หนิงอ้ายร่ายบทเวทย์โจมตีและบทเวทย์ป้องกันอย่างเต็มที่ต่อเนื่อง ตอนนี้เวลาผ่านไปกว่าหนึ่งชั่วยามเเล้วจริงอยู่ที่ว่าเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆาของเขานั้นจะสามารถชักนำพลังปราณฟ้าดินบริสุทธ์มาสร้างสมดุลเสริมพลังปราณใช้ในการต่อสู้ได้ เเต่ทว่าความเหนื่อยล้าก็ปรากฏแล้วเช่นกันเล็กน้อย หนิงอ้ายคิดว่าควรที่จะจบการประลองครั้งนี้ได้เสียทีเพราะร่างกายของคนเรานั้นต่อให้เป็นผู้ฝึกตนที่มีความเเข็งแกร่งกว่าคนทั่วไปก็ควรได้รับการฟื้นฟูและพักผ่อนอย่างเต็มที่เช่นกัน
"คุณชายโม่เหรินข้ายินดีที่ได้ประลองกับท่านในครั้งนี้เเต่เป้าหมายของข้ายิ่งใหญ่นักขออภัยที่ต้องล่วงเกิน!!!" หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับยกมือประสานและโค้งคำนับด้วยมารยาทเพราะเขานั้นนับถือฝีมือของอีกฝ่ายจริง ๆ
อัญเชิญบทเวทย์โจมตีเขตแดนมหาดาระกะสยบโลกา!
ครืนนน!
'บทเวทย์เขตแดนระดับเทวะที่ถูกร่ายด้วยผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิขั้นต้นอย่างงั้นรึ?? เหตุใดกลิ่นอายช่างรุนแรงเช่นนี้ได้กัน...' โม่เหรินเมื่อเห็นว่าหนิงอ้ายนั้นเอาจริงเเล้ว ยอมรับตามตรงว่าเขาตกใจไม่น้อยเลยทีเดียวกับบทเวทย์ที่อีกฝ่ายเรียกใช้ กลิ่นอายเช่นนี้คงเป็นบทเวทย์ระดับเทวะขึ้นไปอย่างแน่นอน
ไม่ใช่เรื่องง่ายในการร่ายบทเวทย์ระดับเทวะอิกมาเช่นนี้ ตัวผู้ร่ายบทเวทย์นั้นพลังวิญญาณจะต้องอยู่ในระดับที่สูงมากพอและมีรากฐานที่มั่นคงการร่ายบทเวทย์ระดับเทวะ ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนระดับสูงในการออกบทเวทย์เเต่ละครั้งยังต้องใช้พลังลมปราณไม่น้อยเลยทีเดียว
เปรี้ยง! เปรี้ยง
เกราะป้องกันที่โม่เหรินสร้างขึ้นมาเพื่อต่อต้านและตั้งรับบทเวทย์ของหนิงอ้าย แตกสลายไปอย่างรวดเร็วในการปะทะครั้งนี้ เนื่องจากว่าเขานั้นเหนื่อยล้าและพลังลมปราณเหลือน้อยลงมากเต็มทีดังนั้นจึงส่งผลโดยตรงในการร่ายบทเวทย์ให้มีศักยภาพอ่อนด้อยลงในขณะที่บทเวทย์ที่ถูกร่ายด้วยหนิงอ้ายนั้นยังมีความรุนแรงเท่าเดิม
"ขอบใจที่ยั้งมือ ข้าแพ้เเล้ว!!!" คุณชายโม่เหรินเอ่ยขึ้นพร้อมกับยอมรับความพ่ายแพ้เพราะหากว่าเขาดันทุรังจะประลองต่อนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องที่ดีต่อร่างกายของเขาและไม่อาจฟื้นระดับพลังวิญญาณได้ทันอย่างแน่นอน เพราะเขายังจะต้องประลองในรอบถัดไปดังนั้นเขาจึงยอมยุติเอาไว้เพียงเท่านี้เป็นการดีที่สุด
"ขอบคุณสำหรับคำชี้แนะ!!!" หนิงอ้ายและคุณชายโม่เหรินเอ่ยขึ้นพร้อมกับยกมือประสานขึ้นพร้อมกับโค้งตัวตามมารยาทของผู้ฝึกตนอีกครั้ง
"ผู้ชนะได้แก่คุณชายหวังหนิงอ้ายจากตระกูลหวังเเห่งแคว้นเต่าดำ!!!" ผู้อาวุโสที่รับหน้าที่ดำเนินการประลองประกาศออกมาด้วยเสียงดังกึกก้อง
เฮ!!!!!
ผู้ชมโดยรอบสนามประลองเวทย์นี้ต่างส่งเสียงร้องดังกระหึ่ม เพราะผลการประลองเป็นไปตามที่หลายคนคาดไว้ที่เป็นคุณชายหวังหนิงอ้ายเป็นผู้ชนะ ถึงแม้จะเป็นการประลองของผู้ฝึกตนราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณเดียวกัก็จริง เเต่อย่างไรนั้นการประลองของทั้งคู่ก็จบลงไปอย่างสมศักดิ์ศรีและสร้างความภูมิใจให้แก่ทั้งสองตระกูลยิ่งนักไม่ว่าจะเป็นตระกูลโม่หรือตระกูลหวังรวมไปถึงผู้คนในสนามประลองทุกคนต่างยอมรับฝีมือของผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ทั้งคู่เช่นกัน
"การประลองรอบที่สองได้แก่คุณชายจงเสวียนคุณจากตระกูลจงแห่งแคว้นมังกรเขียวและคุณชายหลิวอี้จากตระกูลหลิวแห่งแคว้นมังกรเขียว!!! " สิ้นเสียงของผู้อาวุโสดำเนินการประลองเอ่ยขึ้นอีกครั้ง คุณชายทั้งสองต่างทะยานตัวลงมากลางสนามประลองหลังจากทำความเคารพตามมารยามของผู้ฝึกตนแล้วจึงเข้าต่อสู้กันอย่างทันที
บรรยากาศของการประลองจะไม่ตื่นเต้นเท่ากับคู่ก่อนหน้า เเต่นับได้ว่าสร้างความตื่นตาให้กับผู้คนโดยรอบสนามประลองยิ่งนัก ด้วยความที่ทั้งคู่นั้นเป็นผู้ฝึกตนราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณขั้นกลางทั้งคู่ ดังนั้นเพียงเเค่ครึ่งชั่วยามก็ทราบผลแพ้ชนะแล้วซึ่งผู้ชนะในรอบนี้นั่นคือคุณชายหลิวอี้จากตระกูลหลิวแห่งแคว้นมังกรเขียวนั่นเอง
การประลองรอบที่สามนั้นเป็นการประลองระหว่างคุณชายลู่ซีแห่งแคว้นเต่าดำกับคุณชายจงเสวียนคุณจากตระกูลจงแห่งแคว้นมังกรเขียว คุณชายจงเสวียนคุณที่พึ่งประลองจบไปเมื่อครู่แม้ว่าจะได้พักฟื้นร่างกายและพลังลมปราณไปเเล้วหนึ่งเค่อ เเต่สุดท้ายเเล้วด้วยความที่การประลองก่อนหน้านั้นกินพลังลมปราณไปไม่น้อยเลยทีเดียวและถึงแม้ว่าบาดแผลตามร่างกายจะถูกรักษาไปสิ้นเเต่ถึงอย่างไรร่างกายก็อ่อนล้าสะสมจนท้ายที่สุดคุณชายลู่ซีก็เป็นผู้ชนะไปได้อย่างไม่ยากเย็นสักเท่าใด
