ห้องโถงรับรองของเรือนหลักตระกูลหวังเครื่องใช้ภายในเรือนทั้งหมดนั้นทำขึ้นจากหยกเขียวอ่อนแกะสลักที่มีความงดงามอ่อนช้อย อีกทั้งยังประดับตกแต่งไปด้วยสิ่งของมีค่ามากมายบางชิ้นถึงกับมีอายุยาวนานหลายร้อยปีเลยทีเดียว ของทุกอย่างเหล่านี้ต่างเเสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งของตระกูลหวังสายหลักได้เป็นอย่างดี
"ได้ยินว่าหนิงเอ๋อร์กับลู่เอ๋อร์จะทำการทดสอบเข้าร่วมสำนักศึกษาในอีกไม่กี่วันเช่นนั้นรึ?" หวังจิ่งหลงถามขึ้นมองไปทางฝั่งของหลานชายของตนทั้งสอง
"ขอรับท่านตา เพียงเเต่ว่าข้ากับลู่เกอยังไม่แน่ใจว่าจะเข้าร่วมสำนักศึกษาใด..." หนิงอ้ายตอบกลับผู้เป็นตาของตนไป
"การเลือกสำนักศึกษามีความสำคัญไปไม่น้อย ด้วยความแตกต่างของเเต่ละสำนักไม่ว่าจะเป็นที่ตั้งของสำนักที่เอื้อต่อการฝึกฝนตามพลังธาตุในร่างกายและทรัพยากรล้ำค่าที่จำเป็นในการเลื่อนระดับพลังวิญญาณรวมไปถึงวิสัยทัศน์ของเจ้าสำนัก สิ่งต่างๆ เหล่านี้นั้นล้วนมีผลในการบ่มเพาะทั้งสิ้น..."
"สำนักศึกษาในมหาทวีปบูรพานี้นับได้ว่ามีอยู่มากมายไม่น้อย เพียงเเต่สำนักใหญ่ที่มีชื่อเสียงและผู้คนในโลกยุทธภพให้การยอมรับมีเพียงห้าสำนักเท่านั้น นั่นคือสำนักศึกษาเวหาธาราสวรรค์ สำนักศึกษาพิภพเทวะนิรันดร์ สำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ สำนักศึกษาหมื่นเพลิงอัสนีและสำนักศึกษาอาศรมบรรพต..." หวังจิ่งหลงอธิบายเพื่อให้ทั้งสองคนเข้าใจมากยิ่งขึ้น
"สำนักศึกษาเเรกนั่นคือสำนักศึกษาเวหาธาราสวรรค์ สำนักนี้ตั้งอยู่ทางบริเวณมหานทีกว้างใหญ่อันเป็นหัวใจหลักของทวีปบูรพาเเห่งนี้ พื้นที่โดยรอยหลายหมื่นลี้เต็มไปด้วยลมปราณอันบริสุทธิ์ของธาตุน้ำ เรียกได้ว่าพื้นที่โดยรอบนั้นเต็มไปด้วยผืนน้ำอย่างเเท้จริง การจะเข้าทดสอบนั้นไม่ง่ายเท่าใดนักด้วยเพราะการเปิดสำนักในเเต่ละครั้งเพื่อรับศิษย์ใหม่ค่ายกลใดก็ไม่สามารถใช้การได้ ดังนั้นวิธีการเดินทางเพียงอย่างเดียวนั่นคือการนั่งเรือมุ่งสู่ใจกลางของมหานทีอันเป็นที่ตั้งของสำนักศึกษาระหว่างทางนั้นไม่ได้ราบเรียบง่ายดายอย่างแน่นอน..."
"สำนักศึกษาที่สองคือ สำนักศึกษาพิภพเทวะนิรันดร์ สำนักนี้ตั้งอยู่ตรงบริเวณส่วนทิศตะวันออกของทวีป แน่นอนว่าอากาศบริเวณนั้นค่อนข้างจะแห้งแล้งเต็มไปด้วยภูเขาสูงชันอันตรายไม่น้อย การเดินทางด้วยสัตว์อสูรที่บินได้และเคล็ดวิชาตัวเบาต่างถูกสะกดเมื่อเข้าสู่เขตพื้นที่ของสำนัก ดังนั้นกำลังกายอันเเข็งแกร่งและหัวใจที่มั่นคงเท่านั้นจะนำพาไปถึงที่ตั้งของสำนักศึกษาได้..."
"สำนักศึกษาที่สามคือ สำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ สำนักนี้ตั้งอยู่ตรงบริเวณทางตอนเหนือสุดของมหาทวีป โดยรอบเต็มไปด้วยความรุนแรงสายลมจนก่อเกิดพายุขนาดใหญ่ ตัวของสำนักเองตั้งอยู่บนธาราน้ำเเข็งขนาดใหญ่สภาพอากาศนั้นกล่าวได้ว่าเลวร้ายอย่างถึงที่สุด เหมันต์สีขาวบริสุทธิ์ตกอยู่ตลอดเวลาแต่ภายในสำนักได้ติดตั้งมหาค่ายกลเพื่อให้อากาศในสำนักนั้นอบอุ่นเย็นสบายไปไม่ต่างไปจากส่วนกลางของทวีป หากว่าผู้ฝึกตนใดที่มีพลังธาตุลมที่ไม่เเข็งแกร่งเพียงพอที่จะฝ่าฝันไปถึงที่ตั้งของสำนักศึกษานั้นย่อมหมายความว่าคนผู้นั้นไม่มีคุณสมบัติเริ่มต้นที่จะสามารถเข้าร่วมได้นั่นเอง..."
