Share

บทที่65 การตัดสินใจ

"หากต้องการเห็นฝีมือที่แท้จริงของข้า ด้วยระดับพลังของท่านในตอนนี้ยังนับว่าไม่คู่ควรสักเท่าไหร่นัก!" หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นด้วยความเคร่งขรึม

เนตรแห่งสวรรค์ส่งข้อมูลให้รับรู้ว่าเคล็ดวิชากระบี่ตรงหน้าที่ชายหนุ่มใช้กับตนนั้นเป็นหนึ่งสุดยอดเคล็ดวิชากระบี่ที่ขึ้นชื่อของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ การนำมาใช้กับศิษย์ใหม่เช่นนี้หนิงอ้ายมองว่าเป็นการรังแกกันเกินไปเสียหน่อย ดังนั้นเพื่อเเสดงให้ทุกคนเห็นว่าเขาไม่ใช่ลูกพลับนิ่มที่ทุกคนสามารถบีบได้โดยง่ายจึงต้องแสดงฝีมืออกมาเสียบ้างแล้ว

เคล็ดวิชากระบี่เจ็ดดาวเหนือของหนิงอ้ายได้ถูกปรับเปลี่ยนโดยการใช้อักขระเวทย์โบราณเข้าเสริมจึงทำให้เคล็ดวิชานี้มีอาณุภาพไปไม่ต่างบทเวทย์ระดับเซียนเสียด้วยซ้ำ เห็นแก่ที่ชายหนุ่มศิษย์สายนอกผู้นี้ที่อายุน้อยกว่า (อายุน้อยกว่าในโลกเดิม) เช่นนั้นเขาจะใช้พลังปราณเพียงสามสี่ส่วนเพื่อไม่ให้เป็นอันตรายต่ออีกฝ่ายไปมากนักก็แล้วกัน

มือขวาของหนิงอ้ายตวัดขึ้นกระบี่เล่มงามที่ถูกผนึกขึ้นจากปราณธาตุไฟก่อนหน้าได้สลายหายไปในอากาศ ก่อนที่รอบตัวของเด็กหนุ่มจะปรากฎขึ้นเป็นกระบี่เจ็ดเล่มที่แผ่กลิ่นอายความเหนือชั้นอหังการออกมา ก่อนที่หมุนวนโดยรอบเด็กหนุ่มราวกับว่าเป็นปราการกระบี่เสียอย่างนั้น สองมือของเด็กหนุ่มยังคงตวัดไปมาเพื่อบัญชาการกระบี่เหล่านี้

แม้ว่าจะต้องใช้ลมปราณในร่างกายไปไม่น้อย แต่ด้วยเพราะหนิงอ้ายได้ใช้เวทย์มหาทวีจิตะอนันต์ไปพร้อมกัน จึงทำให้เขานั้นสามารถใช้บทเวทย์พร้อมกันสองบทในคราเดียว ความพิศดารล้ำลึกในการบัญชาการเคล็ดวิชากระบี่และการใช้พลังปราณได้อย่างลึกล้ำเช่นนี้เมื่อปรากฎในเด็กหนุ่มอายุเพียงสิบห้าสิบหกปีเท่านั้นนับว่าสร้างความประหลาดใจแก่ผู้ที่พบเห็นยิ่งนัก...

"เคล็ดวิชากระบี่นี้ถูกเสริมแต่งด้วยอักขระเวทย์โบราณไม่ทราบว่าเป็นผู้ใดคิดค้น แต่หากกล่าวว่าผู้คิดค้นเป็นอัจฉริยะแล้วนั้นแต่การที่เด็กอายุสิบห้าสิบหกปีคนหนึ่งสามารถสำแดงความสามารถของเพลงกระบี่ได้ ข้าอยากให้เด็กคนนี้เป็นศิษย์ของตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้ของข้ายิ่งนัก..." เจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยขึ้นด้วยความชื่นชมและด้วยคำกล่าวนี้ทำเอาศิษย์สายในของตำหนักที่อยู่โดยรอบกายของผู้อาวุโสท่านนี้ถึงกับตกตะลึงกันเลยทีเดียว

"ฝันไปเถอะตาเฒ่า อย่างไรข้าก็ต้องได้เจ้าเด็กหนิงอ้ายผู้นี้มาเป็นศิษย์ของข้าอย่างแน่นอน" หญิงวัยกลางคนผู้เป็นเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยขึ้นโดยทันที เพราะตนมองออกว่าเด็กหนุ่มยังเก็บงำประกายความสามารถของตนและแสดงออกมาเพียงสองสามส่วนก็เท่านั้น

"เด็กหนุ่มนามว่าหนิงอ้ายผู้นี้นั้นมีปราณธาตุไฟต้นกำเนิดที่บริสุทธิ์สิบส่วนหาได้ยากยิ่งในรอบหลายร้อยปี เช่นนั้นหากเด็กหนุ่มเลือกเข้าตำหนักศาสตร์แห่งศาสตราวุธของข้าแล้ว ด้วยทรัพยากรและเคล็ดวิชาส่วนตัวของข้าย่อมทำให้เขานั้นก้าวสู่ระดับแถวหน้าของนักหลอมสร้างในยุทธภพได้อย่างแน่นอน..." ผู้เป็นเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งศาสตราวุธเอ่ยขึ้นด้วยความมั่นใจ สายตาของเขายังคงจ้องมองเด็กหนุ่มด้วยความตื่นเต้นด้วยเพราะความบริสุทธิ์ทั้งสิบส่วนของปราณธาตุไฟต้นกำเนิดนั้นหาได้ยากยิ่ง