สำหรับการประลองรอบที่สี่เป็นการประลองระหว่างคุณชายโม่เหรินจากตระกูลโม่แห่งแคว้นเสือขาวกับคุณชายหลิวอี้จากตระกูลหลิวแห่งแคว้นมังกรเขียว การประลองในรอบนี้ทั้งสองคนต่างฟาดฟันกันด้วยเคล็ดวิชากระบี่ประจำตระกูลของตนออกมาอย่างไม่อ่อนด้อยรวมไปถึงบทเวทย์ที่นำออกมาใช้นั้นนับว่าคุณชายทั้งสองต่างทุ่มฝีมืออกมามากกว่าการประลองกับคู่ก่อนหน้าของตนทั้งสิ้น
เเต่ด้วยเพราะอาการบาดเจ็บภายในของคุณชายโม่หรานที่ได้รับมาจากการประลองกับหนิงอ้ายยังส่งผลอยู่เล็กน้อยจึงทำให้ผลในการประลองครั้งนี้เป็นคุณชายหลิวอี้ที่เฉือนชนะไปอย่างฉิวเฉียดนั่นเอง ตอนนี้เหลือผู้เเข่งขันสามคนสุดท้ายของการประลองเวทย์ครั้งที่แปดสิบแปด (88) ครั้งนี้ แน่นอนว่าทั้งห้าคนที่ผ่านเข้ารอบมานั้นต่างถูกเรียกว่าเสาหลักแห่งยุทธภพรุ่นเยาว์ทั้งสิ้น ทั้งสามผู้ฝึกตนนั้นที่เหลือนั้นจะต้องลงประลองพร้อมกันในครั้งสุดท้ายเพื่อหาผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียว ได้แก่
คุณชายหวังหนิงอ้ายจากตระกูลหวังแห่งแคว้นเต่าดำ
คุณชายลู่ซีแห่งแคว้นเต่าดำ
และคุณชายหลิวอี้จากตระกูลหลิวแห่งแคว้นมังกรเขียว
"การประลองในรอบสุดท้ายนี้ คุณชายทั้งสามจะต้องลงสนามประลองพร้อมกันเพื่อหาผู้ที่เเข็งแกร่งที่สุด คนสุดท้ายที่เป็นผู้ชนะในสนามประลองจะได้อันดับหนึ่งที่เป็นตำแหน่งสูงสุดนั้นคือเจ้ายุทธภพรุ่นเยาว์ แน่นอนว่าพวกเขานั้นย่อมเป็นหนึ่งในเสาหลักเเห่งยุทธภพรุ่นเยาว์อันขึ้นตรงกับวิหารเทพยุทธ์โดยตรงของยุทธภพทวีปบูรพานี้!!! ""ขอเชิญคุณชายหวังหนิงอ้ายจากตระกูลหวังแห่งแคว้นเต่าดำ คุณชายลู่ซีแห่งแคว้นเต่าดำและคุณชายหลิวอี้จากตระกูลหลิวแห่งแคว้นมังกรเขียวลงสนามประลองได้!!!" สิ้นเสียงของผู้อาวุโสที่รับเป็นผู้ดำเนินการประลองกล่าวจบลงไปนั้นผู้คนต่างพากันส่งเสียงตะโกนออกมาอย่างกึกก้องไปทั่วบริเวณ
สำหรับงานประลองเวทย์ครั้งที่แปดสิบแปด (88) นี้แม้ว่าจะมีรูปแบบการประลองที่แตกต่างออกไปในทุกครั้ง เวลาในการประลองเพียงแค่วันเดียวเท่านั้นซึ่งอาจดูเหมือนใช้เวลาที่ค่อนข้างน้อยเกินไปในการเฟ้นหายอดฝีมือรุ่นเยาว์เเต่ทว่าผู้ฝึกตนที่เข้าร่วมประลองในครั้งนี้นั้นนับว่ามีฝีมือที่โดดเด่นเต็มเปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์
ปรากฎสัตว์อสูรสังกัดปราณพฤกษาในตำนานและสัตว์อสูรมายาที่นับว่าพบเห็นได้ยากไม่แพ้กันอีกหลายตัวที่กล่าวได้ว่าทั่วทั้งยุทธภพทวีปบูรพานี้ก็ไม่อาจพบเห็นได้โดยง่ายรวมไปถึงยอดฝีมือรุ่นเยาว์จากหลากหลายตระกูลที่เป็นต้นกล้าชั้นยอดที่จะค้ำจุนยุทธภพต่อไป...
ตรงใจกลางของสนามประลองเวทย์ที่มีเหล่าคุณชายทั้งสามคนในนามของผู้ประลองสามคนสุดท้ายที่จะแย่งชิงตำแหน่งเจ้ายุทธภพรุ่นเยาว์ของทวีปบูรพาต่างยืนประจันหน้ากันอยู่อย่างสงวนท่าที ถึงแม้ว่าตอนนี้นั้นพวกเขาต่างมีชื่ออยู่ในเสาหลักเเห่งยุทธภพรุ่นเยาว์เเล้วก็จริง เเต่แล้วอย่างไรเล่าเพราะหากว่าพวกเขาได้อันดับหนึ่งของการประลองมาครอบครองได้เส้นทางการเป็นผู้ฝึกตนของเขานั้นจะรุ่งโรจน์เพียงใดก็สุดจะรู้ได้
เพราะด้วยทรัพยากรที่ล้ำค่าไม่ว่าจะเป็นเคล็ดวิชาระดับสูงที่เฉพาะส่งเสริมพลังธาตุ กระดูกวิญญาณของสัตว์อสูรหายากสำหรับการประสานเข้ากับร่างกาย หรือแม้กระทั่งโอสถระดับสูงเพิ่มการบ่มเพาะพลังที่อยู่ในการคลังของวิหารเทพยุทธ์ ดังนั้นการจะสร้างผู้ฝึกตนระดับสูงคนหนึ่งหรือมากกว่านั้นนับได้ว่าไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอะไรเสียด้วยซ้ำ
อีกทั้งไม่ใช่เเค่ตัวของผู้ประลองที่จะได้รับเท่านั้นกล่าวกันว่าสามารถเปลี่ยนตระกูลธรรมดาให้กลายเป็นหนึ่งในตระกูลหลักของแคว้นได้ไม่เกินจริง อีกทั้งจะได้รับความเกรงใจจากกษัตริย์ที่ปกครองแคว้นหลายส่วนเลยทีเดียวดังนั้นจึงคุ้มค่าเป็นอย่างมากในการเข้าร่วมการประลองเวทย์และสามารถแย่งชิงอันดับต้น ๆ มาได้
"ท่านแรกคุณชายลู่ซี ราชทินนามขุนนางวิญญาณขั้นสูง ระดับพลังวิญญาณ29 วิญญาณยุทธ์สายสนับสนุน ตัวแทนจากแคว้นเต่าดำ!!"
เฮ!!!!!
"ท่านที่สองคุณชายหวังหนิงอ้าย ราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณขั้นต้น วิญญาณยุทธ์สายโจมตี ระดับพลังวิญญาณ32 ตัวแทนจากแคว้นเต่าดำ!!!"
เฮ!!!
"และสุดท้ายคุณชายหลิวอี้ ราชทินนามจักรพรรดิวิญญาณ วิญญาณยุทธ์สายโจมตี ระดับพลังวิญญาณ33 จากแคว้นมังกรเขียว!!!"
เฮ!!!!