"สำนักศึกษาที่สี่คือ สำนักศึกษาหมื่นเพลิงอัสนี สำนักนี้ตั้งอยู่ตรงบริเวณทางทิศใต้ของมหาทวีปบูรพาเเห่งนี้ บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยหุบเหวลึกน้อยใหญ่ที่แผ่ความร้อนจากใต้พิภพออกมาอย่างต่อเนื่องรุนแรงในปีหนึ่งนับว่าหลายร้อยครั้งเลยทีเดียวด้วยสภาพอากาศที่โหดร้ายเช่นนี้หาได้ส่งผลต่อผู้ฝึกตนพลังธาตุไฟเเต่อย่างใด เพราะทางสำนักเองได้มีเคล็ดวิชาประจำสำนักที่สามารถชักนำเพลิงร้อนเหล่านั้นยกระดับพลังวิญาณได้อย่างไร้ซึ่งผลกระทบทั้งสิ้น..."
"สำนักสุดท้ายนั่นคือ สำนักศึกษาอาศรมบรรพต สำนักนี้ตั้งอยู่ตรงบริเวณทางทิศตะวันตกของมหาทวีปแน่นอนว่าผู้ฝึกตนที่เข้าร่วมนั้นจะต้องออกบวชถือศีล อยู่ในศีลธรรมอันดีครองตนอยู่ในวิถีของบรรพชิตที่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลก ปฏิบัติคำสอนที่ถูกถ่ายทอดในสำนักรุ่นต่อรุ่นอย่างเคร่งครัด เเต่ตาไม่แนะนำให้เจ้าทั้งสองคนเข้าร่วม ฮ่าฮ่าฮ่า" หวังจิ่งหลงเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดี
"ตาคิดว่าพวกเจ้าทั้งสองคนเหมาะสมที่จะเข้าร่วมกับสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ เหตุผลหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นที่ตั้งของสำนักที่เป็นประโยชน์ต่อพวกเจ้าทั้งสอง ความปลอดภัยก็นับว่าขึ้นชื่อยิ่งนักทั้งค่ายกลป้องกันระดับสูงนับไม่ถ้วนและสภาพอากาศโดยรอบที่เปรียบดั่งค่ายกลธรรมชาติอีกทั้งเจ้าสำนักเองก็นับได้ว่าเป็นยอดฝีมือพลังวิญญาณระดับเทพสวรรค์วิญญาณที่เเข็งแกร่งเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมผู้หนึ่ง..."
"ในสำนักศึกษามีผู้อาวุโสที่มีความสามารถมากมายหลายด้านการจัดการภายในค่อนข้างดี ยุติธรรมไม่น้อย แม้กระทั่งผู้ฝึกตนที่มีชื่อเสียงอย่าง 'เจ้ายุทธภพหยางเซิง' หนึ่งในห้าของเจ้ายุทธภพสูงสุดในมหาทวีปบูรพาเเห่งนี้ยังรั้งอยู่ในตำแหน่งผู้อาวุโสประจำการ ไม่รวมไปถึงผู้ฝึกตนที่มีชื่อเสียงอีกมากที่อยู่ในนั้น หากว่าเจ้าทั้งสองคนสามารถเข้าร่วมเป็นศิษย์ของสำนักศึกษานี้ได้นอกจากความก้าวหน้าของระดับพลังวิญญาณเเล้วนั้น พวกเจ้ายังมีโอกาสได้ศึกษาเรียนรู้ศาสตร์ต่าง ๆ เพิ่มเติมอีกด้วย..."
"เพียงเเต่ว่าการเข้าร่วมทดสอบเข้าสำนักนี้ไม่ได้ง่ายดายเท่าไหร่ รูปแบบของการทดสอบยังแปรเปลี่ยนไม่เหมือนเดิมในทุกปี นั่นจึงทำให้ในการเปิดรับศิษย์ใหม่ ผู้ที่ผ่านการทดสอบมีเพียงไม่ถึงยี่สิบคนนับว่าเป็นจำนวนที่น้อยจนน่าตกใจเเต่นั่นก็คือสุดยอดผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์อย่างเเท้จริง แม้จะลำบากไม่น้อยเเต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จำนวนมากเลยทีเดียวที่ต้องการเข้าร่วมสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้..."
หนิงอ้ายกับลู่ซีนั้นคิดตามคำแนะนำที่ท่านตาของตนบอกกล่าวมาทั้งหมดก็รู้สึกเห็นด้วยเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าท่านตาของพวกเขานั้นต่างคิดอย่างรอบคอบถี่ถ้วนดีแล้วถึงสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขาทั้งสอง "พวกข้าทั้งสองคนจะเข้าร่วมสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ขอรับ...''