ความวุ่นวายและการถกเถียงที่เกิดขึ้นนี้ต่างตกอยู่ในสายตาของผู้อาวุโสและพันธมิตรของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ที่เข้ามาร่วมกับชมการทดสอบของศิษย์ใหม่ในครั้งนี้ แน่นอนว่าจุดสนใจของพวกเขาทั้งหลายในที่นี้ต่างตกอยู่ที่เด็กหนุ่มที่มีนามว่าหนิงอ้ายที่ตอนนี้ได้อยู่ตรงสนามประลองที่คาดเดาได้อย่างไม่ยากนักว่าท้ายที่สุดนี้จะเป็นใครกันที่เป็นผู้ชนะ

"หนิงอ้ายอายุเพียงสิบห้าสิบหกปีเท่านี้แต่กลับสามารถใช้เคล็ดวิชากระบี่ได้เชี่ยวชาญยิ่ง ไม่รู้ว่าเขานั้นเริ่มฝึกฝนเคล็ดวิชากระบี่นี้ตั้งแต่อายุกี่ขวบปีกัน..." อู๋ฮั่นเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นว่าเพลงกระบี่ของสหายตนนั้นมีความลึกล้ำยิ่ง

"ข้าไม่เคยเห็นเคล็ดวิชากระบี่ที่มีความรุนแรงเช่นนี้มาก่อน นี่เป็นเคล็ดวิชาประจำตระกูลของพวกเจ้าใช่หรือไม่?" จินหั่วเอ่ยถามลู่ซีสหายของตนด้วยความสงสัย เขาสนใจในศาสตร์แห่งกระบี่เป็นอย่างมากและคุ้นเคยกับเคล็ดวิชากระบี่ที่ขึ้นชื่อมาอยู่ไม่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่เคยพบเห็นเพลงกระบี่ที่มีความอหังการเช่นนี้มาก่อนเช่นกัน

"เสี่ยวอ้ายพึ่งเข้าสู่วิถีฝึกตนได้เพียงสองปีเพียงเท่านั้น สำหรับเคล็ดวิชากระบี่นี้เป็นวิชาที่อีกฝ่ายดัดแปลงขึ้นและเริ่มฝึกฝนได้เพียงไม่ถึงหนึ่งปีเท่านั้นกระมัง..." เป็นลู่ซีที่เอ่ยตอบกลับสหายของตนไปก่อนที่จะหันกลับไปสนใจผู้เป็นน้องชายของตนอีกครั้ง

โดยที่ไม่รู้ว่าทุกคนในที่นี้ต่างเป็นผู้ฝึกตนที่มากไปด้วยพรสวรรค์และมีฝีมือระดับสูง เมื่อได้ยินคำตอบเช่นนี้จึงอดที่จะมองเด็กหนุ่มที่มีนามว่าหนิงอ้ายไม่ได้ ความสามารถเช่นนี้เด็กหนุ่มนั้นย่อมขอเข้าทดสอบเป็นศิษย์สายในได้เลยเสียด้วยซ้ำ

ฟิ้ว!

ตู้ม!

ห่าฝนกระบี่ของชายหนุ่มศิษย์สายนอกนับร้อยเล่มได้กระหน่ำไปยังจุดที่หนิงอ้ายยืนอยู่อย่างรวดเร็วเสียงพุ่งผ่านลมดังขึ้นไปทั่วทั้งบริเวณ สายตาของทุกคนต่างจับจ้องว่าเด็กหนุ่มนามว่าหนิงอ้ายจะสามารถตั้งรับได้หรือไม่

แม้จะต้องเผชิญหน้ากับกระบี่นับร้อยเล่มเช่นนี้ เเต่ใบหน้าของหนิงอ้ายยังคงนิ่งสงบด้วยเพราะต้องควบคุมลมปราณเป็นอย่างมากเพราะว่าเคล็ดวิชากระบี่เจ็ดดาวเหนือนั้นนอกจากจะต้องใช้พลังลมปราณในร่างกายที่มากมายแล้วนั้นจำเป็นต้องใช้สมาธิญาณสัมผัสในการกำกับกระบี่ทั้งเจ็ดเล่ม

ทันใดนั้นเมื่อห่าฝนกระบี่ได้มาถึงกระบี่ทั้งเจ็ดเล่มของหนิงอ้ายนั้นได้หมุนวนราวกับเป็นพายุอัคคีที่แข็งแกร่งก่อนที่เพียงอึดใจเดียวกระบี่นับร้อยเล่มนั้นจะถูกดูดไปด้วย ก่อนที่กระบี่เล่มสุดท้ายจะพุ่งเข้าโจมตีชายหนุ่มสายนอกคนนั้นด้วยความรวดเร็วอย่างไม่ทันได้ตั้งตัว

ท่ามกลางสายตาตกตะลึงถึงความเหนือชั้นของเคล็ดวิชากระบี่ของเด็กหนุ่มที่สามารถต้านทานเคล็ดวิชาของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ได้ ไม่ทันให้ทุกคนได้หายใจภาพตรงหน้าพลันปรากฎเป็นกระบี่เล่มที่เจ็ดที่พุ่งเข้าโจมตีศิษย์สายนอกคู่ประลองพร้อมกับอัดกระแทกอีกฝ่ายไปชนกับม่านพลังอย่างแรงก่อนที่ร่างกายกำยำจะสลบลงไป

ก่อนที่จะมีผู้อาวุโสอีกท่านเข้าไปรักษาในทันที การประลองครั้งสุดท้ายนี้เป็นหนิงอ้ายเองที่เป็นผู้ชนะได้อย่างเต็มภาคภูมิ นับว่าเป็นสิ่งที่ตอกย้ำได้ว่าศิษย์ใหม่ในปีนี้ของทางสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์เต็มเปี่ยมไปด้วยฝีมือและพรสวรรค์อย่างแท้จริง

