Share

บทที่52 ต้าเฮย

เหลือเวลาอีกเพียงสองวันเท่านั้นที่ทางสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ได้กำหนดการณ์เอาไว้สำหรับการรับศิษย์ใหม่ ดูเหมือนว่าปีนี้จำนวนของผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่สนใจเข้าร่วมการทดสอบเข้าสำนักศึกษามีจำนวนมากกว่าปกติในรอบหลายสิบปีเลยทีเดียว สังเกตได้จากการที่ในเมืองหมอกทมิฬเต็มไปด้วยผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ชายหญิงมากหน้าหลายตาที่เดินทางมาถึงเมืองแห่งนี้แล้ว

ก่อนหน้านี้ท่านตาหวังจิ่งหลง ท่านยายเหมยฮวาและท่านแม่เยว่ซินต่างต้องการมาส่งพวกเขาทั้งสองคนในการเข้าร่วมทดสอบเข้าสำนักศึกษาที่เมืองหมอกทมิฬแห่งนี้ ทว่าหนิงอ้ายได้ปฏิเสธไปด้วยเพราะว่าทั้งสามคนต่างมีภาระหน้าที่รับผิดชอบภายในตระกูลหวัง การเดินทางครั้งนี้ต้องใช้เวลายาวนานหลายวันยังไม่รวมไปถึงการเข้าร่วมการทดสอบเพราะในแต่ละปีทางสำนักศึกษาจะมีการกำหนดจำนวนวันทดสอบที่แตกต่างกันออกไป แต่ถึงอย่างไรท่านตาได้มอบหมายองครักษ์ฝีมือดีถึงสี่คนร่วมเดินทางกับพวกเขาทั้งสองคนในครั้งนี้ด้วย

หลังจากเมื่อวานนี้ที่เขาได้เดินเที่ยวตลาดในเมืองได้พูดคุยกับบรรดาพ่อค้าแม่ค้าตามแผงร้านต่าง ๆ จึงพอทราบมาบ้างว่าการทดสอบของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์จะเปลี่ยนไปในทุกปีไม่ซ้ำรูปแบบกัน อีกทั้งยังได้มีการเชิญผู้ฝึกตนระดับระดับสูงที่มีฐานะประจำการในสำนักที่มีความเชี่ยวชาญในแต่ละด้านที่แตกต่างกันออกไปในการออกเเบบทดสอบเหล่านี้ เช่นนั้นแล้วหนิงอ้ายคิดว่าสิ่งที่เขาทำได้ในตอนนี้คือการเตรียมความพร้อมให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

ทางฝั่งของลู่ซีในวันนี้ยังคงเก็บตัวอยู่ในห้องเพื่อประสานกระดูกวิญญาณของอสูรราชันย์วานรพันตะนิลกาฬเข้ากับร่างกาย ก่อนหน้านี้หนิงอ้ายได้แวะเข้าไปหาอีกฝ่ายแล้วพบว่าลู่ซีถึงพร้อมด้วยราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณขั้นสามัญอย่างเต็มเท้าเรียบร้อยและได้เคี่ยวกรำรากฐานบ่มเพาะไปสิบกว่ารอบเลยทีเดียว ดังนั้นจึงมั่นใจได้ว่าย่อมส่งผลดีในการร่ายบทเวทย์และการใช้วรยุทธให้มีความแม่นยำมั่นคงขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า หนิงอ้ายไม่รั้งรอให้เสียเวลาก่อนที่จะเน้นย้ำให้อีกฝ่ายไม่ต้องเร่งรีบและฝากองครักษ์สองคนเฝ้าอยู่บริเวณหน้าห้องพักอีกด้วย

เมื่อทานมื้อเช้าและได้จัดการทุกอย่างเสร็จเเล้ว ช่วงเช้านี้หนิงอ้ายเลือกที่จะใช้เวลาในห้องพักเพื่อทบทวนวิชาความรู้ต่าง ๆ สำหรับเจ้าอสรพิษตัวน้อยนั้น เช้าวันนี้หนิงอ้ายพบว่าบาดแผลฉกรรจ์ภายนอกหายไปหมดสิ้น แต่ร่างกายเรียวยาวของมันยังคงนอนนิ่งไม่ขยับ หนิงอ้ายเข้าใจได้ว่าเลือดของตนที่มีพลังแห่งชีวิตของสายเลือดพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์คงส่งผลดีต่อมันไปไม่น้อย

ในช่วงบ่ายหนิงอ้ายเลือกที่จะไปฝึกฝนเพิ่มเติมที่เขตป่าที่อยู่ติดกับเมืองหมอกทมิฬ ครั้งนี้หัวหน้าองครักษ์และผู้ติดตามอีกคนหนึ่งขอไปกับหนิงอ้ายด้วยซึ่งเขานั้นก็ไม่ได้ปฏิเสธเเต่อย่างใด เพราะเข้าใจว่าอีกฝ่ายต่างถูกฝึกฝนมาเพื่อทำตามคำสั่งของท่านประมุขหรือท่านตาของเขาโดยเฉพาะ