หวังจิ่งหลงเมื่อได้ยินคำตอบหลานชายทั้งสอง ใบหน้าหล่อเหลาที่ภายนอกยังดูเป็นเพียงชายวัยกลางคนได้เผยรอยยิ้มออกมาแสดงความพึงพอใจยิ่ง ด้วยเพราะว่าสิ่งที่ตนได้พูดออกไปในก่อนหน้านี้คือความเป็นห่วงหวังดีที่ตัวเขานั้นเต็มใจมอบให้กับเด็กหนุ่มทั้งสองคนโดยไม่หวังสิ่งใดตอบเเทนทั้งสิ้น
ทางฝั่งของเหมยฮวาและเยว่ซินนั้นส่งสายตาหันมองไปทางฝั่งของบุรุษต่างวัยทั้งสามคนตรงหน้า ที่ในตอนนี้ต่างพากันพูดคุยเเลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันอย่างถูกคอ เสียงหัวเราะที่พวกนางได้ยินตลอดการสนทนาในห้องโถงแห่งนี้ ภายในใจของพวกนางนั้นเต็มไปด้วยความสุขเป็นอย่างมาก ภาพในวันวานที่มีพวกเขาสามคนพ่อ เเม่ ลูกตระกูลหวังที่ในเวลาว่างมักจะนั่งพูดคุยสอบถามความเป็นไปต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นและปรึกษากันในทุกเรื่อง เเต่ทว่าวันนี้ภาพในอดีตวันวานครั้งนั้นได้ถูกเเทนทับด้วยภาพตรงหน้าที่มีพวกเขาทั้งห้าคนเเทนช่างเป็นเรื่องสิ่งที่ดียิ่งนัก...
"ทางสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์จะเปิดให้ผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ได้ร่วมทดสอบเข้าสำนักในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้านี้ จากแคว้นเต่าดำนั้นต้องใช้เวลาหลายสิบวันเลยทีเดียวกว่าที่พวกเจ้าทั้งสองคนจะเดินทางไปถึงหมู่บ้านที่อยู่ติดกับเขตชั้นนอกของสำนักเพื่อเตรียมตัวเข้าร่วมทดสอบ..."
"พรุ่งนี้เจ้าทั้งสองคนยังต้องเข้าร่วมพิธีนำรายชื่อเข้าเเผนผังตระกูลหวังสายหลักของเราอีกด้วย ดังนั้นหลังจากเสร็จงานพิธีนี้อีกเพียงสองวันเวลาที่เหลือจากนี้ตาจะช่วยพวกเจ้าทั้งสองคนให้ทะลุอีกขั้นของเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาให้ได้เเล้วกัน..." หวังจิ่งหลงเอ่ยขึ้นด้วยความกังวลเล็กน้อย ด้วยเพราะทุกสิ่งนั้นดูกระชั้นชิดเป็นอย่างมาก
หลังจากพูดคุยกันเสร็จสิ้น ทางฝั่งของหวังจิ่งหลง หนิงอ้ายกับลู่ซีทั้งสามคนต่างขอเเยกตัวเพื่อจะไปยังหอตำราและคลังยุทธ์ของตระกูล ทางฝั่งของเหมยฮวากับเยว่ซินเองก็ได้เเยกตัวไปตรวจความเรียบร้อยของงานพิธีที่จะถูกจัดขึ้นตรงหอบรรพชนของตระกูลหวังในวันพรุ่งนี้ อีกทั้งยังให้บ่าวอีกส่วนหนึ่งเตรียมข้าวของต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับเด็กหนุ่มทั้งสองคนในการเดินทางไปเข้าร่วมทดสอบของสำนักศึกษาอีกด้วย
หวังจิ่งหลงเดินนำเด็กหนุ่มทั้งสองมุ่งตรงไปยังหอตำราในทันที ภายในพื้นที่ของตระกูลหวังนั้นมีพื้นที่กว้างใหญ่ มีอาคารต่าง ๆ มากมาย รูปทรงสวยงามพิถีพิถัน ดอกไม้หลากสายพันธ์สีสันต่างชูช่ออย่างสวยงามเเสดงถึงความใส่ใจของผู้ดูเเล อีกทั้งภายในจวนต่างมีต้นไม้น้อยใหญ่มากมายให้ความร่มรื่นสร้างความสดชื่นอยู่ไม่น้อย สระบัวขนาดใหญ่กลางจวนที่มีศาลาแปดเหลี่ยมอยู่โดยรอบสองถึงสามหลัง ช่างสมกับที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำยิ่ง หลังจากเดินทางด้วยเวลาเพียงครึ่งก้านธูปพวกเราทั้งสามคนก็มาถึงจุดหมายพอดี...