หนิงอ้ายหันไปมองชายหนุ่มคู่ประลองของตนอีกครั้งเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บก็จริงแต่ไม่อันตรายถึงชีวิตและไม่ได้ส่งผลกระทบไปถึงการเลื่อนระดับในวันข้างหน้าเขาจึงสบายใจขึ้นอีกหลายส่วน หากเขาใช้พลังปราณของตนไปมากกว่ากว่านี้อีกฝ่ายคงได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างแน่นอน

เมื่อทำการประลองเสร็จแล้วนั้นในตอนนี้ก็ถึงเวลาที่หนิงอ้ายจะต้องเลือกเข้าสังกัดตำหนักศึกษาแล้ว ทุกคนที่อยู่โดยรอบสนามประลองนี้ต่างลุ้นว่าเด็กหนุ่มจะเลือกเข้าตำหนักใดกัน

"ปีนี้ศิษย์ใหม่แต่ละคนต่างมีฝีมือที่โดดเด่นไม่ธรรมดาสามัญกันแทบทั้งสิ้น พวกศิษย์น้องที่มากไปด้วยพรสวรรค์เช่นนี้ทางตำหนักของเราล้วนต้องการให้พวกเขานั้นได้เป็นศิษย์ร่วมตำหนักเดียวกันกับพวกเรายิ่งนัก..."

ชายหนุ่มอายุราวยี่สิบปีท่าทางสุภาพคล้ายกับบัณฑิตคนหนึ่งได้เอ่ยขึ้นท่ามกลางเสียงโห่ร้องแสดงความยินดีของการประลองที่พึ่งจบไปในก่อนหน้านี้ หากพินิจจากเสื้อคลุมตัวนอกที่เขาสวมใส่นั้นจึงทำให้พอทราบว่าชายผู้นี้เป็นศิษย์คนหนึ่งของตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกล

แต่ละตำหนักของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์นอกจากจะมีป้ายหยกประจำตัวสำหรับการแสดงตนแล้ว สีของเสื้อคลุมตัวนอกล้วนมีความแตกต่างกันออกไปที่เห็นได้ชัดอย่างเช่นชายหนุ่มผู้นี้ที่สวมเสื้อคลุมตัวนอกสีฟ้าขาว ด้วยเป็นเพราะว่าเป็นสีประจำตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลนั่นเอง

"เจ้าคิดว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะเลือกเข้าตำหนักใด จะเป็นตำหนักเดียวกันกับกลุ่มสหายของเขาหรือไม่?" เสียงของสตรีร่างเล็กผู้หนึ่งที่ใส่เสื้อคลุมตัวนอกสีเเดงขาวเอ่ยถามสหายที่ยืนอยู่ด้านข้างกัน พวกนางทั้งสองล้วนเป็นศิษย์ฝ่ายนอกปีที่สองของทางตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้ที่ผ่านการทดสอบของสำนักศึกษาในช่วงปีที่ผ่านมา ฝีมือและความแข็งแกร่งของทั้งสองสตรีนั้นไม่สามารถดูเบาได้จากรูปลักษณ์ภายนอกได้เลย

"ดูเหมือนว่าในกลุ่มสหายของหนิงอ้ายคนนี้ส่วนใหญ่จะเข้าร่วมตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้ของพวกเราเสียเป็นส่วนใหญ่ ข้าว่าเด็กหนุ่มคนนี้อาจจะเข้าตำหนักเดียวกันก็เป็นได้ เเต่อีกทางหนึ่งเด็กหนุ่มที่มีนามว่าลู่ซีผู้ที่เด็กหนิงอ้ายนั้นเรียกเเทนว่าเป็นพี่ชายของตนกลับเข้าร่วมตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลไปเสียอย่างนั้นบางทีเขาอาจจะเลือกเข้าตำหนักเดียวกันกับพี่ชายของเขาก็เป็นไปได้เช่นกัน... " สตรีสาวอีกคนที่สหายด้านข้างได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็น นางได้ตอบกลับไปตามที่คาดว่าอาจเป็นไปได้แต่ในขณะเดียวกัน นางยังคงไม่ละสายตาไปจากหนิงอ้ายและกลุ่มสหายของพวกเขาที่ยืนอยู่ด้านข้างสนามประลองแห่งนี้

"ข้าเชื่อว่าการประลองที่พึ่งจบไปเด็กน้อยคนนี้ยังไม่ได้เอาจริงสักเท่าไหร่และด้วยความสามารถของเขานั้นย่อมสามารถท้าชนกับศิษย์สายนอกระดับต้น ๆ ของตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้ของพวกเราบางคนได้เป็นแน่..." ชายหนุ่มรูปร่างกำยำเมื่อได้ยินบทสนทนาของสองสตรีร่วมตำหนักเดียวกัน

พวกเขาล้วนเป็นศิษย์สายนอกปีที่สองของตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้ที่สังเกตได้จากเสื้อคลุมตัวนอกสีแดงขาวอันเป็นสีประจำตำหนักนั้นเอ่ยขึ้นด้วยความรู้สึกตื่นตัว เพราะชายหนุ่มสามารถรับรู้ได้ว่าฝีมือของเด็กหนิงอ้ายนี้อาจเทียบเท่าหรือมากกว่าเขาในตอนนี้เสียด้วยซ้ำ

"ไม่รู้ว่าตำหนักใดกันจะได้หนิงอ้ายผู้นี้ไปกัน แต่ไม่ว่าตำหนักใดจะได้เขาไปนั้นคงโชคดีมากเป็นแน่ที่ได้ศิษย์ร่วมตำหนักที่มากไปด้วยฝีมือเช่นนี้…" สตรีร่างเล็กคนเดิมที่เริ่มการสนทนาเเลกเปลี่ยนความคิดเห็นแต่เเรกเริ่มได้เอ่ยตอบกลับไปอีกครั้ง ด้วยเพราะว่าหากมีศิษย์ใหม่ที่มากไปด้วยฝีมือหากว่าได้เข้าตำหนักเดียวกัน