"การประลองเริ่มได้!!!!" สิ้นเสียงของผู้ดำเนินการประลอง เสียงตะโกนดังขึ้นด้วยความตื่นเต้นสะท้อนไปทั่วทั้งสนามประลอง
"ยินดีที่ได้ประลองกับคุณชายทั้งสองข้าหลิวอี้จากตระกูลหลิวแห่งแคว้นมังกรเขียว..." คุณชายหลิวอี้ประสานมือขึ้นพร้อมกับโค้งตัวเล็กน้อยไปทางฝั่งตรงข้ามที่มีคุณชายทั้งสองคนยืนอยู่อย่างผู้มีมารยาทจากตระกูลใหญ่
"ยินดีเช่นกันที่ได้ประลองกับคุณชายหลิวอี้ข้าลู่ซีแห่งแคว้นเต่าดำ..." ลู่ซีนั้นประจักษ์ถึงความสามารถของอีกฝ่ายในการประลองก่อนหน้าจึงอดไม่ได้ที่จะชื่นชมความเเข็งแกร่งของอีกฝ่ายในใจ จากนั้นเขาจึงประสานมือขึ้นพร้อมกับโค้งตัวเล็กน้อยตามมารยาทของผู้ฝึกตน
"ข้าเองก็ยินดีที่ได้ประลองกับคุณชายหลิวอี้ข้าหวังหนิงอ้ายจากตระกูลหวังแห่งแคว้นเต่าดำขอรับ..." หนิงอ้ายเอ่ยขึ้นและทำการประสานมือพร้อมกับโค้งตัวลงเล็กน้อยตามมารยาทที่ดีของผู้ฝึกตนที่พึงกระทำในการประลอง
"ลู่เกอ เราสองพี่น้องมาร่วมกันสร้างชื่อเสียงให้กับตระกูลหวังด้วยกันนะขอรับ!!" หนิงอ้ายหันตัวไปพูดกับลู่ซีที่ยืนอยู่ด้านข้างกัน
เขารู้ดีว่าไม่ว่ายังไงแล้วอีกฝ่ายคงเลือกที่จะยอมแพ้หากต้องประลองกับเขาจริง ๆ เเต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการและมันย่อมตรงกันข้ามกับสิ่งที่ท่านตาหวังจิ่งหลงได้กล่าวกับเขาทั้งคู่ เพราะว่าการประลองนั้นผู้ฝึกตนควรที่จะแสดงฝีมือที่มีอย่างเต็มที่อย่างสมศักดิ์ศรีของตนออกมาเพื่อเเสดงให้เห็นถึงความสามารถที่มีอยู่นั่นเอง
"ขอคำชี้แนะด้วย!!/ขอคำชี้แนะด้วย!!/ขอคำชี้แนะด้วย!!"เสียงของทั้งสามคนดังขึ้นพร้อมกัน ต่างรีดเค้นพลังลมปราณที่มีเเล้วเริ่มการประลองในทันที!!!
ภาพที่ผู้คนโดยรอบสนามประลองเวทย์นี้ได้เห็นนั้นย่อมเป็นการประลองเวทย์ในรอบสุดท้ายของผู้ฝึกตนที่มีฝีมือและความสามารถสูงสุดสามคนสุดท้ายของงานประลองเวทย์ในครั้งนี้ หากมองจากระดับพลังวิญญาณอันเป็นรากฐานของผู้ฝึกตนในการประลองนั้นนับได้ว่าทางฝั่งของคุณชายลู่ซีมีความเสียเปรียบอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียวเพราะว่าเขานั้นยังอยู่ในระดับพลังขุนนางขั้นสูงเพียงเท่านั้น
ทางฝั่งของคุณชายหนิงอ้ายและคุณชายหลิวอี้นั้นต่างเป็นผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิวิญญาณขั้นต้นทั้งคู่ อาจจะทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำเสียเปรียบไปบ้าง เเต่ด้วยบทเวทย์ระดับสูงที่เคยร่ายออกมาในการประลองก่อนหน้านี้ที่คาดว่าอาจจะเป็นบทเวทย์ระดับสูงหรืออาจเป็นระดับเทวะเสียด้วยซ้ำรวมไปถึงสัตว์อสูรมายาที่คุณชายลู่ซีครอบครองอยู่นับได้ว่าสามารถสร้างแต้มต่อของการประลองได้มากเช่นกัน
ทางฝั่งของคุณชายหลิวอี้นั้นถึงแม้จะเป็นผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิวิญญาณขั้นต้น ทว่าเขานั้นติดอยู่ในขั้นพลังนี้มานานหลายปีเเล้ว ดังนั้นจึงมีความมั่นคงในรากฐานบ่มเพาะที่มากกว่าผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิวิญญาณขั้นต้นทั่วไปนัก สามารถต่อสู้ข้ามขั้นกับผู้ฝึกตนได้อย่างสูสีตามผลประลองที่ทุกคนได้ประจักษ์แก่สายตาในการประลองรอบก่อนหน้า
เหมือนกับว่าคุณชายหลิวอี้ผู้นี้คงได้ทำการประสานร่างกายเข้ากับกระดูกวิญญาณไปเเล้วที่คาดว่าน่าจะเป็นของอสูรเต่าทมิฬนิลกาฬอายุสามพันเก้าร้อยปีที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการป้องกันระดับสูง เมื่อรวมกับบทเวทย์โจมตีที่เเข็งแกร่งและศาสตร์ลับในการผสานกับร่างกายที่ขึ้นชื่อถึงความสามารถในการป้องกันที่เเข็งแกร่งระดับต้น ๆ ก็พอที่จะทำให้เป็นคู่ต่อสู้ฝั่งตรงข้ามโค่นล้มเขาได้ยากยิ่งนัก
สำหรับคุณชายหวังหนิงอ้าย แน่นอนว่าด้วยภาพลักษณ์อันบอบบางราวกับอิสตรีที่รับไปกับใบหน้างดงามที่กล่าวว่าหากเป็นที่สองคงไม่มีใครกล้ายกตนเป็นอันดับหนึ่ง เส้นผมสีขาวเงินสยายอยู่กลางหลังพลิ้วไหวไปกับสายลม แม้ว่าใบหน้างามนั้นจะติดเรียบเฉยไปบ้างเเต่กลับกันแล้วยิ่งส่งเสริมภาพลักษณ์กลิ่นอายความสูงศักดิ์ที่ไม่อาจเอื้อมได้ เเต่ใช่ว่าจะมีสิ่งที่ชื่นชมได้เพียงเท่านี้เพราะความสามารถอันโดดเด่นที่เห็นได้ชัดจากการประลองในรอบที่ผ่าน ๆ มา
ไม่ว่าจะเป็นการออกบทเวทย์ออกมาพร้อมกันถึงสองบทเวทย์ในเวลาเดียวกัน ที่ในยุทธภพทวีปบูรพานี้ไม่เคยปรากฎขึ้น รวมไปถึงเคล็ดวิชากระบี่ที่เเข็งแกร่งและพิสดารสามารถพลิกเเพลงประสานเข้ากับเพลงกระบี่ของคู่ต่อสู้ได้อย่างล้ำลึก ที่สำคัญคือสามารถครอบครองสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพฤกษา แม้ว่าตอนนี้นั้นจะยังไม่ปรากฎให้เห็นถึงความสามารถมากเท่าไหร่นักเเต่ทว่ากลิ่นอายของสัตว์อสูรระดับสูงที่แผ่ออกมากล่าวได้ว่าไม่สามารถดูเบาได้อย่างแน่นอน
คุณชายทั้งสามคนนั้นต่างมีจุดเเข็งและจุดอ่อนที่แตกต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นนอกเหนือจากความเหนือชั้นของเคล็ดวิชาต่าง ๆ รวมไปถึงระกับพลังวิญญาณที่เกื้อหนุนสำหรับการประลองเเล้วนั้นสติย่อมเป็นสิ่งที่สำคัญเช่นกันสุดท้ายเเล้วไม่ว่าคุณชายท่านใดจะเป็นผู้ชนะในการประลองเวทย์ครั้งนี้เเต่ชื่อเสียงและความสามารถนั้นจะปรากฎในโลกยุทธภพของทวีปบูรพาในฐานะของเสาหลักแห่งยุทธภพรุ่นเยาว์อันเป็นที่กล่าวขานในวันข้างหน้าไปอีกนาน...
พรึบ! พรึบ! พรึบ!
ด้านหลังของคุณชายทั้งสามคนปรากฎเป็นวงเเหวนเวทย์ขึ้นมาในทันที ของคุณชายลู่ซีนั้นปรากฎเป็นวงเเหวนสีเขียวเข้มสามวงซ้อนกันด้านหลังอันเป็นสัญลักษณ์ของผู้ฝึกตนระดับขุนนางวิญญาณขั้นสูง สำหรับคุณชายหนิงอ้ายและคุณชายหลิวอี้นั้นปรากฎเป็นวงเเหวนเวทย์สีเหลืองเข้มหนึ่งวงแหวนด้านหลังอันเป็นที่รับรู้ได้ว่าคุณชายทั้งสองคนนั้นเป็นผู้ฝึกตนระดับจักรพรรดิวิญญาณขั้นต้น
หากสังเกตดี ๆ จะพบว่าวงเเหวนเวทย์ด้านหลังของคุณชายหลิวอี้นั้นมีสีที่เข้มกว่าวงแหวนเวทย์ของคุณชายหวังหนิงอ้ายอยู่หนึ่งขั้น นั่นหมายความว่าคุณชายหลิวอี้นั้นใกล้จะทะลุระดับจักรพรรดิวิญญาณขั้นกลางแล้วนั่นเอง
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
เพล้ง!
ฟิ้ว! ฟิ้ว!
ตู้ม!
เสียงของการประทะกันระหว่างเคล็ดวิชากระบี่ของคุณชายทั้งสามที่ตั้งรับจู่โจมเข้าหากันอย่างต่อเนื่อง เสียงสะท้อนของบทเวทย์โจมตีและบทเวทย์ป้องกันนั้นดังก้องไปทั่วทั้งสนามประลองปรากฎเป็นเเสงสีหลากสีสันที่งดงามยิ่งนัก อาจด้วยเพราะคุณชายทั้งสามคนนั้นต่างมีพลังธาตุหลักที่แตกต่างกัน พลังวิญญาณและบทเวทย์ที่ร่ายออกมานั้นจะเป็นสีของพลังธาตุหลักที่มีอยู่นั่นเอง
อัญเชิญบทเวทย์โจมตีวาตะพิฆาตลั่นปฐพี!
ตู้ม!
อัญเชิญบทเวทย์โจมตีธาราสวรรค์ทลายโลกา!
ตู้ม!
อัญเชิญบทเวทย์ป้องกันปราการวารีอหังการ!
ตู้ม!
อัญเชิญบทเวทย์โจมตีมหาบุปผชาติเหมันต์จำแลงลักษณ์!
ตู้ม!
หนิงอ้ายกับลู่ซีนั้นสลับกันร่ายบทเวทย์เพื่อโจมตีทางฝั่งคุณชายหลิวอี้อย่างต่อเนื่องถึงแม้ว่าอีกฝ่ายนั้นจะสามารถตั้งรับการจู่โจมได้และตอบกลับด้วยบทเวทย์โจมตี แต่สุดท้ายแล้วก็ถูกหนิงอ้ายนั้นร่ายบทเวทย์ป้องกันทั้งเขาและลู่ซีในทันที
ศาสตร์ลับกายาผสานอสูรเต่าทมิฬนิลกาฬสำเเดงเดช
พรึบบบ!
เสียงร่ายบทเวทย์โจมตีและบทเวทย์ป้องกันดังก้องไปทั่วทั้งสนามประลองเวทย์ แน่นอนว่าในตอนนี้นั้นลู่ซีกับหนิงอ้ายนั้นต่างร่วมมือกันร่ายบทเวทย์ระดับสูงและสั่งการให้เข้าโจมตีทางฝั่งของคุณชายหลิวอี้อย่างหนักหน่วงรุนเเรง เเม้ว่าอีกฝ่ายจะใช้ศาสตร์ลับกายาผสานอสูรในการเเสดงความสามารถของอสูรเต่าทมิฬนิลกาฬที่ขึ้นชื่อเรื่องการป้องกันระดับสูงเเล้วที่ ในตอนนี้ปรากฏเป็นร่างเงาของอสูรเต่าทมิฬนิลกาฬสีดำเลื่อมครอบทับคุณชายหลิวอี้อยู่อย่างเเน่นหนา คล้ายกับว่าเป็นปราการอสูรเต่าขนาดใหญ่ เเต่เมื่อต้องตั้งรับกับบทเวทย์โจมตีระดับสูงของคุณชายลู่ซีและบทเวทย์ระดับเทวะของคุณชายหนิงอ้าย ก็ทำให้ร่างเงาปราการป้องกันในขณะที่ศาสตร์ลับสำเเดงอำนาจออกมายิ่งถดถอยลงเท่านั้น…
แม้ว่าหลิวอี้จะร่ายบทเวทย์โจมตีไปยังคุณชายทั้งสองอย่างต่อเนื่องกลับไปไม่น้อยเช่นกันเเต่ทางฝั่งของหนิงอ้ายนั้นได้ร่ายบทเวทย์ป้องกันตนเองและลู่ซีในทันท่วงที ทำให้ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีด้วยบทเวทย์ระดับสูงและทรงพลังเเค่ไหนก็ไม่สามารถทำอันตรายกับพวกเขาทั้งสองได้เลยสักนิด เพียงสองเค่อเท่านั้นเกราะป้องกันอันเกิดจากศาสตร์ลับกลืนนภาอสูรเต่าทมิฬนิลกาฬของคุณชายหลิวอี้นั้นไม่สามารถตั้งรับได้ไหวเเล้วและเเตกสลายลงไปในที่สุด"อั๊กกกซ์!!! ข้าขอยอมแพ้คุณชายทั้งสอง เป็นเกียรติยิ่งนักที่ได้ประลองกับพวกท่าน!!" ทางฝั่งของคุณชายหลิวอี้นั้นเอ่ยออกมาด้วยรู้ตัวว่าหากเขานั้นฝืนใช้พลังวิญญาณและศาสตร์ลับกลืนนภาอสูรเต่าทมิฬนิลกาฬต่อไปแม้ว่าจะสามารถตั้งรับได้นานมากกว่านี้เเต่ผลกระทบหลังจากนั้นไม่สามารถคาดเดาได้เพราะอาจจะเกิดความเสียหายไปถึงจิตวิญญาณเลยทีเดียวซึ่งหากเป็นเช่นนั้นแล้วเส้นทางผู้ฝึกตนของเขานั้นคงไม่มีทางก้าวหน้าได้อีก ดังนั้นถึงจะพ่ายแพ้ไปเเต่นับได้ว่าเขานั้นได้สร้างชื่อเสียงของตระกูลหลิวแห่งแคว้นสิงโตเพลิงบนยุทธภพของทวีปบูรพาได้แล้ว อีกทั้งได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในห้าของเสาหลักเเห่งยุทธภพรุ่นเยาว์ที่ขึ
การมอบรางวัลสำหรับผู้ฝึกตนในการประลองเวทย์ครั้งที่แปดสิบแปด (88) ที่ทางแคว้นเต่าดำได้รับเป็นเจ้าภาพในการจัดงานประลองเวทย์ในครั้งนี้ กล่าวได้ว่าดอกผลที่ได้รับจากงานประลองนับได้ว่ามากมายมหาศาลเลยทีเดียวไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงของแคว้นที่เพิ่มขึ้นจากการปรากฎตัวผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่มากไปด้วยพรสวรรค์การปรากฏตัวของสัตว์อสูรนภาที่ว่ากันว่ายากนักที่จะสามารถครอบครอง รวมไปถึงสัตว์อสูรสังกัดปราณธาตุพฤกษาที่มีบันทึกอยู่ในตำราหอบรรพชนเก่าแก่ของเเต่ละตระกูลนั้นหาใช่เป็นเพียงนิทานเรื่องเล่าเท่านั้น เพราะได้ถูกครอบครองโดยผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์คนหนึ่งที่มีพรสวรรค์เหนือชั้นกว่ารุ่นเดียวกันซึ่งผู้ฝึกตนที่ผ่านเข้ามาถึงรอบประลองเวทย์สิบคนสุดท้ายนั้นจะได้รางวัลซึ่งก็คือเหรียญทองหนึ่งพันเหรียญและได้รับบทเวทย์ป้องกันและบทเวทย์โจมตีระดับสูงคนละหนึ่งบทเวทย์นับได้ว่าเป็นผลตอบเเทนที่คุ้มค่ากับการประลองครั้งนี้ยิ่งนักสำหรับห้าอันดับแรกหรือเสาหลักเเห่งยุทธภพรุ่นเยาว์ของทวีปบูรพานั้นมีรายชื่อดังต่อไปนี้...อันดับที่ห้าคุณชายโม่เหรินจากตระกูลโม่แห่งแคว้นเสือขาว รางวัลที่ได้รับนับว่าไม่สามัญทั่วไปอย่างแน่นอนตามศักดิ์ฐานะของ
ตอนนี้ทุกคนได้รับรู้เเล้วว่าคุณชายทั้งสองคนนั้นมีความสัมพันธ์อย่างไรกับตระกูลหวัง แน่นอนว่าคุณชายหนิงอ้ายเป็นที่รู้จักกันดีในนามของอดีตคุณชายใหญ่ตระกูลจางเเห่งแคว้นหงส์เเดง ด้วยเพราะทั้งสองแคว้นนั้นอยู่ติดกันไม่ต่างจากเมื่องพี่เมืองน้อง ดังนั้นข่าวคราวในแวดวงที่ว่าคุณชายหนิงอ้ายเปรียบดั่งสวะของตระกุลจาง ผู้คนต่างรับรู้กันทั่วเพียงเเต่ไม่ได้มีการพูดคุยให้เห็นชัดด้วยเกรงกลัวอำนาจตระกูลใหญ่อย่างเช่นตระกูลจางและตระกูลหวัง กระทั่งข่าวที่ว่าท่านหญิงเยว่ซินได้หย่าขาดกับประมุขจางเลี่ยงหวงน ม้เหตุการณ์จะผ่านมาได้เพียงไม่กี่วัน เเต่ว่าหอข่าวที่มีสายลับแฝงตัวอยู่ทุกแคว้นต่างรายงานความเป็นไปที่เกิดขึ้นท่ามกลางความยินดีที่เกิดขึ้นแน่นอนว่าตระกูลหวังเเห่งแคว้นเต่าดำต่างเป็นที่จับจ้องมากขึ้น ด้วยเพราะว่าผู้ชนะอันดับหนึ่งและอันดับสองในการประลองเวทย์ครั้งนี้ต่างมีความข้องเกี่ยวโดยตรงกับตระกูลหวัง แม้ว่าจะเป็นตระกูลที่เพิ่งก่อตั้งได้เพียงไม่กี่ร้อยปีเเต่กลับยืนหยัดในฐานะหนึ่งในสี่ตระกูลใหญ่ของแคว้นเต่าดำ ยิ่งกับวันนี้รุ่นเยาว์ในตระกูลหวังกลับสร้างชื่อเสียงให้กับตระกูลไปอีกไม่น้อยด้วยฐานะของเจ้ายุทธภพแล
ห้องโถงรับรองของเรือนหลักตระกูลหวังเครื่องใช้ภายในเรือนทั้งหมดนั้นทำขึ้นจากหยกเขียวอ่อนแกะสลักที่มีความงดงามอ่อนช้อย อีกทั้งยังประดับตกแต่งไปด้วยสิ่งของมีค่ามากมายบางชิ้นถึงกับมีอายุยาวนานหลายร้อยปีเลยทีเดียว ของทุกอย่างเหล่านี้ต่างเเสดงให้เห็นถึงความมั่งคั่งของตระกูลหวังสายหลักได้เป็นอย่างดี"ได้ยินว่าหนิงเอ๋อร์กับลู่เอ๋อร์จะทำการทดสอบเข้าร่วมสำนักศึกษาในอีกไม่กี่วันเช่นนั้นรึ?" หวังจิ่งหลงถามขึ้นมองไปทางฝั่งของหลานชายของตนทั้งสอง"ขอรับท่านตา เพียงเเต่ว่าข้ากับลู่เกอยังไม่แน่ใจว่าจะเข้าร่วมสำนักศึกษาใด..." หนิงอ้ายตอบกลับผู้เป็นตาของตนไป"การเลือกสำนักศึกษามีความสำคัญไปไม่น้อย ด้วยความแตกต่างของเเต่ละสำนักไม่ว่าจะเป็นที่ตั้งของสำนักที่เอื้อต่อการฝึกฝนตามพลังธาตุในร่างกายและทรัพยากรล้ำค่าที่จำเป็นในการเลื่อนระดับพลังวิญญาณรวมไปถึงวิสัยทัศน์ของเจ้าสำนัก สิ่งต่างๆ เหล่านี้นั้นล้วนมีผลในการบ่มเพาะทั้งสิ้น...""สำนักศึกษาในมหาทวีปบูรพานี้นับได้ว่ามีอยู่มากมายไม่น้อย เพียงเเต่สำนักใหญ่ที่มีชื่อเสียงและผู้คนในโลกยุทธภพให้การยอมรับมีเพียงห้าสำนักเท่านั้น นั่นคือสำนักศึกษาเวหาธาราสวรรค์ สำนั
หนิงอ้ายกับลู่ซีใช้เวลาอยู่ในหอตำราเพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้นตามที่ได้ตกลงกันไว้เมื่อถึงเวลาก็มาตรงจุดนับพบโดยทันที ซึ่งทางฝั่งของหนิงอ้ายนั้นได้เลือกตำรามานับสิบกว่าเล่มเกี่ยวกับความรู้พื้นฐานทั้งหมดเพื่อที่จะไปศึกษาเพิ่มเติม ทางฝั่งของลู่ซีนั้นได้เลือกตำราเกี่ยวกับพลังธาตุน้ำและเคล็ดวิชาระดับสูงอีกสองสามบทในการศึกษาเพิ่มเติม ด้วยเพราะรู้ตัวว่าฝีมือของเขาในตอนนี้ยังไม่เพียงพอที่จะปกป้องหนิงอ้ายได้ ดังนั้นเขาต้องฝึกฝนให้มากที่สุดเมื่อแจ้งจำนวนตำราที่นำออกจากหอตระกูลหวังกับผู้อาวุโสท่านเดิมเสร็จเเล้วนั้น เมื่อถึงเรือนพักเเล้วทั้งสองคนจึงเเยกย้ายกลับห้องของตนเพื่อศึกษาตำราต่อนั่นเองหนิงอ้ายใช้เวลาทั้งวันไปกับการศึกษาเรียนรู้เกี่ยวกับพลังลมปราณ พลังวิญญาณและพลังปราณธาตุที่เป็นความรู้พื้นฐานทั้งหมด เมื่ออ่านจบเเล้วทำให้เขานั้นมีความเข้าใจมากยิ่งขึ้น เมื่อเดินพลังลมปราณและปรับการหมุนเวียนของร่างกายให้มั่นคงสมดุลชักนำลมปราณฟ้าดินเข้ามากักเก็บเป็นพลังวิญญาณในร่างกายให้เเข็งแกร่งมากยิ่งขึ้นหลายเท่าเคล็ดวิชาสยบอัสนีเมฆานั้นนอกจากจะเป็นวิชาตัวเบาที่ขึ้นชื่อเเล้วเเต่สิ่งที่แฝงตามมาจากเคล็ดวิชา
เช้าวันรุ่งขึ้นบ่าวในจวนตระกูลหวังค่อนข้างที่จะวุ่นวายในการจัดเตรียมหลายสิ่งอย่างอยู่บ้างเเต่ถึงอย่างนั้นก็ยังคงเป็นไปด้วยความเรียบร้อยตามกำหนดการที่คาดเอาไว้ นอกจากนี้ทางตระกูลหวังได้มีการส่งสารให้บรรดาตระกูลหวังสายรองและสายย่อยที่อยู่ไปทั่วทั้งแคว้นเต่าดำให้มายังจวนตระกูลหวังสายหลักในวันนี้เพื่อเป็นสักขีพยานสำหรับพิธีการนำรายชื่อของหนิงอ้ายกับลู่ซีเข้าสู่ผังทำเนียบตระกูลหวังสายหลักตามประเพณีสืบทอดของตระกูลที่มีมาอย่างยาวนานหากเป็นการนำรายชื่อคุณชายหนิงอ้ายเข้าในแผนผังตระกูลหวังสายหลักนั้นกล่าวได้นับสมควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเพราะคุณชายหนิงอ้ายนั้นเกิดจากท่านหญิงเยว่ซินซึ่งเป็นบุตรีเพียงหนึ่งเดียวของประมุขหวังจิ่งหลงและฮูหยินเหมยฮวาแห่งตระกูลหวังสายหลักดังนั้นฐานะของเด็กหนุ่มนั้นคือหลานชายสายตรงของตระกูลที่มีสิทธิในตำแหน่งว่าที่ประมุขตระกูลหวังสายหลักคนต่อไป ด้วยฐานะทางสายเลือดชาติกำเนิดอันสูงส่งที่ไม่สามารถปฏิเสธได้เเล้วนั้น คุณชายหนิงอ้ายผู้นี้ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยฝีมือพรสวรรค์ที่โดดเด่นกว่ารุ่นเยาว์ในวัยเดียวกันยิ่งนักในการประลองเวทย์ที่พึ่งจบไป อีกฝ่ายได้เเสดงให้เห็นถึงทักษะกา
ต้องบอกก่อนว่าผู้อาวุโสทุกคนที่หวังจิ่งหลงได้เรียกเข้ามาพูดคุยในครั้งนี้นั้นต่างมีตำแหน่งหน้าที่สำคัญในตระกูลหวังเป็นอย่างยิ่ง ผู้อาวุโสเหล่านี้ต่างเป็นบุคลที่เปรียบดั่งเสาหลักอันเเข็งแกร่งที่ค้ำจุนตระกูลหวังให้ยืนหยัดมั่นคงมายาวนานหลายร้อยปีเลยทีเดียวบางคนนั้นก็เป็นถึงหนึ่งในอดีตว่าที่ประมุขของตระกูลเมื่อครั้งนานมาเเล้ว บ้างก็เป็นตาเฒ่าประหลาดที่มีพลังวิญญาณระดับครึ่งเซียน บ้างก็เป็นเชื้อสายตระกูลหวังที่มีความโดดเด่นด้วยพรสวรรค์ที่มาพร้อมกับความเข้มข้นของสายเลือดมากกว่าคนทั่วไปในตระกูล ถึงแม้ว่าสายเลือดจะไม่เข้มข้นเท่ากับหนิงอ้ายก็จริง เเต่ในวันข้างหน้าหากสามารถยกระดับสายเลือดได้นั้นย่อมหมายถึงว่ากลุ่มคนเหล่านี้ ก็สามารถที่จะปลุกพลังสายเลือดของพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์ได้อย่างแน่นอนด้วยฐานะที่พวกเขาทั้งหลายต่างถือครองอยู่ในตระกูลหวังนับว่าเป็นตำแหน่งที่สำคัญและเป็นที่นับหน้าถือตาเป็นอย่างมาก ดังนั้น ผู้อาวุโสเหล่านี้ย่อมเคยอ่านบันทึกและรับรู้ถึงความเป็นมาของ ตระกูลหวังเป็นอย่างดี ว่าเเท้ที่จริงเเล้วว่าตระกูลหวังนั้นมีต้นกำเนิดความเป็นมาเช่นไร แม้ในเนื้อหาจะไม่ปรากฎสาเหตุของควา
ภายในห้วงจิตเหนือทะเลลมปราณของหนิงอ้ายพลันปรากฏเป็นเงาร่างของราชันย์วิหคอัคคีมายาขนาดเท่าตัวจริงที่มีเปลงเพลิงสีแดงลุกท่วมไปทั้งตัวที่เเสดงอาการดุร้ายอาฆาตพร้อมที่จะเข้ามาโจมตีเขาในทุกเมื่อ เเต่ชั่วพริบตาเดียวเงาร่างของอสรพิษเหมันต์บรรพกาลใหญ่โตน่าเกรงขามที่แผ่กลิ่นอายความเย็นเยือกออกมาโดยรอบพลันปรากฎขึ้น เงาร่างของพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์ก็ปรากฏอยู่ตรงด้านข้างแม้ว่าตอนนี้จะมีรูปลักษณ์เป็นเพียงหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์ตัวน้อยเเต่ทว่าเปลวเพลิงสุริยะธาตุอันเป็นต้นกำเนิดเเห่งธาตุไฟบริสุทธิ์ที่เเผ่พุ่งออกมารอบตัวนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอันพิศดารที่ไม่สามารถดูเเคลนอันใดได้ไม่ต้องให้หนิงอ้ายเอ่ยสิ่งใดทั้งสิ้นเงาร่างของสัตว์อสูรทั้งสองนั้นต่างพุ่งเข้าโจมตีและกัดกินจิตอาฆาตของอสูรราชันย์วิหคอัคคีมายาในทันที เเสงสีฟ้าอันเกิดจากอสรพิษเหมันต์บรรพกาล เเสงสีเเดงทองอันเกิดจากพญาหงส์แดงอัคคีสุริยะมหาสวรรค์ได้ประสานหล่อหลอมเป็นกรงกักขังสามสีขนาดใหญ่มีดวงจิตของราชันย์วิหคอัคคีมายาไว้ด้านใน เปลวเพลิงแห่งอัคคีและพิษเหมันต์ต่างเข้าโรมรันโจมตีอย่างต่อเนื่องเพียงชั่วครู่เดียวดวงจิตอาฆาตของราชันย
ความกังวลแผ่ซ่านไปทั่วหัวใจของทุกคนขณะที่พวกเขาเฝ้าดูการเผชิญหน้ากับอสูรมารจางหมิ่นที่เทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูง พวกเขารู้ดีว่าผู้อาวุโสหนุ่มผู้นี้เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่แข็งแกร่งและมีพรสวรรค์ แต่อย่างไรคู่ต่อสู้ของเขานั้นก็ทรงพลังอย่างหาที่เปรียบมิได้เช่นกัน ยามนี้จางหมิ่นในสภาพอสูรมารนั้นมีพละกำลังมหาศาลมีความเร็วที่เหลือเชื่อและความสามารถในการฟื้นฟูที่น่าทึ่งทั้งยังสามารถทนทานต่อการโจมตีได้อย่างไม่เพลี่ยงพล้ำ และการโจมตีของเขานั้นรุนแรงพอที่จะสังหารราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณที่อ่อนด้อยได้อย่างไม่ยากนักแม้จะต้องเผชิญกับอสูรมารที่มีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณขั้นสูงแต่หนิงอ้ายกลับไร้ซึ่งความหวาดหลัวแต่อย่างใด สิ่งนี้กลับชวนให้เขาหวนคิดไปถึงช่วงเวลาที่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในเมืองแห่งการสังหารในครั้งนั้น แก่นแท้แห่งการต่อสู้ จิตสังหารที่ดิบเถือนบ้าคลั่งที่เคยสะกดไว้คล้ายกำลังถูกปลุกขึ้นโดยที่ไม่ต้องร้องขอกลิ่นอายอหังการที่แข็งแกร่งไม่ธรรมดาของราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นกลางที่มีรากฐานบ่มเพาะลึกล้ำชวนให้ผู้ที่เคยกังขาถึงความเป็นมาและความสามารถของผู
ท่ามกลางความมืดมิดแห่งอนธการที่ได้ปกคลุมทั่วทั้งสนามประลอง บริเวณโดยรอบต่างอัดแน่นไปด้วยความชั่วร้ายและความสิ้นหวัง ม่านพลังพิสดารสายนี้ส่องประกายสีดำม่วงเข้มประกายริ้วคลื่นแผ่กระจายทั้งยังก่อตัวเป็นกำแพงหนาที่ไม่อาจมองทะลุผ่านได้ มากไปกว่านั้นม่านพลังผืนนี้ยังดูดกลืนพลังปราณฟ้าดินโดยรอบเข้ามาเสริมแกร่งอีกด้วย แม้ว่าบรรดาผู้อาวุโสหลายคนจะพยายามโจมตีหรือใช้สมบัติวิเศษเข้าขัดขวางการทำงานแต่ก็ไร้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการได้"สมบัติเทพมารจุติอย่างนั้นรึ? เป็นไปได้อย่างไรกัน!!!" กุ้ยเจินหรือเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งค่ายกลเอ่ยด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ ไม่คิดว่าจางหมิ่นที่เป็นผู้ขายวิญญาณนั้นจะครอบครองสมบัติมารระดับสูงเช่นนี้ได้"มันคือสิ่งใดกันสมบัติเทพมารจุติที่เจ้าเอ่ยถึง..." รุ่ยเหอผู้เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาและเจ้าตำหนักศาสตร์แห่งการต่อสู้เอ่ยถามด้วยความสงสัย"สมบัติเทพมารจุติเป็นที่เล่าขานกล่าวกันว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่เกิดจากการหลอมรวมพลังของเทพและมารเข้าด้วยกันจึงทำให้สมบัติวิเศษชิ้นนี้มีพลังอำนาจมหาศาลสามารถบันดาลสิ่งที่ปรารถนาได้ทุกประการ โดยเชื่อกันว่าเมื่อครั้งอดีตกาลมีมหาเทพเทพสองตนที่ทรงพลังยิ่ง
คราแรกที่ลู่ซีได้ยินว่าศิษย์ใหม่นามว่าจางหมิ่นนั้นเอ่ยวาจาส่อเสียดหนิงอ้ายเขาก็รู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขารู้ดีว่าหนิงอ้ายไม่ได้ปรากฎตัวในสำนักนับเป็นเวลาสิบปีแล้วจึงไม่มีผู้ใดคุ้นเคยหรือพบเห็นหน้ามาก่อน ยิ่งการกลับมาครั้งนี้รูปลักษณ์ของเขานั้นเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงเสียด้วยซ้ำ อีกทั้งหนิงอ้ายยังเป็นผู้ร้องขอว่ายามนี้ควรปกปิดตัวตนของเขาไปเสียก่อน ด้วยเพราะไม่ล่วงรู้ว่าบรรดาศิษย์ใหม่ที่ผ่านการทดสอบในปีนี้ได้มีผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์ที่เป็นสายข่าวของเผ่าพันธ์มารปีศาจที่ถูกส่งตัวมาหรือไม่ แม้ความลับนี้อาจจะเก็บไว้ได้ไม่นานแต่อย่างน้อยท่ามกลางการทดสอบฝีมือเพื่อคัดเลือกเข้าตำหนักนี้ย่อมสามารถสังเกตุอาการพิรุจผิดปกติจากที่ควรจะเป็นได้“ป้ายหยกชั่วคราวลำดับที่เจ็ด ข้าต้องการประลองกับผู้อาวุโสท่านนั้นขอรับ!!” เสียงของศิษย์ใหม่คนหนึ่งดังขึ้นเรียกความสนใจจากบรรดาศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ที่ยืนเรียงอยู่ด้านหน้าเพื่อรอเข้าทดสอบเป็นคู่ประลองกับเหล่าศิษย์ใหม่ แม้คำกล่าวนี้จะไม่ได้เอ่ยชื่อแต่ทุกคนในที่นี้ย่อมกระจ่างใจดีว่าถ้อยคำนี้เจาะจงถึงผู้ใด“กฎเกณฑ์เงื่อนไขในการทดสอบคัดเลือกเข้าสังกัดต
การทดสอบศิษย์ใหม่ในปีนี้ที่มีการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขกฎเกณฑ์การทดสอบกล่าวว่าเป็นที่น่าตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย บรรดารุ่นเยาว์ชายหญิงเหล่านี้ต่างตั้งตารอที่จะได้ประลองกับศิษย์ผู้สืบทอดหรือศิษย์หลักของตำหนักทั้งสี่ด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ดีว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงความสามารถของตนเองและพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาคู่ควรที่จะเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาแห่งนี้ แม้ไม่รู้ว่าผลลัพธ์ของการทดสอบจะออกมายอดเยี่ยมมากเพียงใดแต่สิ่งหนึ่งที่คาดเดาได้นั่นคือการประลองครั้งนี้จะต้องเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความท้าทายอย่างแน่นอนศิษย์ใหม่ประจำปีการศึกษาจำนวนห้าคนแรกที่ต้องทำการประลองแสดงฝีมือนั้นถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะยามที่ได้ยินเสียงเรียกหมายเลขของป้ายหยกที่พวกเขาถือครองอยู่ ด้วยเพราะไม่เตรียมใจว่าจะได้ลงทดสอบรวดเร็วถึงเพียงนี้ จากนั้นบรรดาสหายและผู้ที่อยู่ใกล้เคียงต่างได้เข้าไปอวยพรให้พวกเขาทำให้ดีที่สุด จากนั้นพวกเขาจึงได้ก้าวเท้ามุ่งตรงไปยังลานประลองที่มีศิษย์สืบทอดและศิษย์หลักทั้งสี่ที่ยืนเรียงเฝ้ารอคอยว่าพวกเขานั้นจะเลือกใครในการทดสอบความสามารถครั้งนี้แน่นอนว่าศิษย์
หนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านไท่หลุนเมื่อสิบปีก่อนอย่างละเอียด ทุกคนในสำนักศึกษาต่างตั้งใจฟังด้วยความสนใจและตกใจไปกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าเผ่าพันธุ์มารปีศาจได้วางแผนการชั่วร้ายเช่นนี้มานานหลายปีเช่นนี้ ยิ่งเมื่อหนิงอ้ายเล่าถึงแผนการลับของเผ่าพันธุ์มารปีศาจที่ได้ยินแม่ทัพมารเอ่ยถึงในครั้งนั้น บางเหตุการณ์ก็ตรงกับข้อมูลที่หน่วยสืบข่าวของสำนักศึกษาสืบค้นได้เจ้าสำนักและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต่างก็กังวลใจเป็นอย่างมาก พวกเขารู้ดีว่าหากเผ่าพันธุ์มารปีศาจประสบความสำเร็จในแผนการแล้ว โลกยุทธภพแห่งนี้คงจะต้องเผชิญกับหายนะครั้งใหญ่โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตามทุกคนต่างชื่นชมในความกล้าหาญและความเสียสละของชายหนุ่มตรงหน้า เหตุการณ์ครั้งนั้นได้ส่งผลให้หนิงอ้ายกลายเป็นวีรบุรุษและถูกเลื่อนระดับเป็นผู้อาวุโสสายในของสำนักศึกษาด้วยความเห็นชอบจากเจ้าสำนัก รองเจ้าสำนัก เจ้าตำหนักทั้งสี่รวมไปถึงบรรดาผู้อาวุโสต่าง ๆ ล้วนเห็นด้วยทั้งสิ้นจากนั้นหนิงอ้ายได้เล่าถึงเรื่องราวการหวนคืนกลับมามีกายเนื้อนี้อีกครั้งให้ทุกคนได้รับรู้แต่ก็ปกปิดบางส่วนที่เขาคิดว่าสมควร
ท่ามกลางหุบเขาน้อยใหญ่สูงเสียดฟ้าที่ถูกปกคลุมด้วยหมอกหนาและหิมะสีขาวบริสุทธิ์โปรยปรายอันเป็นลักษณะภูมิศาสตร์ที่โดดเด่นของสำนักศึกษาเหมันต์พันตะศักดิ์สิทธิ์ บรรดาอาคารสิ่งก่อสร้างในสำนักศึกษาต่างถูกตกแต่งอย่างวิจิตรบรรจงรวมไปถึงพื้นที่โดยรอบต่างประดับประดาด้วยโคมไฟเวทย์หลากสีสันที่ส่องสว่างไสวให้ความรู้สึกอลังการเพื่อเป็นการต้อนรับเหล่าบรรดาผู้ฝึกตนรุ่นเยาว์จากทั่วทุกสารทิศที่หลั่งไหลเข้ามาร่วมการทดสอบพร้อมกับความหวังและความฝันที่จะก้าวเข้าเป็นส่วนหนึ่งของสำนักศึกษาอันทรงเกียรติแห่งนี้ซุ้มประตูสำนักที่ถูกสร้างขึ้นจากแร่ผลึกอัมพรสวรรค์เก้าชั้นฟ้าอันเป็นวัสดุสินแร่หายากในยุทธภพนี้ได้ถูกแกะสลักอย่างวิจิตรบรรจงได้เปิดออกกว้างเพื่อต้อนรับผู้มาเยือนที่หลังจากนี้ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งเดียวกันโดยมีผู้อาวุโสและศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนคอยต้อนรับด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น เมื่อการทดสอบสิ้นสุดลงบรรดาศิษย์ใหม่ที่พึ่งผ่านการทดสอบต่างก้าวเดินเข้ามาด้วยความตื่นเต้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความประหม่าหลังจากบรรดาผู้ผ่านการทดสอบทั้งหมดได้เข้ามาโดยพร้อมเพรียงแล้ว บริเวณลานกว้างหน้าสำนักศึกษายามนี้ต่างคลาคล่ำไปด้วยผู้ฝึกต
มหาพิภพพิสดารแห่งนี้ประกอบไปด้วยสามพิภพ สี่มหาสมุทร แปดมหาทวีป โดยที่สามพิภพนั้นจะแบ่งเป็นดินแดนพิภพระดับสูง ดินแดนพิภพระดับกลางและพิภพระดับล่าง โดยมีสี่ทะเลมหาสมุทรตั้งอยู่ 4 ทิศล้อมรอบที่เชื่อว่าเป็นที่พักพิงของเทพบรรพกาลสูงสุดทั้งสาม และแปดมหาทวีปที่ได้มีการแบ่งการปกครองตามทิศทั้งแปดของดินแดนพิภพระดับกลาง ด้วยเพราะต่างมีผู้ปกครองดินแดนอันเป็นตัวตนที่ไม่ธรรมดาสามัญทั้งสิ้น ดังนั้นการเดินทางข้ามผ่านแต่ละเขตดินแดนจึงจำเป็นต้องมีเงื่อนไขกฎเกณฑ์ที่แตกต่างกันไปสำหรับการเดินทางข้ามเขตแดนทั้งสามพิภพโดยเฉพาะดินแดนพิภพระดับสูงและดินแดนพิภพระดับกลางนั้น เงื่อนไขสำคัญคือผู้ฝึกตนที่บ่มเพาะพลังปราณในดินแดนพิภพระดับกลาง หากไม่สามารถเลื่อนระดับเป็นราชทินนามอัครพรหมยุทธ์วิญญาณหรือครอบครองพลังวิญญาณในระดับที่101ได้ย่อมไม่อาจก้าวล้ำมายังดินแดนพิภพระดับสูงนี้ได้ด้วยขีดจำกัดของกายเนื้อที่ไม่สามารถรองรับพลังปราณฟ้าดินบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไหลเวียนหล่อเลี้ยงทั่วทั้งมหาพิภพ เพราะหากไร้ซึ่งความแข็งแกร่งของสายโลหิตและพลังปราณที่ล้ำลึกที่เพียงพอ ไม่กี่ชั่วลมหายใจร่างกายและจิตวิญญาณย่อมถูกบดขยี้ไปสิ้นแต่ในทางก
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงหนึ่งราตรีที่ผ่านพ้น สำนักหมาป่าทมิฬจะถูกฆ่าล้างสำนักจนไม่เหลือแม้แต่ผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว การจู่โจมโดยไม่อาจตั้งตัวนั้นได้ส่งผลให้เหล่าสมาชิกในสำนักต้องสังเวยชีวิตอย่างน่าสลดใจ สิ่งนี้กล่าวว่าได้สร้างความตื่นตะลึงแก่กลุ่มอิทธิพลมืดในยุทธภพอยู่ไม่น้อย แม้ว่าสำนักหมาป่าทมิฬจะเป็นสำนักที่พึ่งก่อตั้งได้ไม่กี่สิบปีแต่ก็มีชื่อเสียงโด่งดังในด้านความโหดเหี้ยมและไร้ความปรานี การล่มสลายของสำนักในครั้งนี้จึงกลายเป็นปริศนาที่ยากจะคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นสิ่งที่น่าตื่นตะลึงนั่นคืออดีตผู้ก่อตั้งสำนักนั้นเป็นถึงราชทินนามเทพสวรรค์วิญญาณที่มีรากฐานบ่มเพาะไม่ธรรมดาสามัญรวมไปถึงเจ้าสำนักคนปัจจุบันนั้นก็เป็นราชทินนามเทพยุทธ์วิญญาณขั้นสูงที่มากไปด้วยความสามารถไม่อ่อนด้อยแม้จะขึ้นชื่อในเรื่องของความวิปริตมากกว่าก็ตาม ไม่นับรวมถึงบรรดาผู้อาวุโสที่ล้วนต่างเป็นราชทินนามระดับสูงที่ไม่อาจดูแคลนได้ทั้งสถานที่ตั้งยังรายล้อมไปด้วยมหาค่ายกลเขตแดนธรรมชาติที่ใช่ว่าจะสามารถบุกฝ่าทะลวงไปได้โดยง่าย ข่าวการกวาดล้างสำนักหมาป่าทมิฬได้แพร่สะพัดออกไปราวกับไฟลามทุ่ง ไม่รู้ว่าทางสำนักได้ไปรับภารกิจหรือได้ล
ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดและเศษซากร่างไร้วิญญาณของศัตรูที่พ่ายแพ้ หนิงอ้ายเรียกใช้พลังปราณตวัดเอาแหวนมิติและสมบัติวิเศษประจำตัวของผู้ตกตายทั้งหมดย้ายเข้ามาในแหวนมิติของตนอย่างไรสิ่งเหล่านี้ย่อมสามารถทำประโยชน์ได้อยู่ไม่น้อย ในใจเขาไม่นึกรังเกียจเลยเพียงนิด การเข่นฆ่าสังหารแล้วช่วงชิงสิ่งของของผู้ที่ตกตายไปนั้นเป็นสิ่งที่พบเจอได้ทั่วไปในยุทธภพจากนั้นหนิงอ้ายได้ระดมเรียกเปลวเพลิงบริสุทธิ์จากปราณทิวาธาตุเข้าแผดเผาเศษซากชิ้นเนื้อรวมไปถึงจิตวิญญาณของบรรดานักฆ่าเหล่านี้ให้สูญสลายโดยไม่อาจหวนคืนในวัฏจักรสังขารได้อีก จากเศษเสี้ยวความทรงจำที่เขาสัมผัสได้นั้นคนกลุ่มนี้หาใช่เป็นคนดีแต่อย่างใด ตลอดช่วงอายุที่ผ่านมาก็ล้วนแต่กระทำต่ำช้า สังหารผู้บริสุทธิ์มาไม่น้อย เพียงเท่านี้ย่อมไม่อาจชดเชยได้เสียด้วยซ้ำไม่ถึงครึ่งเค่อให้หลัง ห้วงมิติที่ถูกผนึกไว้เมื่อไร้ซึ่งผู้บัญชาการยามนี้ม่านพลังประหลาดดังกล่าวจึงได้ซ่านสลายไปในที่สุด เผยให้เห็นหมู่เมฆาที่ล่องลอยประดับเหนือท้องฟ้า เสียงแมลงน้อยใหญ่ดังขึ้นทั่วทั้งผืนป่าโดยรอบขับขานบรรเลงสอดประสานเป็นท่วงทำนองเสนาะหู แสงไฟเวทย์จากอาคารบ้านเรือน เสียงโหวกเหวกโวยวาย