หอตำราและคลังยุทธ์ของตระกูลหวังเป็นอาคารจีนทรงห้าเหลี่ยมห้าชั้น ทำขึ้นจากหินหยกผลึกธาราสวรรค์สีเขียวอ่อนแซมขาวไปทั้งตัวอาคารส่งกลิ่นอายล้ำลึกออกมาจนสามารถสัมผัสได้ หินหยกธาราสวรรค์ที่นำมาสร้างหอตำรานี้ต่างเป็นวัสดุก่อสร้างที่ล้ำค่าหายากยิ่งในยุทธภพ ดังนั้นด้วยความพิเศษพิศดารเช่นนี้จึงทำให้หินหยกนี้เป็นที่ต้องการเป็นอย่างมากหาได้ยากที่จะมีในครอบครองได้ในสายตาของคนทั่วไป...
สำหรับหอตำราและคลังยุทธ์ของตระกูลหวังทั้งห้าชั้นนั้นประกอบไปด้วยดังนี้
โดยชั้นที่หนึ่งจะเป็นชั้นของตำราศึกษารวมไปถึงเคล็ดวิชาหลากหลายรูปแบบโดยถูดจัดเเยกเป็นหมวดหมู่เพื่อง่ายต่อการค้นหาซึ่งมีตำราที่เป็นประโยชน์ทั้งตำราพื้นฐานและตำราหายากเช่นตำราพลังวิญญาณ เคล็ดวิชาของพลังธาตุในแต่ละสายรวมไปถึงตำราการศึกและการต่อสู้ต่าง ๆ ถูกจัดเก็บไว้ในชั้นนี้
ชั้นที่สองจะเป็นชั้นที่เก็บยันต์เวทย์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นยันต์โจมตี ยันต์ค่ายกลหรือ ม้กระทั่งยันต์ทำความสะอาดรวมไปถึงของวิเศษเสริมพลังธาตุต่าง ๆ ก็อยู่รวมในชั้นนี้ ถึงแม้ว่าธาตุหลักประจำตระกูลหวังจะเป็นธาตุน้ำเเต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีลูกหลานในตระกูลที่มีพลังธาตุอื่นเช่นกันดังนั้นของวิเศษมากมายเหล่านี้จึงมีพลังธาตุที่หลากหลายให้เลือกสรรนั่นเอง
ชั้นที่สามจะเป็นคลังยุทธ์ไม่ว่าจะเป็นเสื้อเกราะป้องกัน เสื้อเกราะโจมตี เสื้อเกราะเสริมพลังธาตุหรือพวกอาวุธวิเศษรวมไปถึงพวกอาวุธทั่วไปเช่นกระบี่ ดาบ ธนูซึ่งมีตั้งเเต่ระดับต่ำไปถึงระดับสูงแต่ถึงอย่างนั้นชั้นที่สามของหอตำราและคลังยุทธ์จะเปิดก็ต่อเมื่อมีการประลองแย่งชิงตำแหน่งผู้นำตระกูลหรือยามมีเหตุจำเป็นเท่านั้นหรือบางทีหากว่ารุ่นเยาว์ในตระกูลหวังที่มากไปด้วยความสามารถก็อาจจะได้รับของรางวัลในชั้นนี้ได้เช่นกันเเต่สุดท้ายแล้วจะได้ครอบครองสิ่งใดก็ขึ้นอยู่กับการยอมรับของเหล่าอาวุธวิเศษเหล่านี้นั่นเอง
ชั้นที่สี่จะเป็นพวกโอสถตั้งแต่ระดับต่ำไปถึงระดับสูงที่มีคุณสมบัติธรรมดาสามัญไปตั้งเเต่โอสถเเก้ฟกช้ำ โอสถห้ามเลือด โอสถแก้พิษรวมไปถึงโอสถสูตรพิสดารที่สามารถช่วยยกระดับพลังวิญญาณสองถึงสามขั้นชั่วคราวหรือโอสถเเปลงร่าง แน่นอนว่าสมุนไพรหายากต่าง ๆ อีกทั้งสิ่งของที่จำเป็นสำหรับการปรุงโอสถก็มีในชั้นนี้ด้วยเช่นกัน
ชั้นสุดท้ายหรือชั้นที่ห้านี้จะเป็นชั้นที่มีการเก็บรวบรวมผลึกธาตุ ที่มีตั้งเเต่ระดับต่ำไปถึงระดับสูงซึ่งนับว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับผู้ฝึกตนยิ่งนัก เพราะในการเพิ่มระดับพลังวิญญาณในระดับที่สูงขึ้นนอกจากจะต้องอาศัยพรสวรรค์และความมุ่งมั่นของผู้ฝึกตนเเล้วนั้นปัจจัยภายนอกเหล่านี้นับว่าเป็นอีกหนึ่งส่วนที่สำคัญไปไม่น้อยเช่นเดียวกัน...