หนิงอ้ายเลือกที่จะทบทวนเคล็ดวิชากระบี่เสียก่อน ความจริงแล้วรุ่นเยาว์ในตระกูลหวังทุกคนต่างได้รับการฝึกฝนและรับการถ่ายทอดวิชากระบี่ประจำตระกูลคือเคล็ดวิชากระบี่สักกะดาราราย อันเป็นเคล็ดวิชาที่โดดเด่นเลื่องชื่อในยุทธภพแต่ด้วยความที่หนิงอ้ายในตอนนี้มีกระบี่ประจำตัวที่หนิงอ้ายตั้งชื่อว่ากระบี่ไป๋เย่วหรือกระบี่วารีหมอกรุ้งพิสุทธิ์เหมันต์ที่ได้มาในครั้งนั้น

แน่นอนว่าเคล็ดวิชากระบี่ที่อสูรวารีหมอกรุ้งพิสุทธิ์เหมันต์ได้ถ่ายทอดโดยตรง นั่นคือ เคล็ดวิชากระบี่เจ็ดดาวเหนือ ความพิเศษของเคล็ดวิชานี้จะมีทั้งหมดเจ็ดระดับ แต่ละระดับนั้นจะสร้างความรุนแรงเพิ่มทวีสองเท่าในแต่ละขั้น ไม่รอช้าหนิงอ้ายจึงเริ่มร่ายกระบี่ตามเคล็ดวิชานี้ในทันที แต่เลือกที่จะไม่แฝงลมปราณด้วยเพราะกลัวว่าจะเกิดความเสียหายของพื้นที่โดยรอบนั่นเอง

ท่ามกลางสายตาขององครักษ์ทั้งสองคนที่ติดตามมา คุณชายหนิงอ้ายเป็นผู้ที่มากไปด้วยพรสวรรค์อย่างแท้จริงนับว่าเป็นอัจฉริยะที่เหนืออัจฉริยะด้วยกัน ด้วยเพียงอายุสิบห้าสิบหกปีแต่สามารถเป็นผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิวิญญาณขั้นสูงได้ อีกทั้งความล้ำลึกของพลังปราณในร่างกายของเด็กหนุ่มในตอนนี้เทียบเท่าได้กับผู้ฝึกตนระดับเทวะวิญญาณขั้นสามัญเลยทีเดียว ด้วยฐานะเจ้าแห่งยุทธภพอายุน้อยที่สุดในรอบหลายร้อยปีและยังมีฐานะเป็นว่าที่ประมุขของตระกูลหวังสายหลักแห่งแคว้นเต่าดำ ด้วยคุณสมบัติเช่นนี้พวกเขาทั้งสองคนไม่รู้เลยว่าใครกันจึงจะเหมาะสมกับนายน้อยของตนได้กัน...

เวลาก็ได้ผันผ่านอย่างไม่รั้งรอมาถึงยามเซินแล้ว ร่างกายอันผอมบางของเด็กหนุ่มทรุดตัวลงกับพื้นอย่างเสียกริยา โดยปกติหนิงอ้ายมักจะรักษาภาพลักษณ์ของตนอยู่เสมอ ท่ามกลางสายตาชื่นชมและเห็นใจขององครักษณ์ทั้งสองคนที่ตอนนี้ออกมาเฝ้าดูอยู่ไม่ไกลนัก ช่วงเวลาทั้งบ่ายนี้หนิงอ้ายได้ทุ่มเทไปกับการทบทวนเคล็ดวิชากระบี่และวรยุทธต่าง ๆ บ้างก็ขอให้องครักษ์ทั้งสองคนนั้นมาช่วยฝึกซ้อมกับตนเพื่อให้เขานั้นทราบถึงขีดจำกัดของตัวเอง

คราแรกองครักษ์ทั้งสองคนต่างไม่กล้าลงแรงไปมาก ด้วยเพราะอีกฝ่ายมีฐานะเป็นถึงนายน้อย เป็นถึงว่าที่ประมุขของตระกูลคนถัดไป หากเกิดอันตรายขึ้นกับเด็กหนุ่มแล้วท่านประมุขคงไม่เอาพวกตนไว้แน่ เป็นหนิงอ้ายเลือกใช้การต่อสู้รูปเเบบสมัยใหม่จากโลกเดิมเข้ามาผสมผสานในการโจมตี องครักษ์ทั้งสองคนตอนแรกที่ไม่ตั้งใจลงมือจริงจังมากนักแต่ด้วยเพราะถูกหนิงอ้ายบีบคั้นจนทำให้ต้องแสดงฝีมือที่แท้จริงออกมา

แน่นอนว่าท้ายที่สุดเเล้วในการฝึกฝนครั้งนี้ย่อมเป็นหนิงอ้ายที่เป็นผู้พ่ายแพ้ให้กับหัวหน้าองครักษ์ไปในที่สุด เเต่ถึงอย่างนั้นหนิงอ้ายถึงกับรับมือกับกระบวนท่าของได้เกือบร้อยกระบวนท่าของอีกฝ่ายเลยทีเดียว บนตัวของหัวหน้าองครักษ์มีร่องรอยบาดแผลรอยฟกช้ำนอกร่มผ้าเล็กน้อยเเต่ต่างไปจากหนิงอ้ายที่สภาพในตอนนี้ดูแทบไม่ต่างไปจากขอทานน้อยเสียอย่างนั้น แต่นั่นก็พอเข้าใจได้ที่หนิงอ้ายต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้

เพราะต่อให้เขาจะเชี่ยวชาญทักษะการต่อสู้มากมายแค่ไหนจากโลกเดิมที่ผ่านมา อย่างไรขีดจำกัดของร่างหนิงอ้ายคนนี้ที่บอบบางยิ่ง อีกทั้งระยะเวลาสองปีกว่านี้แม้หนิงอ้ายจะทุ่มเทปั้นหุ่นให้เเข็งแรงมากเเค่ไหนแต่เมื่อเทียบกับร่างเดิมของเขานั้นร่างนี้ยังด้อยไปกว่าหลายส่วน

การรับมือประลองกับผู้ฝึกตนราชทินนามระดับเทวะวิญญาณขั้นสูงที่โดนฝึกร่างกายมาตั้งแต่จำความได้ ดังนั้นร่างกายจึงแข็งแรงเป็นพิเศษ ประสบการณ์ต่อสู้ต่างหล่อหลอมให้สัมผัสของอีกฝ่ายเฉียบแหลมยิ่งนัก หนิงอ้ายได้แต่ครุ่นคิดในใจ หากว่าเขาสามารถเข้าร่วมสำนักศึกษาได้สำเร็จเขาต้องเร่งทำทุกวิถีทางให้ร่างกายของเราเเข็งเเรงกว่านี้ให้ได้

ในทางกลับกันนั้นหัวหน้าองครักษ์ที่ดูภายนอกจะดูเหมือนว่าตนได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย เเต่ความจริงแล้วภายในร่มผ้าต่างได้รับความบอบช้ำไปไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะทุกวรยุทธ์โจมตีของหนิงอ้ายเต็มไปด้วยความเยือกเย็นและเฉียบขาด อีกทั้งยังแม่นยำราวกับคิดคำนวนเสียอย่างดีราวกับผู้ที่มากไปด้วยประสบการณ์ของการเข่นฆ่า

มีคำกล่าวไว้ว่าตัวตนที่แท้จริงจะเป็นเช่นไรให้ดูจากมีดที่เขาเลือกใช้ เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้วหัวหน้าองครักษ์นั้นตกใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะสิ่งที่ตนรับรู้มานั้นแทบไม่ตรงกับคุณชายหนิงอ้ายที่ยืนอยู่ตรงหน้าตนผู้นี้เลยสักนิด แม้ว่าเด็กหนุ่มมีตำแหน่งเจ้าแห่งยุทธภพที่การันตรีได้ถึงความสามารถที่อยู่เหนือผู้คนทั่วไปเป็นอัจฉริยะที่อยู่เหนืออัจฉริยะ

แต่ความกระหายเลือดและกลิ่นอายความตายที่เด็กหนุ่มแสดงออกมา เขาเองคาดว่าเด็กหนุ่มคงไม่รู้ตัวสักนิดว่าทุกท่วงท่าวรยุทธล้วนเต็มเปี่ยมไปด้วยทักษะลอบสังหารระดับสูงที่ไร้ซึ่งความปราณีใดทั้งสิ้น ทุกการโจมตีต่างมุ่งเน้นจุดตายของฝั่งตรงข้ามทั้งสิ้น ทุกสิ่งเหล่านี้เมื่ออยู่ในตัวของเด็กหนุ่มอายุสิบห้าสิบหกปีที่พึ่งเข้าสู่วิถีผู้ฝึกตนได้เพียงสองปีเท่านั้น นับว่าควรค่าแก่การยกย่องและน่าหวั่นเกรงอย่างแท้จริง...

"ฝีมือข้ายังด้อยนัก หลังจากนี้ข้าต้องหาเวลาฝึกฝนเพื่อให้ต้องพัฒนาไปมากกว่านี้..." หนิงอ้ายเอ่ยบ่นขึ้นมาด้วยน้ำเสียงอ่อนล้า

"คุณชายน้อยเก่งมากที่สามารถรับมือกับท่านหัวหน้าได้ถึงเกือบครึ่งชั่วยามเช่นนี้ได้เมื่อเทียบกับรุ่นเยาว์ในวัยเดียวกัน คุณชายมากไปด้วยความสามารถที่แท้จริงขอรับ..." ชายชุดดำองครักษณ์อีกคนที่ติดตามมาได้เอ่ยเสริมขึ้น

"ใช่แล้วขอรับ คุณชายเพิ่งเข้าสู่วิถีฝึกตนได้เพียงสองปีเเต่กลับสามารถรับกระบวนท่าได้มากเช่นนี้ หากท่านประมุขรู้เข้าข้าคงต้องกลับไปฝึกใหม่อีกครั้งแน่ขอรับ..." หัวหน้าองครักษ์เอ่ยขึ้นอย่างติดตลกเล็กน้อยแม้เจ้าตัวจะรู้ดีว่ามีความเป็นไปได้มากที่เดียวในสิ่งที่ตนได้เอ่ยออกไป

"ข้าหวังว่าการทดสอบของสำนักศึกษาจะไม่ผิดแปลกพิสดารเกินกว่าที่ข้ากับลู่เกอจะรับมือได้..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้น เมื่อพละกำลังเรี่ยวแรงกลับมาคืนหลายส่วนแล้วทั้งสามคนจึงใช้วิชาตัวเบาทะยานกลับเข้าไปในตัวเมืองหมอกทมิฬในทันที

เย็นวันนี้ลู่ซีออกจากห้องพักแล้วเพราะว่าการเก็บตัวนั้นสำเร็จไปได้ด้วยดี หนิงอ้ายเมื่อเห็นคนพี่ออกมาเเล้วจึงรีบเข้าไปสำรวจอีกฝ่ายอย่างไม่รอช้าและเมื่อสัมผัสเข้ากับตัวของผู้เที่ตนนับถือดั่งพี่ชายนั้นเนตรแห่งสวรรค์ส่งข้อมูลเข้ามาในหัวจนทำเอาหนิงอ้ายถึงกับหยุดนิ่งไปชั่วขณะ