การประลองระหว่างตำหนักที่ถูกจัดขึ้นในแต่ละปีตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้ย่อมรั้งตำแหน่งอันดับที่หนึ่งได้อีกครั้งเป็นแน่ ถึงแม้ศิษย์เก่าทั้งสายนอกและสายในจะถูกบ่มเพาะให้มีฝีมือมากเพียงใดแต่ก็มีไม่น้อยเช่นกันที่เป็นศิษย์ใหม่เหล่านี้สามารถเป็นผู้ชนะในการประลองระหว่างผู้ฝึกตนระดับเดียวกันที่ต่างได้สร้างชื่อเสียงให้แก่ตนเองและตำหนักอันเป็นสังกัดของตน

ทางฝั่งของหนิงอ้ายขบคิดอย่างเคร่งเครียดอยู่ในใจของตนไปไม่น้อย ด้วยเพราะว่าการเลือกเข้าเป็นศิษย์สังกัดตำหนักย่อยในสำนักศึกษานับว่าเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ควรตัดสินใจให้อย่างถี่ถ้วนรอบคอบเพราะว่าเส้นทางของผู้ฝึกตนในวันข้างหน้าจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรและสภาพแวดล้อมที่เป็นประโยชน์แก่ตนมากที่สุด

ดังนั้นแล้วเขาจึงต้องพิจารณาอีกครั้งถึงความเหมาะสมของแต่ละตำหนักหากว่าเขาเข้าไปเป็นศิษย์ประจำตำหนักนั้นแล้วจะสามารถส่งเสริมเส้นทางฝึกตนของเขามากเพียงใด ทางสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์นั้นได้ถูกแบ่งออกเป็นสี่ตำหนักย่อยดังนี้

ตำหนักที่หนึ่งคือตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศใต้ของทางสำนักศึกษาแห่งนี้ สำหรับเจ้าตำหนักนี้นั่นคือผู้อาวุโสรุ่ยเหอที่มีอีกฐานะหนึ่งในสำนักศึกษาแห่งนี้คือท่านรองเจ้าสำนักคนปัจจุบัน ผู้ที่มีหน้าตาหล่อเหลาคมคายสมกับเป็นเชื้อสายของกษัตริย์ผู้ปกครองแคว้น ใบหน้าที่เจือไปด้วยรอยยิ้มและท่าทางสุภาพอ่อนโยนล้วนชวนให้สตรีและหนุ่มน้อยที่ได้พบเห็นต่างพยายามหาทางเข้ามาผูกสัมพันธ์กันอย่างต่อเนื่อง

อีกทั้งตัวตนของผู้อาวุโสรุ่ยเหอนั้นกล่าวได้ว่าครั้งหนึ่งเคยสร้างชื่อเสียงเป็นที่ประจักษ์แก่โลกยุทธภพมายาวนาน ที่ว่ากันว่าหากต้องเอ่ยชื่อถึงผู้ฝึกตนที่มีระดับสูงและความแข็งแกร่งในระดับแถวหน้านับไปไม่ถึงสิบนิ้วย่อมมีชื่อของปรมจารย์รุ่ยเหอท่านนี้อย่างแน่นอน

สำหรับตำหนักที่สองคือตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกล สำหรับสถานที่ตั้งของตำนักนั้นอยู่ทางทิศตะวันออกของทางสำนัก ท่านเจ้าสำนักที่นั่งประจำการอยู่คือผู้อาวุโสหญิงกุ้ยเจิน สตรีเพียงคนเดียวผู้เป็นหนึ่งในสี่ของเจ้าตำหนักย่อยของสถานศึกษาแห่งนี้ แม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกจะเป็นหญิงสาววัยกลางคนที่มีหน้าตาสวยงามไม่ต่างไปจากยอดพธูของแคว้น

แต่อย่าได้ถูกรูปลักษณ์ภายนอกนี้หลอกตาเป็นอันขาด ฉายานามปรมจารย์กุ้ยเจินย่อมเป็นนามที่สร้างความพรั่นพรึงใจของผู้คนไม่น้อย และฐานะสำคัญของผู้อาวุโสกุ้ยเจินคือกุนซือผู้เปรียบดั่งคลังสติปัญหาของทางสำนักศึกษา อีกทั้งพวกเขาทุกคนในที่นี้ที่เติบโตเข้าสู่ในวิถีฝึกตนต่างล้วนทราบกันดีว่าสตรีร่างเล็กผู้นี้คือสุดยอดฝีมือปรมจารย์แห่งค่ายกลที่แท้จริงหากกล่าวว่าท่านกุ้ยเจินเป็นที่สองคงไม่มีผู้ใดก้าวขึ้นเป็นที่หนึ่งแน่

ตำหนักที่สามคือตำหนักศาสตร์แห่งการรักษา สถานที่ตั้งของตำหนักตั้งอยู่ทางทิศเหนือของสำนัก ด้วยเพราะบริเวณนั้นได้มีค่ายกลเฉพาะขนาดใหญ่ที่เอื้อต่อการเลี้ยงสมุนไพรธรรมดารวมไปถึงสมุนไพรหายากต่าง ๆ ดังนั้นจึงนับได้ว่าเป็นชัยภูมิที่ล้ำค่าที่เป็นประโยชน์กับผู้ที่สนใจเข้าร่วมตำหนักนี้เป็นอย่างยิ่ง มีผู้อาวุโสเหวินหวู่นั่งประจำการเป็นเจ้าตำหนัก

ด้วยนิสัยแปลกประหลาดรวมไปถึงลักษณะภายนอกที่ไม่ต่างไปจากตาแก่อายุหลายร้อยปี หากไม่นับว่าท่านเหวินหวู่ผู้นี้มักจะมีส่งมอบ? โอสถประหลาดที่พึ่งคิดค้นได้ที่มักจะหลอกล่อเหล่าบรรดาผู้อาวุโสคนอื่นและศิษย์ในสำนักไปไม่ต่างจากหนูทดลอง ฝีมือการรักษาและความล้ำค่าของโอสถต่าง ๆ นับว่าเป็นของจริง แน่นอนว่าฉายานามปรมจารย์เหวินหวู่ย่อมเป็นหนึ่งในสามมหาเซียนโอสถที่ถูกยกย่องในโลกยุทธภพนี้เช่นกัน

และสำหรับตำหนักย่อยสุดท้ายหรือตำหนักที่สี่ได้แก่ตำหนักแห่งศาสตราวุธ สถานที่ตั้งของทางตำหนักจะตั้งอยู่ในทางทิศตะวันตกของสำนักศึกษาที่อยู่ติดกับฝั่งของป่าในเขตเทือกเขาเร้นลับอสูรมากที่สุด เนื่องจากว่าพื้นที่ดังกล่าวนั้นมีลานพื้นที่กว้างใหญ่ที่เพียงพอกับจำนวนของนักหลอมสร้างที่มีอยู่ไม่น้อยเช่นกันในตำหนักแห่งนี้ ต้องกล่าวให้ทราบก่อนว่านักหลอมสร้างแต่ละคนต่างมีวิถีเคล็ดวิชาส่วนตัวที่แตกต่างกันออกไป

สภาพแวดล้อมโดยรอบนับว่าเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจใหม่ ๆ แก่นักหลอมสร้างได้เช่นกัน การที่ตำหนักแห่งศาสตราวุธตั้งอยู่กับเขตเทือกเขาที่ถูกแวดล้อมไปด้วยลมปราณฟ้าดินเช่นนี้นับว่าเป็นอีกหนึ่งทำเลที่เอื้อต่อศิษย์ในตำหนักยิ่ง ผู้อาวุโสเจ้าตำหนักแห่งศาสตราวุธนั่นคือผู้อาวุโสเฉิงห่าวหรือปรมจารย์เฉิงห่าวหนึ่งในห้าอันดับแรกของสุดยอดนักหลอมสร้างในปัจจุบัน

เเต่ละตำหนักย่อยทั้งสี่ต่างมีผลงานอันโดดเด่นและสามารถสร้างชื่อเสียงให้แก่สำนักศึกษาเป็นอย่างมากที่เป็นประจักษ์แก่ผู้คนภายนอกสำนัก จากข้อมูลที่เขาพอได้ศึกษาส่วนใหญ่จะเป็นศิษย์ในสังกัดของตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้ทั้งสิ้น ด้วยเพราะหนึ่งนั้นผู้อาวุโสรุ่ยเหอผู้เป็นเจ้าตำหนักนั้นอีกฐานะหนึ่งท่านเป็นถึงรองเจ้าแห่งสำนักศึกษาเลยทีเดียวนับว่าเป็นชนชั้นแนวหน้าของโลกผู้ฝึกตน

รวมไปถึงศิษย์ในตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้ต่างมีฝีมือที่ยอดเยี่ยมและสร้างผลชื่อเสียงจากภารกิจที่ได้รับจากผู้จ้างวานมากมายจนผู้คนในยุทธภพล้วนยกย่องเหล่าศิษย์พวกนี้ ยิ่งทำให้ชื่อเสียงของตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้มีมากกว่าตำหนักอื่น สหายของเขาไม่ว่าจะเป็นอี้หลิน หลี่ซวง จินหั่วและจ้าวหลานทั้งสี่คนต่างเลือกเข้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้ มีเพียงลู่ซีและอู๋ฮั่นนั้นที่เลือกเข้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลตามความตั้งใจแรก กลุ่มของหนิงอ้ายต่างคาดเดาเช่นกันว่าเด็กหนุ่มคงเลือกเข้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เป็นแน่...

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terkait

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่66 ข้าเลือก...

    'ต้าเฮยเจ้าคิดว่าทั้งสี่ตำหนักข้าควรเลือกเข้าตำหนักใดดีที่สุด?' หนิงอ้ายเอ่ยถามเจ้าตัวน้อยที่ขดอยู่ในอกเสื้อของตนผ่านกระเเสจิตเพื่อถามความคิดเห็นของอีกฝ่ายเพื่อประกอบการตัดสินใจครั้งนี้'ไม่ว่าท่านจะเลือกเข้าตำหนักใดจะมีข้าที่คอยอยู่เคียงข้างและปกป้องท่านขอรับ...' ต้าเฮยตอบกลับไปตามความคิดที่มีต่อนายท่านคนงามนี้ด้วยเพราะว่าท่านประมุขกำชับมันไว้ว่าต้องดูแลนายหญิงให้ดีที่สุด'ขอบใจเจ้ามาก เอาละ! ข้าตัดสินใจได้เเล้ว...' ในที่สุดหนิงอ้ายก็สามารถตัดสินใจเลือกตำหนักที่ตนสนใจได้แล้ว"ก่อนที่เจ้าจะเลือกเข้าสังกัดตำหนักใด จงฟังข้อเสนอของพวกข้าเสียหน่อยเถิด..." ผู้อาวุโสรุ่ยเหอเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าหนิงอ้ายมีท่าทางราวกับว่าตัดสินใจได้แล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้นับว่าสร้างความประหลาดใจแก่ศิษย์ใหม่เป็นอย่างมาก แต่บรรดาผู้อาวุโสและศิษย์สายนอกและสายในตั้งแต่ปีที่สองขึ้นไปต่างเคยเห็นหรือพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนทั้งสิ้น การให้ข้อเสนอหรือการชักชวนจากเจ้าตำหนักทั้งสี่มักจะเกิดขึ้นเสมอ ในยามที่ผู้อาวุโสเหล่านี้ต้องการให้ศิษย์ที่ตนหมายตาไว้ให้เข้าร่วมสังกัดตำหนักของตนนั่นเอง"ความสามารถและญาณสัมผัสอันล

