว่าไม่คู่ควรสักเท่าไหร่นัก!" หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นด้วยความเคร่งขรึมเนตรแห่งสวรรค์ส่งข้อมูลให้รับรู้ว่าเคล็ดวิชากระบี่ตรงหน้าที่ชายหนุ่มใช้กับตนนั้นเป็นหนึ่งสุดยอดเคล็ดวิชากระบี่ที่ขึ้นชื่อของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ การนำมาใช้กับศิษย์ใหม่เช่นนี้หนิงอ้ายมองว่าเป็นการรังแกกันเกินไปเสียหน่อย ดังนั้นเพื่อเเสดงให้ทุกคนเห็นว่าเขาไม่ใช่ลูกพลับนิ่มที่ทุกคนสามารถบีบได้โดยง่ายจึงต้องแสดงฝีมืออกมาเสียบ้างแล้วเคล็ดวิชากระบี่เจ็ดดาวเหนือของหนิงอ้ายได้ถูกปรับเปลี่ยนโดยการใช้อักขระเวทย์โบราณเข้าเสริมจึงทำให้เคล็ดวิชานี้มีอาณุภาพไปไม่ต่างบทเวทย์ระดับเซียนเสียด้วยซ้ำ เห็นแก่ที่ชายหนุ่มศิษย์สายนอกผู้นี้ที่อายุน้อยกว่า (อายุน้อยกว่าในโลกเดิม) เช่นนั้นเขาจะใช้พลังปราณเพียงสามสี่ส่วนเพื่อไม่ให้เป็นอันตรายต่ออีกฝ่ายไปมากนักก็แล้วกันมือขวาของหนิงอ้ายตวัดขึ้นกระบี่เล่มงามที่ถูกผนึกขึ้นจากปราณธาตุไฟก่อนหน้าได้สลายหายไปในอากาศ ก่อนที่รอบตัวของเด็กหนุ่มจะปรากฎขึ้นเป็นกระบี่เจ็ดเล่มที่แผ่กลิ่นอายความเหนือชั้นอหังการออกมา ก่อนที่หมุนวน
'ต้าเฮยเจ้าคิดว่าทั้งสี่ตำหนักข้าควรเลือกเข้าตำหนักใดดีที่สุด?' หนิงอ้ายเอ่ยถามเจ้าตัวน้อยที่ขดอยู่ในอกเสื้อของตนผ่านกระเเสจิตเพื่อถามความคิดเห็นของอีกฝ่ายเพื่อประกอบการตัดสินใจครั้งนี้'ไม่ว่าท่านจะเลือกเข้าตำหนักใดจะมีข้าที่คอยอยู่เคียงข้างและปกป้องท่านขอรับ...' ต้าเฮยตอบกลับไปตามความคิดที่มีต่อนายท่านคนงามนี้ด้วยเพราะว่าท่านประมุขกำชับมันไว้ว่าต้องดูแลนายหญิงให้ดีที่สุด'ขอบใจเจ้ามาก เอาละ! ข้าตัดสินใจได้เเล้ว...' ในที่สุดหนิงอ้ายก็สามารถตัดสินใจเลือกตำหนักที่ตนสนใจได้แล้ว"ก่อนที่เจ้าจะเลือกเข้าสังกัดตำหนักใด จงฟังข้อเสนอของพวกข้าเสียหน่อยเถิด..." ผู้อาวุโสรุ่ยเหอเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าหนิงอ้ายมีท่าทางราวกับว่าตัดสินใจได้แล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้นับว่าสร้างความประหลาดใจแก่ศิษย์ใหม่เป็นอย่างมาก แต่บรรดาผู้อาวุโสและศิษย์สายนอกและสายในตั้งแต่ปีที่สองขึ้นไปต่างเคยเห็นหรือพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนทั้งสิ้น การให้ข้อเสนอหรือการชักชวนจากเจ้าตำหนักทั้งสี่มักจะเกิดขึ้นเสมอ ในยามที่ผู้อาวุโสเหล่านี้ต้องการให้ศิษย์ที่ตนหมายตาไว้ให้เข้าร่วมสังกัดตำหนักของตนนั่นเอง"ความสามารถและญาณสัมผัสอันล
ตามกฎเกณฑ์ที่ตั้งไว้ ศิษย์ใหม่ที่สามารถเอาชนะศิษย์สายนอกได้ย่อมสามารถแจ้งความประสงค์ในการเข้าสังกัดตำหนักที่ตนสนใจได้หรือแม้กระทั่งศิษย์ใหม่ที่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไม่สามารถเอาชนะได้ก็สามารถเลือกเข้าสังกัดที่ตนสนใจได้แต่ถึงอย่างไรหากศิษย์คนดังกล่าวที่แจ้งความต้องการสำหรับเข้าสังกัดในตำหนักนั้น ๆ หากว่าท่านเจ้าตำหนักพิจารณาแล้วว่าศิษย์ใหม่ผู้นั้นไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะเข้าร่วมตำหนักของตน ท่านเจ้าตำหนักก็มีสิทธิที่จะปฏิเสธความต้องการของศิษย์ใหม่เหล่านั้นได้เช่นกันเหมือนกันกับหนิงอ้ายที่แจ้งความต้องการขอเข้าสังกัดศาสตร์แห่งการรักษา ซึ่งเป็นตำหนักที่ผู้คนภายนอกหรือแม้กระทั่งศิษย์ในสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ต่างรับรู้เรื่องราวตำหนักนี้น้อยมาก ว่ากันว่าในการทดสอบศิษย์ใหม่นับสิบปีผ่านมาทางตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาไม่ได้รับศิษย์เข้าตำหนักของตนแม้แต่คนเดียว ไม่ใช่เพราะว่าไม่มีผู้ใดไม่ต้องการเข้าร่วมตำหนักนี้ เพียงแต่ว่าเจ้าตำหนักเหวินหวู่ เป็นผู้ปฏิเสธความต้องการของเหล่าศิษย์ใหม่พวกนั้นไปเสียสิ้นด้วยนิสัยแปลกประหลาดนี่เอง หลายครั้งที่ปรมจารย์เหวินหวู่ท่านนี้เดินทางไปทั่วทั้งมหาทวีปอย่างอิ
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต
มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล
ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย