Beranda / แฟนตาซี / บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ / บทที่56 อสูรอสรพิษราชันย์สุริยันจันทราทมิฬ

Share

บทที่56 อสูรอสรพิษราชันย์สุริยันจันทราทมิฬ

ค่ายกลส่งภาพนับได้ว่าเป็นผลงานอีกชิ้นหนึ่งที่ขึ้นชื่อของทางตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลของสำนักศึกษา มีประโยชน์ในหลากหลายด้านรวมไปถึงความสะดวกในการใช้งานที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพมากกว่าค่ายกลแบบเดียวกันหลายเท่า แต่ถึงอย่างไรก็ตามขีดจำกัดและข้อด้อยของค่ายกลนี้ก็มีอยู่ให้เห็นเช่นกันแม้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในระยะการทำงานของค่ายกลส่งภาพนี้ไม่ว่าจะเป็นทั้งภาพเหตุการณ์และเสียงสนทนาจะถูกส่งมายังผู้ใช้ค่ายกลโดยตรงก็ตาม

แต่เนื่องจากว่าในการทดสอบครั้งนี้ได้ใช้พื้นที่ป่าของเทือกเขาเร้นลับอสูรเป็นบริเวณกว้างดังนั้นด้วยความผันแปรของปราณฟ้าดินในแต่ละบริเวณที่มีความหนาแน่นแตกต่างกัน จึงส่งผลให้ในบางพื้นที่นั้นค่ายกลส่งภาพไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพสักเท่าไหร่ สังเกตได้จากจอภาพของค่ายกลส่งภาพอันนั้นมักจะมีคลื่นเสียงรบกวนอยู่เสมอ บ้างก็กลายเป็นจอดำสนิทและมีจำนวนไม่น้อยเช่นกันที่สัญญาณมาขาด ๆ หาย ๆ

ค่ายกลส่งภาพนี้ในปัจจุบันผู้ฝึกตนระดับสูงรวมไปถึงผู้ฝึกตนที่มากไปด้วยญาณสัมผัสต่างรับรู้ถึงการมีอยู่ของค่ายกลนี้ ทางตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลได้ทำการศึกษาแก้ไขอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ในอนาคตค่ายกลส่งภาพนี้จะออกมาสมบูรณ์แบบมากที่สุดและสามารถใช้งานได้หลากหลายมากยิ่งขึ้นเพื่อประโยชน์ในด้านอื่น ๆ ของทางสำนัก

ทางฝั่งผู้อาวุโสของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์จำนวนหลายสิบคนที่อยู่ในห้องโถงหอสังเกตการณ์แห่งนี้ ต่างพากันเฝ้าดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในค่ายกลส่งภาพได้วางไว้ไปทั่วทั้งผืนป่าสำหรับการทดสอบคัดเลือกศิษย์ใหม่เข้าสำนัก

ค่ายกลส่งภาพนับร้อยกว่าจุดได้แสดงภาพเหตุการณ์ให้เห็นถึงเหล่าบรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์อันโดดเด่น ต่างใช้สติปัญญาญาณสัมผัสเฉพาะตัวรวมไปถึงพลังวิญญาณ ปราณธาตุต้นกำเนิดของตนรวมไปถึงทักษะวิญญาณยุทธ์ในการฟันฝ่าอุปสรรคที่เป็นดั่งแบบทดสอบที่ทางสำนักศึกษาได้จัดสรรเอาไว้

แน่นอนว่าย่อมมีจำนวนไม่น้อยเช่นกันที่เป็นแบบทดสอบอันเกิดขึ้นจากความพิศดารตามธรรมชาติของผืนป่าในเขตเทือกเขาเร้นลับอสูร ด้วยระยะเวลาที่ผ่านมาหลายวันที่ผ่านมาย่อมมีรุ่นเยาว์ชายหญิงจำนวนไม่น้อยที่เลือกบีบป้ายหยกที่ได้รับมาก่อนหน้าเพื่อขอความช่วยเหลือจากทางสำนัก

แม้ว่าบรรดารุ่นเยาว์เหล่านี้จะต้องเสียสิทธิในการเข้าร่วมทดสอบไป แต่เมื่อคำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิตแล้วจึงถือว่าเป็นสิ่งที่ควรกระทำอย่างยิ่ง แม้ว่าในครั้งนี้จะไม่ผ่านการทดสอบไปได้ก็จริง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาศในครั้งถัดไปเสียหน่อย เพราะทางสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ได้มีการเปิดรับศิษย์ใหม่ในทุก ๆ ปีอยู่แล้ว

เหตุการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นไปในขอบเขตของการทดสอบ นับว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่มักจะเกิดขึ้นทุกครั้งในแต่ละปีเมื่อทางสำนักศึกษาได้เปิดรับศิษย์ใหม่ที่มีการจัดการทดสอบขึ้น ถึงแม้ว่าภาพเหตุการณ์ที่ถูกส่งตรงเข้ามาจากทางค่ายกลส่งภาพจะมีมากมายหลายร้อยภาพก็จริง แต่ถึงอย่างนั้นเหตุการณ์ความเป็นไปที่พวกเขาทุกคนในที่นี้ต่างเฝ้ามองบ่อยครั้งที่สุดนั้นคือกลุ่มชายหนุ่มทั้งสี่คนหรือกลุ่มของหนิงอ้ายนั่นเอง

เป็นเพราะว่าหลังจากผ่านเหตุการณ์ปะทะกับอสูรระดับนภาขั้นสูงจนสามารถเอาชนะได้ในที่สุด เมื่อมาถึงพื้นที่ปลอดภัยแล้วเด็กหนุ่มชื่อว่าหนิงอ้ายผู้ใช้ปราณธาตุน้ำ ได้เริ่มทำอาหารหลากหลายเมนู พวกเขาหลายคนในที่นี้ต่างมีความรู้สึกเหมือนกันว่าอาหารที่เด็กหนุ่มทำขึ้นมาล้วนมีหน้าตาแปลกประหลาดแต่กลับดูน่ากินยิ่งนัก ดูได้จากการที่ชายหนุ่มสองคนก่อนหน้าที่พึ่งประสบเคราะห์ร้ายจนเกือบถึงชีวิต แต่เมื่อทั้งสองได้กินอาหารที่เด็กหนุ่มทำขึ้นนั้นก็พลันทำให้ลืมเลือนเหตุการณ์ก่อนหน้าไปเสียสิ้น