" คารวะท่านประมุขตระกูลหวัง คุณชายใหญ่ คุณชายเล็ก มิทราบว่ามีสิ่งใดให้รับใช้หรือขอรับ..." ภายในหอตำราเเห่งนี้มีผู้อาวุโสคอยดูเเลอยู่ เมื่อเห็นผู้เข้ามาใหม่ทั้งสาม จึงรีบเข้ามาต้อนรับด้วยความยินดี
"ข้าเพียงมาส่งหนิงเอ๋อร์กับลู่เอ๋อร์หาตำราเท่านั้น ไม่รบกวนผู้อาวุโส..." หวังจิ่งหลงตอบกลับไป
"เช่นนั้นเชิญทั้งสามท่านด้านในขอรับ ขาดเหลือสิ่งใดสามารถแจ้งข้าได้ขอรับ!!" ผู้อาวุโสเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
หวังจิ่งหลงแนะนำอีกเล็กน้อยว่าตำราประเภทใดอยู่ตรงไหน เเต่ละชั้นมีความสำคัญอย่างไรแล้วจึงขอตัวกลับไปก่อน ปล่อยให้ทั้งสองคนอยู่ในหอตำราต่อไป ซึ่งหนิงอ้ายกับลู่ซีนั้นต่างเเยกย้ายกันดูตำรา เคล็ดวิชาที่ตนสนใจไปกันคนละชั้นและนัดเจอกันตรงชั้นล่างในอีกหนึ่งชั่วยามหลังจากนี้
สำหรับหนิงอ้ายนั้นเขามีคัมภีร์เบญจธาตุที่ได้รับมาพร้อมกับการปลุกพลังเวทย์ในตอนนั้นเเล้ว เเต่ด้วยความพิเศษพิศดารจึงทำให้เขายังไม่สามารถเข้าศึกษาได้เพราะนอกจากผู้ที่ศึกษาคัมภีร์เบญจธาตุนั้นจะต้องมีสายเลือดตระกูลหวังที่เข้มข้นเเล้ว หากมีพลังวิญญาณยังไม่ถึงระดับจักรพรรดิก็จะไม่สามารถศึกษาเนื้อหาภายในได้ เเต่ว่าในตอนนี้เขานั้นมีคุณสมบัติที่จะศึกษาได้เเล้ว ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะศึกษาคัมภีร์เบญจธาตุเล่มนี้เพียงอย่างเดียวเท่านั้นเพราะเขาคิดว่าหากศึกษาได้สำเร็จมีความเป็นไปได้สูงทีเดียวที่เขาจะสามารถใช้พลังธาตุได้ทั้งห้าธาตุตามตำรานั่นเอง...
ดังนั้นหนิงอ้ายจึงเลือกที่จะศึกษาเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานของพลังลมปราณ พลังวิญญาณ และพลังธาตุก่อนด้วยเพราะเขาพึ่งฝึกตนได้เพียงปีกว่าเท่านั้น ถึงแม้จะได้ศึกษาบทเวทย์ เคล็ดวิชาระดับสูงเเต่ความรู้พื้นฐานเขายังไม่ได้ลงลึกเท่าไหร่ เพราะหนิงอ้ายเชื่อหากหากเข้านั้นมีความเข้าใจในพื้นฐานของทุกอย่างนั้นก็จะง่ายต่อการพัฒนาได้อย่างมั่นคงเเข็งแกร่ง...
หนิงอ้ายกับลู่ซีใช้เวลาอยู่ในหอตำราเพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้นตามที่ได้ตกลงกันไว้เมื่อถึงเวลาก็มาตรงจุดนับพบโดยทันที ซึ่งทางฝั่งของหนิงอ้ายนั้นได้เลือกตำรามานับสิบกว่าเล่มเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานทั้งหมดเพื่อที่จะไปศึกษาเพิ่มเติม ทางฝั่งของลู่ซีนั้นได้เลือกตำราเกี่ยวกับพลังธาตุน้ำและเคล็ดวิชาระดับสูงอีกสองสามบทในการศึกษาเพิ่มเติม ด้วยเพราะรู้ตัวว่าฝีมือของเขาในตอนนี้ยังไม่เพียงพอที่จะปกป้องหนิงอ้ายได้ ดังนั้นเขาต้องฝึกฝนให้มากที่สุดเมื่อแจ้งจำนวนตำราที่นำออกจากหอตระกูลหวังกับผู้อาวุโสท่านเดิมเสร็จเเล้วนั้น เมื่อถึงเรือนพักเเล้วทั้งสองคนจึงเเยกย้ายกลับห้องของตนเพื่อศึกษาตำราต่อนั่นเองหนิงอ้ายใช้เวลาทั้งวันไปกับการศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับพลังลมปราณ พลังวิญญาณและพลังปราณธาตุที่เป็นความรู้พื้นฐานทั้งหมด เมื่ออ่านจบเเล้วทำให้เขานั้นมีความเข้าใจมากยิ่งขึ้น เมื่อเดินพลังลมปราณและปรับการหมุนเวียนของร่างกายให้มั่นคงสมดุลชักนำลมปราณฟ้าดินเข้ามากักเก็บเป็นพลังวิญญาณในร่างกายให้เเข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นหลายเท่าเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆานั้นนอกจากจะเป็นวิชาตัวเบาที่ขึ้นชื่อเเล้วเเต่สิ่งที่แฝงตามมาจากเคล็ดวิชา
เช้าวันรุ่งขึ้นบ่าวในจวนตระกูลหวังค่อนข้างที่จะวุ่นวายในการจัดเตรียมหลายสิ่งอย่างอยู่บ้างเเต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงเป็นไปด้วยความเรียบร้อยตามกำหนดการที่คาดเอาไว้ นอกจากนี้ทางตระกูลหวังได้มีการส่งสารให้บรรดาตระกูลหวังสายรองและสายย่อยที่อยู่ไปทั่วทั้งแคว้นเต่าดำให้มายังจวนตระกูลหวังสายหลักในวันนี้เพื่อเป็นสักขีพยานสำหรับพิธีการนำรายชื่อของหนิงอ้ายกับลู่ซีเข้าสู่ผังทำเนียบตระกูลหวังสายหลักตามประเพณีสืบทอดของตระกูลที่มีมาอย่างยาวนานหากเป็นการนำรายชื่อคุณชายหนิงอ้ายเข้าในแผนผังตระกูลหวังสายหลักนั้นกล่าวได้นับสมควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเพราะคุณชายหนิงอ้ายนั้นเกิดจากท่านหญิงเยว่ซินซึ่งเป็นบุตรีเพียงหนึ่งเดียวของประมุขหวังจิ่งหลงและฮูหยินเหมยฮวาแห่งตระกูลหวังสายหลักดังนั้นฐานะของเด็กหนุ่มนั้นคือหลานชายสายตรงของตระกูลที่มีสิทธิในตำแหน่งว่าที่ประมุขตระกูลหวังสายหลักคนต่อไป ด้วยฐานะทางสายเลือดชาติกำเนิดอันสูงส่งที่ไม่สามารถปฏิเสธได้เเล้วนั้น คุณชายหนิงอ้ายผู้นี้ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยฝีมือพรสวรรค์ที่โดดเด่นกว่ารุ่นเยาว์ในวัยเดียวกันยิ่งนักในการประลองเวทย์ที่พึ่งจบไป อีกฝ่ายได้เเสดงให้เห็นถึงทักษะกา
ต้องบอกก่อนว่าผู้อาวุโสทุกคนที่หวังจิ่งหลงได้เรียกเข้ามาพูดคุยในครั้งนี้นั้นต่างมีตำแหน่งหน้าที่สำคัญในตระกูลหวังเป็นอย่างยิ่ง ผู้อาวุโสเหล่านี้ต่างเป็นบุคลที่เปรียบดั่งเสาหลักอันเเข็งแกร่งที่ค้ำจุนตระกูลหวังให้ยืนหยัดมั่นคงมายาวนานหลายร้อยปีเลยทีเดียวบางคนนั้นก็เป็นถึงหนึ่งในอดีตว่าที่ประมุขของตระกูลเมื่อครั้งนานมาเเล้ว บ้างก็เป็นตาเฒ่าประหลาดที่มีพลังวิญญาณระดับครึ่งเซียน บ้างก็เป็นเชื้อสายตระกูลหวังที่มีความโดดเด่นด้วยพรสวรรค์ที่มาพร้อมกับความเข้มข้นของสายเลือดมากกว่าคนทั่วไปในตระกูล ถึงแม้ว่าสายเลือดจะไม่เข้มข้นเท่ากับหนิงอ้ายก็จริง เเต่ในวันข้างหน้าหากสามารถยกระดับสายเลือดได้นั้นย่อมหมายถึงว่ากลุ่มคนเหล่านี้ ก็สามารถที่จะปลุกพลังสายเลือดของพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์ได้อย่างแน่นอนด้วยฐานะที่พวกเขาทั้งหลายต่างถือครองอยู่ในตระกูลหวังนับว่าเป็นตำแหน่งที่สำคัญและเป็นที่นับหน้าถือตาเป็นอย่างมาก ดังนั้น ผู้อาวุโสเหล่านี้ย่อมเคยอ่านบันทึกและรับรู้ถึงความเป็นมาของ ตระกูลหวังเป็นอย่างดี ว่าเเท้ที่จริงเเล้วว่าตระกูลหวังนั้นมีต้นกำเนิดความเป็นมาเช่นไร แม้ในเนื้อหาจะไม่ปรากฎสาเหตุของควา
ภายในห้วงจิตเหนือทะเลลมปราณของหนิงอ้ายพลันปรากฏเป็นเงาร่างของราชันย์วิหคอัคคีมายาขนาดเท่าตัวจริงที่มีเปลงเพลิงสีแดงลุกท่วมไปทั้งตัวที่เเสดงอาการดุร้ายอาฆาตพร้อมที่จะเข้ามาโจมตีเขาในทุกเมื่อ เเต่ชั่วพริบตาเดียวเงาร่างของอสรพิษเหมันต์บรรพกาลใหญ่โตน่าเกรงขามที่แผ่กลิ่นอายความเย็นเยือกออกมาโดยรอบพลันปรากฎขึ้น เงาร่างของพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์ก็ปรากฏอยู่ตรงด้านข้างแม้ว่าตอนนี้จะมีรูปลักษณ์เป็นเพียงหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์ตัวน้อยเเต่ทว่าเปลวเพลิงสุริยะธาตุอันเป็นต้นกำเนิดเเห่งธาตุไฟบริสุทธิ์ที่เเผ่พุ่งออกมารอบตัวนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอันพิศดารที่ไม่สามารถดูเเคลนอันใดได้ไม่ต้องให้หนิงอ้ายเอ่ยสิ่งใดทั้งสิ้นเงาร่างของสัตว์อสูรทั้งสองนั้นต่างพุ่งเข้าโจมตีและกัดกินจิตอาฆาตของอสูรราชันย์วิหคอัคคีมายาในทันที เเสงสีฟ้าอันเกิดจากอสรพิษเหมันต์บรรพกาล เเสงสีเเดงทองอันเกิดจากพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์ได้ประสานหล่อหลอมเป็นกรงกักขังสามสีขนาดใหญ่มีดวงจิตของราชันย์วิหคอัคคีมายาไว้ด้านใน เปลวเพลิงแห่งอัคคีและพิษเหมันต์ต่างเข้าโรมรันโจมตีอย่างต่อเนื่องเพียงชั่วครู่เดียวดวงจิตอาฆาตของราชันย
พื้นที่โดยรอบในรัศมีสองลี้ ปรากฎเป็นโดมอัคคีสีขาวคลอบคลุมบริเวณโดยรอบเอาไว้อย่างแน่นหนา ม่านปราการของเขตแดนปราการอัคคีเหมันต์นี้มีความเเข็งแกร่งเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังปิดกันการรับรู้และปกปิดสายตาของผู้ที่อยู่ภายนอกได้ทั้งสิ้น มากไปกว่านั้นบทเวทย์เขตแดนนี้ยังส่งผลให้ผู้ฝึกตนที่มีพลังปราณธาตุน้ำ ที่เป็นฝั่งศัตรูตรงข้ามนั้นต่างได้รับผลกระทบ โดยที่พลังวิญญาณจะลดลงครึ่งหนึ่งทำให้เกิดความได้เปรียบยิ่งนักกับสถานการณ์เช่นนี้เป็นอย่างมากบทเวทย์เขตแดนนี้แม้จะเต็มเปี่ยมไปด้วยข้อดีที่ได้เปรียบเป็นอย่างมากก็จริง ถึงอย่างไรนั้นข้อเสียของบทเวทย์เขตแดนนี้คือผู้ที่ร่ายบทเวทย์จะสูญเสียพลังลมปราณเป็นอย่างมาก หนิงอ้ายที่ตอนนี้แม้จะเป็นผู้ฝึกตนราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณขั้นสูงที่มีรากฐานบ่มเพาะเเข็งแกร่ง เเต่ด้วยความแตกต่างของพลังวิญญาณและระดับของบทเวทย์ก็ทำให้หนิงอ้ายนั้นถูกดูดพลังวิญญาณออกไปจนสามารถเห็นได้ชัดด้วยตาเปล่าเลยทีเดียว"ทำให้ข้าเห็นว่าพวกเจ้ามีความสามารถฝ่าเขตแดนของข้าออกไปได้อย่างไร?? " หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับยกกระบี่วารีหมอกรุ้งพิสุทธิ์เหมันต์พุ่งเข้าโจมตีอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว เมื่อเป็นเช่นนั
"เป็นอย่างไรบ้างเจียวซิ่น รับรางวัลของเจ้าได้แล้ว..." หนิงอ้ายใช้ฝ่ามือลูบไปยังส่วนที่คล้ายกับลำต้นไปเบา ๆ พร้อมกับผายมือไปทางฝั่งของร่างไร้วิญญาณของเหล่านักฆ่าสังหารที่ถูกรวบรวมไว้ตรงจุดเดียวกันตรงด้านหน้า รยางค์สีเขียวน้ำตาลเข้มนับร้อยเส้นได้พุ่งเข้าจับร่างไร้วิญญาณเหล่านี้อย่างแน่นหนา ก่อนจะถูกดึงเข้าสู่กับดักบุปผามรณะที่ตอนนี้กำลังชูช่อเบ่งบานอยู่โดยรอบ กลิ่นหอมเย้ายวนล่องรอยตามสายลมชวนให้ผ่อนคลายจิตใจแก่ผู้พบเห็น ถึงแม้ว่าหนิงอ้ายกับลู่ซีจะเคยเห็นภาพตรงหน้านี้แล้วหลายครั้งยังอดที่จะชื่นชมไม่ได้แต่สำหรับองครักษ์ทั้งสี่คนต่างถูกมอมเมาด้วยภาพตรงหน้าและกลิ่นหอมอันเย้ายวนชวนหลงไหลจนยากที่จะต้านทานได้ของกับดักดอกไม้มรณะของเจียวซิ่น เเต่ถึงอย่างนั้นทุกคนในที่นี้ต่างเป็นผู้ที่มีความสามารถอย่างแท้จริงและมีจิตสัมผัสที่ดีเยี่ยมจากการฝึกฝนอย่างหนักของตระกูลหวังดังนั้นเพียงชั่วครู่ทุกคนต่างรู้สึกตัวและรับรู้ได้ว่าภาพตรงหน้านี้ไม่ต่างไปจากความงดงามที่อันตรายยิ่ง"ดูเหมือนว่าร่างไร้วิญญาณของนักฆ่าเหล่านี้จะช่วยพัฒนาและยกระดับพลังของอสูรพฤกษาของคุณชายเล็กได้ใช่หรือไม่ขอรับ?? "ชายหนุ่มที่เป็นหัว