"เป็นไปได้อย่างไรกัน ลู่เกอใช้พลังปราณธาตุดินพร้อมกับปราณธาตุต้นกำเนิดธาตุลมพร้อมกันถึงสองธาตุได้เช่นนั้นหรือขอรับ?" หนิงอ้ายตกใจเป็นอย่างมากเพราะเขายังไม่เคยพบเจอผู้ใดที่ประสานร่างกายไปกับกระดูกวิญญาณแล้วสามารถใช้พลังธาตุที่สองเพิ่มขึ้นมาได้

"แม้กระทั่งเรื่องนี้เจ้าก็รับรู้เช่นนั้นรึ?" ลู่ซีเมื่อได้ยินหนิงอ้ายเขาเองก็ตกใจไม่น้อย เพราะเขาตั้งใจว่าจะเก็บไว้ให้เด็กหนุ่มได้ประหลาดใจ แต่ใครจะไปคาดคิดว่าเพียงหนิงอ้ายจับตัวของเขานั้นก็สามารถรับรู้ถึงความลับเช่นนี้ได้อย่างง่ายดาย

"หลังจากที่ข้าได้ตำราของอักขระเวทย์โบราณมาจากท่านตา ข้าได้ทดลองปรับเปลี่ยนเนตรแห่งสวรรค์บางส่วนโดยการนำอักขระเวทย์โบราณเข้ามาทดแทน เช่นนั้นแล้วความสามารถของเนตรแห่งสวรรค์ก็เพิ่มมากขึ้นหลายเท่า ไม่ว่าจะเป็นการอำพลางเพื่อสังเกตสอดแนมโดยรอบหรือหากมีสิ่งใดที่ข้าสัมผัสหากว่าอีกฝ่ายไม่มีบทเวทย์ป้องกันระดับสูงอยู่ ข้าย่อมทราบข้อมูลของสิ่งนั้นคือคนนั้นขอรับ..."

สิ้นเสียงของหนิงอ้ายทำเอาลู่ซีและองครักษ์ทั้งสี่คนอดที่จะตกตะลึงไม่ได้ พวกเขานั้นล้วนทราบกันดีว่าคุณชายหนิงอ้ายมีความเชี่ยวชาญในอักขระเวทย์โบราณที่แม้แต่ท่านประมุขยังเอ่ยขึ้นมาว่าไม่มีผู้ใดในตระกูลที่มีความเชี่ยวชาญเช่นนี้ นับว่าเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจที่ความสามารถและความโดดเด่นเช่นนี้พบเจอได้ในคนเดียวกัน

"เอาละตอนนี้ได้เวลามื้อเย็นแล้ว วันนี้เจ้าคงฝึกหนักเหมือนเดิมเป็นแน่เช่นนั้นแล้วหลังทานข้าวเสร็จก็อาบน้ำพักผ่อนเสีย ส่วนเกอจะไปหาซื้อของที่จำเป็นเผื่อไว้หากต้องใช่ในการเข้าทดสอบของสำนักศึกษาอีกที..." ลู่ซีบบอกกับเด็กหนุ่มด้วยความเป็นห่วง

สองปีที่ผ่านมาหลังจากเด็กหนุ่มปลุกพลังวิญญาณได้สำเร็จ หนิงอ้ายได้ทุ่มเทกับการฝึกฝนเป็นอย่างยิ่ง เพราะอีกฝ่ายจะทำให้ถึงที่สุดไม่เช่นนั้นจะไม่ยอมเลิกราเด็ดขาด ลู่ซีเห็นบาดแผลของอีกฝ่ายและหัวหน้าองครักษ์ลู่ซีก็พอเข้าใจอะไรมากขึ้นเขาต้องการให้หนิงอ้ายพักผ่อนให้เต็มที่เพราะว่าเขานั้นจะออกไปสำรวจเมืองนี้และเตรียมสิ่งของจำเป็น มื้อเย็นของเด็กหนุ่มสองคนและบุรุษวัยกลางคนอีกสี่คนนั้นจบไปด้วยอาหารชุดใหญ่ที่ถูกนำมาวางบนโต๊ะอาหารอย่างเต็มที่ ทุกคนต่างมีความรู้สึกตรงกันว่าอาหารของโรงเตี๊ยมแห่งนี้รสเลิศเป็นอย่างยิ่งชวนให้อิ่มท้องและต้องการพักผ่อน

หนิงอ้ายได้กลับเข้ามาในห้องพักของตน พร้อมกับสังเกตตะกร้าที่อยู่ข้างเตียงนอน ก็พบว่าอสรพิษน้อยสีดำนั้นจ้องมองตนด้วยตาไม่กระพริบ ภาพตรงหน้านี้อาจเป็นสิ่งที่น่ากลัวสำหรับใครหลาย ๆ คนแต่กับหนิงอ้ายที่ชื่นชอบสัตว์มีพิษและคลุกคลีกับสิ่งเหล่านี้ตลอดทั้งชีวิตในโลกเดิม ดังนั้นเขาจึงไม่กลัวอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อยออกที่จะรู้สึกเอ็นดูยิ่งนัก

"ว่าไงเจ้าตัวน้อยรู้สึกอย่างไรบ้าง??" หนิงอ้ายเอ่ยถามขึ้นพร้อมกับลูบส่วนหัวเบา ๆ อสรพิษน้อยมีท่าทางเคลิบเคลิ้มไปสักครู่ก่อนที่จะจ้องเขม็งกลับมาอย่างไม่ยินยอม

"เจ้าหิวแล้วใช่หรือไม่??" หนิงอ้ายถามด้วยความเป็นห่วงเพราะตนพึ่งนึกขึ้นได้ว่าตั้งแต่เมื่อวานนี้อีกฝ่ายยังไม่ได้กินอะไรเลยอสรพิษน้อยทำหน้าตาเบื่อหน่ายก่อนที่จะจ้องเขม็งสบตาอีกครั้ง

"เจ้าไม่ชอบให้ข้าเรียกว่าเจ้าตัวน้อยเช่นนั้นรึ??" หนิงอ้ายเอ่ยถามขึ้นแม้จะพอคาดเดาได้บ้างแล้วก็ตาม

หงึกหงึก

"เช่นนั้นข้าตั้งชื่อให้เจ้าว่า ต้าเฮย พอใจหรือไม่??" หนิงอ้ายเลือกที่จะตั้งชื่อโดยสังเกตจากลักษณะของเกล็ดสีดำเงางามของมัน

หงึกหงึก

"เช่นนั้นหลังจากนี้เจ้าชื่อต้าเฮยนะ ข้าลืมแนะนำตัวไปข้าชื่อหนิงอ้าย ในตอนนี้ข้ามีสัตว์อสูรในพันธะแล้วจึงไม่สามารถสร้างพันธะกับเจ้าเพิ่มได้ แต่ข้าสัญญาว่าจะดูแลเจ้าให้ดีที่สุด เจ้าตกลงที่จะอยู่กับข้าหรือไม่ต้าเฮย??"

หงึกหงึก หงึกหงึก

ต้าเฮยตัวน้อย?? แสดงความตกลงใจในข้อเสนอนี้ด้วยการพยักส่วนหัวขึ้นลงอย่างน่าเอ็นดู หนิงอ้ายไม่รอช้าจับอีกฝ่ายขึ้นมาพร้อมกับมอบจูบเล็ก ๆ ให้ก่อนที่จะเอ่ยขึ้นมาว่า

"ข้าจะไปอาบน้ำก่อนละกันเดี๋ยวคืนนี้เจ้าก็นอนกับข้านะ "

หลังจากนั้นหนิงอ้ายจึงเข้าไปอาบน้ำชำระร่างกายของตนเอง เมื่อออกมาเเล้วก็พบว่าเจ้าต้าเฮยกำลังนอนรอเขาอยู่บนเตียงเสียแล้ว เจ้าตัวน้อยชูคอไปมาคล้ายกับส่งสัญญาณว่าให้รีบเข้านอนเสียที เห็นท่าทางอันน่ารักดังกล่าวหนิงอ้ายอดหัวเราะออกมาไม่ได้ ก่อนที่จะไปยังเตียงนอนและห่มผ้าให้ตนกับต้าเฮยก่อนที่จะนอนหลับในที่สุด...

อีกด้านหนึ่งชายชุดดำที่ตอนนี้อยู่ในห้องขนาดใหญ่ที่มีเอกสารสำคัญอยู่โดยรอบใบหน้าหล่อเหลาเคร่งขรึม เอาแต่มองภาพที่เห็นนั้นผ่านสายตาของอสรพิษที่นอนอยู่ข้างคนงาม แม้จะรู้สึกอยากไปอยู่ตรงนั้นมากแค่ไหนแต่ถึงอย่างไรชายชุดดำทำได้เพียงสงบใจลงและรีบจัดการงานที่ค้างของตนให้เสร็จก่อนที่จะเอ่ยขึ้นมาว่า

"อย่าให้ถึงคราวของข้าบ้างแล้วกัน..."

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Related chapters

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่53 การทดสอบเข้าสำนัก

    ในที่สุดการรอคอยก็สิ้นสุดลงเสียที เช้าวันนี้หนิงอ้ายตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า เขารู้สึกว่าตัวเองในตอนนี้พร้อมเสียยิ่งกว่าพร้อมเสียด้วยซ้ำ ไม่ว่าแบบทดสอบของสำนักศึกษาในปีนี้จะออกมาในรูปแบบใด ทั้งเขาและลู่ซีจะต้องผ่านไปได้อย่างแน่นอน เพราะว่าพวกเขาทั้งสองคนได้เตรียมความพร้อมในทุกด้านที่คาดว่าสามารถนำมาใช้ในการเข้าร่วมทดสอบครั้งนี้ได้ หลังจากสำรวจความเรียบร้อยของตนที่หน้ากระจกพร้อมกับทำการร่ายบทเวทย์ปลอมแปลงเสร็จสิ้นหนิงอ้ายไม่รอช้าออกจากห้องพักเพื่อไปพบกับลู่ซีและเหล่าองครักษ์ทั้งสี่คนที่ด้านล่างของโรงเตี๊ยมในทันทีหนิงอ้ายยังคงเลือกสวมใส่ชุดสีเขียวอ่อนเช่นเดิมเหมือนทุกวันด้วยความเคยชิน นับว่านี่เป็นสิ่งที่ทั้งเขาและหนิงอ้ายคนเดิมมีความชื่นชอบเหมือนกัน เพียงแต่ว่าอาจจะมีความแตกต่างในเรื่องของลวดลายปักที่เปลี่ยนไปในแต่ละวันให้ไม่ซ้ำกันเพียงเท่านั้น หนิงอ้ายเลือกสวมใส่เป็นลายปักดิ้นทองเป็นดอกเถาฮวา (ดอกท้อ) ที่ดูงดงามเหมือนจริงเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งเป็นผลงานจากท่านยายเหมยฮวาของเขาที่ก่อนออกเดินทางไม่กี่วัน ท่านยายได้ใช้เวลายามว่างบรรจงตัดเสื้อและปักลวดลายอันงดงามลงบนผ้าผืน

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่54 การช่วยเหลือที่ทันท่วงที

    เช้าวันที่สองของการเดินทางหนิงอ้ายกับลู่ซีได้ใช้เวลาอย่างรวดเร็วในการจัดการตนเองและเร่งเดินทางไปในทันที ซึ่งในตอนนี้หลังจากที่หนิงอ้ายมีพลังวิญญาณในระดับที่สูงขึ้นและปลุกพลังสายเลือดพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์ได้สำเร็จซึ่งส่งผลให้บทเวทย์ระดับเซียนเนตรแห่งสวรรค์ของเขานั้นมีอาณุภาพที่ลึกล้ำขึ้นไปอีกขั้นซึ่งในตอนนี้หนิงอ้ายสามารถสร้างวิหคสอดเเนมขึ้นมาเพื่อเป็นการรับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในขอบเขตของบทเวทย์ได้ แต่ก่อนที่ลู่ซีจะเอ่ยถามกับหนิงอ้ายว่าจะต้องเดินทางไปทิศใดต่อนั้นหนิงอ้ายเมื่อได้เห็นภาพเหตุการ์ณวิหคสอดแนมส่งเข้ามาให้ตนได้รับรู้นั้นจึงเอ่ยขึ้นกับลู่ซีในทันทีว่า"ทางด้านนั้นเกิดบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้น...เกอรีบตามข้ามานะขอรับ!!!"เทือกเขาเร้นลับอสูรเป็นผืนป่าที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลอาจเทียบเท่าได้กับเมืองหลวงของสามแคว้นรวมกันเสียด้วยซ้ำ ภายในนั้นเต็มไปด้วยพืชพรรณไม้โบราณอายุหลายร้อยหลายพันปี เหล่าสมุนไพรล้ำค่า รวมไปถึงสัตว์อสูรหลากหลายเผ่าพันธ์ที่มีพลังวิญญาณระดับต่ำจนไปถึงระดับสูง ผู้คนที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงต่างรับรู้โดยทั่วกันหรืออาจเป็นการจงใจแต่งแต้มเรื่องราวนี้หรือไม่ก็

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่55 เส้นทางที่เลือก

    ไม่นานจากเดิมที่เด็กหนุ่มยังมีใบหน้าเรียบเฉยราวกับไม่รู้สึกสิ่งใดก็ได้เผยใบหน้าติดรำคานขึ้นมาพร้อมกับพึมพัมอะไรบางอย่างชวนให้ผู้พบเห็นน่าเอ็นดูยิ่ง เพราะภาพตรงหน้าทำเอาพวกเขาทั้งหลายอดที่จะหัวเราะไม่ได้เพราะเด็กหนุ่มคนนี้ดูก็รู้ว่ามีอายุเพียงสิบห้าสิบหกแต่กลับปั้นท่าทางราวกับผู้ที่มากไปด้วยประสบการณ์ ยามเมื่อเผยใบหน้างอง้ำไม่พอใจนั้นทำเอารู้สึกว่าเด็กหนุ่มคนนี้น่ามองขึ้นกว่าเดิมและดูสมกับวัยขึ้นมาไม่น้อยแต่แล้วทุกสิ่งอย่างไม่อาจทำให้พวกเขาทั้งหมดต้องประหลาดใจได้เท่ากับการโจมตีสุดท้ายที่เด็กหนุ่มได้สังหารอสูรเสือดาวลมกรดให้ตายตกไปในครั้งเดียวความแข็งแกร่งของอสูรระดับนภาขั้นสูงในเขตขั้นย่าวก้าวระดับมายาขั้นต่ำนั้นมีความแข็งแกร่งเพียงใดทุกคนต่างรับรู้กัน แต่นี่เด็กหนุ่มรุ่นเยาว์คนหนึ่งถึงกับสังหารอีกฝ่ายได้ง่ายดายเช่นนี้ ไม่รู้ว่าเป็นเด็กประหลาดคนหนึ่งที่มากไปด้วยพรสวรรค์หรืออย่างไร"เด็กทั้งสองคนนี้เคล็ดวิชาตัวเบาช่างคล้ายคลึงกับเคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ยิ่ง แสดงว่าทั้งสองน่าจะเป็นรุ่นเยาว์ของตระกูลหวังแห่งแคว้นเต่าดำเป็นแน่..." ผู้อาวุโสคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเนื่องจากเขาคุ้นเคยกับวิชาตั

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่56 อสูรอสรพิษราชันย์สุริยันจันทราทมิฬ

    ค่ายกลส่งภาพนับได้ว่าเป็นผลงานอีกชิ้นหนึ่งที่ขึ้นชื่อของทางตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลของสำนักศึกษา มีประโยชน์ในหลากหลายด้านรวมไปถึงความสะดวกในการใช้งานที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพมากกว่าค่ายกลแบบเดียวกันหลายเท่า แต่ถึงอย่างไรก็ตามขีดจำกัดและข้อด้อยของค่ายกลนี้ก็มีอยู่ให้เห็นเช่นกันแม้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในระยะการทำงานของค่ายกลส่งภาพนี้ไม่ว่าจะเป็นทั้งภาพเหตุการณ์และเสียงสนทนาจะถูกส่งมายังผู้ใช้ค่ายกลโดยตรงก็ตามแต่เนื่องจากว่าในการทดสอบครั้งนี้ได้ใช้พื้นที่ป่าของเทือกเขาเร้นลับอสูรเป็นบริเวณกว้างดังนั้นด้วยความผันแปรของปราณฟ้าดินในแต่ละบริเวณที่มีความหนาแน่นแตกต่างกัน จึงส่งผลให้ในบางพื้นที่นั้นค่ายกลส่งภาพไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพสักเท่าไหร่ สังเกตได้จากจอภาพของค่ายกลส่งภาพอันนั้นมักจะมีคลื่นเสียงรบกวนอยู่เสมอ บ้างก็กลายเป็นจอดำสนิทและมีจำนวนไม่น้อยเช่นกันที่สัญญาณมาขาด ๆ หาย ๆค่ายกลส่งภาพนี้ในปัจจุบันผู้ฝึกตนระดับสูงรวมไปถึงผู้ฝึกตนที่มากไปด้วยญาณสัมผัสต่างรับรู้ถึงการมีอยู่ของค่ายกลนี้ ทางตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลได้ทำการศึกษาแก้ไขอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ในอนาคตค่ายกลส่งภาพนี้จะออกมาสม

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่57 อันตรายในป่าไป๋เซินหลิน

    เหตุการณ์ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นผู้อาวุโสแต่ละตำหนักตัวแทนเข้าร่วมดูแลการทดสอบครั้งนี้ได้มีการถกเถียงถึงในเรื่องราวต่าง ๆ ที่เป็นไปได้ เจียงเฉิงที่มีฐานะสูงสุดในที่นี้นั่นคือเจ้าสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ แม้ภายนอกจะดูนิ่งเฉยไม่ได้เอ่ยเสริมอะไรขึ้น แต่สายตายังคงจ้องเด็กหนุ่มที่ตอนนี้กำลังปกปิดอาการแตกตื่นดังกล่าวอย่างนิ่งสงบ ด้วยอายุเพียงสิบห้าสิบหกเพียงเท่านี้ของอีกฝ่ายแต่กลับสามารถควบคุมสติได้มั่นคงหนักแน่น เขาอยากรู้นักว่าอีกฝ่ายรวมไปถึงสหายอีกทั้งสามคนจะสามารถผ่านการทดสอบเป็นศิษย์ของสำนักได้หรือไม่เทือกเขาเร้นลับอสูรที่อยู่โดยรอบของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์มีพื้นที่กว้างใหญ่เป็นอย่างมาก ดังนั้นจึงเต็มไปด้วยสัตว์อสูรมากมาย ที่กระทั่งฝ่ายสำรวจของทางสำนักที่มีการเก็บรวมรวมข้อมูลมาหลายพันปีตั้งแต่เริ่มก่อตั้งสำนัก แม้ข้อมูลที่อยู่ในมือนั้นจะมีมากมายแต่ถึงอย่างนั้นยังไม่ถึงกับครอบคลุมทั้งหมด สัตว์อสูรบางสายพันธ์นั้นถึงกับมีสายเลือดบรรพกาลไหลเวียนอยู่หรือบ้างก็มีความเป็นมาที่ลึกลับ อีกทั้งยิ่งกับสัตว์อสูรระดับสูงที่สามารถเปิดสติปัญญาได้นั้นมักจะมีการแบ่งพื้นที่เขตปกครอง

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่58 อสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะ

    "ยังมีเวลาอีกมากในการเพิ่มระดับฝีมือของตนให้เพิ่มสูงขึ้น ตอนนี้พวกเราสองคนควรรีบออกไปช่วยหนิงอ้ายกับลู่ซีกันได้แล้ว..." ไม่รอช้าทั้งสองจึงได้สลายเวทย์ป้องกันพร้อมกับพุ่งตัวไปยังด้านข้างของหนิงอ้ายกับลู่ซีในทันที"กลุ่มคนพวกนี้เป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมการทดสอบศิษย์ใหม่ของทางสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ ยิ่งมีจำนวนผู้เข้าร่วมทดสอบมากเท่าไหร่ จำนวนของผู้ถูกสะกดจิตด้วยอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น...""บรรดาผู้ฝึกตนชายหญิงในตอนนี้ หากกล่าวตามตรงคงไม่แตกต่างไปจากหุ่นเชิดไร้ซึ่งสตินึกคิดคงไม่เกินจริงไปนัก..." เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังลมปราณอันคุ้นเคยของสองคนที่ตามมาสมทบแล้วนั้น หนิงอ้ายจึงบอกให้ได้รับรู้ในทันทีแม้ว่าทุกคนในที่นี้อาจพอคาดเดาได้บ้างแล้วก็ตาม"ก็พอเข้าใจได้อยู่บ้าง เฮ้อ!! หากตัดผ่านตรงนี้ไปอีกไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็จะถึงทางเข้าของสำนักศึกษาแล้ว..." อี้หลินเอ่ยเบา ๆ ด้วยความเสียดายเล็กน้อย เพราะตามที่หนิงอ้ายได้บอกก่อนหน้าว่าอีกไม่ไกลก็จะถึงทางเข้าของสำนักศึกษาแล้ว แต่พวกเขากลับต้องมาพบเหตุการณ์ความวุ่นวายดังกล่าว อีกทั้งการทดสอบของสำนักศึกษาครั้งนี้มีเรื่องกำหนดเวลา

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   ( -จบเล่ม 1- ) บทที่59 หนึ่งท่าพิฆาตสังหาร

    คลื่นวายุสังหารนับไม่ถ้วนถูกพ่นจู่โจมอย่างต่อเนื่อง หากหนิงอ้ายไม่ได้ใช้วิชาตัวเบาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ประสานไปกับพลังวิญญาณของตนจนทำให้ระดับความเร็วของเขาเป็นที่น่าตกตะลึงแล้วคงยากที่จะรอดพ้นไปจากการโจมตีจากสัตว์อสูรตรงหน้านี้ได้ แน่นอนว่าหนิงอ้ายย่อมไม่ใช่ลูกพลับนิ่มที่ปล่อยให้อีกฝ่ายมีโอกาศโจมตีตนได้ฝ่ายเดียว เพราะเขาก็ได้ใช้บทเวทย์โจมตีของตนโต้กลับไปในทุกครั้งที่มีโอกาสเช่นกันมหาบุปผชาติเหมันต์จำแลงลักษณ์!ตู้ม! ตู้ม!ทุกครั้งที่หนิงอ้ายหลบหลีกและส่งการโจมตีโต้กลับไปยังอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะ ยิ่งเวลาผ่านไปเท่าไหร่โทสะของสัตว์อสูรยิ่งเพิ่มขึ้น มันไม่คาดคิดว่าการปะทะกับผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิวิญญาณคนหนึ่งจะทำให้มันสูญเสียลมปราณในร่างกายไปได้มากถึงเพียงนี้พรึบ!ชายผ้าคลุมสีเขียวอ่อนปลิวไหวสะบัดไปตามแรงลมที่ต้านปะทะ เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายสูญเสียจังหวะไม่รอให้อีกฝ่ายตั้งตัว หนิงอ้ายเร่งเร้าพลังลมปราณทั่วทั้งร่ายกาย ก่อนที่แขนขวานั้นสะสะบัดออกเบื้องหน้า ขณะใช้ออกด้วยท่าร่างเคล็ดวิชาย่างก้าวทะยานหมื่นลี้ เข็มโลหะสีเงินทั้งเก้าพุ่งทะยานผ่านอากาศจนเกิดเสียง ต้าเฮยที่ซ่อนตัวอยู่ได้ประสานปร

    Last Updated : 2025-03-06
  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่60 ถึงจุดหมายในที่สุด

    ทางฝั่งผู้อาวุโสของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ต่างถอนหายใจด้วยความโล่งใจ เมื่อพวกเขาเห็นว่ากลุ่มของหนิงอ้ายทั้งสี่คนสามารถจัดการอสูรจักจั่นเก้าสุวรรณมรณะได้สำเร็จ แม้ว่าตอนนี้จะยังมีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ชายหญิงมากกว่าหลายสิบคนที่ยังไม่ฟื้นคืนสติก็ตามอำนาจสะกดใจที่เคยควบคุมไม่ต่างหุ่นเชิดไร้ซึ่งแรงต้านทาน เมื่อสัตว์อสูรนายแห่งพันธะดังกล่าวได้ตกตายไป ร่างกายของพวกเขาจะไม่ได้รับผลกระทบต่อวิถีทางแห่งผู้ฝึกตนในวันข้างหน้า หลังจากนี้เพียงไม่กี่ชั่วยามย่อมที่จะฟื้นสติกลับมาได้ดังเดิม หากว่ากลุ่มของรุ่นเยาว์เหล่านี้สามารถเดินทางมาถึงประตูทางเข้าของสำนักศึกษาได้สำเร็จ นั่นเท่ากับว่าในปีนี้ทางสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ได้รับศิษย์ใหม่มากที่สุดของทางสำนักเลยทีเดียว"ในที่สุดพวกเขาทั้งสี่คนก็มาถึงประตูทางเข้าของสำนักได้เสียที บอกตามตรงว่าที่ผ่านมาในตำแหน่งผู้อาวุโสของสำนัก ได้เห็นการคัดเลือกศิษย์ใหม่มามากมายนับไม่ถ้วน ทว่าไม่มีครั้งใดซักครั้งที่ทำให้ข้าเกือบหัวใจจะวายเช่นนี้ได้!!" ผู้อาวุโสชราร่างเล็กคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเสียงดังราวกับอัดอั้นมาแสนนาน พร้อมกับถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกที่เด็

    Last Updated : 2025-03-06

Latest chapter

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   ( -จบเล่ม ปฐมบท 3.2- ) บทที่ 174 ความวุ่นวายที่สิ้นสุดลง

    ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 173 สมบัติเทพมารจุติ

    ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 172 การปรากฎตัวของผู้ขายวิญญาณ

    คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 171 ผู้ท้าทายที่กล้าหาญ

    การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 170 กฎเกณฑ์ที่เปลี่ยนแปลงไป

    หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 169 ผู้ผ่านการทดสอบ

    ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 168 เดินทางกลับสำนักศึกษา

    มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 167 การเลื่อนระดับที่เหนือล้ำ

    ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล

  • บุปผากลางใจจอมจักรพรรดิ   บทที่ 166 ความร่วมมือ

    ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status