ท่าทางที่เด็กหนุ่มนามว่าหนิงอ้ายได้แสดงออกมาแม้เพียงชั่วครู่ยามที่มองผ่านค่ายกลส่งภาพเข้ามา ด้วยเพราะหลายคนในที่นี้ต่างมีอายุยาวนานหลายร้อยปีและถือว่าเป็นผู้ฝึกตนระดับแนวหน้าคนหนึ่ง ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าหรืออารมณ์เพียงเล็กน้อยพวกเขาล้วนสามารถสัมผัสได้อย่างง่ายดาย สิ่งที่เด็กหนุ่มแสดงออกมานั้นพอที่จะแสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายสามารถรับรู้ได้ว่าในป่าผืนนี้เต็มไปด้วยค่ายกลส่งภาพเป็นจำนวนมาก จึงทำให้เด็กหนุ่มมีท่าทางระแวดระวังตัวยิ่งนัก แม้อาจจะพอหาเหตุผลมาหักล้างได้อยู่ว่าการที่มีท่าทางตื่นตัวเช่นนี้นับว่าเกิดขึ้นได้เพราะอยู่ในระหว่างการทดสอบก็เป็นไปได้เช่นกัน

ดังนั้นผู้ฝึกตนระดับสูงหรือผู้ฝึกตนที่มากไปด้วยญาณสัมผัสอันละเอียดอ่อนย่อมสามารถรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของค่ายกลส่งภาพนี้อย่างแน่นอน แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนต้องประหลาดใจและยังไม่สามารถหาคำตอบใดได้ในตอนนี้ นั่นคือการที่เด็กหนุ่มสามารถบอกได้ถึงเส้นทางการทดสอบที่ใกล้ที่สุดได้อย่างแม่นยำถูกต้องราวกับว่าเด็กหนุ่มเป็นผู้วางแผนการทดสอบในครั้งนี้เสียเอง

ปีนี้หน้าที่ดูแลการทดสอบเข้าร่วมสำนักศึกษาเป็นเหล่าผู้อาวุโสคุมกฎของสำนักศึกษาทั้งสามคนต่างรับหน้าที่จัดสรรดูแลจัดการแบบทดสอบต่าง ๆ หรือสรรสร้างเส้นทางลับเพื่อมุ่งตรงไปยังทางเข้าของสำนักโดยเร็วที่สุด แน่นอนว่าสิ่งเหล่านี้นั้นนับว่าเป็นความลับสุดยอดที่ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ได้นอกจากฝ่ายคุมกฎเท่านั้นคงไม่ใช่คำกล่าวที่เกินจริงไปเท่าไหร่นัก

ผู้อาวุโสคุมกฎที่สาม ผู้เป็นหนึ่งในผู้คุมกฎที่ได้รับภารกิจโดยตรงจากประมุขสำนักศึกษาในการดูแลการทดสอบของสำนักครั้งนี้ ก่อนหน้าที่ที่ได้ยินคำกล่าวของเด็กหนุ่มที่เอ่ยวิเคราะห์ออกมานั้น ในตอนแรกยอมรับว่านางตกใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะนางเชื่อว่าผู้อาวุโสคุมกฎอีกสองคนที่เหลือและผู้อาวุโสคนอื่นที่เกี่ยวข้องในการดูแลการทดสอบของสำนักครั้งนี้ล้วนต่างไว้ใจได้ด้วยพันธะสัญญาโลหิต ดังนั้นกลุ่มคนเหล่านี้ย่อมไม่มีทางที่จะบอกความลับที่ซุกซ่อนอยู่ในแบบทดสอบให้กับคนนอกล่วงรู้ความลับนี้ได้เป็นแน่

แต่ความมั่นใจของนางก็ถูกฉุดกระชากด้วยคำพูดวิเคราะห์ของเด็กหนุ่มที่อายุเพียงสิบห้าสิบหกปี ที่ไม่อาจรู้ได้ว่าความลับในการทดสอบครั้งนี้ได้ข้อมูลอาจรั่วไหลด้วยคนในการปกครองของนางหรือไม่ ก็ไม่อาจคาดเดาได้ในตอนนี้ เด็กหนุ่มนามว่าหนิงอ้ายนั้นแม้ว่าภายนอกจะดูเหมือนเด็กหนุ่มอายุสิบห้าสิบหกปี แต่นางที่ได้พบเจอผู้คนมามากมายตลอดหลายร้อยปีเชื่อว่าอีกฝ่ายต้องมีบางสิ่งอย่างที่ปิดบังอยู่เป็นแน่ ช่างเป็นรุ่นเยาว์ที่น่าสนใจเสียจริงในความรู้สึกของนาง รวมไปถึงชายวัยกลางคนที่เป็นถึงประมุขสำนักศึกษาซึ่งในตอนนี้ต่างจ้องมองเด็กหนุ่มที่ชื่อว่าหนิงอ้ายพร้อมกับครุ่นคิดบางอย่าง...

กลุ่มของหนิงอ้ายทั้งสี่คนต่างเดินทางกันด้วยความเร่งรีบ แม้จะมีพักระหว่างการเดินทางไปบ้างแต่ก็ไม่นานเท่าไหร่นัก ด้วยเพราะกังวลว่าหากอยู่นิ่งเช่นนี้จะกลายเป็นเป้าหมายที่อาจโดนลอบโจมตีได้ ทั้งหมดนั้นมีความเห็นตรงกันในเรื่องนี้ เพื่อเป็นการทำเวลาในการเดินไปยังเขตของป่าไป๋เซินหลินที่หนิงอ้ายคาดว่าเป็นเส้นทางที่ใกล้ที่สุดในการไปยังสำนักในระยะเวลาที่เหลืออีกไม่กี่วันเช่นนี้

หลังจากที่ได้ใช้เวลามาเดินทางหลายชั่วยามแล้วก็ใกล้ที่จะถึงเขตป่าไป๋เซินหลินดังกล่าวแล้ว แต่ที่น่าแปลกใจนั่นก็คือตั้งแต่พวกเราเริ่มเดินทางนั้นพวกเขาไม่พบสัตว์อสูรหรือศิษย์คนอื่น ๆ นี่ออกจะแปลกประหลาดเกินไปสักหน่อย หนิงอ้ายไม่รอช้าใช้เนตรเเห่งสวรรค์และปลดปล่อยวิหคสอดแนมพร้อมกับแผ่ญาณสัมผัสการรับรู้ในรัศมีที่เพิ่มขึ้นเพื่อเฝ้าระวังมากกว่าเดิม

เมื่อถึงใกล้ถึงเขตป่าไป๋เซินหลินแล้ว พวกเขาทั้งสี่คนได้มีการพูดคุยกันว่าการเดินทางด้วยเคล็ดวิชาตัวเบาอาจจะดึงดูดความสนใจมากเกินไป พวกเขาจึงมีความคิดเห็นตรงกันว่าควรเดินทางบนพื้นดินตามเดิมปกติ โดยที่มีหนิงอ้ายเดินนำหน้าเป็นคนแรก ตามมาด้วยจินหั่วเป็นคนที่สอง คนที่สามเป็นอี้หลินและปิดท้ายกลุ่มเดินทางในครั้งนี้ด้วยลู่ซีนั่นเอง

ด้วยเพราะว่าหนิงอ้ายเป็นผู้ที่บอกให้เดินทางมายังเส้นทางนี้ ดังนั้นอีกฝ่ายจึงเสนอตัวเป็นผู้นำในการเดินทาง อีกทั้งหนิงอ้ายยังมีเนตรแห่งสวรรค์และวิหคสอดแนมจึงสามารถที่รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นโดยรอบได้ นอกจากนี้หนิงอ้ายยังสามารถใช้บทเวทย์ป้องกันและโจมตีในระดับสูง ดังนั้นหากมีสิ่งไม่คาดคิดเกิดขึ้น ด้วยญาณสัมผัสอันลึกล้ำของหนิงอ้ายย่อมสัมผัสได้อย่างแน่นอน

สำหรับอี้หลินและจินหั่วที่เดินตามเป็นคนที่สองและสามตามลำดับ หนิงอ้ายตั้งใจให้ทั้งสองคนช่วยกันเฝ้าระวังและสังเกตการณ์โดยรอบเผื่อว่าอาจจะมีเหตุที่ไม่คาดคิดหรือมีการเข้าพุ่งโจมตีจากด้านซ้ายขวาที่อาจจะเล็ดลอดจากการรับรู้ของเขาไป แม้ว่าหนิงอ้ายจะเชื่อมั่นในเนตรแห่งสวรรค์และวิหคสอดแนมมากแค่ไหน แต่ในการเตรียมความพร้อมรับมือและมีคนช่วยสังเกตเฝ้าระวังที่เพิ่มขึ้นย่อมเป็นการดีที่สุด

สำหรับลู่ซีที่เป็นฝ่ายระวังหลังพวกเขาทั้งสามคนเพราะว่าหนิงอ้ายเชื่อใจอีกฝ่ายเป็นอย่างมาก ด้วยลู่ซีนั้นมีความเยือกเย็นสุขุม อีกทั้งยังมีสติรอบคอบมากกว่าทุกคนในที่นี้ ดังนั้นอีกฝ่ายจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมากและเหมาะสมกับการระวังท้ายของกลุ่มเดินทางของพวกเขา ก่อนหน้าที่จะออกเดินทางมาเข้าร่วมทดสอบของทางสำนัก หนิงอ้ายรับรู้ได้จากวิหคสอดแนมว่าท่านตาได้ถ่ายทอดบทเวทย์ระดับสูงไปไม่น้อยให้กับลู่ซีเช่นกัน ดังนั้นแล้วให้อีกฝ่ายเป็นผู้เฝ้าระวังหลังย่อมเหมาะสมที่สุดแล้ว

"หนิงอ้าย เจ้าคิดว่าผู้เข้าร่วมทดสอบในครั้งนี้จะไปถึงทางเข้าของสำนักได้เยอะหรือไม่?" อี้หลินผู้ที่ไม่ชื่นชอบบรรยากาศตึงเครียดเช่นนี้ได้เอ่ยถามขึ้นเพื่อลบบรรยากาศที่น่าตึงเครียดเช่นนี้

"ข้าสัมผัสได้ว่าในกลุ่มรุ่นเยาว์ชายหญิงพวกนั้นต่างมีพลังวิญญาณระดับจักรพรรดิวิญญาณขั้นสูงหลายคนเลยทีเดียว บางคนนั้นถึงกับครึ่งก้าวระดับเทวะวิญญาณเสียด้วยซ้ำ... "

"ข้าว่าคงมีรุ่นเยาว์ที่มากไปด้วยพรสวรรค์จำนวนไม่น้อยที่คงใกล้ถึงทางเข้าสำนักอย่างแน่นอน..." หนิงอ้ายตอบกลับไปอี้หลินด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ ด้วยเพราะก่อนหน้านี้เขาได้ใช้เนตรแห่งสวรรค์ในการสำรวจผู้เข้าร่วมทดสอบในเขตจึงทำให้พอรับรู้ถึงระดับพลังวิญญาณของแต่ละคนอยู่บ้างเช่นกัน

"ถึงกับระดับครึ่งก้าวเทวะเลยเช่นนั้นรึ? หากเทียบกับตัวข้าที่เป็นเพียงราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณขั้นสามัญจะนับเป็นอันใดได้กัน..."

"อี้หลินเจ้าอย่าคิดเช่นนี้ การที่เราดั้นด้นมาร่วมทดสอบของทางสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ก็เพราะเราต่างมั่นใจว่าทางสำนักจะสามารถช่วยผลักดันพวกเราได้ไม่ใช่รึ? ต่อให้มันจะช้าหรือเร็วในสักวันหนึ่งเราย่อมไปถึงราชทินนามระดับจักรพรรดิวิญญาณขั้นสูงหรือมากกว่านั้นอย่างแน่นอน..." จินหั่วเอ่ยขึ้นพร้อมกับตบไหล่เบา ๆ เขาเป็นสหายกับอี้หลินมาตั้งแต่เด็กจึงทำให้รู้ว่าอีกฝ่ายนั้นได้ถูกเปรียบเทียบกับพี่ชายของตนอยู่เสมอ

"ไม่เห็นต้องเป็นกังวลอะไรไปมากมายอี้หลิน เพราะต่อให้หลังจากนี้เจ้าจะมีระดับพลังวิญญาณน้อยที่สุดพวกข้าทั้งสามคนนั้นย่อมช่วยเหลือและไม่มีวันทอดทิ้งเจ้าอย่างแน่นอนเพราะเราเป็นสหายกันเข้าใจรึไม่?" ลู่ซีเอ่ยเสริมขึ้น พวกเขาทั้งสี่คนต่างมองหน้ากันและยิ้มออกมาด้วยความสุข

ป่าไป๋เซินหลินเป็นป่าสีขาวบริสุทธิ์ที่มีขนาดกว้างใหญ่กินเนื้อที่ไปหนึ่งในสามส่วนของเทือกเขาเร้นลับอสูร ทุกสิ่งอย่างที่อยู่ในเขตป่านั้นไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ พื้นดินหรือทุกสิ่งอย่างในขอบเขตนี้ล้วนเป็นสีขาวทั้งสิ้นราวกับว่าถูกตัดขาดจากส่วนป่าของเขตเทือกเขาที่เหลือ บรรยากาศโดยรอบนั้นยังเต็มไปด้วยหมอกสีขาวลอยฟุ้งที่ทำให้วิสัยทัศน์ในการมองเห็นถูกจำกัดลงไปอย่างมาก และยังไร้ซึ่งสัญญาณของสิ่งมีชีวิตมีเพียงแต่สายลมพัดมาเบา ๆ เพียงเท่านั้น

ความลึกลับพิสดารของป่าไป๋เซินหลิน กระทั่งสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ที่ได้ก่อตั้งจนมีอายุยาวนานหลายพันปีเช่นนี้แต่ไม่อาจเทียบได้กับป่าไป๋เซินหลินที่ได้ตั้งอยู่มาก่อนหน้านั้นแล้ว ทางสำนักยังไม่สามารถระบุถึงที่มาของป่าแห่งนี้ได้ รวมไปถึงเนตรแห่งสวรรค์ของหนิงอ้ายเองที่ประวัติความเป็นมาของป่าไป๋เซินหลินยังไม่ปรากฎขึ้นให้รับรู้คล้ายกับว่าถูกปกปิดด้วยบางสิ่งอย่างที่เหนือขั้นไปยิ่งนัก

"ป่าไป๋เซินหลินเป็นสีขาวเช่นนี้ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าควรไปทิศทางไหน?" จินหั่วถามขึ้นด้วยความสงสัย ตั้งเเต่พวกเขาทั้งสี่คนเข้ามาในเขตป่าแห่งนี้ทุกสิ่งอย่างโดยรอบล้วนเป็นสีขาวไปเหมือนกันทั้งหมด

"!!!"

"เดินตรงไปเรื่อย ๆ ไม่ว่าทุกคนจะได้ยินเสียงอะไรห้ามหันไปเด็ดขาด และที่สำคัญอย่าแตกแถวแยกออกไปให้ทุกคนเดินตามข้ามาเท่านั้น!!!" หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นด้วยความตึงเครียดเล็กน้อย อาจด้วยเพราะว่าก่อนหน้านี้เขาพึ่งพาเนตรแห่งสวรรค์และวิหคสอดแนมมากจนเกินไปจนเมื่อต้องพาพบกับวิสัยทัศน์โดยรอบที่ราวกับดวงตาได้ถูกปิดกั้นเช่นนี้ ทำให้เขารู้สึกราวกับคนคนตาบอดคนหนึ่ง

"ได้ ๆ พวกข้าล้วนเชื่อใจเจ้า..." เป็นอี้หลินที่เอ่ยตอบไปแม้จะรู้สึกได้ว่าหนิงอ้ายคงมีบางสิ่งที่ไม่ได้บอกกับพวกตนให้รู้สึกกังวลไปมากกว่านี้

หนิงอ้ายที่หยุดชะงักไปชั่วครู่จนทำให้อี้หลินที่เดินตามมาอย่างกระชั้นชิดนั้นชนกับร่างบางในทันที

"เกิดไรขึ้นหนิงอ้ายเจ้าหยุดทำไมรึ...โอ้ยจมูกข้า"

"ไม่มีอะไร เอ่อ ข้าขอโทษด้วยนะอี้หลินเจ้าเป็นอะไรมากหรือไม่??" หนิงอ้ายถามกลับอี้หลินไปในทันที เพราะที่หนิงอ้ายหยุดชะงักไปชั่วครู่เป็นต้าเฮยที่ส่งกระเเสจิตเข้ามาให้รับรู้ว่ามีสัตว์อสูรระดับตำนานเฝ้ามองพวกเขาอยู่แม้จะไม่ทราบขนาดหรือระบุได้ว่าเป็นสัตว์อสูรเผ่าพันธ์ใด แต่เพียงเท่านี้ที่ต้าเฮยบอกให้รับรู้ก็ทำเอาเขานั้นหวาดกลัวเป็นอย่างมากไปแล้ว สัตว์อสูรระดับตำนานต่อให้พวกเขาทั้งสี่คนร่วมมือช่วยกันก็ยากที่จะเอาชนะได้

'ไม่ต้องเป็นห่วงนะเจ้านาย ต้าเฮยจะปกป้องท่านเอง' เจ้าตัวน้อยที่อยู่ในอกเสื้อเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

'ขอบใจเจ้ามากนะต้าเฮย มีเจ้าอยู่ข้ารู้สึกอุ่นใจเป็นที่สุด...' หนิงอ้ายตอบกลับอีกฝ่ายไป

แม้จุดประสงค์ของการที่ต้าเฮยเลือกอยู่กับเขาในตอนนี้อาจจะยังไม่กระจ่างสักเท่าไหร่นักแต่เขาเชื่อว่าหากเกิดเหตุร้ายขึ้น อีกฝ่ายคงไม่ยอมอยู่เฉย ๆ เป็นแน่ อีกทั้งกลิ่นอายสัตว์อสูรระดับมายาที่เขาสัมผัสได้นั้น หนิงอ้ายเชื่อว่าย่อมไม่ใช่ขอบเขตความสามารถของพลังวิญญาณของเจ้าตัวน้อยนี้อย่างแน่นอน

หลังจากได้รวบรวมสติกลับมาอีกครั้งและเพื่อไม่ให้อีกสามคนที่เหลือต้องเป็นกังวลไปมากกว่านี้ หนิงอ้ายจึงกลับมามีท่าทีปกติสงบเช่นเดิม แม้ว่าอี้หลิน จินหั่วและโดยเฉพาะลู่ซีนั้นคิดว่าต้องมีบางอย่างเกิดขึ้นเป็นแน่แต่นี่ยังไม่ถึงเวลาที่ต้องสอบถามเรื่องราวกันสักเท่าไหร่นัก เพราะในตอนนี้พวกเขาควรที่จะเร่งเดินทางให้เร็วที่สุด

ตั้งเเต่เข้าสู่เขตป่าไป๋เซินหลินทุกย่างก้าวที่หนิงอ้ายพาทุกคนไปล้วนเต็มไปด้วยความคงที่อย่างถึงที่สุด อีกไม่ถึงชั่วยามก็จะถึงยามโหย่วแล้ว ไม่คาดคิดว่าการเดินทางจะใช้เวลาเกินกว่าที่หนิงอ้ายคาดคิดไว้เป็นอย่างมาก ด้วยความที่ป่าไป๋เซินหลินเต็มไปด้วยต้นไม้ที่มีรูปร่างแปลกตาสีขาวที่คล้ายคลึงกันอีกทั้งก้านใบนั้นต่างถักทอปกปิดอย่างหนาแน่นจนทำให้แสงสว่างนั้นลอดผ่านลงมาได้น้อยเป็นอย่างยิ่ง

แต่ด้วยความคุ้นชินจึงทำให้พวกเขายังสามารถประมาณการณ์ได้ว่าตอนนี้เป็นช่วงเวลาใดแล้ว ดังนั้นทั้งสี่คนจึงตกลงกันว่าในคืนนี้จะเลือกพักผ่อนกันบนต้นไม้ โดยด้านล่างที่เป็นสี่ทิศโดยรอบจะมีการก่อกองไฟและพวกเขาทั้งสี่คนนั้นจะสลับกันเฝ้ายามกันคนละหนึ่งชั่วยาม

เป็นจินหั่วเองที่เป็นผู้รับเฝ้าเวรยามเป็นคนแรก อี้หลินเป็นคนที่สอง ส่วนลู่ซีนั้นเป็นคนที่สาม ส่วนหนิงอ้ายนั้นให้เป็นคนสุดท้าย เพราะทุกคนอยากให้ร่างบางนั้นพักผ่อนเพราะตลอดการเดินทางที่ผ่านมานั้นอีกฝ่ายได้ใช้ญาณสัมผัสของตนเป็นจำนวนมากดังนั้นแล้วเด็กหนุ่มควรที่จะพักผ่อนให้มากที่สุด...

"สวรรค์ช่วย!!!กลิ่นอายเช่นนี้เป็นของอสูรอสรพิษราชันย์สุริยันจันทราทมิฬใช่หรือไม่?" ผู้อาวุโสชายร่างท้วมเอ่ยขึ้นดังลั่นไปทั่วทั้งห้องโถงนี้ด้วยความตกใจเป็นอย่างยิ่งเพราะแรงกดดันสะกดข่มขวัญที่ค่ายกลส่งภาพแสดงให้เห็นและสัมผัสได้แม้จะไม่เห็นรูปร่างที่ชัดเจนของสัตว์อสูรที่ว่าแต่กลิ่นอายที่ทรงพลังเช่นนี้ย่อมไม่ผิดแน่

"เกิดเหตุใดขึ้น? เป็นไปได้อย่างไรกัน..."

"เคราะห์ดีที่อสูรอสรพิษราชันย์สุริยันจันทราทมิฬเลือกเฝ้ามองไม่มากไปกว่านี้ ไม่เช่นนั้นแล้วด้วยความความผันแปรของค่ายส่งภาพคงทำให้พวกเราเข้าไปช่วยเด็กหนุ่มทั้งสี่คนไม่ทันแน่..." ผู้อาวุโสหญิงชราร่างเล็กเอ่ยเสริมขึ้นพร้อมกับถอนหายใจออกมาเบาๆ ด้วยเพราะคลายกังวลใจไปได้ส่วนหนึ่ง

"ปกติแล้วอสูรอสรพิษราชันย์สุริยันจันทราทมิฬไม่มีการเคลื่อนไหวหรือปรากฏตัวให้รับรู้ได้ในรอบหลายร้อยปีที่ผ่านมา แต่เหตุใดในวันนี้อีกฝ่ายจึงได้ปรากฎตัวในเขตป่าไป๋เซินหลินเช่นนี้ได้กัน" ผู้อาวุโสชายอีกคนเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัยไม่แพ้กัน...

Lanjutkan membaca buku ini secara gratis
Pindai kode untuk mengunduh Aplikasi

Bab terkait

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่57 อันตรายในป่าไป๋เซินหลิน

    เหตุการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นผู้อาวุโสแต่ละตำหนักตัวแทนเข้าร่วมดูแลการทดสอบครั้งนี้ได้มีการถกเถียงถึงในเรื่องราวต่าง ๆ ที่เป็นไปได้ เจียงเฉิงที่มีฐานะสูงสุดในที่นี้นั่นคือเจ้าสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ แม้ภายนอกจะดูนิ่งเฉยไม่ได้เอ่ยเสริมอะไรขึ้น แต่สายตายังคงจ้องเด็กหนุ่มที่ตอนนี้กำลังปกปิดอาการแตกตื่นดังกล่าวอย่างนิ่งสงบ ด้วยอายุเพียงสิบห้าสิบหกเพียงเท่านี้ของอีกฝ่ายแต่กลับสามารถควบคุมสติได้มั่นคงหนักแน่น เขาอยากรู้นักว่าอีกฝ่ายรวมไปถึงสหายอีกทั้งสามคนจะสามารถผ่านการทดสอบเป็นศิษย์ของสำนักได้หรือไม่เทือกเขาเร้นลับอสูรที่อยู่โดยรอบของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์มีพื้นที่กว้างใหญ่เป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงเต็มไปด้วยสัตว์อสูรมากมาย ที่กระทั่งฝ่ายสำรวจของทางสำนักที่มีการเก็บรวมรวมข้อมูลมาหลายพันปีตั้งแต่เริ่มก่อตั้งสำนัก แม้ข้อมูลที่อยู่ในมือนั้นจะมีมากมายแต่ถึงอย่างนั้นยังไม่ถึงกับครอบคลุมทั้งหมด สัตว์อสูรบางสายพันธ์นั้นถึงกับมีสายเลือดบรรพกาลไหลเวียนอยู่หรือบ้างก็มีความเป็นมาที่ลึกลับ อีกทั้งยิ่งกับสัตว์อสูรระดับสูงที่สามารถเปิดสติปัญญาได้นั้นมักจะมีการแบ่งพื้นที่เขตปกครอง

    Terakhir Diperbarui : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่58 อสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะ

    "ยังมีเวลาอีกมากในการเพิ่มระดับฝีมือของตนให้เพิ่มสูงขึ้น ตอนนี้พวกเราสองคนควรรีบออกไปช่วยหนิงอ้ายกับลู่ซีกันได้แล้ว..." ไม่รอช้าทั้งสองจึงได้สลายเวทย์ป้องกันพร้อมกับพุ่งตัวไปยังด้านข้างของหนิงอ้ายกับลู่ซีในทันที"กลุ่มคนพวกนี้เป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมการทดสอบศิษย์ใหม่ของทางสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งมีจำนวนผู้เข้าร่วมทดสอบมากเท่าไหร่ จำนวนของผู้ถูกสะกดจิตด้วยอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น...""บรรดาผู้ฝึกตนชายหญิงในตอนนี้ หากกล่าวตามตรงคงไม่แตกต่างไปจากหุ่นเชิดไร้ซึ่งสตินึกคิดคงไม่เกินจริงไปนัก..." เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังลมปราณอันคุ้นเคยของสองคนที่ตามมาสมทบแล้วนั้น หนิงอ้ายจึงบอกให้ได้รับรู้ในทันทีแม้ว่าทุกคนในที่นี้อาจพอคาดเดาได้บ้างแล้วก็ตาม"ก็พอเข้าใจได้อยู่บ้าง เฮ้อ!! หากตัดผ่านตรงนี้ไปอีกไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็จะถึงทางเข้าของสำนักศึกษาแล้ว..." อี้หลินเอ่ยเบา ๆ ด้วยความเสียดายเล็กน้อย เพราะตามที่หนิงอ้ายได้บอกก่อนหน้าว่าอีกไม่ไกลก็จะถึงทางเข้าของสำนักศึกษาแล้ว แต่พวกเขากลับต้องมาพบเหตุการณ์ความวุ่นวายดังกล่าว อีกทั้งการทดสอบของสำนักศึกษาครั้งนี้มีเรื่องกำหนดเวลา

    Terakhir Diperbarui : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   ( -จบเล่ม 1- ) บทที่59 หนึ่งท่าพิฆาตสังหาร

    คลื่นวายุสังหารนับไม่ถ้วนถูกพ่นจู่โจมอย่างต่อเนื่อง หากหนิงอ้ายไม่ได้ใช้วิชาตัวเบาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ประสานไปกับพลังวิญญาณของตนจนทำให้ระดับความเร็วของเขาเป็นที่น่าตกตะลึงแล้วคงยากที่จะรอดพ้นไปจากการโจมตีจากสัตว์อสูรตรงหน้านี้ได้ แน่นอนว่าหนิงอ้ายย่อมไม่ใช่ลูกพลับนิ่มที่ปล่อยให้อีกฝ่ายมีโอกาศโจมตีตนได้ฝ่ายเดียว เพราะเขาก็ได้ใช้บทเวทย์โจมตีของตนโต้กลับไปในทุกครั้งที่มีโอกาสเช่นกันมหาบุปผชาติเหมันต์จำแลงลักษณ์!ตู้ม! ตู้ม!ทุกครั้งที่หนิงอ้ายหลบหลีกและส่งการโจมตีโต้กลับไปยังอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะ ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไหร่โทสะของสัตว์อสูรยิ่งเพิ่มขึ้น มันไม่คาดคิดว่าการปะทะกับผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิวิญญาณคนหนึ่งจะทำให้มันสูญเสียลมปราณในร่างกายไปได้มากถึงเพียงนี้พรึบ!ชายผ้าคลุมสีเขียวอ่อนปลิวไหวสะบัดไปตามแรงลมที่ต้านปะทะ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายสูญเสียจังหวะไม่รอให้อีกฝ่ายตั้งตัว หนิงอ้ายเร่งเร้าพลังลมปราณทั่วทั้งร่ายกาย ก่อนที่แขนขวานั้นสะสะบัดออกเบื้องหน้า ขณะใช้ออกด้วยท่าร่างเคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ เข็มโลหะสีเงินทั้งเก้าพุ่งทะยานผ่านอากาศจนเกิดเสียง ต้าเฮยที่ซ่อนตัวอยู่ได้ประสานปร

    Terakhir Diperbarui : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่60 ถึงจุดหมายในที่สุด

    ทางฝั่งผู้อาวุโสของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งใจ เมื่อพวกเขาเห็นว่ากลุ่มของหนิงอ้ายทั้งสี่คนสามารถจัดการอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะได้สำเร็จ แม้ว่าตอนนี้จะยังมีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ชายหญิงมากกว่าหลายสิบคนที่ยังไม่ฟื้นคืนสติก็ตามอำนาจสะกดใจที่เคยควบคุมไม่ต่างหุ่นเชิดไร้ซึ่งแรงต้านทาน เมื่อสัตว์อสูรนายแห่งพันธะดังกล่าวได้ตกตายไป ร่างกายของพวกเขาจะไม่ได้รับผลกระทบต่อวิถีทางแห่งผู้ฝึกตนในวันข้างหน้า หลังจากนี้เพียงไม่กี่ชั่วยามย่อมที่จะฟื้นสติกลับมาได้ดังเดิม หากว่ากลุ่มของรุ่นเยาว์เหล่านี้สามารถเดินทางมาถึงประตูทางเข้าของสำนักศึกษาได้สำเร็จ นั่นเท่ากับว่าในปีนี้ทางสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ได้รับศิษย์ใหม่มากที่สุดของทางสำนักเลยทีเดียว"ในที่สุดพวกเขาทั้งสี่คนก็มาถึงประตูทางเข้าของสำนักได้เสียที บอกตามตรงว่าที่ผ่านมาในตำแหน่งผู้อาวุโสของสำนัก ได้เห็นการคัดเลือกศิษย์ใหม่มามากมายนับไม่ถ้วน ทว่าไม่มีครั้งใดซักครั้งที่ทำให้ข้าเกือบหัวใจจะวายเช่นนี้ได้!!" ผู้อาวุโสชราร่างเล็กคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเสียงดังราวกับอัดอั้นมาแสนนาน พร้อมกับถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกที่เด็

    Terakhir Diperbarui : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่61 ท่านเทพพยากรณ์

    เหล่าผู้คุ้มกันเห็นว่ารุ่นเยาว์ทั้งสี่คนเดินห่างออกไปแม้ภายนอกพวกเขาจะยังคงเต็มไปด้วยความเคร่งครึมและใบหน้าเรียบเฉย แต่ภายในกลับสื่อสารกันภายในจิตยิ่งกว่า'เด็กคนนั้นไม่เลวเลยทีเดียว…''ข้าว่าปีนี้คงมีศิษย์ใหม่เข้าร่วมสำนักเยอะที่สุดในประวัติการณ์ ยังมีอีกกลุ่มหนึ่งที่กำลังมุ่งตรงเข้ามาในอีกไม่กี่ชั่วยามแล้ว...' ผู้อาวุโสคนหนึ่งที่มีญาณสัมผัสลึกล้ำเอ่ยเสริมขึ้น'เด็กหนุ่มตัวเล็กที่สุดน่าสนใจอย่างบอกไม่ถูก ข้าว่าในปีนี้ข้าอาจจะเข้าร่วมทดสอบเป็นผู้อาวุโสฝ่ายในก็เป็นไปได้…' ชายวัยกลางคนผู้เป็นหัวหน้าคุ้มกันที่คุยกับกลุ่มของหนิงอ้ายเอ่ยขึ้นอย่างมีเลศนัย ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนเรื่องพูดคุยเป็นเรื่องอื่นที่ต่างเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในมุมมองของตนเองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ก็ไม่ต่างไปจากผู้อาวุโสในห้องโถงหลักของสำนักสักเท่าไหร่นัก พวกเขาทั้งหลายยังคงเฝ้ามองสิ่งที่เกิดขึ้นค่ายกลส่งภาพ ในใจพวกเขาต่างรู้สึกอยู่ในใจว่าการรับศิษย์ใหม่ในปีนี้ช่างเต็มไปด้วยเรื่องราวที่แปลกประหลาดใจเสียจริง...ทางฝั่งกลุ่มของหนิงอ้ายทั้งสี่คนต่างพากันเดินไปไม่ไกลไปจากประตูของสำนักทางด้านฝั่งซ้ายมือ ก่อนที่จะเลือ

    Terakhir Diperbarui : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่62 สิ้นสุดการทดสอบแรก

    ทางฝั่งผู้อาวุโสที่เฝ้ามองกลุ่มของหนิงอ้ายผ่านค่ายกลส่งภาพนี้ พวกเขาต่างล้วนอยากรู้ว่าเด็กหนุ่มนั้นล่วงรู้ถึงแบบทดสอบในวันพรุ่งนี้จริงหรือไม่? เพราะหากเด็กหนุ่มทราบจริงนี่ออกจะเหลือเชื่อเกินไปสักหน่อยแล้วการทดสอบครั้งถัดไปเป็นท่านเจ้าสำนักและท่านรองเจ้าสำนักเป็นผู้ดูแลด้วยตนเอง เหล่าผู้อาวุโสตอนนี้ต่างจ้องมองกลุ่มของหนิงอ้ายสลับไปมากับทางฝั่งของทั้งสองคนผู้สูงศักดิ์ในสำนักศึกษาที่เกี่ยวข้องกับการทดสอบที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้…"ให้ข้าเปิดเผยความลับสวรรค์ให้เช่นนั้นรึ? หากว่าเจ้าสามารถหยุดพูดไปถึงหนึ่งเค่อข้าจักยอมทำนายให้แก่เจ้าก็แล้วกัน..." ท่าทางของหนิงอ้ายที่แสดงออกมาช่างดูเหมาะสมกับช่วงวัยสิบห้าสิบหกยิ่งท่าทางหยอกล้อที่เต็มไปด้วยความสดใสทำเอาผู้ที่แอบเฝ้ามอง? ผ่านดวงตากลมโตสีแดงชาด อดที่จะขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้ดูท่าแล้วตนคงต้องรีบไปพบเจ้ากระต่ายน้อยของตนให้เร็วที่สุด"หนิงอ้าย ไม่สิ!! เจ้าเป็นใครกันสหายของข้าไม่เคยพูดเล่นเช่นนี้ ไม่นะ!! เอาสหายข้าคืนมา..." เมื่อเห็นเด็กหนุ่มส่งมาแบบนั้นแล้ว อี้หลินจึงทำการละเล่นตอบกลับไปใหญ่โตกว่าเดิมหลายเท่า ท่ามกลางสายตาของลู่ซีและจินหั่วที่สายหัว

    Terakhir Diperbarui : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่63 ศิษย์ใหม่

    "หนิงอ้ายเจ้าคิดว่าปีนี้การทดสอบจะเป็นอย่างไร?" หลี่ซวงถามขึ้นหลังจากที่พวกเขาใช้เวลาพูดคุยกันไปหลายชั่วยาม นับว่าเป็นสหายที่พูดคุยกันได้ถูกคอยิ่ง"ข้าคิดว่าผู้อาวุโสที่คอยกำกับดูแลในเรื่องนี้คงไม่ได้มีการทดสอบที่ยากจนเกินไป เพราะว่าแต่ละปีจำนวนของผู้ฝึกตนที่ผ่านการทดสอบแรกก็มีจำนวนน้อยอยู่แล้ว หากหลังจากนี้การทดสอบยังเป็นสิ่งที่ยุ่งยากอีก ข้าว่าทางสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์คงไม่ได้ศิษย์ใหม่เลยซักคนเป็นแน่..." หนิงอ้ายตอบกลับไปตามความคิดของตนเพราะสำหรับจำนวนผู้ฝึกตนที่ผ่านการทดสอบแรกจนมาถึงประตูทางเข้าของสำนักก็ว่ามีจำนวนน้อยมากแล้ว หากยังมีการทดสอบที่ยุ่งยากเขาเกรงว่าสิ่งที่เขาตอบไปอาจเกิดขึ้นจริงก็เป็นได้"ก็จริงของเจ้านะหนิงอ้าย ฮ่าฮ่าฮ่า" ชายหนุ่มที่เหลือทั้งห้าคนต่างหัวเราะขึ้นเสียงดังกับคำตอบที่หนิงอ้ายได้เอ่ยจบไปเมื่อครู่อย่างอดใจไม่ได้ทางฝั่งของผู้อาวุโสที่เฝ้ามองอยู่ในค่ายกลส่งเมื่อพวกเขาคิดตามคำพูดของเด็กหนุ่มก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้เช่นกัน เรื่องของจำนวนศิษย์ใหม่ในแต่ละปีมีจำนวนน้อยเพียงใดพวกเขาต่างกระจ่างใจเป็นที่สุด...ด้วยจำนวนของผู้ผ่านการทดสอบแรกนี้มีจำนวน

    Terakhir Diperbarui : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่64 การทดสอบเข้าตำหนัก

    เมื่อพลังวิญญาณได้ผสานลงไปในป้ายหยกที่ได้รับต่างรู้สึกได้ถึงพลังอันแปลกประหลาดอันทรงพลังแข็งแกร่ง และยังคงกลิ่นอายของความศักดิ์สิทธิ์โบราณยังคงถูกรักษาไว้ไม่ให้สูญสลายไปตามกาลเวลา พลังประหลาดนี้ได้ไหลเวียนไปทั่วทั้งร่างกายอย่างไร้ซึ่งสิ่งใดต่อต้านได้ทั้งสิ้นเพียงอึดใจเดียวแสงสว่างที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าได้กระตุ้นให้พวกเขาทุกคนต้องลืมตาขึ้น ภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าคือลานพิธีขนาดใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ปราณธาตุน้ำแข็งศักดิ์สิทธิ์ที่มีความแวววาวและมีคุณสมบัติที่คงทนเป็นอันดับต้น ๆ ในยุทธภพกล่าวว่าหาได้ยากยิ่งในการครอบครองแม้เพียงขนาดเท่ากำปั้นมือ ทว่าทางสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์เองกลับใช้แร่ปราณธาตุน้ำแข็งศักดิ์สิทธิ์นี้ในการสร้างลานพิธีแห่งนี้ขึ้น หากสังเกต ก็จะพบว่าทุกสิ่งก่อสร้างที่อยู่ในอาณาเขตของสำนักศึกษาที่สามารถสองเห็นได้นั้นต่างถูกทำขึ้นจากแร่ปราณธาตุน้ำแข็งศักดิ์สิทธิ์ไม่ต่างกันทั้งสิ้นความรู้สึกที่สัมผัสได้ทำให้ตัวตนของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ในใจของพวกเขารุ่นเยาว์ชายหญิงที่เป็นศิษย์ใหม่ต่างถูกยกสูงไปอีกไม่รู้กี่เท่า แน่นอนว่าพวกเขาต่างคิดเห็นตรงกันว่าการตัดสิน

    Terakhir Diperbarui : 2025-03-06

Bab terbaru

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   ( -จบเล่ม ปฐมบท 3.2- ) บทที่ 174 ความวุ่นวายที่สิ้นสุดลง

    ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 173 สมบัติเทพมารจุติ

    ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 172 การปรากฎตัวของผู้ขายวิญญาณ

    คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 171 ผู้ท้าทายที่กล้าหาญ

    การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 170 กฎเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

    หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 169 ผู้ผ่านการทดสอบ

    ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 168 เดินทางกลับสำนักศึกษา

    มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 167 การเลื่อนระดับที่เหนือล้ำ

    ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 166 ความร่วมมือ

    ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย

Jelajahi dan baca novel bagus secara gratis
Akses gratis ke berbagai novel bagus di aplikasi GoodNovel. Unduh buku yang kamu suka dan baca di mana saja & kapan saja.
Baca buku gratis di Aplikasi
Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status