สำหรับสัตว์อสูรทั่วไปนั้นในการเลื่อนระดับพลังวิญญาณนั้นจะสามารถเพิ่มระดับในขั้นถัดไปด้วยการดูดซับแก่นพลังธาตุได้ อีกทั้งระดับของพลังวิญญาณที่เพิ่มขึ้นของนายแห่งพันธะย่อมส่งผลต่อสัตว์อสูรในครอบครองเช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้นแล้วสำหรับเจียวซิ่นด้วยสิ่งเหล่านี้นับได้เลยว่ายังไม่เพียงพอสำหรับการเลื่อนระดับพลังวิญญาณของมันได้สักเท่าไหร่นัก ด้วยเพราะตัวของเจียวซิ่นนั้นได้เกิดการกลายพันธ์ขึ้นจนผิดแปลกกว่าสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพฤกษาทั่วไป อีกทั้งแต่เดิมนั้นสัตว์อสูรตำนานนับได้ว่าเป็นตัวตนของสัตว์อสูรที่เต็มไปด้วยความลึกลับและอยู่เหนือการรับรู้ความเข้าใจของคนทั่วไปอยู่แล้วดังนั้นในการเลื่อนระดับของเจียวซิ่นจึงต้องใช้ทุกสิ่งที่มีพลังลมปราณหรือพลังเวทย์นำมาดูดซับโดยตรง ซึ่งในร่างกายของสัตว์อสูรและผู้ฝึกตนนั้นต่างเต็มเปี่ยมไปด้วยคุณสมบัติเช่นนี้ไม่ต่างกันแม้สัญชาติญาณดิบเถื่อนของเจียวซิ่นจะยังคงมีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมด้วยเพราะยังไม่ได้อยู่ในระดับที่สูงมากพอจนสามารถเปิดสติปัญญาให้มีความรู้สึกนึกคิดเช่นเดียวกันกับผู้ฝึกตน แต่ถึงอย่างนั้นด้วยความรักเอาใจใส่ของหนิงอ้ายที่มีต่อเจียวซิ่นได้ค่อย ๆ ทำลายสัญ
หนิงอ้ายกับลู่ซีและเหล่าองค์รักษ์ทั้งสี่คนนั้นต่างทะยานตัวออกจากขบวนรถม้าพร้อมกับพุ่งเข้าหากลุ่มของอสูรวานรพันตะนิลกาฬในทันที ในครานี้หนิงอ้ายไม่ได้ทำการร่ายบทเวทย์เขตแดนของตนออกไปเนื่องจากว่าเขานั้นเฝ้ารอบางอย่างอยู่นั่นเองและเฝ้ารอให้อีกฝ่ายนั้นตกหลุมพลางที่ตนได้วางเอาไว้เสียงย่ำเท้าของสัตว์อสูรขนาดใหญ่ดังขึ้นทำเอาพวกเขาทุกคนต่างรู้สึกตกใจอยู่ในไม่น้อย แม้ว่าตอนนี้พวกเขาจะสังหารสัตว์อสูรบริวารเหล่านี้ทั้งหมด ทว่าจิตสังหารที่สัมผัสได้คงเป็นสัตว์อสูรระดับสูงที่มีอายุหลายพันปีหากเป็นเช่นนั้นคงไม่ดีเป็นแน่สิ่งที่พวกเขากังวลได้ปรากฏขึ้นอยู่ตรงหน้า ปรากฏเป็นอสูรวานรพันตะนิลกาฬตัวหนึ่งที่มีอายุไม่เกินสี่พันปี นับได้ว่าเป็นสัตว์อสูรนภาขั้นสูง กลิ่นอายอหังการล้ำลึกเช่นนี้คาดว่าคงเป็นอสูรราชันย์วานรพันตะนิลกาฬนายเป้นแน่ สัตว์อสูรตรงหน้ามีความสูงใหญ่ถึงห้าเมตรที่เต็มไปด้วยจิตสังหารฆ่าฟัน แม้น่าหวั่นเกรงเพียงใดคงมีเพียงหนิงอ้ายเท่านั้นที่ยังคงรักษารอยยิ้มบนใบหน้าของตนเอาไว้ได้"เจ้ามนุษย์ชั้นต่ำ!!! กล้าสังหารลูกน้องของข้านายแห่งเผ่าพันธ์อสูรวานรพันตะนิลกาฬเช่นนั้นรึ?? " สิ้นเสียงดังกึกก้อง พว
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต
มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล
ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย