เหตุการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นผู้อาวุโสแต่ละตำหนักตัวแทนเข้าร่วมดูแลการทดสอบครั้งนี้ได้มีการถกเถียงถึงในเรื่องราวต่าง ๆ ที่เป็นไปได้ เจียงเฉิงที่มีฐานะสูงสุดในที่นี้นั่นคือเจ้าสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ แม้ภายนอกจะดูนิ่งเฉยไม่ได้เอ่ยเสริมอะไรขึ้น แต่สายตายังคงจ้องเด็กหนุ่มที่ตอนนี้กำลังปกปิดอาการแตกตื่นดังกล่าวอย่างนิ่งสงบ ด้วยอายุเพียงสิบห้าสิบหกเพียงเท่านี้ของอีกฝ่ายแต่กลับสามารถควบคุมสติได้มั่นคงหนักแน่น เขาอยากรู้นักว่าอีกฝ่ายรวมไปถึงสหายอีกทั้งสามคนจะสามารถผ่านการทดสอบเป็นศิษย์ของสำนักได้หรือไม่
เทือกเขาเร้นลับอสูรที่อยู่โดยรอบของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์มีพื้นที่กว้างใหญ่เป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงเต็มไปด้วยสัตว์อสูรมากมาย ที่กระทั่งฝ่ายสำรวจของทางสำนักที่มีการเก็บรวมรวมข้อมูลมาหลายพันปีตั้งแต่เริ่มก่อตั้งสำนัก แม้ข้อมูลที่อยู่ในมือนั้นจะมีมากมายแต่ถึงอย่างนั้นยังไม่ถึงกับครอบคลุมทั้งหมด สัตว์อสูรบางสายพันธ์นั้นถึงกับมีสายเลือดบรรพกาลไหลเวียนอยู่หรือบ้างก็มีความเป็นมาที่ลึกลับ อีกทั้งยิ่งกับสัตว์อสูรระดับสูงที่สามารถเปิดสติปัญญาได้นั้นมักจะมีการแบ่งพื้นที่เขตปกครองถิ่นที่อยู่อย่างชัดเจน ขอเพียงแค่ไม่เข้าไปก่อกวนหรือเข้าไปในอาณาเขตของมันย่อมปลอดภัยต่อชีวิต
"แล้วเช่นนี้จะเป็นสัญญาณเตือนอันใดหรือไม่? อสรพิษราชันย์สุริยันจันทราทมิฬไม่ได้ย่างกรายเข้าเขตป่าไป๋เซินหลินนับเป็นเวลาหลายร้อยปีมาแล้วเสียด้วยซ้ำ!!" สตรีในรูปลักษณ์วัยกลางคนเอ่ยขึ้นพร้อมกับครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน อีกฝ่ายที่เป็นถึงสัตว์อสูรระดับตำนานนั้นมีสิ่งอื่นใดที่แอบแฝงซ่อนเร้นอยู่หรือไม่
"หากบอกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญคงไม่ใช่ พวกท่านคิดเห็นตรงกันหรือไม่?" ชายวัยกลางคนที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับหนุ่มเจ้าสำราญเอ่ยถามขึ้น
"หรืออาจเป็นเพราะมีสิ่งใดไปกระตุ้น? แล้วจะเป็นสิ่งใดได้กันเพราะรุ่นเยาว์ทั้งสี่คนนั้นต่างเป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิวิญญาณเพียงเท่านั้น ย่อมไม่มีแรงสะกดข่มอันตรายจนอสรพิษราชันย์สุริยันจันทราทมิฬต้องเปิดเผยตัวเช่นนี้ได้..." ชายชราอีกคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างคาดเดา
"ข้าว่าอาจเป็นของสมบัติวิเศษก็เป็นไปได้ เพราะเด็กหนุ่มที่มีนามว่าหนิงอ้ายกับลู่ซีหากทั้งสองเป็นลูกหลานตระกูลหวังแห่งแคว้นเต่าดำจริง ท่านประมุขตระกูลหวังจิ่งหลงคงมอบสมบัติวิเศษระดับสูงไว้สำหรับป้องกันตัวก็เป็นไปได้..." ผู้อาวุโสหญิงร่างเล็กเอ่ยถึงสิ่งที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้มากที่สุด
"ของวิเศษระดับสูงเช่นนั้นรึ? ก็อาจเป็นไปได้เช่นกัน แล้วทุกท่านยังมีความเห็นอื่นกันหรือไม่?"
"ท่านเจ้าสำนักมีความเห็นในเรื่องอย่างไรหรือขอรับ?" ผู้อาวุโสคุมกฎที่หนึ่งเอ่ยขึ้น เมื่อเห็นสายตาจากทุกคนมองกดดันให้เขาเป็นตัวแทนถามเจ้าสำนักศึกษาด้วยความอยากรู้
"ท่านบรรพชนผู้ก่อตั้งสำนักศึกษาจดบันทึกเอาไว้ว่าอสรพิษราชันย์สุริยันจันทราทมิฬเป็นอสูรสายเลือดบรรพกาลหายากที่อาศัยอยู่ในเทือกเขาเร้นรับอสูรแห่งนี้มาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งสำนักเมื่อหลายพันปีก่อน หลังจากที่อีกฝ่ายได้ประสบพบโชควาสนาสวรรค์จนสามารถเปิดสติปัญญาสำเร็จเป็นสัตว์อสูรมายาระดับสูง (เทียบเท่าราชทินนามผู้ฝึกตนระดับเทพยุทธ์วิญญาณ) เมื่อหลายร้อยปีก่อน จากนั้นผู้อาวุโสท่านนี้ได้เก็บตัวจำศีลอยู่อย่างสงบตรงเขตเทือกเขาเร้นรับอสูรชั้นในสุด ไม่ข้องเกี่ยวกับสิ่งใดทั้งสิ้น..."
"ด้วยความพิเศษทางสายเลือดของสัตว์อสูรบรรพกาลแล้ว จากกลิ่นอายที่เล็ดลอดออกมาจนสัมผัสได้อสรพิษราชันย์สุริยันจันทราทมิฬในตอนนี้คงทะลุถึงเขตขั้นเป็นสัตว์อสูรระดับตำนาน (เทียบเท่าราชทินนามผู้ฝึกตนระดับเทพสวรรค์วิญญาณ) แล้วเป็นแน่ ด้วยความเหนือชั้นของตบะพลังวิญญาณเช่นนี้หากเกิดสิ่งใดขึ้นคงมีแต่อาจารย์ปู่เท่านั้นที่จะรับหน้าได้..."
"…"
"…"
"ในตอนนี้ยังไม่อาจกล่าวสรุปสิ่งใด หากอสรพิษราชันย์สุริยันจันทราทมิฬเลือกที่จะโจมตีแล้วเด็กหนุ่มทั้งสี่คนคงไม่มีทางปลอดภัยเช่นนี้ อย่างไรฝากให้ผู้อาวุโสคุมกฎช่วยลงไปตรวจสอบด้วยเล่า..." เจียงเฉิงเอ่ยขึ้นพร้อมกับมอบหมายภารกิจให้ทางผู้อาวุโสคุมกฎตรวจสอบ เพราะอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของทางสำนักก็เป็นไปได้ทั้งสิ้น
ท้ายที่สุดแล้วทุกคนยังไม่อาจคาดเดาได้ว่าสาเหตุใดที่อสรพิษราชันย์สุริยันจันทราทมิฬจึงเลือกที่จะปรากฎตัวและจ้องมองรุ่นเยาว์กลุ่มหนึ่งด้วยท่าทีแปลกประหลาด เคราะห์ดีที่อีกฝ่ายไม่เข้าโจมตีรุ่นเยาว์ทั้งสี่คนนี้ ด้วยระดับพลังเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสามัญของท่านเจ้าสำนักเจียงเฉิงย่อมเร่งรุดช่วยเหลือไม่ทันการณ์เป็นแน่ หากเป็นเช่นนั้นแล้วทางสำนักศึกษาคงสูญเสียสุดยอดรุ่นเยาว์กลุ่มนี้ที่มากไปด้วยพรสวรรค์เข้ามาเป็นศิษย์ของสำนัก นับว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง
ในเมื่อท่านเจ้าสำนักเอ่ยขึ้นด้วยตนเองว่าไม่ให้พวกเขาวิตกกังวลจนเกินไป เช่นนั้นแล้วพวกเขาทั้งหลายจึงกลับมาให้ความสนใจกับภาพจากค่ายกลส่งภาพอีกครั้ง สำหรับผู้ฝึกตนรุ่นเยาวืชายหญิงกลุ่มอื่นล้วนต่างพบเจอกับประสบการณ์ที่แตกต่างกันแต่ด้วยความเคร่งเครียดจากหาคำตอบที่ยังคงค้างคาอยู่ในใจต่อเหตุการณ์ก่อนหน้า ส่งผลให้บรรยากาศในห้องโถงนี้ไร้ซึ่งเสียงพูดคุย เนื่องจากไม่มีผู้ใดเอ่ยสิ่งใดขึ้นเพิ่มเติมนอกเหนือจากนี้ราวกับว่าทุกคนต่างตกอยู่ในภวังค์ความคิดอยู่นั่นเอง
...............................
วันเวลาได้ผันผ่านไปอย่างรวดเร็วช่วงราตรีอันเงียบสงบนั้นใกล้จะถูกแทนที่ด้วยแสงแรกแห่งวันในอีกไม่กี่ชั่วยามนี้ หลังจากได้พักผ่อนไปอย่างเต็มที่จนรู้สึกว่าร่างกายสามารถฟื้นฟูกลับมาได้ดังเดิมแล้ว ถึงเวลายามอิ๋นหนิงอ้ายจึงจัดการธุระส่วนตัวของตนให้เรียบร้อยก่อนที่จะสลับเวรยามกับลู่ซีเพื่อให้อีกฝ่ายได้พักผ่อน
หนิงอ้ายได้อ่านความทรงจำของวิหคสอดแนมที่ได้ส่งไปสำรวจพื้นที่โดยรอบในขอบเขตรัศมีสองลี้ ภาพของเหตุการณ์ความเป็นไปเกิดขึ้นล้วนถูกบันทึกไว้ทั้งสิ้น สรุปได้คือคือบริเวณทั้งหมดนี้ที่ไม่ปรากฏซึ่งสัตว์อสูรและสิ่งมีชีวิตอื่น ทุกสิ่งอย่างโดยรอบดูราบเรียบจนแปลกประหลาดจนเกินไปในความรู้สึกของสัญชาติญาณ
ดังนั้นหนิงอ้ายจึงเลือกปล่อยวิหคสอดแนมเพื่อสำรวจความเป็นไปหลังจากนี้ จากนั้นเขาจึงเริ่มลงมือทำอาหารมื้อเช้า โดยตั้งใจว่าทำโจ้กไข่ใส่เนื้อสับแบบง่าย ๆ อีกไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็จะเป็นช่วงเช้าพอดี หนิงอ้ายหยิบเอาวัตถุดิบต่างสำหรับการทำอาหารมื้อเช้านี้ออกจากแหวนมิติ พร้อมกับทำอาหารด้วยความคล่องแคล่วที่ดูออกว่าเด็กหนุ่มนั้นคุ้นชินกับการทำอาหารนี้มากเพียงใด
ผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยาม เมื่อทุกอย่างเสร็จแล้วนั้นกลิ่นหอมของโจ้กหนิงอ้ายได้ส่งผลต่อกับชายหนุ่มวัยกำลังโตอีกสามคนที่เหลือ โดยเฉพาะกับอี้หลินนั้นถึงกับละเมอลงมาจากต้นไม้เสียอย่างนั้นเป็นที่น่าขบขันยิ่งนัก จากที่ทุกคนควรจะพักอีกสักหน่อยแต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ให้กับความหิว ดังนั้นพวกเราทั้งสี่คนเมื่อขัดการธุระส่วนตัวเสร็จแล้วนั้นจึงนั่งล้อมวงทานอาหารและพูดคุยกันถึงแนวทางเดินหลังนี้
สุดท้ายมื้อเช้านี้ได้จบไปด้วยความเร่งรีบเพราะด้วยเหลือเวลาอีกเพียงสองวันเท่านั้นก็จะครบตามกำหนดเวลาที่ทางสำนักศึกษาได้กำหนดเอาไว้เเล้ว พวกเขาทั้งสี่คนได้สำรวจข้าวของทุกอย่างว่าเรียบร้อยเสร็จสิ้น กลุ่มของหนิงอ้ายทั้งสี่คนจึงเริ่มออกเดินทางต่อไปในทันทีด้วยความระมัดระวังตัวเช่นเดิม แน่นอนว่าระหว่างทางนั้นยังคงไร้ซึ่งอุปสรรค แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขาทั้งสี่คนยังคงเฝ้าระวังและใช้ญาณสัมผัสกันอย่างเต็มที่ ด้วยเพราะกังวลว่าหลังจากหมดคลื่นลมที่เงียบสงบเช่นนี้แล้วอาจจะมีภัยร้ายตามมาก็เป็นไปได้
เวลาได้ผ่านไปอีกสองชั่วยาม ในระหว่างเส้นทางที่คาดว่าเป็นดั่งจุดใจกลางของป่าไป๋เซินหลิน เนตรแห่งสวรรค์ทำให้หนิงอ้ายรับรู้ได้ว่าเพียงมุ่งตรงไปตามเส้นทางนี้ไปเรื่อย ๆ อีกไม่กี่ชั่วยามก็จะถึงทางเข้าของทางสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์แล้ว ด้วยความคงที่ของเวลาในการเดินทางนับว่าพวกเขาทั้งสี่คนนั้นคิดถูกต้องมากเลยทีเดียวที่เลือกมุ่งตรงมายังเส้นทางนี้
"เพียงเดินตามเส้นทางนี้ไปอีกไม่กี่ชั่วยามพวกเราก็จะถึงทางเข้าของสำนักแล้ว..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นกับทุกคนด้วยความยินดี
"เจ้าไม่โกหกข้าใช่หรือไม่หนิงอ้าย เฮ้อ!! โชคดีจริงที่ข้าได้มาเจอกับพวกเจ้าไม่เช่นนั้นพวกข้าคงแย่..." อี้หลินเอ่ยขึ้นพร้อมกับส่งรอยยิ้มขอบคุณไปยังเด็กหนุ่มที่ตัวเล็กที่สุดในกลุ่ม เพราะอีกฝ่ายได้ช่วยเหลือพวกเขาจากอสูรระดับสูงอีกทั้งยังให้พวกเขาร่วมเดินทางมาด้วยกันจนใกล้ถึงจุดหมายที่ตั้งไว้
"ได้ยินเช่นนี้ข้ารู้สึกหายเหนื่อยไปหลายส่วน หากเข้าสำนักได้แล้วข้าขอเป็นเจ้ามือเลี้ยงข้าวพวกเจ้าทุกคนแล้วกัน..." จิ่นหั่วเอ่ยเสริมขึ้นพร้อมกับมองไปยังทุกคนด้วยความสุขใจ
หนิงอ้ายที่กำลังจะเอ่ยหยอกล้อกลับอีกครั้งไป แต่เมื่อเห็นข้อมูลที่เนตรแห่งสวรรค์ส่งมาให้ได้รับรู้นั้น ยอมรับว่าเขารู้สึกตกใจเป็นอย่างมากแต่ก็สามารถดึงสติกลับมาได้ในเวลาเพียงชั่วครู่เท่านั้นพร้อมกับเอ่ยขึ้นมาเสียงดังว่า "พวกเจ้าทุกคนร่ายบทเวทย์ป้องกันเดี๋ยวนี้!!!!"
ทางฝั่งของลู่ซี อี้หลินและจิ่นหั่วเองนั้นแม้จะไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นแต่เมื่อสิ้นคำของหนิงอ้าย ทั้งสามคนที่เหลือต่างร่ายบทเวทย์ป้องกันของตนขึ้นในทันที
ปราการวารีอหังการ!
เสียงหวานนุ่มของหนิงอ้ายนั้นเอ่ยร่ายบทเวทย์ป้องกันปราณธาตุน้ำบริสุทธิ์ประจำตัวของตนออกมาตั้งรับ
มหาพันตะจรรโลงพิภพ!
ทางฝั่งของลู่ซีเองนั้นไม่รอช้าร่ายบทเวทย์ป้องกันสังกัดปราณธาตุลมที่ได้รับการถ่ายทอดจากหวังจิ่งหลงในทันที
ปฐพีพิทักษ์สยบเขตคาม!
บทเวทย์ป้องกันปราณธาตุดินของจินหั่วแข็งแรงยิ่ง กำแพงดินขนาดมหึมาได้ตั้งขนานพร้อมตั้งรับอย่างมั่นคง
อัคคีเสกสรรโลกธาตุ!
สำหรับอี้หลินเองนั้นแม้ระดับพลังวิญญาณบ่มเพาะจะน้อยสุดในบรรดาสามคนที่อยู่ตรงนี้ แต่ทว่าปราการอัคคีที่ร้อนแรงอันเป็นบทเวทย์ป้องกันประจำตระกูลอี้นั้นไม่สามารถดูเบาได้ ก่อนที่อีกฝ่ายจะเพิ่มความร้อนแรงเเข็งแกร่งของปราการอัคคีนี้ให้เพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า
สิ้นเสียงร่ายเวทย์ป้องกันจากพวกเขาทั้งสี่คนที่ร่ายขึ้นโดยพร้อมเพรียงกัน กลิ่นอายความลึกล้ำของเวทย์ป้องกันได้ปรากฎขึ้นเป็นม่านป้องกันอันเกิดจากปราณธาตุทั้งสี่ที่ได้ประสานเป็นม่านปราการปกป้องอย่างแน่นหนาคุ้มครองพวกเขาได้อย่างทันท่วงที แต่ทว่าไม่ทันให้พวกเราได้พูดคุยสอบถามกันทั้งสิ้น การดจมตีจากโดยรอบทิศทางได้กระแทกเข้ากับม่านปราการป้องกันอีกครั้ง
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
"เกิดสิ่งใดขึ้น?" ลู่ซีถามกับหนิงอ้ายในทันทีซึ่งตอนนี้เด็กหนุ่มนั้นมีสีหน้าเคร่มครึมผิดปกติอย่างเช่นที่แล้วมา
"เมื่อครู่ข้าสัมผัสได้ถึงพลังทำลายล้างระดับสูงจากไม่ใกล้ไม่ไกลโดยรอบตัวพวกเรา แต่ข้านั้นยังไม่สามารถชี้จุดได้จึงเตือนให้ทุกคนได้ระวังเอาไว้..." หนิงอ้ายตอบกลับไปพร้อมกับแผ่ปราณสัมผัสของตนเพิ่มขึ้น เพียงแต่เขาไม่สามารถสัมผัสสิ่งใดได้ในตอนนี้ราวกับว่ามีคลื่นหรือมีสิ่งใดคอยปกปิด
"เสียงนี้ช่างไพเราะยิ่งนัก พวกเจ้าได้ยินเหมือนกับข้าบ้างหรือไม่?" อี้หลินถามขึ้นพร้อมกับชี้นิ้วออกไปตรงจุดที่คาดว่าเป็นต้นกำเนิดแห่งเสียงอันไพเราะเช่นนี้
"นี่มันเสียงของอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะ!! ทุกคนถ่ายเทลมปราณเสริมเวทย์ป้องกันให้เป็นระดับสูงสุด!!" หนิงอ้ายเมื่อเห็นข้อมูลที่เนตรแห่งสวรรค์แจ้งให้รับรู้ จึงตะโกนขึ้นร้องบอกกับทั้งสามคนในทันที
สิ้นเสียงของหนิงอ้ายนั้น ทั้งสามคนที่เหลือต่างตกตะลึงกันยิ่งกว่า ชื่อเสียงของอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะนั้นหากเรียกว่าเป็นเสียงเรียกจากยมโลกก็ไม่ต่างไปนัก
"จักจั่นเก้าสุวรรณมรณะเป็นสัตว์อสูรที่มีความร้ายกาจคือคลื่นเสียงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังของการทำลายล้างและการสะกดจิต หากผู้ฝึกตนไร้ซึ่งความมั่นคงทางจิตใจแล้วย่อมถูกชักจูงได้ง่ายไม่ต่างไปจากหุ่นเชิดมีชีวิตของมันเท่านั้น!!" จินหั่วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังพร้อมกับอธิบายข้อมูลที่ตนพอรับรู้ให้กับทุกคนได้ทราบ
"แต่จากการโจมตีเมื่อครู่นี้ ดูเหมือนเป็นฝีมือและบทเวทย์โจมตีจากผู้ฝึกตนใช่ไหม?" ลู่ซีเอ่ยถามขึ้นด้วยเพราะมั่นใจว่าอีกฝ่ายนั้นย่อมรู้ข้อมูลเป็นแน่
"อสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะได้อาศัยอยู่ในป่าไป๋เซินหลิน กล่าวได้ว่าเป็นอีกหนึ่งป่าพิศดารที่เต็มไปด้วยความลึกลับ ไม่ต้องทราบประวัติความเป็นมาในเชิงลึกก็พอรับรู้ได้ว่าป่าไป๋เซินหลินที่ทุกสิ่งอย่างเต็มไปด้วยสีขาวนั้นย่อมมีบางสิ่งอย่างที่คอยกระตุ้นควบคุม มากไปกว่านั้นคล้ายกับว่าขอบเขตพื้นที่ป่าไป๋เซินหลินได้มีการขยายเพิ่มขึ้นในทุกปี กินเนื้อที่ของผืนป่าส่วนอื่นไปมากเลยทีเดียว..." หนิงอ้ายตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด ในขณะที่ด้านนอกของม่านป้องกันนั้นต่างมีคลื่นเสียงเข้าโจมตีอย่างต่อเนื่อง
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
"แย่แล้ว นี่คงไม่ใช่..." อี้หลินเอ่ยขึ้นอย่างเสียอาการไปเล็กน้อยเมื่อเห็นบางอย่างก้าวเท้าเข้ามาหาพวกตนด้วยความรวดเร็ว
ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!
"น่าสนุกเสียจริง!!" หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดี ก่อนที่เขาจะสลายเวทย์ป้องกันก่อนที่จะตั้งรับการโจมตีกับสิ่งที่อยู่ด้านนอกเวทย์ป้องกันอย่างทันท่วงที
"บางทีข้าอยากจะรู้นักว่าในหัวของหนิงอ้ายคิดอ่านอย่างไร? เหตุใดจึงดูลึกลับคาดเดาไม่ได้ บ้างก็มีท่าทางสุขุมราวกับตาเฒ่าที่ผ่านเรื่องราวในชีวิต บ้างก็ไม่ต่างไปจากเด็กหนุ่มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้นเช่นนี้...”
"บางครั้งการตัดสินใจของหนิงอ้ายเต็มไปด้วยความเด็ดขาดมั่นคง รวมไปถึงทักษะพลังวิญญาณแข็งแกร่งเกินกว่า ทั้งที่ข้ากับหนิงอ้ายก็อายุสิบห้าสิบหกเท่ากันแต่เหตุใดเขาจึงดูโตมากกว่าในความรู้สึกของข้ากันนะ?"
"หลังจากที่หนิงอ้ายปลุกพลังวิญญาณได้สำเร็จตอนอายุเจ็ดปี เขาคงมุ่งมั่นฝึกฝนอย่างเต็มที่ใช่หรือไม่?" อี้หลินถามลู่ซีด้วยความสงสัย
"ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าที่เติบโตมากับเสี่ยวอ้ายตั้งแต่ยังเด็กบางทียังมีบางเรื่องไม่เข้าใจอีกฝ่ายเลยเสียด้วยซ้ำ แต่ข้าขอแก้ไขความเข้าใจเจ้าสักนิด ความจริงแล้วเสี่ยวอ้ายพึ่งปลุกพลังวิญญาณและเข้าสู่วิถีผู้ฝึกตนได้ไม่ถึงสองปีก่อนหน้านี้เอง..." ลู่ซีตอบกลับอี้หลินไปด้วยท่าทีสบาย ๆ แต่ทว่าอีกฝ่ายที่ได้ยินเช่นนั้นแล้วในตอนนี้นั้นมีสีหน้าชะงักค้างคล้ายกับจะเอ่ยสิ่งใดบางอย่างแต่ท้ายที่สุดกลับไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา
ลู่ซีเองก็ไม่ได้อยู่รอฟังอีกฝ่ายเพราะตนนั้นต้องรีบตามหนิงอ้ายที่ออกไปด้วยความเป็นห่วง
“…”
“…”
"หนิงอ้ายพึ่งปลุกพลังวิญญาณเข้าสู่วิถีของผู้ฝึกตนได้ไม่ถึงสองปี แต่กลับถึงพร้อมด้วยราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณขั้นสูงได้อย่างมั่นคง มากไปกว่านั้นรากฐานพลังวิญญาณบ่มเพาะยังแข็งแกร่งยิ่งหากคาดเดาไม่ผิดพลังวิญญาณนี้คงเคี่ยวกรำไม่น้อยกว่าสิบรอบเป็นแน่..." อี้หลินเอ่ยขึ้นพร้อมกับหันมองไปยังจินหั่วพร้อมกับถอนหายใจออกมา...
"ยังมีเวลาอีกมากในการเพิ่มระดับฝีมือของตนให้เพิ่มสูงขึ้น ตอนนี้พวกเราสองคนควรรีบออกไปช่วยหนิงอ้ายกับลู่ซีกันได้แล้ว..." ไม่รอช้าทั้งสองจึงได้สลายเวทย์ป้องกันพร้อมกับพุ่งตัวไปยังด้านข้างของหนิงอ้ายกับลู่ซีในทันที"กลุ่มคนพวกนี้เป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมการทดสอบศิษย์ใหม่ของทางสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งมีจำนวนผู้เข้าร่วมทดสอบมากเท่าไหร่ จำนวนของผู้ถูกสะกดจิตด้วยอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น...""บรรดาผู้ฝึกตนชายหญิงในตอนนี้ หากกล่าวตามตรงคงไม่แตกต่างไปจากหุ่นเชิดไร้ซึ่งสตินึกคิดคงไม่เกินจริงไปนัก..." เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังลมปราณอันคุ้นเคยของสองคนที่ตามมาสมทบแล้วนั้น หนิงอ้ายจึงบอกให้ได้รับรู้ในทันทีแม้ว่าทุกคนในที่นี้อาจพอคาดเดาได้บ้างแล้วก็ตาม"ก็พอเข้าใจได้อยู่บ้าง เฮ้อ!! หากตัดผ่านตรงนี้ไปอีกไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็จะถึงทางเข้าของสำนักศึกษาแล้ว..." อี้หลินเอ่ยเบา ๆ ด้วยความเสียดายเล็กน้อย เพราะตามที่หนิงอ้ายได้บอกก่อนหน้าว่าอีกไม่ไกลก็จะถึงทางเข้าของสำนักศึกษาแล้ว แต่พวกเขากลับต้องมาพบเหตุการณ์ความวุ่นวายดังกล่าว อีกทั้งการทดสอบของสำนักศึกษาครั้งนี้มีเรื่องกำหนดเวลา
คลื่นวายุสังหารนับไม่ถ้วนถูกพ่นจู่โจมอย่างต่อเนื่อง หากหนิงอ้ายไม่ได้ใช้วิชาตัวเบาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ประสานไปกับพลังวิญญาณของตนจนทำให้ระดับความเร็วของเขาเป็นที่น่าตกตะลึงแล้วคงยากที่จะรอดพ้นไปจากการโจมตีจากสัตว์อสูรตรงหน้านี้ได้ แน่นอนว่าหนิงอ้ายย่อมไม่ใช่ลูกพลับนิ่มที่ปล่อยให้อีกฝ่ายมีโอกาศโจมตีตนได้ฝ่ายเดียว เพราะเขาก็ได้ใช้บทเวทย์โจมตีของตนโต้กลับไปในทุกครั้งที่มีโอกาสเช่นกันมหาบุปผชาติเหมันต์จำแลงลักษณ์!ตู้ม! ตู้ม!ทุกครั้งที่หนิงอ้ายหลบหลีกและส่งการโจมตีโต้กลับไปยังอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะ ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไหร่โทสะของสัตว์อสูรยิ่งเพิ่มขึ้น มันไม่คาดคิดว่าการปะทะกับผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิวิญญาณคนหนึ่งจะทำให้มันสูญเสียลมปราณในร่างกายไปได้มากถึงเพียงนี้พรึบ!ชายผ้าคลุมสีเขียวอ่อนปลิวไหวสะบัดไปตามแรงลมที่ต้านปะทะ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายสูญเสียจังหวะไม่รอให้อีกฝ่ายตั้งตัว หนิงอ้ายเร่งเร้าพลังลมปราณทั่วทั้งร่ายกาย ก่อนที่แขนขวานั้นสะสะบัดออกเบื้องหน้า ขณะใช้ออกด้วยท่าร่างเคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ เข็มโลหะสีเงินทั้งเก้าพุ่งทะยานผ่านอากาศจนเกิดเสียง ต้าเฮยที่ซ่อนตัวอยู่ได้ประสานปร
ทางฝั่งผู้อาวุโสของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งใจ เมื่อพวกเขาเห็นว่ากลุ่มของหนิงอ้ายทั้งสี่คนสามารถจัดการอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะได้สำเร็จ แม้ว่าตอนนี้จะยังมีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ชายหญิงมากกว่าหลายสิบคนที่ยังไม่ฟื้นคืนสติก็ตามอำนาจสะกดใจที่เคยควบคุมไม่ต่างหุ่นเชิดไร้ซึ่งแรงต้านทาน เมื่อสัตว์อสูรนายแห่งพันธะดังกล่าวได้ตกตายไป ร่างกายของพวกเขาจะไม่ได้รับผลกระทบต่อวิถีทางแห่งผู้ฝึกตนในวันข้างหน้า หลังจากนี้เพียงไม่กี่ชั่วยามย่อมที่จะฟื้นสติกลับมาได้ดังเดิม หากว่ากลุ่มของรุ่นเยาว์เหล่านี้สามารถเดินทางมาถึงประตูทางเข้าของสำนักศึกษาได้สำเร็จ นั่นเท่ากับว่าในปีนี้ทางสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ได้รับศิษย์ใหม่มากที่สุดของทางสำนักเลยทีเดียว"ในที่สุดพวกเขาทั้งสี่คนก็มาถึงประตูทางเข้าของสำนักได้เสียที บอกตามตรงว่าที่ผ่านมาในตำแหน่งผู้อาวุโสของสำนัก ได้เห็นการคัดเลือกศิษย์ใหม่มามากมายนับไม่ถ้วน ทว่าไม่มีครั้งใดซักครั้งที่ทำให้ข้าเกือบหัวใจจะวายเช่นนี้ได้!!" ผู้อาวุโสชราร่างเล็กคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเสียงดังราวกับอัดอั้นมาแสนนาน พร้อมกับถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกที่เด็
เหล่าผู้คุ้มกันเห็นว่ารุ่นเยาว์ทั้งสี่คนเดินห่างออกไปแม้ภายนอกพวกเขาจะยังคงเต็มไปด้วยความเคร่งครึมและใบหน้าเรียบเฉย แต่ภายในกลับสื่อสารกันภายในจิตยิ่งกว่า'เด็กคนนั้นไม่เลวเลยทีเดียว…''ข้าว่าปีนี้คงมีศิษย์ใหม่เข้าร่วมสำนักเยอะที่สุดในประวัติการณ์ ยังมีอีกกลุ่มหนึ่งที่กำลังมุ่งตรงเข้ามาในอีกไม่กี่ชั่วยามแล้ว...' ผู้อาวุโสคนหนึ่งที่มีญาณสัมผัสลึกล้ำเอ่ยเสริมขึ้น'เด็กหนุ่มตัวเล็กที่สุดน่าสนใจอย่างบอกไม่ถูก ข้าว่าในปีนี้ข้าอาจจะเข้าร่วมทดสอบเป็นผู้อาวุโสฝ่ายในก็เป็นไปได้…' ชายวัยกลางคนผู้เป็นหัวหน้าคุ้มกันที่คุยกับกลุ่มของหนิงอ้ายเอ่ยขึ้นอย่างมีเลศนัย ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนเรื่องพูดคุยเป็นเรื่องอื่นที่ต่างเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในมุมมองของตนเองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ก็ไม่ต่างไปจากผู้อาวุโสในห้องโถงหลักของสำนักสักเท่าไหร่นัก พวกเขาทั้งหลายยังคงเฝ้ามองสิ่งที่เกิดขึ้นค่ายกลส่งภาพ ในใจพวกเขาต่างรู้สึกอยู่ในใจว่าการรับศิษย์ใหม่ในปีนี้ช่างเต็มไปด้วยเรื่องราวที่แปลกประหลาดใจเสียจริง...ทางฝั่งกลุ่มของหนิงอ้ายทั้งสี่คนต่างพากันเดินไปไม่ไกลไปจากประตูของสำนักทางด้านฝั่งซ้ายมือ ก่อนที่จะเลือ
ทางฝั่งผู้อาวุโสที่เฝ้ามองกลุ่มของหนิงอ้ายผ่านค่ายกลส่งภาพนี้ พวกเขาต่างล้วนอยากรู้ว่าเด็กหนุ่มนั้นล่วงรู้ถึงแบบทดสอบในวันพรุ่งนี้จริงหรือไม่? เพราะหากเด็กหนุ่มทราบจริงนี่ออกจะเหลือเชื่อเกินไปสักหน่อยแล้วการทดสอบครั้งถัดไปเป็นท่านเจ้าสำนักและท่านรองเจ้าสำนักเป็นผู้ดูแลด้วยตนเอง เหล่าผู้อาวุโสตอนนี้ต่างจ้องมองกลุ่มของหนิงอ้ายสลับไปมากับทางฝั่งของทั้งสองคนผู้สูงศักดิ์ในสำนักศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการทดสอบที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้…"ให้ข้าเปิดเผยความลับสวรรค์ให้เช่นนั้นรึ? หากว่าเจ้าสามารถหยุดพูดไปถึงหนึ่งเค่อข้าจักยอมทำนายให้แก่เจ้าก็แล้วกัน..." ท่าทางของหนิงอ้ายที่แสดงออกมาช่างดูเหมาะสมกับช่วงวัยสิบห้าสิบหกยิ่งท่าทางหยอกล้อที่เต็มไปด้วยความสดใสทำเอาผู้ที่แอบเฝ้ามอง? ผ่านดวงตากลมโตสีแดงชาด อดที่จะขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้ดูท่าแล้วตนคงต้องรีบไปพบเจ้ากระต่ายน้อยของตนให้เร็วที่สุด"หนิงอ้าย ไม่สิ!! เจ้าเป็นใครกันสหายของข้าไม่เคยพูดเล่นเช่นนี้ ไม่นะ!! เอาสหายข้าคืนมา..." เมื่อเห็นเด็กหนุ่มส่งมาแบบนั้นแล้ว อี้หลินจึงทำการละเล่นตอบกลับไปใหญ่โตกว่าเดิมหลายเท่า ท่ามกลางสายตาของลู่ซีและจินหั่วที่สายหัว
"หนิงอ้ายเจ้าคิดว่าปีนี้การทดสอบจะเป็นอย่างไร?" หลี่ซวงถามขึ้นหลังจากที่พวกเขาใช้เวลาพูดคุยกันไปหลายชั่วยาม นับว่าเป็นสหายที่พูดคุยกันได้ถูกคอยิ่ง"ข้าคิดว่าผู้อาวุโสที่คอยกำกับดูแลในเรื่องนี้คงไม่ได้มีการทดสอบที่ยากจนเกินไป เพราะว่าแต่ละปีจำนวนของผู้ฝึกตนที่ผ่านการทดสอบแรกก็มีจำนวนน้อยอยู่แล้ว หากหลังจากนี้การทดสอบยังเป็นสิ่งที่ยุ่งยากอีก ข้าว่าทางสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์คงไม่ได้ศิษย์ใหม่เลยซักคนเป็นแน่..." หนิงอ้ายตอบกลับไปตามความคิดของตนเพราะสำหรับจำนวนผู้ฝึกตนที่ผ่านการทดสอบแรกจนมาถึงประตูทางเข้าของสำนักก็ว่ามีจำนวนน้อยมากแล้ว หากยังมีการทดสอบที่ยุ่งยากเขาเกรงว่าสิ่งที่เขาตอบไปอาจเกิดขึ้นจริงก็เป็นได้"ก็จริงของเจ้านะหนิงอ้าย ฮ่าฮ่าฮ่า" ชายหนุ่มที่เหลือทั้งห้าคนต่างหัวเราะขึ้นเสียงดังกับคำตอบที่หนิงอ้ายได้เอ่ยจบไปเมื่อครู่อย่างอดใจไม่ได้ทางฝั่งของผู้อาวุโสที่เฝ้ามองอยู่ในค่ายกลส่งเมื่อพวกเขาคิดตามคำพูดของเด็กหนุ่มก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้เช่นกัน เรื่องของจำนวนศิษย์ใหม่ในแต่ละปีมีจำนวนน้อยเพียงใดพวกเขาต่างกระจ่างใจเป็นที่สุด...ด้วยจำนวนของผู้ผ่านการทดสอบแรกนี้มีจำนวน
เมื่อพลังวิญญาณได้ผสานลงไปในป้ายหยกที่ได้รับต่างรู้สึกได้ถึงพลังอันแปลกประหลาดอันทรงพลังแข็งแกร่ง และยังคงกลิ่นอายของความศักดิ์สิทธิ์โบราณยังคงถูกรักษาไว้ไม่ให้สูญสลายไปตามกาลเวลา พลังประหลาดนี้ได้ไหลเวียนไปทั่วทั้งร่างกายอย่างไร้ซึ่งสิ่งใดต่อต้านได้ทั้งสิ้นเพียงอึดใจเดียวแสงสว่างที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าได้กระตุ้นให้พวกเขาทุกคนต้องลืมตาขึ้น ภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าคือลานพิธีขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ปราณธาตุน้ำแข็งศักดิ์สิทธิ์ที่มีความแวววาวและมีคุณสมบัติที่คงทนเป็นอันดับต้น ๆ ในยุทธภพกล่าวว่าหาได้ยากยิ่งในการครอบครองแม้เพียงขนาดเท่ากำปั้นมือ ทว่าทางสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์เองกลับใช้แร่ปราณธาตุน้ำแข็งศักดิ์สิทธิ์นี้ในการสร้างลานพิธีแห่งนี้ขึ้น หากสังเกต ก็จะพบว่าทุกสิ่งก่อสร้างที่อยู่ในอาณาเขตของสำนักศึกษาที่สามารถสองเห็นได้นั้นต่างถูกทำขึ้นจากแร่ปราณธาตุน้ำแข็งศักดิ์สิทธิ์ไม่ต่างกันทั้งสิ้นความรู้สึกที่สัมผัสได้ทำให้ตัวตนของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ในใจของพวกเขารุ่นเยาว์ชายหญิงที่เป็นศิษย์ใหม่ต่างถูกยกสูงไปอีกไม่รู้กี่เท่า แน่นอนว่าพวกเขาต่างคิดเห็นตรงกันว่าการตัดสิน
"หากต้องการเห็นฝีมือที่แท้จริงของข้า ด้วยระดับพลังของท่านในตอนนี้ยังนับว่าไม่คู่ควรสักเท่าไหร่นัก!" หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นด้วยความเคร่งขรึมเนตรแห่งสวรรค์ส่งข้อมูลให้รับรู้ว่าเคล็ดวิชากระบี่ตรงหน้าที่ชายหนุ่มใช้กับตนนั้นเป็นหนึ่งสุดยอดเคล็ดวิชากระบี่ที่ขึ้นชื่อของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ การนำมาใช้กับศิษย์ใหม่เช่นนี้หนิงอ้ายมองว่าเป็นการรังแกกันเกินไปเสียหน่อย ดังนั้นเพื่อเเสดงให้ทุกคนเห็นว่าเขาไม่ใช่ลูกพลับนิ่มที่ทุกคนสามารถบีบได้โดยง่ายจึงต้องแสดงฝีมืออกมาเสียบ้างแล้วเคล็ดวิชากระบี่เจ็ดดาวเหนือของหนิงอ้ายได้ถูกปรับเปลี่ยนโดยการใช้อักขระเวทย์โบราณเข้าเสริมจึงทำให้เคล็ดวิชานี้มีอาณุภาพไปไม่ต่างบทเวทย์ระดับเซียนเสียด้วยซ้ำ เห็นแก่ที่ชายหนุ่มศิษย์สายนอกผู้นี้ที่อายุน้อยกว่า (อายุน้อยกว่าในโลกเดิม) เช่นนั้นเขาจะใช้พลังปราณเพียงสามสี่ส่วนเพื่อไม่ให้เป็นอันตรายต่ออีกฝ่ายไปมากนักก็แล้วกันมือขวาของหนิงอ้ายตวัดขึ้นกระบี่เล่มงามที่ถูกผนึกขึ้นจากปราณธาตุไฟก่อนหน้าได้สลายหายไปในอากาศ ก่อนที่รอบตัวของเด็กหนุ่มจะปรากฎขึ้นเป็นกระบี่เจ็ดเล่มที่แผ่กลิ่นอายความเหนือชั้นอหังการออกมา ก่อนที่หมุนวน
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต
มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล
ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย