Home / แฟนตาซี / บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ / บทที่58 อสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะ

Share

บทที่58 อสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะ

"ยังมีเวลาอีกมากในการเพิ่มระดับฝีมือของตนให้เพิ่มสูงขึ้น ตอนนี้พวกเราสองคนควรรีบออกไปช่วยหนิงอ้ายกับลู่ซีกันได้แล้ว..." ไม่รอช้าทั้งสองจึงได้สลายเวทย์ป้องกันพร้อมกับพุ่งตัวไปยังด้านข้างของหนิงอ้ายกับลู่ซีในทันที

"กลุ่มคนพวกนี้เป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมการทดสอบศิษย์ใหม่ของทางสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งมีจำนวนผู้เข้าร่วมทดสอบมากเท่าไหร่ จำนวนของผู้ถูกสะกดจิตด้วยอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น..."

"บรรดาผู้ฝึกตนชายหญิงในตอนนี้ หากกล่าวตามตรงคงไม่แตกต่างไปจากหุ่นเชิดไร้ซึ่งสตินึกคิดคงไม่เกินจริงไปนัก..." เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังลมปราณอันคุ้นเคยของสองคนที่ตามมาสมทบแล้วนั้น หนิงอ้ายจึงบอกให้ได้รับรู้ในทันทีแม้ว่าทุกคนในที่นี้อาจพอคาดเดาได้บ้างแล้วก็ตาม

"ก็พอเข้าใจได้อยู่บ้าง เฮ้อ!! หากตัดผ่านตรงนี้ไปอีกไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็จะถึงทางเข้าของสำนักศึกษาแล้ว..." อี้หลินเอ่ยเบา ๆ ด้วยความเสียดายเล็กน้อย เพราะตามที่หนิงอ้ายได้บอกก่อนหน้าว่าอีกไม่ไกลก็จะถึงทางเข้าของสำนักศึกษาแล้ว แต่พวกเขากลับต้องมาพบเหตุการณ์ความวุ่นวายดังกล่าว อีกทั้งการทดสอบของสำนักศึกษาครั้งนี้มีเรื่องกำหนดเวลาเข้ามาเป็นเกณฑ์ที่ตั้ง เมื่อต้องเสียเวลาเพิ่มมากขึ้นจึงทำให้รู้สึกกดดันและหงุดหงิดไปบ้างเล็กน้อย

"ปีนี้มีรุ่นเยาว์ชายหญิงสนใจเข้าร่วมการทดสอบของทางสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์เป็นจำนวนมากอย่างที่ข้าบอกไปก่อนหน้า เส้นทางที่ตัดผ่านป่าไป๋เซินหลินเป็นอีกหนึ่งในเส้นทางที่สามารถมุ่งตรงไปยังสำนักศึกษาได้อย่างรวดเร็วที่สุด ไม่แน่ว่าอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะนี้อาจเป็นฝีมือของเหล่าผู้อาวุโสที่ดูแลการทดสอบก็เป็นไปได้..." หนิงอ้ายบอกสิ่งที่พอจะคาดเดาได้ เพราะเป็นไปได้น้อยมากที่ทางสำนักศึกษาจะปล่อยให้เกิดเหตุการณ์ที่เกินควบคุมเช่นนี้ เนตรแห่งสวรรค์ทำให้รู้ว่าบริเวณนี้เต็มไปด้วยค่ายกลส่งภาพซุกซ่อนอยู่ เนื่องจากหากตัดผ่านบริเวณนี้ได้ก็จะถึงทางเข้าของสำนักศึกษาแล้วนั่นเอง

"แล้วพวกเราควรทำอย่างไร? พิจารณาถึงจำนวนแล้วพวกเราทั้งสี่คนย่อมเสียเปรียบไปไม่น้อย..." อี้หลินถามขึ้นในสถานการณ์ที่อีกฝ่ายที่เป็นผู้เข้าร่วมการทดสอบต่างถูกสะกดจิตกันไปทั้งสิ้น

"คงต้องลองใช้วิธีปลุกสติของพวกเขาเหล่านี้ให้ได้ เพราะอย่างไรกลุ่มคนเหล่านี้ก็เป็นผู้บริสุทธิ์ไม่เกี่ยวข้อง..." ลู่ซีเสนอวิธีจัดการเพราะคิดว่านี่คงเป็นวิธีที่ดีที่สุดและสามารถทำได้ในตอนนี้

"เช่นนั้นทำตามที่ลู่เกอเสนอก่อนแล้วกัน อย่างไรกลุ่มคนเหล่านี้ก็คือผู้เข้าร่วมการทดสอบของสำนักศึกษา..." หนิงอ้ายเอ่ยสรุปทุกคนต่างพยักหน้าเห็นด้วยไม่ขัดค้าน

ทักษะวิญญาณยุทธ์เทพสมุทรมังกรเต่าปฐพีปกปักษ์ ทักษะวิญญาณที่หนึ่งพันธนาการ!!

พรึบ!

เมื่อได้ข้อสรุปที่ชัดเจนแล้วจินหั่วจึงไม่รั้งรอให้เสียเวลาอีกต่อไป เขาได้ร่ายมือขึ้นด้วยท่าทางพิศดารแปลกประหลาด ในระยะสายตาและการรับรู้ของจินหั่วกลุ่มคนด้านหน้านับสิบชีวิตต่างหยุดชะงักนิ่งด้วยความรวดเร็วชั่วพริบตา ร่างกายของรุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างถูกพันธนาการด้วยกำแพงที่ถูกสรรสร้างจากปราณธาตุดินสีเข้มที่ทั้งตัวนั้นถูกปิดไปสิ้นเหลือเพียงส่วนคอขึ้นไปเพียงเท่านั้น กลุ่มชายหญิงรุ่นเยาว์เหล่านี้แม้จะมีใบหน้าที่เรียบเฉยเพียงใด แต่ภายใต้พันธนาการของจินหั่ว อีกฝ่ายพยายามจะปลดปล่อยตัวเองออกจากพันธนาการอันแข็งแกร่งนี้ตามคำสั่งของผู้บัญชาลึกลับที่ซ่อนตัวอยู่นั่นเอง

"แบบนี้ใช้ได้หรือไม่?" จินหั่วคลี่ยิ้มมุมปากเล็กน้อย ทักษะวิญญาณยุทธ์ที่สามารถพันธนาการouhเพียงพอที่จะสะกดกลุ่มรุ่นเยาว์ได้ไม่ยากเย็นเท่าไหร่นัก

ขณะที่อี้หลินกำลังจะเอ่ยชมฝีมือของจินหั่ว ทางฝั่งซ้ายมือได้มีธนูที่ถูกผนึกขึ้นจากปราณธาตุลมอันแข็งแกร่งพุ่งเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว หนิงอ้ายที่มีวิหคสอดแนมจึงสามารถรับรู้ได้พร้อมกับร่ายบทเวทย์ป้องกันได้อย่างทันท่วงที

ปราการวารีอหังการ!

ตู้ม!

"ระวังด้วยอี้หลิน เข้าประมาทเกินไปแล้ว..." หนิงอ้ายเอ่ยเตือนด้วยความหวังดี

เมื่อตั้งสติได้อี้หลินจ้องมองไปยังทิศทางนั้นจึงพบว่าตรงด้านหลังแนวต้นไม้ดังกล่าวมีรุ่นเยาว์สตรีสองคนที่หน้าตาเหมือนกันราวกับฝาแฝด ดวงตาเลื่อนลอยไม่ปรากฎคลื่นอารมณ์ใดทำให้รู้ได้ว่าทั้งสองคนไม่แคล้วถูกสะกดจิต ตกเป็นทาสหุ่นเชิดของจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะนี้เป็นแน่

"ข้าไม่อยากทำร้ายสตรีสักเท่าไหร่ แต่เมื่อบังอาจลอบโจมตีเช่นนี้ก่อนอย่าหาว่าข้าใจร้ายแล้วกัน!!" อี้หลินหน้าเสียไปเพียงชั่วครู่ก่อนที่จะรู้สึกโมโหพร้อมกับถลึงตาไปยังทั้งสองคนด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย

ทักษะวิญญาณยุทธ์พู่กันอักขระเพลิงภูติสวรรค์ ทักษะวิญญาณที่หนึ่ง โจมตี!!

ตู้ม!

ดวงไฟสีเหลืองขนาดมหึมาปรากฎอยู่ตรงปลายนิ้วของอี้หลินก่อนที่เพลิงอัคคีนี้จะแปรเปลี่ยนเป็นกระสุนไฟจำนวนมากก่อนที่จะกระแทกไปยังสตรีทั้งสองคนในทันที กระสุนอัคคีอันเกิดจากทักษะวิญญาณยุทธ์ของอี้หลินส่งเข้าโจมตีสตรีทั้งสองคน แม้ว่าได้ถูกลดทอนพลังปราณไปหลายส่วน แต่ถึงอย่างไรก็ไม่สามารถดูเบาได้ สตรีทั้งสองคนที่โดนเข้าโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัวพลันกระเด็นลอยปลิวถอยหลังไปชนกับต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ด้านหลังอย่างแรงจนต้นไม้หักเป็นสองส่วน ก่อนที่จะนอนสลบไปและไม่มีทีท่าจะว่าตื่นมาโดยง่าย

หนิงอ้ายมองไปยังทางฝั่งของจินหั่วและอี้หลิน สหายของเขาทั้งสองคนสมกับเป็นคุณชายจากตระกูลใหญ่เสียจริง เมื่อเห็นว่าสตรีทั้งสองคนได้ถูกตัดขาดจากการควบคุมของอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะแล้ว หนิงอ้ายและอีกทั้งสามคนนั้นต่างมีความเห็นตรงกันหากต้องปะทะจริง ๆ คงต้องใช้วิธีให้อีกฝ่ายหมดสติให้เร็วที่สุดเพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายที่อาจจะถึงชีวิตของเหล่าหุ่นเชิดไร้สตินึกคิดเหล่านี้

"จำนวนรุ่นเยาว์ชายหญิงที่ถูกสะกดจิตด้วยอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะน่าจะมีประมาณเกือบยี่สิบคนเลยทีเดียว ทุกคนระวังตัวด้วยอย่าได้ประมาทเป็นอันขาด เพราะพวกเขาเหล่านี้ถือได้ว่าเป็นผู้มากไปด้วยพรสวรรค์คนหนึ่งเช่นกัน..." หนิงอ้ายเอ่ยเสริมขึ้นแม้จะเชื่อมั่นในฝีมือของสหายเพียงใดว่าสามารถเอาชนะได้อย่างไม่ยากเย็น

"แล้วมีวิธีใดที่ง่ายกว่านี้หรือไม่? ต่อให้พวกเขาไร้ซึ่งสตินึกคิดไม่ต่างไปจากหุ่นเชิด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังสามารถใช้ทักษะวิชายุทธ์และพลังลมปราณได้ไม่ต่างไปจากพวกเรา..." จินหั่วถามขึ้นด้วยความเคร่งเครียด

"ตัวบงการเบื้องหลังคืออสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะ หากต้องการจบเรื่องราวให้เร็วที่สุดพวกเราควรจัดการที่ตัวต้นเหตุ พวกเจ้าคิดเห็นว่าอย่างไร?" หนิงอ้ายถามขึ้นเพื่อขอความเห็นของทุกคน

"ข้าเห็นด้วย!!" อี้หลินตอบกลับไปด้วยความรวดเร็ว

"ข้าก็เห็นด้วย!!" จินหั่วพยักหน้าพร้อมกับอมยิ้มตรงมุมปาก

"เกอเห็นด้วยกับเจ้าเสี่ยวอ้าย..." ลู่ซีตอบกลับไป

"เมื่อทุกคนเห็นตรงกัน เช่นนั้นกลุ่มรุ่นเยาว์เหล่านี้จำเป็นต้องรบกวนลู่เกอใช้สมบัติวิเศษของท่านตาแล้วขอรับ..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้น ตอนแรกลู่ซีรู้สึกประหลาดใจไม่น้อยแต่เมื่อนึกถึงเนตรแห่งสวรรค์ของเด็กหนุ่มแล้วจึงไม่ได้สงสัยอะไร

"ไม่อาจเล็ดลอดการรับรู้จากเจ้าจริง ๆ ด้วย..." ลู่ซีเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดี สิ่งที่ปรากฎอยู่ในมือของลู่ซีมีรูปร่างคล้ายคลึงกับเขาสัตว์ชนิดหนึ่งที่แผ่กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์โบราณ ก่อนที่เด็กหนุ่มจะยกขึ้นมาจรดฝีปากพร้อมกับเป่าลงไปทันที

ทางฝั่งของอี้หลินและจินหั่วนั้นแม้จะไม่ได้ยินเสียงอะไรก็ตาม แต่ทั้งสองคนย่อมสัมผัสได้ถึงความลึกล้ำสุดจะประมาณได้ที่ได้ทะลุผ่านร่างกายของตนไปเพียงเสี้ยววินาทีแต่กลับรู้สึกพรั่นพรึงยิ่งนัก เพียงอึดใจเดียวร่างกายของผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ชายหญิงที่อยู่โดยรอบบริเวณนี้ต่างค่อย ๆ ล้มตัวนอนลงไปในทันที สีหน้าของพวกเขาเริ่มกลับมามีเลือดฝาดบนใบหน้า เป็นดั่งสัญญาณทำให้รับรู้ได้ว่ามนต์สะกดของอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะได้ถูกทำลายไปสิ้นแล้ว

"บัญชาการแห่งเทพอสูร เป็นสมบัติระดับเทวะที่ถูกส่งต่อในตระกูลหวังจากรุ่นสู่รุ่น ไม่คาดคิดว่าอานุภาพจะลึกล้ำเหนือจินตนาการถึงเพียงนี้ แต่ข้อเสียคือเมื่อผู้บัญชาการเป็นผู้ฝึกตนระดับไม่สูงมาก ดังนั้นแล้วในการเรียกใช้แต่ละครั้งย่อมสูญเสียลมปราณไปแทบหมดสิ้น..."

เนตรแห่งสวรรค์ส่งข้อมูลให้รับรู้ว่าบัญชาการแห่งเทพอสูร อันเป็นสมบัติระดับเทวะชิ้นนี้ หากกล่าวว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดสมบัติวิเศษประจำตัวของประมุขตระกูลหวังจิ่งหลงคงไม่ผิดไปนัก

ครั้งนี้ท่านตาถึงกับมอบสมบัติวิเศษชิ้นนี้ให้กับลู่ซีได้อย่างง่ายดาย ดูท่าแล้วคงเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยของพวกเขาทั้งสองคนจึงได้มอบสมบัติระดับสูงให้ติดตัวมาใช้งานเช่นนี้ ด้วยขีดจำกัดของลู่ซีที่อยู่ในระดับจักรพรรดิขั้นสามัญ เช่นนั้นแล้วเมื่อบัญชาการแห่งเทพอสูรถูกเรียกใช้ จึงต้องแลกกับพลังลมปราณในร่างกายอย่างมหาศาล แต่ไม่ใช่ปัญหาสักเท่าไหร่ด้วยเพราะพวกเขาได้ตระเตรียมโอสถฟื้นฟูปราณเหล่านี้มาอย่างมากมาย

"ลู่เกอรีบกินโอสถฟื้นฟูปราณและทำการดูดซับปราณฟ้าดินก่อนนะขอรับ ส่วนทางนี้ข้า อี้หลินและจินหั่วจะเป็นฝ่ายจัดการเองขอรับ!!"

"แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะนั้นอยู่ตรงที่ใด?" อี้หลินถามขึ้นด้วยความสงสัย ด้วยเพราะว่าบริเวณโดยรอบป่าไป๋เซินหลินเต็มไปด้วยสีขาวบริสุทธิ์จนยากที่จะสังเกตสิ่งผิดปกติได้โดยง่าย

"โดยปกติแล้วระยะการสะกดจิตของจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะนั้นมีขอบเขตเพียงสองลี้เท่านั้น อย่างไรพวกเราช่วยกันหาในบริเวณนี้แล้วกัน..."

แน่นอนว่าด้วยเนตรแห่งสวรรค์และวิหคสอดแนมทำให้หนิงอ้ายรู้ได้ว่าแท้ที่จริงแล้วอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะอยู่ตรงที่ใด แต่เพื่อความแนบเนียนเขาจึงแสดงท่าทีเสาะหาจนเวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม ลู่ซีที่ในตอนนี้ได้ฟื้นฟูพลังลมปราณคืนมาได้เจ็ดในสิบส่วนแล้วจึงตามมาสมทบทันที

"ข้าผู้เยาว์ขอเชิญผู้เฒ่าอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะออกมาเสีย ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าผู้เยาว์คนนี้ได้ทำการลบหลู่ท่านแล้วกัน!!!"

"ท่านผู้เฒ่าพึงทราบ กว่าท่านจะบ่มเพาะพลังมาถึงระดับมายาเช่นนี้ย่อมใช้เวลาหลายร้อยหลายพันปี ท่านย่อมรับรู้อยู่แก่ใจว่าแต่ละเขตขั้นนั้นยากลำบากมากเพียงใด?" หนิงอ้ายได้หยุดนิ่งและหันหน้าไปทางฝั่งหนึ่งพร้อมกับโค้งตัวลงตามมารยาทที่พึงมีของผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่มีต่อผู้อาวุโส พร้อมกับเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อม ทว่าความหมายที่แฝงไปตามคำพูดนั้นไม่ต่างไปจากคำข่มขู่ก็ไม่เกินจริงไปนัก

"หากท่านยังไม่เปิดเผยจุดประสงค์ที่ต้องการออกมา ผู้เยาว์คงต้องรบกวนท่านแล้ว!!" หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับโจมตีไปในบริเวณนั้นทันที

หัตถ์บุษกรพุทธอัคคีพิโรธ!

ตู้ม!

สิ้นเสียงของหนิงอ้ายพลันปรากฏเป็นฝ่ามือสีเหลืองทองที่มีบุปผาเพลิงดอกใหญ่แผ่กลิ่นอายอหังการออกมา เคล็ดวิชาหัตถ์บุษกรพุทธอัคคีพิโรธนี้ของหนิงอ้ายเกิดจากวิชาฝ่ามืออันเลื่องชื่อของตระกูลจางผสานเข้ากับวิชาบุปผาเพลิงแห่งตระกูลหวัง ที่แต่เดิมทั้งสองเคล็ดวิชานี้ต่างเป็นบทเวทย์โจมตีระดับสูงขึ้นชื่อประจำตระกูล

หนิงอ้ายได้นำสองเคล็ดวิชานี้ประสานหลอมรวมยกระดับขึ้นเป็นบทเวทย์ระดับเทวะที่แฝงไปด้วยอักขระเวทย์โบราณ จึงทำให้ฝ่ามือบุปผาเพลิงนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายที่กล้าแข็งกว่าบทเวทย์ระดับเทวะบางบทเวทย์เสียอีก จากนั้นฝ่ามือบุปผาเพลิงอหังการนี้ได้ขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่าก่อนที่จะเข้าฟาดโจมตี เพียงพริบตานั้นม่านพลังที่ขวางกั้นอยู่จึงสลายหายไป ปรากฏเป็นอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะที่ตวาดดังก้องขึ้นมาในทันที เสียงกรีดร้องดังแหลมหูได้ส่งผลให้โดยรอบนั้นสั่นไหวสะเทือนไปทั่ว

กรี้ช!

ครืน! ครืน!

"ผู้เยาว์ที่เข้าร่วมทดสอบในปีนี้ช่างโอหังยิ่ง!! เอาเถอะผู้ฝึกตนตัวน้อยช่วยเปิดหูเปิดตาของผู้เฒ่าเช่นเราด้วยแล้วกันเตรียมรับมือ!!!!"

ตู้ม! ตู้ม!

ตู้ม! 

หนิงอ้ายยืนประจันหน้ากับอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะอย่างมั่นคงไม่หวั่นไหว แม้ว่ากลิ่นอายของสัตว์อสูรระดับนภาขั้นสูงช่วงปลายได้แผ่ซ่านออกมาชวนให้รู้สึกขนลุก แต่พลังลมปราณอันเข้มข้นล้ำลึกของราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณขั้นสูงเฉกเช่นหนิงอ้ายหาได้ธรรมสามัญไม่ วงแหวนเวทย์สีน้ำเงินเข้มอันเป็นสัญลักษณ์ของผู้ฝึกตนปราณธาตุน้ำระดับสูงได้ปรากฏขึ้นตรงด้านหลังของเด็กหนุ่ม ในรัศมีหนึ่งลี้ปรากฎเป็นบุปผาเหมันต์ขนาดน้อยใหญ่นับร้อยดอกเลยทีเดียว ก่อนที่ชั่วพริบตานั้นเหล่ามวลบุปผาเหมันต์จำแลงเหล่านี้ได้เข้าปะทะการโจมตีจากอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะในทันที

มหาบุปผชาติเหมันต์จำแลงลักษณ์!

ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! 

บุปผาเหมันต์ได้สำแดงอานุภาพเข้าปะทะอย่างไม่หวั่นเกรง เกิดเป็นเสียงระเบิดดังก้องไปทั่วกระจายเป็นวงกว้าง ด้วยพลังทำลายล้างที่รุนแรงเกินกว่าเวทย์โจมตีที่ถูกร่ายขึ้นด้วยผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิวิญญาณขั้นสูงคนหนึ่งได้ ดวงตาสีเหลืองอำพันของอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะเบิกกว้าง ก่อนที่ร่างกายที่ปกคลุมด้วยเกล็ดสีแดงจะทอแสงสีน้ำตาลเข้มต้านรับก่อนที่จะกระเด็นถอยหลังไปหลายก้าว

ถึงแม้ว่าบุปผาเหมันต์เหล่านี้จะไม่สามารถสร้างรอยแผลใดใดกับร่างกายอันแข็งแกร่งได้ แต่หากเปรียบเทียบถึงเรื่องความแข็งแกร่งระหว่างผู้ฝึกตนและสัตว์อสูรที่อยู่ในระดับพลังวิญญาณเดียวกันแล้ว การโจมตีเมื่อครู่ถือว่าได้ว่าเกินความคาดหมายไปไม่น้อย

"เป็นไปไม่ได้!! ราชทินนามระดับจักรพรรดิวิญญาณขั้นสูงจะสามารถใช้เวทย์ที่รุนแรงเช่นนี้ได้อย่างไร?" อสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะเค้นเสียงออกมาด้วยความอาฆาต แววตาที่มองไปยังกลุ่มของหนิงอ้ายเต็มไปด้วยโทสะ

"ลู่เกอ อี้หลิน จินหั่ว ข้าฝากพวกเจ้าทั้งสามคนช่วยดูแลเหล่าผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ไปให้พ้นระยะการโจมตีเสีย ตรงนี้ข้าจะรับมือเอง!!" หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นโดยที่สายตาของเขานั้นยังคงจ้องมองไปยังอสูรตรงหน้านี้อย่างไม่ละสายตา แม้ว่าเขาจะเป็นห่วงลู่ซี อี้หลินและจินหั่วอยู่ไม่น้อย แต่เขาเชื่อว่าทั้งสามคนย่อมมีของวิเศษปกป้องตัวเองและมีบทเวทย์ระดับสูงเพียงพอที่จะปกป้องตนเองรวมไปถึงเหล่าบรรดาผู้เข้าร่วมการทดสอบในครั้งนี้ให้ปลอดภัยได้อย่างแน่นอน

"คิดจะช่วยเหลือพวกนั้นรึ? สรรพสิ่งใต้อาณัติแห่งข้า จงจัดการพวกมันศัตรูของข้าให้ตายตกสิ้น!!!" อสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะตะโกนเสียงดังลั่นพร้อมกับถ่ายทอดศาสตร์สะกดใจลึกลับอีกครั้ง พร้อมกับสั่งการเหล่าอสูรน้อยใหญ่ที่อยู่ภายใต้กำกับสะกดจิตของตนให้จัดการกลุ่มรุ่นเยาว์พวกนี้ในทันที

โฮก! 

กรรซ์! 

ครืน! ครืน! 

พริบตานั้นเองกลิ่นอายของสัตว์อสูรอันทรงพลังแข็งแกร่งได้ระเบิดพวยพุ่งขึ้นทั่วทั้งบริเวณ แสงสีน้ำตาลเข้มพิศดารลึกล้ำผนึกขึ้นเป็นคลื่นวายุที่ถูกปล่อยออกมาโดยรอบสี่ทิศแปดทางเต็มเปี่ยมไปด้วยอาณุภาพทำลายล้าง สิ่งนี้ได้ส่งผลโดยตรงกับสัตว์อสูรระดับต่ำให้เกิดอาการแตกตื่นพร้อมกับถูกชักนำมายังจุดนี้ด้วยอำนาจสะกดใจของอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะ

หนิงอ้ายรู้ดีว่าความแข็งแกร่งของสัตว์อสูรและผู้ฝึกตนแม้จะอยู่ในระดับพลังวิญญาณเทียบเท่าเขตขั้นเดียวกัน แต่หากจะจัดการสังหารย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายสักเท่าไหร่นัก หนิงอ้ายเร่งเค้นจิตวิญญาณเพื่อบัญชาการเนตรแห่งสวรรค์หาจุดอ่อนของสัตว์อสูรตรงหน้า เพราะหากสามารถสร้างบาดแผลให้กับอีกฝ่ายได้ หนทางการเอาชนะย่อมมีเพิ่มขึ้น

อสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะได้พุ่งเข้าโจมตีหนิงอ้ายด้วยความเร็วสมกับเป็นอสูรสังกัดปราณธาตุลม เกล็ดสีแดงสดเงาแวววับสะท้องแสงเป็นประกาย ดวงเนตรเหลืองอำพันจ้องมองด้วยความอาฆาต ปากอ้ากว้างปลดปล่อยคลื่นเสียงทำลายล้างแปรสภาพเป็นแส้วายุที่เต็มไปด้วยพลังการทำลายล้างได้เข้าฟาดเด็กหนุ่มด้วยความดุดัน พลังที่ปลดปล่อยออกมาแน่ชัดว่าเป็นสัตว์อสูรระดับนภาขั้นสูง แต่ความลึกล้ำและจิตสังหารที่เอ่อล้นจนสามารถสัมผัสได้ บ่งบอกให้รับรู้โดยนัยว่าระดับพลังวิญญาณของสัตว์อสูรตรงหน้าใกล้ทะลุเขตขั้นต่อไปแล้ว

หวี้ด! หวี้ด! หวี้ด!

ตู้ม! ตู้ม! 

สีหน้าเคร่งขรึมของหนิงอ้ายจับจ้องไปยังสัตว์อสูรตรงหน้า แววตามุ่งร้ายเจตนาสังหารที่ชัดเจนยิ่ง แค่ช่วงเวลาหนึ่งเค่อก็ทำให้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยและสูญเสียลมปราณไปไม่น้อย ยังดีที่จี้หยกโลหิตยังคงดูดซับปราณฟ้าดินโดยรอบด้วยความรวดเร็ว ร่างกายของหนิงอ้ายที่คุ้นชินกับเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาโดยไม่ต้องบัญชาการจึงส่งผลให้แม้จะต้องสูญเสียลมปราณไปจำนวนมากแต่ก็ถูกทดแทนคืนมาเช่นกัน...

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Related chapters

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   ( -จบเล่ม 1- ) บทที่59 หนึ่งท่าพิฆาตสังหาร

    คลื่นวายุสังหารนับไม่ถ้วนถูกพ่นจู่โจมอย่างต่อเนื่อง หากหนิงอ้ายไม่ได้ใช้วิชาตัวเบาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ประสานไปกับพลังวิญญาณของตนจนทำให้ระดับความเร็วของเขาเป็นที่น่าตกตะลึงแล้วคงยากที่จะรอดพ้นไปจากการโจมตีจากสัตว์อสูรตรงหน้านี้ได้ แน่นอนว่าหนิงอ้ายย่อมไม่ใช่ลูกพลับนิ่มที่ปล่อยให้อีกฝ่ายมีโอกาศโจมตีตนได้ฝ่ายเดียว เพราะเขาก็ได้ใช้บทเวทย์โจมตีของตนโต้กลับไปในทุกครั้งที่มีโอกาสเช่นกันมหาบุปผชาติเหมันต์จำแลงลักษณ์!ตู้ม! ตู้ม!ทุกครั้งที่หนิงอ้ายหลบหลีกและส่งการโจมตีโต้กลับไปยังอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะ ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไหร่โทสะของสัตว์อสูรยิ่งเพิ่มขึ้น มันไม่คาดคิดว่าการปะทะกับผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิวิญญาณคนหนึ่งจะทำให้มันสูญเสียลมปราณในร่างกายไปได้มากถึงเพียงนี้พรึบ!ชายผ้าคลุมสีเขียวอ่อนปลิวไหวสะบัดไปตามแรงลมที่ต้านปะทะ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายสูญเสียจังหวะไม่รอให้อีกฝ่ายตั้งตัว หนิงอ้ายเร่งเร้าพลังลมปราณทั่วทั้งร่ายกาย ก่อนที่แขนขวานั้นสะสะบัดออกเบื้องหน้า ขณะใช้ออกด้วยท่าร่างเคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ เข็มโลหะสีเงินทั้งเก้าพุ่งทะยานผ่านอากาศจนเกิดเสียง ต้าเฮยที่ซ่อนตัวอยู่ได้ประสานปร

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่60 ถึงจุดหมายในที่สุด

    ทางฝั่งผู้อาวุโสของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งใจ เมื่อพวกเขาเห็นว่ากลุ่มของหนิงอ้ายทั้งสี่คนสามารถจัดการอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะได้สำเร็จ แม้ว่าตอนนี้จะยังมีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ชายหญิงมากกว่าหลายสิบคนที่ยังไม่ฟื้นคืนสติก็ตามอำนาจสะกดใจที่เคยควบคุมไม่ต่างหุ่นเชิดไร้ซึ่งแรงต้านทาน เมื่อสัตว์อสูรนายแห่งพันธะดังกล่าวได้ตกตายไป ร่างกายของพวกเขาจะไม่ได้รับผลกระทบต่อวิถีทางแห่งผู้ฝึกตนในวันข้างหน้า หลังจากนี้เพียงไม่กี่ชั่วยามย่อมที่จะฟื้นสติกลับมาได้ดังเดิม หากว่ากลุ่มของรุ่นเยาว์เหล่านี้สามารถเดินทางมาถึงประตูทางเข้าของสำนักศึกษาได้สำเร็จ นั่นเท่ากับว่าในปีนี้ทางสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ได้รับศิษย์ใหม่มากที่สุดของทางสำนักเลยทีเดียว"ในที่สุดพวกเขาทั้งสี่คนก็มาถึงประตูทางเข้าของสำนักได้เสียที บอกตามตรงว่าที่ผ่านมาในตำแหน่งผู้อาวุโสของสำนัก ได้เห็นการคัดเลือกศิษย์ใหม่มามากมายนับไม่ถ้วน ทว่าไม่มีครั้งใดซักครั้งที่ทำให้ข้าเกือบหัวใจจะวายเช่นนี้ได้!!" ผู้อาวุโสชราร่างเล็กคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเสียงดังราวกับอัดอั้นมาแสนนาน พร้อมกับถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกที่เด็

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่61 ท่านเทพพยากรณ์

    เหล่าผู้คุ้มกันเห็นว่ารุ่นเยาว์ทั้งสี่คนเดินห่างออกไปแม้ภายนอกพวกเขาจะยังคงเต็มไปด้วยความเคร่งครึมและใบหน้าเรียบเฉย แต่ภายในกลับสื่อสารกันภายในจิตยิ่งกว่า'เด็กคนนั้นไม่เลวเลยทีเดียว…''ข้าว่าปีนี้คงมีศิษย์ใหม่เข้าร่วมสำนักเยอะที่สุดในประวัติการณ์ ยังมีอีกกลุ่มหนึ่งที่กำลังมุ่งตรงเข้ามาในอีกไม่กี่ชั่วยามแล้ว...' ผู้อาวุโสคนหนึ่งที่มีญาณสัมผัสลึกล้ำเอ่ยเสริมขึ้น'เด็กหนุ่มตัวเล็กที่สุดน่าสนใจอย่างบอกไม่ถูก ข้าว่าในปีนี้ข้าอาจจะเข้าร่วมทดสอบเป็นผู้อาวุโสฝ่ายในก็เป็นไปได้…' ชายวัยกลางคนผู้เป็นหัวหน้าคุ้มกันที่คุยกับกลุ่มของหนิงอ้ายเอ่ยขึ้นอย่างมีเลศนัย ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนเรื่องพูดคุยเป็นเรื่องอื่นที่ต่างเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในมุมมองของตนเองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ก็ไม่ต่างไปจากผู้อาวุโสในห้องโถงหลักของสำนักสักเท่าไหร่นัก พวกเขาทั้งหลายยังคงเฝ้ามองสิ่งที่เกิดขึ้นค่ายกลส่งภาพ ในใจพวกเขาต่างรู้สึกอยู่ในใจว่าการรับศิษย์ใหม่ในปีนี้ช่างเต็มไปด้วยเรื่องราวที่แปลกประหลาดใจเสียจริง...ทางฝั่งกลุ่มของหนิงอ้ายทั้งสี่คนต่างพากันเดินไปไม่ไกลไปจากประตูของสำนักทางด้านฝั่งซ้ายมือ ก่อนที่จะเลือ

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่62 สิ้นสุดการทดสอบแรก

    ทางฝั่งผู้อาวุโสที่เฝ้ามองกลุ่มของหนิงอ้ายผ่านค่ายกลส่งภาพนี้ พวกเขาต่างล้วนอยากรู้ว่าเด็กหนุ่มนั้นล่วงรู้ถึงแบบทดสอบในวันพรุ่งนี้จริงหรือไม่? เพราะหากเด็กหนุ่มทราบจริงนี่ออกจะเหลือเชื่อเกินไปสักหน่อยแล้วการทดสอบครั้งถัดไปเป็นท่านเจ้าสำนักและท่านรองเจ้าสำนักเป็นผู้ดูแลด้วยตนเอง เหล่าผู้อาวุโสตอนนี้ต่างจ้องมองกลุ่มของหนิงอ้ายสลับไปมากับทางฝั่งของทั้งสองคนผู้สูงศักดิ์ในสำนักศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการทดสอบที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้…"ให้ข้าเปิดเผยความลับสวรรค์ให้เช่นนั้นรึ? หากว่าเจ้าสามารถหยุดพูดไปถึงหนึ่งเค่อข้าจักยอมทำนายให้แก่เจ้าก็แล้วกัน..." ท่าทางของหนิงอ้ายที่แสดงออกมาช่างดูเหมาะสมกับช่วงวัยสิบห้าสิบหกยิ่งท่าทางหยอกล้อที่เต็มไปด้วยความสดใสทำเอาผู้ที่แอบเฝ้ามอง? ผ่านดวงตากลมโตสีแดงชาด อดที่จะขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้ดูท่าแล้วตนคงต้องรีบไปพบเจ้ากระต่ายน้อยของตนให้เร็วที่สุด"หนิงอ้าย ไม่สิ!! เจ้าเป็นใครกันสหายของข้าไม่เคยพูดเล่นเช่นนี้ ไม่นะ!! เอาสหายข้าคืนมา..." เมื่อเห็นเด็กหนุ่มส่งมาแบบนั้นแล้ว อี้หลินจึงทำการละเล่นตอบกลับไปใหญ่โตกว่าเดิมหลายเท่า ท่ามกลางสายตาของลู่ซีและจินหั่วที่สายหัว

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่63 ศิษย์ใหม่

    "หนิงอ้ายเจ้าคิดว่าปีนี้การทดสอบจะเป็นอย่างไร?" หลี่ซวงถามขึ้นหลังจากที่พวกเขาใช้เวลาพูดคุยกันไปหลายชั่วยาม นับว่าเป็นสหายที่พูดคุยกันได้ถูกคอยิ่ง"ข้าคิดว่าผู้อาวุโสที่คอยกำกับดูแลในเรื่องนี้คงไม่ได้มีการทดสอบที่ยากจนเกินไป เพราะว่าแต่ละปีจำนวนของผู้ฝึกตนที่ผ่านการทดสอบแรกก็มีจำนวนน้อยอยู่แล้ว หากหลังจากนี้การทดสอบยังเป็นสิ่งที่ยุ่งยากอีก ข้าว่าทางสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์คงไม่ได้ศิษย์ใหม่เลยซักคนเป็นแน่..." หนิงอ้ายตอบกลับไปตามความคิดของตนเพราะสำหรับจำนวนผู้ฝึกตนที่ผ่านการทดสอบแรกจนมาถึงประตูทางเข้าของสำนักก็ว่ามีจำนวนน้อยมากแล้ว หากยังมีการทดสอบที่ยุ่งยากเขาเกรงว่าสิ่งที่เขาตอบไปอาจเกิดขึ้นจริงก็เป็นได้"ก็จริงของเจ้านะหนิงอ้าย ฮ่าฮ่าฮ่า" ชายหนุ่มที่เหลือทั้งห้าคนต่างหัวเราะขึ้นเสียงดังกับคำตอบที่หนิงอ้ายได้เอ่ยจบไปเมื่อครู่อย่างอดใจไม่ได้ทางฝั่งของผู้อาวุโสที่เฝ้ามองอยู่ในค่ายกลส่งเมื่อพวกเขาคิดตามคำพูดของเด็กหนุ่มก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้เช่นกัน เรื่องของจำนวนศิษย์ใหม่ในแต่ละปีมีจำนวนน้อยเพียงใดพวกเขาต่างกระจ่างใจเป็นที่สุด...ด้วยจำนวนของผู้ผ่านการทดสอบแรกนี้มีจำนวน

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่64 การทดสอบเข้าตำหนัก

    เมื่อพลังวิญญาณได้ผสานลงไปในป้ายหยกที่ได้รับต่างรู้สึกได้ถึงพลังอันแปลกประหลาดอันทรงพลังแข็งแกร่ง และยังคงกลิ่นอายของความศักดิ์สิทธิ์โบราณยังคงถูกรักษาไว้ไม่ให้สูญสลายไปตามกาลเวลา พลังประหลาดนี้ได้ไหลเวียนไปทั่วทั้งร่างกายอย่างไร้ซึ่งสิ่งใดต่อต้านได้ทั้งสิ้นเพียงอึดใจเดียวแสงสว่างที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าได้กระตุ้นให้พวกเขาทุกคนต้องลืมตาขึ้น ภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าคือลานพิธีขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ปราณธาตุน้ำแข็งศักดิ์สิทธิ์ที่มีความแวววาวและมีคุณสมบัติที่คงทนเป็นอันดับต้น ๆ ในยุทธภพกล่าวว่าหาได้ยากยิ่งในการครอบครองแม้เพียงขนาดเท่ากำปั้นมือ ทว่าทางสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์เองกลับใช้แร่ปราณธาตุน้ำแข็งศักดิ์สิทธิ์นี้ในการสร้างลานพิธีแห่งนี้ขึ้น หากสังเกต ก็จะพบว่าทุกสิ่งก่อสร้างที่อยู่ในอาณาเขตของสำนักศึกษาที่สามารถสองเห็นได้นั้นต่างถูกทำขึ้นจากแร่ปราณธาตุน้ำแข็งศักดิ์สิทธิ์ไม่ต่างกันทั้งสิ้นความรู้สึกที่สัมผัสได้ทำให้ตัวตนของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ในใจของพวกเขารุ่นเยาว์ชายหญิงที่เป็นศิษย์ใหม่ต่างถูกยกสูงไปอีกไม่รู้กี่เท่า แน่นอนว่าพวกเขาต่างคิดเห็นตรงกันว่าการตัดสิน

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่65 การตัดสินใจ

    "หากต้องการเห็นฝีมือที่แท้จริงของข้า ด้วยระดับพลังของท่านในตอนนี้ยังนับว่าไม่คู่ควรสักเท่าไหร่นัก!" หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นด้วยความเคร่งขรึมเนตรแห่งสวรรค์ส่งข้อมูลให้รับรู้ว่าเคล็ดวิชากระบี่ตรงหน้าที่ชายหนุ่มใช้กับตนนั้นเป็นหนึ่งสุดยอดเคล็ดวิชากระบี่ที่ขึ้นชื่อของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ การนำมาใช้กับศิษย์ใหม่เช่นนี้หนิงอ้ายมองว่าเป็นการรังแกกันเกินไปเสียหน่อย ดังนั้นเพื่อเเสดงให้ทุกคนเห็นว่าเขาไม่ใช่ลูกพลับนิ่มที่ทุกคนสามารถบีบได้โดยง่ายจึงต้องแสดงฝีมืออกมาเสียบ้างแล้วเคล็ดวิชากระบี่เจ็ดดาวเหนือของหนิงอ้ายได้ถูกปรับเปลี่ยนโดยการใช้อักขระเวทย์โบราณเข้าเสริมจึงทำให้เคล็ดวิชานี้มีอาณุภาพไปไม่ต่างบทเวทย์ระดับเซียนเสียด้วยซ้ำ เห็นแก่ที่ชายหนุ่มศิษย์สายนอกผู้นี้ที่อายุน้อยกว่า (อายุน้อยกว่าในโลกเดิม) เช่นนั้นเขาจะใช้พลังปราณเพียงสามสี่ส่วนเพื่อไม่ให้เป็นอันตรายต่ออีกฝ่ายไปมากนักก็แล้วกันมือขวาของหนิงอ้ายตวัดขึ้นกระบี่เล่มงามที่ถูกผนึกขึ้นจากปราณธาตุไฟก่อนหน้าได้สลายหายไปในอากาศ ก่อนที่รอบตัวของเด็กหนุ่มจะปรากฎขึ้นเป็นกระบี่เจ็ดเล่มที่แผ่กลิ่นอายความเหนือชั้นอหังการออกมา ก่อนที่หมุนวน

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่66 ข้าเลือก...

    'ต้าเฮยเจ้าคิดว่าทั้งสี่ตำหนักข้าควรเลือกเข้าตำหนักใดดีที่สุด?' หนิงอ้ายเอ่ยถามเจ้าตัวน้อยที่ขดอยู่ในอกเสื้อของตนผ่านกระเเสจิตเพื่อถามความคิดเห็นของอีกฝ่ายเพื่อประกอบการตัดสินใจครั้งนี้'ไม่ว่าท่านจะเลือกเข้าตำหนักใดจะมีข้าที่คอยอยู่เคียงข้างและปกป้องท่านขอรับ...' ต้าเฮยตอบกลับไปตามความคิดที่มีต่อนายท่านคนงามนี้ด้วยเพราะว่าท่านประมุขกำชับมันไว้ว่าต้องดูแลนายหญิงให้ดีที่สุด'ขอบใจเจ้ามาก เอาละ! ข้าตัดสินใจได้เเล้ว...' ในที่สุดหนิงอ้ายก็สามารถตัดสินใจเลือกตำหนักที่ตนสนใจได้แล้ว"ก่อนที่เจ้าจะเลือกเข้าสังกัดตำหนักใด จงฟังข้อเสนอของพวกข้าเสียหน่อยเถิด..." ผู้อาวุโสรุ่ยเหอเอ่ยขึ้นเมื่อเห็นว่าหนิงอ้ายมีท่าทางราวกับว่าตัดสินใจได้แล้วเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้นับว่าสร้างความประหลาดใจแก่ศิษย์ใหม่เป็นอย่างมาก แต่บรรดาผู้อาวุโสและศิษย์สายนอกและสายในตั้งแต่ปีที่สองขึ้นไปต่างเคยเห็นหรือพบเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนทั้งสิ้น การให้ข้อเสนอหรือการชักชวนจากเจ้าตำหนักทั้งสี่มักจะเกิดขึ้นเสมอ ในยามที่ผู้อาวุโสเหล่านี้ต้องการให้ศิษย์ที่ตนหมายตาไว้ให้เข้าร่วมสังกัดตำหนักของตนนั่นเอง"ความสามารถและญาณสัมผัสอันล

    Last Updated : 2025-03-06

Latest chapter

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   ( -จบเล่ม ปฐมบท 3.2- ) บทที่ 174 ความวุ่นวายที่สิ้นสุดลง

    ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 173 สมบัติเทพมารจุติ

    ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 172 การปรากฎตัวของผู้ขายวิญญาณ

    คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 171 ผู้ท้าทายที่กล้าหาญ

    การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 170 กฎเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

    หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 169 ผู้ผ่านการทดสอบ

    ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 168 เดินทางกลับสำนักศึกษา

    มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 167 การเลื่อนระดับที่เหนือล้ำ

    ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 166 ความร่วมมือ

    ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status