    Terakhir Diperbarui : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่67 ศิษย์ผู้สืบทอด

    ตามกฎเกณฑ์ที่ตั้งไว้ ศิษย์ใหม่ที่สามารถเอาชนะศิษย์สายนอกได้ย่อมสามารถแจ้งความประสงค์ในการเข้าสังกัดตำหนักที่ตนสนใจได้หรือแม้กระทั่งศิษย์ใหม่ที่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไม่สามารถเอาชนะได้ก็สามารถเลือกเข้าสังกัดที่ตนสนใจได้แต่ถึงอย่างไรหากศิษย์คนดังกล่าวที่แจ้งความต้องการสำหรับเข้าสังกัดในตำหนักนั้น ๆ หากว่าท่านเจ้าตำหนักพิจารณาแล้วว่าศิษย์ใหม่ผู้นั้นไม่มีคุณสมบัติมากพอที่จะเข้าร่วมตำหนักของตน ท่านเจ้าตำหนักก็มีสิทธิที่จะปฏิเสธความต้องการของศิษย์ใหม่เหล่านั้นได้เช่นกันเหมือนกันกับหนิงอ้ายที่แจ้งความต้องการขอเข้าสังกัดศาสตร์แห่งการรักษา ซึ่งเป็นตำหนักที่ผู้คนภายนอกหรือแม้กระทั่งศิษย์ในสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ต่างรับรู้เรื่องราวตำหนักนี้น้อยมาก ว่ากันว่าในการทดสอบศิษย์ใหม่นับสิบปีผ่านมาทางตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาไม่ได้รับศิษย์เข้าตำหนักของตนแม้แต่คนเดียว ไม่ใช่เพราะว่าไม่มีผู้ใดไม่ต้องการเข้าร่วมตำหนักนี้ เพียงแต่ว่าเจ้าตำหนักเหวินหวู่ เป็นผู้ปฏิเสธความต้องการของเหล่าศิษย์ใหม่พวกนั้นไปเสียสิ้นด้วยนิสัยแปลกประหลาดนี่เอง หลายครั้งที่ปรมจารย์เหวินหวู่ท่านนี้เดินทางไปทั่วทั้งมหาทวีปอย่างอิ

    Terakhir Diperbarui : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่68 เส้นทางที่เลือก

    "เก่งมากหนิงอ้าย ท่านปู่ท่านยายและท่านแม่คงภูมิใจในตัวเจ้ามากเป็นแน่!!" ลู่ซีเอ่ยขึ้นพร้อมดึงหนิงอ้ายเข้ามากอด ทันทีที่เด็กหนุ่มออกจากลานพิธีมายังกลุ่มของพวกตนที่ยังยืนรออยู่เสียงของลู่ซีนั้นเเสดงถึงความยินดีเป็นอย่างยิ่ง แต่ถึงอย่างไรนั้นเสียงขู่ฟ่อของต้าเฮยที่ดังขึ้นจากอกเสื้อของเด็กหนุ่มราวกับว่าไม่พอใจบางอย่าง ทำให้ลู่ซีมึนงงไปชั่วครู่ก่อนที่จะผละออกจากตัวของเด็กหนุ่มไป"ลู่เกอก็เก่งมากเช่นกัน หากท่านตารู้ว่าท่านสามารถใช้สมบัติวิเศษที่ท่านตามอบให้ได้อย่างเชี่ยวชาญท่านคงภูมิใจมากเป็นแน่ อีกทั้งท่านยายและท่านแม่นั้นย่อมยินดีกับเราสองพี่น้องอย่างแน่นอนขอรับ..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับเผยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุขลู่ซีนับว่าอยู่กับเขามาตลอดตั้งแต่ได้มาอยู่ในโลกแห่งนี้ การที่หนิงอ้ายชมไม่ได้เพียงเพื่อเอาใจอีกฝ่ายเท่านั้นเพราะความสามารถของลู่ซีเมื่อเทียบกับเขาในโลกก่อนแล้วนับได้ว่าค่อนข้างสูสีเลยทีเดียว"โอ้!!นี่ข้าเป็นถึงสหายของศิษย์ผู้สืบทอดตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาเลยอย่างนั้นรึ ในวันหน้าหากได้รับบาดเจ็บจากการฝึกซ้อมเจ้าต้องรักษาข้านะหนิงอ้าย..." อี้หลินเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดีก่อนที

    Terakhir Diperbarui : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่69 ตำหนักศาสตร์แห่งการรักษา

    ระหว่างการเดินทางหนิงอ้ายได้ทราบว่าสตรีผู้เป็นศิษย์พี่ของเขามีนามว่าไป๋เหลียนฮวา ผู้มีมีศักดิ์เป็นหลานของผู้อาวุโสเหวินหวู่ นางเป็นศิษย์ลำดับที่ห้าที่ได้เข้าสังกัดอยู่ในตำหนักนี้มาได้หลายปีเเล้ว ด้วยเพราะนางเป็นสตรีเพียงคนเดียวในตำหนัก ดังนั้นหน้าที่ในการดูเเลรับผิดชอบต่าง ๆ ผู้อาวุโสเหวินหวู่ได้มอบอำนาจให้นางจัดการแทบทั้งสิ้นฟังว่าศิษย์พี่ใหญ่ ศิษย์พี่รองออกไปทำภารกิจบางอย่างให้ผู้อาวุโสเหวินหวู่ อีกไม่นานคาดการณ์ว่าคงใกล้กลับสำนักแล้ว ทางฝั่งของศิษย์พี่สามกำลังเข้ากักตัวเนื่องจากมีสัญญาณว่าจะเลื่อนละดับในเร็ววันนี้ สำหรับศิษย์พี่สี่ด้วยเพราะมีนิสัยที่ไม่ชื่นชอบความวุ่นวายเท่าไหร่นักจึงพำนักอยู่ในเรือนของตนเพื่อศึกษาตำราและทดลองปรุงโอสถต่าง ๆดูเหมือนว่าศิษย์พี่เหล่านี้จะไม่ยินดีต้อนรับหนิงอ้ายมาเป็นศิษย์น้อง พวกเขาล้วนต่างตื่นเต้นที่จะได้ศิษย์น้องคนใหม่เข้าตำหนักของตน แต่เพราะหลายปีที่ผ่านมายังไม่มีผู้ใดเข้าตาท่านเจ้าตำหนัก จึงทำให้หลังจากการรับศิษย์ลำดับที่ห้าเมื่อหลายปีมาเเล้วนั้น บรรดาศิษย์ในตำหนักจึงเลิกให้ความสนใจและเข้าร่วมพิธีการทดสอบศิษย์ใหม่ จึงเป็นนางเองที่เป็นผู้จัดการทุ

    Terakhir Diperbarui : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่70 คำนับอาจารย์

    "เจ้ากังวลใจในเรื่องนี้เองหรอกรึ?? ศิษย์พี่ผู้นี้จะบอกแก่เจ้า ความจริงแล้วก่อนหน้านี้หลายปีก่อนที่ท่านอาจารย์จะรับเจ้าเข้ามา ทางฝั่งของผู้อาวุโสระดับสูงและเจ้าตำหนักทั้งสามคนต่างกดดันอาจารย์เหวินหวู่ของพวกเราให้เลือกศิษย์คนใดคนหนึ่งเป็นศิษย์สืบทอดของตำหนักเสียทีเพราะตำแหน่งนี้ถูกว่างเว้นมาหลายปีเเล้ว...""เจ้าอาจจะพอรับรู้มาบ้างว่าเป็นธรรมเนียมที่ถูกปฏิบัติยึดถือในสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์มาอย่างช้านานตั้งแต่เริ่มต่อตั้งสำนัก นั่นคือในทุก ๆ สี่ปีตำหนักทั้งสี่จักต้องให้ศิษย์ผู้สืบทอดในตำหนักของร่วมประลองกัน ทางตำหนักศาสตร์แห่งการรักษาไร้ซึ่งตำแหน่งศิษย์ผู้สืบทอดมายาวนานนับสิบปีแล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นหลังจากนั้น??" ไป๋เหลียนฮวาเอ่ยขึ้นก่อนที่จะยกยิ้มมุมปากเล็กน้อย"ขอรับ..." หนิงอ้ายตอบกลับไปด้วยความไม่มั่นใจ"พวกเราทั้งหกคนต่างโยนตำแหน่งนี้ให้กันไปมาราวกับเหล็กร้อน ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างเห็นตรงกันว่าเป็นศิษย์พี่ใหญ่ที่คู่ควรกับตำแหน่งศิษย์ผู้สืบทอดแต่ทว่าศิษย์พี่ใหญ่นั้นกลับโยนให้กับศิษย์พี่รองเสียอย่างนั้น...""เจ้าน่าจะพอคาดเดาได้ว่าหลังจากนี้ได้เกิดสิ่งใดขึ้น ศิ

    Terakhir Diperbarui : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่71 ศิษย์พี่ร่วมตำหนัก

    "ศิษย์น้องหนิงอ้ายเจ้างดงามยิ่งนัก ขนาดศิษย์พี่ที่เป็นสตรียังไม่อาจเทียบเจ้าได้เลยแม้เเต่น้อย..." ไป๋เหลียนฮวาเอ่ยขึ้นอย่างยอมรับพร้อมกับหยอกล้อเด็กหนุ่มกลับไป"ศิษย์พี่ไป๋กล่าวชมข้าเกินไปแล้วท่านก็เป็นสตรีที่งดงามมากเช่นกัน..." หนิงอ้ายตอบกลับอีกฝ่ายไปด้วยสัตย์จริง ตอนเเรกที่ตนเห็นอีกฝ่ายนั้นยอมรับว่าศิษย์พี่ของเขาผู้นี้งดงามยิ่ง แม้ในใจเขานั้นจะเอนเอียงให้มารดาของตนงดงามมากกว่าก็ตาม"ในที่สุดตำหนักของเราก็มีสิ่งที่สวยงามจริง ๆ เสียที!! ยินดีต้อนรับเจ้าอีกครั้งนะศิษย์น้อง..." บุรุษหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งเอ่ยขึ้นโดยที่ไม่ละสายตาจากเด็กหนุ่มก่อนที่จะหันไปมองสตรีเพียงคนเดียวในที่นี้แล้วหันกลับมาทันที"ศิษย์พี่เหยียนหมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ??" เป็นไป๋เหลียนฮวาที่ถามกลับไปเหยียนฮุ่ยหรือศิษย์พี่สี่ของตนด้วยท่าทางหาเรื่องชวนให้รู้สึกขบขันเป็นอย่างยิ่ง"ข้าก็หมายความอย่างที่ได้เอ่ยไปเช่นนั้น ศิษย์น้องหนิงอ้ายเพียบพร้อมไปด้วยความงามและท่าทางเรียบร้อยไม่เหมือนกับเจ้าที่เป็นสตรี เเต่ทว่าซุกซนดื้อรั้นอีกทั้งไม่สำรวมเช่นเดียวกับสตรีทั่วไป ดีเเล้วที่ได้ศิษย์น้องหนิงอ้ายเข้ามาในตำหนักหลังจากนี้ข้าคงต

    Terakhir Diperbarui : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 72 ตลาดในสำนัก

    หนิงอ้ายพบว่าโรงครัวที่ศิษย์พี่ของตนพามาได้ต่างไปจากสิ่งที่ตนคาดคิดเอาไว้เป็นอย่างมาก เป็นอาคารห้าเหลี่ยมหนึ่งชั้นที่มีรูปลักษณ์สวยงาม ถูกล้อมรอบไปด้วยสระบัวขนาดใหญ่ภายในถูกตกเเต่งอย่างเรียบง่ายคล้ายกับว่าเน้นไปที่การใช้งานเสียมากว่า ยามสายนี้เหล่าบรรดาศิษย์จากทุกตำหนักในสำนักศึกษาแห่งนี้ต่างนั่งกินข้าว พูดคุยกันอย่างคึกคักเเต่ก็ไม่ได้วุ่นวายสักเท่าไหร่เนื่องจากว่ามีพื้นที่กว้างขวางและมีที่นั่งเป็นสัดส่วนนั่นเองทันทีที่หนิงอ้ายได้ปรากฎตัวขึ้นพร้อมกับไป๋เหลียนฮวาผู้ที่ได้ชื่อว่างดงามเป็นอันดับหนึ่งของสำนัก ทุกความสนใจ ทุกสายสายตาต่างจับจ้องมาทางพวกเขาทั้งสองคนอย่างพร้อมเพรียง เนื่องจากว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในการทดสอบรับศิษย์ใหม่ของเมื่อวานนี้นั้นในตอนนี้ทุกคนในสำนักศึกษาต่างรับรู้โดยทั่วกันเเล้วว่าตำหนักศาสตร์แห่งการรักษานั้นในที่สุดก็มีศิษย์ผู้สืบทอดเสียสักที หลังจากที่ตำแหน่งนี้ได้ว่างเว้นมายาวนานนับสิบปีเลยทีเดียวตัวคนที่รับตำแหน่งนี้ก็เป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุเพียงสิบห้าสิบหกปีเท่านั้น หากเทียบกับศิษย์ผู้สืบทอดอีกสามตำหนัก ที่ต่างมีอายุประมาณยี่สิบห้าปีขึ้นไปนั่นนับว่าเป็นศิษย์ผู้สืบทอ

    Terakhir Diperbarui : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่73 หาเรื่อง

    สิ้นเสียงของชายหนุ่มที่พึ่งกล่าวจบลงไป เสื้อคลุมตัวนอกสีเเดงและพู่หยกประจำตัวที่ห้อยอยู่ตรงข้างเอวที่เห็นได้ชัด ทำให้กลุ่มของหนิงอ้ายพอที่จะคาดเดาได้ว่าผู้ที่เอ่ยถ้อยคำคล้ายกับหาเรื่องพวกเขานั้นเป็นศิษย์สายนอกของตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้คนหนึ่ง ตรงด้านหลังของอีกฝ่ายยังมีกลุ่มของชายหนุ่มที่มีอายุไล่เลี่ยกันไปอีกสี่ห้าคนที่ดูเเล้วไม่ต่างไปจากลูกสมุนติดตามสักเท่าไหร่นัก ที่ต่างพากันมองมาทางกลุ่มของพวกเขาด้วยสายตาดูถูกและไร้มรารยาทเป็นอย่างยิ่งเนตรแห่งสวรรค์ได้เเสดงให้ได้รู้ว่ากลุ่มของศิษย์พี่เหล่านี้ต่างมีรากฐานบ่มเพาะพลังวิญญาณอยู่ในระดับเทวะวิญญาณขั้นต้นกันทั้งสิ้น มีเพียงชายหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงด้านหน้าสุดที่พึ่งเอ่ยกับเขาไปเมื่อครู่คนเดียวเท่านั้นที่มีพลังวิญญาณอยู่ในระดับเทวะวิญญาณขั้นกลางแน่นอนว่าทางกลุ่มของหนิงอ้ายย่อมเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด บทสนทนาที่เกิดขึ้นตั้งเเต่เเรกเริ่ม ท่าทางแลน้ำเสียงของอีกฝ่ายได้เเสดงออกมาที่พูดจาดูแคลนหนิงอ้าย พวกเขาเองในตอนนี้ต่างรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมากอี้หลินคล้ายกับว่าจะพูดบางอย่างที่รุนเเรงโต้กลับกลุ่มของศิษย์พี่เหล่านี้ไป เเต่หนิงอ้ายที่เห็นท่าทางดั

    Terakhir Diperbarui : 2025-03-06

Bab terbaru

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   ( -จบเล่ม ปฐมบท 3.2- ) บทที่ 174 ความวุ่นวายที่สิ้นสุดลง

    ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 173 สมบัติเทพมารจุติ

    ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 172 การปรากฎตัวของผู้ขายวิญญาณ

    คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 171 ผู้ท้าทายที่กล้าหาญ

    การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 170 กฎเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

    หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 169 ผู้ผ่านการทดสอบ

    ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 168 เดินทางกลับสำนักศึกษา

    มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 167 การเลื่อนระดับที่เหนือล้ำ

    ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 166 ความร่วมมือ

    ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย

Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status